โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

นักวิทยาศาสตร์พัฒนา 'อนุภาคนาโน' เพื่อรักษาโรค

Posted: 19 Nov 2012 10:27 AM PST

 

นักวิทยาศาสตร์จากม.นอร์ทเวสท์เทิร์น สหรัฐฯ พัฒนาดัดแปลงอนุภาคขนาดเล็กระดับนาโน ซึ่งสามารถช่วยรักษาโรคจากระบบภูมิคุ้มกันเช่น โรคปลอกหุ้มเส้นประสาทอักเสบ โดยยับยั้งระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายเพียงบางตัว ไม่ให้ทำลายร่างกายตัวเอง แทนการใช้ยาที่ยับยั้งระบบภูมิคุ้มกันทั้งหมด

เมื่อวันที่ 18 พ.ย. ที่ผ่านมา นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยนอร์ทเวสท์เทิร์นในสหรัฐฯ ที่ได้รับทุนจากสถาบันสุขภาพแห่งชาติ ได้พัฒนาดัดแปลงอนุภาคขนาดเล็กมากซึ่งสามารถช่วยรักษาโรคสำคัญๆ อย่าง โรคปลอกหุ้มเส้นประสาทอักเสบ, โรคเบาหวานชนิดที่ 1, โรคภูมิแพ้ และโรคแพ้อาหาร

การรายงานของ The Independent ระบุว่า โรคดังกล่าวเป็นผลมาจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายเข้าจู่โจมตัวร่างกายเอง เมื่อปรับสภาพอย่างดีแล้ว อนุภาคนาโนจะสามารถหยุดการกระทำของภูมิคุ้มกันไม่ให้เข้าจู่โจมร่างกายของผู้ใช้ได้

โดยปกติแล้วยาที่ใช้ในการรักษาโรคเหล่านี้จะทำการยับยั้งระบบภูมิคุ้มกันทั้งหมด ทำให้ผู้ป่วยยิ่งไวต่อการติดเชื้อและโรคมะเร็ง แต่ในอนาคตผู้ป่วยอาจได้รับการรักษาโดยอนุภาคนาโนซึ่งทำการเลือกยับยั้งระบบภูมิคุ้มกันเฉพาะส่วนที่ทำให้เกิดโรคได้

นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยนอร์ทเวสท์เทิร์นได้ทำการทดลองโดยใช้เทคนิคดังกล่าวเพื่อยับยังโรคปลอกหุ้มเส้นประสาทอักเสบในหนูทดลอง โรคปลอกหุ้มเส้นประสาทอักเสบเกิดขึ้นจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายเข้าจู่โจมเยื่อหุ้มไมอีลินซึ่งครอบเส้นใยประสาทในสมองและเส้นประสาทไขสันหลัง ทำให้เกิดอาการชาไปจนถึงเป็นอัมพาต

เหล่านักวิทยาศาสตร์ได้ฉีดอนุภาคนาโนเข้าไปเกาะกับไมอีลินแอนติเจนโปรตีน เพื่อยับยั้งไม่ให้ระบบภูมิคุ้มกันคิดว่าเยื่อหุ้มไมอีลินเป็นผู้รุกรานร่างกาย ซึ่งทำให้ภูมิคุ้มกันกลับสู่สภาพเดิมและยับยั้งการจู่โจม

สตีเฟน มิลเลอร์ ศาตราจารย์ด้านจุลชีววิทยาผู้ที่เขียนบทวิจัยลงในวารสารเนเจอร์ ไบโอเทคโนโลยี กล่าวว่า "นี่เป็นการค้นพบที่สำคัญมาก ความงดงามของเทคโนโลยีใหม่นี้คือการใช้มันกับโรคที่เกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันได้หลายโรค เราแค่เปลี่ยนแอนติเจนที่ถูกส่งเข้าไป"

"พวกเราได้นำอนุภาคเหล่านี้เข้าไปในตัวสัตว์ที่มีโรคคล้ายกับโรคปลอกหุ้มเส้นประสาทอักเสบชนิดเป็นๆ หายๆ (relapsing remitting multiple sclerosis) และสามารถหยุดยั้งมันได้ พวกเราสามารถป้องกันการกำเริบของโรคได้มากถึง 100 วัน ซึ่งเปรียบเทียบได้กับหลายปีในกรณีของผู้ป่วยที่เป็นคน" มิลเลอร์กล่าว

ทางองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ ได้ให้การรับรองอนุภาคนาโนนี้แล้วในการใช้งานแบบอื่น และสามารถนำมาผลิตเพื่อการรักษาได้ถูกกว่าวิธีการอื่น

นักวิจัยยังได้แสดงให้เห็นในห้องทดลองอีกว่า อนุภาคนาโนดังกล่าวยังสามารถใช้ป้องกันโรคจากระบบภูมิคุ้มกันอื่นๆ ได้อีกด้วย เช่น โรคเบาหวานชนิดที่ 1 และโรคภูมิแพ้บางชนิด นอกจากนี้ยังสามารถนำมาใช้กับผู้ปลูกถ่ายอวัยวะเพื่อลดปัญหาการที่ร่างกายปฏิเสธอวัยวะใหม่ โดยการสอนให้ระบบภูมิคุ้มกันรุ้ว่าอวัยวะที่ปลูกถ่ายไม่ใช่สิ่งภายนอกร่างกาย

ที่มา

Scientists develop nanoparticle method to help tackle major diseases, The Independent, 18-11-2012

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นักวิทยาศาสตร์พัฒนา 'อนุภาคนาโน' เพื่อรักษาโรค

Posted: 19 Nov 2012 09:06 AM PST

นักวิทยาศาสตร์จาก ม.นอร์ทเวสท์เทิร์น สหรัฐฯ พัฒนาดัดแปลงอนุภาคขนาดเล็กระดับนาโน ซึ่งสามารถช่วยรักษาโรคจากระบบภูมิคุ้มกันเช่น โรคปลอกหุ้มเส้นประสาทอักเสบ โดยยับยั้งระบบภูมิคุ้มกันในร่างหายเพียงบางตัว ไม่ให้ทำลายร่างกายตัวเอง แทนการใช้ยาที่ยับยั้งระบบภูมิคุ้มกันทั้งหมด

เมื่อวันที่ 18 พ.ย. ที่ผ่านมา นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยนอร์ทเวสท์เทิร์นในสหรัฐฯ ที่ได้รับทุนจากสถาบันสุขภาพแห่งชาติ ได้พัฒนาดัดแปลงอนุภาคขนาดเล็กมากซึ่งสามารถช่วยรักษาโรคสำคัญๆ อย่าง โรคปลอกหุ้มเส้นประสาทอักเสบ, โรคเบาหวานชนิดที่ 1, โรคภูมิแพ้ และโรคแพ้อาหาร

เนื้อความจาก The Independent ระบุว่า โรคดังกล่าวเป็นผลมาจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายเข้าจู่โจมตัวร่างกายเอง เมื่อปรับสภาพอย่างดีแล้ว อนุภาคนาโนจะสามารถหยุดการกระทำของภูมิคุ้มกันไม่ให้เข้าจู่โจมร่างกายของผู้ใช้ได้

โดยปกติแล้วยาที่ใช้ในการรักษาโรคเหล่านี้จะทำการยับยั้งระบบภูมิคุ้มกันทั้งหมด ทำให้ผู้ป่วยยิ่งไวต่อการติดเชื้อและโรคมะเร็ง แต่ในอนาคตผู้ป่วยอาจได้รับการรักษาโดยอนุภาคนาโนซึ่งทำการเลือกยับยั้งระบบภูมิคุ้มกันเฉพาะส่วนที่ทำให้เกิดโรคได้

นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยนอร์ทเวสท์เทิร์นได้ทำการทดลองโดยใช้เทคนิคดังกล่าวเพื่อยับยังโรคปลอกหุ้มเส้นประสาทอักเสบในหนูทดลอง โรคปลอกหุ้มเส้นประสาทอักเสบเกิดขึ้นจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายเข้าจู่โจมเยื่อหุ้มไมอีลินซึ่งครอบเส้นใยประสาทในสมองและเส้นประสาทไขสันหลัง ทำให้เกิดอาการชาไปจนถึงเป็นอัมพาต

เหล่านักวิทยาศาสตร์ได้ฉีดอนุภาคนาโนเข้าไปเกาะกับไมอีลินแอนติเจนโปรตีน เพื่อยับยั้งไม่ให้ระบบภูมิคุ้มกันคิดว่าเยื่อหุ้มไมอีลินเป็นผู้รุกรานร่างกาย ซึ่งทำให้ภูมิคุ้มกันกลับสู่สภาพเดิมและยับยั้งการจู่โจม

สตีเฟน มิลเลอร์ ศาตราจารย์ด้านจุลชีววิทยาผู้ที่เขียนบทวิจัยลงในวารสารเนเจอร์ ไบโอเทคโนโลยี กล่าวว่า "นี่เป็นการค้นพบที่สำคัญมาก ความงดงามของเทคโนโลยีใหม่นี้คือการใช้มันกับโรคที่เกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันได้หลายโรค เราแค่เปลี่ยนแอนติเจนที่ถูกส่งเข้าไป"

"พวกเราได้นำอนุภาคเหล่านี้เข้าไปในตัวสัตว์ที่มีโรคคล้ายกับโรคปลอกหุ้มเส้นประสาทอักเสบชนิดเป็นๆ หายๆ และสามารถหยุดยั้งมันได้ พวกเราสามารถป้องกันการกำเริบของโรคได้มากถึง 100 วัน ซึ่งเปรียบเทียบได้กับหลายปีในกรณีของผู้ป่วยที่เป็นคน" มิลเลอร์กล่าว

ทางองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ ได้ให้การรับรองอนุภาคนาโนนี้แล้วในการใช้งานแบบอื่น และสามารถนำมาผลิตเพื่อการรักษาได้ถูกกว่าวิธีการอื่น

นักวิจัยยังได้แสดงให้เห็นในห้องทดลองอีกว่า อนุภาคนาโนดังกล่าวยังสามารถใช้ป้องกันโรคจากระบบภูมิคุ้มกันอื่นๆ ได้อีกด้วย เช่น โรคเบาหวานชนิดที่ 1 และโรคภูมิแพ้บางชนิด นอกจากนี้ยังสามารถนำมาใช้กับผู้ปลูกถ่ายอวัยวะเพื่อลดปัญหาการที่ร่างกายปฏิเสธอวัยวะใหม่ โดยการสอนให้ระบบภูมิคุ้มกันรุ้ว่าอวัยวะที่ปลูกถ่ายไม่ใช่สิ่งภายนอกร่างกาย

 
 
ที่มา
Scientists develop nanoparticle method to help tackle major diseases, The Independent, 18-11-2012
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อัยการสั่งฟ้อง "สนธิ" และแกนนำพันธมิตรฯ คดีชุมนุมล้อมทำเนียบ-สภาปี51 20 พ.ย.นี้

Posted: 19 Nov 2012 08:55 AM PST

อัยการสั่งฟ้อง 'สนธิ-เเกนนำพธม.' คดีชุมนุมล้อมทำเนียบ-สภาปี51 เตรียมนำตัวส่งศาล20 พ.ย.นี้ ทนายเผย "สนธิ" พร้อมมาพรุ่งนี้ 9 โมง ส่วนบางรายขอเลื่อนเหตุรอเงินประกันตัวจากกองทุนยุติธรรม

19 พ.ย.55 ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก นายประยุทธ ป.สัตยารักษ์ อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 10 กล่าวถึงความคืบหน้าคดีแกนนำพันธมิตรฯ ชุมนุมหน้ารัฐสภาและบุกรุกทำเนียบรัฐบาล และรวมทั้งคดีนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ หมิ่นประมาท พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และนายเนวิน ชิดชอบ เเกนนำพรรคภูมิใจไทย ว่าในวันพรุ่งนี้ (20 พ.ย.) อัยการคดีอาญา 10 นัดส่งตัวนายสนธิยื่นฟ้องต่อศาลอาญา 3 สำนวน ประกอบด้วย

1. คดีที่นายสนธิและพวกรวม 20 คนชุมนุมที่รัฐสภาเมื่อวันที่ 5-7 ต.ค. 2551

2. คดีที่นายสนธิและกับพวกรวม 6 คนบุกเข้าทำเนียบรัฐบาลในวันที่ 26-31 ส.ค. 2551

3. คดีที่นายสนธิหมิ่นประมาท พ.ต.ท.ทักษิณ

โดยทนายของนายสนธิได้ติดต่อและแจ้งให้ทราบว่านายสนธิพร้อมจะเดินทางมาที่ศาลในวันพรุ่งนี้ ส่วนจำเลยคนอื่นๆ ถ้าไม่เดินทางมาที่ศาลในพรุ่งนี้โดยไม่แจ้งเหตุผลและความจำเป็นในการขอเลื่อนเพื่อฟังคำสั่งคดีก็จะเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ต้องตามจับกุมต่อไป

ส่วนคดีที่นายสนธิหมิ่นประมาทนายเนวินนั้น อัยการยังจะไม่ได้ยื่นฟ้องนายสนธิในวันพรุ่งนี้ เนื่องจากทางอัยการมีความเห็นไม่ฟ้องลูกชายนายสนธิซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ต้องหาร่วมด้วย ยังต้องรอกระบวนการส่งความเห็นไปให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณาว่ามีความเห็นแย้งกับความเห็นของอัยการหรือไม่

"เบื้องต้นคิดว่าจำเลยทั้งหมดคงจะมาตามนัด เเละหากยื่นฟ้องเเล้วก็จะต้องมีการยื่นประกันตัวไป ซึ่งอัยการไม่มีการคัดค้านการประกันตัวอยู่แล้วเพราะไม่ใช่คดีร้ายแรงอะไร ประกันตัวตกคนละ 9 หมื่นถึง 1 แสน" อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 10 กล่าว

ด้าน น.ส.พวงทิพย์ บุญสนอง ทนายความของนายสนธิกล่าวว่า หลังจากทราบว่าอัยการมีความเห็นสั่งฟ้องนายสนธิ 4 สำนวน ประกอบด้วย คดีบุกล้อมทำเนียบ-รัฐสภา เเละคดีหมิ่นประมาท พ.ต.ท.ทักษิณ เเละนายเนวิน ก็ได้มีการประสานอัยการว่านายสนธิจะเดินทางไปยังศาลอาญาพรุ่งนี้เวลา 09.00 น. เพื่อรออัยการส่งตัวยื่นฟ้องในคดีดังกล่าวเบื้องต้นได้เตรียมกรมธรรม์ประกันอิสรภาพเป็นหลักทรัพย์ยื่นประกันตัว ส่วนเเกนนำพันธมิตรฯ คนอื่นในคดีบุกล้อมทำเนียบรับสภาที่อัยการมีคำสั่งฟ้องด้วยนั้นจะได้มีการขอเลื่อนนัดกับอัยการเนื่องจากบางส่วนยังรอการอนุมัติความช่วยเหลือเงินประกันจากกองทุนยุติธรรม กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม

สำหรับ สำนวนคดีนายสนธิ เเละเเกนนำพันธมิตร ฯ รวม 114 ราย ชุมนุมปิดล้อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ - ดอนเมือง เมื่อปี 2551 เเละคดีเเกนนำพันธมิตร ฯ 9 คน เป็นกบฏต่อเเผ่นดินนั้น อัยการยังพิจารณาสำนวนไม่เเล้วเสร็จ ซึ่งจะต้องรอฟังคำสั่งคดีในวันที่ 20 ธ.ค.นี้ เวลา 10.00น.

 

ที่มา : ASTV ผู้จัดการออนไลน์, คมชัดลึกออนไลน์

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'โอบามา' เยือนพม่าในทริปครั้งประวัติศาสตร์

Posted: 19 Nov 2012 07:27 AM PST

นับเป็นการเยือนพม่าครั้งแรกของปธน.สหรัฐ โดยได้เข้าพบกับปธน. เต็ง เส่ง และนางออง ซาน ซูจี ก่อนที่จะกล่าวปราศรัยที่มหาวิทยาลัยย่างกุ้ง ชี้การปฏิรูปในพม่าเป็นก้าวแรกของการเดินทางอีกยาวไกล ขณะที่มีรายงานว่าวันนี้ทางการพม่าปล่อยตัวนักโทษการเมืองอีก 66 คน

19 พ.ย. 55 - สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา บารัค โอบามา ได้เดินทางเยือนสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์วันนี้ โดยได้เข้าพบกับประธานาธิบดีเต็ง เส่ง ของพม่า และผู้นำฝ่ายค้าน นางออง ซาน ซูจี และได้กล่าวปราศรัยที่มหาวิทยาลัยย่างกุ้ง ก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังประเทศกัมพูชา โดยใช้เวลาเยือนพม่าทั้งหมดเป็นเวลา 6 ชั่วโมง ขณะที่มีรายงานว่าในวันเดียวกัน ทางการพม่าได้ปล่อยตัวนักโทษการเมืองอีก 66 คน ซึ่งก่อนหน้านี้เมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา พม่าได้ปล่อยตัวนักโทษจำนวน 518 คน แต่ไม่มีใครเป็นนักโทษการเมือง


ประชาชนพม่ารอต้อนรับประธานาธิบดีบารัก โอบามา (ที่มา: The Myanmar Age)

โอบามาชี้ การปฏิรูปในพม่าเป็นก้าวแรกของการเดินทางที่ยาวนาน
 
ในการแถลงข่าวร่วมระหว่างประธานาธิบดีโอบามาและเต็ง เส่ง ที่อดีตรัฐสภาในเมืองย่างกุ้ง ปธน. สหรัฐกล่าวถึงการปฏิรูปในพม่าว่า เป็นเพียงก้าวแรกของสิ่งที่จะเป็นการเดินทางที่ยาวนาน แต่การปฏิรูปทางประชาธิปไตยและเศรษฐกิจที่ได้ริเริ่มขึ้น จะสามารถนำไปสู่โอกาสด้านการพัฒนาอีกมากมาย ทั้งนี้ สำนักข่าวหลายแห่งได้ตั้งข้อสังเกตว่า โอบามาใช้คำเรียกประเทศพม่าว่า "เมียนมาร์" ซึ่งเป็นชื่อที่ผู้นำประเทศพม่าและอดีตผู้นำทหารเลือกใช้ แทนที่จะใช้คำว่า "เบอร์ม่า" ซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในสหรัฐอเมริกา 
 
ด้านประธานาธิบดีเต็ง เส่ง กล่าวด้วยภาษาพม่าและแปลผ่านล่ามว่า ทั้งสองประเทศจะทำงานร่วมกัน "ด้วยความไว้วางใจ ความเคารพและความเข้าใจ" เขากล่าวต่อว่า "ในระหว่างการพูดคุย เราได้บรรลุข้อตกลงสำหรับการพัฒนาประชาธิปไตยในพม่า และการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล" 
 
 

ออง ซาน ซูจี ผู้นำพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) กับบารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ระหว่างแถลงข่าวหน้าบ้านพักริมทะเลสาบอินยา ของนางออง ซาน ซูจี วันนี้ (19 พ.ย.)
(ที่มา:
The Myanmar Age
 
หลังจากนั้น โอบามา ร่วมกับรมต. กระทรวงต่างประเทศสหรัฐ ฮิลลารี คลินตัน ได้เดินทางเข้าพบนางออง ซาน ซูจีที่บ้านของเธอบริเวณริมทะเลสาบ ซูจีได้กล่าวขอบคุณโอบามาสำหรับความสนับสนุนต่อกระบวนการปฏิรูปประชาธิปไตย และกล่าวเตือนให้ระวังถึง "ภาพลวงตาของความสำเร็จ" โดยย้ำว่าจำเป็นต้องทำงานเพื่อให้เกิดประโยชน์ที่แท้จริงกับประชาชน 
 
ในขณะที่โอบามากล่าวว่า นางอองซานซูจีเป็นสัญลักษณ์ของประชาธิปไตยในพม่า ซึ่งสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนทั่วโลก และชี้ว่า การมาเยือนของทางการสหรัฐในครั้งนี้ นับเป็นก้าวต่อไปในความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและพม่า โดยก่อนที่ปธน. สหรัฐจะเดินทางต่อไปกล่าวปราศรัยที่มหาวิทยาลัยย่างกุ้ง ทั้งสองได้กอดกัน และโอบามาได้จุมพิตนางซูจีบริเวณแก้ม 
ปล่อยตัวนักโทษการเมืองเพิ่มอีก 66 คน 
 
ในขณะที่วันเดียวกัน เว็บไซต์อิระวดี รายงานว่า ทางการพม่าได้ปล่อยตัวนักโทษการเมือง 66 คน ในฐานะการนิรโทษกรรมที่จารึกการมาเยือนของปธน. สหรัฐ นักโทษการเมืองดังกล่าวประกอบด้วยสมาชิกกลุ่มสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (เคเอ็นยู) กองทัพรัฐฉาน และแนวหน้านักศึกษาประชาธิปไตยพม่าทั้งมวล (ABFSD) เป็นต้น โดยก่อนหน้านี้ เมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา มีรายงานว่าทางการพม่าได้ปล่อยตัวนักโทษ 452 คน แต่ไม่มีใครเป็นนักโทษการเมือง 
 
 
นักโทษการเมืองพม่าที่ได้รับการปล่อยตัววันนี้ (19 พ.ย.) ซึ่งเป็นช่วงที่ประธานาธิบดีบารัก โอบามา แห่งสหรัฐอเมริกาเดินทางเยือนพม่า นับเป็นประธานาธิบดีพม่าคนแรกที่มาเยือนพม่า (ที่มา: The Myanmar Age)
 
เลทยาร์ ทูน อดีตนักเคลื่อนไหวนักศึกษา หนึ่งในผู้ถูกปล่อยตัวจากเรือนจำวันนี้ ให้สัมภาษณ์กับอิระวดีว่า เขารู้สึกว่ารัฐบาลพม่ากำลังใช้นักโทษการเมืองเป็นเบี้ยหมากทางการเมืองเพื่อการต่อรอง ในขณะที่องค์กรสิทธิมนุษยชนอย่างฮิวแมนไรท์วอทช์ ตำหนิการกระทำดังกล่าว และเรียกร้องให้รัฐบาลปล่อยตัวนักโทษการเมืองทั้งหมดโดยทันที   
 
การเดินทางมาเยือนพม่าของปธน. โอบามา เกิดขึ้นท่ามกลางคำวิพากษ์วิจารณ์จากองค์กรสิทธิมนุษยชนหลายแห่ง ซึ่งชี้ว่าเป็นการมาเยือนที่เร็วเกินไป และเป็นการให้รางวัลแก่รัฐบาลพม่าที่ยังประสบปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนักโทษการเมือง ความขัดแย้งทางชาติพันธ์ุ โดยเฉพาะความรุนแรงในรัฐยะไข่ แต่ในระหว่างการแถลงข่าวร่วมระหว่างโอบามาและยิ่งลักษณ์ ชินวัตรเมื่อค่ำวันอาทิตย์ที่ผ่านมา โอบามากล่าวว่า การเดินทางเยือนพม่ามิได้เป็น "การรับรอง" รัฐบาลพม่า หากแต่เป็นการให้ความสำคัญกับความคืบหน้าด้านการปฏิรูปที่ได้บรรลุ และเพื่อย้ำถึงการปฏิรูปอีกมากที่จำเป็นต้องมีอีกในอนาคต  
 
 
ที่มาภาพปก: The Myanmar Age
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อธิป จิตตฤกษ์: Hate Speech: ความเข้าใจเบื้องต้นและประเด็นพิจารณาในการปราบปราม

Posted: 19 Nov 2012 05:15 AM PST

"บทความนี้จะมีลักษณะของการตั้งข้อสังเกตและตั้งคำถามคำถามมากว่าหาข้อสรุป ทั้งนี้ก่อนอื่นต้องออกตัวก่อนว่าผู้เขียนไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้าน Hate Speech เลย แต่เนื่องจากยังไม่เห็นผู้เชี่ยวชาญผู้ใดออกมาเขียนอะไรที่จะช่วยไกล่เกลี่ยข้อถกเถียงระหว่างผู้คนมันเป็นไปอย่างไม่ชวนสับสนมากขึ้น ซึ่งผู้เขียนจะพยายามชี้ให้เห้นในบทความนี้ว่าการถกเถียงที่เกิดขึ้นมีลักษณะ "เถียงกันคนละเรื่อง" อยู่ไม่น้อย"

ในช่วงนี้บรรดาปัญญาชนและนักกิจกรรมจำนวนไม่น้อยมีการถกเถียงกันในประเด็นเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่า Hate Speech ว่าเป็นสิ่งที่ควรจะทำการระงับยับยั้งหรือไม่ในสังคมไทย1 ผู้เขียนจึงคิดว่าควรจะเขียนอะไรออกมาบ้างตามที่ความรู้ของตนพึงมี ดังนั้นบทความนี้จะมีลักษณะของการตั้งข้อสังเกตและตั้งคำถามคำถามมากว่าหาข้อสรุป ทั้งนี้ก่อนอื่นต้องออกตัวก่อนว่าผู้เขียนไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้าน Hate Speech เลย แต่เนื่องจากยังไม่เห็นผู้เชี่ยวชาญผู้ใดออกมาเขียนอะไรที่จะช่วยไกล่เกลี่ยข้อถกเถียงระหว่างผู้คนมันเป็นไปอย่างไม่ชวนสับสนมากขึ้น ซึ่งผู้เขียนจะพยายามชี้ให้เห้นในบทความนี้ว่าการถกเถียงที่เกิดขึ้นมีลักษณะ "เถียงกันคนละเรื่อง" อยู่ไม่น้อย

 

อะไรคือ Hate Speech ?

Hate Speech ในความหมายกว้างนั้นหมายถึงคำพูดหรือการสื่อสารใดๆ ก็ตามที่ก่อให้เกิดความเกลียดชังและนำไปสู่กายใช้ความรุนแรงทางกายภาพกับคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ในกรอบแบบนี้ตั้งแต่การโฆษณาชวนเชื่อเรื่องยิวของนาซี การปลุกระดมให้เกิดการสังหารหมู่ในรวันดา ไปจนถึงการปลุกระดมที่ส่งให้เกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาจึงถูกนับเป็น Hate Speech ทั้งสิ้น

ปัญญาชนอย่างเกษียร เตชะพีระได้นิยาม Hate Speech อย่างสั้นและกระชับว่าคือว่า "Speech That Kills"2 ผู้เขียนอยากจะตั้งข้อสังเกตประการแรกว่า การพูดหรือการสื่อสารที่ทำให้คนฆ่ากันทันทีทันใดไม่น่าจะจัดเป็น Hate Speech การพูดครั้งเดียวทำให้เกิดการฆ่ากันเลยดูจะเป็นคำสั่งฆ่ามากกว่าที่จะเป็น Hate Speech ซึ่งความต่างนี้สำคัญมากในแง่กฎหมาย ลักษณะสำคัญของ Hate Speech คือมันทำงานผ่านการสะสมเป็นเวลานาน มันเกิดขึ้นซ้ำๆ จนมันทำให้เกิดผลทางการกระทำในท้ายที่สุด

ประการต่อมา Hate Speech ไม่น่าจะใช่คำพูดหรือการสื่อสารที่ฆ่าคนได้โดยตรง มันต้องการตัวกลางในการดูดซึมอุดมการณ์ของ Hate Speech ไปกระทำการ คำพูดที่ฆ่าคนได้โดยไม่ต้องผ่านตัวกลางเช่น การกล่าวอะไรบางอย่างแล้วคนช็อคหัวใจวายตาย กล่าวอะไรบางอย่างแล้วทำให้คนฆ่าตัวตาย หรือกระทั่งการท่องคาถาแล้วทำให้คนที่โดนคาถาตาย นั้นไม่น่าจะจัดเป็น Hate Speech

ดังนั้นผู้เขียนจึงขอเสนอว่าโดยทั่วไป Hate Speech นั้นคือคำพูดหรือการสื่อสารที่มีลักษณะดังนี้3

  1. ก่อให้เกิดความเกลียดชัง

  2. นำไปสู่ความรุนแรงทางกายภาพ

  3. ความรุนแรงทางกายภาพต้องเกิดจากผู้รับสารของ Hate Speech

  4. มีลักษณะที่จะต้องสะสมเป็นเวลานานก่อนจะเกิดผล

 

ข้อเสนอแนะในการบัญญัติกฎหมายควบคุม Hate Speech

สัมพันธภาพระหว่างความเกลียดชังกับความรุนแรงทางกายภาพดูจะทำให้ Hate Speech เป็น Hate Speech อย่างน้อยๆ โดยทั่วๆ ไปนั้นแม้แต่ฝ่ายที่สนับสนุนให้มีการควบคุม Hate Speech เองก็ไม่ออกมายืนยืนว่าลำพังการทำให้เกิดความเกลียดชังแบบลอยๆ นั้นควรจะเป็นสิ่งที่สมควรถูกจำกัดทางกฎหมาย4 แต่การกล่าวอ้างที่สำคัญของฝ่ายสนับสนุนการควบคุมก็คือ Hate Speech นั้นนำไปสู่การกระทำที่เป็นความรุนแรงทางกายภาพ นี่หมายความว่า Hate Speech จะเป็น Hate Speech สมบูรณ์ได้ มันต้องเป็นการสื่อสารที่นำไปสู่การกระทำ ไม่ใช่การสื่อความเฉยๆ ซึ่งนี่คล้ายกับมโนทัศน์ Perlocutionary Act ของ J.L. Austin นักปรัชญาชาวอังกฤษ

ผู้เขียนคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างความเกลียดชังที่การสื่อสารก่อให้เกิดกับความรุนแรงทางกายภาพที่จะเกิดจากความเกลียดชังนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องพิสูจน์ให้ได้เพื่อจะยืนยันว่าการสื่อสารหนึ่งๆ เป็น Hate Speech โดยเฉพาะถ้าเราต้องการจะให้ Hate Speech มีผลในทางกฎหมาย กล่าวอีกแบบคือการกล่าวหาว่าการกระทำหนึ่งๆ เป็น Hate Speech นั้นต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าก่อให้เกิดความเกลียดชังและนำไปสู่ความรุนแรงทางกายภาพ

ผู้เขียนเห็นว่าในทางกฎหมาย ผู้กล่าวหาว่าผู้อื่นก่อ Hate Speech ต้องเป็นผู้พิสูจน์ว่าคำพูดนั้นเป็น Hate Speech ไม่ใช่ผู้ที่ถูกกล่าวหาต้องพิสูขน์ว่าสิ่งที่ตนพูดไม่ได้เป็น Hate Speech ซึ่งนี่ก็เป็นหลักว่า "ผู้ต้องหาบริสุทธิ์จนกว่าจะถูกพิสูจน์ว่าผิด" ธรรมดา ผู้เขียนเห็นว่า "ภาระในการพิสูจน์" (burden of proof) ควรจะอยู่ที่ผู้กล่าวหาไม่ใช่ผู้ถูกกล่าวหา เพื่อป้องกันไม่ให้กฎหมาย Hate Speech มีลักษณะเป็น "กฎหมายหมิ่นอัตลักษณ์" ที่จะถูกใช้ในการป้ายสีทางการเมืองพร่ำเพรื่อ ทั้งผู้เขียนยังเห็นว่า Hate Speech ควรจะเป็นคดีความทางแพ่งที่มีการยอมความกันได้ไม่ควรจะเป็นความผิดอาญา หรือถ้าจะเป็นความผิดอาญาก็น่าจะมีความพิดเพียงลหุโทษเท่านั้น นอกจากนี้เจ้าทุกข์ของ Hate Speech ก็น่าจะเป็นบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ได้รับผลจาก Hate Speech เท่านั้น กล่าวคือมันไม่ใช่สิ่งที่ใครควรจะฟ้องก็ได้ โดยเฉพาะกลุ่มคนผู้หวังดีที่ "คาดเดาว่าจะมีผู้ได้รับผลกระทบจาก Hate Speech" ทั้งๆ ที่ตนไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง

ทั้งนี้ไม่ว่าทั้งกระบวนการพิสูจน์ และเงี่อนไขสารพัดในการดำเนินคดี Hate Speech ที่ผู้เขียนเสนออาจกินเวลานาน แต่ผู้เขียนไม่คิดว่ามันจะเป็นปัญหา "ความยุติธรรมมาช้าเกินไป" เพราะสิ่งที่ทำให้ Hate Speech เป็น Hate Speech เองก็คือการต้องใช้เวลาในการทำงานของมัน Hate Speech จะทำงานได้ต้องมีการสะสมเป็นเวลานานดังนั้นมันจึงไม่ใช่ปัญหาเร่งด่วยโดยตัวมันเอง ถ้ามีกฏหมายแล้วปัญหาคือฝ่ายผู้เสียหายที่ปล่อยให้เกิด Hate Speech มาเป็นเวลานานจนมันสุกงอมและทำให้เกิดความรุนแรงทางกายภาพต่างหาก ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของผู้เสียหายที่จะต้องเฝ้าระวัง Hate Speech และทำการระงับอย่างเนิ่นๆ และดำเนินคดี ผู้เขียนคิดว่าแนวทางนี้ยุติธรรมกับทุกๆ ฝ่าย ฝ่ายผู้เสียหายก็มีช่องทางปราบปราม และฝ่ายที่อาจถูกกล่าวหาโดยที่ไม่มีความผิดก็ไม่ต้องรับภาระทางกฎหมายที่มากเกินไปเพราะทางผู้เสียหายก็ต้องระมัดระวังการดำเนินคดีของตนเหมือนกัน และผู้ที่ไม่ใช่ผู้เสียหายก็ไม่สามารถจะเดือดร้อนแทนแล้วแจ้งให้รัฐดำเนินคดีได้

 

ปัญหาการทำให้การปราบ Hate Speech เป็นภาระเร่งด่วนของรัฐ: กรณีการปราบ Hate Speech บนอินเทอร์เน็ต

อย่างไรก็ดีก็ยังมีผู้มองว่า Hate Speech ควรจะเป็นความผิดทางอาญาที่รัฐเข้ามาแทรกแซงอย่างจริงจังและเร่งด่วนอยู่ หลายๆ ฝ่ายดูจะเห็นความจำเป็นเร่งด่วนที่รัฐจะต้องลงมาควบคุม Hate Speech โดยการยกตัวอย่างเหตุการณ์สังหารหมู่ครั้งใหญ่ๆ ของโลกไม่ว่าจะเป็นของนาซีหรือในรวันดาที่ Hate Speech เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการที่ทำไปสู่การสังหารหมู่ไปจนถึงยกตัวอย่างงานวิจัยเชิงวิชาการที่ชี้ความเชื่อมโยงกันของ Hate Speech กับการสังหารหมู่เหล่านี้

ณ ตรงนี้ผู้เขียนคงจะข้ามงานวิจัยที่โต้แย้งข้อเสนอเหล่านี้ไปจนถึงข้อโต้แย้งง่ายๆ อย่างหลักฐานเชิงประจักษ์ของสังคมที่เต็มไปด้วย Hate Speech แต่ไม่มีการสังหารหมู่ หรือสังคมที่มีการสังหารหมู่โดยปราศจาก Hate Speech แต่จะมุ่งประเด็นปัญหาในเชิงนโยบายว่า การใช้อำนาจรัฐมาจัดการกับ Hate Speech นั้นจะสามารถป้องกันการสังหารหมู่ได้หรือไม่? อะไรคือต้นทุนที่สังคมต้องจ่ายในการควบคุม Hate Speech ในยุคนี้สมัยนี้?

เท่าที่ผู้เขียนสังเกต แม้แต่ฝ่ายผู้ที่ต่อต้าน Hate Speech เองก็ยังไม่ได้ยกหลักฐานว่าการระงับยับยั้งและควบคุม Hate Speech โดยรัฐจะสามารถป้องกันการสังหารหมู่หรือกระทั่งการก่อความรุนแรงทางกายภาพได้ การพิสูจน์ว่า Hate Speech เป็นส่วนหนึ่งของการสังหารหมู่ กับการพิสูจน์ว่าการกำราบ Hate Speech จะหยุดการสังหารหมู่จะเป็นคนละเรื่องกัน

สมมติว่ามีข้อพิสูจน์ที่หนักแน่นว่าการกำราบ Hate Speech จะนำไปสู่การป้องกันการสังหารหมู่ได้ สิ่งที่ต้องพิจารณาต่อคือต้นทุนและความเป็นไปได้ของการควบคุม Hate Speech ในยุคสมัยนี้ และสิ่งที่ผู้เขียนอยากจะยกก็คือการควบคุม Hate Speech บนอินเทอร์เน็ต เนื่องจากเป็นสื่อหลักที่จะมีบทบาทมากในการเผยแพร่ Hate Speech ไปเรื่อยๆ ในอนาคต หรืออีกนัยหนึ่งผู้เขียนเสนอว่าถ้าควบคุม Hate Speech บนอินเทอร์เน็ตไม่ได้ การควบคุม Hate Speech บนสื่อกระแสหลักอื่นๆ ก็ดูจะเป็นสิ่งที่ไม่เพียงพอที่จะบรรลุเป้าประสงค์ในการควบคุม Hate Speech แต่แรกซึ่งคือการลดความเป็นไปได้ของความรุนแรงทางกายภาพอันเกิดจาก Hate Speech

คำถามคือเราจะควบคุมการสื่อสารบนอินเทอร์เน็ตอย่างไรในทางเทคนิค? การควบคุมการสื่อสารบนอินเทอร์เน็ตไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เท่าที่ผู้เขียนได้รับรู้มาจากมิตรสหายผู้มีความรู้ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศการควบคุมอินเทอร์เน็ตผูกโยงกับสถาปัตยกรรมของอินเทอร์เน็ตในตอนที่มีการวางโครงสร้างอินเทอร์เน็ตของประเทศหนึ่งๆ ด้วยว่ารวมศูนย์หรือไม่ ตัวอย่างของสถาปัตยกรรมแบบรวมศูนย์ที่รัฐสามารถเข้าถึงการไหลเวียนของข้อมูลทั้งหมดก็ได้แก่จีน และ "The Great Firewall of China" หรือระบบการบล็อคอินเทอร์เน็ตอันแทบจะสมบูรณ์แบบของจีนก็เป็นไปได้จากสถาปัตยกรรมนี้ ในรัฐอื่นๆ ทั่วไปสถาปัตยกรรมอินเทอร์เน็ตจะเป็นแบบไม่มีศูนย์กลาง ผู้มีสิทธิอำนาจในการเข้าถึงข้อมูลที่ไหลเวียนของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตคือบรรดาผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตทั้งหลายหรือที่เรียกกันว่า ISP

มาตรการการสอดส่องอินเทอร์เน็ตได้แก่มาตรการกดดันให้ ISP ทำการสอดส่องเนื้อหาในเครือข่ายว่ามีเนื้อหาที่ผิดกฎหมายหรือไม่ อย่างไรก็ดีนี่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ในทางเทคนิค เพราะโดยทั่วไปกฎเกณฑ์การสอดส่องจะเป็นไปได้หลักการหลักการ "อ่าวปลอดภัย" (safe harbour) ซึ่งหมายความว่าทาง ISP ทั้งหลายจะมีภาระที่จะต้องจัดการกับเนื้อหาที่ผิดกฎหมายต่อเมื่อมีการร้องเรียนเท่านั้น ทาง ISP ไม่ได้มีภาระหน้าที่จะสอดส่องให้พบกิจกรรมผิดกฎหมายให้พบแล้วรายงานรัฐ ซึ่งแนวทางนี้ก็ดูจะเป็นการเรียกร้องเกินไปกับ ISP เพราะนอกจากเนื้อหาที่ทาง ISP จะต้องสอดส่องจะมหาศาลที่จะสร้างปัญหาด้านต้นทุนและประสิทธิภาพในการบริการของ ISP แล้ว นอกจากนี้สิ่งที่ "ผิดกฎหมาย" หลายๆ อย่างนั้นรัฐก็ไม่มีสิทธิจะดำเนินคดีโดยปราศจากเจตจำนงของเจ้าทุกข์ด้วย กรณีของความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ในหลายๆ ประเทศก็เป็นตัวอย่างที่ดี

ที่เลวร้ายกว่านั้น การให้สิทธิรัฐในการสอดส่องเนื้อหาทั้งหมดบนอินเทอร์เน็ตมันยังเป็นการสร้างเครื่องจักรในการสอดส่องกิจกรรมของประชาชนอันสมบูรณ์แบบ ที่นอกจากจะละเมิดความเป็นส่วนตัวของการสื่อสารโดยสิ้นเชิงแล้ว การให้เครื่องมือแบบนี้กับรัฐก็ดูจะเป็นการปูทางไปสู่โลกแบบนิยาย 1984 แบบกลายๆ นี่เป็นเหตุผลที่หลายๆ คนออกมาต่อต้านนโยบายรับสารพัดทุกรูปแบบที่มีแนวโน้มแบบนี้ ซึ่งค่อยๆ คืบคลานมาในปี 2012 นี้ในโฉมหน้าที่ต่างๆ กันไม่ว่าจะเป็นการปราบปรามละเมิดลิขสิทธิ์ของ SOPA และ ACTA หรือการผลักดันกฏหมายปราบปรามสิ่งลามกอนาจารย์เด็ก (Child Porn) อันเป็นอาวุธสำคัญในการจำกัด Free Speech หรือการเซ็นเซอร์สารพัดที่แม้แต่โลกตะวันตกเองก็ไม่สามารถทัดทานโดยการอ้างว่าสิ่งลามกอนาจารย์เด็กมีความชอบธรรมได้เช่นเดียวกับเรื่องอื่นๆ

การพยายามควบคุม Hate Speech บนอินเทอร์เน็ตให้ได้อย่างเฉียบขาดก็ไม่ได้ต่างจากการควบคุมการติดต่อสื่อสารชนิดอื่นๆ บนอินเทอร์เน็ตที่อาจเป็นการประเคนอภิมหาเครื่องจักรแห่งการสอดส่องไปสู่มือรัฐ คำถามคือเราพร้อมหรือเปล่าที่จะจ่ายความเสี่ยงทางการเมืองที่จะให้เครื่องมือในการสอดส่องชั้นยอดกับรัฐซึ่งทำให้สิทธิในความเป็นส่วนตัวบนอินเทอร์เน็ตของเราสูญไปเพียงเพื่อเราจะป้องกันไม่ได้มี Hate Speech บนอินเทอร์เน็ต?

พูดง่ายๆ ให้รวบรัดที่สุดคือ เราพร้อมจะเสี่ยงเสียความเป็นส่วนตัวบนอินเทอร์เน็ตไปเพื่อการลดความเสี่ยงในการเกิดความรุนแรงที่เกิดจาก Hate Speech หรือไม่? เพราะสุดท้ายการให้รัฐเข้ามาปราบ Hate Speech นั้นประชาชนก็ไม่ได้เสียแค่ Free Speech ที่เป็นนามธรรม แต่ยังเสียสิทธิพลเมืองย่อยๆ อื่นๆ ไปจนถึงเสียงบประมาณสาธารณะซึ่งเป็นต้นทุนดำเนินงานปราบ Hate Speech ของรัฐด้วย

และที่จะต้องพิจารณาสุดท้ายก็คือ ถึงเราให้สิทธิอำนาจรัฐในการปราบปราม แต่รัฐจะมีปัญญาปราบปรามหรือไม่? ถ้าเราให้รัฐออกกฎหมายที่รัฐจะไม่มีความสามารถการบังคับใช้ได้อย่างสมบูรณ์ สิ่งที่จะตามมาก็คือการเลือกบังคับใช้กฎหมายของเจ้าพนักงาน ซึ่งก็เป็นการตอกย้ำวงจรการคอร์รัปชั่นในระบบราชการเข้าไปอีก

 

เชิงอรรถ

1 ผู้เขียนพบว่าจุดเริ่มการถกเถียงน่าจะเกิดจาการพี่เพจ เชิญมาเป็นชาว "คิด" โพสต์รูปภาพที่มีป้ายข้อความว่า "HATE SPEECH Is NOT FREE SPEECH" (ข้อความตามต้นฉบับ) (ดู https://www.facebook.com/photo.php?fbid=460970737287293&set=a.414662268584807.114272.414661088584925&type=1&ref=nf) แล้วก็เกิดมีการโต้แย้งขึ้น หลังจากนั้น "ปัญญาชนสาธารณะ" ส่วนหนึ่งก็เสนอความคิดของตนบนเพจตัวเองแล้วเพจจำนวนหนึ่งก็ได้ทำภาพโควตเพื่อนำเสนอความเห็นของปัญญาชนเหล่านั้น (เช่น เพจวิวาทะ  หรือ เพจ Prachatai) ซึ่งก็ทำให้ข้อถกเถียงขยายต่อไปอีกเรื่อยๆ

3 นี่เป็นนิยามที่ผู้เขียนสังเคราะห์จากสิ่งที่ถูกจัดว่าเป็น Hate Speech ซึ่งต่างจาก "กติกาสากลระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง" ที่เสนอว่า "การสนับสนุนให้เกิดด้วยความเกลียดชังทางสัญชาติ, เชื้อชาติหรือศาสนาเพื่อยั่วยุให้เกิดการดูถูกเหยียดหยาม, ความเป็นศัตรู หรือความรุนแรงสามารถถูกจำกัดได้ตามกฎหมาย" (ดู http://prachatai.com/journal/2012/11/43729) ซึ่งตามมาตรฐานแบบนี้ การ "สังหารหมู่" ทั้งหลายในไทยที่วางอยู่บนฐานการออกใบอนุญาติฆ่าบนฐานของ "อัตลักษณ์ทางการเมือง" ก็ยากจะจัดเป็น Hate Speech ตามกติกาสากลฯ เพราะสิ่งที่กติกาสากลคุ้มครองมีเพียงอัตลักษณ์ "สัญชาติ, เชื้อชาติหรือศาสนา" เท่านั้น ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ปัญญาชนไทยจำนวนมากยากจะเห็นด้วยเพราะพวกเขาก็มองว่า Hate Speech บนฐานของความต่างของอัตลักษณ์ทางการเมืองนั้นนำไปสู่เหตุการณ์อย่างการล้อมปราบนักศึกษาธรรมศาสตร์ 6 ตุลาคม 2519 หรือ เหตุการณ์สลายการชุมนุมของ นปช. ในเดือนพฤษภาคม 2553 นี่คือความแตกต่างในการนิยาม Hate Speech ที่เป็นเรื่องที่เกินเลยไปจากเนื้อหาหลักของบทความนี้

4 ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นยืนยันแบบนั้นผู้เขียนก็กังขาว่าการเมือง (หรือให้ตรงกว่านั้นคือ "ความเป็นการเมือง") จะเป็นไปได้อย่างไร เพราะการทำให้เกิดความเกลียดชังฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองมันก็เป็นแก่นสารของเสรีประชาธิปไตยในภาคปฏิบัติอยู่แล้วที่ประชาชนล้วนเท่าเทียมกันในมี "ทางเลือก" และที่ต้องมีระบบการลงคะแนนเสียงก็เพราะประชาชนนั้นเลือกไม่เหมือนกัน ซึ่งในเงื่อนไขแบบนี้การยุยงให้ผู้อื่นเกิดความเกลียดชังทางเลือกอื่นๆ ก็ดูจะเป็นกิจกรรมทางการเมืองปกติในระบอบเสรีประชาธิปไตย

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

บันทึกเดินทาง: ‘พีมูฟ’ ร่วมเวทีประชาชนรากหญ้าอาเซียน

Posted: 19 Nov 2012 05:14 AM PST

เครือข่ายภาคประชาชนไทยเดินทางร่วมเวทีประชาชนรากหญ้าอาเซียนเล่าประสบการณ์ร่วมเคลื่อนไหวกับประชาชนกัมพูชา-อาเซียน ก่อนได้ข้อเสนอ 5 ด้าน ส่งถึงผู้นำอาเซียน

 
 
ระหว่างวันที่ 13-16 พ.ย.55 เครือข่ายภาคประชาชนในขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) อาทิ เครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน (คปอ.) สลัม 4 ภาค สหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ (สกน.) สมัชชาคนจนกรณีเขื่อนปากมูล (สคจ.) เครือข่ายชุมชนเพื่อการปฏิรูปสังคมและการเมือง (คปสม.) และสหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ (สกต.) ร่วมกับเครือข่ายภาคประชาชนในประเทศกัมพูชา และจากประเทศในอาเซียน จัดในเวที "สมัชชาประชาชนรากหญ้าอาเซียน (ASEAN Grassroots People's Assembly - AGPA)" ที่ประเทศกัมพูชา ก่อนการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งที่ 21 ระหว่างวันที่ 18-20 พ.ย.55
 
การรวมตัวของคนรากหญ้าในอาเซียนครั้งนี้ก็เพื่อยื่นหนังสือในข้อเรียกร้องส่งต่อรัฐบาลกัมพูชาไปจนถึงรัฐบาลในอาเซียน เพื่อให้เกิดความเข้าใจ และรับรู้ถึงปัญหา ถึงผลกระทบในการด้านนโยบายการลงทุนของรัฐบาลในอาเซียน ที่จะส่งผลถึงคนรากหญ้า ทั้งในเรื่องที่ดิน การละเมิดสิทธิมนุษยชน รวมทั้งความมั่นคงในอาหาร
 
ความเคลื่อนไหวที่ผ่านมา พีมูฟ ได้รวมกันผลักดันรัฐบาลไทยในการแก้ปัญหาของเครือข่าย มาตลอด โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 1-2 พ.ย.55 ภายหลังที่ได้นัดรวมพลกันนับพันคนในวันที่อยู่อาศัยสากล รวมทั้งได้ปักหลักชุมนุมบนถนนพิษณุโลกข้างทำเนียบรัฐบาล ในที่สุดยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมาเป็นประธานในที่ประชุมรับฟังปัญหาด้วยตนเอง และรับปากเป็นประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของ พีมูฟ
 
 
...
 
การมาร่วมในเวทีสมัชชาประชาชนรากหญ้าฯ นอกจากจะมาร่วมกันระดมปัญหากับองค์กรภาคประชาชนในกัมพูชาและในภูมิภาคอาเซียน จากกรณีโครงการพัฒนาของรัฐบาลในแต่ละประเทศ รวมถึงผลกระทบที่จะได้รับต่อไปในอนาคต ทั้งในเรื่องสิทธิแรงงาน ค่าจ้างไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ การแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติและที่ดินทำกิน ปัญหาการไล่รื้อคนจนทั้งในเมืองและชนบท รวมทั้งในเรื่องความมั่นคงและอิสรภาพทางอาหารซึ่งเป็นผลมาจาการค้าเสรีแล้ว เวทีดังกล่าวยังถือเป็นครั้งแรกที่องค์กรภาคประชาชนไทยได้เกิดการขยายตัวร่วมกับเครือข่ายภาคประชาชนในภูมิภาคอาเซียนด้วยกัน
 
ด้านสหพล สิทธิพันธ์ ที่ปรึกษาเครือข่ายสหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ เล่าถึงการมาร่วมเรียนรู้ สร้างสัมพันธ์ระหว่างประชาชนภูมิภาคอาเซียนในเวทีดังกล่าวว่า ทางเครือข่ายฯ ร่วมเดินทางมาพร้อมกันกว่า 40 คน ในเช้าวันที่ 12 พ.ย.ที่ผ่านมา ทางช่องผ่านแดน อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว แรกเริ่มเข้ามารู้สึกแปลกใจ ที่ทางเจ้าหน้าที่ด่านชายแดนไทย ถามทุกคนว่าจะไปทำอะไรกัน
 
ต่อมาเครือข่ายฯ ได้เข้าพักที่ในกรุงพนมเปญ ซึ่งเป็นสถานที่ของเครือข่ายนักกิจกรรมรากหญ้าในกัมพูชาที่ทำงานเกี่ยวกับเรื่องสิทธิสตรีและผู้ใช้แรงงาน ทั้งยังเป็นองค์กรที่ให้ความรู้ด้านข้อมูล ข่าวสาร เช่น สิทธิมนุษยชน สิทธิแรงงาน รวมทั้งในเรื่องของกฎหมาย ให้ข้อแนะนำต่อผู้ที่ถูกเอาเปรียบในกระบวนการยุติธรรม เป็นต้น
 
 
 
พิธีเปิดงาน ในวันที่ 13 พ.ย.55 ช่วงประมาณ 15.00 น. ทางเจ้าหน้าที่ของกัมพูชาได้เข้าทำการขัดขวางไม่ให้ภาคประชาชนรากหญ้าจัดมีการประชุม แต่หลังจากพยายามต่อรองจนเป็นผลสำเร็จ เจ้าหน้าที่ยินยอมให้จัดการประชุมต่อไป แต่ก็ได้ทำการตัดไฟไม่ให้ใช้เครื่องขยายเสียง
 
สำหรับวันที่ 14 พ.ย.55 กำหนดการจัดให้มีเวทีย่อยของแต่ละองค์กรที่ร่วมกันระดมความคิดเห็น เพื่อแลกเปลี่ยนประเด็นที่จะนำไปสู่การผลักดันเชิงนโยบาย ก่อนนำไปสู่เวทีใหญ่ในวันที่ 15 พ.ย.55 โดยมี 3 ประเด็นที่ร่วมกันปรึกษาคือ เรื่องที่ดิน ความมั่นคงทางอาหาร และความไม่มั่นคงในที่ดินเมืองและชนบทที่ถูกไล่รื้อ
 
ในวันที่ 15 พ.ย.55 มีการจัดสมัชชาใหญ่ระดมปัญหาร่วมกัน เพื่อร่างเอกสารยื่นเสนอต่อรัฐบาลกัมพูชาให้ส่งผ่านไปยังผู้นำอาเซียน การประชมในวันนี้นอกจากเจ้าหน้าที่กัมพูชาจะขัดขวางไม่ให้มีการกางเต็นท์แล้ว รอบๆ บริเวณยังมีการจัดเวรยามของเจ้าหน้าที่ให้ประจำการโดยรอบที่ประชุม จนกระทั่งการปราศรัยระดมปัญหาของภาคส่วนต่างๆ จบลงในช่วงเวลาประมาณ 15.00 น.
 
....
 
สหพล เล่าถึงสถานการณ์ในกัมพูชาว่า ช่วงคืนวันที่ 15 พ.ย.55 เครือข่ายฯ ในต่างจังหวัดของประเทศกัมพูชา ที่พักอยู่ตามโรงแรมต่างๆ ในกรุงพนมเปญ เพื่อรอเข้าร่วมการนัดหมายเดินขบวนครั้งใหญ่ในวันที่ 16 พ.ย.55 ถูกเจ้าหน้าที่เข้าไปขับไล่ออกจากโรงแรมที่พัก ทำให้ต้องเข้ามาอาศัยค้างคืนในสถานที่ขององค์กรที่พีมูฟพักอยู่
 
กรณีดังกล่าวสร้างความหวาดหวั่นแก่ภาคประชาชนที่มารวมตัวกัน เพราะเกรงว่าจะถูกสลายการชุมนุมด้วยความรุนแรงดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว แต่ถึงอย่างไรในคืนนั้นก็ถูกกระทำเพียงแค่ตัดน้ำ ตัดไฟในที่พัก ถือเป็นการสร้างแรงกดดันจากเจ้าหน้าที่กัมพูชาเพื่อไม่ให้มีการชุมนุมกันในวันรุ่งขึ้น
 
อย่างไรก็ตาม ในเช้าวัน 16 พ.ย.55 สมาชิกเครือข่ายรากหญ้าทั้งในกัมพูชาชาติต่างๆ ของอาเซียนในนาม "สมัชชาประชาชนรากหญ้าอาเซียน" ก็ได้ชุมนุมตามนัดหมายที่หน้าอาคารรัฐสภากัมพูชา
 
ในการเข้ายื่นหนังสือข้อเรียกร้องของสมัชชาประชาชนรากหญ้าอาเซียน มีทั้งหมด 5 ด้าน ประกอบด้วย ข้อเรียกร้องด้านสิทธิแรงงาน ข้อเรียกร้องด้านสิทธิที่ดิน ข้อเรียกร้องด้านความมั่นคงทางอาหาร ข้อเรียกร้องด้านการค้าและการลงทุน และข้อเรียกร้องด้านสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย
 
เจ้าหน้าที่กัมพูชายอมให้ส่งตัวแทนสมัชชาประชาชนรากหญ้าอาเซียนเข้าไปภายในที่ทำการรัฐสภา เพื่อยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลกัมพูชาเพื่อส่งต่อไปยังผู้นำประเทศอาเซียนที่จะเข้าร่วมการประชุมอาเซียนช่วงสุดสัปดาห์นี้ จากนั้นจึงมีการยุติการชุมนุมไปในเวลาราว 11.00 น.
 
 
ข้อเรียกร้องของสมัชชาประชาชนรากหญ้าอาเซียน มีทั้งหมด 5 ด้าน มีรายละเอียดดังนี้
 
 
 
แถลงการณ์ร่วมสมัชชาประชาชนรากหญ้าแห่งอาเซียน
15 พฤศจิกายน  2555
กรุงพนมเปญ ,กัมพูชา
 
 
เรา สมัชชาประชาชนรากหญ้าแห่งอาเซียน (AGPA) ซึ่งเป็นเกษตรกร ชาวประมงพื้นบ้าน นักต่อสู้ด้านป่าไม้ นักต่อสู้ด้านที่ดิน คนพื้นเมือง นักต่อสู้ด้านสิทธิสตรี แรงงาน แรงงานทางเพศ เยาวชน นักต่อสู้ต่อการไร่รื้อ, นักต่อต้านทุนนิยม นักต่อสู้เพื่อคนเพศที่สาม ผู้ได้ผลกระทบจากการสร้างเขื่อน ศิลปินและนักร้อง เราอยู่ที่นี่กับพันธมิตรในภูมิภาคของเราและเพื่อนของเรา เราไม่ได้รวมกันเพื่อต่อต้านรัฐบาล เราเป็นคนที่รักความสงบและมีความมุ่งมั่นที่จะดำเนินกิจกรรมโดยไม่ใช้ความรุนแรง เราเชื่อมั่นในสิทธิมนุษยชนของผู้คนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และนี่คือเหตุผลที่เราได้จัดสมัชชาครั้งนี้ขึ้น
 
เรามารวมตัวกันในครั้งนี้เพื่อต้องการส่งเสียงและบอกกล่าวถึงประเด็นปัญหาที่ยังไม่ได้รับการตอบรับ ไปยังรัฐบาลของประเทศกัมพูชา ผู้นำรัฐบาลในอาเซียน และผู้นำประเทศต่างๆ ต่อการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งที่ 21 ระหว่างวันที่ 18-20 พฤศจิกายน 2555 นี้
 
สมัชชาประชาชนรากหญ้าแห่งอาเซียน หรือ AGPA มีกิจกรรมทั้งหมดสี่วัน เพื่อนำประชาชนในระดับรากหญ้ามาพบเจอกัน เพื่อให้เกิดความร่วมมือเป็นน้ำหนึ่งเดียวกัน ในการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมทางสังคม, ชีวิตที่ดีขึ้น และสังคมที่ดีขึ้นสำหรับทุกคน เรามารวมกันเพื่อแลกเปลี่ยนประเด็นปัญหาและหาแนวทางแก้ไขปัญหา เรารู้ว่าหากประชาชนและรัฐบาลทำงานร่วมกัน จะนำไปสู่การแก้ปัญหาที่ดีและยั่งยืนในอนาคต นี่คือเป้าหมายที่เรามารวมกันในครั้งนี้
ในวันแรกของการชุมนุม เราประสบปัญหาถูกปิดกั้นสิทธิเสรีภาพในการชุมนุม และในวันที่สอง ซึ่งมีการจัดสัมมนากลุ่มย่อยในประเด็นปัญหาต่างๆ เพื่อจัดทำข้อเสนอและแถลงการณ์ ได้มีความพยายามอย่างต่อเนื่องในการปราบปรามและขัดขวางเสรีภาพในการสัมมนา
 
จนกระทั่งถึงวันนี้ที่เราได้มาชุมนุมร่วมกัน เราต้องการนำเสนอความเป็นจริงของชีวิตของเรา ความหวังอันแรงกล้า และความฝันสำหรับอนาคตของเราในประเทศกัมพูชาและในอาเซียน
 
ผู้นำ: เรากำลังพูดคุยกับท่าน ฟังเสียงของเรา รับรู้ปัญหาของเรา !
เรา เป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหา เราไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของปัญหา เราต้องการที่จะทำงานร่วมกับคุณในการแก้ปัญหาของเรา
 
ข้อเสนอ/ข้อเรียกร้อง
1. สิทธิแรงงาน (แรงงานในระบบ แรงงานนอกระบบ และแรงงามข้ามชาติ)
 
•เราเรียกร้องให้เกิดการปฏิบัติและบังคับใช้กฎหมายแรงงานในประเทศกัมพูชา
•เราเรียกร้องสิทธิที่จะมีเสรีภาพในการสมาคมและการชุมนุมโดยปราศจากความรุนแรง
•เราเรียกร้องค่าจ้างที่เป็นธรรมกับชีวิตคนงานและปรับอัตราค่าจ้างข้าราชการประจำที่พิจารณาจากอัตราเงินเฟ้อ
•เราเรียกร้องบริการสาธารณะที่มีประสิทธิภาพและมีความโปร่งใสในประเทศกัมพูชา
•เราเรียกร้องให้ยุติการทำสัญญาการจ้างงานที่กำหนดระยะเวลา
•เราเรียกร้องการลงทุนซึ่งจะช่วยให้แรงงานในระบบได้รับการดำรงชีวิตที่ดี
•เราเรียกร้องให้เกิดการรับรองและเคารพประเด็นสิทธิมนุษยชนสำหรับการเจรจาต่อรองของแรงงานในระบบ
•เราเรียกร้องเงินประกันสังคมสำหรับแรงงานในระบบ
•เราเรียกร้องให้เกิดการลดราคาน้ำมันเบนซินในประเทศกัมพูชาเช่นเดียวกับในประเทศเพื่อนบ้าน
•เราเรียกร้องให้แรงงานข้ามชาติมีสิทธิที่จะจัดตั้งและเข้าร่วมสหภาพแรงงาน
•เราเรียกร้องให้รัฐบาลอาเซียนตระหนักและมีการบังคับใช้กฎหมายด้านสิทธิมนุษยชนของแรงงานข้ามชาติ; แรงงานต้องมีสิทธิที่จะได้รับค่าจ้างที่เท่าเทียมกันและการบริการสาธารณะอื่น ๆ เช่นเดียวกับแรงงานท้องถิ่น
•เราแรงงานทางเพศขอเรียกร้องเสรีภาพในการเคลื่อนไหวสำหรับมนุษย์ทุกคนในอาเซียน
•งานบริการทางเพศเป็นงาน
•เราต้องการเปลี่ยนกฎหมายและนโยบายในทุกประเทศในกลุ่มอาเซียนที่จะปกป้องสิทธิของแรงงานทางเพศ รวมทั้งแรงงานทางเพศ ที่เป็นเพศที่สาม
•เรา ผู้ขับรถตุ๊กตุ๊กและ มอเตอร์ไซค์รับจ้าง ขอเรียกร้องให้ยุติการให้เช่ารถจักรยานและมอเตอร์ไซค์ในสถานที่ท่องเที่ยว
 
2. สิทธิด้านที่ดิน
•เราเรียกร้องให้รัฐบาลประเมินและแก้ไขผลกระทบด้านลบของการสัมปทานที่ดินเพื่อเศรษฐกิจ
•เราเรียกร้องให้ยุติการบังคับ ขับไล่ประชาชนและการดำเนินการที่ส่งผลกระทบในพื้นที่ซึ่งมีโครงการพัฒนา
•เราเรียกร้องให้ยุติการใช้ระบบตุลาการและการกระทำความรุนแรงโดยรัฐ และไม่ใช่รัฐ ซึ่งถือเป็นอาชญากร และเป็นการโจมตีนักต่อสู้เพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชนและนักต่อสู้ด้านที่ดิน
•เรา สมาชิกของชุมชนที่ถูกไร่รื้อ ขอเรียกร้องรัฐบาลกัมพูชาให้การรับรองเราอย่างเป็นทางการด้วยเอกสารว่า เราเป็นประชาชนตามกฎหมาย (ทะเบียนบ้าน บัตรประจำตัวประชาชน) เพื่อให้เราสามารถเข้าถึงที่ดินและได้รับการชดเชยค่าที่ดิน
•เราเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนและนักต่อสู้ด้านที่ดินที่ถูกคุมขังในเรือนจำให้เป็นอิสระ
•เราเรียกร้องให้ประเทศกัมพูชาให้ความเคารพประเด็นสิทธิมนุษยชน ประชาธิปไตยและหยุดแบ่งแยกคนจน
•เราเรียกร้องให้รัฐบาลพัฒนานโยบายและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ดิน เขื่อน เหมืองแร่ และพลังงานน้ำ ที่ตั้งอยู่บนผลประโยชน์ของประชาชน
•เราเรียกร้องให้มีการยกเลิกของนโยบายการให้สัมปทานที่ดินเพื่อเศรษฐกิจในประเทศอาเซียน
•เราเรียกร้องให้อาเซียนพัฒนากลไกและนโยบายในการกระจายการถือครองที่ดินให้ประชาชน
•เราเรียกร้องให้รัฐบาลอาเซียนปกป้องพื้นที่ซึ่งมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง
•เราเรียกร้องนโยบายการพัฒนาในภูมิภาคอาเซียนเคารพและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิเมือง และไม่ปล่อยให้เกิดการบังคับ ขับไล่และมีการเลือกปฏิบัติต่อคนจน
•เราขอให้รัฐบาลอาเซียนออกแถลงการณ์ร่วม เพื่อเรียกร้องให้มีการแก้ปัญหาความขัดแย้งด้านที่ดินในอาเซียน
 
3. ความมั่นคงด้านอาหารและอธิปไตยทางอาหาร
•เราเรียกร้องตลาดที่เป็นธรรมและราคาที่เป็นธรรมสำหรับผลิตภัณฑ์ของเรา
•เราเรียกร้องเงินกู้รายย่อยจากรัฐบาลด้วยอัตราดอกเบี้ย 2% ต่อปี
•เราเรียกร้องการสนับสนุนเทคนิคทางการเกษตรจากรัฐบาล
•เราปฏิเสธกฎหมายทางการเกษตรใด ๆ ซึ่งขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญและกฎหมายแผ่นดินของเรา
•เราเรียกร้องกฎหมายเพื่อปกป้องอำนาจต่อรองที่เท่าเทียมกันระหว่างผู้ผลิตทางการเกษตรรายย่อย และผู้ซื้อ/ผู้ค้า
 
4. สิทธิการค้าและการลงทุน
•เราเรียกร้องว่าการพัฒนาจะต้องไม่ทำให้ประชาชนยากจนลง
•สิ่งสำคัญอันแรกก่อนด้านการค้าและการลงทุนควรเสริมสร้างเศรษฐกิจท้องถิ่น, การผลิต, ความสามารถของมนุษย์ในประเทศและความเป็นอยู่ของประชาชน ผลกำไรของนักลงทุนไม่ควรจะมาก่อนผลประโยชน์ของประชาชน
•เราต้องการเข้าถึงหลักการดูแลสุขภาพสากลและสิทธิสำหรับประเทศของเราที่จะมีสิทธิในการผลิตยาสามัญของตัวเอง
•เราขอเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการออกกฎหมายและระเบียบข้อบังคับเพื่อคุณภาพของการศึกษาและการจ้างงานเพิ่มขึ้น
•รัฐบาลอาเซียนควรสร้างประชาคมระดับภูมิภาคผ่านความยุติธรรมและสันติภาพ ไม่ใช่การสกัดกั้น การทำลายและการแสวงหาผลประโยชน์
•รัฐบาลต้องทำหน้าที่เพื่อผลประโยชน์ที่เพิ่มขึ้นของผู้คนในประเทศของตัวเอง ไม่ใช่ของ บริษัท และชนชั้นนำ
•นโยบายการค้าและการลงทุนระดับประเทศและในระดับภูมิภาคต้องส่งเสริมอธิปไตยด้านอาหาร งานที่มีคุณค่า การปกป้องทรัพยากรธรรมชาติ และศักดิ์ศรีในชีวิตของทุกคน
•รูปแบบการพัฒนาของรัฐบาลอาเซียนจะต้องเปลี่ยนแนวทางใหม่โดยต้องให้ความเท่าเทียมกันระหว่างคน สิ่งแวดล้อมและสังคม ก่อนผลประโยชน์ของบริษัทและชนชั้นนำ
 
5. สิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย
•เราเรียกร้องให้มีระบบตุลาการที่เป็นอิสระในประเทศกัมพูชา
•เราปฏิเสธปฏิญญาสิทธิมนุษยชนอาเซียนในใช้อยู่ในปัจจุบัน
•เราเรียกร้องความยุติธรรมสำหรับชนพื้นเมือง
•เราเรียกร้องให้ยกเลิกกฎหมายและนโยบายทั้งทางตรงและทางอ้อมที่คุกคามผู้มีรสนิยมทางเพศและอัตลักษณ์เฉพาะทางเพศโดยทันทีและ ให้การรับรองสิทธิของคนเพศที่สาม ให้เป็นส่วนหนึ่งที่สอดคล้องตามหลักสิทธิมนุษยชน กฎหมายในประเทศ และหลักการสากล
 
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประชาสังคมประกาศบอยคอตปฏิญญาสิทธิมนุษยชนอาเซียน

Posted: 19 Nov 2012 05:03 AM PST

ประณามการรับรองร่างปฏิญญาสิทธิมนุษยชนอาเซียนที่เต็มไปด้วยข้อบกพร่อง ปฏิญญาสิทธิมนุษยชนอาเซียนต่ำกว่ามาตรฐานสากลมาก

                19 พฤศจิกายน 2555 ภาคประชาสังคมอาเซียน ออกแถลงการณ์ประณามการรับรองร่างปฏิญญาสิทธิมนุษยชนอาเซียนที่เต็มไปด้วยข้อบกพร่อง ปฏิญญาสิทธิมนุษยชนอาเซียนต่ำกว่ามาตรฐานสากลมาก 

                โดยแถลงการณืระบุว่า ปฏิญญาฉบับนี้ไม่คำนึงถึงข้อกังวลอย่างลึกซึ้งของบรรดาเจ้าหน้าที่อาวุโสองค์การสหประชาชาติ ผู้ชำนาญการด้านสิทธิมนุษยชน และหน่วยงานระดับรากหญ้าและหน่วยงานภาคประชาสังคมอีกหลายร้อยแห่งในระดับภูมิภาคและนานาชาติ บรรดาผู้นำประเทศอาเซียนเดินหน้ารับรองปฏิญญาสิทธิมนุษยชนอาเซียน (ASEAN Human Rights Declaration) เมื่อวานนี้ ทั้ง ๆ ที่เป็นกฎบัตรซึ่งทำลายกฎหมายและมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ หาได้เป็นการส่งเสริมไม่ กฎบัตรสิทธิมนุษยชนฉบับนี้เป็นเพียงเครื่องกำบังการประกาศอำนาจรัฐต่าง ๆ มากกว่า

                เป็นเรื่องที่น่าเสียใจที่รัฐบาลประเทศอาเซียนยืนยันจัดทำปฏิญญาซึ่งเหมือนเป็นการระบุว่า ประชาชนของตนเองคู่ควรกับสิทธิมนุษยชนน้อยกว่าประชาชนในยุโรป แอฟริกา หรืออเมริกา ประชาชนในอาเซียนไม่ควรยอมรับการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่ต่ำกว่ามาตรฐานในที่อื่น ๆ ทั่วโลก 

                ปฏิญญาสิทธิมนุษยชนอาเซียนควรแสดงเจตจำนงสากลในการเคารพสิทธิมนุษยชน ซึ่งหมายถึงการจำกัดอำนาจของรัฐบาล แต่ในทางตรงข้าม เนื้อหาของปฏิญญาฉบับที่ผ่านการรับรองนี้ จะยิ่งสร้างความชอบธรรมมากขึ้นให้กับการละเมิดสิทธิมนุษยชนของประชาชนที่อยู่ใต้เขตอำนาจของรัฐบาลอาเซียน ทั้งนี้จะเห็นได้จาก "หลักการทั่วไป" ที่เต็มไปด้วยข้อบกพร่อง นอกจากนั้น ยังมีการลดหย่อนการคุ้มครองสิทธิพื้นฐานโดยอ้างการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องกระทำกับบุคคล  มีการอ้างบริบทระดับภูมิภาคและระดับชาติเพื่อเป็นเงื่อนไขในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน และยังอ้างข้อจำกัดต่อสิทธิอย่างอื่น ๆ ทั้ง ๆ ที่เป็นสิทธิอันไม่พึงถูกจำกัดเลย ในหลายข้อบัญญัติ มีการกำหนดเงื่อนไขการคุ้มครองสิทธิให้ขึ้นอยู่กับกฎหมายระดับประเทศ แทนที่จะกำหนดให้กฎหมายควรได้รับการปรับให้มีเนื้อหาสอดคล้องกับสิทธิเหล่านั้น  

                ปฏิญญาฉบับนี้ยังละเลยสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานหลายประการ รวมทั้งสิทธิที่จะมีเสรีภาพในการรวมตัวเป็นสมาคมและสิทธิที่จะไม่ถูกบังคับให้กลายเป็นบุคคลผู้สูญหาย 

                เนื้อหาที่เพิ่มเติมเข้ามาในนาทีสุดท้ายสำหรับถ้อยแถลงของผู้นำที่รับรองปฏิญญาฉบับนี้ แทบไม่ได้แก้ปัญหาขั้นพื้นฐานของปฏิญญาเลย แม้จะเป็นการยืนยันเจตจำนงของรัฐบาลอาเซียนที่มีต่อปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights - UDHR) และกฎบัตรสิทธิมนุษยชนอื่น ๆ ตราบที่ "หลักการทั่วไป" ของปฏิญญาฉบับนี้และช่องโหว่ต่าง ๆ ยังปรากฏอยู่ จะเป็นการส่งสัญญาณผิด ๆ ต่อรัฐบาลว่า สามารถอ้างเหตุผลเพื่อไม่ต้องปฏิบัติตามพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศได้

                เป็นเรื่องน่าเสียใจอย่างยิ่งที่รัฐบาลในอาเซียนซึ่งเป็นประชาธิปไตยมากกว่าและเปิดรับกับสิทธิมนุษยชนมากกว่า กลับยอมตกอยู่ใต้แรงกดดันของรัฐบาลที่รังเกียจสิทธิมนุษยชน และยอมรับกฎบัตรที่เต็มไปด้วยข้อบกพร่องเหล่านี้

                เรายังขอแสดงความไม่เห็นด้วยต่อระบบการตัดสินใจแบบ "ปรึกษาหารือและฉันทามติ" (consultation and consensus) ของอาเซียน ซึ่งก็ทำให้ประชาชนผิดหวังอีกครั้ง เป็นการเผยให้เห็นว่าวาระสิทธิมนุษยชนของอาเซียนถูกกำหนดแต่ฝ่ายเดียวโดยบรรดารัฐภาคี โดยแทบไม่มีการปรึกษาหารืออย่างจริงจังกับหน่วยงานระดับรากหญ้าและหน่วยงานภาคประชาสังคมซึ่งทำงานด้านสิทธิมนุษยชนกับประชาชนในภูมิภาคอาเซียนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

                ปฏิญญาฉบับนี้ไม่คู่ควรกับชื่อของมันเลย เราจึงขอปฏิเสธ และจะไม่นำปฏิญญาฉบับนี้มาใช้ในการทำงานกับกลุ่มต่าง ๆ ที่คุ้มครองสิทธิมนุษยชนในภูมิภาค เราจะไม่อ้างปฏิญญาฉบับนี้ในการติดต่อกับอาเซียนหรือรัฐภาคีของอาเซียน ทั้งยังจะประณามว่าเป็นกฎบัตรที่ต่อต้านสิทธิมนุษยชน เราจะยังอ้างอิงกฎหมายและมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศต่อไป เพราะประกันเสรีภาพและให้ความคุ้มครองที่คู่ควรกับประชาชนและกลุ่มต่าง ๆ ในอาเซียน แตกต่างจากปฏิญญาฉบับนี้มาก เราขอเตือนบรรดารัฐภาคีอาเซียนถึงพันธกรณีของพวกเขาที่มีต่อกฎหมายระหว่างประเทศ และย่อมมีผลบังคับใช้เหนือกว่ากรณีที่เนื้อหามีความขัดแย้งกับปฏิญญาฉบับนี้ และไม่ควรมีการอ้างปฏิญญาฉบับนี้เป็นข้อแก้ตัวกรณีที่รัฐไม่สามารถปฏิบัติตามพันธกรณีสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศได้

 

รับรองโดย:

  1. Aliansi Masyarakat Adat Nusantara
  2. ALTSEAN Burma
  3. Amnesty International 
  4. Arus Pelangi 
  5. ASEAN Watch Thailand
  6. Asian Center for the Progress of the Peoples (ACPP)
  7. Asian Forum for Human Rights and Development (FORUM-ASIA)
  8. ASEAN LGBTIQ Caucus
  9. ARTICLE 19
  10. Boat People SOS
  11. Burma Partnership
  12. Cambodian Food and Service Workers' Federation (CFSWF)
  13. Cambodian Human Rights and Development Association (ADHOC)
  14. Cambodian Independent of Civil-Servant Association (CICA)
  15. Cambodian League for the Promotion and Defense of Human Rights (LICADHO)
  16. Cambodian Workers Center for Development (CWCD)
  17. Cambodian Youth Network (CYN)
  18. Coalition of Cambodian Farmer Community (CCFC)
  19. Forum for Democracy in Burma
  20. Forum LGBTIQ Indonesia
  21. Human Rights Defenders-Pilipinas (HRDP)
  22. Human Rights Education Institute of Burma (HREIB)
  23. Human Rights Watch
  24. IMPARSIAL (The Indonesian Human Rights Monitor)
  25. Independent Democratic of Informal Economy Association (IDEA)
  26. Indonesia for Human's
  27. Informal Service Center (INSEC) 
  28. International Commission of Jurists (ICJ)
  29. International Federation for Human Rights (FIDH)
  30. International Gay and Lesbian Human Rights Commission (IGLHRC)
  31. Justice for Sisters, Malaysia
  32. Knowledge and Rights with Young People Through Safer Spaces (KRYSS)
  33. Lao Movement for Human Rights
  34. Lawyers For Liberty (Malaysia)
  35. Lawyers' Rights Watch Canada
  36. Migrant Forum in Asia (MFA)
  37. Myanmar Youth Empowerment Program
  38. Myanmar Youth Forum
  39. NGO Coordinating Committee on Development (NGO-COD), Thailand
  40. People's Action for Change, Cambodia
  41. People's Solidarity for Participatory Democracy (PSPD)
  42. People's Watch (India)
  43. Philippine Alliance of Human Rights Advocates (PAHRA)
  44. Philippine Human Rights Information Center (PHILRIGHTS)
  45. Philippine NGO Coalition on the UN Convention on the Rights of the Child
  46. Quê Me: Action for Democracy in Vietnam
  47. Sayoni, Singapore
  48. Seksualiti Merdeka, Malaysia
  49. South East Asian Committee for Advocacy (SEACA)
  50. Suara Rakyat Malaysia (SUARAM)
  51. Task Force Detainees of the Philippines (TFDP)
  52. Thai Volunteer Service (TVS)
  53. The Commission for Missing Persons and Victims of Violence (Kontras)
  54. Towards Ecological Recovery and Regional Alliance (TERRA)
  55. Vietnam Committee on Human Rights
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 11 - 17 พ.ย. 2555

Posted: 19 Nov 2012 04:33 AM PST

 

อาชีพอิสระสมัครประกันสังคมม.40 ทะลุ 1.2 ล้าน

วันนี้ (8 พ.ย.) ที่สำนักงานประกันสังคม (สปส.) นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รมว.แรงงาน กล่าวเปิดงาน "ประกันสุขกับประกันสังคม" ว่า สปส.ตั้งเป้าหมายภายในปี 2555 ต้องมีแรงงานนอกระบบ ประกอบอาชีพอิสระเข้าสู่ระบบประกันสังคมเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 จำนวน 1.2 ล้านคน โดย ณ วันที่  7 พ.ย. มีถึง 1,247,848 คน ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพรับจ้าง เกษตรกรรม ค้าขาย หาบเร่แผงลอย

ทั้งนี้มีแรงงานอีกมากและหลากหลายอาชีพที่ยังไม่ได้รับรู้ข้อมูลข่าวสาร การจัดงานวันนี้ก็เพื่อรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่มาร่วมงานเกิดความรู้ ความเข้าใจ และนำไปเผยแพร่แก่เพื่อนร่วมอาชีพ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อสวัสดิการของตนเอง นอกจากนี้ได้มอบรางวัลให้แก่ผู้ประกันตนภาคสมัครใจเป็นสมาชิกคนที่ 1 ตั้งแต่ปี 2546 และเป็นสมาชิกต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน และผู้ประกันตนรายที่ 1.2 ล้านเป็นลำดับที่ครบตามเป้า

พระธีรพันธุ์ อุปการศิลป์ อายุ 59 ปี จากวัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ผู้ประกันตนภาคสมัครใจ สมาชิกคนที่ 1 กล่าวว่า เป็นคนกรุงเทพฯ สมัครใจเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 ตั้งแต่ปี 2546 ตอนนั้น ประกอบอาชีพค้าขาย ไม่ได้มองถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับแต่ในฐานะเป็นคนไทยก็อยากทำอะไรที่มีส่วน ช่วยภาครัฐบ้าง

ด้านนางสมใจ ภูตะมาตย์ อายุ 39 ปี อาชีพขายปลาในตลาดแจ้งสว่าง อ.เมือง จ.หนองคาย  ผู้ประกันตนรายที่ 1.2 ล้าน  กล่าวว่า สมัครเมื่อเดือน ต.ค.ที่ผ่านมาพร้อมกับครอบครัว เพราะเห็นว่าดี จ่ายเพียงเดือนละ 100 บาท  ในอนาคตถ้าต้องนอนรพ. 2 วันขึ้นไปจะได้รับค่าชดเชยวันละ 200 บาท นอกจากนี้ยังมีเงินออมด้วย.

(เดลินิวส์, 11-8-2555)

 

ครม.อนุมัติ 461ล.ดึงแรงงานนอกระบบเข้าประกันสังคม

นายภักดีหาญส์ หิมะทองคำ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีรับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้ 1.รับทราบการดำเนินงานคุ้มครองประกันสังคมแก่แรงงานนอกระบบ 2.อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2556 เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นวงเงินไม่เกิน 461,076,000 บาท เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาภาระค่าใช้จ่าย แต่ทั้งนี้แรงงานนอกระบบต้องสมัครเข้าเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 เป็นระยะเวลา 11 เดือน(พ.ย.2555-ก.ย.2556) 3.อนุมัติเงินงบประมาณ พ.ศ. 2556 งบกลางรายการเงินสำรองเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นจำนวน 46,575,400 บาท เพื่อเป็นค่าตอบแทนในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่และการประชาสัมพันธ์สำหรับ การรณรงค์ให้แรงงานนอกระบบสมัครเข้าเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 แห่งพ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ. 2533

นายภักดีหาญส์ ระบุว่า สาระสำคัญของเรื่องนี้ ก็เพื่อขยายความคุ้มครองประกันสังคมแก่แรงงานนอกระบบอาชีพต่างๆเช่น เกษตรกร ผู้ขับขี่ยานพาหนะรับจ้าง ผู้ประกอบอาชีพอิสระ ผู้ค้าขายหาบเร่ และแผงลอย เพื่อให้กลุ่มคนเหล่านี้มีหลักประกันความมั่นคงในชีวิต มีการกำหนดหลักเกณฑ์ และอัตราการจ่ายเงินสมทบของประโยชน์ทดแทนตามมาตรา 20 ของพระราชกฤษฎีกากำหนด ซึ่งกำหนดให้ระยะแรกเริ่มผู้ประกันตนจะต้องจ่ายเงินสมทบกองทุนในอัตราเดือน ละ 70 บาท สำหรับผู้ประกันตนที่เลือกประโยชน์ตามมาตรา 8 ต้องจ่ายเงินสมทบทุนในอัตรา100 บาทต่อเดือน

รองโฆษกฯ กล่าวต่อว่า ทางกระทรวงแรงงานได้ตั้งเป้าหมายในการดำเนินงานให้แรงงานนอกระบบได้รับความ คุ้มครองภายในเดือนกันยายน 2555 จำนวน 1.20 ล้านคน โดยวันที่ 5 กันยายน 2555 มีผู้ประกันตนฯ จำนวน 1,068,839 คน หรือร้อยละ 89.07 ของเป้าหมาย ส่วนใหญ่แรงงานนอกระบบที่ประกันตนอยู่ในพื้นที่ กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล

(เนชั่นทันข่าว, 12-11-2555)

 

จี้รัฐคุมเข้มนายจ้างใช้แรงงาน นศ.

นายชาลี ลอยสูง ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) เปิดเผยว่า  เตรียมเข้าพบนายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รมว.แรงงาน เวลา 15.00 น.วันนี้ เพื่อขอความชัดเจนเกี่ยวกับมาตรการกำกับดูแลสถานประกอบการที่นำนักศึกษา ระดับ ปวช. มาทำงานในลักษณะของการฝึกงาน ภายใต้ความร่วมมือกับสถานศึกษาในพื้นที่

นายชาลี กล่าวว่า คสรท.มีความเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยในการทำงานของนักศึกษา เพราะแม้จะบอกว่าเป็นการฝึกงาน แต่ในทางปฏิบัติคือการทำงานเต็มเวลา นายจ้างใช้วิธีลักษณะนี้แก้ปัญหาการขาดแคลนคนงาน โดยทำข้อตกลงกับสถานศึกษาให้เวียนส่งนักศึกษามาทำงานเป็นรอบ รอบละ 3-4 เดือน นักศึกษาได้ค่าแรงไม่ถึง 300 บาท และหากเกิดอุบัติเหตุในการทำงานจนสูญเสียอวัยวะ จะกระทบกับอนาคตของนักศึกษาเหล่านั้นทันที ซึ่งที่ผ่านมาก็มีกรณีแบบนี้เกิดขึ้นมาแล้ว

นายยงยุทธ เม่นตะเภา ประธานที่ปรึกษาสหพันธ์แรงงานยานยนต์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบันมีโรงงานอิเล็กทรอนิกส์ขนาดใหญ่ 10-12 แห่ง รวมทั้งโรงงานรถยนต์บางแห่ง ใช้แรงงานนักศึกษาในลักษณะนี้ และแนวโน้มกำลังมากขึ้นเรื่อยๆ

"นายจ้างใช้วิธีนี้มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะไม่เป็นภาระผูกพัน ค่าใช้จ่ายต่ำไม่ต้องจ่ายโบนัส จ่ายสวัสดิการอะไร และมีคนมาทำงานสม่ำเสมอ แต่ที่อ้างว่าฝึกงาน จริงๆแล้วมันก็คือการทำงานเต็มเวลา แถมยังให้ทำโอทีอีกด้วย ซึ่งเรื่องนี้เป็นปัญหาเพราะเด็กอยู่ในวัยเรียน ไม่ใช่วัยทำงาน และที่พบอีกอย่างคือไม่ได้ฝึกงานตามสายงานที่เรียนมา ส่วนใหญ่จะโดนจับลงไลน์ผลิตหมด แบบนี้นักศึกษาก็ไม่ได้ความรู้อะไร การทำโอทีก็ทำให้เด็กมีเวลาพักผ่อนน้อยลงด้วย"นายยงยุทธ กล่าว

นายยงยุทธ กล่าวว่า ไม่แน่ใจว่าการจ้างงานในลักษณะนี้มีกฎหมายรองรับหรือไม่ อยากให้กระทรวงแรงงานมีความชัดเจนเรื่องมาตรการควบคุม เพื่อไม่ให้สถานประกอบการใช้งานนักศึกษาเกินขอบเขตฝึกงาน รวมทั้งมาตรการคุ้มครองสิทธิอื่นๆของนักศึกษาด้วย

ทั้งนี้ ล่าสุด บริษัท เดอะพิซซ่า คอมปะนีประเทศไทย ในเครือบริษัท เดอะไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป ประกาศเตรียมแผนการพัฒนาบุคลากรครั้งใหญ่ โดยนำธุรกิจร้านอาหารเดอะพิซซ่า คอมปะนี เข้าสู่โครงการนำร่องเซ็นบันทึกข้อตกลง (เอ็มโอยู)โครงการผู้ประกอบการและสถานศึกษา เพื่อจัดหานักศึกษาเข้าทำงานในร้านเดอะพิซซ่าฯ เป็นครั้งแรกก่อนขยายไปยังแบรนด์อื่นๆ เบื้องต้นมีสถาบันการศึกษาเข้าร่วมโครงการแล้ว 22 แห่งและมีนักศึกษาเข้าร่วมในปีแรกอยู่ที่500 คน ศึกษาในหลักสูตรการบริหารธุรกิจ การโรงแรม และธุรกิจค้าปลีกพร้อมวางเป้าหมายภายใน 3-5 ปีข้างหน้า จะมีสถาบันการศึกษาเข้าร่วมในโครงการราว 100 แห่ง

(โพสต์ทูเดย์, 12-11-2555)

 

กรมจัดหางานคืนเงิน 78 แรงงานถูกหลอกทำงานอิสราเอล 37.5%

อุดรธานี 13 พ.ย.- เวลา 10.20 น. วันนี้ ที่สำนักงานจัดหางาน จ.อุดรธานี นางนฤมล ธารดำรงค์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบเงินหักหลักประกันของบริษัทจัดหางานฟาเอซ เซอร์วิส จำกัด ให้แก่คนงานที่สมัครงานกับบริษัทฯ ไปทำงานที่ประเทศอิสราเอล แต่ไม่ได้เดินทางไป 78 คน มีคนงานที่มีภูมิลำเนาอยู่ใน จ.อุดรธานี และใกล้เคียง เดินทางมารับเงินที่ได้รับคืนเพียงร้อยละ 37.5 นายวินัย ลู่วิโรจน์ รองอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า บริษัท จัดหางานฟาเอซ เซอร์วิส ประกาศรับสมัครคนงาน และเรียกเก็บค่าบริการกับคนงานทั้ง 78 คน คิดเป็นเงิน 13,346,158 บาท แต่ไม่สามารถจัดส่งคนงานไปได้ กรมฯ เห็นว่า บริษัทฯ กระทำการฝ่าฝืน พ.ร.บ.จัดหางาน และคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528 จึงพิจารณาหักหลักประกันของบริษัทฯ ที่วางประค้ำประกันไว้จำนวน 5 ล้านบาท เพื่อจ่ายคืนให้คนงานทั้ง 78 คน และเพิกถอนใบอนุญาตจัดส่งคนงานของบริษัทฯ ดังกล่าวไปแล้ว อย่างไรก็ตาม แม้คนงานยังได้ไม่รับเงินครบตามที่จ่ายไป กระทรวงฯ จะดำเนินการต่อไปเพื่อที่จะให้คนงานได้รับเงินคืนเต็มตามจำนวนที่เสียไป เพราะส่วนใหญ่ต้องกู้หนี้ยืมสินเสียดอกเบี้ยจำนวนมาก จึงมอบให้ สนง.จัดหางาน จ.อุดรธานี ไปร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินดีอาญาและแพ่งกับบริษัทฯ และผู้เกี่ยวข้องต่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองอุดรธานี และประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาทางช่วยเหลือต่อไป (สำนักข่าวไทย, 13-11-2555)

 

เครือข่ายแรงงานจี้ติด ประชุม ครม. 20 พ.ย.นี้ หากขึ้นค่าแรง 300 บ. ทั่วประเทศไม่ผ่านเคลื่อนพลแน่

นายยงยุทธ เม่นตะเภา ประธานที่ปรึกษาสหพันธ์แรงงานยานยนต์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รมว.แรงงานได้รับปากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันทั่วประเทศ 70 จังหวัดที่เหลือ ซึ่งจะมีผล 1 ม.ค.56 เข้าสู่ที่ประชุม ครม.ภายใน 20 พ.ย.นี้ ซึ่งเครือข่ายแรงงานกำลังติดตาม หากไม่เข้าจริงจะเคลื่อนไหวทันที เนื่องจากสัปดาห์ที่ผ่านมาระบุว่าการประชุม ครม.ได้เลื่อนเป็นวันที่ 12 พ.ย. ประกอบกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไม่ได้เซ็นเรื่องไว้ "การที่เอกชนระบุว่าจะขอเวลาศึกษามาตรการเยียวยาก่อนและให้ชะลอเข้า ครม.เป็นคนละเรื่องเพราะเรื่องนี้เราก็เข้าใจถึงผลกระทบต่อธุรกิจแต่เมื่อ เป็นนโยบายรัฐก็ต้องไปดูแลเอสเอ็มอีด้วย และค่าแรงที่ขึ้นก็ไม่ได้มากเลยเมื่อเทียบกับค่าครองชีพที่สูงมาก เวลานี้เรามองว่าค่าแรงน่าจะอยู่ที่ 400 บาทต่อวันด้วยซ้ำไป" นายยงยุทธกล่าว

ขณะที่นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ปี 2556 ภาคธุรกิจไทย โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) มีความเสี่ยงสูงในการทำธุรกิจโดยเฉพาะต้นทุนที่จะต้องปรับขึ้นตามค่าแรงขั้น ต่ำ 300 บาทต่อวันทั่วประเทศ ประกอบกับต้นทุนอื่นๆ ทั้งวัตถุดิบ ขนส่ง ก็เริ่มมีทิศทางขยับราคาทำให้แนวโน้มเอสเอ็มอีจะประสบปัญหาสภาพคล่อง และหากปรับตัวไม่ได้ ที่สุดมีทิศทางที่จะต้องปิดกิจการมากขึ้น

"มาตรการเยียวยาจากรัฐดูแล้วก็ช่วยได้ไม่มาก ที่สุดเชื่อว่าธุรกิจโดยรวมอาจต้องทยอยปรับราคาสินค้าในช่วงไตรมาส 2 ปีหน้าเป็นต้นไป  เพื่อที่จะลดภาระต้นทุนส่วนหนึ่งเพื่อความอยู่รอดเพราะไตรมาสแรกจะยังคงใช้ สต๊อกสินค้าเก่าอยู่ ขณะที่ธุรกิจส่งออกทิศทางตลาดยังไม่ฟื้นตัว"

นายทวี ปิยพัฒนา รองประธาน ส.อ.ท.กล่าวว่า ราคาสินค้าในแง่ของอาหารทะเลแช่แข็งจะปรับราคาในประเทศได้ค่อนข้างยากเช่น เดียวกับตลาดส่งออก เพราะการแข่งขันทุกรายคงต้องพยายามรักษาการผลิตและส่วนแบ่งตลาดเอาไว้แม้อาจ จะต้องลดกำไรลงก็ตาม ซึ่งการขึ้นค่าแรงทั่วประเทศปีหน้าถือเป็นจุดอันตรายของเศรษฐกิจไทยโดยเฉพาะ เอสเอ็มอีจะอยู่ลำบากหลัง เม.ย.56 เชื่อว่าจะเห็นชัดเจนถึงผลกระทบ.

(ไทยรัฐ, 14-11-2555)

 

บ.ยุโรปโอดขาดแคลนแรงงานหนัก

เมื่อวันที่ 14 พ.ย.2555 นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน(รมว.รง.)เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆนี้ตัวแทนบริษัทที่ดำเนินการธุรกิจประเภทคมนาคมขนส่ง , ยานยนต์ , ยาและเวชภัณฑ์ ,บริการทางการเงิน , อาหารและเครื่องดื่ม , ประกันภัยและทรัพย์สินทางปัญญาจากประเทศแถบยุโรป 16 ประเทศซึ่งมีบริษัทในเครือกว่า 2,000 บริษัทได้มาเข้าพบตนเพื่อขอหารือการแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน เนื่องจากธุรกิจต่างๆในประเทศแถบยุโรปตั้งใจที่จะปักหลักลงทุนทำธุรกิจใน ประเทศไทย แต่เป็นห่วงปัญหาขาดแคลนแรงงาน จะส่งผลให้การดำเนินธุรกิจในไทยขาดความมั่นคง

รมว.แรงงาน กล่าวอีกว่า บริษัทจากยุโรปแจ้งด้วยว่าเพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน จึงมีความต้องการที่จะจ้างแรงงานไทย รวมทั้งจะขอนำเข้าแรงงานต่างด้าวเข้ามาทำงานในไทยและขอให้ไทยช่วยขยายเวลา ให้ช่างฝีมือ พนักงานของบริษัทต่างๆในยุโรปที่เข้ามาทำงานในไทยอยู่ในไทยได้นานขึ้นจาก ปัจจุบันอยู่ได้เพียง 1 ปีเพิ่มเป็น 2-3 ปี นอกจากนี้ ยังสอบถามถึงแนวทางการพัฒนาแรงงานไทยเพื่อเตรียมตัวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจ อาเซียน(เออีซี)ในปีพ.ศ.2558 ด้วย

นายเผดิมชัย กล่าวอีกว่า ตนได้ตอบกลับไปว่า กระทรวงแรงงานยินดีที่จะช่วยจัดหาแรงงานไทยให้ตามความต้องการ แต่ขอให้ทุกบริษัทรวบรวมข้อมูลความต้องการแรงงานมาให้ชัดเจนเช่น ตำแหน่งงาน คุณสมบัติ เงินเดือนและจำนวนแรงงานในแต่ละตำแหน่งงานที่ต้องการจ้างงานมายังกระทรวงแรง งานโดยเร็วที่สุด และขอให้แจ้งความต้องการแรงงานมาล่วงหน้า 1-2 ปี เพื่อที่กระทรวงแรงงานจะได้จัดหาแรงงานรองรับ

(เนชั่นทันข่าว, 14-11-2555)

 

คนทำงานบ้านขอสิทธิเพิ่มอีก 4 ข้อ เตรียมหารือ 9 ธ.ค.

นางสมร พาสมบูรณ์ ประธานเครือข่ายสมาชิกคนทำงานบ้าน ได้กล่าวถึงประกาศกฎกระทรวงแรงงานฉบับที่ 14 (พ.ศ.2555) ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ที่ให้ความคุ้มครองลูกจ้างที่ทำงานเกี่ยวกับงานบ้าน มีผลบังคับใช้แล้วภายหลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายนที่ผ่านมา แต่แม่บ้านยังมีข้อเรียกร้องที่ต้องการให้รัฐบาลดำเนินการต่อไปอีก 4 ข้อ ซึ่งด้านนายจ้างแสดงความเห็นว่ามีความเป็นไปได้ยากที่จะทำตามสิ่งที่เสนอมา

สำหรับสิทธิ 4 ข้อที่เสนอมานั้น ได้แก่ 1.การเดินหน้าประกันสังคม ให้แม่บ้านเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ซึ่งปัจจุบันแม่บ้านต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเอง เพราะใช้สิทธิรักษาพยาบาลได้เพียงระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือบัตร 30 บาทรักษาทุกโรค ที่ต้องรักษาในโรงพยาบาลตามภูมิลำเนาเท่านั้น

2.การรับรองเวลาทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวัน ให้เหมือนกันลูกจ้างทั่วไป เพราะปัจจุบันแม่บ้านไม่มีเวลาการทำงานที่แน่นอน 3.การคุ้มครองความปลอดภัยระหว่างการทำงาน จากอุบัติเหตุและภัยต่างๆ เพราะแม่บ้านบางคนไม่มีห้องพักส่วนตัว ต้องนอนในที่ที่อาจไม่ปลอดภัย และ 4.ขอให้รัฐบาลชี้ให้ชัดและรับรองว่า นายจ้างทุกคนจะปฏิบัติตามกฎกระทรวง เพราะแม่บ้านยังไม่เชื่อว่านายจ้างจะทำตาม

ทั้งนี้ในวันที่ 9 ธันวาคมนี้ จะมีการจัดงานสมัชชาคนทำงานบ้าน เพื่อเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรง งาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หารือถึงข้อเรียกร้องที่แม่บ้านต้องการแต่รัฐบาลยังไม่ได้ดำเนินการให้

ขณะที่ผู้ว่าจ้างรายหนึ่งแสดงความคิดเห็นต่อสิทธิ 4 ข้อที่เสนอมาใหม่ว่า การปรับกฎกระทรวงเพื่อคุ้มครองและให้สิทธิกับแม่บ้านเพิ่มมากขึ้นเป็นเรื่อง ดี แต่ต้องดูเงื่อนไขหลายๆอย่าง ขณะที่เมื่อถึงเวลาปฏิบัติจริงๆ จะเกิดคำถามว่า ใครจะเป็นคนลงไปกำกับดูแลเรื่องนี้ได้ จะให้มาตรวจนับตามบ้านก็เป็นไปไม่ได้ หรือจะให้แรงงานที่ทำงานในบ้านออกมาเรียกร้องยิ่งเป็นไปได้ยาก เพราะอาจเกิดปัญหากับนายจ้าง ซึ่งทุกคนยังอยากมีงานทำอยู่

(MThai News, 16-11-2555)

 

ปชป.หวั่นนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท กระทบโรงงานภาคอีสาน

ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงการเตรียมขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท พร้อมกันทั่วประเทศ ในวันที่ 1 มกราคม 2556 ว่า  รู้สึกเป็นห่วง เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าจะเป็นนโยบายที่ก่อให้เกิดปัญหามากมาย  โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสาน ที่มีโรงงานอยู่เป็นจำนวนมาก เนื่องจากมีข้อได้เปรียบทางด้านค่าจ้างแรงงานถูก เชื่อว่า หากปรับค่าแรงขึ้น จะทำให้  เอสเอมอีหรือโรงงานขนาดเล็กต้องปิดตัวทันที และโรงงานขนาดใหญ่จะต้องย้ายฐานการผลิตมายังกรุงเทพฯ และปริมณฑล เนื่องจากไม่มีแรงจูงใจทางด้านค่าแรง และจะทำให้แรงงานในภาคอีสานตกงานเป็นจำนวนมาก ดังนั้นอยากให้รัฐบาลหามาตรการป้องกันและแก้ปัญหา  โดยขอให้รัฐบาล ประเมินว่า อุตสาหกรรมใดที่มีความจำเป็น ใช้แรงงานจำนวนมาก และไม่สามารถใช้เครื่องจักรทดแทนได้ ก็ขอให้ออกมาตรการช่วยเหลือ โดยอาจจะมีลักษณะจัดตั้งกองทุนให้กับอุตสาหกรรมเหล่านั้นในระยะเวลา 2 ปีได้หรือไม่ และรัฐบาลจะพัฒนาฝีมือแรงงานอย่างไรเพื่อไม่ให้สูญเสียความสามารถในการแข่ง ขัน

(มติชนออนไลน์, 17-11-2555)

 

เตือนรัฐบาลลดประชานิยมทบทวนค่าแรง

นักเศรษฐศาสตร์คาดเศรษฐกิจโลกโต 3.3% ขณะที่ไทยพุ่ง 4.6% ติงรัฐบาลลดประชานิยม เลิกจำนำข้าวก่อนหนี้สาธารณะเกินแบก ด้านนิด้าโพลระบุระเบิดเวลาค่าแรง 300 บาทต้นปีหน้า ทำแรงงานไทยพิ นาศ สินค้าพาเหรดขึ้นราคา "มาร์ค" แนะจับตาปัญหาเลิกจ้าง

ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ หรือกรุงเทพโพล เปิดเผยผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์จากองค์กรชั้นนำ 35 แห่ง จำนวน 73 คน เรื่องคาดการณ์เศรษฐกิจปี 2556 นักเศรษฐ ศาสตร์ส่วนใหญ่คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวร้อยละ 3.3 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวร้อยละ 4.6 ราคาน้ำมันดิบ (WTI) จะอยู่ที่ 99.8 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ร้อยละ 3.4

ในส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบาย นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 31.5 เชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากระดับปัจจุบัน ที่ร้อยละ 2.75 ไปสู่ระดับร้อยละ 2.50 ภายในสิ้นปี 2556 ส่วนค่าเงินบาทคาดว่าจะอยู่ที่ 30.68  บาทต่อเหรียญสหรัฐ และการส่งออกจะขยายตัวร้อยละ 6.8  ด้านการเคลื่อนไหวของค่าเฉลี่ยของ  SET  Index นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 45.2 คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นจากปี 2555 โดยจุดสูงสุดของปี 2556 จะอยู่ที่ 1,400 จุด

สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่จะส่งผล กระทบต่อเศรษฐกิจไทยปี 2556 อันดับ 1 คือ เศรษฐกิจโลกในภาพรวม (ร้อยละ 79.5),  อันดับ 2 หนี้สาธารณะของประเทศสหรัฐอเมริกา และกลุ่มยูโรโซน (ร้อยละ 69.9), อันดับ 3 ปัญหาการเมือง/การชุมนุมประท้วง/เสถียรภาพของรัฐบาล (ร้อยละ 64.4)

มีข้อเสนอจากผู้รับการสำ รวจถึงรัฐบาล/หน่วยงานด้านเศรษฐ กิจที่เกี่ยวข้อง ในการดำเนินนโยบาย ทางเศรษฐกิจปี 2556 คือ 1.ลดการ ดำเนินนโยบายประชานิยม ลดการแทรกแซงราคาสินค้าเกษตร โดยเฉพาะ โครงการรับจำนำข้าว ซึ่งจะช่วยลดปัญหาหนี้สาธารณะที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต และช่วยให้มีความยืดหยุ่นในการดำเนินนโยบายการคลังมากขึ้น 2.เน้นลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานใน โครงการต่างๆ รวมถึงโครงการที่มีความเกี่ยวเนื่องกับ AEC มีการเบิกจ่ายเงินที่เป็นไปตาม พ.ร.ก.บริหารจัดการน้ำ มีการพัฒนาการศึกษา สิ่งต่างๆ เหล่านี้ จะช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศ 3.มีการดำเนินนโยบายการ เงินการคลังที่สอดประสานกัน โดยเห็นว่าควรดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายและดำเนินนโยบายการคลังแบบขยาย ตัว ควรมีมาตรการควบคุมฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงควรมีแผนสำรองเพื่อรองรับวิกฤติ(shock) ที่อาจจะเกิดขึ้นจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก

ด้านนิด้าโพล ของสถาบันบัณ ฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ  เรื่องผลกระทบจากนโยบายการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ประชาชนร้อยละ 48.04 ระบุว่า การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท อาจมีผลทำให้ผู้ประกอบการหรือนายจ้างเลิกจ้างงานแรงงานไทย หันไปใช้แรงงานต่างด้าวที่มีค่าแรงถูกกว่า และมีความอดทน ขยันทำงานมากกว่าแรงงานไทย ขณะที่ร้อยละ 45.07 ระบุว่า ไม่มีผล เพราะลูกจ้างรายวันได้รับค่าจ้างเกินหรือใกล้เคียงวันละ 300 บาทอยู่แล้ว และผู้ประกอบการหรือนายจ้างต้องมีการปรับตัว

ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 68.40 แสดงความกังวลด้วยว่า ราคาสินค้าจะปรับตัวสูงขึ้นอันเนื่องมาจากการขึ้นค่าแรง 300 บาท ส่วนร้อยละ 29.27 ไม่กังวล เพราะผู้ประกอบการหรือนายจ้างมีการปรับตัว เช่น ลดจำนวนแรงงาน ลดคุณภาพวัตถุดิบ ลดชั่วโมงการทำงานล่วงเวลา เพื่อลดต้นทุนการผลิต นอกจากนี้ ร้อยละ 48.84 เห็นว่าการขึ้นค่าแรงจะไม่ทำให้มีการเลิกกิจการ เพราะทุกวันนี้ค่าแรงส่วนใหญ่ก็เกือบ 300 บาท หรือมากกว่าอยู่แล้ว และผู้ประกอบการหรือนายจ้างต้องมีการปรับตัวให้อยู่ได้ ขณะที่ร้อยละ 39.37 ระบุว่า มีผลทำให้เลิกกิจการ เพราะเป็นการเพิ่มต้นทุนในการผลิต โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อย หรือ SME

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ใน รายการฟ้าวันใหม่ ทางบลูสกายแชน แนล เมื่อวันที่16 พฤศจิกายนนี้ ถึงประเด็นธนาคารแห่งประเทศไทย แสดงความเป็นห่วงเรื่องหนี้ครัวเรือนว่า ทุกครั้งที่รัฐบาลมุ่งแต่เรื่องของประชานิยม เอาเงินไปให้ประชาชนกู้ ปัญ หานี้ก็จะเกิดขึ้น เพราะการบริหารจัด การที่ดี ต้องดูแลว่าเงินทุนที่ให้ไปนั้น ไปสู่การทำกิจกรรมที่ทำให้เกิดผลตอบแทนในเรื่องของรายได้ในเรื่องของ เศรษฐกิจ แต่ถ้าเอาเงินไปแล้วไม่มีผลตอบแทนกลับมา หนี้ก็จะพอกพูนเพิ่มขึ้น

"ผมคุยกับนักธุรกิจ เขาบอกเวลารัฐบาลมีนโยบาย อย่างเช่น ขึ้นค่าแรง 300 บาท นักธุรกิจเขาไปร้องบอกว่าเขาจะอยู่ไม่ได้ เพราะว่าต้นทุนในบางจังหวัด ถ้าเกิดค่าแรงเป็นอย่างนี้เขาอาจจะต้องปิดกิจการไป รัฐบาลก็จะบอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวจะช่วย ช่วยคืออะไร เอาเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้ เขาก็งงครับ บอกว่ากู้มาให้เขาขาดทุนต่อ แล้วมันจะแก้ปัญหาได้ยังไง"

หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า นโยบายประชานิยมด้วยการปล่อยกู้ให้ชาวบ้านเป็นการผูกใจเช่นที่เป็น อยู่ขณะนี้  สุดท้ายก็จะเกิดปัญหาแน่นอน ประชาชนจะคิดว่า ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวรัฐบาลก็จะยกหนี้ให้ ขณะที่ผู้ต้องการเงินไปลงทุนทำให้เกิดการหมุน เวียนทางเศรษฐกิจก็อาจกู้ได้ไม่เต็มที่อย่างที่เขาควรจะได้ เพราะฉะนั้นรัฐบาลจะหวังผลทางการเมืองอย่างเดียวไม่ได้ และปัญหาขณะนี้เราก็ทราบดี ของยังแพง สินค้าเกษตรบริหารแล้วมีปัญหาทั้งสิ้น ค่าแรงที่เพิ่มขึ้นกำลังจะมาพร้อมๆ กันกับการเลิกจ้างค่อนข้างมากในช่วงต้นปีหน้า เศรษฐกิจต่างประเทศก็ยังไม่ได้มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวชัดเจน เพียงพอที่จะทำให้เกิดความเชื่อมั่นแต่ว่าเราก็ไม่เห็นรัฐบาลมีแนวความคิด ที่ชัดเจนที่จะตอบโจทย์เหล่านี้

นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวเตือนกรณีธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงิน โฆษณากระตุ้นให้คนเป็นหนี้ ขณะที่ล่าสุดรัฐบาลนี้ก็ออกมติคณะรัฐมนตรี เตรียมที่จะแก้กฎหมายธนาคารแห่งประเทศไทย ให้กลับไปสู่สภาวะที่บอก ว่าถ้าสถาบันการเงินมีปัญหา ให้อำนาจ หรือให้กองทุนฟื้นฟูฯ ไปให้กู้ได้ กู้โดยไม่ต้องมีหลักประกันก็ได้ด้วย เพื่อจะช่วยอุ้มสถาบันการเงิน อันนี้เป็นการส่งสัญญาณที่ผิด เพราะจะทำให้สถา บันการเงินไม่กลัวในการที่จะมีความเสี่ยงมากขึ้น.

(ไทยโพสต์, 17-11-2555)

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

บารัค โอบามา

Posted: 19 Nov 2012 03:41 AM PST

"..และวันนี้ ผมยินดีที่ได้มายืนเคียงข้างผู้นำที่มาจากการเลือกตั้งของประเทศไทย เพื่อเน้นย้ำความสำคัญของการยึดถือในประชาธิปไตย ธรรมาภิบาล นิติรัฐและหลักสิทธิมนุษยชนสากล.."

18 พ.ย.55, กล่าวกับนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ทำเนียบรัฐบาล

วุฒิสภาเลือกซูเปอร์บอร์ด กสทช. คัด 10 คน รอโหวตลับเหลือ 5 คน

Posted: 19 Nov 2012 03:07 AM PST

เมื่อวันที่ 19 พ.ย.55 ณ ห้องโถงใหญ่อาคารรัฐสภาชั้น 1 ได้มีการจัดการเลือกตั้งคณะกรรมการติดตามและประเมินผลตามพระราชบัญญัติ องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 (กสทช.) ซึ่งสมาชิกวุฒิสภาเป็นผู้ลงคะแนนเพื่อคัดเลือกคณะกรรมการ 5 ด้าน

เมื่อเวลา 09.00 น. นายนิคม ไวรัชพานิช ประธานวุฒิสภา และเจ้าหน้าผู้เกี่ยวข้อง เข้าตรวจสอบความพร้อมของพื้นที่ และคูหาลงคะแนนเลือกผู้สมัครเข้ารับการดำเนินการคัดเลือกเป็นกรรมการติดตาม และประเมินผลการปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และ กำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม. พ.ศ.2553 (พรบ.กสทช.) รอบแรก ที่บริเวณห้องโถงอาคารรัฐสภา ก่อนที่จะให้ สมาชิกวุฒิสภา ลงคะแนนเลือกบุคคลเพื่อเข้าเป็นกรรมการ ในการตรวจสอบดังกล่าวได้มีการตรวจสอบคูหาลงคะแนน และหีบบัตร ซึ่งได้มีการเปิดหีบบัตรให้สื่อมวลชนและผู้สังเกตการณ์ได้ตรวจสอบว่าเป็นหีบเปล่า ไม่มีบัตรปลอมอยู่ในตู้แต่อย่างใด และได้มีการปิดหีบ ใช้แม่กุญแจล็อคอย่างแน่นหนา ซึ่งบริเวณงาน มีการจัดบอร์ดขั้นตอนการเลือกตั้งคณะกรรมการ ประวัติผู้รับเลือกตั้งโดยย่อ และหลังจากนั้นนายนิคม จึงได้แจ้งต่อสมาชิกวุฒิสภาถึงการไปใช้สิทธิเลือกตั้งดังกล่าวในเวลา 9.30-11.00 น.
 
ในเวลา 9.30 น. ใน บรรยากาศในการลงคะแนนในช่วงแรกนั้นมีสมาชิกวุฒิสภามีใช้สิทธิบางตา เพราะบางส่วนต้องเข้าประชุมวุฒิสภาและบางส่วนยังเดินทางมาไม่ถึงรัฐสภา
 
ทั้งนี้ในการประชุมวุฒิสภาช่วงที่แจ้งวาระดังกล่าว ได้มี ส.ว. ลุกสอบถามถึงกรณีการใช้พื้นที่ห้องโถงอาคารรัฐสภา 1 เพื่อลงคะแนนเลือก แทนที่จะใช้ภายในห้องประชุมรัฐสภาเหมือนอย่างที่เคยปฏิบัติมา ทั้งนี้ได้ท้วงติงว่าอาจจะทำให้เกิดความไม่โปร่งใส และเสี่ยงที่จะถูกนำประเด็นไปฟ้องร้องเป็นคดีความได้ ซึ่ง นายนิคม ชี้แจงว่า เหตุที่ได้ใช้พื้นที่อื่นจัดการเลือกตั้ง เพื่อเป็นการบริหารเวลาระหว่างการพิจารณาเรื่องตามระเบียบวาระและการลงคะแนนเลือกกรรมการติดตามและประเมินผลงานของกสทช. ส่วนประเด็นเรื่องฟ้องร้องนั้น ขณะนี้ทราบว่า นายสุทธิพร เดี่ยวพานิช ผู้สมัครเป็นกรรมการติดตามและประเมินผลงาน กสทช. ซึ่งไม่ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติได้ฟ้องร้องอยู่ที่ศาลปกครองกลางแล้ว โดยศาลได้จัดไต่สวนในวันนี้ ( 19 พ.ย.) เวลา 10.00 น. เบื้องต้นหากศาลไต่สวนแล้วมีคำสั่งคุ้มครอง กระบวนการลงคะแนนเลือกกรรมการดังกล่าว ต้องยุติลง แต่หากศาลไม่มีคำสั่งใดๆ ออกมา ตนพร้อมจะเดินหน้าการลงคะแนนเลือกตั้งดังกล่าวต่อไป ทั้งนี้เมื่อการเลือกตั้งรอบแรกแล้วเสร็จและไม่เกิดปัญหา ตนจะนัดประชุม ส.ว.อีกครั้งในวันที่ 23 พ.ย. เพื่อให้เลือกกรรมการฯ ในรอบสุดท้าย ให้เหลือจำนวน 5 คน
 
จากนั้นพล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ส.ว.สรรหา ได้ลุกท้วงติงว่าไม่ทราบถึงประเด็นการเลือกตั้งกรรมการติดตามและประเมินผลงาน ของกสทช. นอกห้องประชุมมาก่อน ซึ่งจากการรับฟังคำชี้แจงนั้นระบุว่าเพื่อความโปร่งใสและไม่เสียเวลาการประชุม ทั้งนี้ตนมีประเด็นเรียกร้องในส่วนการทำลายบัตรลงคะแนนที่ทำโดยกรรมการอยากให้มีการทำลายจริงๆ เพราะในการเลือกเลขาธิการกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ทั้งที่เป็นการลงคะแนนลับ แต่กลับพบว่ามีการพิมพ์ใบลงคะแนนของ ส.ว.มาเผยแพร่ ว่าใครโหวตอย่างไรบ้าง ดังนั้นขอให้ทบทวน อย่าคิดแค่ว่าเป็นการเรื่องเสียเวลาเท่านั้น เพราะประเด็นนี้ ส.ว.ได้รับหน้าที่มาดำเนินการแล้ว ขอให้ทำด้วยความรอบคอบ เช่นเดียวกับนายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา ที่ของให้มีการทำลายบัตรลงคะแนนต่อหน้า เพราะก่อนหน้านั้นมีคนมาพูดกับตนว่าทราบว่าตนได้ลงคะแนนลับให้กับบุคคลใดบ้าง จึงทำให้เห็นว่าการลงคะแนนลับไม่ใช่ความลับอย่างแท้จริง
 
ด้านนางทัศนา บุญทอง ส.ว.สรรหา ในฐานะประธานคณะกรรมการเพื่อทำหน้าที่จัดทำบัญชีรายชื่อและตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้สมัครเข้ารับการดำเนินการคัดเลือกบุคคลผู้สมควรได้รับการเสนอชื่อเพื่อนำเสนอให้วุฒิสภาพิจารณาคัดเลือกเป็นกรรมการติดตามและประเมินผล กสทช. รายงานการตรวจสอบว่า จากผู้สมัครเป็นกรรมการทั้ง 72 คน พบว่ามีผู้ที่ผ่านคุณสมบัติทั้งหมด 67 คน และมี 5 รายที่ไม่ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติ ได้แก่ 1.นายเจตศักดิ์ บุญสุยา เพราะเป็นผู้ถือหุ้มบริษัททรู คอเปอร์เรชั่น จำกัด, 2.นายชนัด เผ่าพันธุ์ดี เพราะถือหุ้นบริษัททีทีแอนด์ที จำกัด, 3.นายสุทธิพร ปทุมเทวาภิบาล เป็นกรรมการบริษัทจีเดด จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ประกอบกิจการโทรคมนาคม และไม่พ้นจากตำแหน่งเป็นระยะเวลา 1 ปีตามที่กฎหมายกำหนด, 4.นายวุฒิพร เดี่ยวพานิช เป็นกรรมการบริษัทไอทีวี และ 5.พล.ต.ต.ภานุรัตน์ มีเพียร เป็นกรรมการบริษัทสหพัฒนพิบูลย์ 
 
จนเวลาประมาณ 11.00 น.จึงมีสมาชิกวุฒิสภาเดินทางมายังบริเวณจุดลงคะแนนมากขึ้นจนต่อเป็นแถวยาวเลยเขตที่เจ้าหน้าที่กำหนดไว้ไปถึงบริเวณประตูทางเข้าอาคารรัฐสภา จึงต้องมีการขยับเขตการเลือกตั้งออกไปให้กว้างกว่าเดิม  จนกระทั่งเวลา 12.05 น.คณะกรรมการการเลือกตั้งจึงได้ปิดหีบเลือกตั้ง ซึ่งจากการนับจำนวนสมาชิกที่มาใช้สิทธิเลือกตั้งปรากฏว่ามีสมาชิกที่ ไม่มาใช้สิทธิ์เลือกตั้งจำนวน  7 คน 
 
ทั้งนี้การนับคะแนน แบ่งเป็น 5 ด้าน โดยมีกระดานคะแนนและผู้นับคะแนนแยกเป็นแต่ละด้าน 1.ด้านกิจการกระจายเสียง 2.ด้านกิจการโทรทัศน์ 3.ด้านกิจการโทรคมนาคม 4.ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค 5.ด้านการส่งเสริมสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ซึ่งการนับคะแนนเต็มไปด้วยผู้สื่อข่าวและสมาชิกวุฒิสภาบางส่วน และผู้สังเกตการณ์ของผู้สมัคร
 
โดยผลการลงคะแนนของสมาชิกวุฒิสภา เพื่อคัดเลือกกรรมการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการกระจายเสียงวิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553  จำนวน 2 เท่า หรือจำนวน 10 คน จากผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมจำนวน 67 คน นั้นปรากฏว่าบุคคลที่ผ่านการคัดเลือกประกอบด้วย ด้านกิจการกระจายเสียง ได้แก่ พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก และน.ส.ลักษมี ศรีสมเพ็ชร กรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเชียงใหม่ หรือ กรอ.เชียงใหม่ ด้านกิจการโทรทัศน์ ได้แก่ นายพิชัย อุตมาพินันท์ ที่ปรึกษาคณะกรรมการกฎหมายสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และพล.อ.จิรเดช คชรัตน์ อดีตที่ปรึกษากรรมการบริษัทกิจการโทรทัศน์กองทัพบก ด้านกิจการโทรคมนาคม ได้แก่ นายอนันต์ วรธิติพงศ์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา สรรหา และนายอมรเทพ จิรัฐิติเจริญ นักวิชาการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร ด้านคุ้มครองผู้บริโภค ได้แก่ นายพันธ์ศักดิ์ จันทร์ปัญญา อนุกรรมการกิจการกระจายเสียง บริการธุรกิจ และนายประเสริฐ อภิปุญญา รองเลขาธิการสำนักงาน กสทช.และกิจการส่งเสริมสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ได้แก่ พล.อ.บุญยวัจน์ เครือหงส์ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณกลาโหม และนายจเด็จ อินสว่าง อดีตปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
       
สำหรับขั้นตอนต่อไป ที่ประชุมวุฒิสภานัดพิเศษในวันที่ 23 พ.ย.นี้ สมาชิกวุฒิสภาจะทำการลงคะแนนลับในคูหา ซึ่งจะดำเนินการภายในห้องประชุมวุฒิสภา เพื่อคัดเลือกบุคคลที่เหมาะสมให้เหลือเพียง 5 คน ขณะเดียวกัน มีสมาชิกวุฒิสภาบางส่วนเห็นว่าสมควรตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อตรวจสอบคุณสมบัติและจริยธรรมของผู้ที่ผ่านการคัดเลือกจำนวน 10 คนอีกครั้ง ทำให้ต้องขอมติจากที่ประชุมวุฒิสภาต่อไป
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

แฉแดงเมืองเลย รับจ้างเหมืองทองขวางชาวบ้านร่วมเวทีพับลิคสโคปปิ้ง

Posted: 19 Nov 2012 02:50 AM PST

19 พฤศจิกายน 2555 ศูนย์สื่อชุมชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ศสธ.) รายงานอ้างแหล่งข่าวในจังหวัดเลยแจ้งว่า ขณะนี้บริษัท ทุ่งคำ จำกัด ได้ว่าจ้างกลุ่มเสื้อแดงเมืองเลยขนคนเข้ามาร่วมเวทีรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียในการกำหนดขอบเขตและแนวทางการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (ค.1) หรือพับลิค สโคปปิ้ง (Public scoping) ซึ่งเป็นขั้นตอนเริ่มต้นแรกสุดของการทำ EHIA เพื่อประกอบการขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ทองคำส่วนขยายบนภูเหล็ก ตามคำขอประทานบัตรที่ 104/2538  ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2555  ณ ห้องประชุมศาลาประชาคม องค์การบริหารส่วนจังหวัดเลย  เพื่อหวังที่จะนำมวลชนมาเป็นกำลังปะทะขัดขวางชาวบ้านในพื้นที่ตำบลเขาหลวง อ.วังสะพุง ซึ่งเป็นพื้นที่ได้รับผลกระทบจากการประกอบกิจการทำเหมืองและโรงแต่งแร่ทองคำ ไม่ให้เข้าร่วมเวทีดังกล่าว เพราะเกรงว่าจะเข้าไปตั้งคำถามและยื่นหนังสือต่อส่วนราชการเกี่ยวกับเรื่องเขื่อนกักเก็บไซยาไนด์แตกและผลกระทบที่เกิดขึ้นในด้านอื่น ๆ ซึ่งอาจเป็นผลให้เวทีดังกล่าวไม่ประสบความสำเร็จ เพราะมีแต่เสียงสะท้อนของผู้ไม่เห็นด้วยเป็นส่วนใหญ่

รายงานระบุว่า แกนนำกลุ่มเสื้อแดงเมืองเลยที่รับจ้างบริษัททุ่งคำในครั้งนี้ เพื่อทำการปั่นป่วนจนถึงขั้นปะทะขัดขวางชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการทำเหมืองแร่ดังกล่าวไม่ให้เข้าร่วมเวทีให้จงได้ โดยค่าจ้างที่รับมาถูกแบ่งให้กับแกนนำเสื้อแดงเมืองเลยอีก 4 คน เพื่อปฏิบัติภารกิจขัดขวางชาวบ้านไม่ให้เข้าร่วมเวทีดังกล่าว คือ 1)  เป็นการ์ดของ นปช. รับผิดชอบขนเสื้อแดงในเขตอำเภอเชียงคานประมาณ 150 คน  2) แกนนำในอำเภอเมือง จ.เลย รับผิดชอบคุมเวที เครื่องเสียงและปราศรัยโจมตีชาวบ้านที่ออกมาคัดค้านการทำเหมืองแร่ทองคำเพราะได้รับผลกระทบ เพื่อปลุกระดมให้เสื้อแดงเกลียดชังและทำการขัดขวางไม่ให้เข้าร่วมเวทีดังกล่าว ทั้งสองคนนี้เป็นที่รู้จักกันดีของทั้งเสื้อแดงเมืองเลยและเสื้อแดงทั่วประเทศ  3) ลูกน้องคนสนิทของผู้ประสานงานหลัก รับผิดชอบควบคุมมวลชนในภาพรวมแทน 4) ผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้านหนึ่งในเขตอำเภอเอราวัณ รับผิดชอบร่วมกับแกนนำคนหนึ่งของชุดปฏิบัติการภูผ่อง ที่เป็น ส.จ.สอบตกเมื่อคราวเลือกตั้งที่ผ่านมา ให้ขนเสื้อแดงในเขตอำเภอเอราวัณและนาด้วงให้ได้ 500 คน เมื่อรวมกับพนักงานบริษัทดังกล่าวที่ถูกเกณฑ์มาจะได้มวลชนรวมกันทั้งหมดประมาณ 700 คน

รายงานระบุด้วยว่า สาเหตุที่ต้องจ้างกลุ่มเสื้อแดงเมืองเลยให้มาปะทะขัดขวางชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการทำเหมืองแร่ทองคำ ในเขตพื้นที่ตำบลเขาหลวง อ.วังสะพุง ในเวทีพับลิค สโคปปิ้ง ครั้งนี้ ก็เพราะว่าที่ผ่านมาบริษัททุ่งคำได้พยายามจัดเวทีพับลิค สโคปปิ้ง เพื่อขอทำ EHIA ประกอบการขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ทองคำส่วนขยายบนภูเหล็ก (คำขอประทานบัตรที่ 104/2538) มา 4 ครั้งแล้ว นับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2555 เป็นต้นมา แต่ก็ต้องเลื่อนออกไปทุกครั้งก็เพราะว่าไม่มีเสียงสนับสนุนการทำเหมืองจากชาวบ้านคนใดในพื้นที่ สาเหตุหลักก็เนื่องจากชาวบ้านส่วนใหญ่รับรู้เรื่องผลกระทบรุนแรงที่เกิดขึ้น เช่น การรั่วไหลของสารปรอทและโลหะหนักชนิดอื่น ๆ จากพื้นที่ประทานบัตรจนเป็นเหตุให้ชาวบ้านจำนวนหลายสิบรายมีค่าโลหะหนักตามที่กล่าวปนเปื้อนอยู่ในกระแสเลือดและเนื้อเยื่อในร่างกายเกินเกณฑ์มาตรฐาน และยังพบอีกจำนวนเกือบร้อยรายที่มีค่าโลหะหนักตามที่กล่าวปนเปื้อนอยู่ในกระแสเลือดและเนื้อเยื่อในร่างกายยังไม่เกินเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งกำลังเฝ้าระวังและติดตามถึงสาเหตุการปนเปื้อนดังกล่าวอย่างใกล้ชิดว่ามีส่วนสัมพันธ์กับการทำเหมืองทองคำหรือไม่ จนทำให้ไม่มีชาวบ้านรายใดออกมาสนับสนุนการทำเหมืองแร่ทองคำอย่างเปิดเผย เพราะหวั่นเกรงอย่างลึก ๆ ว่าผลกระทบจะมาถึงตนเองในอนาคตอันใกล้  รวมทั้งบริษัททุ่งคำพยายามจะสร้างภาพลักษณ์ที่เป็นมิตรกับชุมชนและสิ่งแวดล้อมโดยว่าจ้างชุดปฏิบัติการภูผ่องให้ทำหน้าที่ชุมชนสัมพันธ์ แต่กลับล้มเหลวก็เพราะว่าหัวหน้าชุดปฏิบัติการภูผ่อง ถูกเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวงจับกุมดำเนินคดีฐานบุกรุกภูหลวงซึ่งเป็นต้นน้ำของแม่น้ำป่าสักเมื่อปี 2554 ซึ่งศาลทหารตัดสินให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างพร้อมโทษจำคุก ขณะนี้อยู่ในระหว่างอุทธรณ์

อีกด้านหนึ่งบริษัทได้ว่าจ้างมูลนิธิต้นไม้สีเขียว ซึ่งเป็นนักวิชาการที่ปรึกษารับจ้างทำ EIA และ EHIA จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ให้ดำเนินการจัดทำรายงาน EHIA เพื่อประกอบการขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ทองคำส่วนขยายบนภูเหล็ก แปลงคำขอประทานบัตรที่ 104/2538  ซึ่งต้องรับผิดชอบกระบวนการจัดทำรายงาน EHIA ตั้งแต่เริ่มต้นด้วยการจัดประชุมเวทีพับลิค สโคปปิ้ง ที่จะจัดให้มีขึ้นในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2555 ตามที่กล่าว หากเวทีพับลิค สโคปปิ้ง ถูกรบกวนจากคำถามและหนังสือร้องเรียนจากชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ และไม่มีชาวบ้านรายใดแสดงท่าทีสนับสนุนการทำเหมืองแร่ทองคำอยู่ในเวที ก็อาจจะเป็นเหตุให้เวทีไม่ประสบความสำเร็จ คือ ไม่สามารถเดินหน้าจัดทำรายงาน EHIA ต่อไปได้ และจะส่งผลต่อการที่ไม่สามารถดำเนินการขอประทานบัตรแปลง 104/2538 ต่อไปได้ตามมาเป็นลูกโซ่  จึงเป็นเหตุให้บริษัทต้องวางแผนว่าจ้างกลุ่มเสื้อแดงเมืองเลยให้มาปกป้องเวทีดังกล่าว โดยการสกัดขัดขวางให้ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบเข้าร่วมเวทีให้น้อยที่สุด เพื่อจะให้กลุ่มเสื้อแดงเมืองเลยที่ถูกว่าจ้างมาเข้าร่วมเวทีให้มากที่สุดเพื่อจะได้ไปแสดงความเห็นสนับสนุนการทำเหมืองแร่ทองคำให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้  

อนึ่ง รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องเขื่อนกักเก็บไซยาไนด์แตก เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2555 ได้ปรากฏว่าคันทำนบดินของบ่อกักเก็บไซยาไนด์หรือบ่อกักเก็บกากแร่ทางด้านทิศเหนือในพื้นที่โครงการเหมืองแร่ทองคำภูทับฟ้า-ภูซำป่าบอน ตามประทานบัตรที่ 26968/15574, 26969/15575, 26970/15576, 26971/15558, 26972/15559 และ 26973/15560  เกิดมีรอยแตกชำรุดเสียหายขึ้น ส่งผลให้น้ำในบ่อกักเก็บไซยาไนด์ไหลลงสู่บ่อเก็บน้ำธรรมชาติในพื้นที่ประทานบัตร ซึ่งสภาพบ่อเก็บน้ำธรรมชาติดังกล่าวอยู่บนพื้นที่สูงกว่าที่นาของชาวบ้าน โดยมีภูเขาโอบล้อมทางด้านทิศตะวันออก  ตะวันตก และทิศเหนือ ส่วนทางทิศใต้เปิดโล่งลงสู่ที่นาของชาวบ้าน และพื้นบ่อไม่มีการบดอัดและด้านข้างของบ่อไม่มีการปูด้วยวัสดุกันซึม ชาวบ้านได้เข้าไปสำรวจพบว่าน้ำจากบ่อเก็บน้ำธรรมชาติในพื้นที่ประทานบัตรที่รับน้ำมาจากบ่อกักเก็บไซยาไนด์อีกทอดหนึ่งนั้น ซึ่งมีไซยาไนด์และโลหะหนักหลายชนิดปนเปื้อนรวมอยู่ด้วยได้รั่วซึมลงสู่ที่นาของชาวบ้านที่อยู่ติดเขตประทานบัตรแล้ว และได้ทำหนังสือร้องเรียนขึ้นต่อหน่วยงานราชการ ต่อมาเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2555 สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดเลยได้ทำหนังสือด่วนมากถึงบริษัททุ่งคำเพื่อขอให้หยุดการทำเหมืองและดำเนินการแก้ไขปัญหาจนกว่าจะได้ข้อยุติ  ต่อมาเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2555 บริษัททุ่งคำทำหนังสือถึงสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดเลยเพื่อขออุทธรณ์คำสั่งหยุดเหมือง ซึ่งขณะนี้เรื่องยังค้างอยู่ที่การพิจารณาของกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป โดยไม่มีการแก้ไขน้ำจากบ่อเก็บกักไซยาไนด์ที่รั่วลงสู่ที่นาชาวบ้านแต่อย่างใด

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

4 องค์กรสุขภาพหวั่นเร่งเจรจาการค้าเสรีขัดขวางการพัฒนาระบบยาของไทย

Posted: 19 Nov 2012 02:31 AM PST

ด้านเอฟทีเอ ว็อทช์จี้รัฐบาลเปิดเผยข้อมูลประกอบการตัดสินใจประกาศเจตนารมย์ร่วม TPP

19 พ.ย.55 เครือข่ายผู้มีเชื้อเอชไวอี/เอดส์ภูมิภาคเอเซียแปซิฟิค (Asia Pacific Network of People Living with HIV/AIDS - APN+), องค์การหมอไร้พรมแดน ฝ่ายการรณรงค์เพื่อการเข้าถึงยา (Medecins sans Frontieres Access Campaign), สหพันธ์การเตรียมความพร้อมในการรักษาสากล (International Treatment Preparedness Coalition - ITPC) และองค์เพื่อการรักษา (TREAT Asia) ทำหนังสือถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 16พ.ย.55 ระบุว่า ทั้ง 4 องค์กรวิตกกังวลต่อการที่รัฐบาลจะเปิดการเจรจาการค้าเสรีกับสหรัฐฯและสหภาพยุโรปในกรอบต่างๆ จากประสบการณ์ที่ผ่านมา การเจรจาเหล่านี้จะบังคับให้ประเทศต่างๆต้องรับการคุ้มครองด้านทรัพย์สินทางปัญญาให้เข้มงวดไปกว่าความตกลงด้านทรัพย์สินทางปัญญาขององค์การการค้าโลก หรือที่เรียกว่า ทริปส์พลัส ซึ่งนั่นจะบ่อนทำลายศักยภาพของประเทศไทยในการผลิตยาชื่อสามัญทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ ดังนั้นขอให้นายกรัฐมนตรีใส่ใจและพิจารณาผลของการประชุมระดับภูมิภาคว่าด้วยการใช้มาตรการยืดหยุ่นในความตกลงทริปส์เพื่อการเข้าถึงยาต้านไวรัสในเอเชีย ซึ่งจัดขึ้นเมื่อ 29-31พ.ค.ที่ผ่านมา ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีหน่วยราชการและภาคประชาสังคมจากประเทศ กัมพูชา, จีน, อินเดีย, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, พม่า, ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และไทย เข้าร่วมประชุม "สาระสำคัญจากการประชุม ประกอบไปด้วย

1. สร้างความสมดุลย์ที่เป็นธรรมระหว่างการใช้ระบบทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อส่งเสริมให้เกิดนวตกรรมด้านยาและเภสัชกรรมที่แท้จริงและสิทธิในการเข้าถึงยาจำเป็นอย่างถ้วนหน้า

2. ปฏิเสธไม่ยอมรับข้อกำหนดแบบทริปส์ผนวก (TRIPS plus provision) ทุกรูปแบบในการเจรจาข้อตกลเขตการค้าเสรี  งานวิจัยที่นำเสนอโดย ดร. จิราพร ลิ้มปนานนท์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แสดงให้เห็นว่าข้อกำหนดแบบทริปส์ผนวกจะส่งผลเสียหายทั้งในเชิงสาธารณสุขและเศรษฐกิจของประเทศ  งานวิจัยยังพบอีกว่าถ้าประเทศไทยนำข้อกำหนดแบบทริปส์ผนวกมาบัญญัติเป็นกฏหมาย ประเทศจะต้องเผชิญกับราคายาที่สูงขึ้นอย่างมาก ซึ่งจะนำไปสู่ภาวะค่าใช้จ่ายด้านยาภายในประเทศที่สูงขึ้นอย่างมหาศาล  ยิ่งไปกว่านั้น ยังจะส่งผลทำให้ส่วนแบ่งตลาดของยาต้านไวรัสเอชไอวีที่ผลิตภายในประเทศลดลงอย่างมาก  สุดท้ายแล้ว จะส่งผลให้คนไทยไม่สามารถเข้าถึงยาต้านไวรัสเอขไอวีในราคาต้นทุนต่ำได้อีกต่อไป

3. ต้องสร้าความมั่นใจว่ากฏหมายของประเทศจะต้องมีมาตรการยืดหยุ่นทริปส์ระบุไว้และนำมาตรการดังกล่าวมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด มาตรการยืดหยุ่นที่ควรกำหนดไว้ในกฎหมายของประเทศ ได้แก่

· หลักเกณฑ์การรับจดสิทธิบัตรที่มีมาตรฐานสูง ดังเช่นที่กำหนดไว้ในมาตรา 3(d) ของกฎหมายสิทธิบัตรของอินเดีย ซึ่งระบุคำนิยามและมาตรฐานที่เข้มงวดของ "ขั้นตอนการประดิษฐ์ที่สูงขึ้น" ไว้อย่างชัดเจนและรัดกุม  ทั้งนี้ เพื่อขจัดและป้องกันสิทธิบัตรที่ไม่สมควรจะได้รับการคุ้มครองและสิทธิบัตรแบบไม่มีวันสิ้นสุดอายุ (ever-greening)  งานวิจัยเกี่ยวกับสิทธิบัตรแบบไม่มีวันสิ้นสุดอายุในประเทศไทย ที่นำเสนอโดย ดร. อุษาวดี มาลีวงษ์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้ให้เห็นว่า คำร้องของสิทธิบัตรยาและเวชภัณฑ์กว่าร้อยละ 96 ในประเทศไทยเข้าเกณฑ์ที่ถือว่าเป็นสิทธิบัตรแบบไม่มีวันสิ้นสุดอายุไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง

· มาตรการใช้สิทธิ์ตามสิทธิบัตรและการใช้สิทธิ์โดยรัฐ

· มาตรการคัดค้านสิทธิบัตรทั้งก่อนและหลังได้รับสิทธิบัตร ซึ่งจะทำให้สาธารณะสามารถคัดค้านคำขอสิทธบัตรหรือการอนุมัติคำขอสิทธิบัตรแบบที่ไม่สมควรจะได้รับความคุ้มครอง  นอกจากนี้ ควรสร้างความมั่นใจว่าประชาชนสามารถมีส่วนร่วมในการจัดการกับความต้องการด้านสาธารณสุข

4. ทบทวนและแก้ไขกฏหมายและระเบียบข้อกำหนดต่างๆ เพื่อขจัดมาตรการแบบทริปส์ผนวกออกไป ซึ่งมาตรการทริปส์ผนวกนั้นจะส่งผลร้ายต่อการเข้าถึงยาชื่อสามัญในราคาที่เป็นธรรม

5. จัดตั้งคณะทำงานระดับชาติที่มาจากหลายภาคส่วนและกำหนดยุทธศาสตร์ระดับประเทศเพื่อสร้างความเข้มแข็งและประสานงานร่วมกันในอันที่จะส่งเสริมการเข้าถึงยาในราคาที่เป็นธรรม  คณะทำงานดังกล่าวควรมาจากกระทรวงทบวงกรมที่เกี่ยวข้อง (หน่วยงานของรัฐที่ดูแลเรื่องเอชไอวีและเอดส์ของประเทศ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงต่างประเทศ สำนักสิทธิบัตร ฯลฯ) นักวิชาการ ภาคธุรกิจ และภาคประชาสังคม

6. รับฟังเสียงของภาคประชาสังคมในเวทีพูดคุยในระดับประเทศและภูมิภาค โดยเฉพาะประเด็นที่จะมีผลกระทบต่อยาที่ประชาชนจำเป็นต้องใช้ ซึ่งรวมถึงการเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรีด้วย

7. สนับสนุนให้เกิดภาคีความร่วมมือในภูมิภาค การสร้างความร่วมมือในภูมิภาคจะนำไปสู่จุดยืนในการเจรจาร่วมกันในเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาและการเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรี ที่จะเจรจากับประเทศร่ำรวย  ทั้งนี้ ถือว่าเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่จะจัดการกับสิ่งท้าทายในปัจจุบันและอนาคตในเรื่องการเข้าถึงยาราคาต้นทุนต่ำและการนำมาตรการยืดหยุ่นทริปส์มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด  หนึ่งในความร่วมมือนั้น คือ การใข้กลไกอาเซียนในการเจรจาต่อรองและการประสานงานให้ได้มากที่สุด  จากประสบการณ์ที่ประเทศไทยผ่านมาอย่างช่ำชองในการนำมาตรการใช้สิทธิ์โดยรัฐและการผลิตยาภายในประเทศ  ประเทศไทยสามารถที่จะให้ความช่วยเหลืดด้านวิชาการแก่ประเทศเพื่อนบ้านได้"

ทางด้านนายจักรชัย โฉมทองดี ผู้ประสานงานกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (เอฟทีเอ ว็อทช์) กล่าวว่า ขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี ผู้รับผิดชอบ ออกมาชี้แจงผลดีผลเสียที่ได้พิจารณาและนำมาสู่ข้อสรุปในการแสดงเจตจำนงค์ เข้าร่วม TPP ภายในหนึ่งสัปดาห์ เพราะจนถึงขณะนี้สังคมยังไม่ทราบเลยว่า คณะรัฐมนตรีตัดสินใจบนฐานข้อมูลใด 

"ขั้นตอนที่กรมเจรจาฯได้ชี้แจงเมื่อวานนี้ พยายามโกหกใน 2 ขั้นตอน คือ ไม่ยอมนำร่างกรอบการเจรจามารับฟังความคิดเห็นประชาชนและศึกษาผลกระทบโดยหน่วยงานที่เป็นกลางก่อนการเสนอขอความเห็นชอบจากรัฐสภาทั้งที่เคยปฏิบัติมาในรัฐบาลก่อนๆ นอกจากนี้ฝ่ายเจรจาควรทำคือ ให้มีการหารือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง พร้อมให้ข้อมูลกับฝ่ายนิติบัญญัติระหว่าง การเจรจา หลังจากนั้น ต้องนำผลการเจรจา (ร่างความตกลง) มาจัดรับฟังความเห็นประชาชนและศึกษาผลกระทบโดย หน่วยงานที่เป็นกลางก่อนการ เสนอข้อความเห็นชอบจากรัฐสภาเพื่อแสดงเจตนาผูกพัน"

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

คลองไทรพัฒนาระอุ! สมาชิก 'สกต.' ถูกยิงเสียชีวิต 2 ราย

Posted: 19 Nov 2012 02:21 AM PST

 

ภาพ: พื้นที่เกิดเหตุ
 
วันนี้ (19 พ.ย.55) เวลาประมาณ 07.00 น.เกิดเหตุชาวบ้านเพศหญิง 2 คน ในชุมชนคลองไทรพัฒนา หมู่ที่ 2 ต.ไทรทอง อ.ชัยบุรี จ.สุราษฏร์ธานี ซึ่งเป็นพื้นที่นำร่องโฉนดชุมชน ถูกซุ่มยิงจนเสียชีวิตขณะกำลังจะไปซื้อกับข้าว โดยผู้เสียชีวิตทั้ง 2 ราย คือนางมณฑา ชูแก้ว อายุ 50 ปี และนางปรานี บุญรักษ์ อายุ 54 ปี เป็นสมาชิกของสหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ (สกต.) ซึ่งเป็นกลุ่มชาวบ้านผู้ประสบปัญหาไม่มีที่ดินทำกินและมาอาศัยอยู่ในชุมชนคลองไทรพัฒนา ซึ่งเป็นพื้นที่ สปก.และกำลังมีกรณีพิพาทกับบริษัทเอกชนผู้ผลิตปาล์มน้ำมัน
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่เกิดเหตุการณ์รุนแรงผู้ตายทั้งคู่กำลังขี่รถจักรยานยนต์ออกไปจ่ายตลาดเมื่อขับรถห่างจากชุมชนประมาณ 800 เมตร ชาวบ้านในชุมชนได้ยินเสียงปืนดังขึ้น ลูกสาวผู้ตายกับเพื่อนบ้านได้ขี่รถตามออกมาดูก็พบว่าทั้งคู่ถูกยิงเสียชีวิตแล้ว ส่วนในที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุนปืน เอส.เค.กับ เอ็ม.16 ตกอยู่ 10 ปลอก จึงเดินทางไปแจ้งความที่ สถานีตำรวจภูธร อ.ชัยบุรี
 
ในเบื้องต้นผู้นำชุมชนคลองไทรพัฒนา ออกมาให้ข้อมูลว่าเหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้นครั้งนี้น่าจะมาจากบริษัทเอกชนที่ไม่พอใจชาวบ้านที่เข้ามาเรียกร้องสิทธิและใช้ประโยชน์ในที่ดิน ทำให้บริษัทและกลุ่มอิทธิพลในพื้นที่ต้องเสียผลประโยชน์จากการเก็บเกี่ยวผลปาล์มและที่ดินไปอย่างมหาศาล
 
ผู้นำชุมชนคลองไทรพัฒนา ระบุด้วยว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุรุนแรงขึ้น แต่ก่อนหน้านี้ก็เคยเกิดเหตุการณ์ยิงนายสมพร พัฒภูมิเสียชีวิตมาแล้ว 1 ศพ รวมทั้งมีการใช้รถแบ็คโฮมาไถดันบ้านเรือน และเผาบ้านเรือนสมาชิกชุมชนทำให้ได้รับความเสียหายอย่างที่เคยเป็นข่าวมาแล้ว
 
ทั้งนี้ ในพื้นที่สถานการณ์ตรึงเครียดมาก ชาวบ้านกังวลและไม่มั่นใจว่าเหตุการณ์จะรุนแรงมากขึ้นกว่านี้หรือไม่
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อปลายปี พ.ศ.2551กลุ่มชาวบ้านสมาชิก สกต.ได้รวมตัวกันขอตรวจสอบพื้นที่กับ ส.ป.ก.จังหวัดสุราษฏร์ธานี และเมื่อเห็นว่าเป็นพื้นที่ของรัฐและบริษัทเอกชนเข้าไปทำผลประโยชน์โดยผิดกฎหมาย ชาวบ้านจึงเข้าไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่ตั้งเป็นชุมชนอยู่อาศัยทำอาชีพเกษตรกรรม และหน่วยงาน ส.ป.ก.ก็ได้ดำเนินการฟ้องขับไล่บริษัทเอกชนแล้ว ซึ่งผลการตัดสินของศาลให้บริษัทดังกล่าวแพ้คดีต้องรื้อถอนสิ่งก่อสร้างออกไปจากพื้นที่  
 
 

ลำดับสถานการณ์ คลองไทรพัฒนา
(ข้อมูลจากขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็น (ขปส.))

พฤศจิกายน 2551
มีการรวมกลุ่มของชาวบ้านประมาณ 120 ครอบครัวขอเข้าไปใช้พื้นที่ตั้งเป็นชุมชนคลองไทรพัฒนา หมู่ 2 ต.ไทรทอง อ.ชัยทอง จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อติดตามตรวจสอบผลักดันการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐให้เกิดผลในทางปฎิบัติ โดยต้องการให้นำที่ดินเข้าสู่กระบวนการปฎิรูปเพื่อชุมชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน โดยเร็ว

มีนาคม 2552
บริษัทจิวกังจุ้ย พัฒนาจำกัด ได้ฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากชาวบ้าน 3 คนได้แก่นายบัญญัติ จอง นายอดุลย์ รามจันทร์ และนายสมหมาย ลิกขชัย เป็นจำนวน 3,000,000 บาท โดยโจทก์ขอคุ้มครองชั่วคราวและให้มีหมายจับจำเลยทั้ง 3 ต่อมาศาลได้ถอนฟ้องนายบัญญัติฯจำเลยที่ 1 เนื่องจากมาทราบข้อเท็จจริงภายหลังว่า นายบัญญัติฯเป็นคนวิกลจริต ปัจจุบันรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลสวนสราญรมย์ โดยจำเลยที่ 2 และ 3 ยินยอมออกจากพื้นที่

9 สิงหาคม 2552
06.30 น. มีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวน 40 คันรถปิ๊กอัพ นำโดยผู้บังคับการจังหวัดสุราษฎร์ธานีและกำลังตรวจจากสถานีตำรวจชัยบุรี เข้าไปตรวจค้นอาวุธและยาเสพติด ตรวจค้นอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมง ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังทยอยกลับได้มีรถไถจำนวนหลายคัน และมีกลุ่มชายฉกรรจ์ถืออาวุธปืนยาวหลายคนเดินนำรถไถพังรั้วของชุมชนเข้ามาไถ บ้านของชาวบ้านพังจำนวน 60 หลัง ซึ่งชาวได้แจ้งตำรวจแต่เจ้าหน้าที่ตำรวจบอกให้ไปแจ้งความที่โรงพัก ชาวบ้านได้บันทึกภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไว้และในวันเดียวกันได้ไปแจ้งความ ที่สถานีตำรวจภูธรชัยบุรี แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจคนใดรับเรื่อง

10 สิงหาคม 2552
ได้มี ชรบ.ประมาณ 40 นายเข้ามาตรึงกำลังที่แคมป์ของบริษัท ได้มีชาวบ้าน 5 คน เข้าไปแจ้งความอีกครั้ง มีการลงบันทึกประจำวันไว้ที่สถานีตำรวจภูธรชัยบุรี ปัจจุบันคดียังไม่มความคืบหน้าแต่อย่างใด

2-7 พฤศจิกายน 2552
คณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อประกอบการช่วยเหลือและแก้ปัญหาคดีความของเครือ ข่ายปฎิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย ประกอบด้วย กรมสอบสสวนคดีพิเศษ โดย พ.ต.ท.ประวุธ วงศ์สีนิลและคณะ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตในภาครัฐโดย พ.ต.ท.สันต์ทรง ตังละแม และกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง ณ ชุมชนคลองไทรพัฒนา, ชุมชนน้ำแดง และชุมชนสันติพัฒนา ต.บางสวรรค์ อ.พระแสง จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อนำข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเสนอต่อคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาคดีความฯ และเสนอต่อคณะกรรมการอำนวยการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินต่อไป

29 ธันวาคม 2552
12.05 น. พ.ต.ท.โกเมธ ชูชมชื่น จาก สภอ.เขาพนม จ.กระบี่ มาพร้อมกับนายทวี แดงอนันต์ ผู้จัดการบริษัทจิวกังจุ้ย พัฒนาจำกัด และพวกอีก 5 คน ใช้รถปิ๊กอัพ 2 คัน เข้ามาในชุมชนคลองไทรพัฒนา หมู่ 2 ต.ไทรทอง อ.ชัยบุรี จ.สุราษฎร์ธานี และสอบถามข้อมูลต่างๆ จากสมาชิกบางคนในชุมชน ไม่ทราบจึงเกิดความไม่พอใจ พ.ต.ท.โกเมธ ชูชมชื่น จึงตบหน้านายอภินนท์ สังข์ทอง สมาชิกชุมชนคลองไทรฯ นายอภินนท์ จึงเอากล้องมาขอถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน แต่ พ.ต.ท.โกเมธ ชูชมชื่น และกลุ่มบุคคลที่มาด้วยเอาปืนมาจี้ที่น่าอกนายอภินนท์ สังข์ทอง และนางมาลิดา เจียกรัมย์ (ภรรยานายอภินนท์) จึงไม่ได้ภาพไว้เป็นหลักฐาน และกลุ่มบุคคลดังกล่าวได้เดินทางออกไปจากชุมชน

11 มกราคม 2553
19.00 น. ได้มีกลุ่มคนร้ายใช้อาวุธปืนลูกซองและปืนเอ็ม.16 ยิงเข้าใส่วงสนทนาและรับประทานอาหารค่ำที่นอกชานหน้ากระท่อมที่พักของนายฟอง ขุนฤทธิ์ ซึ่งมีนายสมพร พัฒนภูมิ เพื่อนบ้านมานั่งอยู่ด้วยและเป็นที่ถูกกระสุนปืนจนเสียชีวิตหลังจากวิ่งหนี มาได้ประมาณ 10 เมตรเศษ

ในที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำตรวจ สภ.อ.ชัยบุรี ได้ตรวจพบปลอกกระสุนปืนลูกซอง 1 ปลอกและปลอกกระสุนปืนเอ็ม 16 จำนวน 7 ปลอก

มีข้อสังเกตว่าก่อนเกิดเหตุยิงใส่กลุ่มสมาชิกชุมชนคลองไทรฯ ที่หน้ากระท่อมของนายฟอง ขุนฤทธิ์ ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์เล่าให้ฟังว่าพบเห็นนายทวี แดงอนันต์ ผู้จัดการบริษัทจิวกังจุ้ย เข้าตรวจเดินดูสภาพต่างๆ ในชุมชนโดยเฉพาะบริเวณด้านหลังที่เกิดเหตุ

19 พฤศจิกายน 2555
เวลา 07.20 น. ชาวบ้าน อายุระหว่าง 40 - 50 ปี เป็นผู้หญิง ถูกยิงเสียชีวิต ทั้ง 2 คน

หมายเหตุ  ชุมชนคลองไทรพัฒนา เป็นชุมชนที่ผ่านการอนุมัติให้ดำเนินการจัดทำโฉนดชุมชนแล้ว

ความเป็นมา
1. นายทุนบริษัท จิวกังจุ้ยพัฒนา จากประเทศมาเลเซีย บุกรุกครอบครองทำประโยชน์ปลูกสร้างสวนปาล์มน้ำมันในเขตปฏิรูปที่ดินป่าบ้านหมาก-ป่าปากพัง จำนวนเนื้อที่ 1,051 ไร่ (อยู่ในเขตจังหวัดกระบี่ จำนวน 144 ไร่ และเขตจังหวัดสุราษฎร์ธานี จำนวน 906 ไร่)

2.ผลกระทบจากการถูกดำเนินคดีมีดังนี้

2.1 เมื่อกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 บริษัท จิวกังจุ้ยพัฒนา  ได้อ้างว่าตนเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในเขตจังหวัดสุราษฎร์ธานี จึงได้ดำเนินการฟ้องคดีแพ่งกับชาวบ้านและบริวารชุมชนคลองไทรจำนวน3 คน ในข้อหา ละเมิด,ขับไล่,ปลดเปลื้องการรบกวน ,เรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 3,000,000 บาท ต่อมาบริษัทถอนฟ้องที่ 1, จำเลยที่ 2-3 ได้ทำสัญญายอมออกจากพื้นที่  ต่อมา บริษัท จิวกังจุ้ยพัฒนา ได้ดำเนินการฟ้องคดีแพ่งกับชาวบ้าน โดยอ้างว่าชาวบ้านกลุ่มดังกล่าวเป็นบริวารของจำเลยทั้ง 3 ในคดีหมายเลขดำที่ 136/2552 จึงฟ้องเป็นคดีใหม่

2.2 เมื่อเดือนธันวาคม 2553 บริษัท จิวกังจุ้ยพัฒนา ได้ดำเนินการฟ้องคดีอาญา หมายเลขดำที่3177/2553 ข้อหาบุกรุกกับชาวบ้านชุมชนคลองไทรโดยอ้างว่าตนเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในเขตจังหวัดสุราษฎร์ธานี  ปัจจุบันคดีทั้งหมดอยู่ระหว่างพิจารณาของศาล

2.3. ถูกคุกคามจากกลุ่มอิทธิพลมืด

 
ความคืบหน้าคดี 
1.เมื่อปีพ.ศ. 2548  ส.ป.ก.ฟ้องศาลกระบี่หมายเลขคดีดำที่ 616/2548 ขับไล่บริษัท จิวกังจุ้ยพัฒนา ปีพ.ศ. 2550 มีคำพิพากษาให้บริษัท จิวกังจุ้ยพัฒนา  ออกจากพื้นที่ ในเขตปฏิรูปที่ดินซึ่งพิพาทกันเนื้อที่ 1,081 ไร่ ตั้งแต่ พ.ศ. 2550 บริษัทยื่นอุทธรณ์และขอทุเลาการบังคับคดี ต่อมาศาลอุทธรณ์ตัดสินยืนตามศาลชั้นต้นให้บริษัทแพ้คดี ปัจจุบันคดีนี้อยู่ในศาลฎีกา

2. เดือนมีนาคม พ.ศ.2552 คปท. ได้ชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาล เป็นผลให้สำนักนายกรัฐมนตรีมีคำสั่ง ที่ 71/2552 วันที่ 9 มีนาคม 2552 แต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการแก้ไขเพื่อปัญหาของ คปท.

3. วันที่ 11 มีนาคม 2552 คณะกรรมการอำนวยการแก้ไขเพื่อปัญหา คปท. มีการประชุมครั้งที่ 1 มีมติสำคัญประการหนึ่งคือในระหว่างการดำเนินการแก้ไขปัญหาเห็นชอบให้ผ่อนผันให้ราษฎรได้อยู่อาศัยและทำกินในที่ดินตามวิถีปกติไปพลางก่อนเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน

4. วันที่ 2-7 พฤศจิกายน 2552คณะอนุกรรมการช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาคดีความของ คปท. ได้เข้าตรวจสอบพื้นที่(รายละเอียดแนบท้ายรายงาน)

5. เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2553 ได้ประกาศใช้ระเบียบสำนักนายกว่าด้วยการจัดให้มีโฉนดชุมชน พ.ศ. 2553

6. เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2553 มติ คณะกรรมการประสานงานเพื่อจัดให้มีโฉนดชุมชน (ปจช. ) เห็นชอบให้ชุมชนไทรงามพัฒนาเป็นพื้นที่นำร่องโฉนดชุมชน

7.ปัจจุบันบริษัทฯถอนคดีจากศาลทั้งแพ่งและอาญา คดีเป็นอันยุติ เหลือแต่การคุกคามของอิทธิพลมืด
 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พนมสารคามช้ำ โรงไฟฟ้าอาศัยช่องว่าง 'ผังเมือง' เดินเรื่องขออนุญาต

Posted: 19 Nov 2012 02:03 AM PST

รายงานข่าวจากนักสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ อ.พนมสารคาม แจ้งว่า จากการที่บริษัทแอ๊ดว๊านซ์ อะโกร เอเชียจำกัด ได้ส่งรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดเกาะขนุน อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา ให้สำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และจะมีการประชุมพิจารณารายงานอีไอเอนี้โดยคณะกรรมการผู้ชำนาญการ (คชก.) ในวันที่ 20 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้

บริษัทแอ๊ดว๊านซ์ อะโกร เอเชีย ส่งรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ทั้งที่รู้ว่า พื้นที่ที่ตั้งโรงไฟฟ้า หมู่ 7 ตำบลเกาะขนุน อ.พนมสารคาม เป็นพื้นที่ "สีเขียวทแยงขาว" หรือเป็นที่ดินประเภทอนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม ในผังเมืองรวมจังหวัดฉะเชิงเทราที่กำลังรอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยลงนามประกาศในราชกิจจานุเบกษาเท่านั้น

ผังเมืองรวมจังหวัดฉะเชิงเทราฉบับนี้ต้องใช้เวลายาวนานกว่า 10 ปีในการจัดทำ ผ่านการประชุมระดมความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนหลายครั้งหลายหน จนกระทั่งคณะรัฐมนตรีใด้ให้ความเห็นชอบแล้ว เมื่อ 14 สิงหาคม 2555 และผ่านขั้นตอนต่างๆมาจนถึงขั้นตอนที่ 23 แล้ว จากทั้งหมด 24 ขั้นตอน ซึ่งคือขั้นตอนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยลงนามในกฎกระทรวงฉบับนี้ แล้วประกาศในราชกิจจานุเบกษาซึ่งเป็นขั้นตอนที่ 24 

นอกจากพี้นที่หมู่ 7 ตำบลเกาะขนุน อ.พนมสารคาม จะถูกประกาศให้เป็นพื้นที่สีเขียวทแยงขาวแล้ว ในบัญชีท้ายกฎกระทรวงผังเมืองฉบับนี้ ยังกำหนดให้โรงไฟฟ้าเป็นข้อห้ามการใช้ประโยชน์ที่ดินอีกด้วย บริษัทแอ๊ดว๊านซ์ อะโกร เอเชีย ยื่นรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมให้ คชก.พิจารณา ทั้งที่เจ้าหน้าที่จากสำนักโยธาธิการและผังเมืองจังหวัด ได้ให้ข้อมูลนี้ไว้แล้วในวันที่บริษัทจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นเพื่อทบทวนร่างรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมฉบับนี้ เป็นการ "ช่วงชิง" จังหวะที่เรียกได้ว่าเป็น "สุญญากาศ" ของผังเมือง แสดงให้เห็นว่า บริษัทไม่สนใจเจตนารมณ์ของกฎหมาย และสำนึกความรับผิดชอบต่อชุมชนและสังคม ถือได้ว่าขาดธรรมาภิบาลในการประกอบธุรกิจ การกระทำเช่นนี้เรียกได้ว่าเป็นการท้าทายจริยธรรมของ คชก. ด้วยเช่นเดียวกัน

นอกจากนั้นแล้ว ชุมชนในพื้นที่รอบที่ตั้งโครงการโรงไฟฟ้า โดยเฉพาะคนในหมู่7 เอง ได้พยายามดิ้นรนปกป้องพื้นที่ "ทำอยู่ทำกิน" ของตัวเอง  เนื่องจากเห็นว่าการศึกษาอีไอเอของโรงไฟฟ้ายังไม่รอบด้านพอ และพยายามเข้ามามีส่วนร่วมในการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ด้วยการเชิญ คชก.ลงพื้นที่เพื่อดูข้อเท็จจริงด้วยตาตนเอง แต่ไม่ได้รับการตอบรับ ชุมชนจึงดิ้นรนอีกครั้ง ด้วยการขอเข้าไปให้ข้อมูลในการประชุมพิจารณาของ คชก.ในวันที่ 20 พฤศจิกายนนี้ ตาม "สิทธิชุมชน" ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตราที่ 66 และ 67 คือ ชุมชนและบุคคลมีสิทธิที่จะมีส่วนร่วมในการจัดการ การบำรุงรักษา และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ และรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมเพื่อให้ดำรงชีพได้อย่างปกติและต่อเนื่องในสิ่งแวดล้อมที่จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของตน การตัดสินใจของ คชก.ว่าจะรับฟังข้อมูลของชุมชนหรือไม่ รวมทั้งผลการพิจารณาอีไอเอของบริษัทจะเป็นเครื่องพิสูจน์จริยธรรมของ คชก.ที่บริษัทแอ๊ดว๊านซ์ อะโกร เอเชีย ได้ท้าทายไว้

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

Smartphone กับการส่งเสริมสุขภาพระดับนานาชาติ กรณีศึกษา BlackBerry

Posted: 19 Nov 2012 01:47 AM PST

ยุคนี้เป็นยุค ครองเมือง จึงยากที่จะปฏิเสธว่าเจ้ามือถือแสนฉลาดมีส่วนเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้คนมากมายทั่วโลก คนจำนวนมากกลายเป็นผู้บริโภคที่ถูกจัดอยู่ในประเภท Smartphonatics หรือผู้ที่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการดำเนินชีวิตหลังจากใช้ smartphone เป็นที่น่าจับตามองจากสถิติของ Smartphonatics ในแต่ละประเทศว่า ถึงแม้ครึ่งหนึ่งของชาวอเมริกันวัยผู้ใหญ่จะมี smartphone ไว้ในครอบครอง และอัตราการบริโภคมือถืออัจฉริยะเหล่านี้จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในทุกๆกลุ่มอายุ แต่บรรดาสาวก smartphone สายพันธุ์ใหม่ในสหรัฐอเมริกาก็ยังคิดเป็นสัดส่วนเพียง 20% ของประชากรในประเทศ ซึ่งตามหลังประเทศอย่างอินเดีย (60%) และแอฟริกาใต้ (42%) อย่างไม่น่าเชื่อ

ฟังก์ชั่นการใช้งานโทรศัพท์มือถือ smartphone กลายเป็นสิ่งจำเป็นที่ตอบสนองวิถีประจำวันยุคใหม่ได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการจับจ่ายใช้สอย การทำธุรกรรมทางการเงิน การชำระค่าใช้จ่ายจิปาถะ การใช้เพื่อการศึกษา การเดินทาง แม้กระทั่งการจัดการด้านสุขภาพอนามัยและสาธารณสุข ซึ่งอันหลังสุดนับเป็นเทรนด์ใหม่ที่กำลังมาแรงทั่วโลก smartphone ชั้นนำอย่าง BlackBerry เองก็ได้เล็งเห็นศักยภาพของการใช้เทคโนโลยีการสื่อสารเพื่อประโยชน์ด้านสุขภาพ และไม่รอช้าที่จะพัฒนาระบบเพื่อตอบสนองพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของเหล่านานาประเทศที่มีอัตราการเติบโตสูงด้วยการผสมผสานเทคโนโลยี smartphone เข้ากับเทคนิคความรู้ทางการแพทย์ จนกลายเป็น tools for action เพื่อสุขภาพที่โดดเด่นต่อไปนี้

iAfya เพื่อเคนยา
Research in Motion (RIM) เริ่มมุ่งยกระดับโทรศัพท์มือถือ BlackBerry ให้กลายเป็นแพลตฟอร์มหลักในการเข้าถึงข้อมูลและบริการด้านสาธารณสุขในแอฟริกาด้วยแอพพลิเคชั่นเพื่อสุขภาพตัวใหม่ที่ชื่อว่า iAfya จากการสำรวจของผู้เชี่ยวชาญการวิเคราะห์ข้อมูลด้านการสื่อสารโทรคมนาคมอย่าง Informa Telecoms and Media พบว่าตลาด smartphone กำลังมีการขยายตัวอย่างรวดเร็วในแถบแอฟริกา โดยจำนวนประชากรที่สามารถเข้าถึงโทรศัพท์มือถือในแอฟริกามีมากกว่า 560 ล้านคน ซึ่งมากกว่าจำนวนผู้ใช้อินเตอร์เน็ตอยู่เกือบห้าเท่า

สำหรับการรังสรรค์แอพพลิเคชั่น iAfya เพื่อโทรศัพท์มือถือ BlackBerry โดยเฉพาะนั้่นเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายระยะยาวในการพัฒนาบริการสาธารณสุขเคลื่อนที่ของรัฐบาลเคนยา แอพพลิเคชั่น iAfya จะช่วยเอื้อประโยชน์ทางการแพทย์และสาธารณสุขให้กับผู้ใช้ BlackBerry ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกในครัวเรือนที่ต้องการค้นหาวิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นในภาวะฉุกเฉิน หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ต้องการค้นคว้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อมูลเชิงปฏิบัติทางการแพทย์ก็สามารถใช้ iAfya ในการตรวจสอบข้อมูลสาธารณสุข รวมไปถึงติดต่อผู้ให้บริการสาธารณสุขอย่างบริษัทประกันสุขภาพหรือหน่วยแพทย์ได้ในเวลาอันรวดเร็วเพียงปลายนิ้วสัมผัส

ผู้พัฒนาแอพพลิเคชั่นมุ่งหวังว่าข้อมูลทางการแพทย์ที่ทันสมัย ครอบคลุมและเชื่อถือได้ในแอพพลิเคชั่น iAfya นี้จะช่วยลดช่องว่างระหว่างเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในแต่ละชุมชนกับสาธารณชนในเคนยา รวมทั้งพัฒนาเครือข่ายและยกระดับความรู้ของกลุ่มเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์เอง ซึ่งถือเป็นตัวแปรสำคัญในความสำเร็จของการพัฒนาสาธารณสุขแบบองค์รวมในประเทศเคนยา

ธีม Breast Cancer Awareness เพื่ออเมริกา
จากสถิติของ BreastCancer องค์กรการกุศลเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับมะเร็งเต้านมในรัฐเพนซิลเวเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา หนึ่งในแปดของผู้หญิงชาวอเมริกันอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านม และอย่างน้อยหนึ่งในสี่ของผู้หญิงจำนวนล้านคนได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งเต้านมในแต่ละปี ทาง BlackBerry เองก็เล็งเห็นว่าภัยร้ายจากมะเร็งเต้านมที่คุกคามชีวิตผู้หญิงจำนวนมากมายไม่ใช่สิ่งที่สามารถเพิกเฉยได้ ด้วยเหตุนี้ RIM จึงร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการรณรงค์ต่อต้านภัยมะเร็งเต้านมทั่วโลกด้วยการถือฤกษ์เดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเดือนแห่งการรณรงค์ป้องกันโรคมะเร็งเต้านมโลกเปิดตัวธีม Breast Cancer Awareness

ธีมใหม่เอี่ยมที่ว่าจะมีพื้นหลังเป็นรูปโบว์สีชมพูอันเป็นสัญลักษณ์ของการรณรงค์ต่อต้านภัยมะเร็งเต้านม ซึ่งจะปรากฏที่ข้อความและระบบควบคุมด้วย เพียงแค่ 0.99 ดอลลาร์ ผู้ใช้ BlackBerry ก็สามารถช่วยเหลือและส่งกำลังใจไปให้ผู้ที่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักหรือผู้ที่กำลังต่อสู้กับโรคร้ายได้ ส่วนรายได้ทั้งหมดจากธีมจะถูกส่งต่อไปให้มูลนิธิเพื่อมะเร็งเต้านมซูซาน จี โคเมนเพื่อสมทบกองทุนรักษาโรคในนามของผู้ดาวน์โหลด

eUNO R10 เพื่ออินเดีย
ข้อมูลขององค์กรอนามัยโลก (WHO) และคณะกรรมการวิจัยทางการแพทย์แห่งประเทศอินเดีย (ICMR) ระบุว่า ภายในปี 2020 ประเทศอินเดียจะมีผู้ป่วยหัวใจวายเฉียบพลันมากที่สุดในโลก RIM จึงได้ร่วมมือกับ Vodafone ของอินเดียและบริษัทออกแบบเทคโนโลยีสารสนเทศด้านการแพทย์และการวินิจฉัยโรคชั้นนำอย่าง Maestros

Mediline Systems Limited ส่งแอพพลิเคชั่นกู้ชีพสำหรับป้องกันการเกิดหัวใจวายนามว่า eUNO R10 เพื่อผู้ป่วยโรคหัวใจในประเทศโดยเฉพาะ

eUNO R10 จะทำหน้าที่เสมือนอุปกรณ์บันทึกกราฟการเต้นของหัวใจ และเมื่อเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตจะทำการส่งรายงานผลการทำงานของหัวใจผู้ป่วยไปที่เซิร์ฟเวอร์ ก่อนที่เซิร์ฟเวอร์จะส่งรายงาน ECG ไปยังโทรศัพท์มือถือ BlackBerry ของแพทย์ผ่านทางเครือข่ายสัญญาณของ Vodafone โดยอัตโนมัติ ทั้งนี้เพื่อให้แพทย์สามารถตอบสนองด้วยการวินิจฉัยและหาทางออกในการรักษาได้อย่างทันท่วงที แพลตฟอร์ม BlackBerry ที่โดดเด่นในเรื่องของการเข้ารหัสข้อความและเทคโนโลยี push นั้น นับว่าเข้ากันได้ดีอย่างยิ่งกับระบบการทำงานของเครื่องมือฉุกเฉินและการส่งไฟล์ขนาดใหญ่อย่าง ECG ซึ่งจะถูกย่อส่วนก่อนทำการ push หรือส่งสัญญาณแบบเรียลไทม์


 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น