ประชาไท | Prachatai3.info |
- กลุ่มอนุรักษ์ฯ ยื่นหนังสื่อ ‘ผู้ว่าฯ ชุมพร’ ชี้กรมชลฯ ลั่นเดินหน้า ‘เขื่อนท่าแซะ’
- อภิปรายวันสุดท้าย นายกยันทุกนโยบายทำเพื่อประชาชน 'จุรินทร์' สรุปจี้ยุติเหตุแห่งความเสื่อม 5 ข้อ
- ทหารพม่าโจมตี SSA ดับ 1 เจ็บ 1 ในภาคตะวันออกรัฐฉาน
- ถอดบทเรียนจากเหตุปัจจัยของการปฏิวัติและรัฐประหาร
- เริ่มแล้ว-การประชุมนัดสำคัญของชาวไทใหญ่หารือเรื่องสันติภาพ
- แอมเนสตี้ฯหารือ ก.ต่างประเทศพักการใช้โทษประหารชีวิต
- อดีตศิลปินโฆษณาชวนเชื่อเกาหลีเหนือ หันมาผลิตงานล้อเลียนผู้นำ
- ไทยเตรียมแซงอินเดียเป็นแชมป์ส่งออกข้าว หลังมีปริมาณสำรองข้าวสูงระดับโลก
- Past-Present-Future : รวมความคืบหน้า-ตารางนัด คดี 112 - พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
- ศาสวัต บุญศรี: สื่อและการตรวจสอบบทบาทของ “กรรมการสิทธิมนุษยชน”
กลุ่มอนุรักษ์ฯ ยื่นหนังสื่อ ‘ผู้ว่าฯ ชุมพร’ ชี้กรมชลฯ ลั่นเดินหน้า ‘เขื่อนท่าแซะ’ Posted: 27 Nov 2012 10:29 AM PST เผยเจ้าหน้าที่ของกรมชลฯ ยืนยันสร้างเขื่อนท่าแซะในเวทีรับฟังความคิดเห็น ชาวบ้านหวั่นผลกระทบเร่งรวมตัวยื่นหนังสือผู้ว่าฯ ชุมพร ยุติการสร้าง ด้านป้องกันจังหวัดชุมพรชี้มีมติ ครม.ให้ชะลอโครงการ ทำชาวบ้านหวั่นบิดเบือนข้อมูล วันที่ 26 พ.ย.55 กลุ่มอนุรักษ์ต้นน้ำท่าแซะรวมตัวกันเข้ายื่นหนังสือ แก่นายพีระศักดิ์ หินเมืองเก่า ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร ณ ห้องเกาะทองหลาง ศาลากลางจังหวัดชุมพร ขอให้ยุติการสร้างเขื่อนท่าแซะ ในพื้นที่บ้านร้านตัดผม ต.สองพี่น้อง อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร เนื่องจากส่งผลกระทบต่อชาวบ้านในพื้นที่อย่างมากหากมีการก่อสร้าง สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 22 พ.ย.55 ที่โรงแรมนานาบุรี จ.ชุมพร ในเวทีรับฟังความคิดเห็นที่จัดขึ้นโดยมีเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เจ้าหน้าที่กรมชลประทานยืนยันว่าจะต้องมีการสร้างเขื่อนท่าแซะอย่างแน่นอน เพราะการดำเนินการแล้วเสร็จในทุกขั้นตอน เหลือเพียงนำเครื่องจักรเข้ามาในพื้นที่ ทั้งนี้ เวทีดังกล่าวมีผู้เข้าร่วมอาทิ กรมชลประธาน ผู้นำท้องถิ่น องค์การบริหารส่วนตำบล กรมโยธาธิการและผังเมือง ฯลฯ รวมทั้งบริษัทผู้รับเหมาโครงการ แต่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการก่อสร้างเขื่อนท่าแซะไม่ได้เข้าร่วม กลุ่มอนุรักษ์ต้นน้ำท่าแซะระบุว่า หากมีการก่อสร้างจะมีพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมประมาณ 9,800 ไร่ ต้องใช้งบประมาณในการก่อสร้างจำนวนมาก ไม่คุ้มกับการก่อสร้างที่ต้องแลกด้วยผืนป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ากรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ กว่า 3,000 ไร่ และจะมีประชาชนได้รับผลกระทบ 800 ครอบครัว ดังนั้นจึงขอให้ยกเลิกโครงการก่อสร้างเขื่อนท่าแซะ รวมทั้งให้ผู้ว่าฯ ชุมพร และกรมชลประธาน เสนอยกเลิกโครงการเขื่อนท่าแซะต่ออธิบดีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และให้มีการผลักดันเข้ามติคณะรัฐมนตรีเพื่อยกเลิกโครงการ อีกทั้งการดำเนินโครงการพัฒนาใดๆ ในลุ่มน้ำท่าแซะ ต้องให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบเข้าไปมีส่วนร่วมในทุกกระบวนการการตัดสินใจ ให้มีการเปิดเผยข้อมูลที่แท้จริงต่อสาธารณะและประชาชนที่จะได้รับผลกระทบ นายพีระศักดิ์ หินเมืองเก่า ผู้ว่าฯ ชุมพร ได้รับเรื่องไว้ และกล่าวว่า ตนเองไม่มีอำนาจในการไปสั่งการ และทำได้เพียงเป็นนายไปรษณีย์ส่งต่อข้อคิดเห็นของประชาชนไปยังกรมชลประธาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขณะที่ นายชนการ ทิพย์ประเสริฐสุข ป้องกันจังหวัดชุมพร กล่าวกับประชาชนว่า ขอให้พี่น้องที่รับได้รับผลกระทบนอนหลับให้สบายใจ เพราะมีมติคณะรัฐมนตรีให้ชะลอโครงการเขื่อนท่าแซะ และเขื่อนจะไม่มีการสร้างอย่างแน่นอน แม้ว่าผู้ได้รับผลกระทบจะอธิบายให้ฟังถึงคำยืนยันต่อการก่อสร้างเขื่อนของเจ้าหน้าที่กรมชลประธาน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีดังกล่าวทำให้ประชาชนที่เข้ายื่นหนังสือในวันนี้เกิดความรู้สึกไม่มั่นใจในคำพูดของผู้ว่าฯ ชุมพร และป้องกันจังหวัดชุมพร โดยผู้ได้รับผลกระทบมีความคิดเห็นว่าอาจมีการบิดเบือนข้อมูล ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
อภิปรายวันสุดท้าย นายกยันทุกนโยบายทำเพื่อประชาชน 'จุรินทร์' สรุปจี้ยุติเหตุแห่งความเสื่อม 5 ข้อ Posted: 27 Nov 2012 10:25 AM PST นายกฯ แจงสรุปซักฟอกยันทุกนโยบายรัฐบาลทำเพื่อประชาชน-ชาติ ปัดเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้อง 'จุรินทร์' อภิปรายสรุป จี้นายกยุติเหตุแห่งความเสื่อม 5 ข้อ ก่อนปธ.สภาฯ นัดลงมติ 9.30 น. พรุ่งนี้
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ทหารพม่าโจมตี SSA ดับ 1 เจ็บ 1 ในภาคตะวันออกรัฐฉาน Posted: 27 Nov 2012 07:03 AM PST เกิดเหตุสู้รบกันอีกระหว่ มีรายงานว่า เมื่อวันที่ 24 พ.ย. ที่ผ่านมา เกิดเหตุสู้รบกันอีกระหว่ พ.อ.เจ้ากอนจื้น ผบ.หน่วยภาคพื้นเชียงตุงของ SSA เปิดเผยว่า เหตุสู้รบเกิดขึ้นหลั โดยหลังการสู้รบดำเนินต่ พ.อ.กอนจื้น กล่าวว่า แม้จะลงนามหยุดยิงกัน แต่หากทางฝ่ายทหารพม่ายังไม่ยุ ด้านแหล่งข่าวคนขั ทั้งนี้ พล.ท.เจ้ายอดศึก ประธานสภากอบกู้รัฐฉาน RCSS กองทัพรัฐฉาน SSA ได้กล่าวกับสำนักข่าวฉาน (SHAN) เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า นับตั้งแต่สภากอบกู้รัฐฉาน RCSSกองทัพรัฐฉาน SSA ลงนามหยุดยิงกับรัฐบาลพม่าเมื่
ชมภาพ / อ่านข่าวย้อนหลังได้ที่ "คนเครือไท" เป็นศูนย์ข่าวภาคภาษาไทยเครือข่ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ถอดบทเรียนจากเหตุปัจจัยของการปฏิวัติและรัฐประหาร Posted: 27 Nov 2012 06:48 AM PST ปรากฏการณ์ลุกขึ้นมารวมพลขององค์กรพิทักษ์สยามและภาคีเครือข่ายเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2555 ที่ผ่านแล้วจบลงอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่ถึง 9 ชั่วโมง ได้เกิดคำถามและคำตอบขึ้นอย่างมากมายว่าเกิดอะไรขึ้น และทำไมถึงจบลงตามประสา "หวยออกแล้ว" เช่น เกิดการแตกแยกภายในบ้าง จำนวนคนมาน้อยเกินไปบ้าง ฯลฯ แต่ล้วนแล้วเป็นเหตุผลในด้านข้อมูลประเภทการให้ความเห็นเสียมากกว่า ซึ่งคนที่จะตอบได้ดีที่สุด คือแกนนำที่ประกาศยุติการชุมนุมนั่นเองว่า เกิดอะไรขึ้น เหตุการณ์การรวมตัวขององค์กรดังกล่าวในระยะเริ่มแรกเป็นลักษณะของการรวมตัวในลักษณะของการที่ต้อง "ปฏิวัติ" ด้วยการประกาศแช่แข็งประเทศ แต่เมื่อถูกต่อต้านมากจึงผ่อนคลายลงเป็นเพียง"รัฐประหาร" ด้วยการที่จะขับไล่รัฐบาล ด้วยการแช่แข็งนักการเมือง ซึ่งไม่มีในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ จึงถือได้ว่าเป็นการรัฐประหารอีกในรูปแบบหนึ่ง เช่นเดียวกับพระยามโนปกรณ์นิติธาดาได้เคยทำรัฐประหารเงียบมาแล้วในอดีตด้วยการประกาศงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราและปิดสภาผู้แทนราษฎร การปฏิวัติ (revolution) หมายถึง การใช้ความรุนแรงทางการเมืองเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างเบ็ดเสร็จ โดยมีวัตถุประสงค์อยู่ที่การเปลี่ยนแปลงการเมืองการปกครอง อุดมการณ์ทางการเมือง วัฒนธรรม วิถีชีวิต ระบบเศรษฐกิจ ความเชื่อทางศาสนา และระบบสังคมโดยรวม การปฏิวัติเป็นความรุนแรงทางการเมืองที่เกิดขึ้นได้ไม่บ่อยครั้งนัก เพราะจะต้องโค่นล้มลงทั้งระบบ ซึ่งหากสภาพสังคมไม่สุกงอมเต็มที่ หรือสภาพสังคมยังไม่พร้อมแล้ว การปฏิวัติจะเป็นไปได้ยากมาก ตัวอย่างของการปฏิวัติที่ผ่านมา ก็คือการปฏิวัติฝรั่งเศส การปฏิวัติรัสเซีย การปฏิวัติจีน และการปฏิวัติเมื่อ 24 มิถุนายน 2475 ของไทยเราที่เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่พระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจเต็มในการปกครองประเทศ มาเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ เป็นต้น สาเหตุของการปฏิวัติ 2.ผู้นำต้องเสียอำนาจและความชอบธรรม ผู้นำมีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดการปฏิวัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมที่ผู้นำไม่สามารถบริหารประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผู้นำไม่สามารถระดมความจงรักภักดีจากผู้ใต้บังคับบัญชาและประชาชนได้อีกต่อไป 3.การแพร่หลายของอุดมการณ์ปฏิวัติ ซึ่งเป็นสาเหตุที่สำคัญที่สุดของการปฏิวัติ เพราะถือว่าเป็นตัวเร่ง (catalyze) ของกระบวนการปฏิวัติ โดยกลุ่มคนที่ไม่พอใจรวมตัวกัน มีอุดมการณ์เป็นตัวชี้นำ และทำให้ประชาชนเห็นว่า หากโค่นล้มระบอบเก่าไป จะสามารถสถาปนาระบอบใหม่ซึ่งให้ความยุติธรรมในสังคม หากได้ผู้นำในลักษณะนี้แล้ว จะทำให้อุดมการณ์ปฏิวัติได้รับการยอมรับจากคนส่วนใหญ่และทำให้การปฏิวัติประสบความสำเร็จ ซึ่งทั้ง 3 เหตุข้างต้นนี้ องค์กรพิทักษ์สยามและภาคีเครือข่ายประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงตั้งแต่แรก จนต้องลดเป้าหมายจากการปฏิวัติเพื่อแช่แข็งประเทศไปสู่เพียงการรัฐประหารเพื่อแช่แข็งนักการการเมืองด้วยการล้มรัฐบาลนั่นเอง การรัฐประหาร (coup d'état) หมายถึง การใช้ความรุนแรงทางการเมืองที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันทันด่วน โดยมีวัตถุประสงค์อยู่ที่การเปลี่ยนตัวหัวหน้ารัฐบาล หรือผู้ปกครองประเทศ แล้วจัดตั้งคณะรัฐบาลชุดใหม่ที่อยู่ภายใต้ผู้ก่อการรัฐประหารขึ้นมา โดยที่รูปแบบการปกครองไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด มีแต่ตัวผู้นำและคณะผู้นำเท่านั้นที่เปลี่ยนแปลงไป ปัจจัยที่ที่ทำให้การรัฐประหารประสบความสำเร็จ 2.ต้องเป็นองค์กรลับ ในการทำรัฐประหารนั้นจะต้องมีองค์กรที่ปิดลับ มีสมาชิกไว้ใจได้ไม่กี่คน มีจำนวนน้อยเพราะจะต้องรักษาความลับไว้เป็นสำคัญ หากความลับรั่วไหลก็อาจถูกปราบปรามได้อย่างง่ายดายก่อนที่จะทำการสำเร็จ ดังเช่นคราวนี้เป็นต้น 3.ปฏิบัติการสายฟ้าแลบ การทำรัฐประหารจะต้องทำการอย่างรวดเร็ว โดยปกติต้องทำสำเร็จภายใน 24 ชั่วโมง แต่ในคราวนี้มีการประกาศล่วงหน้าอย่างโจ๋งครึ่มเป็นเวลานานทำให้รัฐบาลเตรียมการได้ทัน 4.ต้องไม่ให้ประชาชนรังเกียจ การทำรัฐประหารที่ประสบความสำเร็จนั้นจะต้องไม่ทำให้ประชาชนเสียเลือดเนื้อ และการรัฐประหารนั้นจะต้องสร้างอุดมการณ์ที่ไม่ให้ประชาชนเห็นว่ารัฐบาลใหม่ที่จะได้มาเป็นรัฐบาลเผด็จการ ซึ่งในข้อนี้องค์กรพิทักษ์สยามและภาคีเครือข่ายประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง การกบฏหรือขบถ (rebellion) นั้น หมายถึงการที่กลุ่มคนพยายามทำการปฏิวัติหรือรัฐประหารแต่กระทำไปไม่สำเร็จ จึงได้ชื่อว่าเป็นกบฏนั่นเอง ตัวอย่างของไทยเราก็เช่น กบฏบวรเดช กบฏนายสิบ กบฏเสนาธิการหรือกบฏนายพล กบฏวังหลวง กบฏแมนฮัตตัน กบฏ ๒๖ มีนาคม (พล.อ.ฉลาด) กบฏเมษาฮาวายหรือกบฏยังเติร์ก กบฏสองพี่น้อง ฯลฯ จะเห็นได้ว่าการที่ที่องค์กรพิทักษ์สยามและภาคีเครือข่ายประสบความล้มเหลวในคราวนี้ด้วยเหตุผลทางวิชาการที่ได้นำมาอธิบายข้างต้น ส่วนการที่ว่าจะเป็นกบฏหรือไม่นั้นก็สุดแล้วแต่ว่า จะมีการนำคดีไปสู่ศาลหรือไม่ และศาลจะพิจารณาพิพากษาว่าอย่างไร แต่ที่แน่ๆ บทเรียนที่แกนนำได้รับคงต้องจำจนวันตาย อยู่ที่ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังและผู้เหลืออยู่จะเดินเกมต่อไปอย่างไร ช่วงนี้เป็นช่วงที่ต้องน่าจับตามากกว่าการระดมพลก่อนหน้านี้เสียมากกว่าด้วยซ้ำไป หลายคนที่กลืนเลือดไปแล้วคงไม่ยอมง่ายๆ หรอกครับ
หมายเหตุ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
เริ่มแล้ว-การประชุมนัดสำคัญของชาวไทใหญ่หารือเรื่องสันติภาพ Posted: 27 Nov 2012 06:33 AM PST การประชุมของกลุ่มองค์กรไทใหญ่หารือเรื่องสร้างสันติภาพ ซึ่งเป็นการประชุมใหญ่ครั้งประวัติศาสตร์ได้เริ่มขึ้นแล้วที่นครย่างกุ้ง มีตัวแทนกลุ่มการเมือง ทหาร นักวิชาการ ภาคประชาสังคมเข้าร่วมกว่าสองร้อยคน มีรายงานว่า การประชุมใหญ่ของกลุ่มองค์กรไทใหญ่เพื่อหารือเรื่องสันติภาพ ในชื่อ "การประชุมสร้างความไว้วางใจเพื่อสันติภาพ" (Trust Building for Peace Conference) ที่มีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 26 – 28 พ.ย. นี้ ได้เริ่มขึ้นแล้วอย่างเป็นทางการเมื่อวานนี้ ที่อาคารนินสี่ (Royal Rose) ในกรุงย่างกุ้ง มีผู้นำและตัวแทนกลุ่มองค์กรของไทใหญ่ทั้งกลุ่มการเมือง การทหาร ภาคประชาสังคม กลุ่มชมรมวัฒนธรรม นักวิชาการและกลุ่มเยาวชนเข้าร่วมรวมกว่า 200 คน นอกจากนี้ มีตัวแทนกลุ่มชาติพันธุ์หลายกลุ่มเข้าร่วมสังเกตการณ์ด้วย โดยมีอูอ่องมิน รมต.ประจำสำนักประธานาธิบดี และรองประธานคณะทำงานเพื่อสันติภาพรัฐบาลพม่าเข้าร่วมเป็นประธานเปิดการประชุม ซึ่งในส่วนของรัฐบาลพม่าได้ส่งตัวแทนเข้าร่วมเป็นเกียรติในวันเปิดการประชุมด้วยหลายคน อูอ่องมิน กล่าวว่า การสร้างสันติภาพเป็นหน้าที่ทุกฝ่าย ถึงเวลาร่วมกันสร้างสหพันธรัฐที่แท้จริง และถึงเวลาสร้างความหมายของสหพันธรัฐที่ดำเนินมาอย่างผิดๆ ในอดีตให้เป็นรูปธรรมและให้เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย การแบ่งปันอำนาจ การแบ่งปันทรัพยากรควรได้รับการแก้ไข ขอทุกฝ่ายร่วมด้วยช่วยกันต่อไป ทางด้าน เจ้าขุนทุนอู ผู้นำพรรคสันนิบาตแห่งชาติไทใหญ่เพื่อประชาธิปไตย SNLD กล่าวก่อนการประชุมว่า การประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมใหญ่ของกลุ่มองค์กรไทใหญ่ครั้งแรกซึ่งไม่มีประสบการณ์มาก่อน โดยหลังจากการประชุมในกลุ่มองค์กรไทใหญ่ครั้งนี้แล้วเสร็จ จะจัดการประชุมใหญ่ของทุกกลุ่มชาติพันธุ์ในรัฐฉานเพื่อหารือเรื่องสร้างสันติภาพร่วมกันต่อไป โดยกลุ่มองค์กรสำคัญของไทใหญ่ที่เข้าร่วมการประชุมประกอบด้วย พรรคสันนิบาตแห่งชาติไทใหญ่เพื่อประชาธิปไตย SNLD (พรรคหัวเสือ) พรรคชาติไทใหญ่เพื่อประชาธิปไตย SNDP (พรรคเสือเผือก) สภากอบกู้รัฐฉาน RCSS (กองทัพรัฐฉาน SSA "ใต้") พรรครัฐฉานก้าวหน้า SSPP (กองทัพรัฐฉาน SSA "เหนือ") กองกำลังสัมพันธมิตรชาติประชาธิปไตย หรือ กองกำลังเมืองลา NDAA และตัวกลุ่มองค์กรภาคประชาสังคมไทใหญ่ทั้งในและต่างประเทศเข้าร่วม โดยคนที่เข้าร่วมประชุมที่น่าสนใจ เช่น ดร.จายอ่องทุน, ดร.จายส่างอ้าย, เจ้าหาญ ณ หยองห้วย, ดร.จายคำเหล็ก, หญิงน้อย มังราย, ดร.นางหอมเหล็ก, เจ้าขุนทุนอู, พล.ท.เจ้าเสือแท่น, พลจัตวา ป๋องเครือ, น.ส.จ๋ามตอง, ก่อนหน้านี้ดร.จายหมอกคำ รองประธานาธิบดีสหภาพพม่า มีกำหนดเข้าร่วมเป็นประธานในพิธีเปิดการประชุม แต่เนื่องจากติดภารกิจ อูอ่องมิน จึงรับหน้าที่แทน สำหรับกำหนดการประชุมในวันที่ 1 หารือกันเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองปัจจุบัน อันเป็นสาเหตุการจัดการประชุมหารือสร้างความไว้วางใจเพื่อให้เกิดสันติภาพ รวมถึงวางกรอบและแผนการสร้างสันติภาพต่อไป ในวันที่ 2 หารือกันเกี่ยวกับแนวทางการทหาร การเมือง ภาคประชาสังคม ปัญหายาเสพติดและปัญหาสังคมต่างๆ ในรัฐฉาน และในวันที่ 3 สรุปผลการหารือและปิดการประชุม
ชมภาพ / อ่านข่าวย้อนหลังได้ที่ "คนเครือไท" เป็นศูนย์ข่าวภาคภาษาไทยเครือข่ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
แอมเนสตี้ฯหารือ ก.ต่างประเทศพักการใช้โทษประหารชีวิต Posted: 27 Nov 2012 05:17 AM PST 27 พฤศจิกายน 2555 ตัวแทนจากแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยเข้ายื่นหนังสือต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเพื่อเรียกร้องให้มีการพักการใช้โทษประหารชีวิต โดยคุณพรประไพ กาญจนรินทร์ อธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศเป็นตัวแทนเข้าร่วมปรึกษาและรับมอบหนังสือ นายสมชาย หอมลออ ประธานแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย กล่าวถึงการรณรงค์ยกเลิกโทษประหารชีวิตว่า แม้ปัจจุบันประเทศไทยยังคงมีการตัดสินลงโทษประหารชีวิตอยู่ แต่ในแผนแม่บทสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2552-2556) ที่รัฐบาลได้ประกาศอย่างเป็นทางการและมีผลปฏิบัติตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมานั้น หนึ่งในตัวชี้วัดต่อความสำเร็จในการดำเนินการตามแผนนี้ คือตัวชี้วัดกลยุทธ์ที่ 3.1 ว่ามีการยกเลิกโทษประหารชีวิตโดยเปลี่ยนให้เป็นโทษจำคุกตลอดชีวิต ซึ่งถือได้ว่าเป็นพันธสัญญาของรัฐบาลที่จะให้มีการยกเลิกโทษประหารชีวิตในที่สุด และในการประชุมของคณะกรรมาธิการที่สามของที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งองค์การสหประชาชาติ เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน 2555 ที่ผ่านมา รัฐภาคีสมาชิกได้ร่วมลงคะแนนต่อมติพักการใช้โทษประหารชีวิต โดยมีรัฐที่ลงคะแนนเสียงเห็นชอบ 110 เสียง งดออกเสียง 36 เสียง และคัดค้าน 39 เสียง องค์การแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ขอชื่นชมที่รัฐบาลไทยลงคะแนน "งดออกเสียง" และไม่คัดค้านต่อมติข้อตกลงการพักใช้โทษประหารชีวิตดังกล่าว "เราขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยสนับสนุนและลงมติ "เห็นชอบ" ต่อมติการพักใช้โทษประหารชีวิตที่จะมีขึ้นอย่างเป็นทางการในที่ประชุมสมัชชาใหญ่ฯ ในเดือนธันวาคม 2555 เพื่อแสดงจุดยืนและเจตนารมณ์ของรัฐบาลไทยต่อการเคารพและปกป้องสิทธิมนุษยชนในเวทีระหว่างประเทศ ทั้งยังนับเป็นการปฏิบัติตามแผนแม่บทสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ 2 และปฏิบัติตามพันธกรณีของไทยที่มีต่อกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ทั้งปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติ และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง" คุณสมชายกล่าว นางสาวปริญญา บุญฤทธิ์ฤทัยกุล ผู้อำนวยการองค์การแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ยื่นหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศระบุว่า แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยเรียกร้องให้รัฐบาลไทยควรพิจารณาสนับสนุนแนวโน้มที่เกิดขึ้นในเวทีระหว่างประเทศในทางที่ยกเลิกโทษประหารชีวิต โดยประกาศยุติการประหารชีวิตในทางปฏิบัติอย่างเป็นทางการโดยทันที เพื่อให้สอดคล้องกับแผนปฏิบัติแม่บทว่าด้วยสิทธิมนุษยชน โดยมีเจตจำนงที่จะออกกฎหมายให้ยกเลิกโทษประหารชีวิตในท้ายที่สุด และให้มีการยกเลิกโทษประหารชีวิต และให้ใช้โทษจำคุกตลอดชีวิตแทนภายในปี 2556 นอกจากนี้ ประเทศไทยควรให้สัตยาบันรับรองพิธีสารเลือกรับฉบับที่สองของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (Second Optional Protocol to the International Covenant on Civil and Political Rights) แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลต่อต้านโทษประหารในทุกกรณี โดยถือเป็นการละเมิดสิทธิที่จะมีชีวิตรอด และถือเป็นการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม และดูหมิ่นศักดิ์ศรีมากสุด ด้านคุณพรประไพ กาญจนรินทร์ อธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ กล่าวว่า สำหรับประเทศไทยในปีนี้คิดว่าคงจะงดออกเสียงในประเด็นนี้ไปก่อน แต่ก็ยังมีความคืบหน้าในประเด็นดังกล่าว ซึ่งขณะนี้กระทรวงยุติธรรมได้จัดสรรงบประมาณจำนวนหนึ่งให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพเป็นผู้รับผิดชอบ ในการว่าจ้างให้คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศึกษาวิจัยและการเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นของประชาชนว่ามีความคิดเห็นอย่างไร หากมีการยกเลิกโทษประหารชีวิต ซึ่งผลการศึกษาจะแล้วเสร็จในเดือนกันยายนปี 2556 ทั้งนี้ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2555 เวลา 10.30 น. แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยจะเข้าพบอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทวงยุติธรรม ณ อาคารศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ตึก A ชั้น 8 เพื่อปรึกษาหารือและยื่นหนังสือในประเด็นดังกล่าวข้างต้นอีกด้วย
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
อดีตศิลปินโฆษณาชวนเชื่อเกาหลีเหนือ หันมาผลิตงานล้อเลียนผู้นำ Posted: 27 Nov 2012 02:53 AM PST ซง เบียก อดีตคนวาดภาพโฆษณาชวนเชื่อให้รัฐบาลเกาหลีเหนือ หนีออกจากประเทศจากภาวะข้าวยากหมากแพงซึ่งทำให้ครอบครัวเขาล่มสลาย ล่าสุดเขาหันใช้ฝีแปรงสร้างผลงานแนวล้อเลียน ซึ่งถูกจัดแสดงในสหรัฐฯ
ภาพ My Modern Metropolis ที่มา: http://www.mymodernmet.com/profiles/blogs/north-korean-pop-art-5-pics
ซง เล่าว่าเขาเคยทำงานเป็นคนทำงานให้ทางการเกาหลีเหนือ โดยเขียนโปสเตอร์โฆษณาชวนเชื่อแสดงความยกย่องสรรเสริญผู้นำ คิมจองอิล และคิมอิลซุง โดยมีการนำโปสเตอร์ไปวางตามท้องถนนของเกาหลีเหนือ แต่แล้วในช่วงยุค 1990s ศรัทธาต่อรัฐบาลเกาหลีเหนือของเขาก็ถูกทำลายลง เมื่อเกาหลีเหนือเข้าสู่ภาวะข้าวยากหมากแพง มีประชาชนหลายล้านคนรวมถึงพ่อ แม่ และน้องสาวของ ซง เสียชีวิต "สำหรับผมแล้ว สังคมเกาหลีเหนืออยู่อย่างยากลำบากมาก และผมก็จงรักภักดีกับประเทศตัวเอง ต่อคิมจองอิล ต่อคิมอิลซุง" ซงกล่าว "แต่ไม่ใช่เพียงแค่ความภักดีเท่านั้นที่มีอยู่ ผมยังมีพ่อ มีแม่ มีครอบครัวของผม แต่ดูสิว่าเกิดอะไรขึ้น พ่อของผมเสียชีวิต ครอบครัวต้องระหกระเหิน น้องาสวของผมเสียชีวิตจากความหิวโหย" ซง เล่าต่อว่าจากการที่ต้องหาอาหาร เขาพยายามข้ามพรมแดนมายังจีน ซึ่งพ่อของเขาเสียชีวิตจากอุทกภัย และตัวเขาก็ถูกจับกุมและถูกส่งตัวไปยังค่ายกักกัน "หลังจากผมข้ามพรมแดนไปแล้วก็ถึงได้รู้ว่ามันเป็นช่วงฤดูมรสุม ระดับน้ำสูงมาก แต่ผมต้องไปหาอาหาร ผมกับพ่อจึงไปที่แม่น้ำ แต่นั่นก็ทำให้ผมสูญเสียพ่อไป เขาถูกกระแสน้ำพัดพาไป" ซงเล่า "จากนั้นผมก็ถูกจับไปในค่ายกักกัน ถึงจุดนั้นผมเริ่มตั้งคำถามกับเกาหลีเหนือ ว่าทำไมเกาหลีเหนือถึงทำได้ขนาดนี้ และเริ่มคิดว่าผมจะอยู่ในสังคมแบบนี้ได้อย่างไร" ซงเล่า "ผมจึงตัดสินใจว่าเป้าหมายสุดท้ายคือการหนีจากเกาหลีเหนือ" หลังจากที่เขาถูกปล่อยตัวจากค่ายกักกันในปี 2002 เขาก็หนีไปที่เกาหลีใต้ และที่นั่นเขาก็เริ่มใช้ทักษะด้านศิลปะที่เขามีในการต่อต้านรัฐบาลของประเทศบ้านเกิดตัวเอง นิทรรศการแสดงผลงานล่าสุดของซง บิยอก จัดแสดงที่วูลลี่ แมมมอธ เทียร์เตอร์ ในกรุงวอชิงตันดีซี ซึ่งผลงานมีลักษณะวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลเปด็จการทั่วโลก "ผมไม่ได้มีวิธีการเฉพาะในการวาดผลงานของผม ผมแค่อยากให้คนมองผลงานผมด้วยความสนุกสนาน ทำให้พวกเขาหัวเราะได้เวลาที่เห็นผลงานผม ได้ตั้งคำถามว่าทำไมศิลปินถึงใช้อารมณ์ขันแบบนี้ และผมก็อยากให้ความหวังกับผู้คนที่กำลังสิ้นหวัง" ซงกล่าว "ในงานศิลปะของผม ไม่เพียงแค่อยากแสดงให้เห็นเรื่องราวของเกาหลีเหนือ แต่ต้องการสื่อถึงคนในประเทศที่ยากลำบากเช่นเกาหลีเหนือ ผมอยากนำทางพวกเขา ผมเชื่อว่าผมควรทำในฐานะของศิลปิน" ซงกล่าว
North Korean propaganda artist Song Byeok turns satirist, BBC, 26-11-2012
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ไทยเตรียมแซงอินเดียเป็นแชมป์ส่งออกข้าว หลังมีปริมาณสำรองข้าวสูงระดับโลก Posted: 27 Nov 2012 02:23 AM PST บลูมเบิร์กรายงาน สถาบันวิจัยข้าวระหว่างประเทศ (IRRI) ชี้ประเทศไทยเตรียมแซงอินเดียเป็นประเทศส่งออกข้าวใหญ่ที่สุด ขณะกระทรวงเกษตรสหรัฐคาดราคาข้าวในตลาดโลกปีหน้าจะลดต่ำลงเพราะข้าวล้นตลาด และไทยจะถูกบีบให้ขายต่ำกว่าราคาตลาดโลก จากข้อมูลของสถาบันวิจัยข้าวระหว่างประเทศ (IRRI) ระบุว่าประเทศไทยเตรียมแซงอินเดียในเรื่องการเป็นประเทศส่งออกข้าวใหญ่ที่สุด จากการที่ไทยเร่งขายข้าวจากคลังสินค้าของรัฐ และจะเป็นสถิติสำรองข้าวระดับโลก ซามาเรนดู โมหันธี (Samarendu Mohanty) นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสกล่าวว่า ตลอดปีนี้จนถึงวันที่ 1 ต.ค. ที่ผ่านมา การส่งข้าวของอินเดียน่าจะลดลงมาเหลือ 7 ล้านตัน ขณะที่กระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริกา (USDA) ระบุว่าการส่งออกข้าวหอมบาสมาติเมื่อปีที่แล้วของอินเดียมีปริมาณเพิ่มขึ้น 3 เท่า คิดเป็นจำนวน 10.4 ล้านตัน ขณะที่ข้อมูลจากกรมการค้าระหว่างประเทศระบุว่าประเทศไทยมีแผนที่จะส่งออกข้าวเป็นจำนวน 8.5 ล้านตันในปี 2556 จากที่ในปีนี้ส่งออกข้าว 7.3 ล้านตัน กระทรวงเกษตรสหรัฐ ราคาข้าวน่าจะลดลงในปีหน้า ผลจากไทยสำรองข้าวจำนวนมาก กระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริกา ระบุว่า การเพิ่มขึ้นของปริมาณสำรองข้าวของไทยน่าจะไปเพิ่มการแข่งขันระหว่างประเทศผู้ผลิตข้าวในเอเชีย และไปกดราคาข้าวที่ปีนี้ตลาดชิคาโกขึ้นราคาไปแล้วร้อยละ 1.2 ราคาที่ลดลงของอาหารหลักสำหรับประชากรกว่าครึ่งโลกนี้จะทำให้ราคาอาหารที่องค์การและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ประเมินไว้ลดลงร้อยละ 0.9 ในเดือนตุลาคม จากที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วง 6 เดือนแรก ขณะที่ปริมาณสำรองข้าวในโลกในฤดูกาล 2555 - 2556 จะเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบสิบปี "ประเทศไทยมีทางเลือกไม่มาก แต่จะต้องระบายสต็อกข้าวซึ่งจะทำให้ราคาข้าวลดลง" คอนเซปซัน คาล์ฟ (Concepcion Calpe) นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจาก องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ให้สัมภาษณ์จากกรุงโรม "จะมีการแข่งขันกันมากขึ้นระหว่างประเทศที่ส่งออกข้าวที่มีความสำคัญรองๆ ลงมา อย่างบราซิล รัสเซีย อียิปต์ และออสเตรเลีย ในตลาดส่งออก ซึ่งจะทำให้ราคาข้าวมีแนวโน้มลดลงในปี 2556" ปริมาณสำรองของไทย โมหันธีกล่าวว่า กระทรวงการเกษตรของสหรัฐอเมริกา ประมาณการว่า ปริมาณสำรองข้าวของไทยได้เพิ่มสูงขึ้นเป็น 12.1 ล้านตันในสิ้นฤดูกาล 2555 ถึง 2556 จากปริมาณสำรองข้าวในฤดูกาลที่แล้ว 9.8 ล้านตัน จะทำให้ประเทศไทยถูกบีบให้ขายข้าวที่รับซื้อมาจากเกษตรกรเพื่อให้มีพื้นที่พอสำหรับการเก็บเกี่ยวรอบใหม่ "ปริมาณสำรองข้าวที่สูงจะทำให้ไทยต้องขายข้าวในราคาที่ถูกกว่าราคาตลาดโลก" โมหันตีกล่าว "ตอนนี้ปริมาณข้าวล้นตลาดโลกแล้ว และถ้าประเทศไทยขายข้าวในราคาที่ต่ำก็จะทำให้ราคาในอนาคตต่ำลงไปอีก" บลูมเบิร์กระบุว่า นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ออกนโยบายจำนำข้าวที่ทำให้รายได้ของชาวนาเพิ่มขึ้น ซึ่งชาวนามีส่วนช่วยให้พรรคเพื่อไทยของเธอเอาชนะการเลือกตั้งเมื่อปีก่อน โดยรัฐบาลให้ราคาข้าวเปลือกอยู่ที่ตันละ 15,000 บาท ซึ่งมากกว่าราคาตลาดในประเทศร้อยละ 50 และให้ราคาตันละ 20,000 บาทสำหรับข้าวพันธุ์ที่มีคุณภาพสูงกว่า ข้อมูลของกระทรวงการเกษตรของสหรัฐอเมริการะบุว่า อินเดียจะส่งออกข้าวในปี 2555 - 2556 ที่ 7.25 ล้านตัน และประเทศไทยจะส่งออกข้าว 8 ล้านตัน ขณะที่เวียดนามจะส่งออกข้าว 7 ล้านตัน ทำให้เวียดนามกลายเป็นประเทศส่งออกข้าวใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ในประเทศไทย ราคารับซื้อข้าวขาวหัก 25% ในการซื้อขายแบบรวมค่าขนส่ง (FOB: free-on-board) อยู่ที่ 540 เหรียญสหรัฐต่อตัน ส่วนตลาดในอินเดียอยู่ที่ 385 เหรียญสหรัฐ วีเจย์ เสเธีย (Vijay Setia) ประธานสมาคมรวมผู้ส่งออกข้าวอินเดียกล่าว เขากล่าวด้วยว่าข้าวที่อินเดียส่งออกส่วนใหญ่เป็นข้าวขาวหัก 25% จากข้อมูลของคณะกรรมการการค้าที่ชิคาโก ล่าสุดราคาซื้อขายข้าวล่วงหน้าในเดือนมกราคมเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.8 เป็น 15.045 เหรียญสหรัฐต่อ 100 ปอนด์ เมื่อเวลา 9.25 น. (ของวันที่ 26 พ.ย.) ตามเวลาที่มุมไบ ทั้งนี้เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้วราคาข้าวได้เพิ่มสูงที่สุดในรอบ 3 ปี เป็น 18.37 เหรียญสหรัฐต่อ 100 ปอนด์
ที่มา: แปลจาก Bloomberg News: Thailand to Surpass India as Top Rice Shipper on Stockpiles, By Pratik Parija and Supunnabul Suwannakij on November 26, 2012, Bloomberg Businessweek
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
Past-Present-Future : รวมความคืบหน้า-ตารางนัด คดี 112 - พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ Posted: 27 Nov 2012 12:57 AM PST
ประชาไทนำเสนอตารางข้อมูล-การนัดหมายคดีในชั้นศาลที่เกี่ยวพันกับมาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญา และพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ รวมถึงบางส่วนของคำพิพากษาคดีที่สิ้นสุดแล้วแต่จำเลยยังคงต้องโทษอยู่ในเรือนจำ ซึ่งอาจทำให้เห็นพลวัตร การเปลี่ยนแปลง หรือความแตกต่างในแง่การตีความบริบททางการเมืองบางประการ พร้อมทั้งข้อสังเกตในคดีใบปลิวที่ร้อยเอ็ดและคดีหุ้นตกซึ่งยังไม่เป็นที่รับทราบในทางสาธารณะมากนัก
0000000 คดีที่เพิ่งเสร็จสิ้น
1.คดีใบปลิวร้อยเอ็ด – จำคุก 3 ปี รอลงอาญา บำเพ็ญประโยชน์สาธารณะ 18 ชั่วโมง สัปดาห์ที่ผ่านมา วันที่ 22 พ.ย. มีข่าวคราวความเคลื่อนไหวคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในจังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งโดยปกติแล้ว สื่อมวลชนและผู้สนใจเรื่องนี้มักเข้าไม่ถึงข้อมูลในต่างจังหวัด คดีนี้เป็นอีกคดีที่เป็นหมุดหมายใหม่ที่ดูจะแตกต่างจากเดิมพอควร เนื่องจากจำเลยได้รับการประกันตัว และศาลพิพากษารอลงอาญา คดีดังกล่าวคือคดีของ นายอุทัย (ขอสงวนนามสกุล) มีอาชีพเป็นชาวนา ถูกกล่าวหาว่าขณะที่อยู่ที่เถียงนาได้นำเอกสารเข้าข่ายหมิ่น จำนวน 7-8 หน้า ให้ผู้อื่นอ่าน จำเลยให้การปฏิเสธ เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อราวเดือน กรกฎาคม 2552 ซึ่งเป็นช่วงที่สถานการณ์ทางการเมืองยังคุกรุ่น หลังจากการชุมนุมของ นปช.เพิ่งสลายไปเมื่อเดือนเมษายน โดยเรื่องเริ่มต้นจากการที่กองกำลังอาสาสมัครรักษาดินแดน (อส.) เข้าสอบถามหาต้นตอใบปลิวจากผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ใกล้เคียง และเมื่อผู้ใหญ่บ้านสอบถามลูกบ้าน ก็มีคนนำใบปลิวดังกล่าวมามอบให้และซัดทอดว่าได้มาจากจำเลย โดยจำเลยนำมาจากใต้หลังคาเถียงนาแล้วนำมาให้อ่าน จากนั้นผู้ใหญ่บ้านได้นำเอกสารของกลางไปมอบให้ปลัดอำเภอ และปลัดอำเภอจึงแจ้งผู้บังคับบัญชาก่อนจะเป็นผู้ไปร้องทุกข์กล่าวโทษกับตำรวจ ตำรวจในพื้นที่เบิกความในศาลว่า ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนเรื่องดังกล่าวและส่งเรื่องต่อไปยังคณะ กรรมการพิจารณาคดีหมิ่นระดับภาค ไปจนถึงระดับชาติ ขณะที่ฝ่ายจำเลย ปฏิเสธว่าในวันดังกล่าวไม่ได้อยู่ที่เถียงนา ภรรยาไปงานวันเกิดหลานและตัวจำเลยก็กำลังสีข้าวอยู่ด้านหลัง ไม่ได้อยู่ที่เถียงนา ขณะที่เถียงนาก็มีธงเฉลิมพระเกียรติ มีพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวง พระราชินี อยู่ภายในด้วย นอกจากนี้ในการต่อสู้คดียังมีการรวบรวมรายชื่อของชาวบ้านในหมู่บ้านจำนวน 67 คนลงชื่อเพื่อรับรองความประพฤติของจำเลยว่าไม่เคยมีพฤติกรรมที่กระทบต่อความมั่นคง สิ่งที่น่าสนใจปรากฏอยู่ในคำพิพากษา ศาลระบุว่า 1.จำเลยผิดตามฟ้อง โดยให้เหตุผลหลักๆ ว่า ที่จำเลยนำสืบว่าไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุนั้นไม่มีการนำพยานส่วนอื่นมายืนยัน และพยานโจทก์ก็เบิกความสอดคล้องกัน ประกอบกับผู้ใหญ่บ้านและปลัดอำเภอก็เป็นข้าราชการที่ทำตามหน้าที่ ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลย 2.แต่ไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่าจำเลยเป็นผู้ผลิตใบปลิวดังกล่าว 3.มีการอ้างถึงบริบททางการเมืองในคำพิพากษา โดยระบุว่า ในช่วงเวลานั้นมีความเคลื่อนไหวทางการเมืองของประชาชนหลายกลุ่มที่มีความคิดเห็นแตกต่างกัน จำเลยย่อมได้รับข้อมูลข่าวสารทางการเมืองจากสื่อต่างๆ 4.มีการอ้างถึงความเห็นของคณะกรรมการพิจารณาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ชี้ว่าจำเลยกระทำโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทั้งจำเลยมีความประพฤติเรียบร้อย ประกอบกับไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยมีพฤติการณ์เป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข หรือเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เห็นสมควรให้โอกาสจำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดี 5. ครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งแรกที่มีการตัดสินโทษขั้นนต่ำสุดคือ 3 ปี (โดยปกติเรามักจะเห็นการกำหนดที่ราว 5-6 ปีต่อหนึ่งกรรม) ทำให้สามารถกำหนดให้รอการลงโทษหรือรอลงอาญาได้ โดยกำหนดไว้ที่ 2 ปี ให้คุมความประพฤติจำเลยและให้รายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 4 ครั้ง กระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณะประโยชน์เป็นเวลา 18 ชั่วโมงภายในกำหนด 1 ปี
คดีที่กำลังดำเนินอยู่ 2.คดีโพสต์ข่าวไม่เป็นมงคล ทำหุ้นตก – สืบพยานเสร็จสิ้นแล้ว นัดพร้อม 19 ธ.ค.55 คดีนี้เป็นหนึ่งใน 4 คดีที่เกิดขึ้นในช่วงกลางปี 2552 ซึ่งเป็นช่วงที่มีข่าวลือที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยร่วงกราวรูด จำเลยเป็นโบรกเกอร์ในบริษัทแห่งหนึ่งถูกกล่าวหาว่าโพสต์ในเว็บบอร์ดฟ้าเดียวกันเกี่ยวกับข่าวลือดังกล่าว และถูกฟ้องว่ากระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14(2) ทั้งหมด 2 กรรม แม้จำเลยได้รับการประกันตัวแต่ถูกให้ออกจากงานทันทีหลังถูกจับกุมตัว ประเด็นที่น่าสนใจคือ โดยปกติหลักฐานสำคัญที่มัดตัวผู้กระทำผิดในคดีเกี่ยวกับพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ คือ IP Address แต่กรณีนี้ผู้ดูแลเว็บบอร์ดฟ้าเดียวกันรายหนึ่งยืนยันกับผู้สื่อข่าวว่าไม่มีการนำส่ง IP Address ของสมาชิกที่โพสต์ในบอร์ดให้กับเจ้าหน้าที่ ประกอบกับเว็บนี้มี server อยู่ต่างประเทศทำให้เชื่อได้ว่ากรณีนี้เจ้าหน้าที่ไม่ได้หลักฐานความเชื่อมโยงจาก IP Address ในการสืบพยาน เจ้าหน้าที่จากไอซีทีระบุว่า ทราบว่าผู้กระทำผิดใช้อีเมล์อะไรจาก "หน่วยงานลับด้านความมั่นคง" โดยระบุเชื่อมโยงว่าคือ "สำนักข่าวกรอง" "สภาความมั่นคง" จากนั้นได้ส่งอีเมล์หลอกล่อไปยังอีเมล์ดังกล่าวเมื่อผู้รับปลายทาง คลิ๊กลิงก์ดูก็จะทราบไอพี IP Address ของผู้รับทันที เช่นเดียวกับกรณีของสมยศ พฤกษาเกษมสุข ซึ่งศาลนัดวันที่ 19 ธ.ค.เพื่อฟังคำวินิจฉัยของศาลธรรมนูญเช่นกัน และคำวินิจฉัยก็ปรากฏในเว็บไซต์ศาลแล้ว จึงมีความเป็นไปได้ว่า วันที่ 19 ธ.ค.นี้อาจได้ฟังคำพิพากษาคดีของสมยศอีกคดีหนึ่ง
*นำเสนอเฉพาะ 1.ข้อมูลคดีที่อยู่ในชั้นพิจารณาคดีเท่านั้น ไม่รวมคดีในชั้นสอบสวนและชั้นอัยการ 2.ข้อมูลคดีที่สิ้นสุดไปแล้วแต่ผู้ต้องขังยังอยู่ในเรือนจำ 3.เป็นข้อมูลเท่าที่กองบก.จะสามารถเข้าถึงได้ ส่วนหนึ่งนำมาจากเว็บ **คำพิพากษาที่คัดลอกมานั้นบางส่วนนำมาจากเอกสารชั้นต้นซึ่งได้รับจากทนายจำเลย บางส่วนนำมาจากเว็บไซต์ศาลอาญา บางส่วนนำมาจากเว็บศูนย์ข้อมูลกฎหมายและคดีเสรีภาพ
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ศาสวัต บุญศรี: สื่อและการตรวจสอบบทบาทของ “กรรมการสิทธิมนุษยชน” Posted: 27 Nov 2012 12:32 AM PST เหตุการณ์ต่อเนื่องจากการใช้แก๊สน้ำตาเพื่อหยุดการเคลื่อนผู้ชุมนุมกลุ่มพิทักษ์สยามไม่ให้ผ่านสะพานมัฆวานของเจ้าหน้าที่ตำรวจในเช้าวันเสาร์ที่ 24 พฤศิกายน 2555 นั้น มีกลุ่มคนหลากหลายออกมาวิพากษ์วิจารณ์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งในทำนองตำรวจทำถูกต้องแล้วและเป็นลักษณะ "เกินกว่าเหตุ" แน่นอนไม่ต้องเดาว่าฝ่ายไหนพูดอย่างไร เอาเป็นว่าการใช้แก๊สน้ำตาครั้งนี้ถูกด่าขรมว่าไม่เป็นไปตามลำดับขั้นตอนการสลายการชุมนุมที่สากลโลกพึงกระทำ องค์กรที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นทางการอย่างคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (ต่อไปขอใช้โดยสั้นว่า กรรมการสิทธิฯ) ได้ออกมาติงการออกคำสั่งแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจในเหตุการณ์เช้าวันนั้นว่าใช้แก๊สน้ำตาเร็วไปหรือไม่ พร้อมแนะให้ใช้รถกระจายเสียงที่มีกำลังขับความดังที่มากกว่านี้เพื่อจะได้ส่งสารไปยังผู้ชุมนุมได้ชัดเจนยิ่งขึ้น และจะมีการประชุมกรรมการสิทธิฯ ต่อกรณีนี้ในวันพุธที่ 28 พฤศจิกายน (อ่านข่าวเต็ม ๆ ได้ที่ http://www.thairath.co.th/content/pol/308995) ข่าวนี้สร้างความไม่พอใจให้แก่ฝ่ายผู้สนับสนุนรัฐบาลไม่น้อย มีการกล่าวเสียดสีแดกดันพบเห็นได้ตามหน้าเฟซบุ๊คว่ากรรมการสิทธิฯ มีสองมาตรฐาน การชุมนุมของฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลเพื่อไทยมักได้รับการจับตาและพร้อมเป็นปากเสียงให้เสมอ ในทางกลับกันการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือ นปช. เมื่อพฤษภาคม 2553 กลับได้รับการเพิกเฉย ทั้ง ๆ ที่มีผู้เสียชีวิตจากกระสุนจริงปลิดชีพถึง 98 ชีวิต) หากเมื่อเทียบระดับความรุนแรง จำนวนผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตแล้ว เหตุการณ์ปี 2553 ถือเป็นเหตุการณ์น่าสะพรึงกลัวที่มีการสังหารกันกลางกรุง ทว่ากรรมการสิทธิฯ แทบไม่ออกปากวิพากษ์วิจารณ์ผู้สั่งการเลยแม้แต่น้อย ผู้ติดตามการเมืองหลายคนตั้งคำถามต่อกรรมการสิทธิฯ ถึงบรรทัดฐานในการพิจารณาเหตุการณ์ต่าง ๆ ว่าสิ่งใดคือการละเมิดหรือไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชนบ้าง รวมถึงบทบาทในการออกมาพูดต่อสาธารณะ เพราะดูหลายครั้งหลายเหตุการณ์ที่ชาวบ้านผู้ติดตามการเมืองมองเห็นว่านี่เป็นการละเมิดสิทธิของประชาชน (โดยเฉพาะในทางการเมือง) กรรมการสิทธิฯ ก็ดูนิ่งเฉยจนไม่รู้แน่ว่าบทบาทเหล่านี้ควรมีตอนไหนอย่างไร เท่าที่ผมติดตามอ่านข่าวทุกวี่ทุกวัน ได้คุยกับนักข่าวที่รู้จัก เราก็มักมีการพูดถึงกรรมการสิทธิ์ฯ ในแง่การตั้งคำถามต่อหน้าที่ บทบาท (และโดยมากมักทำกันแบบเล่น ๆ ด้วยลีลาแดกดันประชดประชัน) แต่โดยจริง ๆ แล้วยังไม่มีการสำรวจ ตรวจสอบ การทำงานของบุคคลกลุ่มนี้อย่างจริงจัง โดยลักษณะองค์กร กรรมการสิทธิฯ ก็มีหน้าที่ไม่ต่างจาก Watchmen ที่คอยเฝ้าดูความไม่เป็นธรรมในสังคม แล้วทำหน้าที่เป็นตัวแทนประชาชนในการยื่นฟ้องหรือเรียกร้องรักษาสิทธิอันถูกละเมิด ทว่าตัว Watchmen เองก็ต้องถูกตรวจสอบได้เช่นกัน มิฉะนั้นแล้วอำนาจที่มีอยู่ในมือ หากถูกใช้อย่างบิดเบือน ก็รังแต่จะสร้างปัญหาตามมา ตัวสื่อมวลชนเองน่าจะเป็นกลุ่มองค์กรที่เหมาะสมที่สุดในการตรวจสอบการทำงานของกรรมการสิทธิฯ อย่างจริงจัง คำถามที่พึงถามเพื่อความกระจ่างคือ บรรทัดฐานใดที่กรรมการสิทธิฯ ใช้เป็นเครื่องมือในการวัดสถานการณ์ว่าเรื่องใด "ละเมิด" หรือ "ไม่ละเมิด" เพราะตอนนี้ดูการวัดน้ำหนักชั่งตวงดูไม่มีเกณฑ์กลางหรือหลายครั้งก็ไม่ตรงกับความรู้สึก หากมีการทักท้วงหรือตรวจสอบจากสื่อมวลชนบ่อยครั้งต่อมาตรฐาน ย่อมส่งผลให้ถูกจับตามองโดยสังคมอย่างสม่ำเสมอ สืบเนื่องจากบรรทัดฐาน บทบาทในการพูดต่อสาธารณะต้องเป็นสิ่งที่สื่อจับตามองและวิเคราะห์วิพากษ์อย่างแข็งขัน โดยเฉพาะกรณีที่รุนแรงแต่ไม่พูด (หรือแสร้งปิดตาไม่รู้ไม่เห็น) เพราะการแถลงต่อสาธารณะของกรรมการสิทธิฯ นั้นต้องมีลักษณะที่เท่าเทียม ไม่เลือกปฏิบัติในทำนองคนกลุ่มหนึ่งถูกปฏิบัติถูกละเมิดไม่เป็นไร แต่คนอีกกลุ่มหนึ่งโดยกระทำแล้วเต้นเร่าออกมาเป็นปากเสียงแทนทันที ที่ผ่านมาการทำงานของกรรมการสิทธิฯ ช่างน่าสงสัยยิ่งต่อการเป็นกลาง และมองเหตุการณ์โดยไม่ใช้อคติเป็นสำคัญ หากกรรมการสิทธิฯ ยังปฏิบัติงานโดยขาดการตรวจสอบอย่างจริงจัง แถมหลาย ๆ ครั้งยังคล้ายกับมีอคติเป็นตัวนำในการเลือกปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติ เพียงเพราะไม่เกรงกลัว โดยถือตนเป็นองค์กรอิสระ เชื่อได้ว่าในระยะอันใกล้กรรมการสิทธิฯ ย่อมเผชิญกับวิกฤติศรัทธายิ่งกว่าทุกวันนี้เป็นแน่ ดังนั้นเป็นการดีที่สังคมโดยเฉพาะสื่อมวลชนจะต้องจับจ้อง จับตามอง ตั้งคำถามต่อการทำงานของกรรมการสิทธิฯ อย่างเข้มข้น ผมเองเชื่อมั่นสื่อมวลชนในการเเป็นธงนำสำหรับเรื่องนี้ และคาดว่าเราจะได้เห็นองค์กรอิสระองค์กรนี้ที่โปร่งใสมากขึ้น ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
You are subscribed to email updates from ประชาไท To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น