โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันพฤหัสบดีที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

อดีตทหารเกณฑ์แจงเหตุลบโพสต์วิจารณ์ระบบเกณฑ์ทหาร หวังกองทัพพัฒนานให้ทันสมัย

Posted: 02 Nov 2017 10:04 AM PDT

หลังลบโพสต์วิจารณ์ปัญหาระบบการเกณฑ์ทหาร อดีตทหารเกณฑ์ ออกแถลงการณ์แจงเหตุเพราะข้อความกระจายกว้าง ถูกข่มขู่ คุกคาม และมุ่งโจมตี แต่ไม่เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ ยันยังคงไม่เห็นด้วยระบบของการเกณฑ์ทหาร หวังกองทัพพัฒนาให้ทันสมัย

2 พ.ย. 2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พงศธร จันทร์แก้ว หรือ กอล์ฟ อดีตทหารเกณฑ์ นักสังคมสงเคราะห์อิสระ และผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Way's UP ผู้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัววิพากษ์วิจารณ์ระบบทหารเกณฑ์ก่อนลบออกไปนั้น ล่าสุดวันนี้ (2 พ.ย.60) พงศธร โพสต์แถลงการณ์ในกรณีการลบโพสต์ในวันปลดราชการทหารและข้อชี้แจงเพิ่มเติมผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวอีกครั้ง

พงศธร กล่าวถึง โพสต์ของเขาที่ได้รับการแชร์ การถูกพูดถึง และถูกนำไปเสนอข่าวในเว็บไซต์ต่างๆ เป็นจำนวนมาก ว่า สิ่งเหล่านั้นก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ทั้งตัวระบบการเกณฑ์ทหาร การฝึกทหาร รวมทั้งตัวของตนเองออกไปอย่างกว้างขวาง หลายความคิดเห็นถูกบรรจุไวด้วยข้อความที่แสดงความเกลียดชัง ข่มขู่ คุกคาม และมุ่งโจมตีโดยขาดซึ่งวิจารณญาณและวิถีทางในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์จึงเป็นที่มาให้ตนจำเป็นต้องลบโพสต์ดังกล่าว เพื่อหยุดซึ่งการกระจายและใช้พื้นที่ตรงนั้นในการแสดงออกซึ่งสิ่งที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น
 
อย่างไรก็ตาม พงศธร ยืนยันว่า ข้อความเหล่านั้น ยังเป็นความรู้สึกและความคิดที่ตนรู้สึกจริงๆ แต่สิ่งสำคัญที่ตนไม่เห็นด้วยคือ ตัวระบบของการเกณฑ์ทหาร และในภาพรวมหลายๆ อย่างที่มันเกิดขึ้นโดยเฉพาะการบังคับคนในนามของกฎหมายให้เข้ามาอยู่ภายในรั้วทหาร โดยไม่คำนึงถึงความสามารถทางด้านอื่นๆ ที่ทำให้เขาไม่ได้ใช้ความรู้ความสามารถอย่างเต็มที่ รวมทั้งการละเลยข้อจำกัดทางด้านครอบครัว เศรษฐกิจ และความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยที่การบังคับการเกณฑ์ทหารแบบเดิมไม่ตอบโจทย์ และทำลายโอกาสทั้งของประเทศชาติ และประชาชนอย่างมาก
 
"สิ่งที่กอล์ฟต้องการสื่อและเรียกร้องจึงไม่ใช่การโจมตีแต่คือการสะท้อนเพื่อให้กองทัพเองเห็นถึงโอกาสในการพัฒนานโยบายให้มีความทันสมัย หาแนวทางให้ได้มาซึ่งทหารโดยที่ไม่ต้องบังคับ มีการปรับปรุงสิทธิสวัสดิการ ความเป็นอยู่ และการจัดการทรัพยากรของพลทหารให้ได้ทำงานที่มีคุณค่าและมีเกียรติเหมาะสมกับทรัพยากรที่ลงทุนฝึกไปให้มากกว่านี้
รวมทั้งการช่วยกันเปลี่ยนแปลงการปฏิบัติต่อผลทหารทุกคนให้ได้รับเกียรติ ไม่มีการลดทอน ย่ำยี และให้เขารู้สึกเป็นแค่บุคคลชั้นต่ำสุดภายในค่าย เพราะว่าพลทหารทุกคนโดนพรากชีวิตส่วนตัวเข้ามาอยู่ในนี้ เราต้องการการปฏิบัติที่เป็นเกียรติ เท่าเทียม ได้ทำงานที่มีคุณค่า ความหมายต่อชีวิต สังคม และประเทศชาติ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ผมหวังว่าจะเกิดขึ้นอย่างเป็นมารตฐานเดียวกันทุกค่ายทุกหน่วยฝึกทั้งประเทศ จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ออกมาพูด และรู้สึกว่าทำไมกอล์ฟถึงรู้สึกว่าถูกลดทอนคุณค่าและเสียเวลามากที่สุดในชีวิต" พงศธร หรือ กอล์ฟ โพสต์
 
พงศธร ระบุว่ากรณีดังกล่าวแม้จะเป็นเพียงโพสต์เล็กๆ จากอดีตพลทหารเล็กๆ อย่างตน แต่แสดงให้เห็นชัดว่าการลุกขึ้นมาพูดความจริงและนำเสนอสถานการณ์ตรงนี้ได้เริ่มสร้างการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างให้เกิดขึ้นได้ อย่างน้อยในกรณีนี้ก็ทำให้ผู้บังคับบัญชาเล็งเห็นถึงความรู้สึกของพลทหารมากขึ้น มากไปกว่านั้นตนยังได้รับการติดต่อจากผู้ฝึกของหน่วยฝึกทหารใหม่แห่งหนึ่งเพื่อสอบถามเกี่ยวกับความรู้สึกในฐานะพลทหารและขอคำแนะนำแนวทางในการปฏิบัติซึ่งทำให้เห็นว่ากองทัพของเรายังมีบุคลากรที่มีเกียรติ และเป็นความหวังของประชาชนอยู่
 
รายละเอียดแถลงของ พงศธร :
 
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เหลือเวลา 8 วัน ยังมีผู้สมัครรับสรรหาเป็น กกต. แค่คนเดียว

Posted: 02 Nov 2017 09:13 AM PDT

ผ่านไปแล้ว 14 วัน สำหรับการเปิดรับสมัครผู้สนใจเข้ารับการสรรหาเป็นคณะกรรมการการเลือกตั้ง พบมีผู้มาสมัครเพียงรายเดียว ด้าน กกต. สมชัย ชี้กฎหมายกำหนดสเปกเทพ ทำให้มีผู้สมัครน้อย แนะผู้สนใจสมัครควรศึกษากฎหมายลูก 4 ฉบับให้ชัดเจนก่อน

2 พ.ย. 2560 เว็บข่าวรัฐสภา รายงานว่า ตามที่คณะกรรมการสรรหากรรมการการเลือกตั้ง ได้เปิดรับสมัครบุคคลผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ตั้งแต่วันที่ 19 ต.ค. ที่ผ่านมา ปรากฏว่า เมื่อวานนี้มีผู้มาสมัครเป็นรายแรกแล้วคือ ศาสตราจารย์ ดร.เรืองวิทย์ เกษสุวรรณ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ อายุ 61 ปี

ทั้งนี้ คณะกรรมการสรรหากรรมการการเลือกตั้ง ได้เปิดรับสมัครบุคคลผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการการเลือกตั้ง ระหว่างวันที่ 19 ต.ค.–10 พ.ย. นี้ เวลา 08.30-16.30 นาฬิกา ณ บริเวณห้องโถง ชั้น 1 อาคารรัฐสภา 2 ถนนอู่ทองใน เขตดุสิต กรุงเทพฯ และชั้น 1 อาคารสุขประพฤติ ถนนประชาชื่น เขตบางซื่อ กรุงเทพฯ ผู้มีคุณสมบัติสามารถสมัครเข้ารับการสรรหาได้ ตามวัน เวลาดังกล่าว 

ขณะที่ พรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ระบุว่า ขณะนี้มีผู้มาสมัครเข้ารับการสรรหาแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องไปทาบทามบุคคลใด และเชื่อว่าในช่วงเวลาอีกหลายวันที่เหลือ จะมีผู้มาสมัครเพิ่มเติม 

อย่างไรก็ตาม เมื่อ 2 วันที่ผ่านมา มีชัย ฤชุพันธ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ได้เคยให้สัมภาษณ์ถึงกรณีหากไม่มีผู้มาสมัครเข้ารับการสรรหา กกต. ไว้ว่า กรรมการสรรหาฯ สามารถใช้วิธีการทาบทามผู้ที่มีความรู้ความสามารถและมีคุณสมบัติครบถ้วนเข้ามาได้ ซึ่งเชื่อว่ากระบวนการดังกล่าวไม่สามารถแทรกแซงได้ เพราะกรรมการสรรหามาจากหลายฝ่าย

ด้าน โพสต์ทูเดย์ออนไลน์ รายงานด้วยว่า สมชัย ศรีสุทธิยากร คณะกรรมการการเลือกตั้ง กล่าวถึงกรณีการรับสมัครบุคคลเข้ารับการสรรหาเป็น กกต. ที่ยังไม่มีผู้มาสมัครนั้น ส่วนตัวเชื่อว่าจะมีผู้สมัครเข้ารับการสรรหา หรือแม้ไม่มีผู้สมัครแล้วไปสู่กระบวนการทาบทามของกรรมการสรรหา ก็ไม่ห่วง เพราะการจะได้คนดีคนไม่ดี คนเก่งคนไม่เก่ง คนที่อยู่ภายอาณัติของนักการเมืองหรือไม่อย่างไร ก็ถือเป็นความรับผิดชอบของคณะกรรมการสรรหา

"กกต.ชุดนี้เตรียมส่งมอบงานอย่างเดียว การที่ขณะนี้ยังไม่มีผู้สมัคร คงไม่ใช่เรื่องสเปค กกต.ใหม่ที่สูง แต่น่าจะเป็นการรอเวลาช่วงท้ายๆ ซึ่งใครจะสมัครก็อยากจะฝากว่าขอให้ศึกษากฎหมายเกี่ยวกับ กกต.ทั้ง 4 ฉบับให้ชัดเจน เชื่อว่าจะสรรหา กกต.ใหม่ได้และจะมีกกต.ใหม่เข้ามาทำงาน" สมชัย ระบุ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สู่ทศวรรษใหม่สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ชู 4 ประเด็นสู่สังคมสุขภาวะ

Posted: 02 Nov 2017 08:57 AM PDT

แถลงข่าวจัดสมัชชาสุขภาพ ครั้งที่ 10 ชู 4 ประเด็นส่งเสริมให้ทุกช่วงวัยมีกิจกรรมทางกายเพิ่มขึ้น ชุมชนเป็นศูนย์กลางป้องกัน-แก้ไขปัญหายาเสพติด พัฒนาพื้นที่เล่นสร้างเสริมสุขภาวะของเด็กปฐมวัยและวัยประถมศึกษา และจัดการขยะมูลฝอยในชุมชนแบบมีส่วนร่วมอย่างยั่งยืน

2 พ.ย. 2560 รายงานข่าวจาก สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) แจ้งว่าวันนี้ (2 พ.ย.60) คณะกรรมการจัดสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ (คจ.สช.) และ สช. ได้จัดงานแถลงข่าว การจัดสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 10 ประจำปี 2560   ณ บริเวณลานหน้าห้องประชุมวายุภักษ์ ชั้น 5 โรงแรมเซ็นทรา บายเซ็นทารา ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ โดย นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการ กระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธาน คจ.สช. กล่าวว่า สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ เป็นเครื่องมือที่ถูกกำหนดไว้ในหมวด 4 ของพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 เป็นกระบวนการพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพแบบมีส่วนร่วมที่สร้างพื้นที่สาธารณะให้ภาคส่วนต่างๆ ในสังคมไทย เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาและผลักดันนโยบายสาธารณะ ผ่านการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และแสวงหาทางออกร่วมกันบนฐานข้อมูล ความรู้ และปัญญา ด้วยความเท่าเทียมกันของทุกฝ่าย และนำไปสู่ข้อเสนอเชิงนโยบายต่อฝ่ายต่างๆ ในสังคม

นพ.ศุภกิจ กล่าวต่อว่า การประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 10 ประจำปี 2560 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20–22 ธ.ค.นี้ ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จ.นนทบุรีโดยมี 4 ระเบียบวาระที่เสนอเข้าสู่การพิจารณาเพื่อพัฒนาข้อเสนอนโยบาย หรือเป็น "ขาขึ้นนโยบาย" ในที่ประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ประกอบด้วย (1) การส่งเสริมให้คนไทยทุกช่วงวัยมีกิจกรรมทางกายเพิ่มขึ้น (2) ชุมชนเป็นศูนย์กลางในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด (3) การพัฒนาพื้นที่เล่นสร้างเสริมสุขภาวะของเด็กปฐมวัยและวัยประถมศึกษา และ (4) การจัดการขยะมูลฝอยในชุมชนแบบมีส่วนร่วมอย่างยั่งยืน ซึ่งทั้ง 4 ประเด็นล้วนใกล้ชิดกับสังคมไทย เริ่มจากการจัดการพฤติกรรมเนือยนิ่ง เคลื่อนไหวร่างกายน้อยของคนไทย ที่ส่งผลต่อภาวะอ้วนลงพุงและการเจ็บป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อ ทั้งเบาหวาน ความดันโลหิตสูง มะเร็ง ฯลฯ ในส่วนของเด็กปฐมวัยและเด็กประถมศึกษา ก็พบการขาดแคลนพื้นที่เล่นที่ส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ รวมถึงขาดความปลอดภัยและการจัดการดูแลที่ดีพอ ขณะเดียวกันปัญหายาเสพติดที่แพร่ระบาดก็ต้องการการสานพลังเชิงรุกร่วมกันของทั้งชุมชน สังคมเพื่อสร้างเกราะคุ้มกัน ปราบยาเสพติดในชุมชนด้วยการสร้างความเข้าใจและให้โอกาส และท้ายที่สุดคือประเด็นการจัดการขยะที่เกิดขึ้นถึงปีละกว่า 27 ล้านตัน แต่กำจัดได้เพียง 20 ล้านตัน จึงต้องให้ทุกกระทรวงและหน่วยงานทุกระดับที่เกี่ยวข้องทำงานร่วมกัน โดยให้ความสำคัญกับแผนปฏิบัติการจัดการขยะมูลฝอยขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อสร้างวินัยของคนในชาติ มุ่งสู่การจัดการอย่างยั่งยืน

ด้าน นพ.พลเดช  ปิ่นประทีป เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ในฐานะเลขานุการ คจ.สช. กล่าวว่า เนื่องจากปี 60 ตรงกับวาระครบรอบ 10 ปี การประกาศใช้พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 คจ.สช.จึงกำหนดประเด็นหลักของสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 10 นี้ว่า "10 ปี พ.ร.บ. สุขภาพแห่งชาติ สู่สังคมสุขภาวะ" ซึ่งสาระสำคัญของกฎหมายนี้มุ่งให้เกิดกระบวนการพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพแบบมีส่วนร่วม ผ่านเครื่องมือและกลไกต่างๆ ที่กำหนดใน พ.ร.บ. โดยยึดหลักการมีส่วนร่วมตามยุทธศาสตร์สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา กล่าวคือ คำนึงถึงการมีส่วนร่วมของ 3 ภาคส่วน ได้แก่ ภาควิชาการ เพื่อสร้างความรู้เป็นฐานพัฒนาข้อเสนอนโยบาย ภาคประชาชน ซึ่งรวมทั้งประชาสังคม เอกชน สื่อมวลชนฯ เพื่อสร้างความเคลื่อนไหวทางสังคม และภาคนโยบาย เพื่อเชื่อมโยง ขับเคลื่อนร่วมกับรัฐและการเมือง ซึ่งก็สอดคล้องกับแนวทางประชารัฐเพื่อพัฒนานโยบายสาธารณะแบบมีส่วนรวมทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่น ตลอดการทำงานที่ผ่านมาได้มีการสอดแทรกแนวคิด "ทุกนโยบายห่วงใยสุขภาพ" (Health in All Policies) เพื่อให้หน่วยงาน องค์กรต่างๆ สร้างนโยบายโดยคำนึงถึงมิติด้านสุขภาพควบคู่ไปด้วยเสมอ ทั้งนี้เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายสากล คือ การพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ซึ่งในสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 10 จะมีการนำรูปธรรมของการดำเนินงานพัฒนานโยบายสาธารณะผ่านเครื่องมือทุกชนิดตาม พ.ร.บ.สุขภาพฯ มาเผยแพร่และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในลานสมัชชาและนิทรรศการ โดยประชาชนที่สนใจสามารถสมัครร่วมกิจกรรม "สมัชชาพาทัวร์" ภายในงานได้ด้วย

นพ.พลเดช กล่าวอีกว่า ในทศวรรษต่อไป สช. ซึ่งรับผิดชอบการทำงานตาม พ.ร.บ.สุขภาพ มีภารกิจสำคัญ คือ การทำให้ภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนที่ได้ทำงานร่วมกัน ซึ่งนับวันจะทวีจำนวนขึ้น ได้เรียนรู้ซึมซับแนวคิดการทำงานแบบ "สานพลัง" (Synergy) คือ การทำงานแบบข้ามภาคส่วน ซึ่งจะทำให้เกิดพลังในการผลักดันนโยบายสาธารณะบนฐานปัญญา นำไปสู่การสร้างการเปลี่ยนแปลงของสังคมในทุกด้าน

ทิพย์รัตน์ นพลดารมย์  รองประธานกรรมการขับเคลื่อนและติดตามการดำเนินงานตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ (คมส.) ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน กล่าวถึงความสำเร็จในการขับเคลื่อนมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ จากการจัดมาแล้ว 9 ครั้ง มีมติรวม 73 มติว่า จากการขับเคลื่อนมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติของหน่วยงาน ภาคี เครือข่าย ทำให้เกิดรูปธรรมที่สำคัญในหลายลักษณะ ทั้งผลสำเร็จในการประกาศเป็นนโยบายระดับชาติ การมีแผนยุทธศาสตร์ การมีแผนปฏิบัติงานของหน่วยงานองค์กรที่เกี่ยวข้อง การบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงาน องค์กรต่างๆ รวมไปถึงการเกิดผลเปลี่ยนแปลงถึงประชาชนกลุ่มเป้าหมาย

ทั้งนี้ ในการประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 10 นี้ จะได้นำเสนอและแลกเปลี่ยนความก้าวหน้าและรูปธรรมจากการขับเคลื่อนมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติที่ผ่านมา รวม 15 มติ เช่น มติพระสงฆ์กับการพัฒนาสุขภาวะ ซึ่งมีมติมหาเถรสมาคมนำไปเข้าสู่แผนงานสาธารณะสงเคราะห์ และกำลังจัดทำเป็น "ธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ" มติการควบคุมกลยุทธ์การตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก ที่เป็นพลังร่วมผลักดันให้เกิดพ.ร.บ.ควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก พ.ศ.2560 เป็นต้น ทั้งนี้ การขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ จะเน้นการเปิดพื้นที่การหารือและการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงาน องค์กรทุกภาคส่วน โดยใช้ความรู้เป็นฐาน เพื่อขับเคลื่อน "บูรณาการการทำงาน" เรื่องที่ยากและซับซ้อน มีความเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน ซึ่งแตกต่างจากการทำงานของหน่วยราชการตามปกติ และยังเป็นการเสริมพลังการทำงานของทุกฝ่ายด้วย

อนึ่ง ผู้สนใจเข้าร่วมงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 10 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20-22 ธ.ค.นี้ ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จ.นนทบุรี สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมและลงทะเบียนเข้าร่วมในลักษณะผู้สังเกตการณ์ได้ทางเว็บไซต์ www.nationalhealth.or.th และ www.samatcha.org โดยหมดเขตรับสมัครในวันที่ 10 พ.ย. นี้

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ท้องไม่พร้อม:ความไม่พร้อมของการศึกษา สังคมและผู้ใหญ่ไทย

Posted: 02 Nov 2017 06:38 AM PDT

สะท้อนปัญหาทัศนคติ การให้ความรู้ วิธีการของสถานศึกษาในการรับมือกับการท้องอย่างไม่พร้อมจากสถิติของสายด่วนปรึกษาเรื่องท้องไม่พร้อม 1663 วอนแก้ทัศนคติเด็กห้ามมีเซ็กซ์ หยุดเอาเรื่องใต้สะดือซุกไว้ใต้พรม ร้องศึกษาธิการ สอนเพศวิถีที่ใช้ได้จริง ต่อเนื่อง ปรับปรุงทัศนคติ กระบวนการช่วยเด็กท้อง อยากเรียนต้องได้เรียน

ภาพ: อิศเรศ เทวาหุดี

พรุ่งนี้ก็วนเวียนมาถึงอีกครั้งกับเทศกาลลอยกระทง เทศกาลขอขมาพระแม่คงคาที่คนไทยหลายคนรู้จักกันในชื่อของเทศกาลเสียตัว จากการสำรวจในหัวข้อ "วัยรุ่นไทยกับประเพณีลอยกระทงและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์" ของมูลนิธิเพื่อนเยาวชนเพื่อการพัฒนาและมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล จำนวน 1,042 กลุ่มตัวอย่างในพื้นที่กรุงเทพฯ นนทบุรี และสมุทรปราการเมื่อปี 2555 พบว่ากลุ่มตัวอย่างร้อยละ 40 ระบุว่าเทศกาลลอยกระทงเป็นโอกาสที่นำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ของวัยรุ่นมากที่สุด รองลงมาคือวันวาเลนไทน์ กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 38 ยังระบุว่าเคยพบเห็นหรือทราบว่าปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศมักเกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชนในวันลอยกระทง ร้อยละ 61 เห็นว่าการดื่มสุราเป็นปัจจัยเสริมที่สำคัญให้เกิดการล่วงละเมิดทางเพศ (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)

องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูนิเซฟเคยนำเสนอสถิติการคลอดบุตรจากผู้หญิงอายุ 13-19 ปี ตั้งแต่ปี 2546-2556 พบว่า ในปี พ.ศ. 2556 จำนวนผู้หญิงที่คลอดบุตรเมื่ออายุ 13-15 ปีมีจำนวนถึง 3,349 คน ในขณะที่กลุ่มอายุ 15-19 ปี มีตัวเลขอยู่ที่ 6-7 พันคน

สถิติการคลอดบุตรจากผู้หญิงอายุ 13-19 ปี ตั้งแต่ปี 2546-2556 (ที่มา:UNICEF)

สถิติต่างๆ สะท้อนว่าการตั้งครรภ์และมีบุตรตั้งแต่อายุยังน้อยยังคงอยู่คู่กับสังคมไทย แต่ปัญหาที่พบคือสถานศึกษาไม่ว่าโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยยังคงมีทัศนคติกีดกันผู้เรียนที่ตั้งท้องในขณะที่ยังศึกษาอยู่และมีวิธีการรับมือที่ต่างกันออกไปตั้งแต่ช่วยเหลือด้วยมาตรการบางอย่างจนถึงให้ออก

"รายงานผลการวิจัยเพื่อทบทวนการสอนเพศวิถีในสถานศึกษาไทย" โดยศูนย์นโยบายสาธารณสุข มหาวิทยาลัยมหิดล ด้วยการสนับสนุนจากองค์การยูนิเซฟและความร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ และยูเนสโก โดยได้สำรวจข้อมูลจากนักเรียนมัธยมศึกษาและอาชีวศึกษาจำนวน 8,837 คน และครู 692 คนในโรงเรียนมัธยมศึกษาและอาชีวศึกษา 398 แห่งในช่วงเดือนกันยายน 2558 ถึงเดือนมีนาคม 2559 เพื่อทบทวนความสำเร็จและความท้าทายในการจัดการเรียนการสอนเพศวิถีศึกษา พร้อมสำรวจทัศนคติของครูและนักเรียน ชี้ให้เห็นว่าวิธีการสอนเพศวิถีศึกษาในสถานศึกษาไทยมักเน้นไปที่การบรรยาย ซึ่งไม่เอื้อให้นักเรียนได้สามารถพัฒนาทักษะในการคิดวิเคราะห์ การสื่อสารและต่อรอง ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพวกเขาในการจัดการเรื่องเพศวิถีและชีวิตทางเพศของตน

วาเลรี ตาตอน รองผู้แทนองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าวว่า "การที่โรงเรียนแทบทุกแห่งในประเทศไทยมีการสอนเพศศึกษาถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่ในขณะเดียวกัน การที่นักเรียนจำนวนมากยังขาดทักษะที่จำเป็นในการมีสุขภาวะทางเพศยังคงเป็นสิ่งที่น่ากังวลอย่างยิ่ง การที่เราจะลดอัตราการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นหรือลดจำนวนการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในหมู่เยาวชนได้นั้น เราต้องช่วยให้เด็กรู้จักตนเองและมีทักษะที่จำเป็น ตลอดจนมีความมั่นใจในการตัดสินใจที่ถูกต้องต่อวิถีทางเพศของพวกเขา"

ปลายปี 2559 ไทยบังคับใช้พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ของวัยรุ่นเพื่อออกแบบแนวทางการเสริมสร้างความรู้ให้กับวัยรุ่นเกี่ยวกับเพศวิถีศึกษาและป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น

เพศวิถีศึกษา : 'ปีศาจ' ของ 'วัฒนธรรมไทย' ตลอดกาล

เป็นเวลาหนึ่งปีแล้วที่ พ.ร.บ. ถูกบังคับใช้ จนวันนี้  (2  พ.ย. 60)  ที่งานแถลงข่าว "เด็กที่ท้องในวัยเรียน อยู่ในวิกฤติ สถานศึกษาหยุดซ้ำเติม" ที่ห้องอาศรมสุขภาวะ อาคารสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มีสมวงศ์ อุไรวัฒนา รองผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ ประธานโครงการสายด่วน 1663 สายด่วนปรึกษาเอดส์และท้องไม่พร้อม และธิติพร ดนตรีพงษ์ เจ้าหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูลสายด่วน 1663 เป็นผู้ให้ข้อมูลในงานแถลงข่าวถึงข้อมูลที่ทางสายด่วนฯ ได้รับและยื่นข้อเสนอต่อกระทรวงศึกษาธิการให้พัฒนาการเรียนรู้เรื่องเพศวิถีศึกษาและระบบดูแลนักเรียน นักศึกษาที่ตั้งครรภ์

คนปรึกษาเรื่องท้องไม่พร้อมเยอะขึ้น คุมกำเนิดผิดวิธี ประสิทธิภาพต่ำยังมีเยอะเกือบร้อยละ 50

ซ้ายไปขวา: ธิติพร ดนตรีพงษ์ สมวงศ์ อุไรวัฒนา

ธิติพรกล่าวว่า ผู้รับบริการสายด่วน 1663 เพิ่มขึ้นทุกปี อาจจะคงที่อยู่จำนวน 4 หมื่นกว่าคน ก่อนที่จะเริ่มทำงานเรื่องท้องไม่พร้อมที่ริเริ่มขึ้นเมื่อปี 2556 ได้พบว่าตัวเลขคนที่โทรเข้ามาเรื่องเอดส์เยอะกว่าโดยมีสัดส่วนอยู่ที่ 70 ต่อ 30 แต่คนปรึกษาเรื่องท้องไม่พร้อมตอนนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 60 ต่อ 40 แล้วโดยเดือน ต.ค. 2559 - ก.ย. 2560 สายที่ขอคำปรึกษาเรื่องเอดส์อยู่ที่ร้อยละ 58.33 เรื่องท้องไม่พร้อมอยู่ที่ร้อยละ 41.67

ตัวเลขของผู้มาปรึกษาปัญหาเรื่องโรคเอดส์เมื่อปีที่แล้วค่อนข้างคงที่ อาจเป็นเพราะเพราะโรคเอดส์มีสถาบันที่รับหน้าที่ดูแลแล้ว แต่เรื่องท้องไม่พร้อมยังไม่มี ตัวเลขทั้งหมดเก็บมาจากผู้รับบริการที่โทรเข้ามาจากหลากหลายอายุ เคยมีสมมติฐานว่าท้องไม่พร้อมเป็นเรื่องของวัยรุ่น แต่ว่าพอทำงานจริงพบว่าเป็นเรื่องของคนทุกวัย คนอายุ 30 ขึ้นไปก็มีปัญหาท้องไม่พร้อมเหมือนกัน ทั้งนี้เด็กที่ร้องเรียนผ่านสายด่วนฯ มาจากทั่วประเทศและทุกจังหวัดแต่ว่ากรุงเทพฯ มีจำนวนมากที่สุด

สำหรับช่องทางการให้คำปรึกษาในเพจเฟซบุ๊กพบว่าเป็นช่องทางที่ผู้ขอคำปรึกษาเกือบทั้งหมดเป็นเยาวชนซึ่งหากดูจากสถิติเยาวชนที่ขอคำปรึกษาทางโทรศัพท์คิดเป็นเพียงร้อยละ 26 เยาวชนในที่นี้ก็ยังเป็นนักเรียนนักศึกษา ตนมีหน้าที่เข้าไปตอบคำถามในเฟซบุ๊กด้วยก็พบว่าเจอเรื่องเด็กท้องจำนวนมากบอกว่ามีปัญหาเรื่องการเรียน ทั้งๆ ที่ใน พ.ร.บ. ระบุว่าการท้องไม่เป็นอุปสรรคแต่ชีวิตจริงเป็น

 

มาตรา 5 วัยรุ่นมีสิทธิตัดสินใจด้วยตนเอง และมีสิทธิได้รับข้อมูลข่าวสารและความรู้

ได้รับการบริการอนามัยการเจริญพันธุ์ ได้รับการรักษาความลับและความเป็นส่วนตัว ได้รับการจัด

สวัสดิการสังคม อย่างเสมอภาคและไม่ถูกเลือกปฏิบัติ และได้รับสิทธิอื่นใดที่เป็นไปเพื่อประโยชน์

ตามพระราชบัญญัตินี้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน และเพียงพอ

พ.ร.บ. การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น

พ.ศ. 2559 หมวด 1 การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น

 

หนึ่งปีที่ผ่านมาพบว่าอัตราส่วนระหว่างคนที่รู้สถานะว่าตั้งท้องแล้วกับคนที่ยังไม่รู้สถานะว่าตั้งท้องอยู่ที่ร้อยละ 50 ต่อ 50 แต่ถ้านับจากปีที่แล้วจะพบว่าคนที่ตั้งครรภ์แล้วโทรหา 1663 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 75 นอกจากนั้น ตัวเลขยังแสดงให้เห็นว่าคนที่มีไม่ได้คุมกำเนิดอะไรเลยอยู่ที่ร้อยละ 57.23 จากทุกกลุ่มอายุ คนที่คุมกำเนิดผิดวิธีหรือเลือกวิธีที่มีประสิทธิภาพต่ำเช่นการใช้ยาคุมฉุกเฉิน การหลั่งนอก การนับหน้า 7 หลัง 7 อยู่ที่ร้อยละ 41.67 ซึึ่งเกิดจากการมีข้อมูลที่ไม่รอบด้าน หรือเกิดจากการเข้าไม่ถึงอุปกรณ์ที่มีคุณภาพ การใช้ยาคุมฉุกเฉินเป็นกรณีที่ฮิตมาก เคยมีร้านขายยาส่งข้อความเฟซบุ๊กมาถามหาแผ่นพับประชาสัมพันธ์จากทาง 1663 ไปไว้ที่ร้านขายยา เพราะมียอดขายยาคุมฉุกเฉินสูงมาก

สมวงศ์กล่าวว่า ตนนั่งอ่านในสลากของยาคุมฉุกเฉินแล้วก็ไม่พบว่ามีข้อมูลเพียงพอในการให้ความรู้กับเด็กว่าการใช้ยาคุมฉุกเฉินจะมีความเสี่ยงการตั้งครรภ์เท่าไหร่ แปลว่าถ้าครูไม่บอก หรือเภสัชกรไม่ชี้แจง เด็กจะไม่สามารถรับรู้ข้อมูลที่ครบถ้วนจากสลากยาเลยเมื่อใช้งานยาคุมฉุกเฉิน ยาคุมจึ้งฉุกเฉินเป็นทางออกทางวัฒนธรรมกับการห้ามเด็กมีเพศสัมพันธ์ เพราะว่าเขาไม่เสี่ยงกับการถูกพ่อแม่หรือครูตรวจกระเป๋าแล้วเจอถุงยางอนามัย

1663 สายด่วนปรึกษาเอดส์และท้องไม่พร้อมเปิดให้บริการตั้งแต่ พ.ศ. 2534 ต่อมาในปี 2555 ถูกตั้งให้เป้นสายด่วนเอดส์แห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุขตั้งให้เป็นสายด่วนปรึกษาเรื่องเอดส์ระดับชาติ ปี 2556 สสส. มานั่งคุยว่าควรตั้งสายเรื่องท้องไม่พร้อมไหม เมื่อเห็นว่าว่าเรื่องเอดส์และเรื่องท้องไม่พร้อมมีปัญหาร่วมกันคือเพศสัมพันธ์แบบไม่ได้ป้องกันจึงลงท้ายด้วยการตั้งสายด่วนขึ้นมา

สายด่วนปรึกษาเอดส์ ท้องไม่พร้อมเปิดบริการ 10 คู่สาย วันละ 12 ชั่วโมงตั้งแต่ 9.00-21.00 น. ของทุกวัน มีการให้บริการปรึกษาผ่านเฟซบุ๊กทางเพจ "1663 สายด่วนปรึกษาเอดส์และท้องไม่พร้อม" เพราะเด็กมีปัญหาเรื่องค่าโทรศัพท์ไม่สามารถคุยปรึกษาต่อเนื่องยาวนานได้ มีข้อจำกัดเรื่องโทรศัพท์เพราะที่บ้านอาจจับสังเกตได้ แต่การคุยทางเฟซบุ๊กสามารถทำได้แม้อยู่ในห้องนอน พบว่ามีคนใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีคนขอคำปรึกษาตอนนี้ 30 รายต่อวัน ให้บริการตั้งแต่ปี 2557 มีแอดมินดูแลให้ปรึกษาวันละสามรอบตั้งแต่ 10.30-12.30 น. 14.30-16.30 น. และ 20.00-22.00 น.

วอนแก้ทัศนคติเด็กห้ามมีเซ็กซ์ หยุดเอาเรื่องใต้สะดือซุกไว้ใต้พรม

สมวงศ์คิดว่าเป็นทัศนคติที่เราไปรับมาว่าวัยเรียนไม่ควรมีเพศสัมพันธ์ สมัยก่อนตอนที่ไม่มีระบบการศึกษาก็ออกเรือนกันเร็ว 14-15 ปีด้วยซ้ำ พอมีระบบการศึกษาเข้ามาเราก็นิยามใหม่ว่านี่คือวัยเรียน ไม่ควรมีนู่น ไม่ควรมีนี่ การมีเซ็กซ์จะเป็นอุปสรรคกับการเรียน ซึ่งผมคิดว่าไม่จริง ผมเคยเจอนักเรียนที่อยู่ด้วยกันเป็นคู่ๆ เขาก็ดูแลกันจนเรียนจบ มันหลายเรื่องผสมผสานกันทำให้เด็กคนหนึ่งเรียนไม่จบได้ คนมักจะเอาค่านิยมตัวเองไปโยงกับศาสนา จารีตหรืออะไรไม่รู้ที่ทำให้คนอีกคนหนึ่งขาดโอกาส

ถึงเวลายอมรับความจริงกัน อย่าเอาเรื่องนี้ลงใต้ดิน เรื่องนี้มันทำให้คนเจ็บและตายได้ อย่าไปชี้นิ้วด่ากันว่าไอ้นี่ใจแตก ทำครอบครัวแตกแยก ไม่มีประโยชน์ เราจะทำอย่างไรให้เด็กมีความสามารถในการจัดการวิถีชีวิตทางเพศของตัวเอง เด็กที่มีปัญหาแล้วอย่าซ้ำเติม มีช่องทางเปิดให้เขาได้ไหม

ปัญหาอยู่ที่ผู้ใหญ่ล้วนๆ เพราะเด็กเข้าไม่ถึงความรู้ คนที่กุมทรัพยากรของประเทศคือผู้ใหญ่ เด็กไม่มีโอกาสกำหนดอะไร คุณไปกำหนดว่าเด็กต้องได้เรียนอย่างนั้นอย่างนี้ อายุเท่านี้ห้ามทำเรื่องนี้ ราคาถุงยางราคาเท่านี้ การที่เด็กท้องคนหนึ่งหรือมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกันผู้ใหญ่ก็ต้องตั้งคำถามกับตัวเองก่อนว่าเราทำอะไรลงไป ผู้ใหญ่จะทำอย่างไรให้เด็กเข้าถึงทรัพยากรในด้านความรู้ อุปกรณ์ทั้งหลาย อย่างถุงยางอนามัย เด็กก็บอกว่ามันแพงเกินไป เราก็บอกว่ามีแจก แต่ทัศนคติของคุณก็ไม่เอื้อให้เด็กไปรับอีก อันนี้มันจะโยงกับเรื่องที่ให้ยอมรับความจริง ต้องจัดการกับผู้ใหญ่ว่าอย่าขวาง แต่ก่อนนี้เราทำงานเรื่องเพศศึกษาก็มีผู้ใหญ่จำนวนหนึ่งบอกว่าเรื่องนี้เป็นการชี้โพรงให้กระรอก เราก็บอกว่าเรากำลังชี้จริงๆ เพราะเราชี้โพรงให้กระรอกปลอดภัย ไม่ใช่มานั่งปิดตาไม่รู้ไม่เห็น

ประธานโครงการสายด่วน 1663 ให้คำตอบในประเด็นทัศนคติของคนทำงานในด้านสาธารณสุขต่อปัญหาท้องไม่พร้อมที่ได้รับมาจากการให้คำปรึกษาที่ผ่านมาว่า บางที่ก็ให้บริการและให้คำแนะนำดี ยิ่งเดี๋ยวนี้มีการฝังยาคุมกำเนิดฟรี ไม่ต้องมีพ่อแม่มาเซ็นรับรองด้วยซ้ำ แต่ก็มีเด็กจำนวนหนึ่งที่ถูกตำหนิกลับมาจากโรงพยาบาลใกล้บ้านหรือโรงพยาบาลที่ไม่ใช่เครือข่าย มีผู้รับบริการรายหนึ่งอายุ 19 ปี อยู่ในเกณฑ์ที่ยังรับบริการได้ฟรีส่งเฟซบุ๊กมาเล่าว่า พอไปโรงพยาบาลก็มีบุคลากรบอกว่าถ้ายังไม่ท้องจะไม่ฝังยาให้ คือจะต้องเป็นวัวหายแล้วค่อยล้อมคอกหรือไม่ มีกรณีที่เด็กมาปรึกษาเรื่องยุติการตั้งครรภ์ ก่อนที่เด็กจะมาหาเราก็ไปปรึกษาโรงพยาบาล แต่ทางโรงพยาบาลก็พยายามจะจับฝากท้องและไม่ฟังเรื่องการยุติการตั้งครรภ์

"หน่วยงานรัฐต้องฟังว่าชีวิตเขาเจออะไรมาอย่างตั้งใจ ผมเคยเจอกรณีที่เด็กท้องแล้วกลับมาท้องอีก ผู้ให้บริการคนหนึ่งก็บอกว่าทำไมมันไม่เข็ด คุณต้องฟังว่าชีวิตเขาเจออะไร เขาไม่ได้อยากท้องมาให้คุณยุติหรือมาให้คุณตำหนิ มันต้องไปแก้ปมเขา เหมือนครูที่เจอเด็กท้องซ้ำซากทุกปีแล้วไปประมาณการเขาว่าจะเรียนไม่จบ เราก็ต้องฟังเด็กด้วย" สมวงศ์กล่าว

สถิติระบุ ท้องแล้วบอกคู่รักมากสุด แม่รองลงมา บอกครูน้อยสุด ตั้งคำถามทัศนคติ แนวทางของสถานศึกษาซ้ำเติมผู้เรียน

ธิติพรแสดงสถิติคนที่เยาวชนขอคำปรึกษาเมื่อตั้งท้อง พบว่า แม่คือบุคคลที่สามที่สำคัญมากในชีวิตของเด็กที่ท้องไม่พร้อม จากการเก็บข้อมูลผู้รับบริการ อายุน้อยกว่า 15-20 ปี พบว่าบอกคู่รักเยอะที่สุด ลำดับต่อมาเป็นแม่ ส่วนครูเป็นตัวเลือกสุดท้าย จากการสอบถามเด็กที่มาขอคำปรึกษาในเฟซบุ๊กบอกว่าเพราะ "ครูรู้ โลกรู้" อาจไม่ใช่เพราะครูเป็นคนเก็บความลับไม่ได้ แต่ว่ากระบวนการช่วยเหลือในโรงเรียนต้องผ่านการประชุมครู ซึ่งก็คือโลกรู้จริงๆ กระทรวงศึกษาธิการ อาจจะต้องมีทางเลือกช่วยเหลือที่ไม่ทำให้เด็กบอบช้ำกว่าเดิม

สมวงศ์กล่าวว่า มีทัศนคติของผู้ใหญ่ที่มองว่า เด็กที่ท้องไม่พร้อมคือครอบครัวแตกแยก กลุ่มเสี่ยง ไม่มีคนดูแล แต่เด็กส่วนใหญ่ที่โทรหาเราคือเขาอยากมีอนาคตทางการศึกษา ผลการเรียนค่อนข้างดี ถ้าพ่อแม่ส่งสัญญาณดีๆ ว่ามีอะไรมาคุย พร้อมจะรับฟังและอยู่เคียงข้างเสมอก็จะทำให้เด็กคุยกับพ่อแม่มากขึ้นเพราะเด็กมีแนวโน้มที่ดีอยู่แล้ว ฉลาดกว่าที่ผู้ใหญ่บอกเยอะ สถานการณ์แบบนี้ต้องแก้ไข ผมคิดว่าเด็กที่ตั้งครรภ์หรือเด็กทั้งหลายอยู่ในวิกฤติ เขาก็พลาดจริงๆ ใครๆ ก็พลาดได้แต่เราก็ต้องช่วยกัน จากที่่คุยกับเด็กมาก็พบว่าทำใจได้ถ้าถูกพ่อแม่ด่าหรือตี แต่ทำใจไม่ได้ถ้าพ่อแม่เสียใจ เรื่องจะทำให้พ่อแม่จะทำให้เสียใจก็มีหลายเรื่อง เช่น จะเรียนอย่างไร เรียนจบไหม สารพัดที่จะเสียใจ

จากที่ทำสายด่วนมาตั้งแต่ปี 2559 พบว่ามี 4 รายที่มาร้องเรียนอย่างจริงจัง มีรายหนึ่งถูกไล่ออกจากโรงเรียนหลังตัดสินใจท้องต่อ อีกรายสังกัดอาชีวะศึกษา อยู่ ปวช. ปี 1 แม่บอกว่าต้องการให้น้องเรียนต่อแล้วไม่ต้องการยุติการตั้งครรภ์ แต่สิ่งที่บอกคือครูบอกว่าไม่มีนโยบายให้เรียนต่อเพราะเพิ่งเริ่มต้นเรียนปี 1 ถ้าเป็นปีท้ายๆ จะยังพออนุโลมได้

อีกสองรายศึกษาอยู่ในระดับมหาวิทยาลัย อยู่ในคณะที่จบไปจะต้องเป็นครู ช่วงตั้งท้องเป็นช่วงฝึกสอนของเขาและก็ตัดสินใจที่จะท้องต่อ ซึ่งต้องใส่ชุดคลุมท้องไปฝึกสอน อาจารย์ที่ปรึกษาบอกว่าให้ยุติการฝึกสอนแล้วไปฝึกสอนปีหน้า แล้วเขาก็เครียดมากเพราะเขากำลังจะไปเป็นแม่ เขาต้องออกไปประกอบวิชาชีพซึ่งมันเหลือแค่ตรงนี้ (ฝึกสอน) แล้วทำไมเขาต้องพลาดโอกาสนี้ เราจะสนับสนุนให้สถาบันครอบครัวมีความเข้มแข็ง แต่สถาบันการศึกษากลับทำลายอนาคตเขา แล้วก็บอกว่าเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี ในขณะที่ทั่วโลกบอกว่านี่คือโอกาสการเรียนรู้ของเด็กถ้าได้มีการพูดคุยกับครูในเรื่องดังกล่าว

ธิติพรกล่าวว่า พ่อแม่ก็ท้อเมื่อเจออุปสรรคจากโรงเรียน ก็มีโทรมาปรึกษา ลูกเขาจะไม่ได้เรียนต่อ โรงเรียนจะย้ายให้ไปเรียนที่อื่นหรือไม่ก็ไล่ออก ระบบการศึกษาต้องช่วยเด็กเหล่านี้ด้วย ทั้งยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่าการตั้งท้องก่อนวัยอันควรไม่ใช่ตัวชี้วัดทางวิชาการที่จะทำให้โรงเรียนถูกลดขั้น แต่ว่าเป็นทัศนคติของผู้บริหารโรงเรียนว่าเป็นเรื่องที่ไม่ดี แต่ประเด็นหลักคือการรายงานแต่ละปี

เสนอ 4 ข้อกระทรวงศึกษาฯ สอนเพศวิถีศึกษาใช้ได้จริง ต่อเนื่อง ปรับปรุงทัศนคติ กระบวนการช่วยเด็กท้อง อยากเรียนต้องได้เรียน

สมวงศ์กล่าวว่า มีกรณีที่บางคนพร้อมมีลูกแล้ว แต่ปัจจัยภายนอกกลับทำให้ไม่พร้อม เช่น พ่อแม่ลูก ครอบครัวพร้อมเลี้ยงหลาน แต่โรงเรียนกลับทำให้เขาไม่พร้อมไปอีก ทางมูลนิธิฯ จึงอยากจะเสนอเครือข่ายเยาวชนและผู้ปกครองจำนวนหนึ่งถึงการยื่นข้อเสนอกับกระทรวงศึกษาธิการ

หนึ่ง เราพบสาเหตุการตั้งครรภ์ ไม่ใช่เพราะเด็กอยากท้อง แต่การให้การศึกษาเรื่องเพศวิถีมันไม่เคยถูกสร้าง มีแต่ห้าม แล้วใครจะสร้างการเรียนรู้เพราะชีวิตคนมันแตกต่างกันแล้วเรายอมรับว่าเด็กอยู่วัยเจริญพันธุ์ แล้วคุณเอาเด็กที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์มารวมกันแล้วบอกว่าห้ามมีเซ็กซ์ สังคมมันเป็นไปไม่ได้ แต่จะต้องทำอย่างไรให้การเรียนการสอนทำให้เขาจัดการชีวิตตัวเองได้ ไม่ได้แปลว่าจับเด็กหนึ่งพันคนมานั่งรับการอบรมทีเดียว ชูถุงยางอนามัยให้ดูแล้วแปลว่าเด็กจะมีเกิดความสามารถ ต้องจัดการเรียนรู้เหมือนวิชาทั่วๆ ไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เด็กพัฒนาทักษะ ทัศนคติที่สำคัญขึ้นๆ ไป

ใน พ.ร.บ. กำหนดว่าโรงเรียนต้องจัดการเรียนการสอนเรื่องเพศวิถีศึกษา แต่ว่าไม่ได้บอกรายละเอียด หมายความว่าครูสอนอย่างไรก็ได้ สัปดาห์หนึ่งสอนวิธีการใช้ถุงยางอนามัยก็ถือว่าได้แล้ว ดังนั้น เราจะขอเรียกร้องว่าสถานศึกษาต้องจัดการเรียนการสอนเรื่องเพศวิถีศึกษาอย่างจริงจังและต่อเนื่อง แม้ว่าการสอนเพศวิถีจะไม่เป็นตัวชี้วัดสำคัญเท่าการอ่านออกเขียนได้ ทักษะคณิตศาสตร์ ไม่มีการสอบวัดผลในโอเน็ต แต่เรื่องนี้มันมีผลกับชีวิตของเด็กจริงๆ ว่าเขาจะอยู่รอดหรือก้าวข้ามจังหวะนี้ในชีวิตได้หรือไม่ เพศวิถีศึกษาจึงไม่ใช่การให้ข้อมูลแบบแบนๆ เช่น ถุงยางอนามัยคืออะไร กายวิภาคร่างกาย รังไข่ซ้ายขวา ที่พอถึงเวลาเด็กเอาไปใช้ไม่ได้เวลามีเพศสัมพันธ์ โจทย์ก็คือต้องสอนเพศวิถีศึกษาอย่างครอบคลุมทั้งด้านทัศนคติ วิถีชีวิตและทักษะที่สำคัญของเด็กหญิงและชาย โรงเรียนต้องจัดหาครูที่มีทัศนคติเปิดกว้าง มีความรู้ และพร้อมจะนั่งคุยกับเด็กและสามารถเป็นข้อมูลให้เด็กเอาไปใช้ได้จริง

สำหรับเด็กที่ตั้งครรภ์แล้ว ขอเรียกร้องไปยังกระทรวงศึกษาธิการว่า หนึ่ง ต้องห้ามให้เด็กออก เพราะใน พ.ร.บ. ระบุว่าสิทธิการออกเป็นของเด็ก ถ้าเขาไม่ประสงค์จะออกหรือจะย้าย เขาก็มีสิทธิที่จะเรียนอยู่ที่เดิม ถ้าเด็กไม่อยากย้ายเด็กต้องมีสิทธิที่จะเรียนต่อที่เดิม โรงเรียนก็มีวิธีการด้วยการไม่ไล่ออก แต่ให้ย้ายไปเรียนที่อื่น เด็กคนหนึ่งถูกย้ายจากโรงเรียนประจำจังหวัดไปเรียนที่ โรงเรียนมัธยมประจำตำบล ผู้บริหารชอบอ้างว่าเด็กจะได้ไม่ถูกกดดัน เครียดจากบรรยากาศเดิมๆ ครูชอบบอกว่าเด็กแพ้ภัยตนเอง แต่คนที่เราคุยด้วยก็พบว่าเด็กอยากเรียนที่เดิม เพื่อนก็ไม่เคยมีปัญหา เพื่อนรักกัน มีอะไรก็ช่วยกัน แต่เป็นผู้ใหญ่ที่กดดัน

สอง เด็กควรได้เรียนต่อ ไม่ใช่ไปพักการเรียนเขา ไม่ใช่บอกว่าดรอปเรียนไปก่อน นั่นหมายความว่าเด็กจะเรียนไม่ทันเพื่อน มันจะทำให้เด็กล้า คุณลองหยุดเรียนไปหนึ่งปีแล้วกลับไปเรียนใหม่จะรู้ว่ามันไม่ฟื้นแล้ว เพื่อนที่เคยเรียนด้วยกันก็ไปหมดแล้ว โรงเรียนต้องจัดการเรียนการสอนที่สอดคล้องกับเด็ก เช่น ถ้าอยากเรียนจบแล้วค่อยคลอด หรือจะเรียนต่อที่บ้านเพื่อเตรียมคลอดก็ต้องวางแผนการเรียนการสอน มีกรณีเด็กมัธยมต้นรายหนึ่งที่ตั้งครรภ์ 2 เดือนทั้งที่ยังไม่มีอาการอะไรทั้งสิ้นแต่ครูก็ให้อยู่บ้านแล้วจะเอางานไปให้ทำ เด็กก็นั่งเคว้งอยู่ที่บ้านเพราะเขาไม่รู้ว่าต้องทำอะไรกับชีวิต แล้วลองคิดว่ากว่าจะคลอดก็คงมีแนวโน้มที่จะหลุดจากระบบการศึกษาถ้าคุณไม่สร้างแรงจูงใจให้เรียนต่อ

สาม ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนควรเป็นมิตรและเก็บความลับได้ ไม่ใช่พอครูคนหนึ่งรู้ว่าเด็กคนหนึ่งตั้งครรภ์ สิ่งที่มักทำคือถ้าไม่บอกครูประจำชั้นหรือไม่ก็รายงานไปตามลำดับชั้น แล้วก็มีเรียกประชุม กรณีตัวอย่างที่เราพบคือมีการเรียกประชุมกันตั้งแต่ระดับชั้นขึ้นไปเรื่อยๆ คิดว่าจะเป็นความลับเหรอ เด็กหลายคนที่โทร. มาหาก็ตัดสินใจยุติการตั้งครรภ์เพราะครูส่งสัญญาณมาตลอดด้วยการยกตัวอย่างเด็กที่ท้องไม่พร้อมคนอื่นๆ หมายความว่าไม่มีความลับอะไรเลย เด็กรู้กันทั้งโรงเรียนเลย เด็กเลยกลัวและบอกว่าไม่สามารถปรึกษากับครูได้เพราะว่าระบบช่วยเหลือต่างๆ ไม่เป็นมิตรกับการช่วยเหลือเด็กเลย

สุดท้าย หลายโรงเรียนที่ลงพื้นที่พบว่ามีทั้งครูที่มีทัศนคติอยากช่วยเหลือเด็กและกระแสที่คิดว่าเด็กผิด เป็นตัวอย่างไม่ดี เสียชื่อเสียงสถานศึกษา หรือเด็กไม่ควรเรียนแล้ว และพบว่ากระแสที่เสียงดังกว่ามักเป็นอย่างหลัง กระทรวงต้องมีการปรับท่าทีแบบนี้กัน ผู้บริหารของสถานศึกษาต้องมีหน้าที่ปรับทัศนคติครู จูนกันใหม่ว่าบทบาทโรงเรียนไม่มีสิทธิ์เลือกเด็ก เด็กคนไหนสร้างชื่อเสียงก็ประกาศขึ้นไวนิล แต่เด็กที่พลาด มีแนวโน้มที่จะทำให้โรงเรียนอับอายยิ่งต้องช่วยให้มากที่สุด ไม่ใช่เขี่ยเขาทิ้งแล้วเอาใจแต่เด็กที่ดี โรงเรียนอย่าซ้ำเติมเด็กที่มีวิกฤติ

ระบบช่วยเหลือดูแลเด็กควรเริ่มตั้งแต่สิ่งที่มองเห็นด้วยตาเปล่า เช่นฐานะครอบครัวของเด็ก แต่อีกเรื่องหนึ่ง ครูไม่มีทางเห็นชีวิตเด็ก ถ้าเด็กไม่รู้ว่าบอกคุณเช่นการตั้งครรภ์ แล้วคุณเป็นคนที่เด็กไว้ใจได้หรือยัง ระบบต้องสร้างครูที่น่าไว้ใจและส่งสัญญาณที่ดีพอว่าเด็กจะได้รับความช่วยเหลือเมื่อเข้าไปขอคำปรึกษา อยากให้กระทรวงศึกษาธิการแสดงจุดยืนให้สถานศึกษาตระหนักถึงท่าทีที่ชัดเจนด้วย

ธิติพรกล่าวว่า เด็กกลุ่มหนึ่งไม่สามารถประเมินการตั้งครรภ์ของตัวเองได้ เช่น เด็กมัธยมต้น เช่น ไม่รู้ว่าไปทำโครงงานด้วยกันจะนำไปสู่สถานการณ์การมีเพศสัมพันธ์ อันนี้ก็ไม่ทราบว่าเป็นปัญหาที่โรงเรียนหรือครอบครัวต้องให้ความรู้อย่างไร

อีกสึ่งหนึ่งที่สำคัญมากคือครูต้องหยุดละเมิดเด็ก เช่นจับตรวจปัสสาวะเมื่อคาดว่าเด็กตั้งท้อง ตนคิดว่าเป็นการละเมิดสิทธิ์ของเด็กมากไม่ว่าจะมาจากความตั้งใจดี ไม่ว่าจะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม เป็นเรื่องที่กระทรวงศึกษาธิการเองต้องออกแนวปฏิบัติไม่ให้ครูละเมิดสิทธิ์ในเรื่องเหล่านี้ได้ ซึ่งถ้าดูจากสถิติการรับรู้เรื่องเด็กตั้งท้องก็เห็นอยู่ว่าครูเป็นคนที่รับรู้เรื่องเด็กท้องน้อยที่สุด ก็ไม่รู้ว่ารับรู้จากเด็กตั้งใจบอกหรือจับเด็กตรวจปัสสาวะ โดยจากนี้มีแผนว่าจะไปยื่นข้อเรียกร้องให้กระทรวงศึกษาธิการ ให้ออกแนวปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม ไม่ใช่คำพูดกว้างๆ แล้วก็ครูสามารถเอาไปตีความเองได้ เราเคยเจอครูที่ไล่เด็กออกเพราะครูบอกว่า พ.ร.บ. ฉบับนี้ขัดกับกฎโรงเรียน แปลว่าครูก็ยังขาดความรู้เรื่องกฎหมายด้วย เราคิดว่ากระทรวงฯ อาจจะต้องมีแนวปฏิบัติิที่เป็นรูปธรรมให้กับโรงเรียนเลยว่าถ้าพบเด็กที่ท้องไม่พร้อมแล้วโรงเรียนจะต้องทำอย่างไร

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สนช. รับร่าง พ.ร.ป. ป.ป.ช. 'มีชัย' หวังสอบทุจริตเร็ว มีประสิทธิภาพ ไร้ข้อครหา

Posted: 02 Nov 2017 06:32 AM PDT

สนช. มีมติเอกฉันท์รับหลักการร่าง พ.ร.ป. ป.ป.ช. ประธานกรธ. ชี้เน้นการตรวจสอบทุจริตรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ ไร้ข้อครหา กำหนดกรอบการทำงาน ป้องกันเจ้าหน้าที่ใช้ดุลยพินิจโดยลำพัง กำหนดให้การทำงานเป็นชุด

 

2 พ.ย. 2560  การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) วันนี้ (2 พ.ย.60) มี พรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เป็นประธานประชุม  ที่ประชุมได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ(พ.ร.ป.) ว่าด้วยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่เสนอโดยคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.)

ที่ประชุมมีมติเอกฉันท์รับหลักการร่างพ.ร.ป.ป.ป.ช.ด้วยคะแนน 200 เสียง งดออกเสียง 4 เสียง ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญจำนวน 35 คน ขึ้นมาพิจารณาแปรญญัตติภายใน 7 วัน และมีกรอบเวลาการทำงาน 58 วัน

แฟ้มภาพ

ก่อนหน้าลงมติ มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรธ. ชี้แจงความจำเป็นต้องจัดทำร่างพ.ร.ป.ป.ป.ช.ว่า เนื่องจากรัฐธรรมนูญใหม่กำหนดเรื่องคุณสมบัติ และกำหนดให้การตรวจสอบการทุจริตเป็นไปด้วยความรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ ไร้ข้อครหา จึงต้องบัญญัติกฎหมายประกอบให้สอดคล้อง โดยมุ่งเน้นให้การทำงานของป.ป.ช.เกิดประสิทธิภาพ รวดเร็ว เที่ยงธรรม ไว้ใจได้ จึงปรับเปลี่ยนแนวทางการทำงานจากเดิมใช้ระบบตั้งอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง ซึ่งไม่สามารถทำงานทุกวันได้ ต้องรอประชุมเป็นคณะ และทราบว่ามีการอบรมเจ้าหน้าที่เรื่องการไต่สวนให้มีความเชี่ยวชาญ จึงเห็นว่าสามารถใช้เจ้าหน้าที่ทำการไต่สวนได้เลย เพื่อความรวดเร็วในการทำงาน 

"เพื่อป้องกันเจ้าหน้าที่ใช้ดุลยพินิจโดยลำพัง จึงกำหนดให้การทำงานเป็นชุด โดยมีหัวหน้าพนักงานสอบสวนเพื่อให้เกิดความรอบคอบ ขณะเดียวกันให้พนักงานไต่สวนไปประจำตามภาคต่าง ๆ 12 ภาค พร้อมทั้งเห็นว่าควรกำหนดเวลาการทำงาน 2 ปี แต่หากเกินเวลายังสามารถทำงานต่อได้ แต่ป.ป.ช.จะต้องไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น และบอกประชาชนว่าเกิดติดขัดอะไร จึงล่าช้า ทั้งนี้ กรธ.ไม่ขัดข้อง หากเห็นว่าระยะเวลา 2 ปีเร็วเกินไป และพร้อมจะปรับเปลี่ยน" ประธานกรธ. กล่าว

มีชัย กล่าวว่า สิ่งหนึ่งที่คำนึงถึงคือการตรวจสอบ ถ่วงดุล ซึ่งข้าราชการจะถูกตรวจสอบโดยสองหน่วยเสมอคือสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) และป.ป.ช.  เมื่อมาถึงป.ป.ช.จึงมีคำถามว่าใครจะตรวจสอบป.ป.ช. แม้ว่าตามรัฐธรรมนูญจะกำหนดให้สมาชิกรัฐสภาเข้าชื่อกันตรวจสอบกรรมการป.ป.ช.ได้ แต่หากเจ้าหน้าที่ป.ป.ช.ทำผิด ก็ควรให้หน่วยงานอื่นคือสตง.เป็นผู้ตรวจสอบ หากพบมีความผิด ต้องส่งเรื่องใหกรรมการป.ป.ช.เป็นผู้ชี้ เพื่อมั่นใจว่าคนของตัวเองไม่ถูกกลั่นแกล้ง 

"ในการทำงาน ต้องขอป.ป.ช.อย่าเปิดเผยชื่อผู้ร้องและพยาน เพื่อให้คนที่รู้หรือเห็นอะไร บอกกับป.ป.ช.ได้ ขณะเดียวกันเมื่อมีการร้องมา ก็อย่าเพิ่งเปิดเผยชื่อและเรื่องผู้ถูกร้อง ขอให้สอบไประยะหนึ่งและมีมูลก่อน" ประธานกรธ. กล่าว

ขณะที่ กล้าณรงค์ จันทิก ประธานคณะกรรมการศึกษาร่างพ..ร.ป.ป.ป.ช.สนช.ได้จัดทำรายงานเสนอให้สมาชิก ตั้งข้อสังเกตเรื่องการไต่สวนสาธารณะที่กรธ.ตัดออกจากร่างของป.ป.ช. จึงเห็นว่าควรวางเรื่องการไต่สวนสาธารณะเป็นมาตรการป้องกัน และยังมีประเด็นเรื่องการยึดทรัพย์ ประเด็นเรื่องกรอบระยะเวลาการทำงานของป.ป.ช.จะกระทบกับรูปคดีหรือไม่ รวมทั้งมีข้อสังเกตของผู้ช่วยพนักงานไต่สวน การแสดงบัญชีทรัพย์สินหนี้สิน เพื่อให้สมาชิกสนช.ได้พิจารณาประกอบการตัดสินใจ

ที่มา สำนักข่าวไทย

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สนช.ไฟเขียวรับหลักการ ร่าง ก.ม.เพิ่มเงินวิทยฐานะทหารปฏิบัติงานด้านการสอน

Posted: 02 Nov 2017 06:19 AM PDT

สนช. รับหลักการ ร่าง พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการทหาร เพื่อให้ข้าราชการทหารผู้ปฏิบัติงานด้านการสอนมีสิทธิได้รับเงินวิทยฐานะ พล.อ.อุดมเดช ระบุเพื่อสร้างขวัญกำลังใจและเป็นไปโดยสอดคล้องกับภาระหน้าที่  

แฟ้มภาพ

2 พ.ย. 2560 เว็บไซต์วิทยุและโทรทัศน์รัฐสภารายงานว่า การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่มี พรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. เป็นประธานการประชุม มีมติรับหลักการร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ระเบียบข้าราชการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ไว้พิจารณา ด้วยคะแนนเห็นด้วย 203 เสียง ไม่เห็นด้วยไม่มี งดออกเสียง 4 เสียง ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาจำนวน 22 คน มาจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) 4 คน สนช. 17 คน กำหนดระยะเวลาแปรญัตติ 7 วัน ระยะเวลาดำเนินงาน 30 วัน

พล.อ.อุดมเดช สีตะบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า การแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการทหาร พ.ศ. 2521 เพื่อแก้ไขเพิ่มเติมบัญชีอัตราเงินประจำตำแหน่งข้าราชการทหารประเภทวิชาการในสถาบันการศึกษาสังกัดกระทรวงกลาโหม โดยไม่นำชั้นยศทางทหารมาเป็นหลักเกณฑ์ในการพิจารณาการดำรงตำแหน่งทางวิชาการ เพื่อส่งเสริมและสร้างแรงจูงใจในการสร้างผลงานทางวิชาการของข้าราชการทหารผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว และเพิ่มบัญชีอัตราเงินประจำตำแหน่งข้าราชการทหาร ประเภทวิทยฐานะ เพื่อให้ข้าราชการทหารผู้ปฏิบัติงานด้านการสอนมีสิทธิได้รับเงินวิทยฐานะ ซึ่งจะเป็นการสร้างขวัญกำลังใจและเป็นไปโดยสอดคล้องกับภาระหน้าที่   

ขณะสมาชิก สนช. เห็นด้วยอย่างยิ่งกับหลักการและเหตุผลของร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ เนื่องจากมองว่าเป็นการลดความเหลื่อมล้ำในเรื่องความก้าวหน้าทางวิชาการของข้าราชการทหารที่ทำหน้าที่สอน ให้ได้รับความเท่าเทียมกับข้าราชการพลเรือน แต่ขณะเดียวกันได้ฝากข้อกังวลและข้อสังเกตในหลายประเด็น อาทิ การได้มาซึ่งใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูของข้าราชการทหารที่ทำหน้าที่สอน การสร้างแรงจูงใจเพื่อให้มีการผลิตผลงานวิชาการเพิ่มมากขึ้น เมื่อได้รับตำแหน่งทางวิชาการที่สูงขึ้นแล้วจะสามารถโอนกลับมาสู่ตำแหน่งเดิมที่ไม่ใช่สายวิชาการได้หรือไม่ รวมถึงข้อกังวลที่ว่าด้วยวิทยฐานะสำหรับข้าราชการทหารที่ทำหน้าที่สอน ที่ต่ำกว่าระดับอุดมศึกษานั้น ควรเพิ่มเติมถ้อยคำให้เทียบเคียงสอดคล้องกับบุคลากรทางการศึกษาที่กำหนดไว้ เพื่อให้เจ้าหน้าที่รัฐทำหน้าที่ในการสอนทุกกระทรวงมีมาตรฐานเท่าเทียมกัน

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กลุ่มอนุรักษ์ตำปาฝา อ.จังหาร จ.ร้อยเอ็ด ยื่นหนังสือผู้ว่าฯ ค้านโรงไฟฟ้าขยะขนาด 9.9 เมกะวัตต์

Posted: 02 Nov 2017 04:26 AM PDT

กลุ่มอนุรักษ์ตำบลปาฝา กว่า 200 คน ยื่นหนังสื่อให้ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด ค้านโรงไฟฟ้าพลังงานขยะขนาด 9.9 เมกะวัตต์ ขอให้จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นใหม่ เนื่องจากประชาชนในพื้นที่ตั้งโครงการไม่ได้มีโอกาวเข้าร่วมแสงความเห็นตั้งแต่ต้น

เมื่อวันที่ 31 ต.ค. 2560 กลุ่มอนุรักษ์ตำบลปาฝา กว่า 250 คน ได้เข้าร่วมเวทีรับฟังความคิดการก่อสร้างโรงไฟฟ้าขยะนาด 9.9 เมกะวัตต์ ณ หอประชุมที่ว่าการอำเภอจังหาร ซึ่งมีทั้งกลุ่มสนับสนุน และกลุ่มคัดค้านเข้าร่วมเวที โดยเวลาประมาณ 09.00 น. ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ดกล่าวเปิดงาน หลังจากกล่าวเปิดงานทางผู้ศึกษาได้นำเสนอข้อมูลของการจัดทำโรงไฟฟ้าขยะ ซึ่งเมื่อผู้ศึกษานำเสนอเสร็จได้มี สวาสดิ์ ราชภักดี สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตําบลปาฝาได้แสดงความคิดเห็น ไม่เห็นด้วยจะมีการสร้างโรงไฟฟ้าขยะในพื้นที่ตำบลปาฝา เนื่องจากทางกลุ่มอนุรักษ์ตำบลปาฝามีข้อกังวลต่อการดำเนินโครงการศูนย์กำจัดขยะมูลฝอยและผลิตไฟฟ้าจากขยะมูลฝอย จังหวัดร้อยเอ็ด ขนาด 600 ตัน/วันจาก 12 อำเภอ ซึ่งมีพื้นที่ดำเนินโครงการตั้งอยู่ที่ตำบลปาฝา อำเภอจังหาร จังหวัดร้อยเอ็ด ด้วยเหตุผลดังนี้

1.ปัญหากลิ่นเหม็น ฝุ่นละออง จากการนำขยะ 600 ตัน/วัน จาก 12 อำเภอ มาเผาในศูนย์กำจัดขยะมูลฝอยและผลิตไฟฟ้าจากขยะมูลฝอย ในพื้นที่บริเวณเขตตำบลปาฝา ซึ่งทางกลุ่มมีข้อกังวลว่าจากกระบวนการนำขยะมาเผา จะส่งกลิ่นเหม็น และฝุ่นละออง ต่อชุมชนที่อยู่บริเวณใกล้เคียง ซึ่งจะก่อให้เกิดผลกระทบ ทางด้านมลภาวะที่เป็นพิษ มลภาวะเสียง อากาศ ฝุ่นละออง และกลิ่นเหม็น

2.ทำเลที่ตั้งของโครงการก่อสร้างศูนย์กำจัดขยะมูลฝอยและผลิตไฟฟ้าจากขยะมูลฝอย จังหวัดร้อยเอ็ด ที่มีกำลังการผลิตขนาด 600 ตัน/วัน นั้นตั้งอยู่ไม่ห่างชุมชน โรงเรียน วัด และโรงพยาบาล อีกทั้งยังตั้งอยู่ใกล้ลำห้วยเลิงอีเฒ่า ซึ่งการที่โรงงานกำจัดขยะมูลฝอยตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถานที่สำคัญย่อมอาจจะส่งผลกระทบต่อผู้คนที่ใช้ชีวิตประจำวัน ประกอบกับอาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศของลำห้วยที่มีการเชื่อมต่อกับลำห้วยอื่นๆ เมื่อมีน้ำเสียไหลลงแหล่งน้ำ ซึ่งอาจจะมีผลกระทบต่อสุขภาพของคนในชุมชนโดยรอบโครงการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

3.ปัญหาการไม่มีกระบวนการประชาคมในชุมชน ทั้งนี้สถานที่ก่อสร้างศูนย์กำจัดขยะมูลฝอยและผลิตไฟฟ้าจากขยะมูลฝอย จังหวัดร้อยเอ็ด ที่มีกำลังการผลิตขนาด 600 ตัน/วัน ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ ตำบลปาฝา ซึ่งเป็นตำบลที่จะได้รับผลกระจากการดำเนินโครงการ และยังมีอีกตำบลคือตำบลจังหาร ที่จะได้รับผลกระทบจากการดำเนินโครงการ แต่ทางบริษัทไม่เคยที่จะมาทำการประชาคมเพื่อฟังเสียงชาวบ้านในพื้นที่

4.ชาวบ้านในพื้นที่ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียไม่ได้มีส่วนร่วมในการให้ข้อมูลที่เป็นจริงกับกลุ่มคนที่ลงมาเก็บข้อมูลในระดับพื้นที่ ดังนั้นย่อมแสดงให้เห็นว่าข้อมูลตามเอกสารชาวบ้านไม่ได้มีส่วนร่วมการให้ข้อมูลตั้งแต่เริ่มต้นโครงการ เพราะการจัดทำการศึกษาจะต้องให้ครอบคลุ่มพื้นที่ของกลุ่มคนที่มีส่วนได้เสียอย่างจริงๆ

5.ปัญหาน้ำเสีย เนื่องจากว่ากระบวนการของโรงงานที่ผ่านมาหลายโรงงานยังไม่สามารถจัดการน้ำเสียของโรงงาน จึงทำให้ทางกลุ่มยังไม่เชื่อว่ากระบวนการจัดการน้ำเสียจะมีประสิทธิภาพ และอาจไหลลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติอาจก่อให้เกิดผละกระทบต่อระบบนิเวศของแหล่งน้ำทั้งบนดิน และใต้ดิน ที่ชาวบ้านใช้ประโยชน์

6.การไม่รับรู้ข้อมูลข่าวสาร กระบวนการดำเนินก่อสร้างศูนย์กำจัดขยะมูลฝอยและผลิตไฟฟ้าจากขยะมูลฝอย จังหวัดร้อยเอ็ด ที่มีกำลังการผลิตขนาด 600 ตัน/วัน ทางเทศบาลและบริษัท ควรชี้แจงให้ประชาชนในระดับพื้นที่ผู้มีส่วนได้เสียได้รับรู้ข้อมูลเบื้องต้นก่อนเพื่อให้ชาวบ้านในพื้นที่ได้มีข้อมูลนำไปประกอบการตัดสินใจ ไม่ใช่มีกระบวนการเซ็นสัญญาข้อตกลง แล้วค่อยจัดเวทีรับฟังความคิดเห็น นั้นย่อมหมายถึงการมัดมือชาวบ้านชก จึงทำให้ชาวบ้านในพื้นที่ไม่ได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นจริง

ด้าน สัญญา ฉันวิจิตร ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 5 ตัวแทนกลุ่มอนุรักษ์ตำบลปาฝา กล่าวว่า วันนี้หลังจากที่ตัวแทน และชาวบ้านได้เข้าร่วมเวทีรับฟังความคิดเห็น ผู้ศึกษาพูดถึงแต่ข้อดีไม่เห็นพูดถึงข้อเสียของโรงงานขยะ ซึ่งหลังจากที่แกนนำซักถามในเวทีครบทุกคนแล้วพวกเราไม่หวังที่อยากจะฟังข้อชี้แจงจากทางผู้ศึกษา เพราะอย่างไรชาวบ้านก็จะไม่ยอมรับโรงงานขยะอยู่ดี

จากนั้น ชาวบ้านกว่า 200 คนได้ เดินออกจากเวที ไปยื่นหนังสือกับผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด เพื่อให้รับทราบว่ากลุ่มอนุรักษ์ตำบลปาฝาไม่ต้องให้มีโรงงานขยะเกิดขึ้นในพื้นที่ของตำบลปาฝา โดยมีรองผู้ว่าชการจังหวัดร้อยเอ็ดมารับหนังสือ ซึ่งมีข้อเสนอดังนี้คือ

1.เมื่อนายกเทศบาล ตำบลจังหารเซ็น MOU แล้วก็ควรที่จะให้โรงงานไปตั้งในทำเลที่เหมาะสมในพื้นที่ตำบลจังหาร ส่วนตำบลปาฝาไม่เห็นด้วยที่จะมาตั้งในเขตพื้นที่เนื่องจากมีข้อกังวลจากปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นต่อทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม และสุขภาพของคนในพื้นที่

2.ให้มีการจัดประชุมประชาคมทั้งตำบลปาฝา เพื่อให้ชาวบ้านผู้มีส่วนได้เสียในพื้นที่ได้แสดงความคิดเห็นต่อกรณีโครงการก่อสร้างศูนย์กำจัดขยะมูลฝอยและผลิตไฟฟ้าจากขยะมูลฝอย จังหวัดร้อยเอ็ด ที่มีกำลังการผลิตขนาด 600 ตัน/วัน ที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่

3.ให้จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นใหม่ เนื่องจากประชาชนในพื้นที่ตำบลปาฝาซึ่งเป็นพื้นที่ตั้งโครงการ เนื่องจากการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นในครั้งนี้มีการกำหนดผู้เข้าร่วม ซึ่งที่จริงควรจะเปิดโอกาสให้ประชาชนผู้มีส่วนได้เสียได้เข้าร่วมเวทีรับฟังความคิดเห็นด้วย

ข้อมูลเพิ่มเติม

จังหวัดร้อยเอ็ดได้ดำเนินการแผนบริหารจัดการขยะมูลฝอยอย่างเป็นระบบและบรูณาการโดยการเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการบริหารจัดการขยะและผลิตพลังงานทดแทนซึ่งเป็นผลที่ได้การกระบวนการกำจัดขยะร่วมกับท้องถิ่น ด้วยวิธีการคัดเลือกโดยคณะกรรมการจัดการบริหารขยะมูลฝอยจังหวัดร้อยเอ็ด ได้คัดเลือกเอกชนรายที่มีความเหมาะสม คือ บริษัท สยาม พาวเวอร์ ร้อยเอ็ด จำกัด เข้ามาร่วมดำเนินการซึ่งกำหนดให้มีศูนย์กำจัดขยะมูลฝอยและผลิตไฟฟ้าจากขยะมูลฝอย จังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งมีศักยภาพการกำจัดขยะ จังหวัดร้อยเอ็ดในโซนเหนือได้สูงสุด 600 ตัน/วัน มีพื้นที่โครงการตั้งอยู่ที่ตำบลปาฝา อำเภอจังหาร จังหวัดร้อยเอ็ด นั้น และเทศบาลตำบลจังหาร ในฐานนะเจ้าของโครงการได้ดำเนินการลงนาม MOU ร่วมกับบริษัท สยาม พาวเวอร์ ร้อยเอ็ด เพื่อศึกษาความเหมาะสมโครงการศูนย์กำจัดขยะมูลฝอยและผลิตไฟฟ้าจากขยะมูลฝอย จังหวัดร้อยเอ็ด แล้วเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รองนายกฯ ยังเงียบ เมินเสียงประชาชนขอเข้าชี้แจงร่าง ก.ม.หลักประกันสุขภาพ

Posted: 02 Nov 2017 04:08 AM PDT

ผู้ประสานงานกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพเผยไม่มีเสียงตอบรับจากรองนายกฯ กรณีขอโอกาสเข้าไปชี้แจงมุมมองภาคประชาชนที่มีต่อร่างกฎหมายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติฉบับแก้ไข ย้ำประเด็นหลักห่วงเรื่องจัดซื้อยา สัดส่วนบอร์ด สปสช.และการแยกเงินเดือนจากเงินเหมาจ่ายรายหัว 

2 พ.ย. 2560 รายงานข่าวแจ้งว่า สุรีรัตน์ ตรีมรรคา ผู้ประสานงานกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ เปิดเผยว่า หลังจากที่ตัวแทนกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพเข้ายื่นจดหมายถึง พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 16 ต.ค. 2560 ที่ผ่านมา ให้เปิดโอกาสภาคประชาชนเข้าชี้แจงข้อมูล ร่าง พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (ฉบับแก้ไข) พ.ศ. ... เพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างรอบด้านก่อนที่จะออกกฎหมายที่มีผลกระทบต่อประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ อย่างไรก็ดี จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการตอบสนองใดๆ เกิดขึ้น

"ไม่มีเลย เงียบ ไปยื่นตามศูนย์ดำรงธรรมก็ยิ่งช้าไม่ได้เรื่อง ไม่มีอะไรตอบรับ เรากระจายกันไปยื่นทั้งในจังหวัดและไปยื่นที่สำนักนายกรัฐมนตรี แต่เขาก็รับเรื่องไปอย่างนั้นแหละ ไม่มีโอกาสได้คุยกับรองนายกฯ กระบวนการออกกฎหมายก็เดินไปเรื่อยๆ ก็ไม่รู้ว่าจะออกมาหน้าตาเป็นแบบไหน" สุรีรัตน์ กล่าว

สุรีรัตน์ กล่าวอีกว่าสำหรับข้อห่วงใยของภาคประชาชนที่มีต่อร่างกฎหมายฉบับนี้มีประเด็นหลักๆ อยู่ 3 ประเด็นคือ 1.การจัดซื้อยา แนวทางขณะนี้จะให้โรงพยาบาลเป็นฝ่ายจัดซื้อ แต่ด้วยปริมาณการจัดซื้อขนาดใหญ่ จำนวนเงินเยอะ โรงพยาบาลไหนก็ไม่มีอำนาจจัดซื้อยาในจำนวนเงินที่สูงเป็นร้อยเป็นพันล้าน ต้องคอยออกคำสั่งพิเศษให้โรงพยาบาลโน้นทำได้ โรงพยาบาลนี้ทำได้ ถือเป็นเรื่องยุ่งยากไปหมด ดังนั้นต้องเปิดโอกาสให้กฎหมายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติสามารถจัดซื้อยาได้ ซึ่งก็มีการเขียนประเด็นนี้ไปแล้วในกฎหมายใหม่ โดยให้กระทรวงสาธารณสุขเข้ามามีบทบาทตกลงเรื่องรายการยาร่วมกันว่าอะไร

2. องค์ประกอบคณะกรรมการ ในร่างกฎหมายฉบับนี้กำหนดให้มีตัวแทนผู้ให้บริการมากขึ้นจนจะกลายเป็นบอร์ดของผู้ให้บริการ ทั้งๆ ที่คณะกรรมการชุดนี้ควรเป็นบอร์ดของการจัดการสร้างหลักประกันสุขภาพไม่ใช่บอร์ดของผู้จัดบริการ และ 3.การแยกเงินเดือนจากงบเหมาจ่ายรายหัว เรื่องนี้ก็ไม่ค่อยมีเหตุผล การเอาเงินเดือนออกจากค่าเหมาจ่ายรายหัวเป็นเรื่องเห็นแก่ตัวของระบบราชการเกินไปว่าฉันไม่สนใจ ฉันเอาเงินเดือนของฉันไว้ต่างหาก ที่เหลือก็ไปว่ากันเอาเอง แล้วให้เหตุว่าแยกเงินเดือนแล้วจะได้เห็นว่าเงินเหมาจ่ายรายหัวมีไม่เพียงพอ รัฐจะได้เพิ่มให้ ก็เป็นวิธีคิดแบบง่ายเกินไป เพราะเวลาคำนวณต้นทุนรัฐก็ต้องดูว่าใช้จ่ายไปกับเงินเดือนข้าราชการอย่างไรด้วย

"เราก็ยังคงสู้กันต่อไป ถ้าในอนาคตมีการเลือกตั้ง ภาคประชาชนพร้อมสู้ในระบบประชาธิปไตยที่ทุกคนมีโอกาสได้เข้าไปให้ข้อมูล หาข้อมูลหรือแลกเปลี่ยนอย่างเท่าเทียมกัน เราสามารถรวบรวมรายชื่อเสนอแก้กฎหมาย ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยก็ไปรวบรวมรายชื่อมาแล้วไปสู้กันในชั้นรัฐสภาแบบแฟร์ๆ" สุรีรัตน์ กล่าว

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สั่งจำคุกจ่านิว 6 เดือนรอลงอาญา คดีละเมิดอำนาจศาล-จำเลยอีก 6 คนรอกำหนดโทษ 2 ปี

Posted: 02 Nov 2017 03:42 AM PDT

ศาลขอนแก่นสั่งจำคุกจ่านิว 6 เดือน ปรับ 500 บาท รอลงอาญา 2 ปี คดีละเมิดอำนาจศาลจากการทำกิจกรรมให้กำลังใจ ไผ่ ดาวดิน ส่วนจำเลยที่เหลืออีก 6 คนให้รอกำหนดโทษ 2 ปี เนื่องจากยังเป็นนักศึกษาอยู่ พร้อมสั่งให้ทุกคนถูกคุมประพฤติ 1 ปี ให้มารายงานตัว 6 ครั้ง และให้ทำงานบริการสังคมรวม 24 ชั่วโมง

นักศึกษาและนักกิจกรรม 7 คนถูกฟ้องหลังทำกิจกรรมให้กำลังใจไผ่ ดาวดิน ด้านหน้าป้ายศาลจังหวัดขอนแก่น เมื่อ 10 กุมภาพันธ์ 2560 (ที่มา: ประชาไท/แฟ้มภาพ)

2 พ.ย. 2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลจังหวัดขอนแก่นได้นัดฟังคำพิพากษาในคดีที่ 7 นักศึกษา ถูกฟ้องในข้อหาละเมิดอำนาจศาลจากการทำกิจกรรมให้กำลังใจ จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน เมื่อวันที่ 10 ก.พ. 2560 บริเวณริมฟุตบาท ด้านหน้าป้ายศาลจังหวัดขอนแก่น โดยมีการอ่านแถลงการณ์ อ่านกวี ร้องเพลง "บทเพลงของสามัญชน" ซึ่งเป็นเพลงที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการให้กำลังใจผู้ที่ถูกคุมขังจากการต่อสู้ และวางดอกไม้เพื่อให้กำลังใจ ซึ่งเป็นดอกกุหลาบสีขาวสื่อถึงความบริสุทธิ์ของพลังนักศึกษา และความบริสุทธิ์ของไผ่ ซึ่งในเวลานั้นอยู่หว่างการพิจารณาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112

โดยจำเลยทั้ง 7 คนคือ อภิวัฒน์ สุนทรารักษ์ นักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง, พายุ บุญโสภณ, อาคม ศรีบุตตะ, จุฑามาส ศรีหัตถผดุงกิจ, ภานุพงศ์ ศรีธนานุวัฒน์ นักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (กลุ่มดาวดิน) และณรงค์ฤทธิ์ อุปจันทร์ นักศึกษาคณะมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ (กลุ่มพลเมืองคนรุ่นใหม่) และสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือ 'จ่านิว' อดีตนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

วันนี้ศาลได้อ่านคำพิพากษา เห็นว่า จำเลยทั้ง 7 คนมีความผิดจริง แต่เห็นว่าจำเลยที่ 1-6 ยังเป็นนักศึกษาอยู่จึงให้รอกำหนดโทษ 2 ปี ส่วนจำเลยที่ 7 สิรวิชญ์ ศาลเห็นว่า ได้จบการศึกษาแล้ว และมีความเป็นผู้ใหญ่แล้ว จึงน่าจะมีความเข้าใจในกระบวนการของศาล จึงสั่งให้จำคุก 6 เดือน และปรับ 500 บาท โทษจำคุกห้รอลงอาญา 2 ปี และสั่งจำเลยทุกคนถูกคุมความประพฤติเป็นเวลา 1 ปี โดยให้มีการรายงานตัวทั้งหมด 6 ครั้ง และให้ทำงานบริการสังคมรวมเป็นระยะเวลา 24 ชั่วโมง ทั้งยังสั่งห้ามคบค้าสมาคมหรือรวมตัวกันทำกิจกรรม หรือกระทำความผิดในลักษณะดังกล่าวอีก 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ร้องทูตอังกฤษจี้บีบีซียุติบทบาท 'โจนาธาน เฮด' ในไทย ชี้เสนอข่าวพิธีถวายพระเพลิงไม่เหมาะสม

Posted: 02 Nov 2017 02:41 AM PDT

กลุ่มเยาวชนสายเลือดไทย อ้าง โจนาธาน เฮด ผู้สื่อข่าวบีบีซี เสนอข่าวไม่เหมาะสมในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงฯ ร้องทูตอังกฤษพิจารณา ยุติบทบาทในไทยพร้อมให้บีบีซีลงบทความขอโทษ แกนนำยันจะมองว่าอยู่ในกะลาก็ตาม แต่บางเรื่องก็ไม่ควรต้องยุ่งเกี่ยว
 
 
2 พ.ย. 2560 มติชนออนไลน์ รายงานว่า เมื่อเวลา 10.30 น. ที่ผ่านมา เพชรมงคล วัสสุวรรณ ตัวแทนกลุ่มเยาวชนสายเลือดไทย พร้อมพวก เดินทางมายังด้านหน้าสถานเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน เพื่อยื่นหนังสือต่อเอกอัครราชทูตประเทศอังกฤษประจำประเทศไทย
 
โดย เพชรมงคล กล่าวว่า ตามที่ทางสำนักข่าวบีบีซีประจำประเทศไทย เสนอข่าวไม่เหมาะสมในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ การเป็นผู้สื่อข่าวประจำประเทศไทยควรมีความเข้าใจในวัฒนธรรมไทยเป็นอย่างดี ในฐานะเยาวชนผู้มีสายเลือดไทย จึงขอเรียกร้องต่อรัฐบาลอังกฤษให้พิจารณาการกระทำของผู้สื่อข่าวสำนักข่าวบีบีซีประจำประเทศไทยดังกล่าว ให้ยุติบทบาทการทำหน้าที่ในประเทศไทย พร้อมทั้งให้สำนักข่าวดังกล่าวลงบทความขอโทษประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ
 
ผู้สื่อข่าวประชาไท สอบถาม เพชรมงคล เพิ่มเติม โดยเขากล่าวว่า ตนคิดว่ามันไม่เหมาะสม ตนเชื่อว่าคนไทยทุกคนต้องคิดในลักษณะเดียวกับตนว่าการที่มีสื่อถามแบบนี้ ซึ่งแน่นอนเขาอาจจะอ้างเรื่องสิทธิตามหลักสากลมันทำได้ แต่คุณมาอยู่ในประเทศไทย คุณก็ต้องเข้าใจขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมของคนไทยว่าเขาเป็นยังไง คุณต้องเคารพในสิทธิของคนไทยด้วย ในเมื่อไม่มีใครออกมายื่น เราในฐานะเยาวชนเราก็มีสิทธิที่จะไปยื่นเช่นเดียวกัน เราอยากแสดงออกในสิทธิของเรา
 
สำหรับแนวทางการเคลื่อนไหวต่อไปนั้น เพชรมงคล กล่าวว่า หลังจากที่เราได้ยื่นแล้วเราก็จะติดตามต่อไปว่าจะเป็นยังไง หน้าที่ของเราคือพยายามจะให้เยาวชนเห็นว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ ชาติ ศาสนา เป็นสิ่งที่เราต้องคงไว้ ฉะนั้นใครจะมาทำลายไม่ได้
 
"ต่อให้คนจะมองว่า คุณอยู่ในกะลา คุณคิดได้แค่นี้หรอ ใช่คุณพูดถูก แต่ว่าบางเรื่องคุณก็ต้องเว้นบ้าง บางเรื่องคุณก็ไม่ควรต้องยุ่งเกี่ยว อย่างเรื่องอื่นผมเห็นด้วยว่าประเทศไทยควรเดินหน้า ควรก้าวผ่านตรงนี้ไปให้ได้ แต่ว่าอย่าลืมว่าเรื่องที่มันเซ้นซิทีฟก็ไม่ควรพูดหรือนำไปตีความให้มันดูแตกต่าง เรารับไม่ได้และไม่อยากให้มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น" เพชรมงคล กล่าว
 
เมื่อถามว่าทราบไหมที่ โจนาธาน เฮด ไม่ได้เป็นผู้สื่อข่าวประจำประเทศไทย แต่ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น เพชรมงคล กล่าวว่า เราพูดในข่าวชัดเจนว่าไม่ได้หมายถึงเราจะเรียกร้องให้ยุติการทำงานของนักข่าวบีบีซี เราหมายถึงว่าเฉพาะตัวคนที่เขาออกมาพูด จะให้เขารับผิดชอบในตรงนั้น ไม่ได้เชิงให้ออกจากประเทศไทย แต่ให้เขายุติการทำข่าว ตนไม่ได้บอกว่าเขาไม่มีสิทธิที่จะอยู่เมืองไทย แต่ ณ วันนี้เขาควรจะหยุดการทำข่าวก่อน แล้วคิดพิจารณาว่าสิ่งที่เขาทำมันถูกต้องรึเปล่า คุณต้องเข้าใจความรู้สึกคนไทย ถ้าเป็นคนไทยด้วยกันก็ต้องเห็นด้วย
 
ทั้งนี้  เพชรมงคล นอกจากเป็นตัวแทนกลุ่มเยาวชนสายเลือดไทยแล้ว  เพชรมงคล ระบุตำแหน่งตนเองในเฟซบุ๊กว่าเป็นเลขาธิการสมาพันธ์การศึกษาทางเลือกแห่งประเทศไทย และผู้ช่วยเลขาธิการ เครือข่ายยุวทัศน์ กรุงเทพมหานคร
 
สำหรับกรณีดังกล่าว โพสต์ทูเดย์ รายงานว่า เมื่อวันที่ 30 ต.ค.ที่ผ่านมา เฟซบุ๊กของ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้โพสต์ถึง การคลิปที่สำนักข่าวบีบีซีสัมภาษณ์ ม.ร.ว. นริศรา จักรพงษ์ เกี่ยวกับความรู้สึกของคนไทยต่อพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพและความรู้สึกของประชาชนชาวไทยต่อสถาบันหลักของชาติ โดยที่  ม.ล.ปนัดดาได้กล่าวถึงผู้สื่อข่าวบีบีซีว่า ยังขาดความรู้ในขนบธรรมเนียมไทย ขาดความรู้ประวัติศาสตร์ ไม่มีมารยาท
 
ด้าน โจนาธาน เฮด ผู้สื่อข่าวประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของบีบีซี ได้โพสต์ตอบ ม.ล.ปนัดดา เป็นภาษาอังกฤษ ความว่า "ด้วยความเคารพท่านและอีกหลายๆท่าน ที่เข้าใจคำถามผิด งานของผมในฐานะผู้สื่อข่าวต่างประเทศของสำนักข่าวบีบีซี คือการตั้งคำถามจากผู้ชมของผมที่อยู่นอกประเทศไทยจะถาม ถ้าคุณได้ฟังคำถาม ผมพูดว่า "ผู้คนนอกประเทศอยากจะต้องถามอยู่แล้วว่าความรักนี้เป็นสิ่งแท้จริงหรือไม่" มันเป็นคำถาม ไม่ใช่ความคิดเห็น เป็นคำถามที่ผมในฐานะคนนอกประเทศไทยถูกถามบ่อยครั้ง และ ม.ร.ว. นริศรา ก็ตอบคำถามได้อย่างดี และหากคุณได้ดูการรายงานข่าวของผมจากสนามหลวง เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา คุณจะได้ยินผมอธิบายหลายครั้งถึงความรักอย่างแท้จริงที่ประชาชนมีต่อในหลวงรัชกาลที่ 9 แน่นอนว่าผมรู้เรื่องนี้ดีเพราะผมอยู่ที่นี่่มานาน แต่หน้าที่ของผมคือการตั้งคำถามที่คนอื่นที่ไม่ใช่คนไทยถาม ซึ่งม.ร.ว. นริศรา ก็ยินดีจะตอบคำถาม เพราะฉะนั้นก็ไม่จำเป็น ที่ผู้อื่นจะรู้สึกขุ่นเคืองในเรื่องนี้"
 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ฮ่องกงจะเป็นที่แรกในเอเชียจัดกีฬาโอลิมปิก LGBT 'สหพันธ์แห่งเกย์เกมส์'

Posted: 02 Nov 2017 02:34 AM PDT

แม้ว่าที่จีนแผ่นดินใหญ่มักมีเหตุลิดรอนสิทธิของผู้มีความหลากหลายทางเพศหลายกรณี ขณะเดียวกันฮ่องกงเตรียมเป็นเจ้าภาพจัดมหกรรมกีฬาของ LGBT ระดับโลก นับเป็นเมืองแรกของเอเชียที่ได้รับเกียรติจัดกีฬาที่มีจำนวนนักกีฬาเข้าร่วมไม่แพ้โอลิมปิก

2 พ.ย. 2560 ฮ่องกงกลายเป็นเมืองแรกของเอเชียที่ได้รับเกียรติ์ให้เป็นเจ้าภาพโอลิมปิกของคนรักเพศเดียวกันซึ่งจัดโดยสหพันธ์แห่งเกย์เกมส์ (FGG) โดยมีกำหนดเป็นเจ้าภาพในปี 2565 ทีจะถึงนี้

เกย์เกมส์เป็นมหกรรมกีฬาระดับโลกที่มีเป้าหมายมุ่งส่งเสริมผู้มีความหลากหลายทางเพศ มีการจัดเป็นครั้งแรกในซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐฯ เมื่อปี 2525 โดยเปิดให้กับผู้เข้าร่วมทุกรูปแบบโดยไม่จำกัดว่าจะเป็นผู้มีเพศวิถีแบบใด รวมถึงมีนักกีฬาที่มาจากประเทศที่ถูกห้ามเรื่องการรักเพศเดียวกันและต้องเก็บซ่อนเดินทางไปแข่งขันในประเทศเจ้าภาพแต่ละครั้งด้วย

 

พิธีเปิดกีฬาเกย์เกมส์ 2006 ที่ชิคาโก (ที่มา: federationofgaygames8.wildapricot.org)

ประเทศจีนที่มีฮ่องกงเป็นเขตปกครองพิเศษเองมีประวัติปฏิบัติต่อผู้มีความหลากหลายทางเพศได้ไม่ดีนัก เช่นในช่วงต้นปีที่ผ่านมามีการประกาศสั่งแบนเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับคนรักเพศเดียวกันออกจากอินเทอร์เน็ต และต่อมาในเดือนพฤษภาคม การประชุมของชาว LGBT ในจีนก็ถูกยกเลิกหลังจากที่มีตำรวจจับนักกิจกรรม LGBT 9 ราย และบอกว่าพวกเขาไม่ยอมให้จัดงานเกี่ยวกับ LGBT ที่เมืองซีอาน

 

HONG KONG ANNOUNCED AS 2022 #GAYGAMES XI PRESUMPTIVE HOST Three finalist cities #Guadalajara #HongKong #WashingtonDC. Vote was 30 Oct 2017, Paris France #paris2018 #allequal

Posted by Gay Games on Monday, 30 October 2017

 

ผลการประกาศให้ฮ่องกงเป็นเจ้าภาพเกย์เกมส์ (ที่มา: facebook/federationofgaygames)

 

 

ตัวแทนชาวฮ่องกง 13 คน ที่เข้าประชุมเกี่ยวกับเกย์เกมส์ที่ปารีสพากันแสดงความดีใจหลังจากที่มีการประกาศว่าฮ่องกงได้เป็นเจ้าภาพ เดนนิส ฟิลิปส์ หนึ่งในตัวแทนของฮ่องกงที่เข้าร่วมประชุมบอกว่าเขารู้สึกภูมิใจมากที่ผลออกมาเป็นเช่นนี้ พวกเขาพยายามมาโดยตลอดที่จะทำให้มีการจัดงานกีฬาผู้มีความหลากหลายทางเพศในเอเชียเป็นครั้งแรก

งานกีฬาของผู้มีความหลากหลายทางเพศอาจจะฟังดูไม่ใหญ่เท่ามหกรรมโอลิมปิกที่ได้รับความสนใจจากสื่อหลักๆ แต่บางปีเช่นในปี 2537 ที่นิวยอร์กซิตี้มีนักกีฬาเข้าร่วมเกย์เกมส์มากกว่าโอลิมปิกในยุคสมัยนั้น ซึ่งในปีดังกล่าวยังถือเป็นการครบรอบ 25 ปี การประท้วงที่สโตนวอลล์ซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญของขบวนการ LGBT ในยุคสมัยใหม่ด้วย

อนึ่ง ถึงแม้ในจีนแผ่นดินใหญ่สถานการณ์ LGBT จะยังถูกกีดกันแต่ในฮ่องกงมีหลายกรณีที่เริ่มก้าวหน้าขึ้นในด้านความหลากหลายทางเพศ เช่น เมื่อเดือนกันยายน ที่ผ่านมามีเลสเบียนชาวอังกฤษสองคนที่เคยถูกห้ามทำงานและถูกสั่งให้ต้องอยู่ห่างจากภรรยาของเธอทุกๆ 6 เดือน ชนะในชั้นศาลอุทธรณ์โดยได้รับการยอมรับการอยู่ร่วมกันในฐานะคู่รักของทั้งสองคน

อีกไม่นานหลังจากนั้นฮ่องกงก็ยกเลิกข้อห้ามไม่ให้ชายเกย์บริจาคเลือดตลอดชีวิต แต่ผ่อนปรนมากขึ้นโดยอนุญาตให้พวกเขาบริจาคเลือดได้ถ้าหากพวกเขาไม่ได้มีเพศสัมพันธ์กับชายอื่นในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตามฮ่องกงยังไม่รับรองสิทธิในการแต่งงานของคนรักเพศเดียวกันตามกฎหมายและยังไม่มีกฎหมายคุ้มครองการห้ามกีดกันผู้มีความหลากหลายทางเพศ กลุ่มส่งเสริมผู้มีความหลากหลายทางเพศในฮ่องกงเองก็เคยยอมรับว่าพวกเขาอยากทำได้ดีกว่านี้ในการคุ้มครอง LGBT และคุ้มครองชนกลุ่มน้อยทางเชื้อชาติ

ทางการฮ่องกงเองก็ตอบสนองต่อเรื่องที่ฮ่องกงได้สิทธิเป็นเจ้าภาพกีฬาเกย์เกมส์อย่างไม่ค่อยกระตือรือร้นนัก โดยบอกแค่ว่าพวกเขา "รับรู้" ถึงเรื่องดังกล่าวและพูดในทำนองว่าพวกเขามีพันธกิจต้อง "ส่งเสริมโอกาสที่เท่าเทียม" และ "ให้คุณค่าต่อการมีส่วนร่วมและการเคารพกันและกัน" โดยในประโยคไม่มีการพูดถึงผู้มีความหลากหลายทางเพศเลย

ทีมที่เข้าร่วมประชุมคาดการณ์ว่าการจัดกีฬาในครั้งนี้อาจจะช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจให้ฮ่องกงได้ราว 1,000 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง (ราว 4,200 ล้านบาท) โดยที่ฮ่องกงจะได้เป็นเจ้าภาพถัดจากฝรั่งเศสซึ่งเป็นผู้จัดงานในปี 2561

 

เรียบเรียงจาก

Hong Kong to host Gay Olympics despite Chinese oppression, Pink News, 31-10-2017

LGBT event in China cancelled after organisers detained and told: 'you are not welcome', Pink News, 31-05-2017

ข้อมูลเพิ่มเติมจาก

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กอ.รมน.โต้ข่าวหักเบี้ยเลี้ยงทหารที่ลงมาชายแดนภาคใต้

Posted: 02 Nov 2017 02:06 AM PDT

กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า แจงข่าวหักเบี้ยเลี้ยงทหารที่ลงมาชายแดนภาคใต้บิดเบือนข้อเท็จจริง แม่ทัพภาคที่ 4 สั่งตรวจสอบการหักค่าใช้จ่ายอย่างใกล้ชิด สร้างความเข้าใจเรื่องสิทธิกำลังพลอย่างต่อเนื่อง และกวดขันวินัยการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่อาจกระทบภาพลักษณ์องค์กร 

2 พ.ย.2560 รายงานข่าวจาก กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า) แจ้งว่า วันนี้ (2 พ.ย.60) เมื่อเวลา 15.00 น. พ.อ.ธนาวีร์ สุวรรณรัตน์ รองโฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เปิดเผยว่าจากกรณีเว็บไซต์ ผู้จัดการออนไลน์ และเฟซบุ๊คเพจ "God Of War V.3" เผยแพร่การหักเบี้ยเลี้ยงของทหารที่ลงมาปฏิบัติงานในพื้นที่ชายแดนภาคใต้

รองโฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า กล่าวว่า จากกรณีนี้ ที่เฟซบุ๊ก ใช้ชื่อเพจว่า"God Of War V.3" ได้เปิดแพร่ภาพและข้อความ อ้างว่านำมาจาก เฟซบุ๊ก ส่วนตัวของเจ้าหน้าที่ทหาร ซึ่งเป็นพลทหาร ที่ปฏิบัติหน้าที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมีการนำเสนอข้อความที่เป็นประเด็นบิดเบือนข้อความเท็จ โดยอ้างว่าทางส่วนราชการได้หักเงินเดือนจนเหลือแค่เดือนละ 400 บาท ซึ่งไม่เพียงพอที่ส่งให้ครอบครัว พร้อมยังตำหนิผู้บังคับบัญชาในหน่วยงานว่าหักเงินเกินและจ่ายเงินไม่ตรงเวลา ซึ่งเว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์ ได้นำภาพและข้อความของเฟสบุ๊ค ใช้ชื่อเพจว่า"God Of War V.3" ไปเผยแพร่ ซึ่งเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง

รองโฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ชี้แจงว่า จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่า 1. ไม่พบที่มาของเพจส่วนตัวของพลทหารที่กล่าวอ้าง 2. ขอชี้แจ้งเรื่องสิทธิพลทหาร ดังนี้ 2.1 การปฏิบัติงาน ณ ที่ ตั้งปกติ ได้รับเงินเดือน เบี้ยเลี้ยง และ ค่าครองชีพชั่วคราว รวมเป็นเงิน 10,000 บาท 2.2 การปฏิบัติงานราชการสนาม ได้รับเงินเดือน เบี้ยเลี้ยง ค่าครองชีพชั่วคราว ค่าเสี่ยงภัย และค่าเสบียง รวมเป็นเงิน 15,910 บาท

2.3 การหักค่าใช้จ่าย 2.3.1 ค่าประกอบเลี้ยง หักเท่ากันตามระเบียบเพื่อประกอบเลี้ยงให้เป็นส่วนรวม 2.3.2 เงินฝากส่วนตัวทหารขึ้นกับความสมัครใจของแต่ละคนโดยเปิดบัญชีธนาคารส่วนตัว (ถอนคืนเมื่อปลดประจำการ) 2.3.3 ค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ร้านค้าสวัสดิการซึ่งหักไม่เท่ากันขึ้นกับแต่ละบุคคลจะจ่ายมากน้อยแค่ไหน 2.4 ตามที่สังคมออนไลน์เผยแพร่การหักเบี้ยเลี้ยงของทหารหารที่ลงมาปฏิบัติงานในพื้นที่ชายแดนภาคใต้นั้น แค่เป็นการหักค่าใช้จ่ายส่วนตัวปกติของกำลังพลจากเบี้ยเลี้ยงราชการสนาม เนื่องด้วยห้วงนี้เป็นต้นปีงบประมาณ ปี 2561 ระหว่างที่รอการอนุมัติสั่งจ่ายงบประมาณ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าได้ทดลองจ่ายเฉพาะเงินค่าเบี้ยเลี้ยงสนามให้กับกำลังพลไปก่อน ส่วนเงินอื่นๆ เมื่อได้รับอนุมัติสั่งจ่ายแล้ว หน่วยจะดำเนินการเบิกจ่ายให้แก่กำลังพลตามสิทธิที่ได้รับตามห้วงเวลาที่กำหนด และ 2.5 ผู้บังคับบัญชาทุกระดับได้ให้ความสำคัญกับเรื่องสิทธิกำลังพลมาโดยตลอด

จากกรณีดังกล่าว พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 และผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ได้สั่งการให้ทุกหน่วยดำเนินการ ดังนี้ 1) ตรวจสอบการหักค่าใช้จ่ายและจ่ายเงินทหารอย่างใกล้ชิด 2) สร้างความเข้าใจเรื่องสิทธิกำลังพลอย่างต่อเนื่อง 3) กวดขันวินัยเรื่องการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่อาจสร้างความเสียหายกับภาพลักษณ์องค์กร และ 4) ขอให้บริโภคข้อมูลข่าวสารด้วยความระมัดระวังหากมีข้อสงสัยให้สอบถามจากหน่วยทหารในพื้นที่ใกล้เคียงหรือสอบถามหมายเลข 1341 ตลอด 24 ชั่วโมง

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อัยการสั่งไม่ฟ้อง 3 นักปกป้องสิทธิฯ ผู้ออกรายงานซ้อมทรมานชายแดนใต้

Posted: 02 Nov 2017 12:32 AM PDT

อัยการปัตตานีสั่งไม่ฟ้องพรเพ็ญ คงขจรเกียรติ-สมชาย หอมลออ-อัญชนา หีมมิหน๊ะ 3 นักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่ออกรายงานเปิดเผยการทรมานโดย จนท.รัฐในพื้นที่ภาคใต้ หลังการรณรงค์อย่างต่อเนื่องโดยแอมเนสตี้และผู้สนับสนุนสิทธิมนุษยชนทั่วโลก

(จากซ้ายไปขวา) พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ, สมชาย หอมลออ และอัญชนา หีมมิหน๊ะ ผู้ทำรายงานเรื่องการซ้อมทรมานโดยเจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ (ที่มา: แฟ้มภาพ)

แอมเนสตี้ประเทศไทย เปิดเผยในวันนี้ (2 พ.ย.) ว่าสํานักงานอัยการจังหวัดปัตตานีสั่งไม่ฟ้องและยุติการดำเนินคดีหมิ่นประมาทต่อนางสาวพรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม และภายหลังดำรงตำแหน่งประธานแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยด้วย พร้อมนักกิจกรรมด้านสิทธิมนุษยชนอีกสองคนคือ นายสมชาย หอมลออ และนางสาวอัญชนา หีมมิหน๊ะ กรณีถูกกองทัพฟ้องหมิ่นประมาท จากการที่ทั้งสามทำรายงานเปิดโปงการทรมานโดยเจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ของไทย

เจมส์ โกเมซ (James Gomez) ผู้อำนวยการสำนักงานเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เผยว่าแม้จะเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่อัยการสั่งไม่ฟ้องนักปกป้องสิทธิมนุษยชนทั้งสามคน ซึ่งไม่ควรมีการดำเนินคดีกับพวกเขาตั้งแต่แรก ทั้งสามคนไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากยืนหยัดต่อสู้อย่างสันติเพื่อสิทธิของผู้อื่น จึงไม่ควรที่พวกเขาจะได้รับโทษจำคุก เพียงเพราะออกมาเปิดโปงการทรมานของกองทัพ

"แอมเนสตี้ขอเรียกร้องให้ทางการไทยลดการฟ้องร้องในคดีหมิ่นประมาท เนื่องจากพบว่าข้อหานี้มักถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือคุกคามนักปกป้องสิทธิมนุษยชน นักกิจกรรม ผู้สื่อข่าว และภาคประชาสังคมในประเทศ ส่งผลให้เกิดความหวาดกลัวต่อการใช้เสรีภาพในการแสดงออกและการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอย่างสันติตลอดหลายปีที่ผ่านมา"

รายงานดังกล่าวเป็นการบันทึกคำให้การเกี่ยวกับการทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้ายอื่นๆ ทั้งหมด 54 กรณีที่ถูกกล่าวหาว่าก่อเหตุโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งรวมถึงตำรวจและทหารในพื้นที่ ตีพิมพ์และเผยแพร่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2559 โดยความร่วมมือของมูลนิธิผสานวัฒนธรรมและกลุ่มด้วยใจ

ต่อมาในเดือนพฤษภาคม 2559 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) ได้แจ้งความหมิ่นประมาทและความผิดทางคอมพิวเตอร์ต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชนทั้งสามคน ซึ่งเป็นบรรณาธิการของรายงานฉบับดังกล่าว

หลังการรณรงค์อย่างต่อเนื่องของแอมเนสตี้ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงประเทศไทย ตลอดจนองค์กรสิทธิมนุษยชนอื่นๆ ทั่วโลก เจ้าหน้าที่กองทัพได้ออกมาให้คำมั่นสัญญาว่าจะถอนฟ้องเมื่อเดือนมีนาคม 2560 ที่ผ่านมา จนกระทั่งอัยการสั่งไม่ฟ้องและยุติการดำเนินคดีต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชนทั้งสาม ในความผิดฐานหมิ่นประมาททางอาญาและความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2560 ที่ผ่านมา

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

47 นักศึกษาเกษตรไทยในอิสราเอลร้องชะลอการจัดทำร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองพันธุ์พืช

Posted: 01 Nov 2017 11:59 PM PDT

47 นักศึกษาเกษตรไทยในอิสราเอล ออกจดหมายเปิดผนึก ร้องต่อ รมว.เกษตรฯ ชะลอการดำเนินการเสนอร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองพันธุ์พืชฉบับใหม่ แนะทำความเข้าใจต่อเกษตรกร โดยเฉพาะรายย่อยทั่วประเทศอย่างทั่วถึง รับฟังความคิดอย่างรอบด้านก่อน

แฟ้มภาพ

2 พ.ย. 2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า 47 นักเรียนนักศึกษาไทย ซึ่งกำลังศึกษาและฝึกปฏิบัติงานทางด้านการเกษตรในประเทศอิสราเอลลงชื่อในจดหมายเปิดผนึกข้อเรียกร้องต่อร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองพันธุ์พืชฉบับใหม่ ถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 

จดหมายดังกล่าวระบุถึงกรณีที่ กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้อยู่ระหว่างการจัดทำ และเสนอร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองพันธุ์พืชฉบับใหม่ เพื่อใช้แทนฉบับเดิม(พ.ศ.2542) โดยมีสาระเกี่ยวกับ การควบคุมพันธุกรรมพืชและการผลิตทางการเกษตรของประเทศไทยในอนาคต การควบคุมพันธุกรรมพืชและการผลิตทางการเกษตรของประเทศไทยในอนาคต โดย 47 นักเรียนนักศึกษาไทยกลุ่มนี้มีความห่วงกังวล จึงขอยื่นข้อเรียกร้อง ขอให้กระทรวงเกษตรฯ ชะลอการดำเนินการเสนอร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว เพื่อให้เวลาในการทำความเข้าใจต่อเกษตรกร โดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อยทั่วประเทศอย่างทั่วถึง รวมทั้ง รับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนต่างๆอย่างรอบด้าน โดยไม่จำกัดเฉพาะการรับฟังความคิดเห็นผ่านทาง เว็บไซต์เท่านั้น

รวมทั้งขอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เร่งหามาตรการในการลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรไทย ซึ่งเป็นปัญหาที่สำคัญและควรหาแนวทางแก้ไขอย่างเร่งด่วนมากกว่าการมุ่งสร้างแรงจูงใจในการปรับปรุงพันธุ์ ของนักปรับปรุงพันธุ์และบริษัทเมล็ดพันธุ์เนื่องจากในปัจจุบันเกษตรกรไทยมีต้นทุนการผลิตสูง ทั้งในด้านพันธุ์ พืช สารปรับปรุงความอุดมสมบูรณ์ของดินและสารควบคุมกำจัดศัตรูพืช ทำให้กระทบต่อศักยภาพการแข่งขัน ของเกษตรกรไทยในตลาดโลก และขอให้มุ่งสร้างกลไกพัฒนาการผลิตพืชอาหารที่มีความหลากหลาย ซึ่งเป็นมรดกทางพันธุกรรมและวัฒนธรรมของประเทศไทย มากกว่าการสร้างเงื่อนไขให้มีการผลิตพืชน้อยชนิด ผ่านการปรับปรุงพันธุ์ของบริษัทเมล็ดพันธุ์เอกชน ซึ่งเน้นการผลิตเฉพาะพันธุ์พืชที่มีศักยภาพในการสร้าง ผลกำไร

รายละเอียดจดหมาย : 

 

จดหมายเปิดผนึก

กรุงเทลอาวีฟ อิสราเอล

พฤศจิกายน 2560

เรื่อง ข้อเรียกร้องต่อร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองพันธุ์พืชฉบับใหม่

เรียน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

 

เนื่องจากในขณะนี้กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้อยู่ระหว่างการจัดทำ และเสนอร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองพันธุ์พืชฉบับใหม่ เพื่อใช้แทนฉบับเดิม(พ.ศ.2542) โดยมีสาระเกี่ยวกับ การควบคุมพันธุกรรมพืชและการผลิตทางการเกษตรของประเทศไทยในอนาคต

พวกเราในนามนักเรียนนักศึกษาไทยตามรายชื่อท้ายจดหมายเปิดผนึกฉบับนี้ ซึ่งกำลังศึกษาและฝึก ปฏิบัติงานทางด้านการเกษตรในประเทศอิสราเอล ได้รับทราบข้อมูลและมีความห่วงกังวลเกี่ยวกับ ร่างพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวเป็นอย่างยิ่ง จึงขอยื่นข้อเรียกร้องดังต่อไปนี้

1. ขอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ชะลอการดำเนินการเสนอร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว เพื่อให้เวลาในการทำความเข้าใจต่อเกษตรกร โดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อยทั่วประเทศอย่างทั่วถึง รวมทั้ง รับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนต่างๆอย่างรอบด้าน โดยไม่จำกัดเฉพาะการรับฟังความคิดเห็นผ่านทาง เว็บไซต์เท่านั้น เนื่องจากการรับฟังความคิดเห็นผ่านทางเว็บไซต์นั้นคับแคบเกินไปสำหรับร่างกฎหมายสำคัญ ฉบับนี้ ซึ่งผูกพันไปถึงอาหารของเราในวันพรุ่งนี้และความเป็นอยู่ของลูกหลานเราในวันข้างหน้า

2. ขอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เร่งหามาตรการในการลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรไทย ซึ่งเป็นปัญหาที่สำคัญและควรหาแนวทางแก้ไขอย่างเร่งด่วนมากกว่าการมุ่งสร้างแรงจูงใจในการปรับปรุงพันธุ์ ของนักปรับปรุงพันธุ์และบริษัทเมล็ดพันธุ์เนื่องจากในปัจจุบันเกษตรกรไทยมีต้นทุนการผลิตสูง ทั้งในด้านพันธุ์ พืช สารปรับปรุงความอุดมสมบูรณ์ของดินและสารควบคุมกำจัดศัตรูพืช ทำให้กระทบต่อศักยภาพการแข่งขัน ของเกษตรกรไทยในตลาดโลก

3. ขอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มุ่งสร้างกลไกพัฒนาการผลิตพืชอาหารที่มีความหลากหลาย ซึ่งเป็นมรดกทางพันธุกรรมและวัฒนธรรมของประเทศไทย มากกว่าการสร้างเงื่อนไขให้มีการผลิตพืชน้อยชนิด ผ่านการปรับปรุงพันธุ์ของบริษัทเมล็ดพันธุ์เอกชน ซึ่งเน้นการผลิตเฉพาะพันธุ์พืชที่มีศักยภาพในการสร้าง ผลกำไร

เนื่องจากพวกเราได้มีโอกาสเรียนรู้เทคโนโลยีทางการเกษตรในภูมิประเทศแบบทะเลทราย และความ พยายามในการสร้างความหลากหลายทางชีวภาพในประเทศอิสราเอล ทำให้พวกเราตระหนักถึงความสำคัญของความหลากหลายและความมั่งคั่งทางพันธุกรรมที่ประเทศไทยมีและเป็นจุดเด่นของเราเสมอมา เพราะความหลากหลายทางชีวภาพอาจเป็นคำตอบของคำถามที่เรายังไม่ได้ถาม

NO FARMERS NO FOOD NO FUTURE

ขอแสดงความนับถือ

นายเจษฎา เสือหาญ คณะเกษตรศาสตร์มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์

นายวินัย เดชะ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์

นายอดิศร เสาร์ศรีน้อย คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์

นายสุเชษฐ์ พุฒิไพโรจน์ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์

นายมูหะหมัดซอบรี ยูโซะ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์

นายเกียรติศักดิ์ สุทมาส คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์

นายชัยนิยม บุญย่อ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

นายเจียระไน นะแส คณะเกษตรและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยนครพนม

นายวรวุฒิ มาตย์วังเเสง คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฎมหาสารคาม

นายอิทธิพงษ์ แก้วกองเงิน คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฎมหาสารคาม

นายโอฬาร ภูสีเขียว คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฎมหาสารคาม

นางสาวนารีนาถ สิงห์บัญชา แผนกพืชศาสตร์ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีร้อยเอ็ด

นางสาวผกากรอง สุดเฉลียว แผนกพืชศาสตร์ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีร้อยเอ็ด

นายอรรถพล เลือดกาญจนะ แผนกพืชศาสตร์ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีร้อยเอ็ด

นายสุรศักดิ์ ลาเลิศ แผนกพืชศาสตร์ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีร้อยเอ็ด

นายพิเศษ เอื้อวิบูลย์ศรี แผนกพืชศาสตร์ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีร้อยเอ็ด

นายอนันท์ ขอรับกลาง แผนกพืชศาสตร์ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีร้อยเอ็ด

นางสาวขนิษฐา ผาลึก แผนกพืชศาสตร์วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีศรีสะเกษ

นายปฏิภาณ ไชยปัญญา แผนกพืชศาสตร์ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีศรีสะเกษ

นางสาวสิริรักษ์ ภูยงค์ แผนกพืชศาสตร์ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีมหาสารคาม

นางสาวเกตุมณี รัตนทิพย์ แผนกพืชศาสตร์ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีมหาสารคาม

นางสาวหมี่จู เช่อหมื่อ แผนกพืชศาสตร์ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีมหาสารคาม

นางสาวปิยวรรณ พิณพงษ์ แผนกพืชศาสตร์ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีมหาสารคาม

นางสาววิชุดา กุลทลทัศน์ แผนกพืชศาสตร์ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีมหาสารคาม

นางสาวจตุพร พุทธเกษม แผนกพืชศาสตร์ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีมหาสารคาม

นางสาวอุไรพร สิงบุดดี แผนกพืชศาสตร์ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีมหาสารคาม

นางสาวนฤมล บุญคง แผนกพืชศาสตร์ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีมหาสารคาม

นางสาวฐิตารีย์ ชัยสิทธิ์ แผนกพืชศาสตร์ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีมหาสารคาม

นางสาวจินตนา ช านาญเขา แผนกพืชศาสตร์ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีมหาสารคาม

นางสาวสุวิภา เจริญรัมย์ แผนกพืชศาสตร์ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีมหาสารคาม

นางสาวนิสา อุ่นศิลป์ แผนกพืชศาสตร์ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีมหาสารคาม

นายบัลลังค์ คุณุ แผนกพืชศาสตร์ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีมหาสารคาม

นายอาทิตย์ กองเงิน แผนกพืชศาสตร์ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีมหาสารคาม

นายโชคชัย ไกรนอก แผนกพืชศาสตร์ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีมหาสารคาม

นายนุฒินันท์ เเสงจันทร์ แผนกพืชศาสตร์ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีมหาสารคาม

นายศุภเกียรติ บุณยเกียรติ แผนกพืชศาสตร์ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีมหาสารคาม

นายเกียรติศักดิ์ ศรีกุม แผนกพืชศาสตร์ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีมหาสารคาม

นายเอกวราวุฒิ ดีรักษา แผนกพืชศาสตร์ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีมหาสารคาม

นายภิเศก แพทย์หลวง แผนกพืชศาสตร์ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีมหาสารคาม

นายวิจัย เลาต๋า แผนกพืชศาสตร์ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีมหาสารคาม

นายพุธชาติ มาลาศรี แผนกพืชศาสตร์ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีมหาสารคาม

นายกรตพร ศุขหงษ์ทอง แผนกพืชศาสตร์ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีมหาสารคาม

นายธเนศทรัพย์ วงศา แผนกพืชศาสตร์ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีมหาสารคาม

นายสันติภาพ ศรีวัฒนพงศ์ แผนกพืชศาสตร์ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีมหาสารคาม

นายสุชาติ แซ่ว่าง แผนกพืชศาสตร์ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีมหาสารคาม

นางสาวนพรัตน์ นนท์ชนะ แผนกพืชศาสตร์ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีมหาสารคาม

นายพงษ์สิทธิ์ สีคาม แผนกพืชศาสตร์ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีมหาสารคาม

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สมชัย วิจารณ์ พ.ร.ป. ส.ส. ฉบับมีชัย ล้าหลัง ประชาชนสับสน พรรคการเมืองหาเสียงยาก

Posted: 01 Nov 2017 10:54 PM PDT

สมชัย ศรีสุทธิยากร เผยกฎหมายลูกว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ฉบับมีชัย เป็นกฎหมายที่ล้าหลัง ชี้จะทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเกิดความสับสน พรรคการเมืองหาเสียงยาก เสี่ยงเกิดบัตรปลอม และทำให้การรวมคะแนนล่าช้า วุ่นวาย

แฟ้มภาพ

2 พ.ย. 2560 สำนักข่าวไทย รายงานว่า  สมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง กล่าวถึงร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ว่า การกำหนดเรื่องหมายเลขผู้สมัครของพรรคการเมืองจะแตกต่างกันไป ในแต่ละเขตเลือกตั้ง จะทำให้เกิดความสับสนอลหม่าน เพราะข้ามเขตเบอร์พรรคก็เปลี่ยนไป ทำให้ผู้มีสิทธิต้องจดจำหน้าผู้สมัครแทน หัวหน้าพรรคการเมืองเวลาหาเสียงทางทีวี คงบอกได้แค่ชื่อพรรค ไม่สามารถบอกว่าให้เลือกเบอร์ใดได้ บัตรเลือกตั้ง หากมีชื่อพรรคอยู่ในบัตร ต้องพิมพ์แตกต่างกัน 350 แบบ การรักษาความปลอดภัยในการจัดพิมพ์บัตรทำได้ยากขึ้น โอกาสปลอมบัตรมีมากขึ้น การนับคะแนนที่หน่วยไม่มีปัญหา แต่การรวมคะแนนพรรคการเมืองทั้งประเทศด้วยเบอร์ที่แตกต่างกันของแต่ละพรรคในแต่ละเขต คงวุ่นวาย ใช้เวลามากขึ้นหลายเท่า และมีโอกาสผิดพลาดในการประกาศผล การติดตามตรวจสอบจากพรรคการเมืองและองค์กรเอกชนสังเกตการณ์เลือกตั้งทำได้ยากยิ่ง

ส่วนการกำหนดให้วิธีการเลือกตั้งต้องใช้บัตรเลือกตั้ง เพราะหากจะใช้วิธีการอื่นได้ กกต.ต้องพิสูจน์ให้ได้ ว่าเป็นวิธีการที่สามารถป้องกันการทุจริตได้ดีกว่า มีค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่า และเป็นการเลือกโดยตรงและลับ สมชัย กล่าวว่า ขณะนี้เทคโนโลยีการจัดการเลือกตั้งในประเทศต่าง ๆ ก้าวไปไกลเช่นในสหรัฐอเมริกา มีการใช้เครื่องลงคะแนนอีเล็กทรอนิกส์ในทุกหน่วยเลือกตั้ง ประเทศในเอเชีย เช่น อินเดีย เนปาล ภูฏาน มีการใช้เครื่องลงคะแนนอีเล็กทรอนิกส์ทั้งประเทศ ฟิลิปปินส์ มีการใช้เครื่องอ่านบัตร นับและส่งผลคะแนนทางอีเล็กทรอนิกส์ ออสเตรเลีย มีการเปิดให้คน 4 กลุ่ม คือ คนในต่างประเทศ คนในพื้นที่ห่างไกล คนพิการ และบุคคลที่มีเหตุจำเป็นสุดวิสัยสามารถใช้สิทธิ์ทางอินเตอร์เน็ตได้

"กรรมการการเลือกตั้งไทย ได้พัฒนาระบบการใช้เครื่องลงคะแนนอีเล็กทรอนิกส์ และเตรียมนำร่องให้คนไทยในต่างประเทศบางประเทศสามารถใช้สิทธิ์ทางอินเตอร์เน็ตได้ หลังจากที่ร่าง พ.ร.ป.ส.ส. ออกมาคงต้องถอยหลังไปใช้บัตรเลือกตั้งต่อไปอีกนาน เพราะ กกต.คงไม่เสี่ยงไปอยากพิสูจน์อะไร ทำแบบเดิมต่อไป ไม่ผิดดีกว่า" สมชัย กล่าว

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น