โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

ความผิดฐาน “เซฟรูป”: เหตุที่เราควรบัญญัติ “ข้อยกเว้นในการละเมิดลิขสิทธิ์” ให้ชัดเจน

Posted: 23 Nov 2012 08:37 AM PST

ในยุคดิจิตัลที่ "การทำซ้ำ" สื่อต่างๆ เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของผู้คน มันก็มีข้อถกเถียงขึ้นบ่อยครั้งว่าสิ่งที่เราเห็นหรือทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั้นจริงๆ เป็นเรื่องละเมิดลิขสิทธิ์หรือไม่? ซึ่งในหลายๆ ครั้งตัวบทกฎหมายที่ตามเทคโนโลยีไม่ค่อยทันก็ดูจะไม่มีคำตอบชัดเจนสักเท่าใดว่ากิจกรรมต่างๆ ที่ผู้คนทำกันเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์หรือไม่ เช่น เอาจริงๆ ตามตัวบทกฎหมายส่วนใหญ่ในโลกมันก็ไม่มีความชัดเจนด้วยซ้ำว่า งานขียน" ในรูปแบบใหม่ๆ อย่างการอัพเดทสเตตัสบน Facebook หรือการทวีตบนเว็บ Twitter นั้นเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์หรือไม่ด้วยซ้ำ2

อันที่จริงการกระทำทั้งหมดที่ไม่มีข้อยกเว้นที่ชัดเจนในกฎหมายลิขสิทธิ์นั้นถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ได้ทั้งหมด ซึ่งในทางปฏิบัติคือถูกฟ้องได้ทั้งนั้น ในแง่นี้แม้แต่ผู้กดการแชร์รูปบนเฟซบุ๊คโดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างชัดเจนจากเจ้าของภาพก็ดูจะไม่ใช่สิ่งที่กฎหมายรับประกันว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องตามกฏหมายลิขสิทธิ์ชัดเจน (ในกรณีกฎหมายไทย)3 ซึ่งในทางกลับกัน "การผลิตซ้ำ" ข้อความและภาพแบบเดียวกันภายใต้ระบบของทาง Facebook เองนั้นกลับเป็นสิ่งที่ไม่ละเมิดลิขสิทธิ์เพราะเราได้ "ยินยอม" กับ "เงื่อนไขการใช้" ของ Facebook เมื่อแรกที่เราลงทะเบียนใช้แล้ว กล่าวคือเราได้ลงนามในสัญญาอนุญาตให้ Facebook ทำการผลิตซ้ำสิ่งต่างๆ ที่เราป้อนไปใน Facebook แล้วไม่ว่าจะเป็นภาพหรือข้อความ4 ซึ่งบรรดาเว็บที่ผู้ใช้สามารถอัฟโหลดเนื้อหาเข้าไปได้ก็มักจะมี "เงื่อนไขการใช้" ให้เรา "ยินยอม" ได้คล้ายๆ กัน

แน่นอนว่าโดยทั่วไปก็คงยังไม่มีใครจะกล้าบ้าจี้ไปฟ้องว่าการแชร์รูปหรือแชร์สเตตัสบน Facebook นั้นเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ให้ศาลลองตีความเล่นไม่ว่าจะที่ไหน อย่างไรก็ดีการไม่มีคนฟ้องก็ไม่ได้หมายความว่าสักวันจะไม่มีใครฟ้อง เพราะกระแสการฟ้องร้องลิขสิทธิ์ทั้งหลายมันก็เกิดจากการบังคับใช้กฎหมายที่มีมานานแล้วในยามที่เจ้าของลิขสิทธิ์เห็นว่าการบังคับใช้จะเป็นประโยชน์ต่อตนทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกิจกรรมการผลิตซ้ำหนึ่งๆ เริ่มมีมูลค่าทางเศรษฐกิจขึ้นมา สิ่งที่เคยปฏิบัติกันเป็นปกติสามารถจะเป็นสิ่งที่ "ละเมิดลิขสิทธิ์" ไปได้ชั่วข้ามคืนเพียงการฟ้องครั้งเดียว และการอ้างว่ากิจกรรมหนึ่งเป็นสิ่งที่ปฏิบัติกันมาอย่างยาวนานก็ใช่จะมีน้ำหนักต่อคำตัดสินของศาล เช่นที่ผู้เขียนเคยเขียนถึงชัยชนะของการฟ้องร้องที่ทำให้การแซมปลิงแบบดั้งเดิมหายไปจากดนตรีฮิปฮอปในอเมริกา หรือทำให้การแซมปลิงโดยไม่จำเป็นต้องขออนุญาติที่ปฏิบัติกันมาเป็นเวลานานได้กลายเป็นสิ่งผิดกฎหมาย5

ผู้เขียนอยากจะเน้นว่าความเข้าใจผิดอย่างหนึ่งของการตีความกฎหมายลิขสิทธิ์ของบุคคลทั่วไปก็คือการพยายามดูการละเมิดลิขสิทธิ์ แล้วตีความว่าถ้าไม่พบว่ากิจกรรมหนึ่งๆ ถูกระบุว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์อย่างชัดเจนก็หมายความว่าเราสามารถจะกระทำการกระทำนั้นได้โดยไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ หรือไม่ต้องมาหวาดระแวงการดำเนินคดีตามกฎหมายใดๆ นี่เป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะสิ่งที่จะรอดจากการฟ้องละเมิดลิขสิทธิ์ได้อย่างชัดเจนก็คือสิ่งที่ระบุไว้ในกฎหมายอย่างชัดเจนเท่านั้นว่าเป็นการไม่ละเมิดลิขสิทธิ์

นี่เป็นหลักปฏิบัติทั่วไปในการดำเนินคดีลิขสิทธิ์ทั่วโลก ซึ่งการมีสิทธิ์โดนฟ้องก็ไม่ได้หมายความว่าเรามีความผิดทันที เพราะเราอาจสู้คดีจนพิสูจน์ว่าเราบริสุทธิ์ได้ และระหว่างการพิจารณาคดีเราก็ยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ตามหลักการ "บริสุทธิ์จนกว่าจะถูกพิสูจน์ว่ามีความผิด" (innocent until proven guilty) ตามกระบวนการดำเนินคดีของอารยประเทศทั่วไป อย่างไรก็ดีไม่ว่าท้ายที่สุดเราจะยังบริสุทธิ์หรือไม่ การสู้คดีลิขสิทธิ์ก็หมายความถึงการที่เราต้องเอาเงินมหาศาลในระดับที่จะทำเราล้มละลายไปสู้คดีในชั้นศาลที่โดยทั่วไปแล้วถึงชนะก็ไม่สามารถฟ้องกลับเพื่อชดเชยค่าทนายไม่ได้ และนั่นก็เป็นการเปิดโอกาสให้กระบวนการไล่ฟ้องผู้คนเพื่อเอาค่ายอมความเกิดขึ้น ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่บรรดานักกิจกรรมด้านลิขสิทธิ์เรียกว่าการเกรียนลิขสิทธิ์ (Copyright Trolling)6

กล่าวอีกแบบคือกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาในโลกนี้เปิดโอกาสให้เกิดการเกรียนลิขสิทธิ์ได้อย่างมหาศาล และที่เรายังไม่โดนเกรียน ก็เพราะเจ้าของลิขสิทธิ์นั้นปราณีเราอยู่ การเกรียนที่ว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ในประเทศที่กฎหมายลิขสิทธิ์ละเอียดยิบอย่างอเมริกาด้วยซ้ำ กล่าวคือถึงกฎหมายจะระบุสิทธิผู้ใช้งานอันมีลิขสิทธิ์ละเอียดเพียงใด แต่เจ้าของลิขสิทธิ์ก็มีสิทธิ์หาช่องฟ้องได้ถ้ากฎหมายไม่ระบุสิทธิของผู้ใช้งานอันมีลิขสิทธิ์ในเรื่องนั้น สำหรับในกรณีของไทยที่กฎหมายลิขสิทธิ์ทั้งฉบับมีความยาวไม่น่าจะถึง 1 ใน 10 ของกฎหมายลิขสิทธิ์อเมริกาด้วยซ้ำ (หรืออาจจะ 1 ใน 50 หรือมากกว่านั้นเพราะกฎหมายลิขสิทธิ์อเมริกายาวยืดและละเอียดมากๆ) การระบุ "ข้อยกเว้นในการละเมิดลิขสิทธิ์" ในกฎหมายไทยนั้นทั้งสั้นและคลุมเครือมากเกินกว่าจะเป็นหลักประกันที่มั่นคงใดๆ ให้ผู้ใช้งานอันมีลิขสิทธิ์ทั้งหลายไม่โดนฟ้องร้องได้

เพราะสุดท้าย เอาจริงๆ แล้วแม้แต่เรื่องธรรมดาอย่างการเซฟรูปที่เราพบเจอในอินเทอร์เน็ตมาไว้ในคอมพิวเตอร์ของเรานั้นก็อาจไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมายด้วยซ้ำ นั่นหมายความว่าเราสามารถฟ้องได้ทุกเมื่อ นี่อาจเป็นเรื่องที่ฟังดูงี่เง่าไม่น่าจะเกิดขึ้นจริง แต่ถ้าลองมองเปรียบเทียบกันดูแล้ว การเซฟรูปเข้ามาในคอมพิวเตอร์นั้นก็คือการ "ทำซ้ำ" รูปอันมีลิขสิทธิ์เข้ามาในคอมพิวเตอร์เราซึ่งการ "ทำซ้ำ" นี่โดยทั่วไปก็ถือว่าเป็นสิทธิ์ที่เจ้าของลิขสิทธิ์ทำได้แต่เพียงผู้เดียวแน่ๆ อย่างไรก็ดีเราอาจบอกว่านี่เป็น "การใช้เพื่อประโยชน์ตนเอง" ก็ได้ตามมาตรา 32 วรรค 2 ของ พรบ. ลิขสิทธิ์ 2537 ก็ได้ และนักกฎหมายที่มองโลกในแง่ดีก็อาจยืนยันเช่นนั้น7

แต่ปัญหาคือถ้าเราเปลี่ยนจากการเซฟรูปเป็นการเซฟเพลง หรือเซฟหนังลงในความพิวเตอร์แล้วสิ่งเหล่านี้กลับมีการดำเนินคดีกันกระหน่ำทั่วโลก ดังนั้นถ้าการเซฟเพลง หนัง หรือโปรแกรมลงคอมพิวเตอร์นั้นเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์แล้ว การเซฟรูปลงคอมพิวเตอร์ก็น่าจะเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย และในกฎหมายไทยนี่ก็น่าจะจัดเป็นความผิดทางอาญาเสียด้วย (กฎหมายไทยไม่มีการแยกแบบกฎหมายหลายๆ ประเทศว่าการละเมิดลิขสิทธิ่ที่ไม่ได้เป็นเพื่อการค้าเป็นความผิดทางแพ่งเท่านั้น ส่วนการละเมิดลิขสิทธิ์ที่เป็นไปเพื่อการค้าเป็นความผิดทั้งทางแพ่งและอาญา) อย่างน้อยๆ ในกฎหมายลิขสิทธิ์ไทยก็ไม่มีการบัญญัติที่ชัดเจนใดๆ ที่จะแยกการเซฟรูปออกจากการ "โหลดหนัง" "โหลดเพลง" และ "โหลดโปรแกรม" ออกจากกัน

คนจำนวนมากเข้าใจผิดว่าเจ้าของรูปที่เราไปเจอบนอินเทอร์เน็ตและเซฟมาไว้ในคอมพิวเตอร์ของเราไม่สามารถจะเอาความได้ ในความเป็นจริงการไม่ดำเนินคดีในรูปแบบนี้ดูจะเกิดจากเหตุผลว่ามันเป็นสิ่งที่ตรวจจับได้ยาก (อย่างน้อยก็สำหรับเทคโนโลยีในตอนนี้) และความไม่คุ้มค่าในการดำเนินคดีไปเท่านั้นเอง ถ้าจะร้องฟ้องจริงๆ การเซฟรูปลงคอมพิวเตอร์ก็อาจมีความผิดได้ไม่แพ้การโหลดเพลงหนึ่งเพลง หนังหนึ่งเรื่อง โปรแกรมหนึ่งโปรแกรมได้

การอัฟโหลดรูปภาพที่เราไม่ได้สร้างขึ้นเองลงบน Facebook ถ้าไม่อยู่บนข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์ (เช่นการวิจารณ์และเสนอข่าว ตาม พรบ. ลิขสิทธิ์ 2537 วรรคที่ 3 และ 4)8 นั้นดูจะเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์เช่นกันถ้าเราไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์แม้ว่าเราจะใส่ "เครดิต" ก็ตาม ดังนั้นการใส่เครดิตหรือไม่มันดูจะเป็นเรื่องของการมี/ไม่มีมารยาทในการสื่อสาร มากกว่าจะเป็นเรื่องละเมิด/ ไม่ละเมิดลิขสิทธิ์9 ดังนั้นการกล่าวถึงการโพสต์รูปแบบไม่ใส่เครดิตกับการพูดถึงการละเมิดลิขสิทธิ์จึงเป็นการเอาประเด็นเรื่องความถูกต้องตามมารยาทกับเรื่องความถูกต้องตามกฎหมายมาปนกัน ซึ่งสิ่งที่การใส่เครดิตทำก็คงจะเป็นการขอความกรุณาต่อเจ้าของลิขสิทธิ์ว่าอย่าฟ้องเลยมากกว่าจะเป็นหลักประกันว่าจะทำให้ไม่โดนฟ้อง เพราะก็อย่างที่ย้ำตลอดบทความว่าถ้าไม่มีการระบุชัดเจนว่ากิจกรรมหนึ่งๆ ไม่ใช่การละเมิดลิขสิทธิ์ โอกาสที่จะโดนฟ้องก็มีเสมอ ซึ่งถ้าลองเปลี่ยนจากการเผยแพร่รูปภาพโดยใส่เครติดว่านี่เป็นภาพของใคร ไปเป็นการเผยแพร่เพลงโดยใส่เครดิตว่านี่เป็นเพลงของใครแทน เราก็จะพบว่าบรรดาเจ้าของลิขสิทธิ์งานดนตรีก็ไม่ได้ใจดีแบบบรรดาเจ้าของลิขสิทธิ์ภาพ ซึ่งนี่ก็ไม่ต้องพูดถึงบรรดาเจ้าของภาพยนตร์

ผู้เขียนขอปิดท้ายบทความเหตุผลที่กฎหมายลิขสิทธิ์ไทยนั้นจัดว่าแย่ในระดับ Top 5 ของโลกตามการจัดอันดับของ Consumer International10 เหตุก็เพราะขอบเขตของข้อยกเว้นในการละเมิดลิขสิทธิ์ที่แคบ และความคลุมเครือของตัวบทที่ส่งผลให้บรรดาผู้ใช้งานอันมีลิขสิทธิ์ไม่มีความชัดเจนในสิทธิอันชอบด้วยกฎหมายของตน11 และความหวังว่าชีวิตในระบอบลิขสิทธิ์ของเราจะไม่อยู่ใต้ความปราณีของเจ้าของลิขสิทธิ์จนเกินไปก็ดูจะอยู่ใน พรบ. ลิขสิทธิ์ฉบับใหม่ที่กำลังอยู่ในสภาตอนนี้นั่นเองว่าจะระบุบรรดาข้อยกเว้นให้เพิ่มชัดเจนขึ้นแค่ไหน? อย่างไร?12 อย่างไรก็ดีจากข้อมูลเกี่ยวกับ พรบ. ฉบับนี้ที่จะมีการรับรองสถานะทางกฎหมายของบรรดาการบริหารลิขสิทธิ์ดิจิตัล (digital right management) ไปจนถึงข่าวสารเกี่ยวกับเทคโนโลยีด้านการสอดส่องที่พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องในโลกแล้ว การที่จะมีคนโดนฟ้องเพียงเพราะการเซฟภาพลงในเครื่องก็คงจะออกห่างจากการเป็นเพียงเรื่องบ้าๆ บอๆ และเข้าไปใกล้ความจริงขึ้นเรื่อยๆ

หมายเหตุ:

  1. 1 บทความชิ้นนี้ไม่ได้จะกล่าวถึงกรณีของการฟ้องร้องกันบนฐานของการเซฟรูป แต่มุ่งจะชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของการใช้กฎหมายลิขสิทธิ์ที่เป็นอยู่ในการดำเนินคดีในรูปแบบที่ปรากฏทั่วไป ซึ่งผู้เขียนก็ย้ำตลอดบทความว่าไม่มีผู้ใดจะปลอดภัยจากการฟ้องใน "เรื่องบ้าๆ บอๆ" เหล่านี้ ตราบที่กฎหมายยังไม่มีความชัดเจนว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ถูกกฎหมาย ทั้งนี้ผู้เขียนไม่ใช่นักกฎหมาย แต่ศึกษาประเด็นเรื่องลิขสิทธิ์มาอย่างต่อเนื่องและตรวจสอบความเข้าใจกับเหล่ามิตรสหายที่เป็นนักกฎหมายมาตลอด หากข้อมูลใดในงานชิ้นนี้ผิดพลาดประการใด ผู้เขียนก็ยินดีจะนำข้อมูลไปพัฒนางานต่อๆ ไป
  2. 2 ประเด็นนี้เป็นปัญหาที่ใหญ่กว่างานชิ้นนี้ มีผู้คนจำนวนมากยืนยันว่า "งานเขียน" ทั้งสองรูปแบบน่าจะถือว่าเป็น "วรรณกรรม" ภายใต้กฎหมายลิขสิทธิ์ได้ คำถามของผู้เขียนคือ ถ้านับข้อเขียนสั้นๆ เหล่านี้เป็นงานอันมีลิขสิทธิ์แล้วมันจะไม่วุ่นวายหรือ เพราะถ้าข้อความหนึ่งๆ จัดว่าเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์แล้ว ข้อความที่เหมือนกันหรือคล้ายกันก็น่าจะจัดเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ได้ทั้งหมด? ใครจะถือเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ของถ้อยคำเหล่านี้ คนที่โพสต์ถ้อยคำหรือวลีคนแรกลงบนอินเทอร์เน็ตหรือ? เราจะถือว่าข้อความเหล่านี้มีความเป็นต้นตำรับ (originality) ได้อย่างไร? หรือถ้าเราจะแยกว่าพวกวลีสั้นๆ ไม่นับเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ ส่วนการโพสต์ยาวๆ น่าจะเป็น คำถามคือต้องโพสต์ยาวแค่ไหนถึงจะเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์? นี่เป็นความวุ่นวายที่เกิดจากการใช้กฎหมายลิขสิทธิ์ที่มันถูกออกแบบมาเพื่อวางระเบียบทางเศรษฐกิจให้ "สิ่งพิมพ์" แบบเก่าในยุคที่คนมีแท่นพิมพ์เท่านั้นถึงจะสร้างสิ่งพิมพ์ออกมาได้มาใช้กับ "สิ่งพิมพ์" ในยุคที่ใครก็ "พิมพ์" โพสต์ หรือเผยแพร่ข้อเขียนของตัวเองได้เพียงมีคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต

    ทั้งนี้ประเด็นที่น่าสนใจคือลองเปรียบเทียบกันแล้วกฎหมายไทยให้ความสำคัญกับความเป็นต้นตำรับ (originality) น้อยมาก หรือเอาจริงๆ แล้วคำๆ นี้ไม่มีในระบบกฎหมายไทยด้วยซ้ำ แต่ในขณะที่ความเป็นต้นตำรับที่ว่าเป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะทำให้งานชิ้นหนึ่งๆ มีลิขสิทธิ์ได้ตามมาตรฐานของกฎหมายลิขสิทธิ์ในโลกตะวันตก ดู พรบ. ลิขสิทธิ์ 2537 ของไทย มาตรา 6 "งานอันมีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัตินี้ ได้แก่งานสร้างสรรค์ประเภทวรรณกรรม นาฏกรรม ศิลปกรรม ดนตรีกรรม โสตทัศนวัสดุ ภาพยนตร์ สิ่งบันทึกเสียง งานแพร่เสียงแพร่ภาพ หรืองานอื่นใดในแผนกวรรณคดี แผนกวิทยาศาสตร์ หรือแผนกศิลปะ ของผู้สร้างสรรค์ไม่ว่างานดังกล่าวจะแสดงออกโดยวิธีหรือรูปแบบอย่างใด" เทียบกับประมวลกฎหมายอเมริกาที่เขียนในส่วนลิขสิทธิ์ 17 USC § 102 (a) ว่า " Copyright protection subsists, in accordance with this title, in original works of authorship..." (ขีดเส้นใต้และเน้นโดยผู้เขียน) น่าสนใจว่านี่หมายความว่าการไม่ให้ความสำคัญกับความเป็นต้นตำรับนั้นฝั่งรากอยู่ในแนวคิดด้านทรัพย์สินทางปัญญาของไทยหรือไม่? ซึ่งการตอบคำถามนี้ก็คงจะเลยขอบเขตงานชิ้นนี้ไปมาก
  3. 3 ผู้เขียนได้บังเอิญได้อ่านความเห็นใน "ดรามา" "น้ำใจแอดมิน"ของทางเว็บดรามาแอดดิคแล้วพบข้อมูลใน "ดรามา" ที่น่าสนใจจำนวนมาก (เกี่ยวกับความเข้าใจผิดเกี่ยวกับกฎหมายลิขสิทธิ์ของคนไทย) ซึ่งผู้เขียนก็คงจะกล่าวได้ไม่หมด จริงขอแสดงความเป็นบางประเด็นมา ณ ที่นี้ ดู http://drama-addict.com/2012/11/22/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B9%83%E0%B8%88%E0%B9%81%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99/
  4. 4 ดู ข้อ 2.1ใน Statement of Rights and Responsibilities ของ Facebook ที่ ttps://www.facebook.com/legal/terms
  5. 5 ดู http://prachatai.com/journal/2012/06/40935
  6. 6 ในอเมริกาอุตสาหกรรมที่ทำอย่างแข็งขันมากก็คืออุตสาหกรรมบันทึกเสียง กับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ แม้ว่าหลังๆ อุตสากรรมหนังโป๊ หนังสือ และซอฟต์แวร์ก็ทำอย่างแข็งขัน ส่วนในไทยปรากฎการณ์ที่เทียบเคียงกันได้ก็คือการขู่จะฟ้องของพวกผู้เก็บค่าลิขสิทธิ์การแสดงดนตรีในที่สาธารณะเพื่อจะเอาค่ายอมความกับพวกร้านอาหารและร้านกาแฟ ไปจนถึงการเกรียนลิขสิทธิ์ของเสื้อผ้ายี่ห้อใหญ่บางยี่ห้อที่ขู่จะฟ้องเพื่อจะเรียกค่ายอมความกับร้านเล็กๆ เช่นกันในข้อหาละเมิดลิขสิทธิ์แบบหรือลายเสื้อผ้า
  7. 7 ตรงนี้อาจถกเถียงได้ว่า "การใช้เพื่อประโยชน์ตนเอง" จะไม่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ "หากไม่ขัดต่อการแสวงหาประโยชน์จากงานอันมีลิขสิทธิ์ตามปกติของเจ้าของลิขสิทธิ์และไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิอันชอบด้วยกฎหมายของเจ้าของลิขสิทธิ์เกินสมควร" ตามมาตรา 32 อย่างไรก็ดีโอกาสที่จะถูกฟ้องของเราก็มีได้เสมอเพราะเจ้าของลิขสิทธิ์ก็มีสิทธิ์อ้างว่าการเซฟรูปของเรากระทบสิทธิของเขา "เกินสมควร" ได้เสมอ และจากการสอบถามมิตรสหายนักกฎหมายของผู้เขียนก็ได้รับการยืนยันในทำนองเดียวกันว่าการฟ้องร้องดังกล่าวเป็นสิ่งที่ทำได้จริงในทางกฎหมาย โดยเฉพาะในกรณีของรูปที่มีต้นทุนทางการผลิตสูง (ซึ่งก็อาจเป็นทั้งค่ากล้อง ค่าถ่ายทำ ค่าจ้างนาง/นายแบบ ฯลฯ ก็ได้) ที่จะทำให้ความเสียหายทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการ "ทำซ้ำ" ของเรามีความชัดเจนขึ้น

    แน่นอนว่ารูปจำนวนมากเจ้าของลิขสิทธิ์จงใจจะเผยแพร่เองสู่สาธารณะซึ่งเข้าของรูปเหล่านี้ก็ดูจะไม่มีสิทธิที่หนักแน่นเท่าไรในการดำเนินการฟ้องละเมิดลิขสิทธิ์กับผู้ที่ "ทำซ้ำ" สิ่งที่พวกเขาเอามาเผยแพร่เอง ปัญหาคือรูปจำนวนมากบนอินเทอร์เน็ตนั้นก็ถูกเผยแพร่บนอินเทอร์เน็ตโดยที่เจ้าของลิขสิทธิ์ไม่ได้เห็นชอบ (หรือกระทั่งไม่รู้ตัว) ซึ่งผลคือการทำซ้ำรูปเหล่านั้นก็มีความเสี่ยงที่จะโดนฟ้องละเมิดลิขสิทธิ์ได้ น่าสนใจว่าปัญหาการ "ละเมิดลิขสิทธิ์อย่างไม่ได้ตั้งใจ" ในแบบนี้ก็อาจรวมไปถึงการคลิก "Share" รูปละเมิดลิขสิทธิ์บน Facebook ได้เช่นกัน นี่อาจเป็นเรื่องที่ฟังดูเลยเถิดแต่ก็ดังที่ผู้เขียนยืนยันมาตลอดบทความนี้ กิจกรรมธรรมดาที่เราอาจทำทุกวันอย่าง Share รูปก็อาจทำให้เราโดนฟ้องได้ตราบใดที่กฎหมายไม่ระบุข้อยกเว้นในการละเมิดลิขสิทธิ์ชัดเจนสำหรับการกระทำดังกล่าว
  8. 8 ซึ่งตามมาตรฐานกฎหมายลิขสิทธิ์ก็คงจะอ้างไม่ได้ เพราะนี่เป็นการนำเสนองานทั้งชิ้นที่ไม่มีการตัดทอนอะไรต่อสาธารณะ กล่าวอีกแบบคือการโพสต์รูปที่ตนเองไม่ได้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ลงบน Facebook ก็ดูจะไม่ได้ต่างจากการโพสต์อัลบั้มที่ตนเองเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ให้คนโหลดบนบล็อก ซึ่งการนำเสนอในรูปแบบนี้น่าจะไม่สามารถอ้างได้ว่าเป็นการนำเสนอเพื่อวิจารณ์หรือนำเสนอข่าว
  9. 9 อันที่จริงประเด็นเรื่องการใส่เครดิตหรือไม่ดูจะเป็นประเด็นเรื่อง "สิทธิธรรม" (moral right) หรือสิทธิในการอ้างตนเป็นเจ้าของงานมากกว่าการละเมิดลิขสิทธิ์ ใน พรบ. ลิขสิทธิ์ 2537 ไทยระบุสิทธินี้ไว้ในมาตรา 18 ซึ่งไม่มีการกำหนดความผิดชัดเจน (แต่เข้าใจว่าเจ้าของสิทธิ์สามารถดำเนินคดีทางแพ่งได้) ที่จะเป็นเรื่องของการละเมิด "ลิขสิทธิ์" อย่างที่เข้าใจกัน ถ้าจะกล่าวให้ละเอียดแล้วในการ "ลอกงาน" (plagiarism) ครั้งหนึ่ง (เช่นการเอารูปผู้อื่นมาโพสต์แล้วอ้างว่าเป็นของตนเอง) นั้นเป็นทั้งการละเมิดสิทธิธรรม (ในการอ้างว่างานอันมีลิขสิทธิ์เป็นของตน) และการละเมิดลิขสิทธิ์ (ในการผลิตซ้ำและเผยแพร่ภาพโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์) ทั้งนี้ เท่าที่ผู้เขียนทราบ การใช้มาตรา 18 ในคดีความเกี่ยวกับลิขสิทธิ์นั้นก็ปรากฏน้อยมาก (ผู้เขียนยังไม่เคยพบ) และในต่างประเทศการฟ้องร้องบนฐานของ "สิทธิธรรม" ก็ปรากฏน้อยเช่นกัน เหตุเพราะแรงจูงใจในทางเศรษฐกิจให้เอาผิดทางกฎหมายบนฐานของ "สิทธิธรรม" นั้นมีน้อย กฎหมายกำหนดโทษการละเมิด "สิทธิธรรม" ไว้ต่ำกว่าการละเมิดลิขสิทธิ์มาก อย่างไรก็ดีการละเมิดสิทธิธรรมก็ดูจะนำไปสู่การรับโทษทัณฑ์ทางสังคมของชุมชนผู้ผลิตที่ตนอยู่มากกว่าไม่ว่าจะเป็นชุมชนนักออกแบบ ชุมชนดนตรี ไปจนถึงชุมชนทางวิชาการ
  10. 10 ดู http://a2knetwork.org/watchlist
  11. 11 เรื่องตลกคือศาลไทยนั้นก็จัดว่าเป็นศาลที่ตีความตัวบทอันคลุมเครือนี้ได้อย่างเอนเอียงไปทางผู้บริโภคงานอันมีลิขสิทธิ์มาก ในขณะที่ศาลในประเทศที่กฎหมายลิขสิทธิ์ถือว่าดีเยี่ยมระดับ Top 5 ของโลกอย่างอเมริกานั้นกลับตีความกฎหมายลิขสิทธิ์อย่างเข้าข้างเจ้าของลิขสิทธิ์ อย่างไรก็ดีแม้ว่าการโดนฟ้องเรื่องลิขสิทธิ์ในไทยจะมีโอกาสชนะคดีมากกว่าในอเมริกา มันก็คงจะไม่ใช่ประสบการณ์ที่น่ารื่นรมย์อยู่ดี
  12. 12 อันที่จริงผู้เขียนก็อยากเสนอเรื่องแนวทางการปฏิรูปกฎหมายลิขสิทธิ์ให้ "ดี" ขึ้นสำหรับภาคธุรกิจที่ใช้งานอันมีลิขสิทธิ์ (เช่น การระบุให้ชัดเจนว่าสถานบริการจำพวกใดที่จะสามารถเปิดเพลงได้โดยไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่มีในกฎหมายลิขสิทธิ์ของอเมริกาที่ละเอียดถึงขนาดว่าต้องมีพื้นที่ขนาดไหนและใช้ลำโพงได้ไม่เกินกี่ตัว) หรือสำหรับผู้บริโภคงานอันมีลิขสิทธิ์ทั่วไป (เช่น การระบุสิทธิชอบธรรมในการทำสำเนาแบ็คอัพข้อมูล การถ่ายโอนไฟล์ในระบบคอมพิวเตอร์ตนเอง หรือกระทั่งสิทธิในการโหลดสิ่งต่างๆ ลงในคอมพิวเตอร์ที่ได้กล่าวถึงในบทความชิ้นนี้) แต่เนื้อหาตรงส่วนนั้นก็คงจะเกินบทความนี้ไป

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ทุนนิยาม: ความสำเร็จ (และความเปราะบาง) ของวอลมาร์ท

Posted: 23 Nov 2012 04:10 AM PST

 

ถึงแม้จะไม่มีวอลมาร์ท (Walmart) ในเมืองไทย แต่เราก็คงคุ้นเคยดีกับแบรนด์นี้ในฐานะห้างค้าปลีกสัญชาติอเมริกันที่ใหญ่ที่สุดในโลก

อันที่จริง วอลมาร์ทดำเนินการทั้งในรูปแบบของร้านค้าปลีกซูเปอร์เซ็นเตอร์ รวมทั้งมีศูนย์กระจายสินค้าของตัวเอง วอลมาร์ทมีธุรกิจใน 27 ประเทศ รวมทั้งจีนและอินเดีย ภายใต้แบรนด์ต่างๆ ถึง 69 แบรนด์ เช่น ASDA ในอังกฤษ และ Best Price ในอินเดีย หากจะกล่าวว่าวอลล์มาร์ทเป็นธุรกิจในสเกลของโลกก็คงไม่เกินจริงนัก ที่น่าตกใจก็คือ สหรัฐอเมริกาประเทศแม่ของวอลมาร์ท เป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่พนักงานไม่ได้รับการคุ้มครองสิทธิในการรวมตัวและสมาคม ขณะที่พนักงานวอลมาร์ทในจีนกลับได้รับการคุ้มครองสิทธิดังกล่าว
 
ที่เป็นเช่นนี้ ส่วนหนึ่งเกิดจากวอลมาร์ทหันมาจ้างคนงานชั่วคราวในโกดังและห้างเป็นจำนวนมากซึ่งเปิดทางให้บริษัทหลีกเลี่ยงที่จะรับผิดชอบต่อคนงานเหล่านี้ อีกส่วนหนึ่ง เป็นที่ทราบกันดีในหมู่คนงานว่าวอลมาร์ทมีนโยบายที่ "ไม่เป็นมิตร" กับสหภาพแรงงานมายาวนานถึงแม้ผู้บริหารของวอลมาร์ทมักปฏิเสธว่าบริษัทไม่มีนโยบายต่อต้านสหภาพฯ แต่ความพยายามทำลายสิทธิในการรวมตัวและสมาคมของคนงาน ทั้งในและนอกสหรัฐฯ ก็ปรากฏให้เห็นอย่างต่อเนื่อง 
 
เช่น ในปี 2548 วอลมาร์ทเลือกที่จะปิดห้างในเมืองคิวเบค ประเทศแคนาดา เมื่อคนงานเรียกร้องให้รัฐบาลคุ้มครองสิทธิในการรวมตัวกันจัดตั้งสหภาพฯ สำเร็จ เป็นต้น ทั้งนี้ ข้อมูลจากรายงานขององค์กร American Rights at Work ในปี 2548 เปิดเผยว่า ระหว่างปี 2541 - 2546 วอลมาร์ทถูกกล่าวหาถึง 288 กรณีว่าทำการแทรกแซงเสรีภาพในการชุมนุมของพนักงาน ในจำนวนนี้ อย่างน้อย 94 ข้อกล่าวหานำไปสู่การร้องเรียนอย่างเป็นทางการโดยคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์แห่งชาติ (National Labor Relations Board) ตั้งแต่ความผิดเลิกจ้างคนงานที่มีกิจกรรมเกี่ยวกับสหภาพ ไปจนถึงการให้สินบนคนงานเพื่อโน้มน้าวให้ปฏิเสธการรวมตัว 
 
ล่าสุด กลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา คนงานในส่วนโกดัง (warehouse) ของวอลมาร์ทจำนวนหนึ่งในเมืองลอสแองเจลิสพยายามรวมตัวกันสะท้อนปัญหาสภาพการทำงานที่ย่ำแย่ภายในโกดังแต่แทนที่บริษัทจะตอบสนองด้วยการปรับปรุงสภาพการทำงานให้ดีขึ้น กลับตอบโต้ด้วยการตัดชั่วโมงการทำงานของคนงาน จนเป็นเหตุให้เกิดการประท้วงของคนงานขึ้น ทั้งในโกดังและในห้างโดยการเดินออก (walk-out) จากหน้าที่จนเหตุการณ์ดังกล่าวกลายเป็นการประท้วงเชิงสัญลักษณ์ของคนงาน 28 แห่ง ใน 12 รัฐทั่วอเมริกาในเดือนตุลาคม และถือเป็นการประท้วงของคนงานวอลมาร์ทครั้งแรกในรอบ 50 ปี
 
อย่างไรก็ตาม หลังจากการประท้วงของคนงานโกดังและคนงานในห้างบางส่วนได้ขยายวงกว้างขึ้น สื่อหลายสำนักได้เปิดเผยถึงจดหมายเวียนภายในของวอลมาร์ทที่กำชับไม่ให้ผู้จัดการสาขาลงโทษคนงานที่ทำการประท้วงในครั้งนี้ นักสิทธิแรงงานได้วิเคราะห์ว่าวอลมาร์ทไม่ต้องการเสี่ยงที่จะพิสูจน์ตนเอง เนื่องจากกฎหมายแรงงานของสหรัฐฯ ได้เปิดโอกาสให้คนงานสามารถทำการนัดหยุดงานได้ บนพื้นฐานของเหตุผลว่านายจ้างได้ทำกระทำการด้านแรงงานที่ไม่เป็นธรรม (unfair labor practices) ขึ้น ดังนั้น หากวอลมาร์ทลงโทษคนงานกลุ่มดังกล่าวและคนงานเหล่านี้สามารถพิสูจน์ในภายหลังว่าวอลมาร์ทเป็นฝ่ายผิด บริษัทก็จะต้องจ่ายค่าชดเชยจำนวนมากให้คนงาน
 
เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่ากิจการที่มีพนักงานถึง 2 ล้าน 1 แสนคนทั่วโลกอย่างวอลมาร์ทสามารถทำรายได้ของเป็นอันดับหนึ่งของโลกในปี 2554 (มากกว่าบริษัทน้ำมันอย่างเชลล์และเอ็กซอน) ประมาณ 4 แสนล้านดอลลาร์ และกำไรกว่า 1 หมื่นหกพันล้านดอลลาร์ โดยการผลักภาระต้นทุนสินค้าไปให้กับคนงานที่ไม่อำนาจต่อรอง หรือพูดอีกแบบก็คือ วอลมาร์ทเอาค่าแรงที่คนงานเหล่านี้สมควรจะได้ไปอุดหนุนราคาสินค้าในห้างทั่วโลก
 
รายงานของ National Employment Law Project หรือโครงการกฎหมายการจ้างงานแห่งชาติซึ่งเป็นองค์กรอิสระที่ทำการศึกษากลยุทธ์การจ้างงานของวอลมาร์ทในเขตรัฐแคลิฟอร์เนียตอนใต้ เปิดเผยว่าในด้านหนึ่ง วอลมาร์ทสร้างกำไรจากการบริหารระบบการกระจายสินค้า โดยจ้างผู้ประกอบการจัดส่งสินค้าที่จ้างคนงานชั่วคราวอีกทอดหนึ่ง เพื่อทำงานขนสินค้าขึ้นลงจากคอนเทนเนอร์ โดยปกติ คนงานเหล่านี้มักได้รับค่าจ้างเป็นรายชิ้นและมักถูกใช้ให้ทำงานเกินเวลา โดยไม่ได้รับค่าตอบแทนล่วงเวลา รวมทั้งเสี่ยงกับสภาพการทำงานที่ไม่ปลอดภัย ขณะที่อีกด้านหนึ่ง ส่วนแบ่งตลาดที่สูงมากของวอลมาร์ทเปิดโอกาสให้บริษัทสามารถบีบซัพพลายเออร์ให้ลดราคาสินค้า แต่เพิ่มคุณภาพและความถี่ในการจัดส่งขึ้นเรื่อยๆ 
 
ความได้เปรียบทั้งสองด้านของวอลมาร์ทนั้นกำลังถูกฝั่งคนงานนำกลับมาใช้โจมตีวอลมาร์ทเองในการรณรงค์นัดหยุดงานครั้งใหญ่ ควบคู่กับการรณรงค์ให้ผู้บริโภคที่สนับสนุนคนงานร่วมบอยคอตต์สินค้าของวอลมาร์ทในวันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายนหรือวัน "แบล็คฟรายเดย์" ที่กำลังจะมาถึง โดยปกติ วันนี้ของทุกปี ห้างใหญ่อย่างวอลมาร์ทจะลดราคาสินค้าจำนวนมาก เพื่อเริ่มต้นเทศกาลจับจ่ายของขวัญแห่งปีก่อนวันคริสต์มาสและปีใหม่จะมาถึง และวอลมาร์ทสามารถทำรายได้มหาศาลในวันแบล็คฟรายเดย์นี้ ดังนั้น หากการรณรงค์ของคนงานได้ผล วอลมาร์ทจะสูญเสียรายได้มหาศาล 
 
การปะทุของความไม่พอใจของคนงานวอลมาร์ททั้งอเมริกา น่าจะเป็นเครื่องยืนยันได้ว่าโมเดลที่วอลมาร์ทนำมาใช้นั้นไม่ใช่วิธีการที่ยั่งยืน ไม่ว่าจะมองจากมุมมองของใครก็ตาม...
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สมศักดิ์กับมาตรา 112

Posted: 23 Nov 2012 04:08 AM PST

เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ก็เป็นที่ชัดเจนว่า สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนักคิดที่ก้าวหน้าคนหนึ่งของสังคมไทย ได้รับหมายเรียกตัวจากสถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้งให้ไปรายงานตัว และเป็นที่ทราบต่อมาว่า ทางการตำรวจได้มีมติให้ส่งเรื่องให้อัยการแผ่นดิน ดำเนินการฟ้องร้องสมศักดิ์ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งจะทำให้เขาตกเป็นเหยื่อรายล่าสุดของกฎหมายป่าเถื่อนฉบับนี้

กรณีการดำเนินคดีนายสมศักดิ์ครั้งนี้ ได้สะท้อนให้เห็นปัญหาสำคัญของมาตรา 112 ทั้งในด้านของตัวบทและการใช้กฎหมาย เริ่มต้นจากการที่กฎหมายนี้เปิดทางให้ใครก็ได้สามารถแจ้งความ จึงเป็นการเปิดโอกาสสำหรับการใส่ร้ายป้ายสีและทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์โดยกลไกรัฐเสมอ เช่น กรณีของนายสมศักดิ์ ผู้กล่าวโทษแจ้งความก็คือ กองทัพบก ซึ่งเป็นองค์กรที่มีบทบาทในการเข่นฆ่าประชาชนเมื่อเดือนเมษายนและพฤษภาคม พ.ศ.2553 มาแล้ว และจากการที่กองทัพบกเป็นผู้แจ้งความนี้เอง น่าจะเป็นแรงผลักดันสำคัญให้ทางการตำรวจต้องมีมติส่งเรื่องให้อัยการฟ้อง

สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล เป็นนักต่อสู้ที่มีบทบาทมาตั้งแต่ก่อนกรณี 6 ตุลาคม พ.ศ.2519 และเคยถูกจับกุมคุมขังอย่างไม่เป็นธรรมในกรณี6 ตุลามาแล้ว ต่อมา ก็ได้ประกอบอาชีพเป็นอาจารย์สอนวิชาประวัติศาสตร์ และมีผลงานทางวิชาการอันน่าสนใจ เช่น เรื่อง ประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้าง (2544) ซึ่งแสดงให้เห็นความสามารถทางวิชาการตามแบบฉบับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการใช้ข้อมูล และการอธิบายทางประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยใหม่ ที่เข้าถึงข้อเท็จจริงได้ลึกซึ้งกว่างานประวัติศาสตร์โดยทั่วไปอย่างมาก

 นอกจากนี้ ก็คือการแสดงบทบาทเป็นนักวิจารณ์ทางสังคมชนิดไม่เลือกหน้าอินทร์หน้าพรหม ซึ่งเป็นการสร้างศัตรูจำนวนไม่น้อยทั้งในวงการวิชาการและองค์กรพัฒนาเอกชน อย่างไรก็ตาม ความสามารถทางวิชาการของสมศักดิ์ก็เป็นที่ยอมรับ และถือได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญอย่างลึกซึ้งทางประวัติศาสตร์ไทยสมัยใหม่หลายเรื่อง เช่น เรื่องประวัติศาสตร์ขบวนการนักศึกษา ขบวนการคอมมิวนิสต์ไทย และ เรื่องประวัติศาสตร์ของสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นต้น สำหรับนักศึกษาที่เคยเรียนกับอาจารย์สมศักดิ์ ยังทราบกันดีว่า สมศักดิ์มีความเชี่ยวชาญในอีกหลายเรื่อง เช่น ทฤษฎีสำนักลัทธิมาร์กซและประวัติศาสตร์ขบวนการสังคมนิยมโลก ประวัติศาสตร์สหภาพโซเวียต และในด้านปรัชญาประวัติศาสตร์

และด้วยความเป็นนักวิชาการกระแสใหม่ที่สนใจในเรื่องสิทธิมนุษยชน ตลอดจนการเป็นผู้ผ่านประสบการณ์ตรงในกรณี ๖ ตุลา ทำให้สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล เป็นคนแรกๆ ที่มีบทบาทเด่นชัดในการรณรงค์คัดค้านการใช้มาตรา 112 เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการทำร้ายผู้บริสุทธิ์ และต่อมา เขาก็ได้รวบรวมความคิดที่ตกผลึก มานำเสนอมาตรการในการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ให้สอดคล้องกับประชาธิปไตยดังเช่นนานาประเทศ ข้อเสนอทั้งหมดมี 8 ข้อดังนี้

1. ยกเลิกรัฐธรรมนูญมาตรา 8 เพิ่มมาตราในลักษณะเดียวกับรัฐธรรมนูญ 27 มิถุนายน 2475 คือให้สภาผู้แทนราษฎรสามารถพิจารณาเรื่องฟ้องร้องกษัตริย์ได้

2. ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112

3. ยกเลิกองคมนตรี

4. ยกเลิก พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ.2491

5. ยกเลิกการประชาสัมพันธ์ด้านเดียว และการให้การศึกษาแบบด้านเดียวเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ทั้งหมด

6. ยกเลิกพระราชอำนาจ ในการแสดงความเห็นทางการเมืองของพระมหากษัตริย์ทั้งหมด

7. ยกเลิกพระราชอำนาจในเรื่องโครงการหลวงทั้งหมด

8. ยกเลิกการบริจาค/รับบริจาคโดยเสด็จพระราชกุศลทั้งหมด

สมศักดิ์ เจียมธีรสกุลอธิบายว่า การปฏิบัติตามข้อเสนอนี้ ผลลัพธ์ไม่ใช่การล้มสถาบันกษัตริย์ แต่ทำให้สถาบันมีลักษณะเป็นสถาบันสมัยใหม่ ในลักษณะไม่ต่างจากยุโรป เช่น สวีเดน เนเธอร์แลนด์ เป็นต้น และด้วยข้อเสนอนี้ ทำให้สมศักดิ์ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของกลุ่มนิติราษฎร์ที่เรียกร้องการปฏิรูปมาตรา 112 สมศักดิ์เห็นว่า การปฏิรูปกฎหมายอย่างเดียวไม่เพียงพอ แต่จะต้องแก้ที่อุดมการณ์อันเป็นรากฐานแห่งความไม่เป็นธรรมนั้นด้วย

ไม่ว่าจะเห็นด้วยกับข้อเสนอของสมศักดิ์หรือไม่เพียงใด ก็ต้องยอมรับว่าการเสนอข้อเสนอ 8 ข้อนี้ คือความกล้าหาญอย่างยิ่งในทางวิชาการและในทางสังคม ถ้าหากว่าในแวดวงปัญญาชนไทยทุกฝ่าย นำเอาข้อเหล่านี้มาศึกษาและถกเถียง ก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการพัฒนาสถาบันประชาธิปไตยในประเทศไทย และจะทำให้ประเทศก้าวหน้าไปในด้านสิทธิมนุษยชน โดยการเลิกใส่ร้ายและทำร้ายกันด้วยความเห็นที่แตกต่าง

แต่เป็นที่น่าเสียดายที่กระแสหลักในสังคมไทย ต้องการสังคมแบบปิดหูปิดตา ไม่ยอมให้เนื้อที่กับความคิดแตกต่าง กองทัพบกไทยจึงได้หาเรื่องมาดำเนินคดีกับสมศักดิ์เช่นนี้

สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ

 

ที่มา:โลกวันนี้วันสุข ฉบับที่387 วันที่ 24 พฤศจิกายน 2555

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประวิตร โรจนพฤกษ์: จดหมายว่าด้วยประชาธิปไตยถึงกลุ่มพิทักษ์สยามและคนเสื้อแดง

Posted: 23 Nov 2012 03:19 AM PST

23 พฤศจิกายน 2555

ถึงสมาชิกกลุ่มพิทักษ์สยาม

เพื่อมิให้เป็นการเสียเวลาการเตรียมการชุมนุมของพวกคุณ ซึ่งผมเคารพในสิทธิการชุมนุมทางการเมืองของทุกกลุ่ม ผมของถามพวกคุณอย่างตรงไปตรงมาเลยว่า ถ้าพวกคุณเรียกร้องรัฐประหารขับไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง 'สำเร็จ' พวกคุณจะไล่คนสิบกว่าล้านที่เลือกพรรคเพื่อไทยไปอยู่ไหน?

คุณคิดหรือครับว่าคนเหล่านั้นจะยอมให้พวกคุณยัดเยียดการปกครองที่ไม่ต้องผ่านการเลือกตั้งเป็นเวลา 5 ปี ดั่งที่แกนนำกลุ่ม พลเอก บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ต้องการ? แล้วถ้าคนเหล่านั้นไม่ยอม จะเกิดอะไรขึ้น?

ยุคสมัยที่คนหยิบมือเดียวที่ไม่ผ่านการเลือกตั้งสามารถปกครองประชาชนโดยไม่มีการขัดขืน มันจบไปนานแล้ว ผู้คนจำนวนมากเขาไม่ยอมแล้ว

ถ้าพวกคุณต้องการ 'เปลี่ยนรัฐบาล' พวกคุณก็ควรพยายามเปลี่ยนใจเปลี่ยนความคิดคนที่ชื่นชอบทักษิณ ยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทย โดยการถกเถียงด้วยเหตุผล แลกเปลี่ยนข้อมูลและไม่ดูถูกพวกเขา ไม่ใช่ไปโหวกเหวกเรียกรถถังตั้งแต่ไก่โห่เพื่อมาแช่แข็งประเทศ

และแม้พวกคุณอยากแช่แข็งประเทศหรือการเมือง สุดท้ายพวกคุณก็หนีไม่พ้นการต้องให้มีการจัดการเลือกตั้งอีก แล้วคุณคิดว่าคนเป็นสิบล้านที่ถูกกดทับสิทธิทางการเมืองผ่านรถถังและกระบอกปืน และถูกดูถูกว่าโง่เป็นควาย เขาจะเลือกพรรคประชาธิปัตย์หรือพรรคใดครับ?

ถ้าพวกคุณเชื่อว่ารัฐประหารนำมาซึ่งสังคมที่ดีได้ เมืองไทยมีรัฐประหารที่ 'สำเร็จ' 18 ครั้งในรอบแปดทศวรรษ ก็น่าจะกลายเป็นแดนสวรรค์ของความดีงามไปนานแล้วมิใช่หรือครับ? แต่ก็เปล่า แถมเต็มไปด้วยปัญหาไม่มีใครยอมฟังใคร เกลียดชังซึ่งกันและกันอย่างมากจนพูดคุยถกเถียงกันด้วยเหตุผลแทบไม่รู้เรื่องแล้ว และอีกอย่าง สังคมที่กดทับสิทธิและเสียงคนอื่น ไม่ว่าคน 10 ล้าน หรือคนๆ เดียว ไม่สามารถเป็น 'สังคมดี' ได้หรอกครับ เพราะการกดขี่ปิดปากผู้อื่นเป็นความเลวในตัวมันเอง

ปัญหาที่ใหญ่กว่าการที่ว่าใครจะมีอำนาจทางการเมืองในปัจจุบัน หรือต่อไปอีก 5 ปี 10 ปี หรือปัญหาคอร์รัปชัน คือทำอย่างไรสังคมไทยจึงสามารถสร้างโครงสร้างพื้นฐานและวัฒนธรรมประชาธิปไตยที่หยั่งรากลึกได้ สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อสังคมมีพื้นที่สำหรับความเห็นและจุดยืนที่แตกต่างของทั้งสังคม ไม่ว่าคนส่วนใหญ่หรือส่วนน้อยโดยไม่มีการปิดปากใครหรือกดทับสิทธิของผู้ใดทั้งสิ้น – แต่เรื่องนี้แทบไม่เคยเป็นโจทย์ของสังคมไทย

พวกคุณคงไม่ว่าอะไรหากผมขอจะตั้งชื่อองค์กรพิทักษ์สยามว่า 'กลุ่มคนที่ทนผลการเลือกตั้งไม่ได้' และหวังว่าพวกคุณจะลองกลับไปพิจารณาดูว่ามันจริงเท็จแค่ไหน


ด้วยความจริงใจ,
ประวิตร โรจนพฤกษ์


ป.ล. รถถังอย่างมากก็ทำให้คนเงียบ คนกลัว ไประยะหนึ่ง แต่ปัญญาทำให้คนกล้า และตาสว่าง – ผมเคารพสิทธิที่พวกคุณจะไล่รัฐบาล แต่ผมจะต่อต้านรัฐประหาร และผมคิดว่าประชาชนจำนวนมิน้อยมองการเรียกร้องรัฐประหารเป็นเรื่องขำขันหลงยุค แต่เราก็พร้อมที่จะรับมือกับไดโนเสาร์ด้วยวิธีที่เป็นประชาธิปไตย

ป.ล. 2 เพิ่งทราบข่าวว่ามีการทำร้ายนักศึกษาที่ไปทำกิจกรรมคัดค้านการ "แช่แข็งประเทศไทย" แล้วรู้สึกสลดใจ ผมขอประณามการใช้ความรุนแรง และอยากเตือนให้ทราบว่า หากพวกคุณอ้างว่าพวกคุณเป็นคนที่มีสติปัญญาความรู้มากกว่า คนเสื้อแดงที่คุณดูถูกเป็น "ควาย" ก็ควรใช้สติปัญญาสิครับ ไม่ใช่ใช้มือเท้า
 

-----------------------

 

ถึงคนเสื้อแดงที่เชื่อว่าตนสนับสนุนประชาธิปไตย

สังคมไม่สามารถสร้างประชาธิปไตยโดยการใช้กฎหมายเผด็จการ ไม่ว่าจะเป็น ม.112 หรือ พ.ร.บ.ความมั่นคง

วันนี้ รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง เพื่อใช้ควบคุมและจำกัดสิทธิในการชุมนุมของกลุ่มองค์กรพิทักษ์สยาม ทั้งๆ ที่เป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งและยังไม่มีหลักฐานชัดเจนพิสูจน์ได้ต่อสาธารณะว่าจะมีการใช้ความรุนแรงล้มล้างรัฐบาล ผมจึงอยากให้คนเสื้อแดงทั้งหลายฉุกคิดสักนิดว่ามันถูกต้องหรือไม่ แล้วอย่าลืมนึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์อันขมขื่นเดือนเมษา-พฤษภา 2553 ด้วย (ทุกวันนี้ 2 ปีให้หลัง แดงจำนวนหนึ่งก็ยังติดคุกเพราะฝ่า พ.ร.ก.ฉุกเฉิน)

สำหรับผมแล้ว มันเป็นเรื่องน่าละอายที่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งกำลังใช้กฎหมายเผด็จการ ผมขอประณามการใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง และขอเรียกร้องคนเสื้อแดงที่มีสติและยืนยันในหลักประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ออกมาประณามและต่อต้านการใช้กฎหมายเผด็จการ

กฎหมายเผด็จการ ไม่ว่าจะใช้โดยใคร หรือกับใคร มันก็ไม่สามารถรังสรรค์ประชาธิปไตยได้ – การที่กลุ่มพิทักษ์สยามเรียกร้องรัฐประหารอย่างไร้สติและอย่างหน้าตาเฉย และเสื้อแดงสนับสนุนการใช้ พ.ร.บ.มั่นคงกับผู้ชุมนุมองค์กรพิทักษ์สยามได้โดยไม่รู้สึกอะไร ถือเป็นความตกต่ำอีกระดับของสังคมไทย

การสนับสนุนการใช้ พ.ร.บ.มั่นคงโดยอ้างอย่างปราศจากหลักฐานชัดเจนว่าจะมีการใช้กำลังล้มล้างรัฐบาล ไม่ต่างจากการอ้างว่าจะต้องคงไว้ซึ่ง ม.112 เพราะความเชื่อที่ว่ามีกลุ่มคนต้องการล้มเจ้าสักเท่าใด

ผมขออ้างทวีตจากฝรั่งที่ส่งมาถึงผมในวันนี้ซึ่งผมแปลแบบปรับปรุงดัดแปลงเพิ่มเติมเป็นภาษาไทยว่า: "ประชาธิปไตยไม่เหมือนฟุตบอล ที่คุณเลือกทีมแล้วก็เชียร์อย่างปิดหูปิดตาโดยไม่สนหลักการถูกผิดใดๆ"

คนเสื้อแดงที่รักประชาธิปไตยอย่างแท้จริงครับ ถึงเวลาแล้วที่จะเลิกรอแต่ฟังเพียงสัญญาณจากแกนนำแล้วหันมาฟังเสียงมโนสำนึกของพวกคุณ เพราะมนุษย์ไม่ใช่โทรศัพท์มือถือที่จะฟังแต่สัญญาณ


ด้วยความปราถนาดี
ประวิตร โรจนพฤกษ์

ป.ล. ถ้าคุณสนับสนุนการใช้วิธีเผด็การหรือกฎหมายเผด็จการกับผู้นิยมเผด็จการ สุดท้ายวันหนึ่งคุณก็จะกลายเป็นผู้นิยมเผด็จการไปโดยมิรู้ตัว

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เผยเอกชนยื่นขอสัมปทานเหมืองโปแตชกาฬสินธุ์ 2 แสนไร่ ด้านเวที EHIA เหมืองทองเลยล่มครั้งที่ 5

Posted: 23 Nov 2012 03:01 AM PST

 

เหมืองแร่อีสานยังคุกรุ่น ศูนย์ข้อมูลสิทธิฯ อีสาน เผย จ.กาฬสินธุ์ มีการยื่นขออาชญาบัตรพิเศษเพื่อสำรวจ แร่โปแตช จำนวน 2 แสนไร่ ขณะที่เวทีพับลิค สโคปปิ้งเหมืองทอง จ.เลย ถูกชาวบ้านค้านหนักจนต้องล่มเป็นครั้งที่ 5
 
เมื่อวันที่ 22 พ.ย.55 เวลาประมาณ 15.00 น. นายสุวิทย์  กุหลาบวงษ์ ผู้ประสานงานศูนย์ข้อมูลสิทธิมนุษยชนและสันติภาพ (ศสส.) อีสาน ซึ่งได้ติดตามข้อมูลนโยบายการทำเหมืองแร่และโครงการพัฒนาที่จะส่งผลกระทบต่อชุมชนท้องถิ่น ตลอดจนปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ภาคอีสานมาอย่างต่อเนื่อง ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่าขณะนี้กำลังมีการยื่นขออาชญาบัตรพิเศษสำรวจ ประเมินศักยภาพแหล่งแร่โปแตช เพื่อทำการผลิตในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ จำนวน 12 แปลง รวมเนื้อที่ประมาณ 2 แสนไร่
 
ทั้งนี้ บริษัท แปซิฟิก มิลเดอรัล จำกัด ยื่นขออาชญาบัตรพิเศษครอบคลุม 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมือง ในตำบลโพนทอง, ตำบลเหนือ, ตำบลม่วงนา, ตำบลดอนจาน, ตำบลนาจำปา และตำบลเชียงเครือ อำเภอกมลาไสย และอำเภอดอนจาน
 
โดยยื่นคำขอที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดกาฬสินธุ์ และส่งต่อไปให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อทำเรื่องเสนอให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประกาศยกเลิกมาตรา 6 ทวิ วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.แร่ 2510 ในเขตพื้นที่ที่กำหนดให้เป็นเขตสำหรับดำเนินการสำรวจ การทดลอง การศึกษา หรือการวิจัยเกี่ยวกับแร่ได้เป็นกรณีพิเศษ เพื่อเปิดให้เอกชนสามารถยื่นคำขออาชญาบัตรเพื่อประกอบการเชิงพาณิชย์ และทำการผลิตแร่โปแตช ได้
 
"จากการติดตามข้อมูลล่าสุดพบว่ามีการยื่นคำขอใน จ.กาฬสินธุ์ รวมทั้งในหลายพื้นที่ของภาคอีสานที่ได้มีการยื่นไปแล้ว ซึ่งเห็นได้ว่าจะมีเหมืองแร่โปแตชเต็มแผ่นดินอีสานไม่ว่าจะเป็น นครราชสีมา ขอนแก่น ชัยภูมิ สกลนคร อุดรธานี มหาสารคาม หนองคาย และยโสธร คิดเป็นเนื้อที่รวมกว่า 1.3 ล้านไร่ โดยจะส่งผลกระทบต่อคนอีสานทั้งภาค" นายสุวิทย์ กล่าว
 
นายสุวิทย์กล่าวต่อว่า โดยเฉพาะในพื้นที่ จ.อุดรธานี ที่กำลังอยู่ระหว่างการยื่นคำขอประทานบัตรเพื่อทำการผลิตแร่โปแตช ของบริษัท เอเชีย แปซิฟิค โปแตช คอร์ปอเรชั่น จำกัด (APPC) และชาวบ้านในพื้นที่คัดค้านต่อเนื่องอย่างหนัก แต่ก็ไม่ได้รับการแก้ไขจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
 
"คณะกรรมการที่อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ แต่งตั้งขึ้นมาเพื่อติดตามกระบวนการประทานบัตรก็ถูกฉีกทิ้งไปเมื่อเปลี่ยนอธิบดีคนใหม่ หรือแม้แต่ชาวบ้านขอเข้าพบเพื่อชี้แจงให้ข้อมูล กับผู้ว่าฯ อุดร คนใหม่ก็ยังเมินเฉย" นายสุวิทย์กล่าวทิ้งท้าย
 
 
ขณะเดียวกันในวันนี้ (22 พ.ย.55) เวลาประมาณ 08.00 น. ชาวบ้านกลุ่มรักษ์บ้านเกิดจากพื้นที่ ต.เขาหลวง อ.วังสะพุง จ.เลย ร่วมด้วยเครือข่ายประชาสังคมจังหวัดเลย และกลุ่มนักศึกษาเฝ้าติดตามผลกระทบจากการทำเหมืองแร่ จำนวนกว่า 400 คน ได้เดินทางไปที่ศาลาประชาคม องค์การบริหารส่วนจังหวัดเลย เพื่อคัดค้านการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียในการกำหนดขอบเขตและแนวทางการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (ค.1) หรือพับลิค สโคปปิ้ง (Public scoping) ซึ่งเป็นขั้นตอนเริ่มต้นแรกสุดของการทำ EHIA เพื่อประกอบการขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ทองคำส่วนขยายบนภูเหล็ก ตามคำขอประทานบัตรที่ 104/2538 ของบริษัททุ่งคำ จำกัด
 
แต่ทว่าเวทีดังกล่าว ได้ถูกยกเลิกและเลื่อนไปจัดในวันที่ 21 ธันวาคม 2555 ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 5 แล้วที่มีการเลื่อน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้มีข่าวว่าบริษัทฯ ได้จัดเตรียมกำลังมวลชนจากหลายอำเภอในจังหวัดเลย เพื่อจะมาปะทะขัดขวางกับกลุ่มชาวบ้านที่คัดค้านเหมืองไม่ให้เข้าร่วมและให้การจัดเวทีประสบความสำเร็จ
 
หลังจากทราบข่าวการเลื่อนการจัดเวที กลุ่มชาวบ้าน เครือข่ายประชาสังคม และนักศึกษา จึงร่วมกันรณรงค์ให้ข้อมูลถึงผลกระทบจากการทำเหมืองแร่ทองคำ ให้กับประชาชนในเมืองเลยและผู้ที่สัญจรผ่านไปมา
 
น.ส.วัชราภรณ์  วัฒนขำ ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนเฝ้าระวังผลกระทบจากนโยบายการทำเหมืองแร่กล่าวว่า เหมืองแร่ทองคำ จ.เลย มีปัญหามาก ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของชาวบ้านในพื้นที่ โดยเฉพาะบ่อกักเก็บไซยาไนด์แตก จนกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่มีคำสั่งปิดเหมือง แต่ขณะนี้อยู่ระหว่างการยื่นอุทธรณ์ของบริษัทผู้ประกอบการ
 
นอกจากนี้ก็ยังมีปัญหาโรงประกอบโลหะกรรมหมดอายุไปเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ผลการไต่สวนการรังวัดอันเป็นเท็จโดยระบุว่าพื้นที่ขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ทองคำส่วนขยายบนภูเหล็กไม่มีบ่อน้ำสาธารณะ และไม่มีป่าสาธารณะประโยชน์ แต่ในข้อเท็จจริงพื้นที่ดังกล่าวเป็นแหล่งน้ำซำ น้ำซับ และมีป่าไม้อุดมสมบูรณ์
 
"บริษัทฯ อยู่ในสถานการณ์หลังชนฝา และถ้าหากจัดเวทีขึ้นก็เท่ากับเป็นการประจานความผิดพลาดของตนเอง อีกทั้งกลุ่มมวลชนที่เตรียมเอาไว้รวมทั้งเจ้าหน้าที่ของทางจังหวัดก็ต้องไปดูแลเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมืองที่จะมีขึ้นในวันที่ 24 พ.ย.นี้ เมื่อเห็นท่าจะเพลี่ยงพล้ำเขาจึงเลื่อนเวทีออกไป" น.ส.วัชราภรณ์กล่าว

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สหภาพแรงงานอินโดนีเซียเดินขบวนเรียกร้องค่าแรง ให้เท่าเทียมกันทั่วประเทศ

Posted: 23 Nov 2012 02:43 AM PST

กลุ่มสหภาพแรงงานอินโดนีเซียร่วม 10,000 คน เดินขบวนในกรุงจาการ์ตาเรียกร้องให้รัฐบาลขึ้นค่าแรง ให้เท่าเทียมกันทั่วประเทศ และขอสวัสดิการการรักษาพยาบาล ในขณะที่เศรษฐกิจประเทศอยู่ในขาขึ้น

คลิปวีดีโอจาก Al Jazeera

เมื่อวันที่ 22 พ.ย. 55 ที่ผ่านมาเว็บไซต์ straitstimes.com อ้างรายงานของสำนักข่าว AFP ว่ากลุ่มสหภาพแรงงานอินโดนีเซียร่วม 10,000 คน เดินขบวนในกรุงจาการ์ตาเรียกร้องให้รัฐบาลขึ้นค่าแรง ให้เท่าเทียมกันทั่วประเทศ และขอสวัสดิการการรักษาพยาบาล ในขณะที่เศรษฐกิจประเทศอยู่ในขาขึ้น

ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจเปิดเผยว่าสหภาพแรงงานหลายกลุ่มได้นัดชุมนุมประท้วงโดยสงบ บริเวณใกล้ทำเนียบประธานาธิบดี ก่อนจะเคลื่อนขบวนไปยังอาคารรัฐสภา โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้จัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ราว 23,000 นาย เฝ้าควบคุมสถานการณ์ ทั้งในเขตเมืองหลวงและรอบนอก

อนึ่งกลุ่มสหภาพแรงงานอินโดนีเซีย เดินขบวนเรียกร้องขอขึ้นค่าแรง และปรับปรุงสภาพการทำงานบ่อยครั้ง ในช่วงไม่นานมานี้ หลังจากเศรษฐกิจของประเทศเติบโตอย่างรวดเร็ว และสัปดาห์นี้รัฐบาลอินโดนีเซียเพิ่งอนุมัติการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ในเขตเมืองหลวงกรุงจาการ์ตา และปริมณฑลอีก 44% เป็นเดือนละ 2.2 ล้านรูเปียห์ (7,000 บาท) โดยให้เริ่มมีผลบังคับตั้งแต่ปีหน้า

ทั้งนี้การเดินขบวนเรียกร้องในวันนี้ (22 พ.ย.) กลุ่มสหภาพแรงงานต้องการให้รัฐบาลขึ้นค่าแรงขั้นต่ำแก่คนงานทุกจังหวัดทั่วประเทศ ให้เท่ากับแรงงานในกรุงจาการ์ตา ทั้งนี้เมื่อวันที่ 14 พ.ย. 55 ที่ผ่านมา คนงานอินโดนีเซียร่วม 70,000 คน ก็ได้ออกมาเดินขบวนเรียกร้องแล้วครั้งหนึ่ง

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

วุฒิสภายืดการเลือกตั้งซูเปอร์บอร์ด กสทช.รอตั้งกรรมการตรวจสอบจริยธรรมก่อน

Posted: 23 Nov 2012 02:06 AM PST

 

23 พ.ย.55 - ที่ประชุมวุฒิสภาเห็นชอบกับนายแพทย์เจตน์ ลํายองเสถียร ที่เสนอต่อที่ประชุมให้มีการแต่งตั้งกรรมการเพื่อการตรวจสอบคุณธรรมและจริยธรรมของผู้สมัครรับเลือกตั้งคณะกรรมการติดตามและประเมินผลตามพระราชบัญญัติ องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 (กสทช.) 

  การประชุมวุฒิสภา โดยมีนาย สุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย เป็นประธานในการพิจารณา ลงมติเลือกตั้งคณะกรรมการติดตามและประเมินผลตามพระราชบัญญัติ องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 (กสทช.) เป็นรอบที่สอง วุฒิสภาได้มีมติให้มีการแต่งตั้งกรรมการเพื่อตรวจสอบคุณธรรมและจริยธรรมของบุคคลผู้เข้ารับเลือกตั้งตามข้อเสนอของนายแพทย์เจตน์ ลํายองเสถียร สมาชิกวุฒิสภา เพื่อความโปร่งใสในการคัดเลือกและดำรงค์คุณธรรมในการเข้ามาเป็นผู้ตรวจสอบ กสทช.
 
หลังจากมีการอภิปรายกันอย่างก้าวขวาง ถึงความเหมาะสมของการลงมติคัดเลือกผู้รับตำแหน่งดังกล่าว ว่าควรจะลงมติภายในการประชุมครั้งนี้เลย หรือ จะต้องมีการตรวจสอบคุณธรรมและจริยธรรมก่อน ซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่มีมติให้ตั้งคณะกรรมาธิการตรวจสอบคุณสมบัติด้านคุณธรรมและจริยธรรมให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน มีคณะกรรมาธิการ 25 ท่าน

ที่มา: เว็บไซต์ข่าวรัฐสภาถึงประชาชน

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นศ. กลุ่ม 'ไฟเขียวประเทศไทย' ถูกทำร้ายขณะรณรงค์ค้านการชุมนุม 'เสธ.อ้าย'

Posted: 23 Nov 2012 01:14 AM PST

นศ.ถูกชกต่อยโดยชายฉกรรจ์ ขณะที่ทำกิจกรรมติดสติ๊กเกอร์รณรงค์ "ไฟเขียวประเทศไทย" คัดค้านการ "แช่แข็งประเทศไทย" บริเวณสนามม้านางเลิ้ง ด้านกลุ่มเยาวชนองค์การพิทักษ์สยาม ขอโทษที่เกิดเหตุชุลมุน ยันไม่ต้องการใช้ความรุนแรง

23 พ.ย. 55 - ราว 14.45 น. มีรายงานว่านักศึกษาจากกลุ่ม "ไฟเขียวประเทศไทย" ถูกทำร้ายบริเวณสนามม้านางเลิ้งในขณะที่ทำกิจกรรมรณรงค์ "ไฟเขียวประเทศไทย" ที่ไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมของกลุ่มพิทักษ์สยามและคัดค้านการ "แช่แข็งประเทศไทย 5 ปี" โดยโฆษกของกลุ่ม "ไฟเขียวประเทศไทย" ระบุว่า สมาชิกของกลุ่มถูกชกต่อยจากชายฉกรรจ์ราว 6-7 คน ในขณะที่ทำกิจกรรมรณรงค์ติดสติ๊กเกอร์บริเวณสนามม้านางเลิ้ง
 
นายกุลภัทร ทวีกุล นศ. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โฆษกของกลุ่มไฟเขียวประเทศไทย ซึ่งเป็นการรวมกันของนักศึกษาม.ธรรมศาสตร์ที่คัดค้านการชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยาม นำโดยพล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ "เสธ.อ้าย" กล่าวว่า ในวันนี้ กลุ่มของตนมีแผนจะไปติดสติ๊กเกอร์รณรงค์ "ไฟเขียวประเทศไทย" ที่บริเวณสนามม้านางเลิ้ง และยื่นแถลงการณ์ให้กับพล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ เพื่อคัดค้านการทำรัฐประหาร
 
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่กำลังติดป้ายรณรงค์อยู่นั้น ได้มีชายไม่ทราบสังกัดที่มา ราว 6-7 คน ได้ตะโกนขัดขวางการติดสติ๊กเกอร์ของกลุ่ม และเข้ามารุมล้อมทำให้เกิดความชุลมุน ส่งผลให้มีนักศึกษา 1 คนจากกลุ่มดังกล่าวถูกต่อยหน้าและได้รับบาดเจ็บ นายกุลภัทรกล่าวว่า กลุ่มคนที่เข้ามาทำร้ายน่าจะเป็นผู้ชุมนุมของกลุ่มพิทักษ์สยาม เนื่องจากชายดังกล่าวได้วิ่งมาจากภายในของสนามม้านางเลิ้ง
 
ด้านสำนักข่าวไทยรายงานว่า นายวศิน อุ่นกลอย ตัวแทนกลุ่มเยาวชนองค์การพิทักษ์สยาม กล่าวว่า ต้องขอโทษที่มีเหตุชุลมุนเกิดขึ้น ยอมรับว่าควบคุมไม่ได้ เนื่องจากกิจกรรมการติดสติ๊กเกอร์และผูกโบว์ที่กำแพงสนามม้า ทำให้กลุ่มรักษาความปลอดภัยไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ ยืนยันว่าทางกลุ่มพร้อมรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่าย และไม่ต้องการใช้ความรุนแรงแต่อย่างใด 
 
หลังจากเกิดเหตุการณ์ราว 2 ชั่วโมงถัดมา ทางกลุ่มไฟเขียวประเทศไทย ได้เผยแพร่คลิปวีดีโอที่โฆษกของกลุ่มชี้แจงว่า จะไม่ดำเนินแจ้งความต่อเรื่องที่เกิดขึ้น และจะหยุดกิจกรรมทุกชนิดในระหว่างที่มีการชุมนุมของกลุ่มพิทักษ์สยาม เนื่องจากไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรงต่อไปในอนาคต

 
 

การรณรงค์ของกลุ่ม 'ไฟเขียวประเทศไทย' ที่บริเวณสยามสแควร์ เมื่อวันที่ 18 พ.ย. ที่ผ่านมา
 
 
ทั้งนี้ การชุมนุมของกลุ่มพิทักษ์สยาม มีกำหนดจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้ (24 พ.ย. 55) บริเวณลานพระบรมพระรูปทรงม้า เพื่อเรียกร้องให้มีการ "แช่แข็งประเทศไทย" และขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยอ้างว่ามีสาเหตุจากการปล่อยให้มีการจาบจ้วงสถาบัน และการคอร์รัปชั่น 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ใบตองแห้งออนไลน์: มหาอำนาจพลาสติก กับลัทธิตามก้นจีนย้อนยุค

Posted: 23 Nov 2012 01:02 AM PST

ขอแสดงความปิติยินดีปรีดาปราโมทย์ต่อการมาเยือนของนายกรัฐมนตรีเวินเจียเป่า สหายนำพรรคคอมมิวนิสต์จีน จากใบตองแห้ง สมาชิกสันนิบาตเยาวชน พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (นับญาติ-ฮา)

ช่างน่าปลื้มเสียกระไร ที่เนื่องใน "ปีมหามงคล" มีผู้นำมหาอำนาจมาเยือนไทยพร้อมกัน แต่เสียดายที่สหายเวินเจียเป่าโดนโอบามาบดบัง เพราะท่านกำลังจะพ้นตำแหน่ง ขณะที่โอบามาเพิ่งชนะเลือกตั้งอย่างดรามา ถ้าเปลี่ยนเป็นสหายสี่จิ้นผิง ก็ยังพอจะเป็น Idol ทัดเทียมกัน จากปูมหลังที่เป็นลูกอดีตสหายนำ รองนายกรัฐมนตรีที่ถูกปลดจากตำแหน่ง ถูกพวกเรดการ์ดจับแห่ประจานในสมัยปฏิวัติวัฒนธรรม และถูกส่งไป "ดัดแปลงตนเอง" ใช้แรงงานในชนบท (แถมยังมีเมียนักร้อง ชอบดูฟุตบอล ชอบดูหนังฮอลลีวู้ด)

สหายเวินเจียเป่าไม่ยอมให้สื่อมวลชนซักถามในการแถลงข่าว แหม ไม่ต้องห่วง เราบล็อกไม่ให้ผู้สื่อข่าวนิวยอร์คไทม์ถามก็ได้ ฮิฮิ กะอีแค่ข่าวโคมลอยเรื่องทรัพย์สิน 2,700 ล้านดอลลาร์ มันจะมากมายอะไรขนาดนั้น รวยกว่าเจ้าสัวบุญชัยไม่รู้กี่เท่า รวยกว่าทักษิณอีกต่างหาก

วันก่อนก็มีคนว่ารัฐบาลบล็อกนักข่าว ให้ถามโอบามาเรื่องประชาธิปไตย ผมฟังแล้วก็ยังงงๆ โอบามามาเยือนไทยกับพม่าทั้งที ไม่ถามเรื่องประชาธิปไตยแล้วจะให้ถามเรื่องแช่แข็งหรือ

แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นสหายเวินเจียเป่า ก็ไม่แปลกที่จะมีสื่อถามว่าเมืองจีนเจริญเพราะ "ไม่เอาการเลือกตั้ง" ใช่ไหม

พรรคคอมมิวนิสต์จีนคงงวยงงถ้าได้รู้ว่า แม้การปฏิวัติไทยล่มสลายไป 30 ปีแล้ว แต่แนวคิดยึดอำนาจรัฐ ขจัดทุนสามานย์ ใช้ศาลเตี้ย เอ๊ย ศาลประชาชน และปกครองโดยผู้มีอุดมการณ์ที่ไม่ต้องผ่านการเลือกตั้ง ได้หวนกลับมาเป็นที่นิยมในหมู่ชนชั้นกลาง ชนชั้นนำ ทั้งที่เป็นซ้ายเก่า เคยเป็น ส. เป็น ย. หรือเป็นขวาเก่า อย่างอดีตซีไอเอชื่อดังของประเทศ

แม้แต่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ลัทธิมาร์กซ์-เลนิน ความคิดเหมาเจ๋อตง ก็ได้เปลี่ยนเป็นพรรคคอมมิวนิสต์ ร.อ.ไปเรียบร้อย

อันที่จริงไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะพวกเขามองหาประเทศเผด็จการที่ประสบความสำเร็จไม่เจอ เลยหันมาคว้าจีนนี่แหละ เป็นแบบอย่าง ว่าเห็นไหม ไม่ต้องมีการเลือกตั้ง ไม่ต้องเปิดประชาธิปไตย ไม่ต้องให้สิทธิเสรีภาพ จีนก็เจริญได้ โตพรวดพราดกำลังจะกลายเป็นมหาอำนาจของโลกอยู่ไม่กี่วันนี้

ทีแรก พวกไม่เอาเลือกตั้งสนใจศึกษาแบบอย่างอิหร่าน อิหร่านมีเลือกตั้ง แต่ต้องให้ผู้นำศาสนาปั๊มตรารับรองผู้สมัครก่อน พวกนี้ก็คิดว่าเมืองไทยน่าจะมีคณะบุคคลที่อาจจะมาจากองคมนตรี ราษฎรอาวุโส ตุลาการ ผู้จงรักภักดี ฯลฯ ให้การรับรอง "คนดี" มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง แต่ทฤษฎีอิหร่านสู้จีนไม่ได้ เพราะจีนเป็นมหาอำนาจและเศรษฐีใหญ่ในสายตาพวกเขา ก็เลยคิดใหม่ว่า เมื่อจีนปกครองด้วยชาวพรรคคอมมิวนิสต์ผู้มีอุดมการณ์สูงส่ง เมืองไทยก็ควรปกครองด้วยคณะบุคคลดังกล่าว

สหายเอ๋ย คนเหล่านี้ท่าจะเมาสารตกค้างในกระเทียมจีน หรือไม่ก็เผลอเอาพลาสติกจีนเข้าปาก (วันก่อนผมไปเดินตลาด เห็นของเล่นสีสวยน่าซื้อไปฝากหลาน หยิบขึ้นมา ไอ๊หยา Made in China เหมาะสำหรับเด็กอายุ 18+)

เมาจนเห็นแต่ภาพลวงตา ไม่ได้ศึกษาความเป็นมาของพรรคคอมมิวนิสต์จีนและความจำเป็นที่ต้องพัฒนาทุนนิยมให้ถ่องแท้

เมื่อ 30 ปีก่อนผมก็เป็นพวก "ตามก้นจีน" หลงใหลตำนานการเดินทัพทางไกล 25,000 ลี้ อ่านสรรนิพนธ์ประธานเหมาทุกเล่ม ท่องคติพจน์ ว่างๆ ก็กระโดดขึ้นไปยืนบนที่สูง ชูมือขึ้นข้างหนึ่ง อีกข้างกำหมัด ทำหน้าตาขึงขึงกล่าวคำปราศรัย

จนหมดยุคแก๊งสี่คน เติ้งเสี่ยวผิงกลับมาครองอำนาจ กระแสลมพลิกกลับ ผมจึงได้รู้ว่าภาพลักษณ์ของสังคมนิยมจีน สังคมอุดมการณ์ เป็นแค่โฆษณาชวนเชื่อ เกษตรกรรมต้าจ้าย อุตสาหกรรมต้าชิ่ง ไม่ใช่ของจริง เอาเข้าจริง จีนกำลังจะเจ๊ง เพราะความคิดตกขอบยุคแก๊งสี่คน ประชาชนยากจนอย่างเท่าเทียม มีสิ่งอำนวยความสะดวกใช้ในชีวิตไม่กี่อย่าง ได้แก่ จักรยาน วิทยุทรานซิสเตอร์ กระติกน้ำ แล้วอะไรอีกอย่าง นึกไม่ออกแล้ว ที่เขาเรียกกันว่า 4 หมุน

สหายเติ้งจึงประกาศวาทกรรมอันยิ่งใหญ่ "แมวสีไหนก็จับหนูได้" ซึ่งเป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญของลัทธิมาร์กซ์ เลนิน ความคิดเหมาเจ๋อตง นั่นคือก้าวไปสู่การล่มสลายของรัฐสังคมนิยม (ไม่ฮา)

แต่ผมก็เชียร์นะครับ เพราะรู้ดีว่าจีนต้องกระตุ้นพลังการผลิต ให้พ้นจากความสัมพันธ์ทางการผลิตแบบใครขยันขันแข็งก็เอาธงแดงไป 1 ผืน โรงงาน วิสาหกิจต่างๆ บริหารด้วยการท่องคติพจน์ทุกเช้า

ผมเพิ่งมาต่อต้านจีนก็ตอนปราบปรามการเรียกร้องประชาธิปไตยของนักศึกษาที่จตุรัสเทียนอันเหมินอย่างเหี้ยมโหด ไม่ต่างจากสมัยที่พวกขุนศึกปราบนักศึกษาเรียกร้องประชาธิปไตยในยุคที่เหมาเจ๋อตง โจวเอินไหล ยังเป็นหนุ่ม (ขอแนะนำให้ดูหนัง Summer Palace ถ่ายทอดเหตุการณ์กดขี่สิทธิเสรีภาพครั้งนั้นได้อย่างน่าขนลุก ฮิฮิ)

นับแต่นั้น พรรคคอมมิวนิสต์จีนก็สร้างความสัมพันธ์ฉันท์พรรคพี่พรรคน้องกับซีพี คบหาเจ้าสัวธนินทร์มากกว่าลุงธง แจ่มศรี จีนกระตุ้นเศรษฐกิจให้ก้าวกระโดดใหญ่และไปโลด เพราะเวลาสร้างเขื่อนก็กวาดต้อนคนเป็นแสนๆ ออกจากแผ่นดินถิ่นเกิด โดยไม่มีมด วนิดา พาชาวบ้านประท้วง เวลานายทุนสร้างโรงงานปล่อยควันพิษ ก็ไม่มีสุทธิ มาบตาพุด นำชาวบ้านฟ้องศาลปกครอง รัฐวิสาหกิจจะยุบจะย้าย จะยกให้นายทุนอย่างไร ก็ไม่มีสมศักดิ์ โกศัยสุข, สาวิทย์ เสียงหวาน นำม็อบมารังควาน จะวางท่อก๊าซ ก็ไม่มีบรรจง นะแส จะสร้างโรงไฟฟ้า ก็ไม่มีจินตนา แก้วขาว บุกมาล้มโต๊ะจีน ฯลฯ

ไม่ต้องพูดถึงพิภพ ยะใส สมเกียรติ สมัชชาคนจน ถ้าอยู่เมืองจีนมีหวังคุกยาว หนังสือพิมพ์มีแต่ไชนาเดลี เหยินเหมินเยอะเป้า ไม่มีมาเนเจอร์ออนไลน์ เศรษฐกิจจีนจึงโตพรวดพราดไม่แพ้เมืองไทยสมัยจอมพลสฤษดิ์ เกิดมหาเศรษฐี อภิมหาเศรษฐี ร่ำรวยระดับโลกในเวลาไม่กี่ปี

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ว่าเบื้องหลังความสำเร็จของทุนนิยมจีน คือพรรคการเมืองชนชั้นกรรมาชีพ ผู้มีอุดมการณ์อันแน่วแน่

แต่ธรรมชาติมนุษย์นะครับ ที่ไหนมีลัทธิคอมมิวนิสต์ ที่นั่นย่อมมีลัทธิแก้ นับแต่มีลัทธิแก้เกิดขึ้นในโลก ขอบอกว่า "ลัทธิแก้" ครั้งล่าสุดที่เจ้าหน้าที่พรรคพาเมียสาวไปสวิงกิ้งกัน ถือเป็น "ลัทธิแก้" ที่ฮือฮาน่าชมที่สุด ฮิฮิ

อย่างว่า ชนชั้นกรรมาชีพต้องมาอยู่ท่ามกลางทรัพย์สินเงินทอง และวิถีชีวิตที่เต็มไปด้วยแสงสี ต้องทำหน้าที่จัดสรรผลประโยชน์ให้คนอื่น จะให้เอาแต่ทำตาปริบๆ อย่างนั้นหรือ มันไม่เหมือนสมัยเดินทัพทางไกลที่ต้องต้มเนื้อม้ากิน สมัยผมอยู่ป่า 30 ปีก่อน สหายนักศึกษายังแซวกันว่าเลขาเขตฯ ต้องมานั่งแบ่งกะปิ ที่ส่งขึ้นมาจากเมือง ว่าจะให้สำนักไหนได้เท่าไหร่ แบ่งไม่ยุติธรรมทะเลาะกันแย่

ฉะนั้นก็ไม่แปลกหรอกที่มีชาวพรรคคอมมิวนิสต์ถูกลงโทษ 660,000 คนในรอบ 4 ปีกว่า ที่จริงไม่มากเลย เมื่อคิดถึงประชากรพันกว่าล้าน

เจ้าหน้าที่พรรคดีๆ ยังมีเยอะนะครับ มีคนรู้จักไปเปิดโรงงานที่จีน เขาเล่าว่าเจ้าหน้าที่รัฐบาลทำงานไม่ได้เรื่องเลย ต้องไปติดต่อรองเลขาฯ หน่วยพรรค ซึ่งประทับใจมาก บุคลิก "จัดตั้ง" แบบที่เรารู้กัน คือเฉลียวฉลาด สุขุมคัมภีรภาพ อ่อนน้อมถ่อมตนทำให้คนก้าวหน้า พูดจานิ่มนวล พูดเสียงเบาๆ (เพื่อให้เราเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ) เขาจัดการให้แป๊บเดียวเรียบร้อย ไม่มีค่าน้ำร้อนน้ำชา แถมดูแลครบวงจร เช่น จะก่อสร้างโรงงานหรือ ยินดีแนะนำบริษัทรับเหมา จะจ้างยามหรือ ยินดีแนะนำบริษัท รปภ.

เข้าใจว่าบริษัทที่แนะนำคงเป็นลูกที่ดีของพรรค ลูกที่รักของประชาชน ฮิฮิ

นับเป็นเรื่องดีที่สหายนำเห็นความสำคัญ ประกาศกวาดล้างการคอร์รัปชั่นอย่างจริงจัง แม้จะโดนสำนักข่าวบลูมเบิร์กเบรกหัวทิ่มว่าครอบครัวสี่จิ้นผิงมีทรัพย์สิน 370 กว่าล้านดอลลาร์ โห เรื่องธรรมดา ก็ญาติพี่น้องเขาทำธุรกิจ คนเก่งย่อมประสบความสำเร็จ

แต่ไม่ว่าประเทศไหน ระบอบไหนละครับ ลองอำนาจกระจุกอยู่ในมือคนกลุ่มเดียว ไม่มีใครตรวจสอบได้ ต่อให้เป็นชนชั้นกรรมาชีพ ที่ดัดแปลงตนเองท่ามกลางการต่อสู้ อำนาจก็เป็นพิษได้ทั้งนั้น พวกที่เชื่อ "คนดี" ในสังคมไทยยังไม่ตระหนัก

ประชาธิปไตยจึงบอกว่าเราเชื่อแต่คนดีคนมีอุดมการณ์ไม่ได้ ต้องเชื่อระบบที่มีการตรวจสอบถ่วงดุล และเชื่อในเสรีภาพ ซึ่งจีนกำลังจะเผชิญการเรียกร้องเสรีภาพมากขึ้นในเร็วๆ นี้ โห ก็มีคนใช้เน็ตตั้ง 500 ล้าน จะมาบล็อกเว็บหมิ่นฯ (ผู้นำ) อยู่ได้ไง มันต้องออกกฎหมายเพิ่มโทษจำคุก 3-15 ปี

แต่เอาน่า ผมเชื่อว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนเตรียมไว้แล้ว ที่เลือกสี่จิ้นผิงเป็นผู้นำใหม่ เพราะคนเคยเจ็บปวดจากแนวคิดสุดขั้วสุดโต่ง อย่างน้อยก็น่าจะตระหนักในเสรีภาพทางความคิด เสรีภาพนี่เป็นยาพิษร้ายแรงนะครับ เพราะมนุษย์ได้ลิ้มแล้วจะเสพย์ติด ระบอบใดก็ตามที่ปิดกั้นเสรีภาพ ไม่มีทางดำรงอยู่ได้ ประชาธิปไตยจึงไม่มีวันตาย เพราะประชาธิปไตยให้เสรีภาพ

เปิดกว้างเมื่อไหร่ก็ระวังไว้ด้วย อย่าให้ผู้มีรายนามข้างต้นเดินทางเข้าประเทศ ฮิฮิ เดี๋ยวจะเกิด NGO ในจีน เพราะการพัฒนาทุนนิยมจีนยังง่อนแง่น อยู่บนฐานความเหลื่อมล้ำราวฟ้ากับเหว รุกรานเอาเปรียบชนบท ก่อมลภาวะยังกะเมืองไทยยุคจอมพลสฤษดิ์ เอาเข้าจริงผมก็ไม่รู้ว่าจีนเก่ง หรือทุนนิยมโลกเอาจีนเป็นเหยื่อ

ขนาดนั้น ก็ยังมีคน "ตามก้นจีน" อยากสถาปนาระบอบทุนนิยมโดยรัฐ ที่อำมาตย์กำกับดูแลทุน ทำหน้าที่จัดสรรผลประโยชน์แบบพรรคคอมมิวนิสต์

แต่สหายจีนต้องเข้าใจว่า ปรากฏการณ์เปรียบเทียบเกิดเมื่อโอบามากับเวินเจียเป่ามาไทยไล่เลี่ยกันเท่านั้น พวกต่อต้านประชาธิปไตยพยายามต่อต้านกระแสนิยมโอบามา ขนาดยิ้มแย้มแจ่มใสกับนายกฯ หญิงไทยยังหาว่าเล่นหูเล่นตา บางคนก็ขุดประวัติศาสตร์สมัยจักรพรรดินิยมอเมริกามาตั้งฐานทัพ รุกรานเวียดนาม ทั้งที่นั่นมันอเมริกาสมัยคนผิวดำยังถูกแบ่งแยก ถูกห้ามนั่งรถเมล์ปะปนกับคนขาว แต่ตอนนี้คนดำเป็นประธานาธิบดีแล้ว

เดี๋ยวถ้ารัฐบาลให้จีนเข้ามาทำอภิมหาโปรเจกท์ ระบบบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้าน ตามที่ได้ข่าว คนพวกนี้ก็จะหันมาด่าจีนขรมทันที โทษฐานสมคบ "ทุนสามานย์"

โถ ทักษิณเดินทางเข้าออกจีนไม่รู้กี่ครั้ง ยังไม่ทำให้ตีอกชกหัวเท่าทักษิณเข้าอเมริกาครั้งเดียว เอาเข้าจริงก็คบใครไม่ได้ทั้งโลกนั่นแหละ

 

                                                                             ใบตองแห้ง

                                                                             23 พ.ย.55

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

iLaw: เปิดเนื้อหา-ประวัติการใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง-พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

Posted: 23 Nov 2012 01:01 AM PST

ที่มา: โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน

 

ไอลอว์สรุปเนื้อหาและประวัติการใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง และ พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน ในช่วงการชุมนุมทางการเมืองของสังคมไทย ซึ่งแม้เนื้อหาบางส่วนจะขัดกับรัฐธรรมนูญ แต่ก็มีการใช้จนกลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว

 

เนื้อหาโดยย่อ

 

พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551

  • พระราชบัญญัติฉบับนี้เป็นกฎหมายจัดตั้งและเป็นที่มาของอำนาจของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) โดยให้เป็นองค์กรที่ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี (มาตรา 5) ตามปกติแล้วมีหน้าที่ติดตามตรวจสอบสถานการณ์ที่อาจเป็นภัยต่อความมั่นคง เสริมการปฏิบัติงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และดำเนินการอื่นตามที่ได้รับมอบหมาย (มาตรา 7)
     
  • ในกรณีที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร แต่ยังไม่มีความจำเป็นต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และเหตุการณ์นั้นมีแนวโน้มว่าจะอยู่ต่อไปเป็นเวลานาน ทั้งอยู่ในอำนาจของหน่วยงานหลายหน่วย ให้คณะรัฐมนตรีมีอำนาจมอบหมายให้กอ.รมน. เป็นผู้รับผิดชอบในการป้องกัน ปราบปรามเหตุการณ์ดังกล่าว (มาตรา 15)
     
  • ผู้อำนวยการ กอ.รมน. โดย ความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีมีอำนาจออกข้อกำหนด ห้ามเข้าไปในบริเวณพื้นที่ อาคาร หรือสถานที่ที่กำหนด ห้ามออกนอกเคหสถาน ห้ามใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ ให้ปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งเกี่ยวกับเครื่องมืออิเล็กทรอนิคส์ (มาตรา 18)
     
  • ข้อกำหนด ประกาศ คำสั่งหรือการกระทำตามกฎหมายนี้ไม่อยู่ในอำนาจการตรวจสอบของศาลปกครอง แต่อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม (มาตรา 23)
     

พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548

  • นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีมีอำนาจประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ระยะเวลาครั้งละไม่เกินสามเดือน ในกรณีเร่งด่วนนายรัฐมนตรีคนเดียวมีอำนาจประกาศไปก่อน แล้วมาขอความเห็นชอบภายหลังได้ (มาตรา 5)
     
  • เมื่อประกาศแล้ว อำนาจหน้าที่ของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ให้โอนมาเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี (มาตรา 7)
     
  • นายกรัฐมนตรี มีอำนาจออกข้อกำหนดเพื่อ ห้ามมิให้บุคคลใดออกนอกเคหสถานในเวลาที่กำหนด ห้ามมิให้มีการชุมนุมหรือมั่วสุมกัน ณ ที่ใดๆ ห้ามการเสนอข่าว การจำหน่าย ทำให้แพร่หลายซึ่งหนังสือหรือสื่ออื่นใด ที่อาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัวหรือเกิดความไม่สงบ ห้ามใช้เส้นทางคมนาคมหรือยานพาหนะที่กำหนด ห้ามใช้อาคารหรืออยู่ในสถานที่ใดๆ หรืออพยพประชาชนออกจากพื้นที่ที่กำหนด (มาตรา 9)
     
  • ในกรณีที่สถานการณ์ฉุกเฉินมีการก่อการร้าย หรือใช้กำลังประทุษร้าย กระทบต่อความมั่นคง นายกรัฐมนตรีมีอำนาจประกาศให้เป็นสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง โดยให้เจ้าหน้าที่ของรัฐมีหน้าที่เพิ่มเติมขึ้น สามารถจับกุมบุคคลใดที่ต้องสงสัย ออกคำสั่งเรียกบุคคลใดมาให้ข้อมูล ออกคำสั่งยึดอาวุธ หรือสินค้าใดๆที่ต้องสงสัย ออกคำสั่งตรวจค้น รื้อ ทำลายอาคารหรือสิ่งปลูกสร้าง ตรวจสอบจดหมาย โทรเลข โทรศัพท์ ยับยั้งการสื่อสารใดๆ ห้ามผู้ใดเดินทางออกนอกราชอาณาจักร ออกคำสั่งให้ใช้กำลังทหารเพื่อช่วยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ ฯลฯ (มาตรา 11)
     
  • สามารถควบคุมตัวบุคคลที่ต้องสงสัยไว้ได้ไม่เกินเจ็ดวัน (มาตรา 12) (ในกรณีปกติกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาให้ควบคุมตัวได้ไม่เกินสี่สิบแปดชั่วโมง)
     
  • ข้อกำหนด ประกาศ คำสั่งหรือการกระทำตามพระราชกำหนดนี้ ไม่อยู่ในอำนาจการตรวจสอบของศาลปกครอง (มาตรา 16)
     
  • เจ้าหน้าที่ที่ใช้อำนาจตามพระราชกำหนดนี้ไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา และทางวินัย หากเป็นการกระทำที่สุจริตและไม่เกินสมควรแก่เหตุ (มาตรา 17)

 

ประวัติการบังคับใช้


พ.ร.บ.ความมั่นคง

ประกาศใช้เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2551 ในยุคที่ พล.อ.สุ รยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่ประกาศใช้คณะรัฐมนตรีมีมติให้ประกาศเขตพื้นที่ที่ปรากฏเหตุการณ์อัน กระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักรและมอบอำนาจให้กอ.รมน. ควบคุมดูแลทั้งหมด 5 ครั้ง

 

ครั้งที่1

ใน ยุครัฐบาลนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะประกาศพื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราช อาณาจักร ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตและทะเลอาณาเขต 5 กิโลเมตรรอบจังหวัดภูเก็ต ระหว่างวันที่ 10 – 24 กรกฎาคม 2550 ซึ่งเป็นช่วงเวลาการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนและประเทศคู่เจรจา

 

ครั้งที่ 2

ในยุค รัฐบาลนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะประกาศพื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราช อาณาจักร ในพื้นที่เขตดุสิต ระหว่างวันที่ 29 สิงหาคม ถึง 1 กันยายน 2552 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่กลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงจะทำการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่

 

ครั้งที่ 3

ใน ยุครัฐบาลนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะประกาศพื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราช อาณาจักร ในพื้นที่เขตดุสิต เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2552 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่กลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงจะทำการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่

 

ครั้งที่ 4

ใน ยุครัฐบาลนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะประกาศพื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราช อาณาจักร ในพื้นที่หลายอำเภอในจังหวัดเพชรบุรี และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ระหว่างวันที่ 12 ถึง 27 ตุลาคม 2552 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่กำลังจะมีการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนและการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง

 

ครั้งที่ 5

ใน ยุครัฐบาลนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะประกาศพื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราช อาณาจักร ในพื้นที่เขตดุสิต ระหว่างวันที่ 15-25 ตุลาคม 2552 ซึ่ง เป็นช่วงเวลาที่กลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงจะทำการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในกรุงเทพ มหานครขณะที่มีการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนอยู่ที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

 

ครั้งที่ 6

ใน ยุครัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเริ่มประกาศบังคับใช้พ.ร.บ.ความมั่นคงภายในในเขตกรุงเทพฯ และหลายจังหวัดใกล้เคียง ตั้งแต่วันที่ 11 - 23 มี.ค. 2553 และตั้งศูนย์อำนวยการรักษาความสงบ (ศอ.รส.) การประกาศนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมการชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงที่คาดว่า จะมีขึ้นในวันที่ 14 มี.ค. 53 จากนั้นมีการประกาศขยายเวลาต่ออายุ พ.ร.บ.ความมั่นคงต่อไปอีก 7 วัน ตั้งแต่วันที่ 24 - 30 มี.ค. 2553 ในเขตกรุงเทพฯ และบางอำเภอในจังหวัดปริมณฑล ถัดจากนั้น ก็มีการขยายเวลาประกาศพ.ร.บ.ความมั่นคงต่อ ตั้งแต่วันที่ 2 - 5 เม.ย. 53 ด้วยเหตุผลเรื่องความสะดวกในการดูแลความปลอดภัยการประชุมผู้นำประเทศในลุ่ม น้ำโขง โดยระหว่างนั้น เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. ศอ.รส. ก็ได้ออกประกาศห้ามเข้าออกบริเวณที่ชุมนุมละแวกราชประสงค์ จากนั้นคณะรัฐมนตรีมีการประชุมในวันที่ 7 เม.ย. ประกาศจะต่ออายุพ.ร.บ.ความมั่นคงออกไปจนถึงวันที่ 20 เม.ย. ก่อนที่คืนวันเดียวกันนั้นรัฐบาลจะตัดสินใจประกาศพ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉินแทน

 

ครั้งที่ 7

ใน ยุคที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีประกาศพื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราช อาณาจักร ในพื้นที่เขตพระนคร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย และเขตดุสิต ระหว่างวันที่ 22-30 พฤศจิกายน 2555 จากกรณีที่จะมีการจัดการชุมนุมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม "แช่แข็งนักการเมือง" บริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาล

 

พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

ประกาศใช้เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2548 ในยุคที่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี รัฐบาลเคยอาศัยอำนาจตามพระราชกำหนดนี้ออกข้อกำหนดเพื่อประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ทั้งหมด 5 ครั้ง ดังนี้

 

ครั้งที่ 1

ในยุคที่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2548 เพียง 4 วัน หลังประกาศใช้พระราชกำหนด รัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และมีคำสั่งให้ขยายระยะเวลาต่อมาอีกหลายครั้งจนถึงปัจจุบัน

 

ครั้งที่ 2

ในยุคที่นายสมัคร สุนทรเวชเป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2551 รัฐบาล ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ในสถานการณ์ที่ผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยปะทะกับผู้ ชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ บริเวณถนนราชดำเนิน

 

ครั้งที่ 3

ในยุคที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2551 รัฐบาล ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ในสถานการณ์ที่ผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบุกยึดสนามบิน และสถานที่ราชการเพื่อขับไล่รัฐบาล

 

ครั้งที่ 4

ในยุคที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2552 รัฐบาล ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในท้องที่จังหวัดชลบุรี ในสถานการณ์ที่กลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงบุกเข้าไปในบริเวณที่มีการจัดการ ประชุมสุดยอดอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา

 

ครั้งที่ 5

ในยุคที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2552 รัฐบาล ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตกุรงเทพมหานครและหลายจังหวัด ใกล้เคียง ในสถานการณ์ที่กลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงปิดถนนในกรุงเทพมหานครเพื่อขับไล่รัฐบาล

 

ครั้งที่ 6

ใน ยุคที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นนายกรัฐมนตรี ในสถานการณ์ที่มีการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ สะพานผ่านฟ้าและแยกราชประสงค์ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2553 รัฐบาลได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่กรุงเทพฯและ หลายจังหวัด และตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ขึ้น แล้วประกาศให้การชุมนุมดังกล่าวเป็นการชุมนุมที่ผิดกฎหมาย หลังจากนั้นในวันที่ 10 เมษายน 2553 เกิดการปะทะกันรุนแรงขึ้นที่สะพานผ่านฟ้า และถัดมาในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 รัฐบาลสั่งสลายการชุมนุม (กระชับพื้นที่ / ขอพื้นที่คืน) ทั้งยังประกาศเคอร์ฟิวเวลากลางคืนต่อเนื่องกัน 10 คืน และถือเป็นการประกาศเคอร์ฟิวเป็นครั้งแรกในรอบ 18 ปี ปัจจุบัน พื้นที่กรุงเทพมหานครและหลายจังหวัดยังอยู่ภายใต้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน (ข้อมูลล่าสุดวันที่ 2 กรกฎาคม 2553)

 

 

อ่านรายละเอียดได้ที่ http://ilaw.or.th/node/273

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ระหว่างการปกป้องแนวทางประชาธิปไตยกับการปกป้องรัฐบาล

Posted: 22 Nov 2012 08:41 PM PST

เช้าวันที่ 19 สิงหาคม 2534 ชาวรัสเซียตื่นนอนพร้อมจอดำ มีแต่เสียงเพลง Wild Swan ของไชคอฟกี้ บางคนคิดว่ามีใครถึงแก่อสัญกรรม เปล่าหรอก คณะนายทหารชุดหนึ่งได้ร่วมกันทำรัฐประหารยึดอำนาจจากประธานาธิบดีแห่งสหภาพโซเวียต นายมิคาอิล กอร์บาชอฟ (Mikhail S. Gorbachev) เนื่องจากไม่พอใจนโยบายการเปิดประเทศทั้งในทางเศรษฐกิจและการเมือง (Perestroika) ของเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต (Communist Party of the Soviet Union) ท่านนี้

ในช่วงทศวรรษก่อนหน้านี้ กอร์บาชอฟในตำแหน่งเลขาธิการพรรคได้วางแนวทางปฏิรูปประเทศซึ่งประกอบด้วยการเปิดให้มีการเลือกตั้งผู้นำทางตรง และการกระจายอำนาจให้กับบรรดารัฐต่าง ๆ ซึ่งต่อมาแยกเป็นประเทศอิสระ ในยุคของเขาประกอบด้วย 15 รัฐซึ่งรวมกันในนาม "Russian Soviet Federal Socialist Republic"

ก่อนหน้านั้นเมื่อเดือนมิถุนายนปีเดียวกัน มีการเลือกตั้งเป็นครั้งแรกในสหพันธรัฐรัสเซีย (Russian Federation) ซึ่งเป็นหนึ่งใน 15 รัฐนี้ นายบอริซ เยลต์ซิน (Boris Nikolayevich Yeltsin) ถือเป็นประธานาธิบดีคนแรกของประเทศที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน

บอริซ เยลต์ซิน ประธานาธิบดีจากการเลือกตั้งคนแรกของสหพันธรัฐรัสเซีย
กับมวลมหาประชาชน เผชิญหน้ากับรถถัง หลังรัฐประหาร ส.ค.34

บรรดานายทหารที่อยู่ในพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต (CPSU) ต่างไม่พอใจกับการสูญเสียอำนาจของตนให้กับประชาชน และได้รวมตัวกันเคลื่อนรถถังเข้ามาในนครหลวง ใช้โอกาสที่นายกอร์บาชอฟเดินทางไปพักผ่อนที่ต่างจังหวัด เข้ายึดที่ทำการต่าง ๆ และประกาศตนเองเป็นคณะปฏิวัติในนาม "คณะกรรมการในสถานการณ์ฉุกเฉินแห่งรัฐ" (State Committee for the Emergency Situation) (ชื่อคุ้น ๆ ไหม?)

แต่ทหารยึดอำนาจได้แค่สองวัน ประชาชนหลายหมื่นคนนำโดยนายเยลต์ซินได้พากันล้อมที่ทำการ CPSU ซึ่งเป็นเหมือนทำเนียบประธานาธิบดี นายเยลต์ซินปีนขึ้นไปบนรถถังโบกธงพร้อมกับประชาชน ทำให้ทหารไม่กล้ายิงประชาชน และยุติการเคลื่อนไหวไปโดยปริยาย

วันที่ 23 สิงหาคม นายกอร์บาชอฟก็เดินทางกลับมายังนครหลวง ในวันเดียวกันนายเยลต์ซินลงนามในคำสั่งในฐานะประธานาธิบดี สั่งยุบพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต เป็นอันสิ้นสุดระบอบสั่งการจากศูนย์กลางอย่างเป็นทางการ ส่วนนายกอร์บาชอฟก็ลงจากตำแหน่งในปลายปีเดียวกัน สิ้นสุดยุคของผู้ที่ถือว่าเป็นบิดาแห่งรัสเซียยุคใหม่ และผู้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพท่านนี้  

นับแต่ปี 2534 มาจนปัจจุบัน ชาวรัสเซียรวมทั้งประชาชนในรัฐเครือจักรภพอื่น ๆ ซึ่งเคยอยู่ใต้ปีกของสหภาพโซเวียต ก็สามารถเลือกตั้งผู้นำประเทศของตนได้โดยตรง และไม่เคยเกิดเหตุปฏิวัติรัฐประหารขึ้นมาอีก

ในเดือนกุมภาพันธ์ 2534 ปีเดียวกันก็เกิดเหตุรัฐประหารในประเทศไทย แต่ไม่มีคนไทยคนไหน ไม่มีผู้นำการเมืองคนไหนที่หาญกล้าไปปีนรถถังโบกธง คนไทยยอมรับโดยดุษฎี ผลจากการยอมรับระบอบอำนาจนิยมปูทางให้ผู้กระหายอำนาจอย่างสุจินดา คราประยูรตระบัดสัตย์ แอบอ้างตนเป็นผู้นำประเทศ นำไปสู่การประท้วงที่ลุกลามบานปลายในปีต่อมา

ในช่วงที่ผ่านมาของไทยก็มีกระแสที่ปลุกโดยคนกลุ่มหนึ่งซึ่งสูญเสียอำนาจไป พวกเขาไม่ต้องการเห็นรัฐบาลที่ฟังเสียงประชาชน พวกเขาไม่ต้องการเห็นรัฐบาลที่ทำเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ พวกเขาปฏิเสธแนวทางปฏิรูปการเมืองให้ประชาชนลืมตาอ้าปากได้ ที่สำคัญ พวกเขาไม่เห็นว่าการเลือกตั้งเป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยสถาปนาระบอบปกครองที่มั่นคงได้ พวกเขาเรียกร้องให้มีทหารขี่ม้าขาวเข้ามา หรือเรียกร้องให้มีการทำรัฐประหารนั่นเอง

ความคิดสนับสนุนการทำรัฐประหารเช่นนี้ เป็นที่ทราบกันอยู่ว่าไม่สอดคล้องกับโลกสมัยใหม่ นานาอารยะประเทศต่างคัดค้านไม่เห็นด้วยกับผู้นำที่มาจากระบอบเผด็จการ เมื่อปี 2552 ก็เกิดการปฏิวัติยึดอำนาจประธานาธิบดีฮอนดูรัส เป็นเหตุให้บรรดาประเทศละตินอเมริกาคว่ำบาตรไม่ร่วมสังฆกรรมกับรัฐบาลที่มาจากการยึดอำนาจ รัฐบาลสุรยุทธ์ จุลานนท์ ก็ไม่ได้รับเกียรติ ไม่ได้รับการยกย่องจากนานาชาติ เป็นรัฐบาลที่สร้างรอยด่างพร้อยให้ประวัติศาสตร์การเมืองไทยมากสุดชุดหนึ่ง ไม่นับรัฐบาลเผด็จการในช่วงทศวรรษ 2500 และ 2510 ของไทย

จึงมีเหตุผลที่คนจำนวนมากคัดค้านกลุ่มคนที่มุ่งสนับสนุนการทำรัฐประหาร แต่เหตุผลที่คัดค้านไม่น่าจะเป็นการปกป้อง "รัฐบาล" แต่ควรเป็นการปกป้องแนวทางประชาธิปไตยมากกว่า

ดังกรณีชาวรัสเซียที่หาญท้าหอกดาบกระบอกปืน ออกมาชุมนุมใช้เลือดเนื้อของตนขัดขวางรถถังเมื่อปี 2534 พวกเขาไม่ได้ต้องการปกป้องนายกอร์บาชอฟ หรือนายเยลต์ซิน หรือรัฐบาลของนายเยลต์ซิน พวกเขาปกป้องแนวทางการปฏิรูป การเปิดประเทศ พวกเขาปกป้องโอกาสที่จะได้ใช้สิทธิในการเลือกผู้นำประเทศโดยตรง และถือเป็นการเสียสละที่คุ้มค่า

แม้ว่าน่าเสียดายที่ผู้นำที่ได้รับคะแนนเสียงอย่างท่วมท้นอย่างนายเยลต์ซิน ซึ่งปกครองประเทศยาวนานเกือบทศวรรษต่อมา สุดท้ายก็ต้องหลุดจากตำแหน่งตามวิถีทางประชาธิปไตย อันเนื่องมาจากการคอรัปชั่น เอื้อต่อพวกพ้องของตนเอง การใช้กำลังทหารปราบปรามการต่อต้านของประชาชน และการใช้กำลังทหารเข้าไปรุกรานในรัฐในเครือจักรภพอย่างที่เชชเนีย

กลุ่มคนที่รักประชาธิปไตยจึงควรแยกแยะระหว่างการปกป้องรัฐบาล กับการปกป้องแนวทางประชาธิปไตย "รัฐบาล" เป็นกลุ่มคนที่ได้รับอำนาจโดยสมมติจากประชาชน แต่นาน ๆ ไปก็เหมือนที่ Lord Acton ว่า "อำนาจมีแนวโน้มฉ้อฉล อำนาจเบ็ดเสร็จฉ้อฉลโดยเบ็ดเสร็จ" มีความเป็นไปได้ว่าไม่ว่ารัฐบาลใดก็หลงระเริงกับอำนาจของตนเอง ไม่ต้องการให้ฝ่ายใดเข้ามาตรวจสอบ มีความพยายามทำลายกลไกตรวจสอบต่าง ๆ

 "รัฐบาล" จึงไม่ใช่สิ่งที่ประชาชนจะต้องปกป้อง แต่รัฐบาลเป็นกลุ่มคนที่จะต้องถูกตรวจสอบ ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างสม่ำเสมอ

ดังนั้น เราไม่ควรสับสนระหว่างการออกมาเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านการชุมนุมของกลุ่มองค์กรพิทักษ์สยาม กับการปกป้องรัฐบาล ผมคิดว่าเป็นสองเรื่องที่ไม่เกี่ยวกัน

ผมเป็นคนหนึ่งที่คัดค้านแนวทางของกลุ่มองค์กรพิทักษ์สยามเพราะไม่เห็นด้วยกับการเสนอระบบลากตั้งเพื่อทดแทนกระบวนการทางประชาธิปไตย ผมไม่เห็นด้วยกับการ "แช่แข็ง" ประเทศ กับการให้ใครก็ไม่รู้แต่งตั้งใครก็ไม่รู้กลุ่มหนึ่งขึ้นมาบริหารบ้านเมือง ผมไม่เชื่อว่ากระบวนการที่มิชอบเช่นนี้จะออกดอกผลที่งดงามได้

แต่ในขณะเดียวกัน การที่รัฐบาลอ้างเหตุต่าง ๆ อ้างข่าวกรองต่าง ๆ ว่าผู้ชุมนุมกลุ่มองค์กรพิทักษ์สยามจะบุกเข้ายึดที่ทำการต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งบุกจับตัวผู้นำประเทศ ผมเห็นว่าเป็นการอ้างข่าวลอย ๆ แล้วการข่าวที่ผ่านมาของหน่วยงานทหารเหล่านี้ที่กำลังเป็นผู้บังคับใช้พระราชบัญญัติความมั่นคงในประเทศน่าเชื่อถือนักหรือ

เพราะถ้าหน่วยข่าวกรองไทยทำหน้าที่ได้มีประสิทธิภาพจริง ป่านนี้เหตุการณ์ภาคใต้ก็ไม่ลุกลามบานปลายแบบนี้แล้ว ระเบิดแต่ละครั้ง เจ้าหน้าที่มารู้ทีหลังทั้งนั้น และเดิมการก่อเหตุมักเกิดที่อำเภอรอบนอก แต่ปัจจุบันเกิดในเขตอ.เมือง เกิดในตลาดสด ฯลฯ ก็หน่วยงานอย่างกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) หรือสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ดูแลงานภาคใต้มาตั้งเกือบ 10 ปี คุณอดุลย์ แสงสิงแก้วก็มาจากภาคใต้เหมือนกัน เคยเป็นผบ.ศปก.ตร.สน. ถามว่าผลงาน "ข่าวกรอง" ภาคใต้ที่ผ่านมายอมรับได้ไหม

การที่รัฐบาลตัดสินใจประกาศใช้ พรบ.ความมั่นคงฯ จึงถือเป็นความน่าละอายของรัฐบาลที่อ้างว่ามาจากการเลือกตั้งตามวิถีทางประชาธิปไตย

ที่ท่านนายกฯ ออกอากาศทางโทรทัศน์ชี้แจงว่าการประกาศกฎหมายเผด็จการฉบับนี้เป็นไปเพื่อ "รักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง รักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน" ผมว่าไม่จริง ผมเชื่อว่าท่านประกาศใช้อำนาจเผด็จการเพียงเพื่อปกป้องรัฐบาลตนเองมากกว่า เป็นการปกป้องอำนาจของกลุ่มบุคคล หาได้เป็นการปกป้องวิถีทางแห่งประชาธิปไตยไม่

กรุณาแยกให้ออกระหว่างการปกป้องแนวทางประชาธิปไตยกับการปกป้องรัฐบาล

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นศ.อีสานชี้ปัญหา7ข้อจากแช่แข็งประเทศไทย

Posted: 22 Nov 2012 06:20 PM PST

องค์การนิสิต-นักศึกษาเพื่อประชาชน (อ.น.ป.)ซึ่งเป็นกลุ่มกิจกรรมทางการเมืองของนักกิจกรรมนักศึกษาในภาคอีสานจาก ม.มหาสารคามและ ม. อุบลราชธานี ได้ออกแถลงการณ์ชี้5ปัญหาการเมืองและอีก2ปัญหาเศรษฐกิจสังคมจากการเคลื่อนไหวขององค์กรพิทักษ์สยาม

******************************************

 

แถลงการณ์

องค์การนิสิต-นักศึกษาเพื่อประชาชน (อ.น.ป.)

Student for People Organization (S.P.O)

 

ประณามการชุมชุนของกลุ่ม "องค์การพิทักษ์สยาม" ที่พยายามล้มระบอบประชาธิปไตยไทย

เนื่องด้วยในสถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน "องค์การพิทักษ์สยาม" นำโดยพลเอกบุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ประธานกลุ่ม ได้ประกาศชุมนุมใหญ่ขั้นแตกหักโดยมีเป้าหมายล้มล้างรัฐบาลจากการเลือกตั้ง ยกเลิกประชาธิปไตย ปิดประเทศประเทศไทย 5 ปี (แช่แข็งประเทศไทย) ในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2555 โดยก่อนหน้านี้ได้มีการชุมนุมของกลุ่มดังกล่าวหนึ่งครั้งที่สนามม้านางเลิ้ง และประธานกลุ่มได้แสดงท่าทีชัดเจนว่าไม่เชื่อมั่นศรัทธาระบอบประชาธิปไตยและ การเลือกตั้ง และมีความประสงค์จะนำไปสู่การรัฐประหาร

องค์การนิสิต-นักศึกษาเพื่อประชาชน ซึ่งเป็นกลุ่มที่ก่อตั้งขึ้นจากการรวมกลุ่มกิจกรรมนักศึกษาในมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ซึ่ง องค์การนิสิต-นักศึกษาเพื่อประชาชน มีความเห็นว่า การชุมนุมขั้นแตกหักโดยมีเป้าหมายล้มล้างรัฐบาล ยกเลิกประชาธิปไตย แช่แข็งประเทศไทย มีแนวโน้มจะก่อให้เกิดความรุนแรงนองเลือด และเป็นการเปิดทางให้เกิดรัฐประหาร ตลอดจนก่อให้เกิดหายนะทั้งในทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม กล่าวคือ

 ทางการเมือง

 1.การล้มล้างรัฐบาลจากการเลือกตั้ง ยกเลิกประชาธิปไตย แช่แข็งประเทศไทย ขัดกับเจตจำนงค์ของประชาชนทั้งประเทศที่ต้องการการปกครองระบอบประชาธิปไตย มีรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยเป็นกฎหมายสูงสุด และมีหลักนิติธรรม การกระทำดังกล่าวจึงขาดความชอบธรรมเพราะขัดกับเจตจำนงค์ของประชาชนที่ แสดงออกอย่างสันติผ่านการเลือกตั้ง การเรียกร้องรัฐบาลให้ลงจากอำนาจย่อมสามารถกระทำได้โดยสันติภายใต้กฎกติกา ที่ไม่ขัดกับหลักการประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญ และกฎหมายเท่านั้น

 2.การประกาศฤกษ์ 901 เป็นการดึงพระมหากษัตริย์มาพัวพันการเมืองและใช้เป็นเครื่องมือทำลายล้าง ฝ่ายตรงข้าม เป็นการดึงเอาพระมหากษัตริย์มาปะทะกับรัฐบาลและประชาชน ซึ่งจะก่อผลร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ในท้ายที่สุด ดังเช่นตลอด 7 ปีที่ผ่านมา บรรดาผู้ที่อ้างว่าจงรักภักดีทั้งหลายต่างนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็น เครื่องมือทางการเมืองทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามจนก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทั้ง สถาบันพระมหากษัตริย์และประชาชนในวงกว้าง

3.ประเทศไทยยามนี้ต้องการความสงบสุข ซึ่งไม่เพียงเป็นการเปิดโอกาสให้ประเทศได้ฟื้นฟูเยียวยาความบอบช้ำจากวิกฤติ การณ์ทางการเมืองและภัยธรรมชาติเท่านั้น หากแต่ความสงบสุขยังนำมาซึ่งโอกาสในการพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าที่พี่ น้องประชาชนได้ประโยชน์ร่วมกันถ้วนหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสงบสุขย่อมนำมาซึ่งโอกาสในการแก้ไขปัญหาคลี่คลาย วิกฤติโดยสันติ ทั้งปัญหาประชาธิปไตย ความยุติธรรม ความเหลื่อมล้ำ ความสมานฉันท์ปรองดองของคนในชาติ ตลอดจนการปฏิรูปประเทศเพื่อความก้าวหน้าครั้งใหญ่

4.การล้มล้างรัฐบาลจากการเลือกตั้ง ยกเลิกประชาธิปไตย แช่แข็งประเทศไทย อาจมีประชาชนจำนวนมหาศาลไม่พอใจ และออกมาต่อต้านจนอาจเกิดการปะทะ นำไปสู่ความรุนแรง และอาจบานปลายกลายเป็นสงครามกลางเมืองได้

5.การล้มล้างรัฐบาลจากการเลือกตั้ง ยกเลิกประชาธิปไตย แช่แข็งประเทศไทย จะทำให้ประเทศไทยสูญเสียโอกาสในการได้ประโยชน์จากเวทีการเมืองระหว่างประเทศ ถูกนานาชาติคว่ำบาตร ลงโทษ ไม่คบหาสมาคม ทำให้สูญเสียผลประโยชน์ทางการเมือง เศรษฐกิจ ความสัมพันธ์อันดีกับนานาชาติ และเสียเกียรติภูมิของประเทศชาติ

ทางเศรษฐกิจ และทางสังคม

6.การล้มล้างรัฐบาลจากการเลือกตั้ง ยกเลิกประชาธิปไตย แช่แข็งประเทศไทย จะทำให้ไทยสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ การทำมาหากิน การค้าขายจะฝืดเคือง ภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม ตลอดจนประชาชนขาดความเชื่อมั่นทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวชะงักงัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบเศรษฐกิจไทยเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับระบบเศรษฐกิจโลก ไทยอาจถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจจากประชาคมโลก และอาจจะนำไปสู่วิกฤติเศรษฐกิจภายในประเทศได้ในที่สุด ผลกระทบทางเศรษฐกิจจะตกแก่คนส่วนใหญ่ของประเทศ โดยเฉพาะผู้ที่ไม่มีความมั่นคงในอาชีพและมีรายได้น้อย และจะเกิดปัญหาสังคมและอาชญากรรมตามมา

7.การล้มล้างรัฐบาลจากการเลือกตั้ง ยกเลิกประชาธิปไตย แช่แข็งประเทศไทย จะนำไปสู่ความแตกแยกร้าวลึกของคนในชาติยิ่งกว่าที่เป็นมา และแพร่กระจายไปทุกหย่อมหญ้า ลงลึกถึงระดับครัวเรือน นำไปสู่ความรุนแรงและความไม่สงบทั่วไปอย่างกว้างขวางในระดับประชาชนจนยาก เกินเยียวยา

พวกเราผู้มีรายนามข้างท้ายแถลงการณ์นี้ เคารพเสรีภาพในการชุมนุมโดยสันติปราศจากอาวุธ แต่พวกเราคัดค้านการการกระทำใดก็ตามที่นำไปสู่ล้มล้างรัฐบาลจากการเลือกตั้ง ยกเลิกระบอบประชาธิปไตย แช่แข็งประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรัฐประหาร จึงขอเรียกร้องให้องค์การพิทักษ์สยามทบทวนเป้าหมายและท่าทีในการเคลื่อนไหว และขอเรียกร้องให้ประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตยทุกหมู่เหล่าทั้ง นักธุรกิจ ผู้ประกอบการ และพนักงานทั้งภาคการผลิตและภาคบริการ นิสิตนักศึกษา นักการเมือง ข้าราชการทั้งพลเรือน ตำรวจ และทหาร สื่อมวลชน ผู้ประกอบอาชีพอิสระ ผู้ใช้แรงงาน เกษตรกร ฯลฯ ร่วมกันแสดงออกอย่างสันติว่าไม่เห็นด้วยกับการกระทำดังกล่าว

     22 พฤศจิกายน 2555

องค์การนิสิต-นักศึกษาเพื่อประชาชน (อ.น.ป.)

               Student for People Organization (S.P.O.)

 

"ด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งอำนาจสูงสุดต้องเป็นของประชาชน"

รายชื่อกลุ่มองค์กรเครือข่าย : องค์กรอิสระเถียงนาประชาคม, กลุ่มเพื่อนสังคม นิติศาสตร์มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, กลุ่มคนสร้างฝัน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, กลุ่มโรงเรียนปุกฮัก มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, กลุ่มนักกิจกรรมก้าวใหม่ ,กลุ่มแสงแห่งเสรี มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี

เสื้อแดงร่วมชุมนุมเชียงใหม่ประกาศต้านรัฐประหารปราบกบฎ

Posted: 22 Nov 2012 05:51 PM PST

เสื้อแดงชุมนุมปราบกบฏที่เชียงใหม่ ประกาศสลายกลุ่มย่อย รวมพลัง ต้านรัฐประหาร ปรับแผนงดแรลลี่รอบเมืองระบุไม่อยากสร้างปัญหาจราจร แกนนำ นปช.เข้าร่วมคึกคัก อาทิ จตุพร ธิดา

ที่เชียงใหม่วันนี้ (22 พฤศจิกายน 2555) เวลาประมาณ 16.00น.  กลุ่ม นปช.แดงเชียงใหม่และเสื้อแดงเชียงใหม่ทุกกลุ่มร่วมกับแนวร่วมประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแห่งชาติ (นปช.) จัดชุมนุม "นักรบแดงปราบกบฏ" ตามที่ได้แถลงข่าวไว้เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2555  โดยเริ่มกิจกรรมแรลลี่จากอำเภอรอบนอกมารวมขบวนกันเข้าสู่บริเวณสนามกีฬาเทศบาลเมืองเชียงใหม่  มีกลุ่มเสื้อแดงต่างๆ จากอำเภอรอบนอกของเชียงใหม่และ 17 จังหวัดภาคเหนือเข้าร่วมอย่างน้อยประมาณ 20,000 คน (จากการประเมินของเจ้าหน้าที่กองอำนวยการรักษาความปลอดภัย)

แกนนำท้องถิ่นจากกลุ่มต่างๆ และแกนนำจากส่วนกลางสลับสับเปลี่ยนกันขึ้นเวทีปราศรัย  มีนางธิดา ถาวรเศรษฐ์ และนายจตุพร พรหมพันธุ์ เป็นผู้ปราศรัยหลัก  รวมทั้งมีการโฟนอินจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้ามาโดยเนื้อหาสำคัญมุ่งไปที่การปกป้องรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และต่อต้านการชุมนุมเพื่อแช่แข็งประเทศไทยที่จะจัดขึ้นในวันที่ 24 พฤศจิกายนนำโดยพลเอกบุญเลิศ แก้วประสิทธิ์  โดยมีการใช้ริบบิ้นสีเขียวเป็นสัญลักษณ์ "ขอไฟเขียวให้ประเทศไทย" เช่นเดียวกับกิจกรรมของนักศึกษาม.ธรรมศาสตร์กลุ่มหนึ่งที่ถนนสีลมด้วย

ด.ต.พิชิต ตามูล ผู้ประสานงานกลุ่มนปช.แดงเชียงใหม่ กล่าวว่า  "ได้เปลี่ยนแผนจากการเคลื่อนขบวนรอบเมืองเชียงใหม่เป็นให้ขบวนรถตรงเข้าสู่บริเวณชุมนุมเลย  เพราะเกรงว่าการจราจรจะติดขัดกระทบกับผู้ใช้ถนนในเวลาเร่งด่วน"  ส่วนประเด็นข่าวลือที่ว่าอาจมีการสร้างสถานการณ์ก่อความวุ่นวายหรือขู่เอาชีวิตแกนนำนั้น ด.ต.พิชิต ตอบว่า "ก็มีความกลัวอยู่  แต่ถ้ากลัวแล้วเราไม่ขยับอะไรเลยก็จะทำให้ที่สู้กันมาหลายปีไม่เหลืออะไร  เรายืนยันจะเปิดหน้าสู้แล้ว ถ้ากลัวแล้วหนีไปก็ไม่มีค่า  อย่างน้อยล้มไปสักคนก็คงจะทำให้คนอื่นลุกขึ้นมา"

นายสว่าง วงศ์วิลาศ ซึ่งมักถูกเรียกว่าสหายดวง หรือลุงแก้วแกนนำกลุ่มคนรักฝาง แม่อาย ไชยปราการ ผู้นำมวลชนมาร่วมชุมนุมประมาณ 1,000 คนกล่าวว่า "ไม่เชื่อว่าการรัฐประหารจะเป็นไปได้  ทั่วโลกไม่ยอมรับ  ประชาชนตื่นตัวแล้ว  ถ้าเกิดมีขึ้นจริงไม่มีทางที่จะปกครองได้" ต่อคำถามว่าเหตุใดจึงเข้าร่วมชุมนุมครั้งนี้ นายสว่างเห็นว่า "ต่อสู้มานานกับชาวนาชาวไร่  ทนไม่ได้ที่มีกลุ่มคนที่ดูถูกประชาชนจะมาล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง  อยากให้แดงเหนือเป็นหนึ่งเดียวเหมือนกับแดงภาคอื่นๆ  สลายชื่อกลุ่มเสีย  แม้ว่าเราอาจจะมียุทธวิธีต่างกัน ก็ขอให้แบ่งงานกันทำ  ไม่แก่งแย่งกัน  ถ้าฝ่ายเผด็จการออกมาอาละวาดอีกก็จะต้องออกมาต่อต้านร่วมกัน  ส่วนถ้าอีกฝ่ายมาชุมนุมตามกติกาก็จะเฝ้าระวังอย่างสร้างสรรค์  ไม่ใช่เฉพาะกลุ่มเสธ.อ้าย  แต่คนเสื้อแดงต้องไม่ตกเป็นเครื่องมือในการสร้างสถานการณ์ไม่ว่าจะถูกยั่วยุอย่างไร  ขอให้พี่น้องเสื้อแดงระวังอย่าไปเข้าทางเขา"

ผู้ชุมนุมจากกลุ่ม "คนหัวใจเดียวกันนครสวรรค์" กล่าวว่า "มาพร้อมกันโดยรถบัส 200 คนเพื่อแสดงพลังและถือโอกาสเที่ยวเชียงใหม่ด้วย  เรามาเพื่อสิ่งที่ถูกต้อง  รัฐบาลที่เราเลือกมาอยู่ๆ จะมาแช่แข็งไม่ยอมอยู่แล้ว  ส่วนตัวกลัวว่าจะมีรัฐประหารจริงๆ แต่ก็พร้อมจะสู้"

ส่วนผู้ชุมนุมจากลำปางเดินทางมาด้วยรถบัส 16 คัน และรถตู้อีก 3 คัน  รวมประมาณ 700 คน  สะท้อนเกี่ยวกับการประเมินสถานการณ์ว่า "ไม่เชื่อว่าการชุมนุมแช่แข็งจะล้มรัฐบาลได้  แต่เรื่องรัฐประหารก็ 50/50 กลัวมือที่มองไม่เห็นมากกว่า"


 

ภาพประกอบจาก: Arale Cm Cheug Cheug

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น