โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2561

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com

Link to ประชาไท

นักวิชาการเผยแผนจีนยึดแปซิฟิกใต้ผ่านทหาร การเมือง เศรษฐกิจ สหรัฐฯ มีสะเทือน

Posted: 11 Sep 2018 09:16 AM PDT

นักวิชาการด้านเอเชียศึกษาเผยเรื่องการแผ่อิทธิพลของจีนสู่ทะเลจีนใต้และหมู่เกาะแถบโอเชียเนียทั้งในด้านการทหาร เศรษฐกิจ และการเมือง ที่เป็นภัยต่อคู่กรณีในทะเลจีนใต้และอิทธิพลของสหรัฐฯ ในภูมิภาคดังกล่าวและอาจสะท้อนถึงความพยายามล่าอาณานิคมในยุคสมัยใหม่

เรือบรรทุกเครื่องบินเหลียวหนิงในน่านน้ำเขตปกครองพิเศษฮ่องกง (ที่มา: Wikipedia)

รายงานเอเชียไทม์เขียนโดยเคอร์รี เค เกอชาเนค นักวิชาการจากสถาบันเอเชียศึกษามหาวิทยาลัยเจิ้งจื้อ ประเทศไต้หวัน ซึ่งในอดีตเคยเป็นเจ้าหน้าที่นาวิกโยธินสหรัฐฯ ระบุถึงความทะเยอทะยานของจีนในการแผ่ขยายอิทธิพลครอบงำพื้นที่มหาสมุทรแปซิฟิกทางใต้ผ่านหลายมาตรการ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ยุทธศาสตร์ทางทหาร ทางเศรษฐกิจ รวมถึง "สงครามการเมือง" ที่เข้าไปแทรกแซงกิจการในประเทศหมู่เกาะให้ขัดขวางสหรัฐฯ วางแผนเป็นทางเชื่อมไปสู่พื้นที่ยุทธศาสตร์เพื่อยึดกุมความได้เปรียบซึ่งอาจจะเป็นภัยต่อสหรัฐฯในอนาคต

เคอร์รีระบุว่าเรื่องที่คนไม่ค่อยสังเกตเห็นกันคือการที่จีนกำลังพยายามตั้งฐานทัพในแถบมหาสมุทรแปซิฟิกทางใต้ที่นักวิจารณ์มองว่าเป็นความพยายาม "ล่าอาณานิคมแบบใหม่" และเป็นปัญหาสำหรับฐานทัพสหรัฐฯ ทั้งทางบกและทางอากาศในแถบเกาะกวม

รายงานจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ หรือเพนตากอนที่ออกมาเมื่อเดือน ส.ค. ที่ผ่านมาระบุว่าจีนอาจจะกำลังเตรียมซ้อมโจมตีทางอากาศใส่ประเทศสหรัฐฯ และกลุ่มเป้าหมายประเทศที่เป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ รายงานระบุอีกว่าการซ้อมรบทางอากาศของจีนอาจจะมีการวางแผนให้เกิดการแผ่อิทธิพลในประเทศหมู่เกาะแถบมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ได้ ซึ่งเรื่องนี้สร้างความกังวลให้กับสหรัฐฯ

เบน โบเฮน นักข่าวที่ประจำอยู่ที่ประเทศวานูอาตู ประเทศในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้กล่าวว่า จากการที่จีนมีฐานที่มั่นที่เข้มแข็งในทะเลจีนใต้ จีนจะสามารถแสดงพลังทางการทหารในแถบประเทศหมู่เกาะแปซิฟิกตอนใต้ได้ นอกจากนี้กองเรือหาปลาของจีนก็เพิ่มจำนวนขึ้นในบริเวณทะเลจีนใต้

จีนมีฐานทัพในแถบทะเลจีนใต้ที่เกาะสแปรตลีและเกาะพาราเซล ซึ่งจากฐานที่มั่นเหล่านั้นกองทัพอากาศของจีนจะสามารถไปถึงกลุ่มประเทศและหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกที่เรียกว่าโอเชียเนียได้ ซึ่งจะสามารถหนุนหลังความทะเยอทะยานของจีนในทางการเมืองและเศรษฐกิจในแถบหมู่เกาะแปซิฟิกได้ สิ่งปลูกสร้างสนับสนุนกองกำลังทางน้ำและทางอากาศที่จีนสร้างบนพื้นที่ต่างๆ ในทะเลจีนใต้มีระยะทางใกล้กับโอเชียเนียมากขึ้น 1,500 ไมล์เมื่อเทียบกับฐานทัพที่อยู่บนจีนแผ่นดินใหญ่ โดยฐานสนับสนุน 3 แห่งที่กำลังก่อสร้างจะทำให้จีนแก้ปัญหาด้านการคุ้มกันพื้นที่ที่ก่อนหน้านี้ทำได้ไม่ดี

ร.อ. เจมส์ ฟาเนลล์ เจ้าหน้าที่ข่าวกรองกองทัพเรือสหรัฐฯ ที่เกษียณอายุแล้วผู้เคยทำงานเก็บข้อมูลกองทัพเรือจีนมาเป็นเวลา 30 ปี กล่าวว่าการวางกำลังของจีนในแถบหมู่เกาะทะเลจีนใต้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการสร้างอำนาจนำให้ตัวเองในภูมิภาคในด้านการยึดกุมความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์และพื้นที่ๆ มีทรัพยากรมากในแถบหมู่เกาะรอบออสเตรเลียที่มีประชากรน้อย โดยจีนอาศัยความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองในการปูทางสู่อำนาจซึ่งกลายเป็นภัยต่อผลประโยชน์ของประเทศเสรี

ในรายงานกำลังทางทหารของจีนปี 2561 ของเพนตากอนที่ออกมาเมื่อวันที่ 16 ส.ค. ระบุถึงการที่เครื่องบินทิ้งระเบิดสามารถบินในระยะจากทะเลจีนใต้ไปยังแถบโอเชียเนียได้แล้ว และยังกล่าวถึงถึงพัฒนาการทางทหารด้านอื่นๆ ตามหมู่เกาะเทียมรวมถึงโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ลอยน้ำได้ในพื้นที่เหล่านี้ด้วย

ก่อนหน้านี้ศาลโลกเคยพิจารณาว่าการยึดกุมพื้นที่ทะเลจีนใต้โดยจีนนั้นเป็นเรื่องละเมิดกฎหมายนานาชาติ แต่จีนก็เยาะเย้ยคำตัดสินนี้อย่างเปิดเผยและยังพยายามส่งกองกำลังทหารและเรือหาปลาที่มี "กองหนุนทางทะเล" ไปคอยรังควานเรือของประเทศอื่นๆ ที่เดินทางผ่านละแวกนั้นรวมถึงวางกำลังเพื่อปิดกั้นประเทศอื่นที่อ้างสิทธิเหนือน่านน้ำไม่ให้พวกเขาเข้าไปหาทรัพยากรจำพวกปลาหรือน้ำมันได้ โดยได้เริ่มวางกองกำลังเหล่านี้มาตั้งแต่ 2558 แม้เคยสัญญาว่าจะไม่ทำ มีการวางกำลังเครื่องบินต่อสู้ทางอากาศยานและขีปนาวุธโจมตีอากาศจากภาคพื้นดินที่หมู่เกาะพาราเซลใกล้กับเวียดนามและกองกำลังรูปแบบอื่นๆ ในพื้นที่น่านน้ำ จนกระทั่งเมื่อกลางเดือน พ.ค. ก็มีการวางกำลังเครื่องบินรบทิ้งระเบิด H-6K ที่มีอานุภาพในการโจมตีด้วยหัวรบนิวเคลียร์ได้ในหมู่เกาะเหล่านั้น โดยที่มีระยะการโจมตีมากถึง 3,300 กม. เมื่อเทียบระยะแล้วเท่ากับสามารถโจมตีหมู่เกาะแปซิฟิกและออสเตรเลียได้

รายงานด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงสหรัฐฯ-จีน ที่ออกมาเมื่อเดือน มิ.ย. รายงานว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาทางการจีนเข้าไปสานสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับกลุ่มประเทศในโอเชียเนียมากอย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่าโอเชียเนียจะประกอบด้วยเกาะเล็กๆ จำนวนมากกว่า 10,000 เกาะ ที่รวมกันก็มีขนาดเท่าประเทศสเปนเท่านั้น แต่ตามกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยน่านน้ำจะพบว่าเขตเศรษฐกิจจำเพาะ (Exclusive Economic Zones - EEZs) ของหมู่เกาะที่กระจายตัวกันอยู่นี้มีขนาดถึง 7.7 ล้านตารางไมล์ทีเดียว (เขตเศรษฐกิจจำเพาะของรัฐกินอาณาบริเวณ 200 ไมล์ทะเล (370 กิโลเมตร) นับจากเส้นฐานชายฝั่ง) เบนกล่าวว่า ต้องมองโอเชียเนียเป็นผืนประเทศน่านน้ำขนาดใหญ่ ประเทศอย่างวานูอาตูเมื่อนับรวมน่านน้ำที่เป็นเขตเศรษฐกิจจำเพาะแล้วก็มีขนาดใหญ่เกือบเท่าทวีปออสเตรเลีย ซึ่งนอกจากเหตุผลเรื่องการค้าขายแล้วจีนยังทำไปเพื่อพยายามลดอิทธิพลของไต้หวันและเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติของประเทศเหล่านี้

เจมส์บอกว่ายุทธศาสตร์ของจีนสามารถคาดเดาได้ง่ายมาก พวกเขาจะเริ่มจากการให้ความช่วยเหลือทางการเงิน การบริจาคในทางการเมืองและการลงทุนเพื่อเปิดทางการค้ากับภายในประเทศเหล่านั้นได้สะดวก ส่งตัวคนจีนเข้าไปอยู่ในประเทศเหล่านั้น รวมหัวสมคมคิดกับเจ้าหน้าที่รัฐในประเทศนั้นๆ ทั้งหมดนี้ก็ทำให้เห็นวัตถุประสงค์ของการนำกองกำลังของจีนเข้าไปได้ พวกเขาใช้กองกำลังเหล่านี้เพื่อเข้าถึงท่าเรือและท่าอากาศยานเพื่อพยายามสกัดสหรัฐฯ ไม่ให้เข้าไปตั้งฐานทัพในแถบนั้นได้

รายงานของเอเชียไทม์ยังได้ยกตัวอย่างกรณีของประเทศต่างๆ ในแถบโอเชียเนียที่จีนเข้าหาด้วยการให้กู้ยืมทางการเงินเพื่อสร้าง "กับดักทางหนี้สิน" บีบให้ประเทศลูกหนี้ต้องยอมตาม บางประเทศที่ไม่ยอมตาม เช่น ปาเลา ก็ถูกปิดล้อมทางเศรษฐกิจด้วยการที่จีนเข้าไปทำลายการท่องเที่ยวซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศด้วยว่าจีนไม่พอใจที่ปาเลายังคงมีความสัมพันธ์กับไต้หวัน

ยังมีความเป็นไปได้ที่การกระทำของจีนต่อประเทศเหล่านี้จะทำให้เกิดการขาดเสถียรภาพในบางประเทศ นักข่าวอย่างเบนและคนอื่นๆ ประเมินว่าอาจมีการโต้ตอบจากประชาชนในพื้นที่ที่ไม่พอใจกับความพยายามครอบงำการเมืองและเศรษฐกิจโดยจีน ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการนำคนจีนเข้าประเทศเป็นจำนวนมากด้วย ถ้าหากมีเหตุต่อต้านที่ทำให้ขาดเสถียรภาพเกิดขึ้น จีนก็จะหาข้ออ้างที่จะใช้กำลังนาวิกโยธินที่ได้ขยายขนาดกองทัพอย่างรวดเร็วจาก 10,000 นาย เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาเป็น 30,000 นายในปัจจุบันเพื่อเข้าไปปกป้องผลประโยชน์และพลเมืองของตัวเองในประเทศอื่นได้ โดยจีนสามารถวางกำลังทางน้ำเอาไว้ในทะเลแปซิฟิกใต้ได้อย่างยาวนาน ในขณะที่เตรียมพร้อมเข้าแทรกแซงกิจการภายในของกลุ่มประเทศเล็กๆ ในโอเชียเนียได้ถ้ารัฐบาลของประเทศนั้นๆ ไม่สามารถรักษาเสถียรภาพภายในประเทศได้

เบนระบุอีกว่า สาเหตุที่จีนแผ่ขยายอิทธิพลในสู่โอเชียเนียเช่นนี้ไม่เพียงแค่พวกเขาต้องการทรัพยากร แต่ยังเป็นการปูทางเพื่อไปสู่ทวีปแอนตาร์กติกาและอเมริกาในอนาคตได้ ขณะที่อดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองอย่างเจมส์บอกว่าจีนพยายามปิดกั้นอิทธิพลและศักยภาพทางการทหารของสหรัฐฯ ในพื้นที่เหล่านี้ผ่าน "สงครามการเมือง" การที่จีนแผ่อิทธิพลลงมาเช่นนี้ทำให้การดำเนินกิจกรรมทางทหารที่สำคัญของสหรัฐฯ บนหมู่เกาะนอร์เทิร์นมาเรียนา (CNMI) ซึ่งอยู่เหนือเกาะกวมไปไม่ไกลและเป็นเขตปกครองโดยสหรัฐฯ ถูกรบกวน

เจมส์ยังพูดถึงถึงเรื่องการที่มีกลุ่มผู้พัฒนารีสอร์ทชาวจีนเข้าไปขัดขวางปฏิบัติการซ้อมรบแบบสะเทินน้ำสะเทินบกของสหรัฐฯ แถวเกาะพงัน และในรายงานของสหรัฐฯ ก็ระบุถึงปฏิบัติการจากเจ้าของคาสิโนรีสอร์ทจีน "อัลเตอร์ซิตี้กรุ๊ป" ที่ล็อบบี้เจ้าหน้าที่ทางการในพื้นที่หมู่เกาะนอร์เทิร์นมาเรียนาไม่ให้สหรัฐฯ เข้าไปตั้งฐานทัพได้ โดยให้เหตุผลว่าเพราะผลประโยชน์จากกองทัพมีน้อยและจะสร้างภาระอย่างหนักในระดับไม่อาจรับมือได้

รายงานของเอเชียไทม์ระบุว่าปฏิบัติการเหล่านี้ของจีนถูกมองว่าเป็นความทะเยอะทะยานใน "การล่าอาณานิคมแบบใหม่" ที่มีแรงจูงใจจะครอบงำประเทศหมู่เกาะเหล่านี้ที่มีประชากรน้อย มีทรัพยากรมากและมีความสำคัญทางพื้นที่ยุทธศาสตร์ต่อการจัดวางทั้งทุนจีน กลุ่มชาวจีน และวิสัยทัศน์ในการยึดครองภูมิภาค

เรียบเรียงจาก

China's plan for conquest of the South Pacific, Kerry K Gershaneck, Asia Times, Sep. 7, 2018

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

อลงกรณ์เผยประชาธิปัตย์ต้องไม่สู้นอกระบบ หากสมาชิกจะเสนอตนเป็นหัวหน้าพรรค

Posted: 11 Sep 2018 08:10 AM PDT

อลงกรณ์ เผยหลังมีกระแสสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เชียร์ให้ลงแข่งชิงหัวหน้าพรรคกับอภิสิทธิ์ ยันหากต้องการให้ตัวเองเป็นหัวหน้าพรรค ประชาธิปัตย์ต้องไม่สู้นอกระบบ และยึดมั่นในระบบรัฐสภา

แฟ้มภาพประชาไท

11 ก.ย. 2561 สำนักข่าวไทย รายงานว่า อลงกรณ์ พลบุตร อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า จะเสนอกฎเหล็ก 5 ข้อให้กับสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ได้พิจารณา สำหรับการหยั่งเสียงเลือกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่ เพื่อเป็นคำมั่นสัญญาหรือสัญญาประชาคมว่า พร้อมจะทำตามข้อ  เสนอหากต้องการให้ตนเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คือ 1.ต้องไม่มีการซื้อเสียงหรือทุจริตในการเลือกตั้งโดยเด็ดขาด 2.ต้องไม่หาเสียงโจมตีใส่ร้ายคนอื่นโดยเด็ดขาด 3.ต้องหาเสียงอย่างสุภาพบุรุษ แข่งด้วยนโยบายวิสัยทัศน์และความสามารถในการบริหาร 4.ต้องไม่รับทุนใต้โต๊ะในการเลือกตั้งโดยเด็ดขาด เพื่อไม่ต้องเป็นหนี้ต่างตอบแทนและทุจริตฉ้อฉล เราจะเป็นหนี้ประชาชนเท่านั้น และ5.ต้องไม่ต่อสู้นอกระบบ  ยึดมั่นระบบรัฐสภาในระบอบประชาธิปไตย และต้องไม่คอรัปชั่น ไม่ว่าตัวเอง ครอบครัว เครือญาติ หรือพวกพ้อง โดยสมาชิกที่จะลงสมัคร ส.ส. และผู้ที่จะดำรงตำแหน่งทางการเมือง ต้องเซ็นใบลาออกล่วงหน้า 

"เราทุกคนเคยทำผิดทำพลาดมาด้วยกันทั้งนั้น รวมทั้งผม ถึงเวลาต้องแก้ไข ต้องเริ่มต้นใหม่ ร่วมกันสร้างพรรคให้เป็นความหวังทางเลือกที่ดี ขอให้เข้าใจว่า เราตั้งต้นทำสิ่งใหม่ๆ เหล่านี้ ไม่ใช่เพื่อตัวเองเท่านั้น แต่ทำเพื่อประเทศของเรา นี่คือการถอดชนวนวิกฤตการณ์ทางการเมืองอย่างถาวรยั่งยืน เราต้องกล้านำทำทันที เพื่อเป็นตัวอย่างต้นแบบของพรรคการเมืองอื่นๆ ทั้งพรรคเก่าพรรคใหม่  เราต้องกล้าเปลี่ยนแปลง และต้องไม่กลัวแพ้  ถ้าแพ้เพราะทำความดี ก็ต้องสู้ต่อไปจนกว่าจะชนะ และผมเชื่อว่า ความดีจะชนะทุกสิ่ง และประชาชนจะเห็นถึงความมุ่งมั่นของพรรคประชาธิปัตย์ และให้โอกาสเรา ผมจะดำเนินการทันทีที่ผมเป็นหัวหน้าพรรค" อลงกรณ์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวประชาไท รายงานเพิ่มเติ่มว่า สำหรับอลงกรณ์ ในสมัยที่เขายังดำลงตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในช่วงที่มีการชุมนุมทางการเมืองซึ่งนำโดยสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำพรรคประชาธิปไตยที่เดินออกนอกระบบรัฐสภาเพื่อต่อสู้ทางการเมืองบนท้องถิ่นในนามกลุ่ม กปปส. ซึ่งชูข้อเรียกร้องให้มีการปฏิรูปการเมือง ก่อนการเลือกตั้ง ในเวลานั้น อลงกรณ์ ได้เสนอในวาระการประชุมสามัญของพรรคประชาธิปัตย์ว่า จะผลักดันให้มีการปฏิรูปพรรคประชาธิปัตย์ก่อนเพื่อส่งผลให้เกิดการปฏิรูปในพรรคการเมืองอื่นๆเพื่อก้าวสู่ภาวะการแข่งขันเชิงสร้างสรรค์ทำให้การเมืองไทยเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้น

แต่ในการประชุมสามัญประจำปี 2556 เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 2556 ได้มีการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคใหม่ โดยบัญญัติ บรรทัดฐาน กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ เสนอชื่ออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้าพรรคเพียงคนเดียว โดยมีการลงคะแนนโดยลับ ซึ่งผลการนับคะแนนปรากฏว่า อภิสิทธิ์ได้รับการรับรองด้วยคะแนนร้อยละ 98 

จากนั้น นายอภิสิทธิ์ ได้เสนอชื่อรองหัวหน้าพรรคโควตากลาง 5 คน คือ เกียรติ สิทธีอมร รับผิดชอบด้านเศรษฐกิจ การต่างประเทศ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์  ด้านกิจการสภาและนโยบาย ชำนิ ศักดิเศรษฐ์ ทำงานด้านการเมือง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ทำงานด้านท้องถิ่น อภิรักษ์ โกษะโยธิน ทำงานด้านการสื่อสาร และยุทธศาสตร์ และเสนอจุติ ไกรฤกษ์ เป็นเลขาธิการพรรค ซึ่งทั้งหมดได้รับเลือก ส่วนรองหัวหน้าพรรคภาคต่าง ๆ ประกอบด้วย ภาคเหนือ อัศวิน วิภูศิริ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กัลยา โสภณพนิช ภาคกลาง สาธิต ปิตุเตชะ ภาคใต้ นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ และ กทม. องอาจ คล้ามไพบูลย์

ทั้งนี้ในส่วนของรองหัวหน้าพรรค ภาคกลางนั้น เป็นการแข่งกันระหว่างอลงกรณ์ รองหัวหน้าพรรคกับ สาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.ระยอง ซึ่งสาธิตชนะไป ทำให้อลงกรณ์หลุดจากเก้าอี้รองหัวหน้าพรรคภาคกลาง นอกจากนี้ที่ประชุมยังมีมติไม่เห็นชอบกับข้อเสนอเรื่องการปฏิรูปพรรคประชาธิปัตย์ของอลงกรณ์ด้วย

หลังจากนั้นราวหนึ่งปี 26 พ.ย. 2557 อลงกรณ์ ได้ประกาศลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ โดยให้เหตุผลว่ากำลังสมัครเป็นสมาชิกสภาปฎิรูปแห่งชาติ (สปช.) จึงต้องมีความเป็นกลางในทางการเมือง อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้พรรคประชาธิปัตย์มีมติพรรคว่า จะไม่ร่วมเป็นสภาปฏิรูปแห่งชาติ หากสมาชิกพรรคคนใดเข้าร่วมจะไม่พิจารณาส่งลงสมัครรับเลือกตั้งในการเลือกตั้งครั้งถัดไป

ทั้งนี้หลังจาก สภาปฏิรูปแห่งชาติสิ้นสุดลง อลงกรณ์ได้เข้าร่วมงานกับรัฐบาลทหารในฐานะ รองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศคนที่หนึ่ง , กรรมการในคณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศ, กรรมการในคณะกรรมการเตรียมการยุทธศาสตร์ชาติ ละกรรมการในคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดองตาม คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 3/2560

สำหรับการเลือกหัวหน้าพรรคในครั้งใหม่ของพรรคประชาธิปัตย์ในรอบนี้ จะมีการเปิดให้สมาชิกพรรคการเมืองโหวตหยั่งเสียงผู้สมควรดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคด้วย โดยการใช้แอปพลิเคชันผ่านทางโทรศัพท์ได้ แต่ในขั้นตอนการเลือกหัวหน้าพรรคครั้งสุดท้ายจะเป็นหน้าที่ของที่ประชุมใหญ่พรรคประชาธิปัตย์

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ประยุทธ์ เตรียมอบรมประชาชน-ขรก. ท้องถิ่น ก่อนเลือกตั้ง หวังดึงคนมาออกเสียง 90 เปอร์เซ็นต์

Posted: 11 Sep 2018 07:45 AM PDT

ประยุทธ์ เผยต้องการอบรมประชาชน และขรก.ท้องถิ้นก่อนเลือกตั้ง หวังทำความเข้าใจมาตราการต่างที่ได้ดำเนินไป เช่น บัตรคนจน ย้ำไม่ใช่การอบรมเพื่อให้เลือกพรรคใดเป็นพิเศษ ชี้จตุพรควรไปถอดหัวตัวเองก่อน หลังเสนอให้พรรคการเมืองถอดหัวโขนยอมรับการจัดตั้งรัฐบาลโดยพรรคที่ได้เสียงข้างมาก ชี้จตุพรควรไปถอดหัวตัวเองก่อน ขอให้ลดการวิจารณ์ แล้วเตรียมสู้คดีแทน

11 ก.ย. 2561 สำนักข่าวไทย รายงาว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีมีแนวคิดที่จะให้มีหลักสูตรอบรมพิเศษข้าราชการท้องถิ่นและประชาชนก่อนการเลือกตั้งว่า สิ่งที่พูดในวันนั้นคือ ต้องการให้มีการสร้างการรับรู้และทำความเข้าใจกับประชาชน ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการไปบ้างแล้ว แต่สิ่งสำคัญคือการสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนในท้องถิ่น ให้รับทราบถึงการบริหารงานให้เกิดธรรมภิบาลต้องทำอย่างไร และประชาชนควรเข้าใจภาพรวมการบริหารงานของส่วนกลางและท้องถิ่น และอยากให้ทำความเข้าใจถึงมาตรการต่าง ๆ ที่ได้ดำเนินการไป โดยเฉพาะมาตรการดูแลผู้มีรายได้น้อย เช่น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือการค้าขายทางออนไลน์ ซึ่งถือเป็นสิ่งที่สร้างการรับรู้ใหม่ทั้งหมด แม้ที่ผ่านมารัฐบาลจะพูดผ่านสื่อฯ หรือผ่านทางโซเซียลไปแล้ว แต่ยังไม่ทั่วถึง จึงจำเป็นต้องสร้างความเข้าใจ เพราะยังมีหลายคนวิพากษ์วิจารณ์ว่าประชาชนไม่รับรู้ข้อมูลในสิ่งที่รัฐบาลดำเนินการอยู่ จึงนำเรื่องนี้มาทบทวนว่าควรจะเร่งสร้างความเข้าใจอย่างไร ซึ่งได้สั่งการในทุกกระทรวงให้เร่งสรุปผลการทำงานในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา เพื่อประโยชน์ในการบริหารราชการในอนาคต 

"การที่ให้ท้องถิ่นสร้างความเข้าใจกับประชาชน ไม่ใช่เป็นการให้ไปสนับสนุนพรรคไหน หรือให้เลือกนักการเมืองคนใด เพราะทุกอย่าง กกต.ควบคุมดูแลอยู่ ดังนั้นอย่ามองทุกอย่างเป็นเรื่องของการเมืองทั้งหมด เพราะรัฐบาลต้องวางตัวเป็นกลาง และรัฐบาลต้องทำทุกอย่างให้การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นไปอย่างโปร่งใส" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

หัวหน้าคณะรัฐประหาร กล่าวอีกว่า ผู้นำท้องถิ่นก็ต้องมาจากการเลือกตั้ง จึงจำเป็นต้องสร้างหลักคิดในการเลือกผู้นำท้องถิ่น โดยให้มองถึงความรู้ ความสามารถ มีประสิทธิภาพในการทำงาน รวมถึงการบริหารใช้จ่ายงบประมาณที่ต้องเป็นธรรม ที่สำคัญยังต้องสร้างการรับรู้เรื่องประชาธิปไตยตามแนวทางที่ถูกต้องว่าควรเป็นอย่างไร เพราะการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นมีหลายอย่างที่เปลี่ยนแปลง ทั้งการแบ่งเขต การใช้บัตรเดียวในการเลือกตั้ง เป็นต้น จึงจำเป็นต้องเร่งสร้างความเข้าใจ เพื่อให้การเลือกตั้งครั้งนี้มีคุณภาพ ได้นักการเมืองที่ดี  และส่วนตัวอยากให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิ์ให้มากกว่าทุกครั้ง หรือเกินร้อยละ 90 เพราะการเลือกตั้งเป็นหน้าที่ของทุกคน และขอยืนยันว่ารัฐบาลพยายามจัดระเบียบบ้านเมือง ด้วยการสร้างการรับรู้ที่จะร่วมมือกันใช้จ่ายงบประมาณอย่างคุ้มค่า ซึ่งสิ่งที่ดำเนินการไปทั้งหมด ไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้ใคร 

"ผมยังไม่ได้ตัดสินใจสังกัดพรรคไหน และไม่อยากให้ประชาชนกังวลในเรื่องนี้ หรือฟังข้อมูลจากนักการเมืองฝ่ายเดียว ทั้งนี้สิ่งที่ผมกังวล คือ เมื่อถึงช่วงที่ คสช.คลายล็อคพรรคการเมืองให้สามารถทำกิจกรรมได้ จะเกิดความวุ่นวายหรือไม่ จึงอยากให้ประชาชนช่วยกันลดความขัดแย้ง เพราะไม่เช่นนั้นบ้านเมืองจะเกิดความเสียหาย ส่งผลต่อเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว การลงทุน สุดท้ายก็จะได้รัฐบาลเดิม ๆ เข้ามา" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

ส่วนกรณีที่จตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ออกมาแนะให้ทุกพรรคถอดหัวโขน ร่วมมือกันสร้างกติกา แล้วไปพูดคุยกับ คสช. เพื่อร่วมทำสัญญาประชาคม ยอมรับผลการเลือกตั้ง พรรคที่ได้เสียงข้างมากต้องจัดตั้งรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การที่แนะนำให้ถอดหัวโขนนั้น ให้ไปถอดหัวตัวเองก่อนดีกว่า ส่วนตัวไม่อยากทะเลาะด้วย และขอให้ลดการวิจารณ์ไปบ้าง

"เขาบอกว่าให้ถอดหัวโขน ผมว่าถอดหัวตัวเองออกไปก่อนคนที่พูด ไปขยายความให้เขาทำไม น่าเชื่อถือหรือไม่ แล้วมีส่วนร่วมในความขัดแย้งที่ผ่านมาหรือไม่ ทุกคนก็รู้ในข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ผมไม่ไปทะเลาะด้วย ให้เขาเงียบ ๆ ไปบ้าง ถอดหัวตัวเองออกไปบ้าง อยู่เฉย ๆ ดีที่สุด เตรียมสู้คดี มีเยอะแยะไป" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวประชาไทรายงานเพิ่มเติมว่า จตุพร พรหมพันธ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้กล่าวต่อหนึ่งในงานเสวนา อนาคตประเทศไทยตายหรือตันก่อนเลือกตั้ง ซึ่งจัดคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 และเครือข่ายตรวจสอบภาคประชาชน ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวานนี้ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยว่า รัฐธรรมนูญออกแบบไม่ให้พรรคการเมืองใดได้เสียงข้างมากในการจัดตั้งรัฐบาล ดังนั้นหากพรรคการเมืองไม่ตกลงกันก่อน เพราะไม่ว่าจะได้นายกรัฐมนตรีคนนอกหรือคนในก็เกิดปัญหาได้ และยังจะต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ด้วย คาดว่าถ้ากรณีได้นายกรัฐมนตรีคนนอก ที่เป็นคนที่ทุกคนคิดกันอยู่ขณะนี้ ที่มีอำนาจอาญาสิทธิ์ แต่เมื่อเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรแล้วจะไม่เหลือดาบอาญาสิทธิ์ การตรวจสอบ การถูกอภิปรายจะยังทนได้หรือไม่ 

"สิ่งสำคัญคือทุกฝ่ายต้องคุยกัน และขอพรรคการเมืองอย่าเพิ่งหาประโยชน์ในขณะตอนนี้ เพื่อร่วมกันสร้างบรรยากาศ และป้องกันปัญหาเหมือนกับเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 เพื่อไม่ให้เกิดความสูญเสีย ส่วนตัวผมไม่สนใจว่าพรรคใดจะชนะการเลือกตั้ง แต่สิ่งสำคัญจะต้องไม่มีผู้เสียชีวิต ไม่ว่าพรรคใดชนะหรือแพ้ ขอให้ยอมรับว่า 5 ปีที่ผ่านมา คนไทยกลัวคำว่าไม่สงบ จึงเป็นสิ่งที่หลอกหลอนคนไทยมาโดยตลอด และสิ่งที่ดำเนินการกันอยู่ทุกวันนี้ ยิ่งทำให้การเลือกตั้งไกลออกไปและอาจเกิดวิกฤติได้" จตุพร กล่าว

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ทหารคุม ‘หญิงขับวิน จยย.’ คดีเสื้อสหพันธรัฐไท ส่งกองปราบฯ ศูนย์ทนายความฯ พบอีก 3 ถูกขังแล้ว

Posted: 11 Sep 2018 07:13 AM PDT

'ทหาร' ส่ง 'หญิงขับจักรยานยนต์รับจ้าง' ไปกองปราบฯ พนักงานสอบสวนแจ้งว่าจะแจ้งข้อหาและคำให้การพรุ่งนี้ ทนายได้เยี่ยมอีก 3 คน ถูกแจ้งข้อหาแล้วและถูกขังระหว่างสอบสวนในเรือนจำ มีหนึ่งคนยื่นประกันแล้ว 2 แสนบาท แต่ศาลไม่อนุญาตให้ประกัน ด้าน 'ประยุทธ์ - ประวิตร' ชี้ 'สหพันธรัฐไท' เข้าข่ายกบฏ - เร่งประสาน 'ลาว' ตามจับกุม

ที่มาภาพ เพจ Banrasdr Photo

 

ภาพเสื้อต้องห้ามที่ถูกระบุเป็น มีสัญลักษณ์ธงสหพันธรัฐไท

11 ก.ย.2561 ความคืบหน้ากรณีเจ้าหน้าที่ทหารจับกุมตัว วรรณภา (สงวนนามสกุล) แม่เลี้ยงเดียวที่มีลูกวัย 14 ปี และ 9 ปี อาชีพขับจักรยานยนต์รับจ้าง พร้อมเสื้อยืดสีดำที่มีแถบป้ายสีขาวแดงบริเวณหน้าอกจำนวนหนึ่งที่บริเวณห้องพักย่านสมุทรปราการ เมื่อวันที่ 6 ก.ย. ที่ผ่านมา และนำตัวมาควบคุมตัวไว้ที่มณฑลทหารบกที่ 11 (มทบ.11) เตรียมส่งให้พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามเพื่อแจ้งข้อกล่าวหา จากการจำหน่ายเสื้อดำต้องห้าม นั้น

ล่าสุดวันนี้ (11 ก.ย.61) ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า เมื่อเวลา 17.00 น. ทหารนำตัว วรรณภา ส่งกองบังคับการปราบปราม หลังถูกคุมตัวอยู่ในมณฑลทหารบกที่ 11(มทบ.11) 6 วัน โดยมี พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ ฝ่ายกฎหมาย คสช. และทนายความสภาทนายความเดินทางมาด้วย พนักงานสอบสวนแจ้งกับทนายความและวรรณภาว่าจะแจ้งข้อกล่าวหาและสอบคำให้การในวันพรุ่งนี้ ทั้งนีั้พนักงานสอบสวนแจ้งว่าจะทำการสอบคำให้การวรรณภาในวันพรุ่งนี้(12 ก.ย.)

ที่มาภาพ เพจ Banrasdr Photo 

ในระหว่างแจ้งข้อกล่าวหามี ภาวิณี ชุมศรี ทนายความจากศูนย์ทนายความฯ และอังคณา นีละไพจิตร กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เข้าร่วมฟังการสอบสวนด้วย

พบอีก 3 คน

นอกจากนั้น ศูนย์ทนายความฯ ยังรายงานเพิ่มเติมว่า วันนี้ทนายความของศูนย์ทนายความฯ ได้ติดตามกรณีทหารควบคุมตัวบุคคลจากการครอบครองเสื้อสหพันธรัฐไท ก่อนหน้านี้ศูนย์ทนายความฯ เคยรายงานไปก่อนหน้านี้ว่ายังมีอีก 3 คน ทนายความได้พบทั้งหมดแล้ว โดยมี 2 คน ถูกขังระหว่างสอบสวนอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพและทัณฑสถานหญิงกลาง และพบตัวอีก 1 คน ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก หลังถูกนำตัวมาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพเพื่อรอศาลพิจารณาว่าจะให้ประกันตัวหรือไม่

คนแรก กฤษณะ (สงวนนามสกุล) เวลานี้ถูกฝากขังอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพ เบื้องต้นทราบว่าเมื่อวันที่ 7 ก.ย.ที่ผ่านมา แฟนของกฤษณะได้ยื่นประกันเป็นเงินสดจำนวน 200,000 บาท แต่ศาลไม่ให้ประกัน กฤษณะได้เล่าเพิ่มเติมว่าแฟนได้ขายรถยนต์ไปเพื่อนำมาประกันตัวในครั้งนี้

คนที่สอง ประพันธ์(สงวนนามสกุล) ทนายความพบว่าถูกฝากขังอยู่ในทัณฑสถานหญิงกลาง เธอได้ให้สัมภาษณ์ว่าเมื่อเช้าเจ็ดโมงวันที่ 3ก.ย.ขณะเธออยู่ในห้องพักคนเดียว เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจในเครื่องแบบร่วม 10คน เข้าตรวจค้นจับกุมที่ห้องพักย่านลาดพร้าว เจ้าหน้าที่ได้ยึดโทรศัพท์สามเครื่อง, บัตร นปช., รูปภาพทักษิณ ชินวัตร และหนังสือ นปช. อีก 3เล่ม หลังตรวจค้นเธอถูกนำตัวไปควบคุมไว้ที่ มทบ. 11 เพื่อทำการซักถามโดยทหารและตำรวจ จนวันที่ 5 ก.ย.เธอถูกนำตัวไปกองปราบฯ แจ้งข้อกล่าวหาแต่เธอจำไม่ได้ว่าข้อหาอะไรบ้าง

ส่วนคนที่สาม สมศักดิ์(นามสมมติ ไม่ยินดีเปิดเผยตัว) ที่ถูกจับกุมดำเนินคดีจากเหตุเดียวกัน ทนายความได้ติดตามไปจนพบที่ศาลอาญา รัชดาฯ หลังถูกเรือนจำนำตัวเขาไปที่ศาลอาญาเพื่อทำเรื่องประกันตัว ทั้งนี้สมศักดิ์ยังไม่ยินดีให้เผยแพร่ข้อมูลใดๆ

ศูนย์ทนายความฯ ระบุว่าา พวกเขาทั้ง 3 คนถูกนำตัวจาก มทบ.11 ส่งกองปราบฯ พร้อมกันเมื่อวันที่ 5 ก.ย.เพื่อแจ้งข้อกล่าวหาแต่ยังไม่ทราบว่ามีข้อหาอะไรบ้างจึงยังต้องรอตรวจสอบข้อมูลในบันทึกแจ้งข้อกล่าวหาก่อน ถูกขังในห้องขังของกองปราบฯ เป็นเวลา 2 วัน ก่อนที่พนักงานสอบสวนนำตัวส่งศาลเพื่อขออำนาจศาลฝากขังในวันที่ 7 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยมีเพียงกฤษณะคนเดียวเท่านั้นที่ให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา

ก่อนหน้านี้ศูนย์ทนายความฯ ได้รับแจ้งเหตุทหารและเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบจับกุมควบคุมตัวผู้หญิง 2 คน ได้แก่ สุรางคณาง(นามสมมติ) และวรรณภา (สงวนนามสกุล) จากกรณีมีเสื้อยืดติดโลโก้สหพันธรัฐไท ไปเมื่อ 6 ก.ย.ที่ผ่านมา ทั้งนี้ได้รับการปล่อยตัวกลับบ้านแล้ว 1 คน ส่วนวรรณภา(สงวนนามสกุล) ขณะนี้ยังถูกควบคุมตัวอยู่ในมณฑลทหารบกที่ 11(มทบ.11)

ทำให้ปัจจุบันมีบุคคลที่ถูกจับกุมจากกรณีมีเสื้อดังกล่าวรวมแล้วทั้งหมด 5 คน โดยถูกดำเนินคดีไปแล้ว 4 คน

หลังจากเกิดเหตุศูนย์ทนายความฯ ได้ออกแถลงการณ์ ถึงกรณีที่มีการจับกุมตัวบุคคลครั้งนี้ "การควบคุมตัวโดยไม่ชอบเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเจ้าหน้าที่ทหาร เหตุการณ์ไม่ปกติเหล่านี้ถูกทำให้เป็นเรื่องปกติซึ่งไม่อาจยอมรับได้ รัฐมีหน้าที่เคารพสิทธิเสรีภาพของประชาชน หากกรณีที่เจ้าหน้าที่รัฐเห็นว่าการกระทำใดเป็นความผิดก็ควรที่จะดำเนินการไปตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และเราเรียกร้องให้ปล่อยตัว วรรณภา และผู้ที่ถูกควบคุมตัวจากเหตุดังกล่าวในทันที"

'ประยุทธ์ - ประวิตร' ชี้เข้าข่ายกบฏ - เร่งประสาน 'ลาว' ตามจับกุม

ขณะที่ปฏิกิริยา จาก รัฐบาลและ คสช. จากกรณีนี้ วอยส์ออนไลน์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. กล่าวถึงกรณีนี้ว่า สิ่งที่ทำเป็นสิ่งที่ไม่ถูกกฎหมาย เพราะประเทศไทยเป็นประเทศไม่ใช่สหพันธรัฐ ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ เป็นอาณาจักรหนึ่งเดียวแบ่งแยกไม่ได้ แต่สหพันธรัฐถือเป็นการแบ่งแยกเป็นรัฐต่างๆ ซึ่งประเทศไทยไม่ได้เป็นเช่นนั้น และสัญลักษณ์ของประเทศไทยเป็นธงไตรรงค์

ทั้งนี้ มองว่าการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายกบฏเป็นการล้มระบอบการปกครองหรือไม่ พร้อมยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ทหารดำเนินการจับกุมดังกล่าวเป็นไปตามกฎหมาย อะไรที่ขัดรัฐธรรมนูญทำไม่ได้ทั้งสิ้น 

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ระบุว่า กลุ่มคนเสื้อดำ สัญลักษณ์สหพันธรัฐไท ว่า เป็นกลุ่มเดียวที่มีแหล่งอยู่ที่ สปป.ลาว และมีเครือข่ายในไทยซึ่งเป็นกลุ่ม ที่ใช้ชื่อลุงสนามหลวง หรือชูชีพ ชีวะสุทธิ์ ซึ่งเชื่อมโยงกับคนไทยที่กระทำผิดตามมาตา 112 มาตรา 116 และหลบหนีเข้าไป สปป. ลาว โดยขณะนี้ ตำรวจจับกุมกลุ่มนี้ได้ 3-4 คน โดยย้ำว่า หากสาวถึงตัวใครก็ต้องถูกดำเนินคดีหมด เพราะถือเป็นกบฎ ซึ่งขณะนี้ได้ประสานทางการลาว เพื่อขอไม่ให้ทางการลาวให้การช่วยเหลือกลุ่มคนเหล่านี้ เพราะกลุ่มดังกล่าวมีความพยายามก่อให้ความแตกแยก ให้เกิดรัฐใหม่ และแบ่งแยกการปกครองเพื่อไม่ให้มีสถาบัน 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ผอ.สถาบันมะเร็งฯ ชี้หากไม่มีการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่อย่างจริงจัง ผู้ป่วยจะเพิ่มขึ้น 2 เท่าใน 10 ปี

Posted: 11 Sep 2018 07:00 AM PDT

เวที สช. เจาะประเด็นห่วงแนวโน้ม 'มะเร็งลำไส้ใหญ่' คร่าชีวิตคนไทยปีละกว่า 3,000 คน ผอ.สถาบันมะเร็งแห่งชาติ เผยปัจจัยเสี่ยงโดยเฉพาะการรับประทานเนื้อแดง เนื้อแปรรูป อาหารปิ้งย่าง ย้ำเร่งคุมเข้มฟาร์มปศุสัตว์และเจ้าของเขียง หลังตรวจพบสารเร่งเนื้อแดงบ่อยครั้ง เพจสุขภาพชวนปรับไลฟ์สไตล์ชีวิต ด้าน สช. ระบุต้องรู้เท่าทันจึงป้องกันโรคได้ พร้อมเตรียมนำประเด็นความรู้เท่าทันด้านสุขภาพเข้าสู่เวทีสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 11 ปลายปีนี้

11 ก.ย. 2561 สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) จัด เวที สช.เจาะประเด็น ครั้งที่ 3/2561 เรื่อง "กินเปลี่ยนชีวิต หยุดวิกฤตมะเร็งลำไส้ใหญ่"  ณ ห้องประชุมบองมาร์เช่ มาร์เก็ต ประชานิเวศน์ 1

นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวว่า โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงเป็นมะเร็งที่พบบ่อย 1 ใน 5 ของประเทศไทย มีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่องและมีผู้เสียชีวิตกว่า 3,000 รายต่อปี ปัจจุบันพบผู้ป่วยชาย 6,874 รายต่อปี ผู้ป่วยหญิง 5,593 รายต่อปี จัดเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 3 ในเพศชาย และอันดับ 4 ในเพศหญิง

ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรค ได้แก่ ผู้ชอบรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง อาหารฟาสต์ฟู้ด เนื้อแดง เนื้อแปรรูป หรืออาหารปิ้งย่างจนไหม้เกรียม และกินอาหารที่มีเส้นใยไฟเบอร์พวกผัก ผลไม้น้อย ผู้ที่สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า ออกกำลังน้อย ผู้มีประวัติหรือคนในครอบครัวเคยเป็นมะเร็งลำไส้หรือเคยมีติ่งเนื้อในลำไส้ชนิด Adenomatous polyps และผู้มีปัญหาระบบขับถ่าย เช่น ลำไส้อักเสบ ท้องผูกเรื้อรัง ภาวะลำไส้แปรปรวน เป็นต้น ทั้งนี้ มักพบโรคในผู้สูงอายุวัย 50-70 ปี ส่วนกลุ่มอายุน้อยกว่า 50 ปีที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ฯ อาจมีโอกาสเกิดโรคสูงขึ้นเช่นกัน ทั้งนี้ มะเร็งลำไส้ใหญ่ส่วนหนึ่งป้องกันได้หากหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ และตรวจคัดกรองตั้งแต่ในระยะเริ่มแรก จะทำให้การรักษาได้ผลดีและเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่า โดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติรณรงค์ให้ความรู้และแนวทางป้องกัน ควบคู่กับโครงการคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงให้ผู้มีอายุ 50-70 ปี เข้ารับการตรวจเลือดแฝงในอุจจาระที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหรือโรงพยาบาลใกล้บ้านโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

 "ประเทศไทยมีแนวโน้มอุบัติการณ์มะเร็งลำไส้ใหญ่ฯ สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะคนไทยเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนไปคล้ายชาวตะวันตก หากไม่มีนโยบายคัดกรองมะเร็งลําไส้ใหญ่ฯอย่างจริงจัง จํานวนผู้ป่วยจะเพิ่มขึ้นประมาณ 2 เท่า ภายในระยะเวลา 10 ปี มาอยู่ที่ราว 20,000 ราย ซึ่งย่อมส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากขึ้นตามไปด้วย"

มะเร็งลำไส้ใหญ่ฯ กับโอกาสรอดของผู้ป่วย '30 บาท' บนความน่าจะเป็น(1)

มะเร็งลำไส้ใหญ่ฯ กับโอกาสรอดของผู้ป่วย '30 บาท' บนความน่าจะเป็น(2)

ผศ.ดร.ชนิพรรณ บุตรยี่ ผู้เชี่ยวชาญด้านพิษวิทยาศาสตร์ทางอาหารและโภชนาการ สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ภาวะโภชนาการที่มีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ คือ ผู้ที่กินผักผลไม้น้อย ชอบกินเนื้อหมู เนื้อวัว และผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์แปรรูปเป็นประจำ เช่น ไส้กรอก แฮม เบคอน แหนม กุนเชียง หรือท้องผูกเป็นประจำ ดังนั้น ข้อแนะนำสำหรับประชาชนคือ ไม่ควรรับประทานเนื้อแดงเกิน 500 กรัม หรือครึ่งกิโลกรัมต่อสัปดาห์ และควรสลับกับเนื้อไก่ เนื้อปลา หลีกเลี่ยงการรับประทานเนื้อสัตว์แปรรูปบ่อยๆ ขณะเดียวกันควรเพิ่มการบริโภคผัก ผลไม้ เพราะใยอาหารจะช่วยเร่งการขับถ่ายทำให้ของเสียไม่ตกค้างในลำไส้และเพิ่มจำนวนแบคทีเรียที่ดีที่เจริญในลำไส้ใหญ่ ลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ได้ นอกจากนั้น ควรมีการควบคุมปริมาณการใช้วัตถุเจือปนในอาหารแปรรูป เช่น สารไนไตรท์ สารไนเตรท ให้เป็นตามกำหนดในประกาศของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) อย่างจริงจัง

สิทธิพร บุรณนัฏ ผู้จัดการสหกรณ์เครือข่ายโคเนื้อ จำกัด เล่าสถานการณ์ความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์เนื้อวัวว่า ปัจจุบันการบริโภคเนื้อวัวของประเทศไทย แบ่งเป็น 3 ตลาด ได้แก่ตลาดพรีเมี่ยม ตลาดโมเดิร์นเทรด และตลาดเขียง โดยส่วนที่เป็นปัญหาใส่สารเร่งเนื้อแดง ส่วนมากเกิดจากตลาดเขียงที่จำหน่ายในตลาดสด โดยกรมปศุสัตว์ตรวจพบสารเร่งเนื้อแดงตั้งแต่การเลี้ยงในฟาร์ม เนื่องจากผู้ผลิตไม่ต้องการให้เนื้อวัวมีไขมัน ซึ่งผู้บริโภคที่ซื้อไปรับประทานจะดูสภาพเนื้อวัวที่ใช้สารเร่งเนื้อแดงนี้ได้ยาก

 "สารเร่งเนื้อแดงเป็นสารที่ผิดกฎหมาย ทางเจ้าหน้าที่กรมปศุสัตว์ได้ออกตรวจตราเป็นพิเศษ จับกุมผู้กระทำผิดอยู่บ่อยครั้ง ส่วนตัวคิดว่าจะลงโทษฟาร์มอย่างเดียวไม่ได้ ต้องให้ความรู้และสร้างความรับผิดชอบกับเจ้าของเขียงที่นำมาจำหน่ายด้วย รวมถึงให้ความรู้แก่ผู้บริโภคเลือกผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานและมีระบบตลาดสอบสินค้าที่รวดเร็ว"

สำหรับสมาชิกของสหกรณ์เครือข่ายโคเนื้อ เป็นการรวมตัวของกลุ่มผู้ผลิตกว่า 100 ราย มุ่งจำหน่ายเนื้อในตลาดพรีเมี่ยมหรือเนื้อวัวราคาสูงที่มีไขมันแทรกอยู่ ดังนั้นผู้เลี้ยงจึงไม่มีการใส่สารเร่งเนื้อแดงอย่างแน่นอน ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ของสหกรณ์ฯ ขายให้ภัตตาคาร ร้านอาหาร ร้านปิ้งย่างที่มีชื่อเสียง เป็นต้น

ด้าน จาคี ฉายปิติศิริ ผู้ดูแลเพจ 'จาคี มะเร็งไดอารี่'  กล่าวถึงประสบการณ์ตรงของผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ว่า ตนเองเกิดอาการของโรคในช่วงปี 2549-2550 เริ่มปวดท้อง ระบบขับถ่ายผิดปกติ รับประทานอาหารไม่ได้และไม่มีเรี่ยวแรง ซึ่งผลการตรวจพบเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะสุดท้าย เมื่อเริ่มการรักษาก็ต้องพบกับผลข้างเคียงหลายอย่าง แต่ก็พยายามทำตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวแข็งแรงมากพอที่จะรับการรักษาต่อไป โดยปรับปรุงเรื่องอาหาร การออกกำลังกาย ดูแลสภาพจิตใจตัวเองและคนรอบข้างให้ดีที่สุดจนการรักษาผ่านไปได้อย่างราบรื่น

 "ผมเชื่อว่าสิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าการสู้โรค คือการสู้กับความไม่รู้ นำมาซึ่งความวิตกกังวลและความกลัว แต่ถ้าเรามีข้อมูลมากเพียงพอก็จะเข้ารับการรักษาด้วยความเข้าใจ จึงพยายามสอดแทรกเนื้อหาส่งเสริมสภาพจิตใจให้ผู้ที่ติดตามรู้สึกเหมือนเราเป็นเพื่อน ระหว่างป่วยจึงเริ่มพัฒนาเพจ 'จาคีมะเร็งไดอารี่' เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ในแง่มุมที่เป็นประสบการณ์ตรงจากการรักษา นำเสนอในสิ่งที่ตนเองเคยเป็นหรือเคยทำมาแล้ว ซึ่งแพทย์และพยาบาลเป็นผู้แนะนำ"

ปัจจุบัน พยายามใช้ชีวิตให้อยู่ในมาตรฐานคนสุขภาพดีทั่วไป คือเลือกกินอาหารที่ดีมีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ แนะนำว่าทุกคนควรหันมาดูแลสุขภาพตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะคนที่มีต้นทุนทางสุขภาพดี ย่อมจะมีโอกาสฟื้นตัวได้ดีกว่าคนที่ไม่เคยดูแลสุขภาพมาก่อน

ผศ.ดร.วีระศักดิ์ พุทธาศรี รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ผู้บริโภคต้องรู้เท่าทันโรคเพื่อให้สามารถป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ โดยทุกภาคส่วนพยายามรณรงค์ให้ผู้บริโภคมี ความรู้เท่าทันด้านสุขภาพ (Health Literacy)โดยเฉพาะเมื่อเทคโนโลยีและสังคมออนไลน์มาเกี่ยวข้อง ทุกฝ่ายจึงต้องรู้เท่าทันเรื่องดิจิทัล (Digital Literacy) และ รู้เท่าทันสื่อ(Media Literacy) ด้วย เพื่อเสพข้อมูลข่าวสารอย่างมีวิจารณญาณและช่วยกันจับตาข้อมูลที่บิดเบือนในยุค 4.0 อย่างไรก็ดี การรณรงค์ให้ความรู้เท่าทันสุขภาพด้านอาหารเป็นเรื่องค่อนข้างยาก เช่น ควรแนะนำให้ "หลีกเลี่ยง" หรือดู "ความเหมาะสม" หมายถึงผู้บริโภคต้องมีความเข้าใจและตระหนักในการเลือกรับประทานมากกว่าความชอบส่วนตัวและรสชาติ ดังคำกล่าวที่ว่า "you are what you eat" สุขภาพอยู่ที่เราเลือก

 "ทุกภาคส่วนสามารถสร้างสังคมสุขภาวะร่วมกัน ผู้ประกอบการผลิตอาหารที่ลดความเสี่ยง สร้างคำเตือนหรือไม่โฆษณาที่กระตุ้นการบริโภคเกินปริมาณ ขณะที่สื่อมวลชนก็ควรแสดงออกถึงความรับผิดชอบ ไม่โฆษณาชวนเชื่อเกินจริง มีพื้นที่หรือเวลาเผยแพร่ข้อมูลที่เอื้อต่อสุขภาพด้วย ที่ผ่านมา สช. ได้สนับสนุนการทำงานร่วมกับสถาบันมะเร็งแห่งชาติและเครือข่ายนักวิชาการเพื่อพัฒนาข้อเสนอทางนโยบายเพื่อป้องกันและควบคุมโรค"

ผศ.ดร.วีระศักดิ์ กล่าวว่า ความรู้เท่าทันด้านสุขภาพ ถูกกำหนดไว้ในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีเพื่อป้องกันและควบคุมปัจจัยคุกคามสุขภาพ รวมทั้งอยู่ในแผนปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข ซึ่งการประชุม "สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 11" ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-14 ธันวาคม 2561 ณ ศูนย์ประชุมวายุภักดิ์ ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ คณะกรรมการจัดสมัชชาสุขภาพแห่งชาติจึงนำเรื่อง "ความรอบรู้ด้านสุขภาพเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคไม่ติดต่อ (Health Literacy  for NCDs)" เป็นระเบียบวาระหนึ่งเพื่อพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบายแบบมีส่วนร่วม ภายใต้ธีมงาน "รู้เท่าทันสุขภาพ ร่วมสร้างสังคมสุขภาวะ"

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

‘เจตนาสุจริต’ รวมความเห็น ทนาย-ผู้ต้องหาแชร์โพสต์เพจ 'CSI LA' ปมข่าวข่มขืนที่เกาะเต่า

Posted: 11 Sep 2018 06:20 AM PDT

คดี 12 ผู้แชร์ข้อมูลข่าวนักท่องเที่ยวอังกฤษถูกข่มขืนบนเกาะเต่า จากเพจ CSI LA รับสารภาพ 3 ปฏิเสธ 9 'ทนายวิญญัติ' ตั้งข้อสังเกต หมายจับระบุข้อหาผิดจาก พ.ร.บ.คอมฯ ขาดคำว่าเจตนาทุจริต-หลอกลวง ออกหมายจับแทนหมายเรียก นัยสำคัญคือหยุดการแชร์โพสต์ 'คนรับสารภาพ' ระบุ รับเพราะไม่อยากสู้คดี แต่ไม่คิดว่าตนทำผิด ขณะที่ 'คนปฏิเสธง ระบุ เจตนาสุจริต ยันสู้คดี ไม่อยากให้เป็นบรรทัดฐานการใช้อำนาจของตำรวจ

ภาพซ้าย : คนซ้ายมือสุด คือ วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความผู้ต้องหา (ที่มา : เฟสบุ๊ก วิญญัติ ชาติมนตรี) ภาพขวา ภาพโปรไฟล์ประจำเพจ CSI LA

11 ก.ย. 61 ความคืบหน้ากรณีการดำเนินคดีและออกหมายจับผู้แชร์ข้อมูลเกี่ยวกับนักท่องเที่ยวสาวชาวอังกฤษที่ระบุว่าถูกข่มขืนบนเกาะเต่า จากเพจ CSI LA จำนวน 12 คน ฐานกระทำผิดนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูล คอมพิวเตอร์ปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหาย แก่ผู้อื่นหรือประชาชน และหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ฯลฯ นั้น

ล่าสุดวันนี้ (11 ก.ย.61) วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความผู้ต้องหาระบุว่า ในชั้นสอบปากคำรับสารภาพไป 3 คน ปฏิเสธ 9 คน ตอนนี้เตรียมการที่จะให้การเพิ่มเติมสำหรับผู้ต้องหาที่ปฏิเสธหรือรับสารภาพทั้งหมด 12 คน โดยกำลังประมวลข้อเท็จจริงของแต่ละคนว่าเป็นมาอย่างไร ทำไมถูกจับ ขณะที่แชร์มีเจตนาอะไร จากนั้นจะทำคำให้การ โดยวันที่ 18 ตุลาคม นี้ พนักงานสอบสวนนัดฟังคำสั่งหรือความเห็นว่าจะฟ้องหรือไม่ฟ้อง หลังจากนั้นจะส่งอัยการ

เมื่อถามว่ามีโอกาสที่พนักงานสอบสวนจะไม่ฟ้องหรือไม่ วิญญัติ กล่าวว่า นั่นคือสิ่งที่เราทำอยู่ การมีโอกาสที่จะไม่ฟ้องคือพนักงานสอบสวนต้องได้ข้อเท็จจริงพอสมควรที่จะเห็นว่าผู้ต้องหาไม่มีเจตนาหรือความตั้งใจในการทำผิด นอกจากนี้ยังมีเรื่องข้อกฎหมาย เช่น ขณะโพสต์รู้ไหมว่าเท็จ หรือความเท็จคืออะไร หรือจะก่อให้เกิดความเสียหายแบบที่ข้อกล่าวหาอ้างจริงหรือไม่

คนรับสารภาพชัดเจนว่าผิด ศาลอาจลดโทษ แต่คนปฏิเสธสู้คดีได้เต็มที่

เมื่อถามถึงผลดีผลเสียของการรับหรือปฏิเสธข้อกล่าวหา วิญญัติ แสดงความเห็นว่า ข้อกล่าวหานั้นเป็นการกล่าวหาร่วมกันกระทำความผิด ซึ่งคนที่รับสารภาพตนคิดว่าเป็นผลเสียมากกว่าผลดี คือการกระทำความผิดนั้นไม่ได้มีลักษณะเป็นการร่วมกระทำผิด ความเป็นจริงคือต่างคนต่างทำ ต่างคนไม่เคยรู้จักกัน แชร์คนละที่

ประเด็นต่อมาเมื่อรับสารภาพแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เกิดความยุ่งยากใดๆ เพราะยังต้องไปพบพนักงานสอบสวนอยู่ เพียงแต่หากอยู่ในชั้นศาล คนที่รับสารภาพซึ่งชัดเจนว่ามีความผิด ศาลก็อาจจะลงโทษกึ่งหนึ่งเนื่องจากรับสารภาพ แต่คนที่ปฏิเสธก็ยังมีโอกาสสู้คดีได้อย่างเต็มที่ ว่าไม่ได้เป็นตัวกลางร่วม และไม่ได้กระทำความผิด เพราะโพสต์โดยที่ไม่รู้ว่าเป็นความเท็จ ทั้งหมดนี้ตนจึงเห็นว่าการรับสารภาพไม่ได้ดีกว่าการปฏิเสธเลยในแง่ของรูปคดี

ทั้งนี้ วิญญัติ ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับคดีนี้ ดังนี้

หมายจับระบุข้อหาผิดจาก พ.ร.บ. คอมฯ ขาดคำว่าเจตนาทุจริต-หลอกลวง

วิญญัติ ชี้ว่า ตั้งแต่การออกหมายจับ มีการระบุข้อหาผิดไปจาก พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 วรรค 1 ซึ่งต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญคือมีเจตนาทุจริตหรือโดยหลอกลวง แต่หมายจับนั้นตัดสองคำนี้ออก นั้นแสดงว่าตัดคำเหล่านี้ออกเพื่อให้เห็นพฤติการณ์ว่ากระทำผิดจริง ใช่หรือไม่? ถ้าเป็นแบบนั้นก็เข้าข่ายเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และการแชร์โพสต์ดังกล่าวผู้แชร์ก็ไม่ได้มีเจตนาหลอกลวง

ออกหมายจับแทนหมายเรียก นัยสำคัญคือหยุดการแชร์โพสต์

ประเด็นต่อมา วิญญัติ มองว่าเป็นการกระทำที่เกินเหตุของเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ยังไม่จำเป็นต้องออกหมายจับ ออกหมายเรียกก็ได้ กรณีอื่นๆ ก็ออกหมายเรียกก่อนทั้งนั้น

เขาอธิบายว่าในขั้นตอนนี้สามารถออกหมายเรียกก่อนได้ เพราะการออกหมายเรียกเป็นการให้อำนาจเจ้าหน้าที่ตำรวจในการสอบถาม โดยยังไม่ต้องกล่าวหา ส่วนการออกหมายจับคือการเชื่อเต็มๆ ว่าเขาเป็นผู้ต้องหา แต่การออกหมายเรียกถ้าไม่เป็นความผิดก็ปล่อยตัวเขาได้โดยไม่ต้องแจ้งข้อหา กระบวนการแบบนี้ควรเกิดขึ้น อย่างในต่างประเทศก่อนออกหมายจับได้ตำรวจต้องร่วมกับอัยการในการสอบสวน ได้มูลชัดเจนแล้วถึงออกหมายจับ หรือไปเชิญตัวมาก่อน ถ้าเห็นว่ามีส่วนกระทำผิดจริงก็ถึงจะออกหมายจับ ทำการแจ้งข้อกล่าวหา

"การแชร์ข่าวซึ่งมาจากต่างประเทศและเป็นการตั้งข้อสังเกตซึ่งยังไม่มีใครยืนยันว่าเท็จหรือจริง วิธีการคือสามารถออกหมายเรียกคนที่แชร์เพื่อสอบสวนก่อนได้ แต่คุณไม่ได้ทำ คุณออกหมายจับ แล้วก็ส่งตัวไปในสถานที่ที่ไกลมาก (สภ. เกาะเต่า) นัยสำคัญก็คือเจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐต้องการที่จะให้หยุดการแชร์ มากกว่าที่จะมุ่งเอาความผิดจากกฎหมายที่ถูกต้องตรงไปตรงมา ดังนั้นมันจึงเป็นการบิดผันอำนาจไปใช้ตามความต้องการของเจ้าหน้าที่รัฐ ตำรวจไทยมักใช้วิธีการรุนแรงและให้เกิดความน่ากลัว มันเป็นอิมแพคที่เขาต้องการ" วิญญัติ กล่าว

ข้อมูลเท็จหรือจริงยังต้องพิสูจน์ คนแชร์ต้องรู้ว่าเท็จถึงเรียกว่ากระทำผิด

วิญญัติ ยังระบุว่า การที่จะกล่าวหาใครแล้วออกหมายจับ แม้กฎหมายระบุว่าออกหมายจับคนที่น่าเชื่อว่ากระทำความผิดหรือมีมูลเหตุ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ มีการพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริงที่จะบอกว่ามันเป็นความเท็จหรือยัง? การที่บอกว่าอะไรคือความเท็จ ต้องรู้ว่าอะไรคือความจริงก่อน และตอนนี้ผู้เสียหายก็ยังไม่ได้ถูกสอบสวน ดังนั้นทั้งหมดจึงยังอยู่ในกระบวนการระหว่างความสงสัยและความคลุมเครือ ข้อเท็จจริงที่เป็นความจริงยังไม่ปรากฏ สาระสำคัญของกฎหมายคือขณะที่คุณแชร์หรือนำเข้าคุณจะต้องรู้ว่าอันนั้นคือความเท็จ

'คนปฏิเสธ' ระบุ เจตนาสุจริต ยันสู้คดี ไม่อยากให้เป็นบรรทัดฐาน

ประชาไทได้สัมภาษณ์ 3 ใน 12 ของผู้แชร์ข้อมูลแล้วถูกจับกุม โดย นาย ก. (นามสมมติ) เป็นหนึ่งในผู้ปฏิเสธข้อกล่าวหาระบุว่า เราเจตนาว่า มันมีคนถูกข่มขืนและเราไม่อยากให้มีแบบนี้ เราก็เลยแชร์ อยากให้คนที่รับผิดชอบเข้ามาดูแล จากสถิติเกาะนี้ปีหนึ่งมีคนเข้าไปเป็นแสนคน ทั้งฝรั่งและคนไทยอยากมาเที่ยว เราเลยอยากให้เรื่องนี้มันดีขึ้น ตามข้อกฎหมายที่ฟังมาจากทนาย การที่เราแชร์โดยเราไม่ทราบว่าเป็นข้อความเท็จ และเราแชร์โดยสุจริตใจว่าจริงนั้นเราไม่ผิด

"แน่นอนว่าเรากลัวติดคุก กลัวเสียเงินเยอะ กลัวยุ่งยากที่จะต้องเดินทางไกลไปพิจารณาคดีในแต่ละครั้ง ซึ่งเข้าใจคนที่รับสารภาพนะ ว่าเขาคงกลัวอะไรพวกนี้ แต่เราไม่อยากให้มันเป็นบรรทัดฐานให้ตำรวจใช้อำนาจอะไรกับเราก็ได้ จับใครก็ได้ ถ้าครั้งนี้เรายอมต่อไปตำรวจจะไปจับใครทุกคนก็จะต้องยอมหมด" นาย ก. กล่าว

นาย ข. (นามสมมติ) ซึ่งปฏิเสธข้อกล่าวหาเช่นกัน กล่าวว่า ตนไม่ได้คิดว่าตนทำผิด หรือทำให้ประเทศชาติหรือประชาชนได้รับความเดือดร้อน เพราะต้องการจะแชร์เพื่อเตือนให้เกิดความระมัดระวัง ป้องกันไม่ให้เกิดอีก ตนพร้อมที่จะสู้คดี

นายข. เล่าว่า ตอนที่ถูกจับไปก็มีตำรวจพูดในทำนองว่าคดีนี้ไม่ใช่คดีร้ายแรง ยอมรับก็จะจบเร็ว แค่ค่าปรับไม่กี่พันไม่กี่หมื่น แต่ก็ไม่ได้พูดเชิงบังคับ พูดโน้มน้าวเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของการรับสารภาพกับการไม่ยอมรับสารภาพ ซึ่งตอนแรกๆ ตนก็ลังเลอยู่เหมือนกัน เพราะตนก็ไม่ได้รู้เรื่องกฎหมายมาก แต่พอทนายวิญญัติเข้าไปให้ความรู้ ก็รู้สึกโอเค เห็นทางที่จะสู้

'คนรับสารภาพ' รับเพราะไม่อยากสู้คดี แต่ที่จริงไม่คิดว่าตนทำผิด

ขณะที่ นาย ค.(นามสมมติ) ซึ่งให้การรับสารภาพ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่และพ่อบอกให้รับสารภาพเพราะจะยุ่งยากน้อยกว่า ก็เลยรับโดยไม่ได้ขัดขืน เพราะตนก็มีธุรกิจ ไม่อยากให้กระทบกับธุรกิจที่ทำ และไม่อยากสู้คดี

"จริงๆ ไม่ได้รู้สึกว่าเราผิด และมันยังอยู่ในขั้นตอนสอบสวนอยู่เลย แล้วมาจับแบบนี้มันไม่น่าใช่ เราไม่ได้เจตนาตามที่เขากล่าวหา เราคิดว่าเป็นข่าวจริงก็เลยแชร์ เรารู้สึกน้อยใจแทนนักท่องเที่ยว ทำไมถึงเกิดแบบนี้อีกแล้ว ทำไมเจ้าหน้าที่ทำกับเขาแบบนี้ เราก็เป็นคนไทยที่ห่วงประเทศไทย ถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ นักท่องเที่ยวเขาก็จะไม่มาเที่ยวประเทศไทยอีก ไม่ได้มีเจตนาจะทำลายชื่อเสียงของประเทศไทย ทำลายระบบการท่องเที่ยวของประเทศไทย ทำลายระบอบความมั่นคงของประเทศไทย ถ้าเป็นต่อไปใครจะกล้าแชร์" นาย ค. กล่าวทิ้งท้าย

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ทันตแพทยสภา จี้ วท.เลิกเตะถ่วงแก้ กม.พลังงานนิวเคลียร์ หวั่นไม่ทัน สนช.พิจารณา กระทบรักษาผู้ป่วย

Posted: 11 Sep 2018 05:16 AM PDT

ทันตแพทยสภา ภาคีวิชาชีพทางการแพทย์ จี้กระทรวงวิทย์ฯ เลิกเตะถ่วงร่างแก้ กม.พลังงานนิวเคลียร์ หลังกระบวนการแก้ กม.แล้วเสร็จ หวั่นไม่ทัน สนช.พิจารณา หากรอรัฐบาลหน้า กระทบการรักษาผู้ป่วยแน่ พร้อมระบุหากไม่คืบหน้าเชื่อบุคลากรการแพทย์ ผู้ปฏิบัติงาน เตรียมเคลื่อนไหว ร่วมปกป้องผู้ป่วย   

ทพ.ไพศาล กังวลกิจ นายกทันตแพทยสภา

11 ก.ย.2561 ทพ.ไพศาล กังวลกิจ นายกทันตแพทยสภา กล่าวว่า ทันตแพทยสภาและภาคีวิชาชีพทางการแพทย์ ขอเรียกร้องไปยังกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ขอให้แสดงความจริงใจเร่งแก้ปัญหาผลกระทบจาก พ.ร.บ.พลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ พ.ศ. 2559 โดยขอให้ยุติสรุปโดยเร็วหลังยืดเยื้อมากว่า 2 ปีมาแล้ว ทั้งนี้ พ.ร.บ.พลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ พ.ศ. 2559 ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2560 มีเจตนารมณ์เพื่อมุ่งควบคุมวัสดุนิวเคลียร์และสารกัมมันตรังสีที่มีความรุนแรง และอาจเกิดอันตรายกับประชาชนและสิ่งแวดล้อมหากใช้ไม่ถูกต้อง โดยมีการควบคุมอย่างเข้มงวดและมีโทษที่รุนแรง แต่การควบคุมได้ครอบคลุมถึงเครื่องเอกซเรย์ทางการแพทย์ ทำให้เกิดปัญหาปฏิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องใช้เอกซเรย์และจะส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง

ที่ผ่านมาภาคีวิชาชีพด้านการแพทย์ ทั้งแพทยสภา ทันตแพทยสภา สภาการพยาบาล สภาเภสัชกรรมสภาเทคนิคการแพทย์ สภากายภาพบำบัด และสัตวแพทยสภา รวมทั้งชมรมโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป (รพศ./รพท.) กระทรวงสาธารณสุข ชมรมผู้อำนวยการโรงพยาบาลชุมชน และเครือข่ายทันตแพทย์ ได้ออกมาร่วมคัดค้านกฎหมายฉบับนี้และเรียกร้องให้มีการแก้ไข

ทพ.ไพศาล กล่าวว่า นอกจากนี้เมื่อ นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ ประธานคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ทราบปัญหาและผลกระทบกับประชาชนที่จะเกิดขึ้นจากกฎหมายนี้ จึงได้ร่วมกับสมาชิกสนช.จำนวน 41 คน เสนอร่างแก้ไขกฎหมายพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ ซึ่งที่ประชุม สนช.ได้มีมติรับร่างกฎหมายไว้พิจารณาเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2561 และส่งเรื่องไปยังรัฐบาลพิจารณา ทำให้กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ต้องร่างกฎหมายเพื่อแก้ไข และเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2561ได้นำเสนอต่อที่ประชุม ครม.และได้มีมติอนุมัติหลักการตาม พร้อมให้ส่งร่างกฎหมายไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อทำการตรวจและพิจารณาโดยเร่งด่วน และให้นำร่างกฎหมายที่นำเสนอโดย นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ และคณะไปประกอบการพิจารณา เพื่อนำเข้าสู่การพิจารณาของเสนอ สนช.ต่อไป

                ทั้งนี้ในการพิจารณาคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ 5 เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2561 มีการเชิญผู้แทนหน่วยงานและสภาวิชาชีพที่เกี่ยวข้องเข้าให้ความเห็นต่อร่างกฎหมายดังกล่าวจนได้ข้อยุติ และเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2561 ได้ทำประชาพิจารณ์ โดยจัดขึ้นที่กระทรวงสาธารณสุข ขณะที่สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติได้มีการทำประชาพิจารณ์อีก 4 ครั้ง ซึ่งถือว่ากระบวนการได้เสร็จสิ้นแล้ว แต่จนถึงขณะนี้ร่างแก้ไข พ.ร.บ.พลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ ยังไม่ได้มีการนำเสนอเข้า สนช.เพื่อเข้าสู่กระบวนการพิจารณาพิจารณา และเมื่อมีการสอบถามความคืบหน้าไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกลับไม่มีคำตอบที่ชัดเจน จึงมองว่าน่าจะเกิดการเตะถ่วงการแก้ไขกฎหมายฉบับนี้ให้ล่าช้าออกไป เพื่อที่จะไม่ให้ทันเข้าสู่การพิจารณา สนช.ชุดนี้ ซึ่งต้องรอนำเข้าสู่การพิจารณาสภาผู้แทนราษฎรในรัฐบาลหน้า

"การเตะถ่วงร่างแก้ไข พ.ร.บ.พลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ ซึ่งขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างโยนกันไปมา หากไม่ทัน สนช.ชุดนี้ ต้องรอนำเข้าพิจารณาในรัฐบาลหน้า ซึ่งแน่นอนย่อมต้องก่อให้เกิดผลกระทบเป็นวงกว้าง ทำให้โรงพยาบาลชุมชน รพศ./ รพท. และคลินิกทันตกรรม ที่ต้องปิดให้บริการเอกซเรย์ ซึ่งมีผลต่อการดูแลรักษาผู้ป่วย ทั้งยังอาจส่งผลให้บุคลากรทางการแพทย์ผู้ปฏิบัติงานต้องออกมาเรียกร้องรัฐบาลเพื่อแก้ไขปัญหา ซึ่งไม่เป็นผลดี ดังนั้นทันตแพทยสภาและภาคีเครือข่ายด้านการแพทย์ ขอเรียกร้องให้หน่วยงานรัฐบาลเดินหน้าแก้ไขกฎหมายโดยเร่งด่วน" นายกทันตแพทยสภา กล่าว

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ครม.ตั้ง 'พุทธิพงษ์' อดีตแกนนำ กปปส. นั่งรองเลขานายกฯฝ่ายการเมือง

Posted: 11 Sep 2018 04:55 AM PDT

ครม.ตั้ง 'พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์' อดีต ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์  และแกนนำ กปปส. นั่งรองเลขานายกฯฝ่ายการเมือง ทำหน้าที่ประสานงานรัฐบาล-สนช. ด้าน องอาจ รองหัวหน้า ปชป. ชี้เป็นการส่งสัญญาณว่า เขาจะร่วมงานการเมืองกับพรรคที่หนุนรัฐบาลคสช. แต่ยังไม่ทราบว่าจะเป็นพรรคใด มีการเสนอผลประโยชน์จูงใจหรือไม่ คงไม่สามารถตอบได้

ที่มา เฟสบุ๊กแฟนเพจ พุทธิพงษ์  ปุณณกันต์ (บี) 

11 ก.ย.2561 เมื่อเวลา 14.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พ.อ.อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ว่า ครม.เห็นชอบแต่งตั้ง พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ อดีต ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ ให้ดำรงตำแหน่ง ข้าราชการการเมืองในตำแหน่ง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง ทั้งนี้มีผลตั้งแต่วันที่ครม. มีมติแต่งตั้งเป็นต้นไป

พ.อ.อธิสิทธิ์ กล่าวว่า การแต่งตั้ง พุทธิพงษ์ มีภารกิจ ประสานการติดตามและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล ในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน และเรื่องร้องเรียนของประชาชน รวมถึงทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานกับรัฐสภา เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติเกี่ยวกับการออกร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)

เนื่องจากที่ผ่านมาในอดีตจะมีรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ที่มีหน้าที่ดูแลด้านการประสานงาน และงานด้านความเดือดร้อนของประชาชน จึงมีความจำเป็นต้องเชื่อมโยงกับการติดตามข้อมูลผลการดำเนินงาน ตามนโยบายของรัฐบาล ครม.จึงให้ พุทธิพงษ์เป็นผู้ที่สนับสนุนงานของ สุวพันธ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ

ทั้งนี้ พุทธิพงษ์ นอกจากเคยเป็นอดีต ส.ส. กรุงเทพมหานคร สังกัดพรรค ป.ช.ป. อดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และอดีตรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แล้วง ยังเป็นแกนนำ กปปส.ร่วมกับ สุเทพ เทือกสุบรรณ ออกมาชุมนุมเป่านกหวีดชัตดาวน์ปิดกรุงเทพฯ รวมทั้งช่วงต้น ส.ค.ที่ผ่านมา เขามีข่าวว่าเตรียมย้ายไปสังกัดพรรคพลังประชารัฐ นอกจากนี้ พุทธิพงษ์ ยังถูกดำเนินคดีจากปฏิบัติการขัดขวางการเลือกตั้งของ กปปส. ในปี 2556-2557 อีกด้วย

ขณะที่ องอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ ครม. มีมติแต่งตั้ง พุทธิพงษ์ เป็นรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองว่า เป็นเรื่องที่รู้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่าพุทธิพงศ์จะไปทำงานร่วมกับรัฐบาล ซึ่งก็เป็นการส่งสัญญาณว่า พุทธิพงษ์ จะร่วมงานการเมืองกับพรรคการเมืองที่สนับสนุนรัฐบาลคสช. แต่ยังไม่ทราบว่าจะเป็นพรรคการเมืองใดและการเข้ารับตำแหน่งครั้งนี้ จะมีการเสนอผลประโยชน์จูงใจเพื่อให้ไปสังกัดพรรคหรือไม่ คงไม่สามารถตอบได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นไม่กระทบกับพรรคประชาธิปัตย์เพราะเป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีการย้ายพรรคก่อนการเลือกตั้งและนายพุทธิพงษ์ ก็ไม่ได้ยืนยันความเป็นสมาชิกพรรค หลังจากที่ไปบวช โดยยังมั่นใจว่าจะมีคนย้ายออกจากพรรคน้อยและในพื้นที่กทม. ก็ไม่มีปัญหาในเรื่องการส่งผู้สมัคร ส.ส.

(ที่มา เพจ Political & General News PostToday เพจ พุทธิพงษ์  ปุณณกันต์ (บี) และแนวหน้า)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

พยาบาลแคนาดาประท้วง ‘งานหนัก-บุคคลากรไม่เพียงพอ’

Posted: 11 Sep 2018 03:44 AM PDT


ที่มาภาพ: Socialist.ca

11 ก.ย. 2561 ตั้งต้นปี 2561 คนทำงานภาคสาธารณสุขและพนักงานโรงพยาบาลในเขต Outaouais รัฐควิเบก ประเทศแคนาดา ได้ทำการประท้วงเนื่องจากพวกเขามีภาระงานและชั่วโมงการทำงานที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นเหตุมาจากผลกระทบด้านงบประมาณด้านสาธารณสุขในเขตนี้

เขต Outaouais ได้รับงบประมาณน้อยกว่าเขตอื่นๆ ในรัฐควิเบก โดยเฉลี่ยแล้วประชากรที่นี่ได้รับเงินอุดหนุนด้านสาธารณสุขที่ประมาณ 1,938 ดอลลาร์ฯ ต่อหัว ส่วนค่าเฉลี่ยเงินอุดหนุนด้านสาธารณสุขของประชากรในรัฐควิเบกอยู่ที่ 2,569 ดอลลาร์ฯ ต่อหัว (ข้อมูลจาก Wikipedia ระบุว่าประชากรในเขตนี้มีถึง 372,000 คน จากการสำรวจเมื่อปี 2554)

'พยาบาลแคนาดา' พบปัญหาสุขภาพจากการทำงาน-ถูกผู้ป่วยทำร้าย
หมอแคนาดาประท้วงไม่ให้ขึ้นเงินเดือนตัวเอง ให้นำไปช่วยบุคลากรอื่นที่ทำงานหนักและคนไข้
'พยาบาล' หลายประเทศเรียกร้อง 'การจ้างงานที่ดี'

ซึ่งการที่จะยกระดับให้บริการด้านสาธารณสุขในเขตนี้จะต้องมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพิ่มอีก 202 คน พยาบาลอีก 1,050 คน ระบบสาธารณสุขของเขตนี้ก็ยังขาดแคลนเตียงนอนผู้ป่วยระยะสั้น 185 เตียง และเตียงนอนผู้ป่วยระยะยาวอีก 466 เตียง

แม้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขของแคนาประกาศว่าจะอุดหนุนงบประมาณด้านสาธารณสุข 300 ล้านดอลลาร์ฯ เพื่อการดูแลสุขภาพของประชาชนให้อย่างทั่วถึง แต่เขต Outaouais ได้รับงบประมาณก้อนนี้เพียง 16 ล้านดอลลาร์ฯ เท่านั้น

เมื่อเดือน ก.พ. 2561 พนักงานซ่อมบำรุงและเจ้าหน้าที่บริการอาหารในโรงพยาบาลในเมืองฮัลล์ เขต Outaouais ได้นั่งลงที่ทางเดินเพื่อประท้วงภาระงานที่เพิ่มขึ้นและจำนวนชั่วโมงที่ต้องใช้เพื่อชดเชยการขาดแคลนบุคลากร ต่อมาในต้นเดือน ส.ค. 2561 กลุ่มพยาบาลที่โรงพยาบาล Gatineau ในเมืองฮัลล์ ได้ประท้วงสภาพการทำงานที่หนักเกินไป โดย โรงพยาบาลแห่งนี้มีพนักงานและทรัพยากรจำกัด พยาบาลถูกผู้บริหารบังคับให้ทำงานในวันหยุดและทำงานล่วงเวลาเพิ่ม

 

ที่มาเรียบเรียงจาก
Hull nurses stage second sit-in against austerity (Socialist.ca, 21/8/2018)
Staff shortage at Gatineau Hospital leads to 2-hour protest (CBC News, 5/8/2018)

ข้อมูลเพิ่มเติม
Outaouais (Wikipedia, เข้าถึงข้อมูลเมื่อ 11/9/2018)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

[สารคดี] เขาดิน (เคย) เป็นสวนสัตว์

Posted: 11 Sep 2018 02:43 AM PDT

ความทรงจำของเขาดินในเดือนสุดท้าย ขณะที่พนักงานส่วนใหญ่ปฏิเสธการให้สัมภาษณ์ แต่ก็ยังมีเสียงจากคนที่อยู่มานานผ่านยุคสมัยต่างๆ เล่าความทรงจำในอดีตให้ฟังก่อนสถานที่แห่งนี้จะไม่ใช่สวนสัตว์อีกต่อไป

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น