โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

เกษียร เตชะพีระ: บทกวีแด่สื่อ 'ผู้จัดการ' กรณี "อากง"

Posted: 17 Dec 2011 09:31 AM PST

แต่งนิยายฆ่าคน จนเคยตัว
ช่างไม่กลัว บาปกรรมที่ทำไป
เห็นคนเป็นเครื่องมือ การสื่อสาร
เพื่อรับใช้อุดมการณ์ อันยิ่งใหญ่

กี่ศพแล้วกี่ศพเล่า เผาด้วยไฟ
ที่นับวันลามไหม้ มาลวกมือ
มือถือสากปากถือศีล กินเลือดสด
จริงกับเท็จ ปนกันหมดเลิกยึดถือ
พ่นพิษร้ายทำลายล้าง สร้างข่าวลือ

รังแกคนไร้สื่อ จะสวนคำ
บาปที่ทำกรรมที่ก่อ ยังรออยู่
ถึงหลอกคนพระเจ้ารู้ วันยังค่ำ
ทุกถ้อยเถื่อนแจ้งชัด อสัตย์อธรรม
ผู้จัดกรรม ผู้จัดการ ไม่นานเลย

 

เผยแพร่ครั้งแรกในเฟซบุ๊กของ เกษียร เตชะพีระ :  “อากง” หาใช่ชายแก่ ที่แท้แดงฮาร์ดคอร์ “ล้มเจ้า”ASTVผู้จัดการรายวัน 17 ธันวาคม 2554

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

"สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล" อธิบายเคสจำคุก 3 ปี คดีขู่ฆ่าปธน.สหรัฐไม่เหมือนกม.หมิ่นฯ

Posted: 17 Dec 2011 08:45 AM PST

หมายเหตุ: วันนี้ (17 ธ.ค.) สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นักวิชาการประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์เฟซบุคของตน อภิปรายและแสดงความเห็นขัดแย้งในกรณีที่นายสุริยะใส กตะศิลา และหนังสือพิมพ์เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ ยกกรณีศาลสหรัฐอเมริกาพิพากษาจำคุกชาวอเมริกัน 3 ปี ฐานข่มขู่เอาชีวิตประธานาธิบดีบารัค โอบาม่า มาเปรียบเทียบกับกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในกรณีประเทศไทย โดยมีรายละเอียดของการโพสต์ดังนี้

000

ความจริง ขี้เกียจเขียนนะเรื่องนี้ เพราะมัน so obvious ชัดจนไม่รู้จะเขียนทำไม คือ วันก่อน "ยะใส" ยกตัวอย่างเรื่อง อเมริกา ก็มีกฎหมาย "ปกป้อง" ประธานาธิบดี โดยยกกรณีตัวอย่างว่า เร็วๆ นี้ มีชายคนหนึ่งถูกจำคุก 3 ปี นี่คือ ที่ ยะใส พูดนะครับ

"นายสุริยะใส กล่าวต่อว่า อย่างกรณี ดา ตอร์ปิโด ที่เพิ่งโดนคำพิพากษาจำคุก 15 ปี ถ้าดูถ้อยคำของการปราศรัยจาบจ้วงนั้น พบว่า มากกว่าการวิพากษ์วิจารณ์ธรรมดา แต่เป็นการข่มขู่อาฆาตมาดร้าย ซึ่งในหลายๆ ประเทศก็มีกฎหมายคุ้มครองผู้นำล่าสุดในสหรัฐศาลก็พึ่งมีคำพิพากษาจำคุก 3 ปี และควบคุมความประพฤติอีก 3 ปี ของชาวอเมริกันคนหนึ่งที่เขียนบทกลอนข่มขู่เอาชีวิตประธานาธิบดีโอบาม่า"

จากข่าวนี้ http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9540000159611

พอดีมีคนบอกมาว่า หมอตุลย์ ก็ยกกรณีนี้ขึ้นมาเหมือนกันวันนี้ ผมเองไม่ได้ฟัง ดังนั้น ไม่อยากยืนยัน แต่อย่างน้อย กรณียะใส ใครช่วยไปบอกทีว่า คราวหน้า ถ้าไม่รู้จริง อย่าดัดจริตยกกรณีอะไรแบบนี้มาเลยครับ ขายหน้า

..................

กรณีจำคุก 3 ปี เรืองขู่เอาชีวิต โอบาม่านั้น มันมีกฎหมายอันหนึ่ง เรียกว่า มาตรา 871 ใน US Code Title 18, Part I, Chapter 41 ตัวบทของกฎหมายที่ว่า มีดังนี้

http://www.law.cornell.edu/uscode/usc_sec_18_00000871----000-.html

สรุปคือ ใครขู่ฆ่า หรือ ขู่จะลักพาตัว ปธน. หรือ รอง ปธน. หรือ ปธน.ทีเพิ่งได้รับเลือกตั้ง (President-elect) มีโทษปรับ (ไม่ได้ระบุอัตรา) หรือ จำคุก ไม่เกิน 5 ปี หรือ ทั้งจำทั้งปรับ

ทีนี นี่คือ ความผิด ฐาน ขู่ฆ่า (หรือลักพาตัว หรือทำร้ายร่างกาย) นะครับ ไม่ใช่ ความผิด หมิ่นประมาท แบบกรณี 112 บ้านเรา

(แล้วจริงๆ ความผิดนี้ เขาถือเป็น class D felony คือ ความผิด ชั้นต่ำสุด ไม่ใช่ความผิดระดับความมันคง เหมือน 112 ของบ้านเรา)

อันที่จริง กรณีที่ ยะใส (หรือ อาจจะหมอตุลย์ด้วย) พูดถึงนี้ มีหลายคน ก็ไม่พอใจคำตัดสินนะ (คนทำผิด เขียนกลอนชื่อ "สไนเปอร์" พิมพ์ครั้งแรกปี 2007 และพิมพ์ซ้ำ 2009 ขู่จะยิง ปธน.) โดยเป็นว่า การเขียนกลอนแบบนี้ ไม่น่าจะจัดอยู่ในความผิดเรื่อง ขู่ฆ่า แต่ควรถือเป็น free speech ซึ่งไม่มีความผิด บางคนก็ยกตัวอย่างงานเขียนประเภท เดียวกัน ที่คนทำกัน ซึ่งมีจริง หรือ กระทัง เร็วๆ นี้ มีคนเปิด fb ให้คนมาออกเสียงว่า โอบาม่า ควรถูกลอบสังหารหรือไม่ ให้เลือกตอบ yes, no, maybe ก็มีคนไปลงกันเป็นร้อยๆ แต่ตอนหลัง fb ปิดไป และมีการสอบสวนกันเหมือนกัน (เพราะมันมีความผิดมาตราทีว่าอยู่) แต่ก็ไม่เห็นมีข่าวดำเนินคดีอะไร .. พูดง่ายๆ คือ แม้แต่ไอ้มาตราทีว่านี้ ก็ไมใช่่ว่า จะใช้กันอย่างพร่ำเพรื่อ หรือบ่อย (ลองจินตนาการเปรียบเทียบกับบ้านเราดูสิ เหอๆๆๆ ที ยะใส ยกกรณี ดา ตอร์ปิโด นั้น ก็คนละเรื่องเลยครับ ดา ตอร์ปิโด เคย "ขู่ฆ่า" หรือขู่ ลักพาตัว ใครเหรอ? โปรดสังเกตว่า กม.ของไอ้กันอันนี้ เขาไม่ได้ใช้คำแบบที ยะใส มั่วมา ว่า "แสดงความอาฆาตมาดร้าย" ครับ เขาเจาะจงเลยเรื่อง ขู่ฆ่า ลักพาตัว ทำร้ายร่างกาย)

ทีนี้ ในแง่ "หมิ่นประมาท" ที่เป็นเรื่องเกียวกับ 112 นี "ยะใส" ไม่ควรแสดงความเขลา ด้วยการยกไอ้กันมาเลยครับ

ผมเสนอให้ใครลองดูก็ได้นะ พิมพ์คำประเภท idiot หรือ stupid คู่กับคำว่า Obama หรือ George W Bush ดูสิ Google ขึ้นมาให้ดูกันเกร่อเลย

ลองคิดเปรียบเทียบหรือจินตาการกับกรณีไทยเอาเองก็แล้วกัน เหอๆๆ

นี่เป็นตัวอย่างบางอันให้ดูนะว่า เขา free speech เรื่อง "ประมุขรัฐ" ขนาดไหน

(อันที่ 2 และ 3 ข้างล่างนี้ เป็นรายการทีวีชื่อดังด้วยนะ ที่ถามว่า บุชนี่ idiot หรือเปล่า? และ ที่พูดถึง 10 เหตุการณ์ที่่ most stupid ของ บุช น่ะ ส่วนอันอื่น เป็นเอกชนทำกันเอง)

Obama, a complete idiot
http://www.youtube.com/watch?v=of61E1FesPU

Is Bush an "Idiot"?
http://www.youtube.com/watch?v=whhbPVrb5KM

Bush: the 10 most stupid moments of his life
http://www.youtube.com/watch?v=0D4uAW_3Gjg&feature=related

why Obama is an idiot
http://www.colony14.net/id151.html

Obama is an idoit T-Shirt
http://www.zazzle.com/obama+is+an+idiot+tshirts

และนี่เป็นตัวอย่าง กลอน แอนตี้ บุช นะ มีบางอัน เนื้อหา แตะๆ เรื่อง "ขู่ฆ่า" ด้วย

anti-Bush poems
http://liberalpoetry.proboards.com/index.cgi?board=2moremonths2moremonths

หรือเอาง่ายๆ ดูอันนี้ก็ได้ แค่ชื่อ กลอน ก็พอ
FUCK Bush
http://liberalpoetry.proboards.com/index.cgi?board=2moremonths2moremonths&action=display&thread=697

คือมันขำจนน่าสมเพชน่ะ ที่ ยะใส (หรือ หมอตุลย์) คิดจะด่า ไอ้กัน ด้วยข้ออ้างประเภท "ยู ก็มี กฎหมาย ปกป้อง ประมุข" อะไรแบบนี้น่ะ

(ผมไม่ต้องยกกรณียุโรปขึ้นมาอีกแล้วนะ เรื่อง เนเธอแลนด์ หรือ สเปน หรือ แม้แต่อังกฤษน่ะ... คือ สรุปแล้ว ใครก็ตาม ที่คิดจะยก ประเด็น "ต่างประเทศก็มี" มาปกป้อง 112 ของไทยน่ะ มีแต่ หน้าแตก เทานั้นแหละ ... ไมมีประเทศไหน เขา "ป่าเถื่อน" เท่า 112 ของประเทศนี้ ที่จำคุกคนเป็น สิบๆ ปี เพียงเพราะคำพูดเท่านั้นหรอก)

000

หุ หุ ผมเห็น ผู้จัดการ ยังอยากหน้าแตกนะ ยัง "เล่น" ข่าว เรื่อง คนเขียนกลอนขู่ฆ่า โอบาม่า โดนจำคุก และเรื่อง เด็กอังกฤษโดนแบนไม่ให้เข้าประเทศ เพราะส่งอีเมล์ด่า เพื่อเอามาเปรียบเทียบกับ 112

http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9540000160384

ก่อนอื่นนะครับ วิธีพาดหัว ก็ผิดแล้ว "ย้อนรอยคดีหมิ่นประธานาธิบดี" (มันใช่ คดี "หมิ่น" ที่ไหนกันครับ? รายการทีวีอเมริกัน เขาด่า ปธน.ว่า stupid, ...idiot ไม่เห็นมีใครว่า หมิ่นฯ มันเป็นคดีขุ่เอาชีวิตต่างหาก) และที่เขียนในย่อหน้าแรก เรื่อง "ห้ามเข้าประเทศตลอดชีวิต" จริงๆ ก็มั่วมานะ จากข่าว ไม่ได้บอกว่า "ตลอดชีวิต" แต่อย่างใด อเมริกา มันมีการ "แบน" ไม่ให้วีซ่า คนเป็นระยะๆ นะ ปัญญาชนฝ่ายซ้ายบางคน ก็เคยโดน แล้วตอนหลัง ก็เข้าได้ อะไรแบบนั้น มันไมมีเรื่อง "แบนตลอดชีวิต" อะไรเสียหน่อย

ดูรายละเอียดที่ผมเขียนไปแล้ว ข้างล่าง กรณี ขู่ฆ่า แล้วโดน 3 ปี
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=154153601357080&id=100001298657012

ส่วนกรณีเด็กอังกฤษ ผมเขียนตอบคุณ Workman Show ที่อ้าง link มาโพส์ในกระทู้ข้างล่างอันหนึง ผมขอ copy มาให้ดู (และอย่าลืม อย่างที่เขียนไปว่า ตามข่าว ไม่ใช่ "ตลอดชีวิต" อย่างที่ ผู้จัดการ อ้างเลย)

..............

หุหุ คุณ Workman Show ยกข่าวนี้มา เพื่อจะบอกว่า อเมริกา ก็มีมาตรการประเภท 112 หรือครับ?

คือ ถ้าคิดจะยกมาเพื่อเปรียบเทียบกับกรณี 112 ของไทย นี่ก็ไม่เวิร์ก หรอกครับ

ตามข่าว เขียนว่า

"No criminal action will be taken against the teenager, but he has been placed on a list of people banned from entering the United States."

(แปลว่า จะมีมีการดำเนินคดีอะไรเด็กคนนี้ เพียงแต่เขาถูกใส่ในบัญชีชื่อคนที่ห้ามเข้า US คือ จะไม่ได้วีซ่า นั่นเอง)

อันนี้ มันเทียบอะไรกับ 112 ไม่ได้เลยนะครับ (เหมือนกรณีที่ ยะใส ยก เรื่อง ขู่ฆ่า ในกระทู้ข้างลาง) ควรกล่าวด้วยว่า US นี่ "แบน" คนเข้าประเทศบ่อยเหมือนกัน รวมทั้ง กรณีปัญญาชนฝ่ายซ้ายบางคน ที่ถูกหาว่าเป็น terrorist ด้วย แต่อันนี้ มันคนละเรืองกับ 112 คือนี่เป็นเรื่อง การให้ หรือไม่ให้วีซ่า ชาวต่างชาติ

ดูที่ผมเขียนกระทู้ยะใส ดูนะครับว่า เขาอนุญาตให้ คนในประเทศเขาเอง "อัด" ปธน. ขนาดไหน เรียกเป็น idiot หรือ ใช้คำประเภท FUCK เลยด้วยซ้ำ

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

‘แท่งอัปลักษณ์’ แสดงสถิติคดีหมิ่นฯ กลางถนนราชดำเนิน

Posted: 17 Dec 2011 06:54 AM PST

 

17 ต.ค.54  ที่อนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย มีการจัดงานแสดงศิลปะกลางแจ้ง “แท่งอัปลักษณ์” แสดงสถิติคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือความผิดตามมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา ตั้งแต่ปี 2548-2553 โดยจัดทำเป็นแท่งสูงทำด้วยกล่องกระดาษบริเวณลานอนุเสาวรีย์ประชาธิปไตยหันหน้าไปทางด้านสนามหลวง มีการกล่าวปราศรัย อ่านแถลงการณ์ แสดงดนตรี และเปิดให้ประชาชนร่วมเขียนแสดงความเห็น พ่นข้อความรณรงค์ต่างๆ บนกล่องเปล่ารูป 112 และอากง โดยมีประชาชนผู้สนใจทยอยเข้าร่วมงานตลอดค่ำที่ผ่านมา

งานดังกล่าวจัดขึ้นโดยกลุ่มเราคืออากง สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) กลุ่มอาสากู้ภัยน้ำตื้น กลุ่ม article 112 โดยนำข้อมูลสถิติกระทงในคดีหมิ่นฯ จากสำนักงานศาลยุติธรรม มาจัดแสดงเปรียบเทียบผ่านการตั้งกล่องกระดาษเป็นแนวตั้ง โดยในปี 2548 มี 33 กระทง, ปี 2549 มี 30  กระทง, ปี 2550 มี 126 กระทง, ปี 2551 มี 77 กระทง, ปี 2552 มี 164 กระทง, ปี 2553 มี 478 กระทง  และในโปสเตอร์จัดงานนิยามงานนี้ไว้ว่า “ถ้าศิลปะคือความงาม นี่ไม่ใช่ศิลปะ ถ้าศิลปะคือความซาบซึ้ง นี่ไม่ใช่ศิลปะ ถ้าศิลปะเปลือยให้เห็นความอัปลักษณ์ นี่ (อาจจะ) เป็นศิลปะ”
 

 

ธนาพล อิ๋วสกุล บรรณาธิการนิตยสารฟ้าเดียวกัน หนึ่งในผู้ร่วมจัดงานกล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการจัดงานครั้งนี้ว่า หลังจากมีการพูดกันมากเกี่ยวกับคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ก็อยากหาช่องทางในการนำเสนอให้ประชาชนเห็นความรุนแรงของสถานการณ์จากการสถิติที่มีออกมาแสดงให้เป็นรูปธรรม

ขวัญระวี วังอุดม จากลุ่ม article 112 กล่าวว่า หลังจากนี้กลุ่มกิจกรรมที่ทำเรื่องเกี่ยวกับกฎหมายมาตรา 112 และพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2551 จะร่วมกันตั้งคณะทำงานเพื่อรณรงค์ล่ารายชื่อเพื่อแก้ไขมาตรา 112 โดยจะใช้ร่างกฎหมายที่คณะนิติราษฎร์ได้เคยนำเสนอไว้เป็นตัวตั้ง ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงหลายประการ เช่น เรื่องโทษที่จะไม่มีโทษขั้นต่ำ และปรับลดโทษขั้นสูง, การฟ้องร้องจะให้สำนักราชเลขาธิการเป็นผู้เสียหายที่มีอำนาจฟ้องร้องโดยตรงแทนการร้องทุกข์กล่าวโทษแทนใครก็ได้ เป็นต้น

ขวัญระวีกล่าวอีกว่า การเสนอรูปธรรมโดยการแก้ไขกฎหมายยังมีความมุ่งหมายอีกประการว่า หากมีการผลักดันเข้าสู่รัฐสภา ประเด็นนี้ก็จะเป็นที่ถกเถียงในทางสาธารณะ ถือเป็นการให้การศึกษาเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นและเปิดการถกเถียงสาธารณะอย่างเป็นทางการ

กลุ่มผู้จัดกิจกรรมยังได้ออกแถลงการณ์ด้วย ดังนี้

 

แถลงการณ์งานประติมากรรมกลางแจ้ง “แท่งอัปลักษณ์”

17 ธันวาคม 2554 โดยกลุ่ม “เราคืออากง”

เราต่างปฏิเสธไม่ได้ว่าท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองหลายปีที่ผ่านมา การหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเป็นประเด็นหนึ่งที่ ถูกหยิบยกมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองมากที่สุด มีการกล่าวหาฝ่ายต่าง ๆ ว่ามีเจตนาล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ จนกระทั่งนำมาเป็นเงื่อนไขหนึ่งของคณะปฏิรูปการปกครองฯ ในการทำรัฐประหารขับไล่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในปี 2549

ความรุนแรงของสถานการณ์ที่เกี่ยวเนื่องกับกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ นั้นเกิดทั้งจากตัวกฎหมายเอง รวมถึงอุดมการณ์และวัฒนธรรมที่อยู่เบื้องหลังการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว อาทิ

1. ตัวบทกฎหมายที่มีนิยามคลุมเครือ โดยเฉพาะการดูหมิ่น ทำให้การใช้และตีความกฎหมายเป็นไปในลักษณะที่กว้างขวาง

 
2. อัตราโทษที่กำหนดสูงเกินไป และไม่มีความได้สัดส่วนกับหลักประชาธิปไตย

3. การตีความกฎหมายอาญามาตรา 112 ให้เกี่ยวกับความมั่นคง ส่งผลให้กระบวนการพิจารณาคดีมักเป็นไปโดยลับ ทำให้ไม่อยู่ในวิสัยที่จะตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของกระบวนการ (due process) ได้ นอกจากนั้นผู้ต้องหามักไม่ได้รับสิทธิในการประกันตัวอันเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน และเป็นสิทธิของผู้ถูกดำเนินคดีทางอาญาที่มีกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญเพื่อคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพของผู้ถูกกล่าวหา และให้ผู้ถูกกล่าวหาสามารถสู้คดีได้อย่างเต็มที่

4. การบังคับใช้กฎหมายซึ่งสามารถให้ใครฟ้องร้องใครก็ได้ ส่งผลให้กฎหมายถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง

 
5. อุดมการณ์ราชาราชนิยมซึ่งรายล้อมกฎหมายได้ครอบงำทัศนคติของบุคคล ในกระบวนการยุติธรรม ทำให้การพิสูจน์ว่าคำพูดหรือข้อความนั้นเป็นจริงหรือเท็จดังปรากฏในกฎหมายหมิ่นประมาทบุคคลทั่วไปไม่ถูกนำมาปฏิบัติ ดังเห็นได้จากคำพิพากษาในหลายกรณีที่ตัดสินจากความจงรักภักดีซึ่งเป็นมโนสำนึกภายในที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้

นอกจากนี้ ด้วยเหตุว่าสภาพทางสังคมการเมืองที่ผ่านมาหลังรัฐประหารจนปัจจุบัน ล้วนขับเคลื่อนไปในทิศทางที่ยิ่งสร้างหรือเสริมให้เกิดรอยร้าวลึกระหว่างผู้คนในสังคมและบดบังปัญหาที่แท้จริงอันรายล้อมรอบตัวกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเอง

…จึงไม่แปลกที่รายงานงบประมาณแผ่นดิน ปีล่าสุด (ซึ่งบังคับใช้เดือนตุลาคม 2553) มีการทุ่มเงินงบประมาณจำนวนถึง 242,998,800 บาท หรือคิดเป็น 12 เปอร์เซ็นต์ของงบประมาณทั้งหมดให้แก่หน่วยงานภาครัฐเพื่อสร้างค่านิยมในการ “ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์”

 
…จึงไม่แปลกที่จะเห็นการโหมกระหน่ำผลิตซ้ำวาทกรรม “ไม่รักเจ้า ไม่ใช่คนไทย” ที่ผลักไสให้คนที่คิดต่างไปอยู่ขั้วตรงข้าม ตลอดจนการเกิดขึ้นของกลุ่ม “ล่าแม่มด” ตามโลกออนไลน์ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ

…และไม่แปลกที่จะเห็นรัฐบาลที่มาจากรัฐประหารและมาจากการเลือกตั้งในปัจจุบันพากันทำแต้มแสดงความจงรักภักดีผ่านการใช้กฎหมายหมิ่นฯ จับกุมลงโทษอย่างเมามัน

ข้อมูลสถิติจากสำนักงานศาลยุติธรรมเปิดเผยให้เห็นความรุนแรงจากกฎหมายหมิ่นฯที่เข้าสู่ชั้นศาลมากขึ้นเป็นประวัติการณ์ โดยก่อนรัฐประหารมีคดีหมิ่นฯที่เข้า สู่ศาลชั้นต้นปีละไม่ถึง 5 คดี แต่ก่อนเกิดรัฐประหารในปี 2549 ไม่นาน จำนวนคดีหมิ่นฯ นับตามจำนวนกระทงความผิดค่อย ๆ ไต่ระดับเพิ่มสูงขึ้นจาก 33 กระทงในปี 2548 มาสู่ 478 กระทงในปี 2553 ยังไม่นับรวมผู้ที่ถูกกล่าวหาและตกเป็นจำเลยทางสังคมก่อนถูกศาลพิพากษา

สิ่งเหล่านี้ทำให้สังคมไทยตกอยู่ในความหวาดกลัวต่อการแสดงความคิดเห็นเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ในที่สาธารณะ ทั้งที่เป็นสิทธิ เสรีภาพโดยชอบของประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ที่จะแสดงความเห็นในเรื่องการจัดวางตำแหน่งแห่งที่ บทบาท และสถานะของสถาบันกษัตริย์ให้เป็นไปตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย
ดังนั้นเราจึงเห็นว่า ความอัปลักษณ์จากการใช้กฎหมายหมิ่นฯไม่ควรที่จะเก็บไว้ได้พรมแห่งความจงรักภักดีอีกต่อไป แต่ควรออกนำมาแสดงอย่างเปิดเผยให้สังคมได้รับรู้เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาให้ถูกต้องตรงประเด็นต่อไป
 

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

วันแรงงานข้ามชาติสากล: ก้าวพ้นความเป็น "ชาติ" สู้เพื่อความยุติธรรม เสมอภาค และประชาธิปไตย

Posted: 17 Dec 2011 12:23 AM PST

วันที่ 18 ธันวาคม ของทุกปี ถือเป็นวัน “วันแรงงานข้ามชาติสากล” (International Migrant Day) เป็นวันที่ทางองค์การสหประชาชาติได้จัดทำอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานข้ามชาติและครอบครัว ค.ศ. 1990 เพื่อให้แรงงานข้ามชาติในประเทศต่างๆ ได้รับการคุ้มครองสิทธิทั้งสิทธิมนุษยชนและสิทธิเป็นแรงงาน
 
ปฎิเสธไม่ได้ว่า ระบบทุนนิยมที่ขยายตัวทั่วโลก ได้สร้างพลังแรงงานที่มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนสร้างสรรพสิ่งต่างๆให้สังคมมีความก้าวหน้าขึ้น  
 
อย่างไรก็ตาม ชีวิตของผู้ใช้แรงงานจำนวนมากกลับประสบกับชะตากรรมของชีวิตที่ยากลำบากยากเข็ญ  ต้องทำงานหนัก จำเจ ซ้ำซากน่าเบื่อหน่าย   มีชั่วโมงการทำงานที่มากกว่าแปดชั่วโมง ไม่มีวันหยุดพักผ่อน แสวงหาความรู้ ไร้หลักประกันความมั่นคงของงาน  ค่าจ้างขั้นต่ำต่ำกว่าค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน  ไร้สวัสดิการพื้นฐาน  และมีอำนาจต่อรองไม่มากนัก
 
อีกด้าหนึ่ง  “แรงงาน”   จึงกลายเป็น”สินค้า”  เป็นกลจักรหนึ่งหรือหุ่นยนต์ของระบบทุนนิยม มากกว่าความเป็น “มนุษย์”
 
……………
 
“วันแรงงานข้ามชาติสากล”   ได้ให้ความหมายว่า   แรงงานจำนวนมากในโลกใบนี้ได้เคลื่อนตัวข้ามเหนือความเป็น “ชาติ”  เช่นเดียวกับ ทุน ที่ “ไร้พรมแดน”   “ไร้สัญชาติ”  เพื่อกำไรสูงสุด เพื่อสะสมทุนและขยายทุน   (จึงมีนายทุนไทยไปลงทุนต่างประเทศ และนายทุนต่างประเทศมาลงทุนในประเทศไทยจำนวนไม่น้อย)
 
ขณะที่ความเป็น “ชาติ” (ที่คลั่งชาติ )  กลายเป็นวาทกรรมที่ครอบงำประชาชนในประเทศหรือรัฐชาติต่างๆ   ด้านหนึ่งเพื่อสร้างความยิ่งใหญ่ของชาติตนเอง    ด้านหนึ่งกลับสร้างความเหยียดยาม ดูหมิ่น ดูถูกชาติอื่นๆ  มาแต่ยุคสมัยโบราณกาลก่อน
 
“ความเป็นไทย” เป็นส่วนประกอบหนึ่งของอุดมการณ์ชาตินิยมของรัฐไทย  ที่ปลูกฝังประชาชนให้จงเกลียดจงชังประเทศเพื่อนบ้าน  มองเป็นดั่ง”ศัตรู”  “เป็นอื่น”     ผู้รุกราน สร้างความแตกแยก ทำลายความรักความสามัคคีของคนในชาติ     ผ่านสื่อสารมวลชน   เพลง  ละคร  ภาพยนตร์ วรรณกรรม  เรื่องเล่า  สัญญลักษณ์ต่างๆ  ฯลฯ  และที่สำคัญหลักสูตรประวัติศาสตร์ชาติไทยฉบับทางการ  เพื่ออำนาจของผู้ปกครอง โดยเฉพาะพวกอำมาตย์ขุนนางศักดินา
 
“ความเป็นชาติ” ของรัฐไทย ยังมีความหมายที่คับแคบ ไม่ให้ความสำคัญความหมายกับประชาชน โดยเฉพาะประชาชนที่ถูกกดขี่  เสียเปรียบในสังคม รวมถึงผู้ใช้แรงงานซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ และเป็นลูกหลานของไพร่ในสมัยก่อนระบบทุนนิยม     มิพักพูดถึงแรงงานข้ามชาติในสังคมไทยซึ่งมีพื้นที่ทางสังคมอยู่น้อยนิด
 
อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ใช้แรงงานแล้ว “ชาติ”  จึงควรหมายถึงมนุษยชาติ ประชาชนผู้ถูกกดขี่ทั่วโลก หาใช่ความคลั่งชาติ  แต่เป็นจิตสำนึกทางสากล
 
………………..
 
การพัฒนาทุนนิยมสังคมไทยที่มีอำนาจนอกระบบ เหนือรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งนั้น  มีผู้ใช้แรงงานข้ามชาติที่เข้ามาทำงานและมักเป็นงานที่คนไทยเองขาดแคลนจำนวนประมาณกว่า 3 ล้านคน โดยเฉพาะแรงงานที่อพยพหนีการกดขี่ข่มเหงจากอำนาจเผด็จการทหารพม่า 
 
ปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นพลังแรงงานส่วนสำคัญในการพัฒนาสังคมไทย  และไม่ต่างจากที่แรงงานไทยอพยพไปทำงานต่างประเทศเช่น แถบประเทศตะวันออกกลางที่มีแรงจูงใจทางเศรษฐกิจที่ดีกว่าทำงานในเมืองไทย
 
แต่ชีวิตแรงงานข้ามชาติจำนวนไม่น้อยในสังคมไทย  กลับถูกกดขี่เอารัดเอาเปรียบจากนายจ้าง นายทุนไทยบางคน และข้าราชการบางหน่วยบางคนในรูปแบบต่างๆ   ที่สำคัญกฎหมายแรงงานที่ล้าหลังไม่ยอมให้แรงงานข้ามชาติมีส่วนร่วมในสิทธิขั้นพื้นฐานของแรงงานตั้งสหภาพแรงงานและเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานได้  ภายใต้การครอบงำอุดมการณ์ความเป็นชาติไทยที่สร้างความดูถูกดูแคลนแรงงานข้ามชาติ  (แต่จำเป็นต้องมีแรงงานข้ามชาติ)  
 
ขณะที่แรงงานไทยก็โดนกดขี่เอารัดเอาเปรียบจากนายทุนไทยและนายทุนต่างประเทศเช่นกัน  โดยที่กฎหมายแรงงานล้าหลังและเข้าข้างทุนมากกว่าผู้ใช้แรงงาน  หรือ “รัฐรับใช้ทุน” มากกว่า “ผู้ใช้แรงงาน”
 
อย่างไรก็ตาม  ภายใต้การต่อสู้ของผู้ใช้แรงงานข้ามชาติและแรงงานไทย เพื่อความยุติธรรมในด้านต่างๆ โดยเฉพาะปัญหาเฉพาะหน้า  ปัญหาทางเศรษฐกิจปากท้องในชีวิตประจำวัน  ปัญหาทางกฎหมาย/นโยบายต่อแรงงาน นั้น
 
ผู้ใช้แรงงานซึ่งเป็นส่วนสำคัญของสังคมไทย และมีจำนวนมากที่สุด  ต้องมีส่วนร่วมในการต่อสู้เพื่อให้สังคมไทยเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์  ต้องปกป้องสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน และขยายสิทธิเสรีภาพให้มากขึ้น   สร้างความเสมอภาคในสังคมด้วยเช่นกัน
 
ตลอดทั้งลดทอนอำนาจนอกระบบที่มีอำนาจเหนือรัฐบาลมาจากการเลือกตั้งของประชาชนและกลุ่มทุนล้าหลังอนุรักษ์นิยมสนับสนุนอยู่ (รวมทั้ง สมาคมอุตสาหกรรม นายจ้าง หอการค้า ธนาคาร ฯลฯ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ออกมาคัดค้านนโยบายค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทของรัฐบาลยิ่งลักษณ์)   
 
ภายใต้บริบทเงื่อนไขทางประวัติศาสตร์ที่ดำรงอยู่จริงปัจจุบัน  ผู้ใช้แรงงานทั้งไทยและแรงงานข้ามชาติต้องร่วมมือกับชนชั้นต่างๆ กลุ่มต่างๆ ในสังคมไทย ผู้รักประชาธิปไตยทั้งหลาย  เฉกเช่นการต่อสู้ของผู้ใช้แรงงานในโลกอาหรับปัจจุบัน และประวัติศาสตร์การต่อสู้ของผู้ใช้แรงงานโลกตะวันตก  
 
เพื่อความก้าวหน้าของสังคมไทย และเพื่อสร้างเงื่อนไขที่ดีกว่าในการต่อสู้ของผู้ใช้แรงงานในอนาคต
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

"การพยากรณ์" กับ "สังคมไทย"

Posted: 17 Dec 2011 12:16 AM PST

ความเชื่อเป็นสิ่งที่อยู่กับสังคมไทยมาช้านาน อาจจะด้วยสาเหตุใดก็แล้วแต่ แต่เราก็ต้องยอมรับว่ามันไม่สามารถแยกออกได้เลยกับชีวิตประจำวันของเราตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เมื่อคุณเดินทางไปที่ใดก็แล้วแต่ในบ้านเมืองเราสัญลักษณ์ที่แสดงถึงสิ่งต่างๆเหล่านี้มีอยู่ทุกแห่ง เช่น เมื่อคุณเดินทางไปตามท้องถนนมีผ้าสามสีที่ผูกไว้เต็มต้นไม้ราวกับว่าจะไม่ให้มันหายใจ บ้านหลังเล็กๆเสาเดียวที่เต็มไปด้วยของเส้นไหว้ หรือแม้แต่ชุดไทยต่างๆนาๆแขวนเรียงรายจนคิดว่าชาตินี้ก็ใส่ไม่หมด เป็นต้น
 
แน่ล่ะว่า เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ คนบางคนอาจจะเชื่ออย่างแรงกล้าและไม่มีความสงสัยกับสิ่งที่เกิดขึ้น ประหนึ่งราวกับว่านี่มันคือชีวิต นี้มันคือเรื่องธรรมดาเท่านั้น นี่คือความจริงที่ไม่จำเป็นต้องแทนที่ด้วยคำอธิบายอื่นใดแล้ว เอาเข้าจริงการเชื่อเรื่องนี้ก็มิได้ทำให้ใครเดือดร้อน แถมบางทีอาจจะทำให้รวยไม่รู้ตัวก็เป็นได้ในบางกรณี 
 
เมื่อเรากล่าวถึง ความเชื่อ ก็คงหนีไม่พ้นที่จะเกี่ยวพันไปถึงคำว่า การพยากรณ์ หรือ ดูดวง ตามภาษาชาวบ้านเป็นแน่ เสียงที่ก้องกังวานอยู่ในหูทุกผู้ทุกคน เช่น “ เมื่อไรกูจะรวย ความรักเป็นไง ทำอย่างนี้ดีไหม อนาคตเป็นอย่างไร ” นี่คือคำพูดของชาวบ้าน บุคคลทั่วไปซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นคำถามเบื้องต้นที่ถามต่อผู้พยากรณ์ หรือ “ หมอดู ” ตามแบบไทยๆ
 
ในวันที่หลายคนเชื่อมันด้วยความบริสุทธิ์ใจ โดยที่ไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ใดๆมาอธิบายให้เสียเวลา ข้าพเจ้ากลับมานั่งคิดว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้มันเกิดจากอะไรเล่า ทำไมสิ่งเหล่านี้มันจึงมีอำนาจเหนือหลายๆคน ไม่ว่าคนที่ไม่มีการศึกษา จนถึงการศึกษาสูง แม้แต่คนจนไปถึงคนรวยก็ตาม เช่น บริษัทอาหารยักษ์ใหญ่กลับเลือกที่พิจารณารับพนักงานเข้าทำงานจากโหงวเฮ้ง มากกว่าความสามารถ เป็นต้น
 
ดังนั้น บทความชิ้นนี้ ข้าพเจ้าจะมองข้ามความเชื่อแบบเดิมๆโดยมาดูว่าเหตุใดการ พยากรณ์ จึงมีบทบาทอย่างมาก ในสังคมแห่งนี้
ความเป็นมาในอดีต
 
การเกษตรไทย กับ การพยากรณ์ 
 
นี่คือจุดเริ่มก็ได้ที่ข้าพเจ้าจะนำมากล่าวถึง ในสมัยก่อนการเกษตรมิได้มีความรู้จักกับคำว่า อุตุนิยมวิทยา การไปทำการเกษตรนอกบ้านแต่ละครั้งมิได้มีสื่อที่จะคอยบอกอย่างปัจจุบันนี้ แต่มันทำอย่างไรเล่า กล่าวคือ
 
เมื่อสมัยก่อนคนจะออกไปทำนานั้นทำอย่างไร เขาก็คงมองฟ้าก่อนว่า มืด หรือ สว่าง มืดก็แปลว่า ฝนจะตกก็คงมิต้องออกไปทำนาให้เสียเวลา
 
ดังนั้น จะเห็นได้ว่า การเกษตรเป็นพื้นฐานสำคัญในการประกอบอาชีพของประชากรไทยการที่ไม่มีเทคโนโลยี และเป็นประเทศที่ล้าหลัง ก็คงต้องใช้สิ่งเหล่านี้นี่เองในการดำเนินชีวิตการพึ่งตัวเองเป็นหนทางที่ดีที่สุด ฉะนั้นอาจจะกล่าวได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นน่าจะมาจากสิ่งต่างเหล่านี้เป็นพื้นฐาน
 
สงคราม กับ การพยากรณ์  
 
หากเราได้ศึกษาประวัติศาสตร์จะพบว่า การทำศึกสงครามแต่ละครั้งนั้น การพยากรณ์ เป็นสิ่งที่สำคัญมาก การออกรบของพระมหากษัตริย์ในสมัยก่อน พระมหากษัตริย์จะปรึกษากับท่านปูโลหิตให้นำโหรมาทำนาย เป็นต้นว่า จะออกรบเมื่อไร ชนะหรือไม่ เวลาใด ดังนั้นอาจจะกล่าวได้ว่า ใช้โหรนำหน้าการต่อสู้ ทั้งๆที่การชนะหรือแพ้ของการรบมันขึ้นอยู่กับการวางแผนและความสามารถของเหล่าทหารกล้าทั้งหลายมากกว่าที่จะบอกให้ก้าวเท้าซ้ายก่อนออกจากบ้านจะทำให้เจ้าโชคดีและได้รับชัยชนะกลับมา
 
แน่ล่ะว่า การที่เป็นเช่นนี้คงอาจจะเป็นเพราะว่า ไม่มีแหล่งยึดเหนี่ยวและสร้างความเชื่อมันให้กับตัวเอง เมื่อกษัตริย์ให้ความเชื่อมั่นแก่ทหารกล้า แล้วตัวกษัตริย์เองเล่าจะหาความเชื่อมันจากใคร นอกจาก ตามคำแนะนำของโหรผ่านท่านปูโลหิต อย่างน้อยก็ทำให้รู้สึกว่าตัวเองมีได้โดดเดี่ยวอีกต่อไป
 
หลังจากที่กล่าวข้างต้น การทำนายของโหร ยังก่อให้เกิดคำพูดที่ติดปากอีกว่า “ หมอดูคู่กับหมอเดา ” เหตุใดเล่าจึงเป็นเช่นนั้น หากแม้นว่ากษัตริย์มอบให้โหรทำนายเรื่องต่างๆ การทำนายของโหรนั้นคงไม่สามารถที่จะให้คำปรึกษาในลักษณะแง่ลบได้เพราะหากทำเช่นนั้นก็อาจจะโดนการลงโทษก็เป็นได้ ดังนั้นการพูดแต่ละครั้งคงไม่ได้ตระหนักถึงอะไรมากนัก ยกเว้นก็คงเป็นหลักจิตวิทยาที่ทำให้กษัตริย์ฮึกเหิมหรือหลีกหนีการทำให้ไม่พอใจและนำไปลงโทษด้วยการตัดคอก็ได้
 
สถานการณ์ปัจจุบัน
 
ความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจ 
 
ทางการเมือง ณ สถานการณ์ปัจจุบันปฏิเสธไม่ได้ว่าทำให้หลายคนไม่แน่ใจว่าสังคมจะเป็นไปในทิศทางใด การชุมนุมต่างๆทางการเมืองทำให้คนชั้นกลางถึงชนชั้นสูงในสังคมซึ่งต้องอาศัยการเลี้ยงปากท้องด้วยการทำงาน เมื่อเหตุการณ์ไม่ปกติ การงานก็ไม่ปกติด้วย ทำอย่างไรเล่าหากการชุมนุมต่างๆ ทำให้บริษัทต้องลดเงินเดือนพนักงาน ไม่ได้โบนัสตอนสิ้นปี หรือว่าอาจจะโดนเลิกจ้างก็เป็นได้ ดังนั้นหนทางที่จะทำให้พวกเขาเหล่านั้นรู้สึกดีก็คงหาที่พึ่งทางใจและหาวิธีเสริมดวงชะตาต่างๆ
 
แม้กระทั่งผู้ร่ำรวยและเจริญทางการศึกษาแล้วก็ยังหนีไม่พ้น การที่เงินในกระเป๋าของเขาเหล่านั้นลดลงคงสำคัญมากกว่าการพูดถึงจริยธรรม เราก็อาจจะได้ยินข่าวว่ายองเสียเงินหลายล้านเพื่อที่จะปรับโน้นปรับนี่ ยกตรงนั้นแทนตรงนี้ เพื่อทำให้เขาดีขึ้น
 
หรือหากว่าเร็วๆนี้ รัฐบาลที่อ้างว่าตัวเองมีความศิวิไลแล้ว เจริญแล้ว ก็ทำการปรับฮวงจุ้ยที่ทำงานของตนเพื่อไล่ความไม่ดีออกไป นี่ก็เป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดว่าคงจะต้องอะไรซักอย่างเพื่อให้หมู่คณะดีขึ้นโดยมองข้ามที่จะปรับปรุงตัวเองและหาสาเหตุที่แท้จริงว่าเป็นอะไร 
 
ดังนั้นสิ่งต่างๆเหล่านี้เองที่ถูกผลิตซ้ำมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จนทำให้หลอมรวมกลายเป็น “อัตลักษณ์” ของสังคมไทยไปแล้ว ราวกับว่านี่อยู่ในช่วงสามร้อยปีก่อนคริสตกาลในนครเอเธนอย่างไรอย่างนั้น
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น