โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2561

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com

Link to ประชาไท

พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน

Posted: 26 Sep 2018 02:16 PM PDT

ประชาธิปัตย์เตรียมเดินหน้าหยั่งเสียงหัวหน้าพรรค ปฏิเสธข่าวจับมือกับเพื่อไทย ยันถ้ายังอยู่ใต้ทักษิณก็คงทำงานร่วมกันไม่ได้ ด้านเพื่อไทยได้สุดารัตน์เป็นสมาชิกพรรคแล้ว ภูมิธรรมเผย ถ้าประชาธิปัตย์ไม่เอานายกฯ คนนอก ค่อยดูว่านโยบายไปกันได้หรือไม่ ด้านกอบศักดิ์เผย รัฐบาล คสช.  เตรียมตั้งสภาตำบล อัดฉีดเงินลงตำบลละ 5 แสน เริ่มต้น 10 จังหวัด

ภาพจากเพจ Abhisit Vejjajiva

อภิสิทธิ์ เผยสมาชิกพรรคอีก 2.5 ล้านคนที่ยังไม่ได้ยืนยันความเป็นสมาชิกจะมีสิทธิหยั่งเสียงเลือกหัวหน้าพรรค

เมื่อวันที่ 26 ก.ย. 2561 สำนักข่าวไทย รายงานว่า อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงภายหลังการประชุมใหญ่วิสามัญพรรคประชาธิปัตย์ กว่า 4 ชั่วโมงว่า ที่ประชุมมีการถกเถียงรายละเอียดทุกแง่มุม ซึ่งบรรยากาศเป็นไปด้วยดี ในการพิจารณาแก้ไขข้อบังคับพรรคให้สอดคล้องกับกฎหมายใหม่ รวมถึงเปิดโอกาสให้ประชาชนที่เป็นสมาชิกพรรคหยั่งเสียงเลือกหัวหน้าพรรค ซึ่งจะมีการออกระเบียบให้แล้วเสร็จภายในสัปดาห์นี้ ขณะเดียวกันมีการปรับโครงสร้างกรรมการบริหารใหม่ โดยมีทั้งหมด 41 คน จะกำหนดผู้หญิง 10 คน กรรมการสาขาพรรค 11 คน ต้องมีผู้หญิง 3 คน และต้องมีอายุไม่เกิน 35 ปีอีก 1 คน ซึ่งถือเป็นการขับเคลื่อนให้พรรคเกิดความก้าวหน้ามากขึ้น

อภิสิทธิ์ กล่าวว่าขั้นตอนระเบียบหยั่งเสียง ที่ประชุมเห็นชอบให้สมาชิกทั้งหมดที่ผ่านการยืนยันแสดงความเป็นสมาชิกพรรคจำนวน 8 หมื่นคน และสมาชิกเดิมกว่า 2.5 ล้านคนที่ยังไม่ยืนยันความเป็นสมาชิก มีสิทธิลงคะแนนหยั่งเสียง ส่วนวิธีการนับคะแนน จะใช้แบบวันแมนวันโหวตหรือระบบสัดส่วน คณะทำงานจะไปหารือ ซึ่งจะได้ข้อยุติภายในสัปดาห์นี้ ขณะเดียวกันจะเริ่มเปิดรับสมาชิกใหม่ในวันที่ 1 ต.ค.

อภิสิทธิ์ ยังยืนยันการลงชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ และทันทีที่เข้าสู่กระบวนการได้รับการเสนอชื่อในการหยั่งเสียงจะยุติการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่มีการใช้อำนาจสั่งการ ในฐานะหัวหน้าพรรค แต่จะไม่ลาออกจากตำแหน่งเพราะจะทำให้กรรมการบริหารพรรคคนอื่นต้องสิ้นสภาพและทำให้ไม่มีใครทำงานให้กับพรรคก่อนที่จะมีกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ซึ่งหลังจากนี้พักจะเริ่มต้นกระบวนการหยั่งเสียงภายในเดือนตุลาคมและได้หัวหน้าพรรคในช่วงต้น พ.ย. 

อภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่าขณะเดียวกันมีการกำหนดนโยบายพรรคบรรจุไว้ในข้อบังคับพรรค โดยให้ความสำคัญกับด้านเศรษฐกิจ ที่เป็นพรรคการเมืองแรกที่กำหนดไว้ ให้ความสำคัญกับประชาชนที่มีรายได้น้อย ให้ความสำคัญแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ผลักดันทุกภาคเป็นศูนย์กลางความเจริญ และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานประเทศให้เชื่อมโยงกับภูมิภาครวมถึงพัฒนาเมืองหลักทุกภาคในประเทศให้เป็นมหานคร ขณะเดียวกันระบบภาษีจะครอบคลุมผู้มีรายได้น้อยโดยเป็นหลักสวัสดิการแห่งรัฐ ส่วนด้านการศึกษาจะดึงภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมเน้นทักษะเรียนจบแล้วมีงานทำ เช่นเดียวกับระบบสาธารณสุขประเทศจะต้องมีระบบประกันสุขภาพและเอกชนไม่เอาเปรียบประชาชน ขณะที่นโยบายด้านการเมืองพรรคประชาธิปัตย์พร้อมผลักดันบ้านเมืองให้กลับคืนสู่ประชาธิปไตยและหากข้อกฎหมายใดไม่สอดคล้องกับประชาธิปไตย พรรคประชาธิปัตย์พร้อมที่จะแก้ไข และยืนยันจะใช้อำนาจที่ได้จากประชาชนโดยไม่ลุแก่อำนาจ พร้อมรับการตรวจสอบจากทุกภาคส่วน

ทั้งนี้ โพสต์ทูเดย์ออนไลน์ รายงานด้วยว่า อภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวก่อนการประชุมถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า นายอภิสิทธิ์กับ นายโภคิน พลกุล แกนนำพรรคเพื่อไทย มีการคุยกันว่าพรรคประชาธิปัตย์ กับพรรคเพื่อไทยจะจับมือกันและมีการยกตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้กันหลังการเลือกตั้งว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นที่สำนักกฎหมายธรรมนิติ ตนไปพบนายไพศาล พืชมงคล กรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี เพราะนายไพศาลทำงานสมาคมประสานเรื่องการไปประเทศจีน และมีประเด็นเรื่องที่จีนเดินทางมาประเทศไทย ซึ่งตนก็เคยพบนายโภคินแต่ไม่มีเรื่องตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจะมายกให้กัน แต่ก็มีการพุดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องการเมืองบ้าง ส่วนใหญ่พูดถึงปัญหาข้อกฎหมาย การทำงานของพรรคการเมือง โดยที่ตอนนั้นยังไม่มีการปลดล็อกหรือคลายล็อก

"ปกติผมเจอคนของพรรคเพื่อไทยในเวที หรือ ถ้าจะมีการพูดคุยเรื่องการเมืองก็จะเป็นเรื่องเหล่านี้ เพราะผมพูดชัดเจนมาตลอดว่า ผมทำการเมืองในเรื่องของอุดมการณ์ และถ้าอุดมการณ์ไม่ตรงกันก็ร่วมกันไม่ได้ ตรงนี้คือจุดที่ผมแสดงออกมาตลอด ไม่ต้องมีปัญหามาตีความกัน และผมไม่ทราบว่าข่าวมาจากไหน แต่เห็นคุณโภคินก็ออกมาปฎิเสธแล้ว ในข้อเท็จจริงพรรคเพื่อไทยก็ยังไม่ชัดเจนว่าใครเป็นผู้บริหาร" อภิสิทธิ์ กล่าว

เมื่อถามว่า มองเจตนาของข่าวที่ออกมาอย่างไร อภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนไม่ทราบเจตนา แต่ได้บอกไปแล้วว่าเรื่องอุดมการณ์นั้นถ้าพรรคเพื่อไทยยังอยู่ภายใต้ของครอบครัวชินวัตร ไม่ดึงตัวเองให้พ้นจากการสนับสนุนของระบอบทักษิณเป็นไปไม่ได้ที่จะทำงานร่วมกัน

ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวประชาไท รายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับแคนนิเดตชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นที่จับตามองในเวลานี้ มีอยู่ 2 คนคือ อลงกรณ์ พลบุตร และนพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม สำหรับอลงกรณ์ได้เข้าหารือกับอภิสิทธิ์ เมื่อวันที่ 25 ก.ย. ได้ข้อสรุปว่า ในการหยั่งเสียงเลือกหัวหน้าพรรคจะมีการตั้งคณะกรรมการไพรมารี่ที่มาจากตัวแทน 3 ฝ่าย   เพื่อมากำหนดกติการต่างๆ ซึ่งจะมีการพูดคุยกันในช่วงสุดสัปดาห์นี้ ด้านนพ.วรงค์ และถาวร เสนเนียม จะแถลงข่าวเปิดตัวการสมัครลงชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์อย่างเป็นทางการในวันที่ 27 ก.ย. เวลา 13.00 น. ที่ลานอนุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่มหาวิทยาลัยนเรศวร จ.พิษณุโลก โดยให้เหตุผลที่เลือกเปิดที่จังหวัดพิษณุโลกเพราะเห็นว่าที่ผ่านมายังไม่มีใครในจังหวัดพิษณุโลกกล้าชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคมาก่อน

ภาพจากไลน์เพื่อไทย

หญิงหน่อยสมัครสมาชิกเพื่อไทยแล้ว ด้านภูมิธรรมเผย พร้อมเปิดรับการเสนอรายชื่อแคนนิเดตหัวหน้าพรรค

ขณะที่ ข่าวสดออนไลน์ รายงานว่า ที่พรรคเพื่อไทยได้มีการจัดประชุมเพื่อพิจารณาร่างข้อบังคับพรรคใหม่ โดยมีบรรดาอดีตรัฐมนตรี แกนนำพรรคเพื่อไทย อดีต ส.ส.จากทั่วทุกภาค แกนนำ นปช. และสมาชิกพรรค เดินทางมาประชุมอย่างพร้อมเพรียง อาทิ พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ รักษาการหัวหน้าพรรค ปลอดประสพ สุรัสวดี รักษาการรองหัวหน้าพรรรค ภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรค

นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล อดีตรองนายกฯ โภคิน พลกุล อดีตประธานรัฐสภา จาตุรนต์ ฉายแสง อดีต รมว.ศึกษาธิการ ชัยเกษม นิติสิริ อดีต รมว.ยุติธรรม เสนาะ เทียนทอง ประธานที่ปรึกษาพรรค ชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรค รวมทั้ง สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำ กทม. ซึ่งได้เดินทางมาสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยเป็นที่เรียบร้อยในเวลา 09.45 น. 

เวลา 09.00 น. ภูมิธรรม กล่าวว่า วันนี้เป็นวันแรกที่มีการเปิดบ้านให้สมาชิกของพรรค อดีตรัฐมนตรีและนักการเมืองของพรรคทั้งหมดมาพูดคุย หลังเกิดการรัฐประหารมาเกือบ 5 ปี สำหรับสาระสำคัญเป็นไปตามกระบวนการที่เข้าสู่เรื่องที่รัฐบาล และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เช่น คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้กำหนดเอาไว้ที่จะต้องทำ 2 เรื่องที่สำคัญ และเมื่อเสร็จจึงจะสามารถเข้าสู่กระบวนการของการจัดส่งผู้สมัครทั่วประเทศได้ คือ

1.การจัดการข้อบังคับพรรค ซึ่งทุกพรรคต้องดำเนินการ ขณะนี้เราได้ผ่านกระบวนการที่คณะกรรมการบริหารพรรคได้ลงมติเรียบร้อย ในส่วนของร่างที่เราได้ไปสำรวจความเห็น และนำเผยแพร่บนหน้าเว็ปไซต์พรรคแล้ว ทั้งเรื่องอุดมการณ์ เจตนารมณ์ แนวนโยบายของพรรค ส่วนขั้นที่สองคือเชิญสมาชิกพรรคจากทั่วประเทศมาพูดคุยความเห็นของอุดมการณ์ ความเห็น ซึ่งจะเป็นกรอบที่จะต้องดำเนินการ ทั้งนี้ เรามีความยุ่งยากลำบากมากสำหรับกติกาที่ผู้มีอำนาจในปัจจุบันได้เขียนไว้ ทำให้เราต้องดูสิ่งต่างๆ ดูกติกาที่เขาพยายามใช้ เพราะโทษต่างๆ ที่เกิดขึ้นค่อนข้างรุนแรงมีผลต่ออนาคตทางการเมืองของพรรคเหมือนกัน และ 2.เรื่องโครงสร้างการทำงานในอนาคต ซึ่งเราจะได้หารือกันทั้งหมด เพื่อจะเข้าไปสู่การอนุมัติข้อบังคับพรรคส่วนใหญ่ซึ่งจะจัดในวันที่ 3 ต.ค.

เมื่อถามว่าข้อสำคัญของการแก้ไขข้อบังคับพรรคจะมีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมมากหรือไม่ เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายฉบับใหม่ ภูมิธรรม กล่าวว่า ตามเงื่อนไขข้อกำหนดทั้งหมด ผังโครงสร้าง การจัดการอุดมการณ์ ข้อจำกัดของนโยบายก็ต้องระมัดระวัง อย่างน้อยที่สุดคือการที่ยังไม่มีการแก้ไขปรับตัวเรื่องยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี หรือกฎกติกาของรัฐธรรมนูญ แม้ว่าหลายเรื่องเรายังไม่เห็นด้วยและมีทิศทางที่อาจจะต้องแก้ไขปรับปรุงร่วมกันของพี่น้องประชาชนแต่ภายใต้กฎติกากติกาเช่นนี้ เราก็คงจะต้องรักษาและยืนตามกรอบกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่

เมื่อถามว่าวันนี้เป็นการเช็คชื่อสมาชิกพรรคหรือไม่ ภูมิธรรม กล่าวว่า ไม่ใช่การเช็คชื่อ แต่ทุกคนเรายังรักกัน สามารถทำงานการเมืองร่วมกัน วันนี้จะได้ทราบว่ามีใครที่ยังรักและอยากร่วมงานกับพรรค ส่วนการเลือกหัวหน้าพรรค ก็มีอยู่ในวาระของการพูดคุย ซึ่งรายชื่อหัวหน้าพรรคเรากำลังสำรวจความคิดเห็น และที่มาจากการเสนอแนะจากสมาชิกทุกคน ถ้าเสนอมาเราก็พร้อมที่จะนำชื่อเหล่านั้นมาพิจารณา

เมื่อถามต่อว่าพรรคเพื่อไทยสามารถทำงานร่วมกับ ปชป. ได้หรือไม่ ภูมิธรรม กล่าวว่า วันนี้เราพูดเรื่องที่ทำให้เราสามารถดำเนินกิจการทางการเมืองไปได้อย่างถูกต้องจะดีกว่า เราสามารถทำงานกับฝ่ายประชาธิปไตยทั้งหมดได้ ถ้ามีจุดยืนว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตยและไม่เอาการสืบทอดอำนาจ ไม่รับการบริหารงานที่สร้างปัญหาและเป็นเผด็จการ

เมื่อถามย้ำว่าในอนาคตพรรคเพื่อไทยมีโอกาสร่วมงานกับพรรคปชป. ได้ ภูมิธรรม กล่าวว่า ถ้ายืนอยู่ฝ่ายประชาธิปไตย ไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นายกฯ และไม่เอานายกฯ ที่มาจากการสืบทอดอำนาจก็สามารถคุยกันได้ว่าจะอยู่ที่ตรงไหน นโยบายเหมือนกันไหม การบริหารงานร่วมกันที่จะพาประเทศชาติหลุดจากสภาพที่เป็นอยู่ ให้ประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้น ถ้าร่วมมือกันได้ก็ไปกันได้

ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่านายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ ซึ่งเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ไม่ได้มาเข้าร่วมประชุม หรือนั่งเป็นประธานการประชุมแบบทุกครั้ง รวมถึงนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ แกนนำพรรค ก็ไม่ได้มาร่วมการประชุม ซึ่งมีข่าวว่าในวันที่ 30 นี้จะมีการประชุมใหญ่ของพรรคเพื่อธรรม ที่โรงแรมออร์คิด จังหวัดเชียงใหม่ เวลา 10.00 น. โดยแหล่งข่าวจากพรรคเพื่อไทย ระบุว่า มีการคาการณ์ว่า สมชาย จะได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อธรรม และในวันนั้นจะทราบว่า อดีต ส.ส. ของพรรคเพื่อไทยคนใดจะย้ายไปสังกัดพรรคเพื่อธรรมบ้าง

ที่มาภาพจากเว็บไชต์รัฐบาลไทย

รัฐบาล คสช. เตรียมตังสภาตำบล อัดฉีดเงินลงตำบลละ 5 แสน

ขณะที่มติชนออนไลน์ รายงานว่า กอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดําเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) ว่า ที่ประชุ่มเห็นชอนร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วย การสร้างเสริมชุมชนเข้มแข็ง พ.ศ. ... โดยเป็นการดําเนินการให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญและแผนการปฏิรูป ประเทศ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนระดับตําบล ซึ่งเป็นรากฐานการพัฒนาประเทศ ให้พุ่มขึ้นได้ ส่วนร่วมในการอนุรักษ์ ฟื้นฟูส่งเสริมภูมิปัญญา ฯลฯ โดยจัดให้มีสภาพัฒนาตําบล เป็นกลไกในการปรึกษา หารือ และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการให้ความเห็นต่อการดําเนินโครงการหรือกิจกรรมของหน่วยงานรัฐหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ สภาพัฒนาตําบล จะเป็นเวทีของชุมชน หน่วยงาน ราชการ ในการรวมตัวปรึกษาหารือ ประสานงาน ดําเนินการจัดทําแผนการพัฒนาพื้นที่ และส่งเสริมการมีส่วน ร่วมของของสมาชิกในการพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็ง ยั่งยืน ถือเป็นการส่งเสริมประชาธิปไตยในชุมชน โดยจะ สนอที่ประทุ่มคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายใน 2 เดือนนับจากนี้

กอบศักดิ์กล่าวว่า ที่ประชุมยังเห็นชอบโครงการพัฒนาศักยภาพผู้นําชุมชนและพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมชุมชน เพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติด้านการพัฒนาคน โดยดําเนินโครงการในลักษณะกองทุนสําหรับการพัฒนาเชิงพื้นที่ เพื่อสร้างผู้นําชุมชนที่มีศักยภาพ สร้างความเข้มแข็งแก่ชุมชน เน้นให้คนมีส่วนร่วม ในการขับเคลื่อนและคัดเลือกโครงการเพื่อพัฒนาชุมชั้น โดยให้มีการตั้งกองทุนสําหรับการพัฒนาเชิงพื้นที่ งบประมาณเริ่มต้น 2,000 ล้านบาท ระยะเวลาดําเนินการ 3 ปี ช่วงปีแรกจะเริ่มดําเนินการ กับจังหวัดที่ยากจน 10 จังหวัด 700 ตําบล งบประมาณไม่เกินตําบลละ 500,000 บาท หนึ่งตําบลสามารถเสนอไม่ได้จํากัดโครงการ ทั้งนี้จะเสนอขอความเห็นขอบคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายใน 2 เดือนนี้

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

คพศ. ขอ ตร.เรียกตัวแทน ม.อ.ปัตตานี ปราม นศ. PerMAS ปมค้านประกาศ 'พื้นที่ควบคุมพิเศษ'

Posted: 26 Sep 2018 11:31 AM PDT

ทนายความตัวแทนเครือข่ายชาวพุทธเพื่อคุ้มครองส่งเสริมพระพุทธศาสนาเข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจขอให้เรียกตัวแทน ม.อ.ปัตตานี ไปเจรจาให้ "ปราม" กลุ่ม PerMAS หลังกลุ่มนักศึกษาเคลื่อนไหวเรียกร้องยกเลิกใช้กฎอัยการศึก ด้าน เลขาฯ PerMAS ชวนยิ้ม อดกลั้นต่อทุกปฏิกิริยาเพื่อรักษาหลัก

เครือข่ายชาวพุทธเพื่อคุ้มครองส่งเสริมพระพุทธศาสนา (คพศ.) จากท้องที่ จ.ยะลา เดินทางมายื่นหนังสือต่อ ผกก.สภ.เมือง จ.ปัตตานี (ภาพจากเฟสบุ๊ก บุษยมาส อิศดุลย์)

26 ก.ย.2561 ความคืบหน้ากรณีสหพันธ์นิสิตนักศึกษาเยาวชน นักเรียนปาตานี (PerMAS) ที่จัดกิจกรรมคัดค้าน ประกาศ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า กรณีให้ ต.บางเขา และ ต.ท่ากำซำ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เป็นพื้นที่ควบคุมพิเศษชั่วคราว กับการเคลื่อนไหวคัดค้านกิจกรรมของ PerMAS นั้น

ล่าสุดวันนี้ (26 ก.ย.61) วอยส์ออนไลน์และผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า สมนึก ระฆัง ทนายความและประธานเครือข่ายชาวพุทธเพื่อคุ้มครองส่งเสริมพระพุทธศาสนา (คพศ.) พร้อมเครือข่าย จำนวน 4 คน จากท้องที่ จ.ยะลา เดินทางมายื่นหนังสือต่อ พ.ต.อ.กีรติ แวยูโซ๊ะ ผกก.สภ.เมือง จ.ปัตตานี

สมนึก ตอบคำถามผู้สื่อข่าวว่า ทางกลุ่มได้ตกลงกับเจ้าหน้าที่ว่าจะขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นคนกลางเรียกตัวแทนของมหาวิทยาลัยไปพูดคุยทำความเข้าใจกับความวิตกกังวลของกลุ่มในเรื่องพฤติกรรมของนักศึกษากลุ่ม PerMAS ที่กลุ่มเห็นว่าไม่เหมาะสม

โดยก่อนหน้านั้นได้มีการแจ้งกับผู้สื่อข่าวในพื้นที่ผ่านการสื่อสารไลน์กลุ่มว่า จะมีกลุ่มคนพุทธเดินทางไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อให้มีการดำเนินคดีกับกลุ่มเปอร์มาสในฐานะที่ทำผิดกฎหมาย เพราะต่อต้านการใช้กฎอัยการศึกและใส่ข้อความที่ขัดรัฐธรรมนูญไว้ในแถลงการณ์ของกลุ่ม 

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว สมนึกและสมาชิกส่วนหนึ่งระบุว่าพวกเขาไม่ได้เดินทางไปเพื่อจะแจ้งความแต่อย่างใด เพียงแต่ต้องการให้เจ้าหน้าที่เป็นตัวกลางเรียกตัวแทนมหาวิทยาลัยไปพูดคุยเพื่อให้ช่วยดูแลพฤติกรรมของนักศึกษาในสังกัด 

ตัวแทนที่ร่วมหารือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเสริมว่า สิ่งที่กลุ่มต้องการคือการได้พูดคุยกับตัวแทนของมหาวิทยาลัย ไม่ใช่พูดคุยกับกลุ่มเปอร์มาส และอยากเห็นมหาวิทยาลัยมีความรอบคอบในการจัดกิจกรรมต่างๆ 

รายงานข่าวของผู้จัดการออนไลน์และวอยส์ออนไลน์ ยังรายงานตรงกันว่า ในการไปพบเจ้าหน้าที่ตำรวจวันนี้ สมนึกมีผู้ร่วมเดินทางไปด้วย และในระหว่างที่ตัวแทนหลักเข้าพบและหารือกับเจ้าหน้าที่ ผู้ร่วมทีมได้เกิดปัญหากับผู้สื่อข่าวจำนวนหนึ่งเนื่องจากไม่พอใจที่ผู้สื่อข่าวถ่ายภาพโดยไม่ขออนุญาตจนถึงขั้นสมาชิกในกลุ่มบางรายขู่จะฟ้องร้องผู้สื่อข่าว จนกระทั่งต้องมีการต่อรองให้ผู้สื่อข่าวลบรูปภาพผู้ที่ร่วมเดินทางบางคนออกจึงยุติเรื่องลงได้ แต่ทั้งหมดนั้นทำให้กลุ่มผู้สื่อข่าวสับสนว่ากลุ่มต้องการจะเผยแพร่ข้อมูลการพบปะกันต่อสาธารณะจริงดังที่มีการส่งคำเชิญให้สื่อไปทำข่าวก่อนหน้านั้นหรือไม่ ซึ่งตัวแทนบางรายอธิบายว่า สมาชิกในกลุ่มคิดเห็นต่างกัน บ้างก็พร้อมเป็นข่าว บ้างก็ไม่ต้องการ นอกจากนี้สมาชิกในกลุ่มบางคนยังแสดงออกว่าไม่พอใจที่สื่อบางรายนำเสนอว่ากลุ่มเป็น "กลุ่มพุทธสุดโต่ง" อีกด้วย

PerMAS ชวนยิ้ม อดกลั้นต่อทุกปฏิกิริยาเพื่อรักษาหลัก

ขณะที่ PerMAS จัดกิจกรรมยิ้มให้กับความตึงเครียด โดย เมื่อเวลาประมาณ 14.00 น. วันนี้ อับดุลซาลัม เจ๊ะเน๊าะ เลขาธิการ PerMAS โพสต์ภาพพร้อมข้อความผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัว โดยระบุว่า ขอให้เพื่อนๆ อดทนอดกลั้นต่อปฏิกิริยาโต้กลับต่างๆ หลังทางเจ้าหน้าที่หน่วยทหารแห่งหนึ่งในพื้นที่เชิญตัวกรรมการ PerMAS ผ่านผู้ใหญ่บ้านในชุมชน และมีกระแสพยายามแจ้งความเพื่อเอาผิดทางกฎหมายกับกลุ่มนักศึกษาที่เคลื่อนไหวต้านกฎอัยการศึก

"ยิ้มให้กับความตึงเครียดนี้ อดทนอดกลั้นต่อทุกปฏิกิริยาเพื่อรักษาหลักของเรา" 

โดยมีเนื้อหาดังนี้

วันนี้ เริ่มมีหน่วยทหารในพื้นที่ ขอพบตัวคณะกรรมการPerMAS ผ่านการประสานงานของผู้ใหญ่บ้าน ด้วยเหตุผลเพื่อทำความรู้จักเนื่องจากเขาเป็นผู้ดูแลพื้นที่ ซึ่งในช่วงเวลาที่ผ่านมาเราคุ้นเคยกับเจ้าหน้าที่ทหารจาก กอ.รมน.เป็นอย่างดี

เริ่มมีความพยายามที่จะแจ้งความ ใช้คดีความ เพื่อยุติการเคลื่อนไหวทางการเมืองของพวกเรา

มีการหยิบยกเรื่อง " ศาสนา " มาเคลื่อนไหว ซึ่งมันละเอียดอ่อนมากๆ

จึงอยากให้พวกเราอดทนอดกลั้น ต่อปฏิกิริยาโต้กลับเหล่านั้น ปล่อยให้ความขัดแย้งให้ดำรงอยู่อย่างสวยงาม ประคับประคองมันด้วยเหตุผล มิควรโต้กลับใดๆ ด้วยพลังแห่งความเป็นพวกพ้อง , เงื่อนไขทางศาสนา วัฒนธรรม .

มุสลิม กับ พุทธ มิใช่คู่ขัดแย้ง ไม่ใช่เราจะอยู่ร่วมกันไม่ได้ เพียงเราต้องหาหลักการร่วมบางอย่างให้เจอ

อยากให้เข้าใจว่า เรากำลังชี้ให้เห็นถึงความเลวร้ายของ " กฎอัยการศึก " เราสามารถถกเถียงกันได้

เราต่างมีสิทธิเลือกที่จะให้ความคิดความต่างทางการเมือง ความขัดแย้งทางการเมืองดำรงอยู่ในลักษณะใด

ยิ้มให้กับความตึงเครียดนี้ อดทนอดกลั้นต่อทุกปฏิกิริยาเพื่อรักษาหลักของเรา

#Lets_Smile_Together
#ยิ้มสู้ไปด้วยกัน

โดยเมื่อวันที่ 24 ก.ย.ที่ผ่านมา "กลุ่มไทยพื้นที่รักสันติ" เรียกร้องให้ทางผู้บริหารมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ดำเนินการกับกลุ่ม PerMAS ที่จัดกิจกรรมคัดค้าน ประกาศ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า กรณีให้ ต.บางเขา และ ต.ท่ากำซำ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เป็นพื้นที่ควบคุมพิเศษชั่วคราว โดยกลุ่มไทยพื้นที่รักสันติยังมอบพวงหรีดให้กับมหาวิทยาลัยเพื่อไว้อาลัย และยื่นข้อเรียกร้องให้มหาวิทยาลัยดำเนินการและชี้แจงเนื้อหา เกี่ยวกับแถลงการณ์ของกลุ่มนักศึกษา PerMAS 

สำหรับกิจกรรมของ PerMAS ในการคัดค้านประกาศ กอ.รมน.ดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นภายหลัง พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 จัดแถลงข่าว ณ มณฑลทหารบกที่ 46 โดยกำหนดให้ผู้ที่อาศัยในพื้นที่ดังกล่าวนำอาวุธปืน และเครื่องกระสุนทุกชนิด รถยนต์ รถจักรยานยนต์ และเรือทุกประเภทมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ทหารเพื่อตรวจสอบตั้งแต่วันที่ 17-23  ก.ย. 2561 ณ ที่ว่าการอำเภอหนองจิก จ.ปัตตานี ภายหลังเกิดเหตุการณ์ซุ่มยิงทหารพรานเสียชีวิต 2 นาย บาดเจ็บอีก 4 นายขณะที่ทั้งหมดกำลังเดินกลับฐานใน อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 11 ก.ย. ที่ผ่านมา 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

7 ข้อน่ารู้เกี่ยวกับพรรคสามัญชน

Posted: 26 Sep 2018 09:31 AM PDT

เราเลือกกรรมการบริหารพรรคมาทำงานแทน ไม่มีใครมีอำนาจชี้นำพรรคได้ และสมาชิกสามารถถอดถอนได้ตามกระบวนการ

1. สามัญชนมีคณะกรรมการบริหารพรรค 16 คน ได้รับการสรรหาและเลือกตั้งจากสมาชิกผู้ก่อตั้งในที่ประชุมใหญ่ อันประกอบไปด้วย ชาวบ้าน นักศึกษา นักกิจกรรม แรงงาน นักเคลื่อนไหวประเด็นต่าง ๆ เกษตรกร ฯลฯ เราเลือกให้คนมาทำงานแทน ไม่มีใครมีอำนาจชี้นำพรรคได้ ทุกอย่างเป็นไปตามมติที่ประชุมใหญ่ และข้อบังคับพรรค สมาชิกพรรคทุกคนมีสิทธิเข้าชื่อเพื่อตั้งกรรมการสอบสวน และเสนอถอดถอนกรรมการบริหารพรรคได้ตามขั้นตอนในข้อบังคับพรรคสามัญชน

เราเชื่อว่า คน = คน

2.อุดมการณ์ของสามัญชน เรายึดมั่นในประชาธิปไตยจากฐานราก และเคารพศักดิศรีความเป็นมนุษย์ตามหลักสิทธิมนุษยชน คนต้องเท่ากับคน เราจะผลักดันให้ประเทศไทยเป็นสังคมที่มีความเป็นธรรม เท่าเทียม ภายใต้หลักการ 3 ข้อนี้ เราจะสถาปนามันขึ้นมาด้วยการใช้สันติวิธี

นโยบายพรรคฯ มาจากสามัญชนทั่วประเทศ เราเชื่อว่าผู้ที่อยู่ท่ามกลางปัญหาและความขัดแย้ง ต้องมีส่วนร่วมออกแบบวิธีแก้ปัญหา

3. นโยบายของสามัญชนมาจากการเสนอของสมาชิกพรรค และจากกระบวนการคาราวานรับฟังนโยบาย ที่เป็นเวทีรวบรวมความฝันต่อประเทศไทยและข้อเสนอเชิงนโยบายจากสามัญชนทั่วประเทศ เราเชื่อว่าผู้ที่อยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง และได้รับผลกระทบโดยตรงจากปัญหา เป็นผู้รู้ปัญหามากที่สุดและต้องมีส่วนร่วมในการออกแบบวิธีแก้ไขปัญหาของตนเอง

นาหนองบงเป็นพื้นที่เชิงสัญลักษณ์ เราจัดประชุมที่นั่นเพราะเพื่อเป็นการสะท้อนประเด็นการกระจายอำนาจจากศูนย์กลาง และนี่คือพื้นที่ความขัดแย้งระหว่าง ทุนและรัฐ กับประชาชน

4.เราเลือกจัดประชุมจดจัดตั้งพรรคสามัญชนที่บ้านนาหนองบง ต.เขาหลวง อ.วังสะพุง จ.เลย เหตุผลแรกเพราะเราต้องการสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการการกระจายอำนาจออกจากศูนย์กลาง สองเพราะพื้นที่นี้คือสัญลักษณ์ของความขัดแย้งระหว่าง ทุนและรัฐ กับประชาชน ซึ่งที่ผ่านมาสมาชิกสามัญชนก็ได้ร่วมกับคนในพื้นที่เพื่อเรียกร้องสิทธิชุมชน และความเป็นธรรม 

แต่ที่ผ่านมา ปัญหาที่เกิดขึ้นยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน คนที่นี่ และเครือข่ายอีกหลายกลุ่มจึงเห็นว่า เราควรเดินเข้าไปพูดเรื่องเหล่านี้ในสภาเอง

เรารับไม่ได้กับการ รัฐประหาร สืบทอดอำนาจ กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญที่ปิดกั้น และนายกรัฐมนตรีที่ไม่ได้มาจากประชาชน

5. เรารับไม่ได้กับการทำรัฐประหาร การสืบทอดอำนาจผ่านรัฐธรรมนูญ กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญที่ปิดกั้นการใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชน และนายกรัฐมนตรีที่ไม่ได้มาจากประชาชน จุดยืนอีกอย่างหนึ่งของเราคือ การผลักดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญภายหลังจากการเลือกตั้งโดยทันที เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจ มีส่วนร่วมในกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง

เราปฏิเสธอำนาจนอกระบอบ ที่ถูกทำให้อยู่ในระบบ ไม่ว่าพวกเขาจะมาด้วยวิธีใดก็ตาม 

6.หลังการเลือกตั้งไม่ว่าเราจะได้เสียงในสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่ก็ตาม จุดยืนของเราคือ ต่อต้านการสืบทอดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เราเชื่อมั่นว่า ระบอบประชาธิปไตย จะสามารถทำให้เราอยู่ร่วมกันได้ภายใต้กติกาที่ทุกคนมีส่วนร่วมและเป็นธรรม เราปฏิเสธอำนาจนอกระบอบทุกรูปแบบ

เราเชื่อว่าเวลาไม่ใช่เสื้อคลุมปกปิดสิ่งที่ทำมา แต่เวลาคือเครื่องพิสูจน์ในสิ่งที่เรากำลังจะทำ

7.สามัญชนเปิดโอกาสให้ทุกคนเป็นเจ้าของพรรคเท่า ๆ กัน และเราเปิดโอกาสให้กับคนที่เคยสนับสนุนอำนาจนอกระบบไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม หากเห็นว่าสิ่งที่ได้ทำไปนั้นคือความผิดพลาดอันไม่ควรเกิดขึ้นในระบอบประชาธิปไตย ก็สามารถกลับมาเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องได้ บนเส้นทางที่ไม่ใช่การใช้สิทธิของตนเองไปละเมิดสิทธิของคนอื่น บนเส้นทางที่คุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนทุกคนมีเท่าเทียมกัน

เราทราบดีว่า การวิพากษ์วิจารณ์ในช่วงที่ผ่านมาล้วนแล้วแต่เป็นไปด้วยความหวังดี เราน้อมรับความคิดเห็นของทุกคน เราเชื่อว่าเวลาไม่ใช่เสื้อคลุมปกปิดสิ่งที่ทำมา แต่เวลาคือเครื่องพิสูจน์ในสิ่งที่เรากำลังจะทำ

หากทุกท่านต้องการเดินพร้อมไปกับกำหนดทางเดินร่วมกับเรา หรือหากยังมีข้อสงสัยหรือสนใจ
สามารถส่งข้อความมาถามเราได้

ช่องทางติดต่อ:

1.Inbox เพจ สามัญชน - The Commoner
2.E-mail : commoner.saman@gmail.com
3.Line@ : @commoners

ถ้าคุณเห็นด้วยกับหลักการของเรา และพร้อมแล้วล่ะก็ สนใจคลิ๊กกรอกแบบสอบถาม https://bit.ly/2JbKVKA 
แล้วเราจะส่งรายละเอียดกลับไปให้อย่างเร็วที่สุด

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ปชช.พื้นที่ขัดแย้ง EEC ร่อน จม.เปิดผนึก ชี้ ‘TNN24’ รายงานข่าวไม่ครบ ขาดปมเดือดร้อนขอคืนที่ทำกิน

Posted: 26 Sep 2018 09:05 AM PDT

'กลุ่มโยธะการักษ์ถิ่น' เขียนจดหมายเปิดผนึกถึง สถานีโทรทัศน์ TNN 24 พบลงพื้นที่ทำข่าว แต่กลับเสนอข่าวไม่ครบถ้วน เหตุระบุเพียงประชาชนในพื้นที่ยอมรับว่า เครือเจริญโภคภัณฑ์จะใช้ที่ดิน 4 พันไร่สร้างเมืองใหม่เป็นเพียงข่าวลือ แต่กลับไม่ลงบทสัมภาษณ์ที่เล่าถึงความเดือดร้อนของผู้ได้รับผลกระทบจากการขอคืนที่ดินทำกินโดยทหารเรือ ที่อาจจะถูกในไปใช้ประโยชน์ตามอำนาจของกฎหมายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC

26 ก.ย. 2561 ผู้สื่อข่าวประชาไท รายงานว่า ประชาชนกลุ่มโยธการักษ์ถิ่น เขียนจดหมายเปิดผนึกถึง สถานีโทรทัศน์ TNN 24 หลังจากที่ทางสถานีได้นำเสนอข้อมูลข่าวสาร เรื่อง "เกษตรกรโยธะกา" ยอมรับใช้ที่ราชพัสดุทำเมืองใหม่แค่ข่าวลือ ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 20 ก.ย. 2561 เนื้อหาในจดหมายดังกล่าว ระบุว่า

"ตามที่ สถานีโทรทัศน์ TNN 24 ช่อง 16 ได้นำเสนอข่าว"เกษตรกรโยธะกา" ยอมรับใช้ที่ราชพัสดุทำเมืองใหม่แค่ข่าวลือ เผยแพร่เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2561  ซึ่งเนื้อหาข่าวเป็นการลงพื้นที่สัมภาษณ์สอบถามข้อเท็จจริงจากชาวบ้านในกลุ่มโยธะการักษ์ถิ่น จำนวนหลายราย อาทิเช่น  นางเบณจวรรณ สิงหนาท, นางบุผา ใยเยี่ยม, นางสายทอง เก่งกานา และผู้ใหญ่สมหมาย บุญนิมิ

ซึ่งเนื้อหาที่ถูกนำเสนอออกอากาศนั้น มีแต่เพียงประเด็นการสร้างเมืองใหม่ในพื้นที่ดังกล่าว ที่ยังไม่มีความชัดเจนว่าเครือเจริญโภคพันธ์จะเข้ามาเป็นผู้ใช้ประโยชน์ในที่ดินผืนนี้หรือไม่

แต่ในวันที่มีการลงพื้นที่ทำข่าวนั้น ชาวบ้านได้ให้สัมภาษณ์ในประเด็นการที่เราเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากการขอคืนที่ดินทำกินโดยทหารเรือ และอาจจะถูกนำไปใช้ประโยชน์ตามอำนาจของกฎหมายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)  ดังนั้นการไม่นำเสนอข่าวในประเด็นดังกล่าว ทั้งๆทีมีการให้สัมภาษณ์จึงอาจก่อให้เกิดความเข้าใจที่ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ในการรับรู้ของสาธารณชนต่อชาวบ้านกลุ่มโยธะการักษ์ถิ่น และทำให้ชาวบ้านโยธะการักษ์ถิ่นเกิดความไม่สบายใจต่อการนำเสนอข่าวไม่สมบูรณ์ครบถ้วนตามเนื้อหาตามที่สัมภาษณ์

กลุ่มโยธะการักษ์ถิ่นจึงขอส่งจดหมายเปิดผนึกมายังท่าน เพื่อชี้แจงในกรณีดังกล่าว พร้อมทั้งได้แนบเอกสารประวัติศาสตร์ชาวนาตำบลโยธะกามาให้เพื่อสร้างความเข้าใจเพิ่มเติม และขอให้ผู้ที่รับผิดชอบโดยตรงได้นำเทปบันทึกภาพการสัมภาษณ์ในประเด็นที่เป็นการบอกเล่าปัญหาความทุกข์ยากของชาวบ้าน รวมทั้งความเห็นในเชิงสิทธิการใช้ที่ดินทำกิน  เผยแพร่ออกอากาศในวาระต่อไปโดยเร็ว"

บทความ ประวัติศาสตร์ที่ดินชาวนาตำบลโยธะกา อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา

ชาวบ้านตั้งกลุ่ม 'โยธะการักษ์ถิ่น' ยันที่บรรพบุรุษ-ไม่ย้ายออก หลังกองทัพเรือขอคืนพื้นที่ 4 พันไร่

เครือเจริญโภคภัณฑ์ให้ทนายฟ้องสื่อ อ้างเผยแพร่ข้อมูลเท็จ ปมเสนอข่าว 'ซีพียึดที่รัฐ 4,000 ไร่'

ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวประชาไท รายงานเพิ่มเติมว่า เมื่อวันที่ 26 ส.ค. 2561 ที่ทำการผู้ใหญ่บ้านหมู่ 11 ต.โยธะกา อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา ตัวแทนประชาชน-หัวหน้าครอบครัวของประชาชนใน หมู่ 2 หมู่ 10 หมู่ 11 และหมู่ 12 ใน ต.โยธะกา จำนวนประมาณ 100 คน ได้เข้าร่วมประชุมหารือกัน เนื่องจากเมื่อกลางปี 2557 ประชาชนใน ต.โยธะกาได้รับหนังสือจากสำนักงานธนารักษ์พื้นที่ฉะเชิงเทรา แจ้งยกเลิกสัญญาเช่าและการเก็บค่าตอบแทนการใช้ประโยชน์ที่ดินราชพัสดุ และส่งมอบที่ดินคืนทหารเรือ ด้วยเหตุผลว่า กองทัพเรือมีแผนการใช้ประโยชน์ที่ดินบริเวณศูนย์เกษตรกรรมทหารเรือโยธะกา เพื่อใช้ประโยชน์ในราชการทหาร 

หลังจากปี 2557 เป็นต้นมา สำนักงานธนารักษ์เลิกเก็บค่าเช่าที่ดินจากชาวบ้าน แต่ชาวบ้านยังคงใช้ที่ดินทำนาต่อไป ไม่มีใครส่งมอบที่ดินหรือย้ายออกไปปลายปี 2560 ชาวบ้านได้รับหนังสืออีกครั้งจากกองทัพเรือ ขอให้ส่งมอบคืนที่ดินให้แก่กองทัพเรือ ภายใน 7 วัน โดยให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ขนย้ายทรัยพ์สิน และบริวารออกไปจากที่ดิน พร้อมกับทำหนังสือส่งมอบที่ดิน พร้อมทั้งระบุว่าหากยังเพิกเฉยทางราชการมีความจำเป็นที่ต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย หลังจากนั้นชาวบ้านได้ทำหนังสือร้องเรียนไปยังหลายหน่วยงาน เพื่อร้องเรียนและขอสิทธิในการใช้ที่ดินต่อไป 

ต่อมาได้มีการลงข่าวคำให้สัมภาษณ์ของอธิบดีกรมธนารักษ์ ในข่าวประชาชาติธุรกิจออนไลน์ เมื่อวันที่ 4 มี.ค. 2561 ระบุว่า กรมธนารักษ์ได้จัดหาที่ราชพัสดุสนับสนุนโครงการอีอีซีใน 3 จังหวัด คือ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง กว่า 11,000 ไร่ ในส่วนของฉะเชิงเทรานั้น เป็นที่ของกองทัพเรือที่ส่งคืนให้กรมธนารักษ์ อยู่ใน อ.บางน้ำเปรี้ยว พื้นที่ประมาณ 4,000 ไร่เศษ อยู่บริเวณศูนย์เกษตรกรรมทหารเรือ ที่ ต.โยธะกา ซึ่งได้ส่งมอบให้อีอีซีไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนจะนำไปพัฒนาเป็นอะไรขึ้นกับอีอีซีจะกำหนด

จำนวนผู้ได้รับผลกระทบจากการยกเบิกสัญญาเช่าดังกล่าว ประกอบด้วย ผู้เดือดร้อนเฉพาะที่อยู่อาศัย ผู้เดือดร้อนทั้งที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกิน และผู้เดือดร้อนเฉพาะที่ดินทำกิน ในพื้นที่ หมู่ 2 หมู่ 10 หมู่ 11 และหมู่ 12 รวม 166 ครัวเรือน มีผู้ได้รับผลกระทบ จำนวน 635 คน

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

นิธิ เอียวศรีวงศ์: อภิสิทธิ์ที่ถูกเคลือบ

Posted: 26 Sep 2018 09:00 AM PDT

การสอบแข่งขันของเด็กอนุบาลเพื่อเข้าเรียนต่อชั้นประถมปีที่ 1 กำลังเป็นข่าว ปรากฏการณ์อันน่าสมเพช (ในหลายด้าน ทั้งตัวเด็ก, ผู้ปกครอง และผู้บริหารโรงเรียนดัง) นี้ปรากฏเป็นข่าวมาหลายปีแล้ว แต่ที่เป็นข่าวครั้งนี้เพราะผู้มีอำนาจกำลังจะขจัดปรากฏการณ์อันน่าสมเพชนี้ด้วยการออกกฎหมายห้าม ตรงไปตรงมาเลย

ก็เข้าใจได้ไม่ยาก ฝีมือบริหารของเผด็จการทหารมีอยู่เพียงเท่านี้ คือออกคำสั่งห้ามการกระทำใดๆ ที่ตนเห็นว่าผิด โดยไม่สนใจจะมองลึกลงไปถึงเงื่อนไขเบื้องหลังที่ทำให้เกิดการกระทำที่ผิด จะต้องปรับเปลี่ยนอะไร ด้วยวิธีไหน จึงจะทำให้ทัศนคติผิดๆ ที่ก่อให้เกิดการกระทำที่ผิดเปลี่ยนไป มันทำผิดก็ห้ามทำ จบ ทัศนคติที่ผิดๆ นั้นก็ยังอยู่ และคงผลักดันให้เกิดการกระทำแบบอื่นที่น่าสมเพชพอๆ กันหรือยิ่งกว่า

ที่จริงจะโทษแต่เผด็จการทหารก็ไม่ยุติธรรมนัก เพราะในคณะผู้ถืออำนาจร่วมกับเผด็จการทหารนั้น มี "ผู้ทรงคุณวุฒิ" ร่วมอยู่ด้วยอีกมาก รวมทั้งอดีตอธิการบดีซึ่งเมื่อสมัยที่ตัวเองดำรงตำแหน่งผู้บริหาร โรงเรียนสาธิตของมหาวิทยาลัยนั้น ก็จัดสอบแข่งขันเข้าเรียน ป.1 อยู่แล้ว การที่ตนต้องปล่อยให้ดำเนินต่อไป ก็คงเพราะมีปัจจัยอื่นๆ อีกหลายอย่างที่ทำให้เห็นว่าคำสั่งห้ามอย่างเดียวไม่แก้ปัญหา แต่บัดนี้โดยอาศัยอำนาจที่เหนือการต่อรองใดๆ ของเผด็จการ กลับเห็นว่าชี้นิ้วสั่งห้ามอย่างเด็ดขาดเสีย ก็แก้ปัญหาได้แล้ว

แปลว่าลึกๆ แล้ว คนเหล่านี้ก็เชื่อในอำนาจที่ปราศจากการต่อรองมาแต่ต้นแล้ว เพียงแต่ตัวไม่มี เลยไม่กล้าแก้ปัญหาด้วยวิธีนั้น ก็ไม่น่าแปลกใจอะไร ไม่อย่างนั้นจะเข้ามาสนับสนุนการรัฐประหารและร่วมงานกับเผด็จการทหารได้อย่างไร

ทีวีแห่งหนึ่งรายงานข่าวว่า จากการสำรวจความเห็น มีผู้ปกครองเด็กอนุบาลเห็นด้วยกับการสอบแข่งขัน พอๆ กับผู้ปกครองที่เห็นด้วยว่าควรยกเลิกการสอบแข่งขันเสียที ยิ่งกว่านี้เมื่อไปสำรวจความเห็นของสมาชิก สนช.ซึ่งเผด็จการทหารตั้งขึ้น ก็มีอีกจำนวนหนึ่งที่เห็นว่าควรรักษาการสอบแข่งขันของเด็กอนุบาลเอาไว้ บางคนเห็นว่ามีประโยชน์แก่เด็ก ป.1 ที่จะเข้าเรียนใน "การศึกษาพิเศษ" ซึ่งเขาหมายถึงการเรียนในโรงเรียนพิเศษ เช่นโรงเรียนสาธิตของมหาวิทยาลัย เขาจึงเห็นว่าการห้ามสอบแข่งขันของเด็กอนุบาลจะตัดโอกาสของเด็กเก่งๆ ข่าวลือว่าแม้แต่ใน ครม.ก็มีผู้คิดเห็นทำนองเดียวกัน

บังเอิญทีวีแห่งนั้น นำข้อสอบเข้า ป.1 ของโรงเรียนสาธิตแห่งหนึ่งมาแสดงให้ดู คำถามให้เลือกคำตอบที่ถูกต้องมาหนึ่งคำตอบ ผมอ่านตัวเลือกแล้วเห็นว่าตอบข้อไหนก็ได้ทั้งนั้น จะถูกหรือผิดขึ้นอยู่กับเหตุผลต่างหากว่าทำไมจึงเห็นว่าข้อนั้นข้อนี้ถูกกว่าข้ออื่น แต่ข้อสอบไม่ได้บอกให้ผู้สอบระบุเหตุผล (ก็เด็กเพิ่งเรียนจบอนุบาล – ซึ่งก็มีเหตุผลของตนเองแน่ แต่จะให้เขียนอธิบายเหตุผลนั้นออกเป็นตัวหนังสือก็คงจะยากเกินไป) ดังนั้นข้อที่ถือว่า "ถูก" คือข้อที่ผู้ออกข้อสอบมีความเห็นว่าถูกด้วยเหตุผลเฉพาะของตนเองเท่านั้น เด็กตอบได้ "ถูก" ในข้อสอบแบบนี้ จะแสดงว่าเก่งกว่าคนที่ตอบ "ผิด" ได้อย่างไร

แต่คิดอีกที นี่อาจเป็นวิธีคัดเลือกเด็กที่ตรงกับการศึกษาไทยอยู่แล้วก็ได้ เพราะหัวใจของการศึกษาไทยคือการเก็งใจครู

ในบรรดาโรงเรียนที่ถือว่า "ดัง" นั้น ส่วนใหญ่คือโรงเรียนสาธิตของมหาวิทยาลัยต่างๆ และความ "ดัง" ของโรงเรียนเหล่านี้มีอยู่อย่างเดียว กล่าวคือสถิตินักเรียนที่สามารถสอบแข่งขันเข้ามหาวิทยาลัยได้สำเร็จมีสูง แต่ก็ดังที่มีผู้ตั้งข้อสงสัยเสมอมาว่า ข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยนั้นวัดอะไรกันแน่ ดูเหมือนหลายสิบปีมาแล้ว เคยมีงานวิจัยที่แสดงความไม่มีสหสัมพันธ์ระหว่างคะแนนสอบเข้ากับผลการเรียนในมหาวิทยาลัยด้วย

ทั้งนี้ ยังไม่พูดถึงความเก่งและความสำเร็จในชีวิตว่ามีสหสัมพันธ์กับผลการสอบแข่งขันเข้าเรียนโน่นเรียนนี่หรือไม่

สมาชิก สนช.ที่แสดงความวิตกว่าหากเลิกการสอบแข่งขันเข้าเรียน ป.1 เสียแล้ว จะตัดโอกาสเด็กเก่ง น่าจะแสดงให้ผู้อื่นรู้ด้วยว่า ตนเข้าใจความ "เก่ง" ว่าอะไร และมีวิธี "วัด" กันอย่างไร ไม่ว่าในเด็กอายุ 5 หรือ 18 ปี

โรงเรียนสาธิตคือโรงเรียนอะไร?

ตามหลักการแล้ว โรงเรียนสาธิตคือโรงเรียนที่จัดการเรียนการสอนอย่างที่นักการศึกษาเชื่อว่า น่าจะบรรลุสัมฤทธิผลทางการศึกษาได้ดี อันเป็นการจัดการเรียนการสอนที่ไม่ได้ทำทั่วไปในประเทศไทย คณะศึกษาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยต่างๆ จึงตั้งโรงเรียนของตนขึ้น เพื่อจัดการเรียนการสอนด้วยวิธีดังกล่าวให้เห็นเป็นตัวอย่าง (ถึงได้ชื่อว่า "สาธิต" คือแสดงให้ดู) ด้วยเหตุดังนั้น โรงเรียนสาธิตจะบรรลุเป้าประสงค์ที่แท้จริงของตนได้จึงต้องประกอบด้วยเงื่อนไขสามสี่อย่างคือ 1.ควรมีสภาพใกล้เคียงกับความเป็นจริงของโรงเรียนไทยอื่นๆ เช่น นักเรียนก็คละกันทางปูมหลังครอบครัว, ความถนัด, และความเก่งในการเรียนรู้ 2.การมีครูชั้นดี หากจำเป็นก็ต้องถือว่าชั่วคราวในระยะเริ่มต้น ซึ่งต้องการผู้เชี่ยวชาญในการสอนแบบใหม่เท่านั้น ในระยะยาวแล้ว ต้องพัฒนาการบริหารที่ทำให้ครูทั่วไปสามารถเปลี่ยนตนเองมาเป็นครูชั้นดีได้ 3.ต้องพยายามดำเนินงานด้วยงบประมาณที่ไม่สูงมากกว่าโรงเรียนทั่วไปในเมืองไทยมากนัก 4.หาหนทางที่จะทำให้การ "แสดงให้ดู" นั้นได้ผลจริง ซึ่งคงไม่ใช่การแจกหนังสือหรือจัดสัมมนาเพียงอย่างเดียว

นั่นคือเหตุผลที่โรงเรียนสาธิตบางแห่ง เมื่อเริ่มดำเนินกิจการ ไม่มีการสอบแข่งขันใดๆ นอกจากสัมภาษณ์ผู้ปกครอง เพื่อเลือกเอาเด็กที่มาจากปูมหลังครอบครัวที่ต่างกัน จนเขาลือกันว่า หากพ่อแม่มีอาชีพที่ไม่ค่อยได้พบเห็น เช่น พ่อเป็นคนฉายหนังเร่ ลูกก็มีโอกาสสูงมากในการได้เข้าเรียน สาธิตอีกแห่งหนึ่งใช้วิธีจับสลาก เพราะโชคชะตาเป็นตัวกระจายโอกาสได้ดีเยี่ยมอย่างหนึ่ง เพราะมันไม่เข้าใครออกใคร จึงทำให้องค์ประกอบของชั้นเรียนใกล้เคียงกับโรงเรียนจริงในเมืองไทย<

การอยู่ร่วมกับคนที่มีปูมหลังครอบครัวอันหลากหลายนั่นแหละคือการศึกษาที่ดีเยี่ยมอย่างหนึ่ง หากโรงเรียนรู้จักใช้ประโยชน์จากความหลากหลายเช่นนี้

แต่แล้วโรงเรียนสาธิตก็กลายเป็นโรงเรียนเด่นดัง เพราะเป้าประสงค์เดิมถูกลืมเลือนไปหมดแล้ว ที่ยังมีอยู่ในเวลานี้คือเป็นสวัสดิการสำหรับอาจารย์มหาวิทยาลัย และด้วยเหตุดังนั้น จึงเผื่อแผ่ไปยังครอบครัวของคนในชนชั้นเดียวกัน และไม่เหลือวิธีอื่นในการคัดเลือกเด็กเข้าเรียน นอกจากการสอบแข่งขัน ซึ่งเป็นวิธีที่คนชั้นกลางระดับบนของไทยรู้สึกปลอดภัยจากการถูกเบียดขับด้วยเส้นสาย แต่ตราบเท่าที่โรงเรียนสาธิตยังเป็นสวัสดิการของอาจารย์มหาวิทยาลัย ก็ปฏิเสธเส้นสายไม่ได้ ดังนั้น การสอบแข่งขันจึงเป็นความชอบธรรมให้แก่ระบบเส้นสายไปพร้อมกัน

การทรมานเด็ก ทรมานผู้ปกครอง จึงใช้เป็นเหตุผลให้ยกเลิกการสอบแข่งขันเข้าเรียนชั้น ป.1 ไม่ได้ เพราะการสอบแข่งขันมันแฝงอยู่ในระบบอภิสิทธิ์ของสังคมไทย ไม่เกี่ยวอะไรกับการเรียนรู้หรือการศึกษาของเด็กไทยแต่อย่างไร แล้วจะมีคนไทยระดับบนๆ สักกี่คน ที่เห็นว่าควรยกเลิกระบบอภิสิทธิ์ในสังคมไทยเสียทีล่ะครับ

ในโลกสมัยใหม่ซึ่งอภิสิทธิ์เป็นที่บาดหูบาดใจคน จำเป็นต้องหาความชอบธรรมมาเคลือบอภิสิทธิ์ให้หายคม และหนึ่งในความชอบธรรมซึ่งใช้เคลือบอภิสิทธิ์มานาน คือการศึกษาและความรู้ความสามารถซึ่งสมมติว่ามาพร้อมกับการศึกษา

จะเตรียมเด็กอนุบาลคนหนึ่งให้สอบเข้าสาธิตได้นั้น ต้องลงทุนลงแรงอย่างไม่น่าเชื่อ ผู้ปกครองที่ให้สัมภาษณ์ทางทีวี และที่ผมเคยพูดคุย ทำให้พอประมวลได้ว่า

เด็กต้องเข้าเรียนในโรงเรียนอนุบาลที่มีคุณภาพ อย่างน้อยก็ไม่ทำให้เขาเบื่อหรือขยาดกับการเรียน ไม่ใช่ส่งไปศูนย์เด็กเล็กประจำหมู่บ้าน และจะนอนใจว่าเขาจะสอบเข้าสาธิตได้โดยปาฏิหาริย์ นี่เป็นทุนก้อนแรกที่ต้องลง หากไม่นับค่าอาหารและเลี้ยงดูตั้งแต่คลอด ซึ่งก็ต้องใช้สิ่งที่มีคุณภาพเหมือนกัน เพื่อบำรุงสมอง

เด็กควรใช้วันเสาร์อาทิตย์ในการเรียนพิเศษวิชาที่ทำให้ดูมีรสนิยมสักหน่อย เช่น ดนตรีไทยหรือเทศ, ขับร้อง, ฟ้อนรำ, วาดรูป, สนทนาภาษาอังกฤษ, ฯลฯ ซึ่งจะช่วยเพิ่มคะแนนในการสอบสัมภาษณ์ข้างหน้า

วิชาที่เรียนรู้ในโรงเรียนอนุบาลเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอแน่ จำเป็นที่เด็กควรได้เรียนจากเกม, หนังสือนิทาน, หรือการละเล่นอื่นๆ บางครอบครัวคุณแม่ต้องออกจากงานเพื่อมีเวลาสำหรับกำกับการเรียนรู้ของลูก หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องจ้างครูพิเศษมาทำหน้าที่ตรงนี้ และต้องเลือกครูที่นำการเรียนรู้ของเด็กในวัยอนุบาลเช่นนั้นได้เป็นด้วย และจะทำให้เด็กเรียนอย่างมีความสุข ก็ต้องเรียนที่บ้าน ไม่ใช่เรียนพิเศษที่โรงเรียนในตอนเย็น

ทั้งหมดนี้เป็นแค่ขั้นพื้นฐานที่ต้องทำเท่านั้น เพื่อให้แน่ใจว่าลูกหลานที่จะเข้าสอบแข่งขันนั้นเป็น "คุณหนู" ตัวจริงแน่แท้ และจะมีคนไทยที่ไม่ใช่อภิสิทธิ์ชนสักคนไหม ที่สามารถเลี้ยงลูกให้เป็น "คุณหนู" อย่างนี้ได้

โรงเรียนที่ต้องสอบแข่งขันเข้าเรียนในชั้น ป.1 นั้น คือโรงเรียนของ "คุณหนู" แต่โรงเรียนประกาศตรงไปตรงมาอย่างนี้ไม่ได้ เพราะมันระคายเคืองแก่คนส่วนใหญ่ในสังคมเกินไป (ก็ใช้เงินของสังคมไปเปิดโรงเรียน) ฉะนั้นจึงต้องสอบแข่งขัน คัดเลือกเอาเด็กที่เป็น "คุณหนู" ด้วยกัน เป็นภาพที่สาธารณชนพอรับได้ เพราะดูเหมือน "ใครดี ใครได้" แต่ที่จริงที่ว่าใครดี ก็ต้องดีมาก่อน ไม่ใช่ดีในการสอบเท่านั้น

โดยอาศัย ป.1 ในโรงเรียนดังเหล่านี้ คุณหนูก็จะไต่เต้าไปสู่มหาวิทยาลัยดัง หรือสอบชิงทุนไปเรียนต่อต่างประเทศ ผ่านเส้นทางการสอบแข่งขันที่เหมือนเปิดโอกาสที่เท่าเทียมแก่ทุกคน แต่ที่จริงแล้วโอกาสเปิดให้แก่คนที่มีอภิสิทธิ์จะพร้อมกว่าเท่านั้น ในที่สุดก็ไต่เต้าในหน้าที่การงานจนกลายเป็นสมาชิกของกลุ่มอภิสิทธิ์อย่างเต็มตัว

เข้าเรียน ป.1 จะต้องสอบแข่งขันหรือไม่ต้อง จึงไม่ได้อยู่ที่มีกฎหมายห้ามไว้หรือไม่ แต่อยู่ที่สิทธิที่ไม่เท่าเทียมกันของคนไทยต่างหาก ถึงห้ามสอบแข่งขัน ก็ต้องไปเปิดช่องอื่นให้แก่อภิสิทธิ์ชนจนได้

 

เผยแพร่ครั้งแรกใน: มติชนออนไลน์ www.matichon.co.th/article/news_1132227

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

นิทานจากห้องขังของ ‘กอล์ฟ เด็กปีศาจ’: Little Foot ตอน 6

Posted: 26 Sep 2018 08:33 AM PDT

 

หมายเหตุ: นิทานจากผู้ต้องขังคดีมาตรา 112 ภรณ์ทิพย์ หรือ กอล์ฟ วัย 26 ปี เพื่อนๆ มักเรียก กอล์ฟ เด็กปีศาจ ปัจจุบันถูกคุมขังอยู่ที่ทัณฑสถานหญิงกลาง เธอถูกตัดสินจำคุก 2 ปี 6 เดือนพร้อมกับคู่คดี ปติวัฒน์ หรือแบงก์ นักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น ชั้นปีที่ 4 ไปเมื่อวันที่ 23 ก.พ.2558

กอล์ฟถูกจับกุมจากข้อกล่าวหามีส่วนร่วมในละครเจ้าสาวหมาป่า จัดแสดงในงานรำลึก 14 ตุลาคม 2556

เธอมีพื้นเพเป็นชาวพิษณุโลก ครอบครัวทำไร่มันสำปะหลัง จบการศึกษาจากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ทำกิจกรรมเพื่อสังคม ทำค่ายอาสาต่างๆ มาตั้งแต่มัธยมศึกษาปีที่ 5 จนปัจจุบัน มีความสามารถในศิลปะหลายแขนงทั้งวาดภาพ เขียนนิทาน แต่เธอดูจะหลงรักศาสตร์การแสดงเป็นพิเศษ เคยก่อตั้งประกายไฟการละคร ก่อนจะปิดตัวไปในปี 2555

ครั้งหนึ่งเธอเคยให้สัมภาษณ์ถึงความใฝ่ฝันไว้ว่า "อยากไปเล่นละครในต่างจังหวัด อยากเล่นในที่ที่ต่างกัน และที่สำคัญอยากเล่นให้เด็กๆ ดู เราอยากจะเล่านิทานเรื่องใหม่ให้เด็กๆ ฟัง เป็นนิทานของคนธรรมดาที่เปลี่ยนโลกได้"

ระหว่างถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ เธอเขียนนิทานส่งให้ผู้ใกล้ชิดเป็นตอนๆ บอกเล่าความฝันและส่งกำลังใจถึงผู้คนข้างนอกโดยเฉพาะเด็กๆ ที่เธอมักจะทำกิจกรรมด้วย ผู้ใกล้ชิดแจ้งด้วยว่า คำที่ขีดเส้นใต้คือคำที่เธอจำเป็นต้องใช้ภาษาสุภาพตามกฎระเบียบของเรือนจำทั้งที่ตั้งใจว่าจะไม่ใช้คำสุภาพ เราคงรูปแบบย่อหน้า วรรคตอน ถ้อยคำ ไว้ทั้งหมด และเหตุที่เธอต้องเขียนย่อหน้าเดียวอัดแน่น เนื่องจากเรือนจำอนุญาตให้เขียนจดหมายฉบับหนึ่งได้ไม่เกิน 15 บรรทัด 

หลังจากที่เธอพ้นโทษ กอล์ฟได้เจอต้นฉบับนิทานที่ส่งออกมาอีก 3 ชิ้น จึงได้ขอให้เผยแพร่เพื่อความครบถ้วนสมบูรณ์ของนิทานเรื่องนี้ 

ทัณฑสถานหญิงกลาง
ห้อง 1/6 อาคารเพชร
แดนแรกรับ

สวัสดีจ้า ไม่น่าเชื่อเลยว่าเราจะใช้เวลา 6 เดือนกว่าเล่านิทานเรื่องนึงไม่จบ 555 ยังไงการเล่าปากเปล่าก็ทำให้เรารู้สึกดีกว่าอยู่ดี อะ มาอ่านกันต่อเลยละกัน

บ้านเรือนและมนุษย์เริ่มมีให้เห็นตามสองข้างทาง เจ้าเท้าเล็กหันไปยิ้มเยาะให้กับนกน้อยได้แล้ว ในที่สุดมันก็มาถึงที่ที่มันไม่เคยมา เจ้านกน้อยสะบัดหน้าควับ !!! แล้วบินจากไปพร้อมกับแสงตะวันที่เริ่มจางหายไป แต่ก็ยังมีแสงอีกแสงหนึ่งที่มันมองเห็น แสงจากตะเกียงอันใหญ่ที่อยู่สูงเท่าๆกับยอดไม้ "ใครหนอขึ้นไปจุดตะเกียงบนนั้นได้" เจ้าเท้าเล็กเดินตามแสงนั้นมาเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูบานใหญ่มากๆ ประตูที่มีลายงูหน้าตาแปลกๆอยู่สองข้าง ที่เชื่อมกับรั้วสูงๆ

มันไม่ค่อยกล้าเข้าไปยืนชิดประตูนัก แค่ชะเง้อดูเท่านั้นแต่ว่าความมืดก็ทำให้มันมองเห็นอะไรได้ไม่มากนัก แถมความน่ากลัวของงูสองตัวนั่น ที่จ้องตามาทางมันก็ทำให้มันค่อยๆถอยออกมาที่ใต้ต้นไม้เล็กๆ จนกลิ่นหอมของดอกไม้สีขาวเป็นพวงเตะจมูกมัน บางทีมันอาจจะเกิดมาจาดความไม่ตั้งใจของเจ้าของบ้าน แต่กลิ่นอันหอมเย็นก็ทำให้หัวใจของเจ้าเท้าเล็กสดชื่นขึ้นมา เจ้าเท้าเล็กค่อยๆพิงกำแพงและนั่งลงมองเท้าที่เต็มไปด้วยสะเก็ดแผลเล็กๆจากการโดนน้ำค้างแข็งบาดของตัวเองแล้วยิ้มให้กับมัน

ยิ่งมืด ท้องของมันยิ่งร้อง นกน้อยคงหัวเราะเยาะมันอยู่ที่ไหนสักแห่งหนึ่ง มันขดตัวเล็กลงมากกว่าเดิมแล้วหยิบเอาน้ำจากขวดที่เหลืออยู่ครึ่งขวดมากรอกใส่ปาก ดีนะที่เจ้าปีศาจเตือนให้มันรองน้ำจากลำธารมาด้วย ไม่งั้นคงแย่กว่านี้ "บางทีเจ้าปีศาจก็ดูฉลาดบางทีมันก็ดูโง่" พอมันกรอกน้ำลงท้องจนตึงมันก็ขดตัวหลับไปในคืนนั้นโดยไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรมากมายนัก มันไม่ฝันอะไรเลย เสียงไก่ที่ขยันเกินเหตุปลุกเจ้าเท้าเล็กตั้งแต่แสงตะวันโผล่ขึ้นมานิดเดียวเอง ความหนาวจากอากาศผสมกับน้ำค้างทำให้มันไม่อยากลุกไปไหน มันกอดตัวเองแน่นขึ้นแล้วหลับต่อไป จนเสียงประตูของบ้านหลังใหญ่ดังขึ้น มนุษย์หัวโล้นนับได้ 5 คน เดินผ่านประตูออกมาเป็นแถวตรงไปที่ถนนที่มีบ้านคนเรียงรายอยู่ มันแอบเดินตามเพราะสงสัยว่ามนุษย์เผ่านี้จะอุ้มกะละมังสีดำไปที่ไหน ที่หมู่บ้านใกล้ๆกันก็ไม่มีเผ่าไหนแต่งตัวแบบนี้เลย (ถ้าอยู่กับเด็กๆข้าพเจ้าจะถามพวกเขาว่าเดาได้ไหมว่าเผ่าอะไร หรือบางทีอาจมีเด็กบางคนยกมือขึ้นเฉลยให้เพื่อนๆฟังก่อนที่ข้าพเจ้าจะถามซะอีก5555)

มนุษย์พวกนั้นถือกะละมังยืนเรียงแถวกันหน้าบ้านที่มีคนเตรียมอาหารไว้แล้วใส่ลงไปในกะละมังอย่างบรรจงให้พวกเขาทุกๆคน "พวกเขาใจดีเหลือเกิน" มันรีบวิ่งเข้าไปต่อท้ายแถวแล้วแบมือขออาหารพร้อมส่งยิ้มน้อยๆที่เต็มไปด้วยความหวังให้สองคนนั่น

โปรดใช้ถ้อยคำที่สุภาพและถูกหลักภาษาไทย

ข ญ ภรณ์ทิพย์ มั่นคง

อ่านนิทานจากห้องขังของ 'กอล์ฟ เด็กปีศาจ': Little Foot ตอน 1-5 ได้ที่

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

คนรุ่นใหม่กับการเลือกตั้งที่(อาจ)จะเกิดขึ้น 24 กุมภาพันธ์ 2562

Posted: 26 Sep 2018 06:50 AM PDT

ยุคสมัยการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น หลังจากที่ คสช.ยึดอำนาจเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 จวบจนวันนี้ผ่านมารวมระยะเวลาได้เป็นจำนวน 4 ปี 4 เดือน หรือจะเอาข้อมูล แบบจำนวนวันชัดๆก็ 1,576 วัน นับถึงวันที่ คสช. ประกาศคลายล็อคการเมือง เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2561 จำนวน 1,576 วัน กับระยะเวลาที่ประเทศไทยไม่มีการเลือกตั้ง ยังไม่นับรวมก่อนวันที่ คสช.เข้ามายึดอำนาจ ก่อนการเลือกตั้งที่เป็นโมฆะ เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ถือว่าเป็นเวลาที่นานพอสมควร

นอกจากระยะเวลาที่นาน สิ่งสำคัญที่สุดคือการโดนปิดกั้นการแสดงออกถึงเสรีภาพของคนรุ่นใหม่ ปิดกั้นความคิด ปิดกั้นสิทธิ การที่ต้องเติบโตมาในสภาวะการขาดเสรีภาพขั้นพื้นฐาน การแสดงความคิดเห็นที่โดนเพ่งเล็ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ จนไปถึงเรื่องใหญ่ๆในสังคมที่ปราศจากการเลือกตั้ง จากสังคมรอบข้างในการแสดงทรรศนะที่เกี่ยวกับการเมือง การตั้งคำถามของสังคมกับการเข้าไปมีส่วนร่วมของคนรุ่นใหม่ และการเป็นวัยแห่งการเรียนรู้ของคนรุ่นใหม่ บรรยากาศทำให้เกิดการตั้งคำถามมากขึ้นกับสภาพสังคมที่เป็นอย่างทุกวันนี้

 

จากสถิติที่พบเกี่ยวกับจำนวนคนรุ่นใหม่ที่ยังไม่เคยใช้สิทธิเลือกตั้ง 

จำนวนคนรุ่นใหม่ที่อายุครบ 18 ที่ยังไม่เคยได้เลือกตั้งระดับประเทศ ตั้งแต่ปี 2555 - 2560 พบว่ามีคนรุ่นใหม่ ที่ยังไม่เคยได้สัมผัสการเลือกตั้งระดับประเทศมีจำนวนมากถึง 5,616,261 คน นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 – 2560 เห็นได้ว่าถ้านับช่วงอายุจะเป็น คนรุ่นใหม่ อายุไม่เกิน 22 ปี ในปัจจุบัน ข้อมูลยังไม่รวม ปี พ.ศ.2561 ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย ซึ่งถ้ายิ่งยื้อการเลือกตั้งออกไปนานเท่าไหร่จำนวนคนรุ่นใหม่กลุ่มนี้ก็จะยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ

จำนวนคนที่มีสิทธิอายุครบ 18 ปี แล้วแต่ไม่เคยได้เลือกตั้ง มีจำนวนมากถึง 5,616,261 คน

จากสถิติที่พบเกี่ยวกับจำนวนคนรุ่นใหม่ที่ยันไม่เคยได้สิทธิเลือกตั้งกับผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมดข้อมูลในปี2560

จากข้อมูลพบว่า มีผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เป็นคนรุ่นใหม่ที่ไม่เคยสัมผัสการเลือกตั้งมากถึง 11 % ของทั้งหมด

จำนวน 11% ที่ไม่เคยสัมผัสบรรยากาศการเลือกตั้ง การหาเสียง การรณรงค์ การเข้าคูหา และ การนับคะแนน ซึ่งทั้งหมด คือบรรยากาศของความเป็นประชาธิปไตย ที่คนรุ่นใหม่ยังไม่เคยได้สัมผัสเข้าไปมีส่วนร่วม เป็นการเสียโอกาสในการเรียนรู้ประสบการณ์การเลือกตั้งซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบอบประชาธิปไตย 

ความสำคัญของการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น 

สิทธิการเลือกตั้งคือปัจจัยขึ้นพื้นฐานของความเป็นพลเมืองที่ทุกคนพึงมี แต่การที่ไม่ได้โอกาสในการใช้สิทธินั้นตามระบอบประชาธิปไตย ของการเข้ามามีส่วนร่วม และ คนรุ่นใหม่ที่โดนปิดกั้นในการแสดงออกทางการเมืองขั้นพื้นฐาน จะเป็นปัจจัยให้การเลือกตั้ง ในปี 2562 ข้างหน้านี้นั้น เป็นแรงขับเคลื่อนพลังของคนรุ่นใหม่ต่อการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น และเป็นการรอเลือกตั้งครั้งแรกของ 5.6ล้านคน หรือ 5.6 ล้านเสียง ที่ยังไม่เคยเข้าคูหา กาบัตรเลือกตั้ง หย่อนบัตรเลือกตั้ง เลยสักครั้งเดียวในชีวิต เป็นการเลือกตั้งครั้งสำคัญที่ได้รับการจับตามองอย่างมากไม่ว่าจะเป็นทั้งในประเทศและนอกประเทศ
การก้าวต่อไปในอนาคตของคนรุ่นใหม่กับการเลือกตั้ง

อดีตกับระยะเวลา 4 ปี 4เดือน หรือ จำนวน 1,576 วัน กับ จำนวนคน 5,616,261คน ที่สูญเสียสิทธิที่ควรจะได้ เมื่อครบเกณฑ์ที่กำหนด นับเป็น 11 % ของผู้ที่มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมดจากข้อมูล ปี2560 เลยก็ว่าได้ การที่จะได้เห็นสิ่งใหม่ๆจากพลังของคนรุ่นใหม่ๆ นับจากนี้ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญ เพราะอนาคตข้างหน้า 11 % นี้จะเป็นตัวกำหนดทิศทาง ของสังคมและประเทศต่อไป ไม่มากก็น้อย ขึ้นอยู่กับ 11 % หรือ ที่เราเรียกว่าคนรุ่นใหม่นั่นเอง

 

อ้างอิงข้อมูล คนรุ่นใหม่ ที่ยังไม่เคยได้สัมผัสการเลือกตั้งระดับประเทศมีจำนวนมากถึง 5,616,261 คน นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 – 2560
รายงานสถิติจำนวนประชากรประจำปี 2560
http://user.khonthai.com/stat/statnew/statMenu/newStat/home.php
ระบบสถิติทางการทะเบียน
Official Statstics Registration Sytstems.

ส่วนบริหารและพัฒนาเทคโนโลยีการทะเบียน 
สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง 
59 หมู่ 11 ตำบลบึงทองหลาง อำเภอลำลูกกา 
จังหวัดปทุมธานี 12150
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

อ้างอิงข้อมูล จำนวนคนมีสิทธิเลือกตั้ง ปี 2560
สสช.สำนักงานสถิติแห่งชาติ
สถิติประชากรศาสตร์ ประชากรและเคหะ
http://statbbi.nso.go.th/staticreport/page/sector/th/01.aspx
จำนวนประชากรจากการทะเบียน จำแนกตามอายุ เพศ และจังหวัด พ.ศ. 2560

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

รณรงค์ ‘วันคุมกำเนิดโลก 2018’ เร่งแก้ปัญหาท้องก่อนวัยในยุค 4.0 ย้ำเป็นการรับผิดชอบร่วมชาย-หญิง

Posted: 26 Sep 2018 06:46 AM PDT

ภาครัฐ-เอกชนผนึกกำลังลดการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ พบวัยรุ่นไทยอายุ 10 ถึง 19 ปี คลอดลูกปีละ 8.4 หมื่นคน ดีเดย์ในวันที่ 26 ก.ย. วันคุมกำเนิดโลก 2018 ขับเคลื่อนร่วมกับนานาชาติ แนะผู้ปกครองเปิดใจคุยเรื่องเพศกับลูกหวังรู้เท่าทันก็สามารถป้องกันได้ ย้ำเป็นการรับผิดชอบของทั้งหญิง-ชาย สถิติจากองค์การอนามัยโลก พบว่า มีสตรีตั้งครรภ์โดยขาดความรู้คุมกำเนิดที่ถูกต้องถึง 33 ล้านคน ทั่วโลก  

26 ก.ย. 2561 องค์กรภาคีในประเทศไทยรณรงค์ "วันคุมกำเนิดโลก 2018" (World Contraception Day 2018) ร่วมกับนานาชาติ เพื่อส่งเสริมนโยบายการคุมกำเนิดที่ถูกต้อง ลดการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์และแก้ปัญหาท้องก่อนวัย โดยมีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และบริษัท ไบเออร์ไทย จำกัด ร่วมให้การสนับสนุน

นพ.กิตติพงศ์ แซ่เจ็ง ผู้อำนวยการสำนักอนามัยการเจริญพันธุ์ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงวันคุมกำเนิดโลก 2018 ว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ สภาพสังคม และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ประเทศไทยยังเผชิญกับปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ และการท้องในวัยรุ่นของหญิงมีแนวโน้มสูงขึ้น อายุต่ำสุดที่พบคือ 10 ปี จากการมีเพศสัมพันธ์เร็วขึ้นและในช่วงอายุที่น้อยลง เป็นปัญหาสังคมและสุขภาพที่ทุกฝ่ายจำเป็นต้องให้ความรู้ที่ถูกต้อง และการคุมกำเนิดอย่างถูกวิธี พร้อมรณรงค์ประชาชนตระหนักถึงผลกระทบในเรื่องนี้

โดยจากการสำรวจของกรมอนามัยในปี 2560  พบการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น โดยเฉพาะวัยรุ่นหญิงอายุ 10-19 ปี คลอดบุตรรวมทั้งสิ้น 84,578  คน หรือเฉลี่ย 232 คนต่อวัน การคลอดซ้ำในกลุ่มอายุนี้ 9,092 คน หรือร้อยละ 10.7 ขณะที่วัยรุ่นอายุ 10-14 ปี คลอดบุตร 2,559 คน หรือประมาณวันละ 7 คน 

"ในจำนวนผู้หญิงตั้งครรภ์ที่อายุต่ำกว่า 20 ปี เราพบว่ามีวัยรุ่นที่ตั้งครรภ์อายุน้อยแนวโน้มสูงขึ้น เสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพกายและจิตใจ รวมถึงปัญหาทางสังคมที่จะตามมา เช่น การเรียน การทำแท้งที่ผิดกฎหมาย การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ การหย่าร้างและขาดประสบการณ์ในการเลี้ยงดูลูก ถึงเวลาแล้วที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันแก้ไข"  ผู้อำนวยการสำนักอนามัยการเจริญพันธุ์ กล่าว

ปัจจุบัน พ.ร.บ.การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น  พ.ศ.2559 เริ่มบังคับใช้เมื่อ 29 กรกฎาคม 2559 กำหนดให้โรงพยาบาล หรือสถานบริการ ต้องช่วยเหลือให้คำปรึกษาปัญหาการตั้งครรภ์กับวัยรุ่นอายุ 10-20 ปี และวัยรุ่นสามารถขอรับบริการคุมกำเนิดทุกวิธี และการใช้ยาฝังคุมกำเนิดแบบกึ่งถาวรชนิด 3 ปี และ 5 ปี  รวมทั้งห่วงอนามัยได้ฟรี ขณะเดียวกัน กรมอนามัยยังจัดโครงการ "Young Love รักเป็น ปลอดภัย" มีบุคลากรทางการแพทย์ร่วมให้ความรู้อย่างใกล้ชิด ทั้งในมหาวิทยาลัยและโรงงานต่างๆ  

"สิ่งสำคัญของการคุมกำเนิด คือต้องเป็นการรับผิดชอบของทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย ฝ่ายชายควรใช้ถุงยางอนามัย ควบคู่กับฝ่ายหญิงในการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดหรือวิธีการคุมกำเนิดต่างๆ เพราะนอกจากจะป้องกันการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์แล้ว ยังสามารถป้องกันโรคติดต่อต่างๆ ที่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ด้วย" นพ.กิตติพงศ์ กล่าว

รศ.นพ.มานพชัย ธรรมคันโธ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ สูติ-นรีเวชศาสตร์ อนามัยเจริญพันธุ์และงานวางแผนครอบครัว ปัจจุบันสังคมออนไลน์เป็นช่องทางการติดต่อสื่อสารอย่างอิสระของกลุ่มวัยรุ่นและนำไปสู่การเรียนรู้เรื่องเพศที่อาจไม่ถูกต้องและไม่ได้รับคำแนะนำอย่างถูกต้อง ดังนั้นครอบครัว รวมถึงสถาบันการศึกษา จึงควรเป็นที่ปรึกษาที่สำคัญให้แก่วัยรุ่น เราควรส่งเสริมพ่อแม่ให้เปิดใจพูดคุยกับลูกหลานอย่างมีทักษะและความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง

"การให้ความรู้และทัศนคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับเพศศึกษาและการคุมกำเนิดต้องเริ่มตั้งแต่ในบ้านระดับครอบครัวเป็นกุญแจและเสาหลักที่สำคัญ รวมถึงครูและเพื่อนต้องคอยเป็นที่ปรึกษาให้พวกเขา ก็จะเป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ สร้างเสริมภูมิคุ้มกันแก่เด็กและเยาวชนได้" แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ สูติ-นรีเวชศาสตร์ กล่าว

รศ.นพ.มานพชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า การคุมกำเนิดมีทางเลือกหลายวิธี ทางเลือกหนึ่งที่มีประสิทธิภาพสูงและสะดวกสำหรับสตรีคือการรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด นอกจากนี้ยาเม็ดคุมกำเนิดยังมีประสิทธิภาพในเรื่องของการรักษาสิว ผิวหน้ามัน ที่เกิดจากฮอร์โมนเพศชายที่มากเกิน การลดภาวะแปรปรวนทางจิตใจและอารมณ์ในช่วงก่อนหรือขณะมีรอบเดือน รักษาอาการปวดประจำเดือน ช่วยควบคุมรอบเดือน รวมถึงการช่วยลดอุบัติการณ์ของมะเร็งรังไข่และมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก นอกจากนี้จากการวิจัยและพัฒนาการของยาเม็ดคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนรวมบางชนิดยังสามารถลดผลข้างเคียง ไม่ทำให้เกิดการบวม อ้วน หรือน้ำหนักเพิ่มที่เกิดเนื่องจากการคั่งของน้ำในร่างกายได้อีกด้วย

แพท ณปภา ตันตระกูล ดาราชื่อดังร่วมรณรงค์ในเรื่องนี้โดยระบุว่า ปัจจุบันมีแอปพลิเคชันและโซเชียลมีเดียจำนวนมากที่ได้รับความนิยมในหมู่วัยรุ่น ดังนั้นการรู้เท่าทันข้อมูลในยุค 4.0 เป็นสิ่งสำคัญจะช่วยป้องกันปัญหาท้องก่อนวัยได้ และหากวัยรุ่นเกิดปัญหาชีวิตก็อยากให้พวกเขายังมีสิทธิเรื่องการศึกษาต่อไปเพื่ออนาคตที่ดี

ริอาซ บัคช ผู้จัดการทั่วไปกลุ่มธุรกิจยา บริษัท ไบเออร์ไทย จำกัด ในฐานะผู้นำธุรกิจฟาร์มาซูติคอลและส่งเสริมสุขภาพผู้หญิง กล่าวว่า ไบเออร์ ตระหนักถึงความสำคัญของการรณรงค์เรื่องการคุมกำเนิดทั่วโลก ดังนั้นเนื่องในโอกาส วันคุมกำเนิดโลก 2561 หรือ World Contraception Day 2018 บริษัทไบเออร์ร่วมกับ 15 ภาคีเครือข่ายทั่วโลกจัดกิจกรรมรณรงค์โครงการ Young Life ภายใต้แนวคิด "It's Your Life, It's Your Future"

 

โครงการ Young Life ดำเนินกิจกรรมผ่านเว็บไซต์  www.your-life.com  ได้เปิดเผยข้อมูลระบุว่า ในปี 2555 มีจำนวนสตรีตั้งครรภ์  213 ล้านคนทั่วโลก ในจำนวนนี้ 85 ล้านคน เป็นการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ และพบว่า 33 ล้านคน เกิดจากการคุมกำเนิดอย่างไม่ถูกวิธี

 

"สำหรับประเทศไทย เนื่องในวันคุมกำเนิดโลกปี 2561 นี้ ได้มีการจัดทำ คลิปวิดีโอออนไลน์สื่อสารความรู้เรื่องการคุมกำเนิด โดยมี คุณแพท ณปภา ตันตระกูล เป็นพิธีกร สัมภาษณ์พิเศษนพ.กิตติพงศ์ แซ่เจ็ง และรศ.นพ.มานพชัย ธรรมคันโธ เพื่อให้ความรู้และรณรงค์ เรื่องการคุมกำเนิดอย่างถูกต้อง และป้องกันปัญหาการท้องก่อนวัย ซึ่งแนวทางที่เกิดขึ้นจะมีผลดีต่ออนาคตของเด็กและเยาวชน โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นหญิง ที่ได้รับผลกระทบจากการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์มากที่สุด โดยจะเผยแพร่คลิปวิดิโอนี้ผ่านทาง Facebook Young Love" คุณริอาซ กล่าว

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ตปท.ไร้งานวิจัยชี้ 'รักษาฟรี ทำคนไม่ดูแลสุขภาพ'

Posted: 26 Sep 2018 05:54 AM PDT

'หมอธีระ' เผย ตปท.ไร้งานวิจัยระบุว่า 'รักษาฟรี ทำคนไม่ดูแลสุขภาพ' ซ้ำสหรัฐฯ ผลการศึกษาชัด ทั้งดัชนีมวลกาย การสูบบุหรี่และดื่มสุรา ไม่เพิ่มหลังมีนโยบายหลักประกันสุขภาพ พร้อมแนะ 3 แนวทาง ปรับสภาพแวดล้อมเหมาะสม สร้างกลไกสนับสนุน พร้อมประกาศเป็นนโยบายสาธารณะ เอื้อประชาชนดูแลสุขภาพเพิ่ม ย้ำทั้งระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและการดูแลสุขภาพตนเอง รัฐบาลต้องเดินหน้าควบคู่

ผศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ (ซ้ายมือ)

26 ก.ย.2561 จากคำกล่าวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ระบุถึงการที่ภาครัฐจัดบริการรักษาฟรี ทำให้ประชาชนไม่ดูแลสุขภาพตนเองส่งผลให้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมานั้น ผศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ อาจารย์ประจำภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า คำกล่าวดังกล่าวของนายกรัฐมนตรีเชื่อว่าเป็นความปรารถนาดีของท่านที่มีต่อประเทศชาติ เรื่องนี้ส่วนตัวมีมุมมอง 2 ประเด็นด้วยกัน คือ 

1. การจัดระบบหลักประกันสุขภาพ รักษาฟรี ทำให้ประชาชนละเลยดูแลสุขภาพตนเองหรือไม่นั้น จากการทบทวนงานวิจัยทั่วโลกพบว่าไม่มีหลักฐานวิชาการใดฟันธงว่า การจัดสวัสดิการสังคมด้านสุขภาพส่งผลให้ประชาชนไม่ดูสุขภาพตนเอง หรือดูแลตนเองลดลง แม้แต่ในต่างประเทศก็มีงานวิจัยหลายชิ้นในช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมาก็ยังไม่มีข้อสรุปในลักษณะนั้น แต่ขณะเดียวกันในการศึกษานโยบายสวัสดิการด้านสังคมเพื่อดูแลประชาชนที่ไม่มีหลักประกันสุขภาพในสหรัฐอเมริกา โดยสำนักวิจัยเศรษฐศาสตร์แห่งชาติ ที่เพิ่งเผยแพร่ออกมาเมื่อปีที่แล้วระบุว่า จากเดิมประชาชนสหรัฐฯ ที่ไม่มีหลักประกันสุขภาพ จะมีปัญหาค่าใช้จ่ายและไม่อยากเข้ารักษาพยาบาล เพราะกลัวล้มละลาย แต่ด้วยนโยบายนี้ทำให้คนเหล่านี้เข้าถึงบริการสุขภาพมากขึ้น ส่วนนโยบายนี้ทำให้เกิดการดูแลสุขภาพที่แย่ลงหรือไม่ พบว่าจากการวัดค่าดัชนีมวลกาย อัตราการสูบบุหรี่ และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ระบุชัดว่า พฤติกรรมสุขภาพของประชาชนไม่แตกต่างจากเดิม โดยถือเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ยืนยันได้      

2. จากคำพูดของนายกรัฐมนตรีที่มีข้อความสำคัญ คือ "การดูแลสุขภาพตนเอง" นับเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องร่วมกันขับเคลื่อนควบคู่กับการพัฒนาระบบสวัสดิการสังคม แต่การทำให้คนไทยดูแลสุขภาพตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น จากงานวิจัยต้องมีการดำเนินการใน 3 แนวทาง คือ

การปรับปัจจัยสภาพแวดล้อมเอื้อต่อการดูแลสุขภาพ รวมถึงข้อมูลข่าวสาร โดยเฉพาะสื่อออนไลน์ที่มีทั้งเป็นข้อมูลทางการ ไม่เป็นทางการ ที่เป็นจริงบ้างและไม่เป็นจริงบ้าง นำเสนอโดยเซเลบและไม่ใช่เซเลบ ทำให้คนหลงเชื่อ ข้อมูลหลายอย่างแทนที่จะเป็นประโยชน์กับประชาชน แต่กลับกลายเป็นโทษทำลายสุขภาพเมื่อนำไปปฏิบัติ จำเป็นที่รัฐบาลต้องหาวิธีจัดการเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลสุขภาพที่ถูกต้องได้ง่าย, การพัฒนากลไกเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพได้ รวมถึงการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคและการดูแลสุขภาพ โดยเฉพาะการเน้นกลไกระดับพื้นที่ซึ่งประชาชนเข้าถึงได้ง่าย อาทิ คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอและระดับเขตที่เน้นความร่วมมือทุกภาคส่วนในพื้นที่ ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ยึดติดระบบราชการ รวมถึงกลไกหมอครอบครัว และการประกาศนโยบายสาธารณะโดยรัฐบาล เพื่อเป็นเข็มทิศให้กับทุกหน่วยงานและองคาพยพ มุ่งขับเคลื่อนทำให้ประชาชนดูแลตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ

ต่อข้อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ว่าเป็นเพราะมีผู้ป่วยที่เข้าถึงการรักษาจำนวนมาก ทำให้เข้าใจว่าประชาชนไม่ดูแลสุขภาพ นพ.ธีระ กล่าวว่า ตรงนี้ต้องระมัดระวังเพราะการพูดประโยคสั้นๆ อาจแปลความหมายได้หลายแง่มุมจนทำให้เกิดปัญหาตามมาได้ โดยเฉพาะคนที่เสียงดัง อาจทำให้คนเชื่อตามได้ ซึ่งจากการสืบค้นข้อมูลในต่างประเทศยังไม่มีหลักฐานยืนยัน แต่ในทางกลับกันนโยบายส่งเสริมให้เข้าถึงการรักษาสำหรับทุกคนนั้น ย่อมแน่นอนว่าจะทำให้เกิดภาระงานต่อบุคลากรทางการแพทย์ จึงจำเป็นที่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องลงทุนทรัพยากรเพิ่มเติมให้เพียงพอ และต้องเตรียมความพร้อมรองรับ เพราะหากยังปล่อยให้ระบบมีบุคลากรและทรัพยากรเท่าเดิม ระบบก็จะไปไม่ไหวได้  

ผู้สื่อข่าวถามว่า จากคำกล่าวนายกรัฐมนตรีเป็นการสะท้อนว่า รัฐบาลมองระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเป็นภาระงบประมาณหรือไม่ นพ.ธีระ กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าเมื่อประเทศเดินก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพนอกจากไม่มีทางลดลงแล้ว ยังจะขยับเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 9-12 ต่อปีอย่างแน่นอน แม้นี่จะเป็นข้อมูลในต่างประเทศ แต่ในส่วนของประเทศไทยก็คงไม่ต่างกันเพราะระบบสุขภาพผูกติดกับมาตรฐานต่างประเทศ และเป็นสัจธรรมที่ต้องยอมรับ ไม่ต้องตีโพยตีพาย และควรร่วมกันหาวิธีเพื่อลดทอนปัญหา โดยพัฒนาแนวทางให้ประชาชนดูแลสุขภาพตนเอง ชะลอการเกิดโรค โดยดำเนินการไปพร้อมกับการพัฒนาหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่เป็นระบบทำให้คนเจ็บป่วยเข้าถึงการรักษา ทั้งนี้หากถามว่ารัฐบาลควรวิตกต่อภาระงบประมาณในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือไม่ เป็นสิ่งที่กังวลได้ แต่ควรตามด้วยการขับเคลื่อนเพื่อให้เกิดการดูแลสุขภาพตนเอง รวมถึงการพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพให้มีคุณภาพและมาตรฐานยิ่งขึ้น    

ส่วนกรณีที่กระทรวงการคลังมีแนวคิดให้ประชาชนที่มีรายได้มากกว่า 100,000 บาท/ปี ร่วมจ่ายในการเข้ารับบริการในสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาตินั้น นพ.ธีระ กล่าวว่า ตามหลักการทุกคนไม่ว่ายากดีมีจนนั้นมีความเป็นคนและสิทธิพลเมืองที่ไม่แตกต่างกัน และรัฐบาลมีหน้าที่ดูแลประชาชนที่เปรียบเหมือนลูกหลาน ควรให้การดูแลอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ควรแบ่งแยกว่าคนรายได้มากจะดูแลเท่านี้ คนรายได้น้อยจะดูแลแบบนี้ ซึ่งโดยหลักการแล้วควรให้ทำให้ประชาชนทุกคนมีความมั่นใจ

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

สหภาพแรงงานรถไฟพบ รมว.คมนาคม ทวงถามกรณีเพิ่มพนักงาน

Posted: 26 Sep 2018 05:31 AM PDT

26 ก.ย. 2561 สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย (สร.รฟท.) เปิดเผยว่าวันนี้ (26 ก.ย.) สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย นำโดยนายภิญโญ เรือนเพ็ชร รองประธาน สร.รฟท. และคณะได้เข้าพบนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อติดตามความคืบหน้า และเร่งรัด เรื่องกรณีการขอยกเว้นมาตรการด้านบุคลากร ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 ก.ค. 2541 เพื่อขอให้การรถไฟแห่งประเทศไทย สามารถรับพนักงานได้ในกรอบอัตรากำลัง 19,241 อัตรา (พนักงาน 16,660 อัตรา และลูกจ้าง 2,581) ซึ่งผลการเข้าพบมีรายละเอียดดังนี้

เรื่องกรณีการขอยกเว้นมาตรการด้านบุคลากร ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 ก.ค. 2541 เพื่อขอให้การรถไฟแห่งประเทศไทย สามารถรับพนักงานได้ในกรอบอัตรากำลัง 19,241 อัตรา (พนักงาน 16,660 อัตรา และลูกจ้าง 2,581) หลังจากที่กระทรวงคมนาคมได้มีหนังสือที่ คค.0206/กบท.1676 ลงวันที่ 21 มิ.ย. 2561 เรื่อง ขอให้เพิ่มเติมข้อมูล เรื่องขอยกเว้นมาตรการด้านบุคลากรตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 28 ก.ค. 2541 เพื่อขอให้การรถไฟแห่งประเทศไทยสามารถรับพนักงานได้ในกรอบอัตรากำลัง 19,241 อัตรา (พนักงาน 16,660 อัตรา และลูกจ้าง 2,581) ซึ่งมีข้อสังเกต 5 ข้อ เพื่อให้การรถไฟแห่งประเทศไทยจัดทำข้อมูลตามข้อสังเกตของกระทรวงคมนาคม ซึ่งการรถไฟได้มีหนังสือที่ รฟ.1/1423/2561 ลงวันที่ 3 ส.ค. 2561 ตอบชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติมไปยังปลัดกระทรวงคมนาคม ซึ่งทางรัฐมนตรีแจ้งว่ารายละเอียดข้อมูลที่ทางการรถไฟแห่งประเทศไทยตอบมาเพิ่มเติมนั้น มีรายละเอียดครบถ้วนเพียงพอแล้ว ขั้นตอนต่อไปก่อนที่จะนำเสนอเข้าสู่การพิจารณา ครม. ทางกระทรวงจะนำเสนอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากลั่นกรอง หลังจากนั้นจะรีบนำเสนอให้ ครม.โดยเร็วที่สุด

สหภาพแรงงานรถไฟฯ ขอรัฐเร่งเพิ่มอัตราพนักงาน รฟท.
รฟท. จ่ายค่า 'ทำงานวันหยุด-โอที' กว่าพันล้าน เหตุขาดกำลังคน

นอกจากนี้ทาง สร.รฟท.ได้สอบถามความเรื่องของ ร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางราง พ.ศ. ... และการจัดตั้งกรมขนส่งทางราง ทางรัฐมนตรีชี้แจงว่าในส่วนของร่าง พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่...) พ.ศ....ที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งกรมขนส่งทางราง ในกระบวนการนี้จะดำเนินการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นี้ให้แล้วเสร็จในเดือน ต.ค. 2561 เพื่อให้มีหน่วยงานที่ทำหน้าที่กำกับดูแลด้านการขนส่งทางราง และในส่วนของร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางราง พ.ศ. ... ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะที่ 4 ทำการตรวจ แก้ไขร่าง ซึ่งยังมีรายละเอียดหลายย่างที่ยังมีปัญหาที่ต้องปรับปรุงแก้ไข

ซึ่งในเรื่องนี้ทาง สร.รฟท.มีความเห็นว่าในเนื้อหาของร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องของอำนาจขอบเขตของการทำหน้าที่กำกับดูแล (Regulator) ไม่เป็นไปตามหลักการและเหตุผล เช่น การเข้าไปบริหารทรัพย์สินที่เป็นของการรถไฟฯ การออกใบอนุญาตต่างๆ และเรื่องของการให้เอกชนเข้ามาเป็นผู้ประกอบกิจการขนส่งทางราง ซึ่งทาง สร.รฟท.ยังไม่เห็นด้วยในเนื้อหาของ พ.ร.บ.ฉบับนี้ โดยทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้รับข้อเสนอของทาง สร.รฟท.เพื่อนำเสนอข้อมูลต่อคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะที่ 4 ต่อไป
 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai