โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันเสาร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2561

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com

Link to ประชาไท

ถกสิทธิมนุษยชนอาเซียนดันมาตรฐาน-ความรับผิดชอบภาคธุรกิจ

Posted: 08 Sep 2018 06:46 AM PDT

8 ก.ย. 2561 ที่โรงแรมทีคการ์เดน อ.เชียงของ จ.เชียงราย ได้มีการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครั้งที่ 8 ว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและการดำเนินธุรกิจที่ส่งผลกระทบต่อทรัพยากรและชุมชน ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6-10 ก.ย. โดยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ร่วมกับ Forest Peoples Programme และองค์กรอื่นๆ ซึ่งมีผู้เข้าร่วมกว่า 100 คน จากประเทศต่างในภูมิภาคอาเซียนและอื่นๆ อาทิ ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อินเดีย เนปาล โดยมี วัส ติงสมิตร ประธานกสม. ไทยเป็นประธานเปิด

ทั้งนี้ในช่วงเช้า ทัศนัย สุธาพจน์ นายอำเภอเชียงของ ได้กล่าวเปิดงานว่า ตนเป็นนายอำเภอที่นี่ พบว่าน้ำในแม่น้ำโขงแล้งมาตลอด 3 ปี แต่ปีนี้มีระดับน้ำโขงขึ้นสูงสุดในรอบหลายปี ขณะนี้อำเภอเชียงของจะกลายเป็นจุดหมายปลายทางในการพัฒนา และมีโครงการพัฒนาหลายกิจกรรม ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อชุมชน และตนเองในนามนายอำเภอต้องทำหน้าที่ปกครองให้เกิดความสมดุลในสัมพันธภาพต่างๆ และในหน้าที่ของพี่น้องประชาชนก็มีสิทธิที่จะรักษาอะไรบ้าง และรัฐก็มีสิทธิที่จะดำเนินการอะไรบางอย่าง และในพื้นที่ไม่มีอำนาจและสิทธิที่จะไกล่เกลี่ย

เตือนใจ ดีเทศน์ กรรมการสิทธิมนุษยแห่งชาติ กล่าวว่า การประชุมว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชนในภูมิภาคอาเซียน ที่ผ่านมีการประชุมมาแล้ว 7 ครั้ง ส่วนใหญ่เป็นประเด็นเรื่องผลกระทบจากอุตสาหกรรมเกษตร การปลูกพืชเชิงเดี่ยว เช่นยางพาราและปาล์มน้ำมัน ในฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย และเป็นประเด็นที่ชุมชนได้มีการลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิของตนเอง ครั้งนี้เป็นการประชุมปีที่ 8 โดยเน้นประเด็นว่าด้วยสิทธิมนุษยชนข้ามพรมแดนภาคธุรกิจ ซึ่งหลายปีที่ผ่านมา กสม. ได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนจากอุตสาหกรรมน้ำตาลในกัมพูชา โรงไฟฟ้าถ่านหินหงสา เป็นต้น ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อให้เจ้าของกิจการรับผิดชอบในการลงทุนข้ามพรมแดน และให้ภาครัฐ หลายหน่วยงานร่วมกันการกำกับดูแลภาคธุรกิจ รัฐบาลจะต้องมีการจัดทำแผนการปฏิบัติการแห่งชาติด้านสิทธิมนุษยชน และภาคธุรกิจต้องทำหน้าที่และทำความเข้าใจต่อหลักการสิทธิมนุษยชน ตลอดจนต้องมีการะบวนการติดตามประเมินผลและความเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิในภาคธุรกิจในประเทศไทยแล้ว 

นิวัฒน์ ร้อยแก้ว ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ กล่าวในเวทีว่า เราเห็นว่ามีการละเมิดสิทธิของชุมชนจากโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ข้ามพรมแดน ทั้งเขื่อน และโครงการระเบิดแก่งแม่น้ำโขง ทำให้คนท้องถิ่นได้รับผลกระทบ สิทธิชุมชนจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนอาเซียนต้องให้ความสำคัญ

ในการพัฒนาแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าผลประโยชน์อยู่ในมือของสองกลุ่ม คือ รัฐ และกลุ่มทุนหรือภาคธุรกิจ แต่สิทธิของชุมชนที่อยู่ตามริมน้ำโขงถูกละเลยไป แม่น้ำโขงถูกการพัฒนาเพื่อพลังงานไฟฟ้า เพื่อเศรษฐกิจอย่างเดียวเท่านั้น กลไกและโครงสร้างที่มีอยู่ไม่สามารถทำหน้าที่เพื่อการพัฒนาแม่น้ำโขงอย่างยั่งยืนได้ คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) ที่มีมานาน แต่เขื่อนกลับเกิดขึ้น โครงการระเบิดแก่งเกิดขึ้น MRC คือ หน่วยงานระหว่างประเทศ หน่วยงานนี้ยังไม่เห็นถึงคนข้างล่าง เหมือนเงาที่ทาบทับประชาชน เหมือนรัฐบาลทำให้เอง ประชาชนไม่ต้อง กระบวนการนี้ไม่ต้องถูกแก้ไข เราต้องการสภาประชาชนลุ่มน้ำโขงอาเซียน ประชาชนเป็นภาคส่วนที่มีความสำคัญมากในการจัดการร่วม

เชีย สวี ตัวแทนจากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมาเลเซีย (Suhakam) กล่าวว่า ประสบการณ์ร่วมมือในการตรวจสอบการละเมิดสิทธิข้ามพรมแดนระหว่างประเทศ กรณีของบริษัทมาเลเซียที่ไปลงทุนในประเทศพม่า กรณีโครงการปลูกปาล์มในเมืองมะริด ภาคใต้ของพม่า ซึ่งมีกลุ่มเยาวชนกะเหรี่ยงยื่นคำร้อง พบว่าการใช้พื้นที่ในการปลูกโครงการปาล์มน้ำมัน ดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อชาวบ้านใน 4 หมู่บ้าน พื้นที่กว่า 6,000 เอเคอร์ และจะทำให้ชาวบ้านต้องได้รับผลกระทบวิถีชิต มีข้อกังวลต่อผลกระทบจากการใช้สารเคมี และยาฆ่าแมลง ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของชาวบ้าน โดย กสม. มาเลเซียประสานงานกับ กสม. พม่า เพื่อติดตามตรวจสอบในโครงการนี้

เชีย สวี กล่าวว่า ยังมีการร้องเรียนของชาวบ้านลุ่มน้ำโขง ต่อกรณีโครงการเขื่อนดอนสะโฮง บนแม่น้ำโขงที่ลาวตอนใต้ โดยมีผู้พัฒนาโครงการคือ บริษัทเมกะเฟิรก์ส ของมาเลเซีย ต่อผลกระทบข้ามพรมแดน อย่างไรก็ตาม กสม. มาเลเซียพบว่าคำร้องที่ได้ส่งไปคือ การไม่มีข้อมูลที่เพียงพอและไม่มีกระบวนปรึกษาหารือที่เพียงพอ และโครงการดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อการประมงและวีถีชีวิตของชาวบ้านในพื้นที่ประเทศไทยและประชาชนไม่มีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจในโครงการอนุมัติโครงการ ซึ่งถือว่าโครงการดังกล่าวละเมิดต่อสิทธิมนุษยชนด้านสุขภาพและวิถีชีวติของชาวบ้าน อย่างไรก็ตามตัวแทนกสม. มาเลเซีย ไม่ได้ไปลงพื้นที่ในลาว แต่ได้พบกับตัวแทนบริษัทเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม และใช้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องและมีเสนอให้มีการประชุมร่วมกับบริษัทเมกะเฟิร์ส แต่ได้รับการปฎิเสธ และกฎหมายในมาเลเซีย กสม. ไม่มีอำนาจตรวจสอบโครงการที่อยู่นอกอาณาเขตได้

Roganda Parulian Simanjuntak ตัวแทนกลุ่ม AMAN เครือข่ายชนพื้นเมืองของประเทศอินโดนีเซีย แลกเปลี่ยนประสบการณ์ว่า ปัญหาในอินโดนีเซียคือ รัฐบาลยึดพื้นที่ของชนพื้นเมืองไป และประกาศว่าเป็นพื้นที่ของรัฐ และรัฐให้สัมปทานแก่รัฐบาลโดยไม่ได้แจ้งแก่ชนพื้นเมือง เมื่อได้รับสัมปทานบริษัทก็ทำลายป่าตามวัฒนธรรมประเพณีของชาวบ้าน (customary land) และชาวบ้านก็ถูกละเมิด ฟ้องจากการที่จะหยุดบริษัท และหลายคนต้องตายและติดคุก ปัจจุบันชนพื้นเมืองพยายามที่จะผลักดัน และมีการเสนอให้นโยบายท้องถิ่น 4 ด้านเพื่อปกป้องสิทธิของคนพื้นเมือง และมีนโยบายมากมายที่เกิดขึ้นเพื่อปัจจุบันมีท้องถิ่นกว่า 36 เมืองที่ได้ออกกฎหมายและข้อบัญญัติของท้องถิ่นปกป้องสิทธิชนพื้นเมือง ขณะนี้ทางองค์กรพยายามเสนอให้รัฐมีกฎหมายประเพณีของชุมชน และปีนี้กฎหมายดังกล่าวคาดว่าจะประกาศใช้ ตามที่ประธานาธิบดี โจโควี ได้ให้สัญญาไว้ พวกเราองก็กังวลว่า กฎหมายจะไม่ประกาศใช้ตามสัญญา จึงต้องติดตามดังกล่าว

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

กสม.ลั่นพาลูกเข้า มทบ.11 ตามหาแม่ถูกอุ้มเพราะเสื้อยืดต้องห้าม

Posted: 08 Sep 2018 04:58 AM PDT

8 ก.ย. 2561 จากกรณีการบุกเข้าจับกุมนางวรรณนภา (สงวนนามสกุล) พร้อมกับการยึดเสื้อยืดสีดำมีแถบป้ายสีขาวแดงบริเวณหน้าอกจำนวนมาก ที่ห้องพักย่านสำโรง สมุทรปราการ เมื่อวันที่ 6 ก.ย. 2561 เวลา 06.00 น. ในวันนี้ทางศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้นัดหมายบุตรชายทั้งสองของนางวรรณามาเพื่อพบกับนางวรรณา เนื่องจากมีข่าวว่าทางทหารชุดจับกุมตัวจะนำตัวมาส่งตำรวจเพื่อแจ้งข้อกล่าวหาที่กองบังคับการปราบปราม ถนนพหลโยธิน 

ภาวิณี ชุมศรี ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนกล่าวว่า รู้สึกผิดหวังเนื่องจากคาดว่าแม่จะได้พบกับลูกในวันนี้

"เด็กทั้งสองคนดูจะมีความเครียดเนื่องจากมีความคาดหวังว่าจะได้พบแม่ แต่ก็ไม่ได้พบสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขาก็คือการปล่อยตัววรรณากลับบ้านโดยไม่ต้องมีคดีติดตัว หรืออย่างน้อย หากเป็นไปได้ ก็คืออย่างน้อยๆ ก็คือ ขอสิทธิให้ลูกได้พบหน้าแม่ ได้รับทราบชะตากรรม และอยากขอสิทธิประกันตัวตาม ป. วิอาญา" ภาวิณี ระบุ

ภาวิณีกล่าวว่ายังไม่ทราบว่าวรรณาจะถูกดำเนินคดีอย่างไร แต่สิทธิที่จะได้เยี่ยมญาติเป็นหลักสิทธิมนุษยชนสากลเลยว่าจะเกิดขึ้นโดยทันที เป็นหลักประกันว่าผู้ถูกควบคุมตัวยังปลอดภัยไม่ได้สาบสูญไปไหน แต่ที่ผ่านมาการควบคุมตัวของ คสช. ผู้ต้องขังจะจะไม่มีสิทธิในการพบญาติเลย ซึ่งเราอาจคิดว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ที่จริงมันเป็นเรื่องผิดปกติ

ด้านนางอังคณา นีละไพจิตร คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กล่าวว่าทาง กสม. ได้ติดต่อไปทาง คสช. ว่าจะพาลูกของนางวรรณา ไปเยี่ยมมารดาของตนที่ มทบ. 11 โดยยึดหลักสิทธิมนุษยชน ทั้งโดยสิทธิผู้ต้องขังและโดยหลักว่าลูกย่อมมีสิทธิได้พบกับพ่อแม่ การขอเข้าพบผู้ถูกควบคุมตัวดังกล่าวไม่ใช่การแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม โดยพรุ่งนี้นางอังคณาจะนำบุตรของนางวรรณาเข้าพบนางวรรณาที่ มทบ. 11 เวลา 9.00 น.

วันเดียวกันนี้ (8 ก.ย. 2561) ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ระบุว่าได้รับรายงานเพิ่มเติมว่านางวรรณภา อายุ 30 ปี พื้นเพเป็นคนจังหวัดมหาสารคาม เคยมีอาชีพขายขนม ปัจจุบันประกอบอาชีพเป็นคนขับรถจักรยานยนต์รับจ้าง หรือวินมอเตอร์ไซค์รับส่งผู้โดยสารบริเวณย่านสำโรง โดยเธอมีบุตรชายสองคน อายุ 14 ปี กำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 และอายุ 9 ปี กำลังเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยทั้งสามคนอาศัยร่วมกับแฟนใหม่ของนางวรรณภา ในห้องเช่าย่านสำโรง

แฟนของนางวรรณภาระบุว่าประมาณหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ เห็นว่านางวรรณภาไปรับเสื้อยืดสีดำล้วน มีลายโลโก้เล็ก ๆ เป็นสี่เหลี่ยมลายสีขาวสลับแดงอยู่ตรงหน้าอกเสื้อ และไม่ได้มีถ้อยคำใด ๆ บนเสื้อ มาไว้ที่ห้องจำนวนหนึ่ง โดยเข้าใจว่านางวรรณภาจะนำมาขายเพื่อหารายได้เสริม แต่ไม่ทราบรายละเอียดว่าขายอย่างไร และไม่ทราบว่าเสื้อมีความหมายใด

แฟนของนางวรรณภาระบุว่าทราบว่านางวรรณภาเอง ไม่เคยเข้าร่วมการชุมนุมทางการเมือง หรือเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองมาก่อน และเธอยังมีอาการปวดหัวไมเกรน ต้องมีการไปรับยามารับประทานเป็นประจำด้วย

สำหรับเหตุการณ์การควบคุมตัวเกิดขึ้นในช่วงเช้าวันที่ 6 ก.ย. 2561 ประมาณ 6.00 น. เศษ ขณะนั้นนางวรรณภาและลูกสองคนยังนอนหลับอยู่ ส่วนแฟนของนางวรรณภาออกไปทำงานแล้ว ได้มีคนมาเคาะประตูห้องเช่าเสียงดัง เมื่อลูกชายคนโตของวรรณภาลุกขึ้นไปเปิดประตู ก็พบว่า มีทหารในเครื่องแบบประมาณ 6 นาย อีก 2 คน แต่งชุดสีเทายืนอยู่หน้าห้อง และสอบถามว่าคนชื่อวรรณภาอยู่หรือไม่ ลูกชายจึงได้เรียกมารดาออกไปพูดคุยกับเจ้าหน้าที่

จากนั้น เจ้าหน้าที่ทั้งหมดได้เข้ามาค้นในห้อง โดยไม่ได้ถอดรองเท้า และได้เหยียบไปบนที่นอนที่ปูอยู่บนพื้นด้วย โดยเจ้าหน้าที่เข้าไปรื้อค้นที่ราวตากผ้า กระสอบใส่เสื้อยืดที่วางกองอยู่ และตรวจดูตามซอกมุมของห้องต่างๆ ระหว่างการตรวจค้น ลูกชายระบุว่าทหารได้สอบถามแม่ซ้ำๆ ว่าเอาเสื้อมาจากไหน และเสื้อเป็นของใคร

หลังการตรวจค้น ทหารได้นำกระสอบที่บรรจุเสื้อทั้งหมด ถุงสำหรับแพ็คเสื้อ สมุด 1 เล่ม และคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก 1 เครื่อง ซึ่งเป็นของลูกชายคนโตไป แม้ลูกชายจะพยายามบอกว่าเป็นของตนก็ตาม พร้อมกับนำตัววรรณภาออกไปด้วย โดยไม่ได้บอกลูกว่าจะพาตัวไปที่ไหน ลูกชายคนโตเองก็ไม่ทราบว่าเจ้าหน้าที่นำตัวแม่ไปเพราะเหตุใด

หลังจากออกไปประมาณ 15 นาทีแล้ว เจ้าหน้าที่ทหารก็ได้นำตัวนางวรรณภากลับมาที่ห้องใหม่ พร้อมกับนำเสื้อที่ยึดไปออกจากกระสอบมาวางกองที่พื้นห้อง และให้วรรณภานั่งถ่ายรูปกับเสื้อ ก่อนนำตัววรรณภาและเสื้อยืดทั้งหมดออกไป

ต่อมา เวลาประมาณ 10.30 น. ได้มีเจ้าหน้าที่ทหารประมาณ 4 นาย ทั้งในและนอกเครื่องแบบ เดินทางกลับมาที่ห้องเช่า โดยนำเงิน 500 บาท มาให้กับลูกชายของวรรณภา ซึ่งไม่ได้ไปโรงเรียนเนื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าว

ทั้งนี้ แฟนของวรรณภาให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เขาทราบภายหลังจากร้านค้าหน้าปากซอยว่า เจ้าหน้าที่เดินทางมาโดยรถ 2 คัน และจอดเฝ้าอยู่ซักพัก ก่อนที่จะเข้าไปที่อาคารซึ่งเป็นห้องเช่าของครอบครัววรรณภา

หลังจากนั้น วันที่ 7 ก.ย. 2561 ลูกชายของวรรณภาระบุว่า เวลาประมาณ 16.00 น. วรรณภาได้ใช้เบอร์โทรศัพท์ที่ไม่ทราบว่าเป็นของใคร ติดต่อมา โดยโทรติดต่อมาสองครั้ง ครั้งละประมาณ 30 วินาที แจ้งให้ลูกชายดูแลน้องให้ดี ๆ และใช้จ่ายอย่างประหยัด

จนถึงปัจจุบัน วันที่ 8 ก.ย. 2561 ซึ่งเป็นวันที่ 3 ที่วรรณภาถูกควบคุมตัวไปจากที่พัก วรรณภายังไม่ได้รับการปล่อยตัว และยังไม่ทราบว่าถูกควบคุมตัวไว้ที่ใด

จากการสอบถามแฟนของวรรณภา พบว่า รายได้จากการขับวินมอเตอร์ไซค์ของวรรณภาพอสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายของสามคนแม่ลูกวันต่อวัน ส่วนรายได้จากการรับจ้างของแฟนวรรณภาจะเก็บไว้สำหรับเป็นค่าเช่าห้องพัก ไม่มีเงินเหลือเก็บสะสม การที่วรรณภาถูกควบคุมตัวไปจึงหมายถึงการขาดรายได้ของครอบครัว และลูกทั้งสองของเธอจะขาดเงินสำหรับใช้จ่ายในการกินอยู่และไปโรงเรียน

ก่อนหน้านี้ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนยังได้รับรายงานกรณี น.ส.สุรางคณาง (นามสมมติ) ประกอบอาชีพช่างเสริมสวย ได้ถูกเจ้าหน้าที่ทหารเข้าควบคุมตัวไปจากบ้านย่านเขตประเวศ กรุงเทพมหานคร เมื่อช่วงเช้าวันที่ 6 ก.ย. เช่นเดียวกัน จากเหตุครอบครองเสื้อสีดำดังกล่าว แต่กรณีนี้เธอได้รับการส่งตัวกลับบ้าน ในค่ำวันเดียวกัน โดยไม่ได้ถูกแจ้งข้อกล่าวหาใด เธอระบุว่าได้ถูกเจ้าหน้าที่ทหารนำตัวไป มณฑลทหารบกที่ 11 และถูกเจ้าหน้าที่ทหารสอบถามเกี่ยวกับเสื้อดังกล่าว พร้อมห้ามเธอใส่และห้ามซื้อเสื้อเพิ่มอีก

โดยในวันนี้ (8 ก.ย. 2561) องค์กรสหพันธรัฐไทได้ออกแถลงการณ์ประณามการจับกุมดังกล่าว โดยระบุว่าเป็นการข่มขู่และยัดเยียดข้อหาเพื่อให้เกิดความหวาดกลัวด้วย

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

นักวิเคราะห์แนะสหรัฐฯ ปรับนโยบายสร้างความร่วมมือสู้จีนแผ่อิทธิพลด้วย 'อำนาจอ่อน'

Posted: 08 Sep 2018 04:13 AM PDT

นอกจากทวีปแอฟริกาแล้ว สื่อต่างประเทศยังจับตามองกรณีที่จีนพยายามแผ่อิทธิพลด้วย "อำนาจอ่อน" เข้าไปในแถบทวีปละตินอเมริกา มีนักวิเคราะห์มองว่าเป็นการฉวยโอกาสในช่วงที่ประเทศอย่างเวเนซุเอลากำลังประสบปัญหาวิกฤตจากเผด็จการ นักวิชาการก็มีข้อเสนอให้สหรัฐฯ ควรปรับเปลี่ยนยุทธวิธีและเข้าไปมีบทบาทในเชิงสร้างความร่วมมือกับกลุ่มประเทศทั้งเอเชียและละตินอเมริกาบ้าง พร้อมทั้งวิพากษ์แนวทางของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เอาแต่เน้นใช้งบประมาณไปกับ "อำนาจแข็ง" อย่างการทหาร


ที่มาภาพประกอบ: Iecs (Creative Commons Attribution 3.0 Unported)

8 ก.ย. 2561 ในขณะที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ใช้ถ้อยคำแบบชวนทะเลาะเบาะแว้งเกี่ยวกับเรื่องสงครามการค้ากับจีนโดยพูดในทำนองว่าจีนเป็น "อำนาจที่มาท้าทายสถานภาพเดิมของมหาอำนาจในปัจจุบัน" (a revisionist power) แต่เรื่องนี้ ทอม ฮาร์เปอร์ นักวิจัยด้านรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งเซอร์เรย์ก็มองว่ามันเป็นความเข้าใจผิดในเรื่องเป้าหมายนโยบายการต่างประเทศของจีน 

สำหรับโลกตะวันตกแล้วมักจะมองนโยบายการต่างประเทศของจีนไปในสองรูปแบบ รูปแบบแรกคือคิดไปเองว่าจีนแค่เอาเงินไปโปรยให้รัฐบาลที่คอร์รัปชันเฉยๆ โดยไม่ได้มีเป้าหมายอะไร เช่น กรณีการให้เงินกู้ยืมกับเวเนซุเอลา พวกเขามองว่าเรื่องนี้เหมือนเป็นการพยายามจ้างวานเฉยๆ รูปแบบที่สองคือมองว่าจีนเป็น มหาอำนาจใหม่ที่ตั้งตนจะมาท้าทายความเป็นผู้นำมหาอำนาจของสหรัฐฯ โดยมองว่าจีนจะเอาแต่เน้นสร้างขุมกำลังกองทัพ ซึ่งรัฐบาลทรัมป์อ้างเรื่องนี้มาเพิ่มงบประมาณที่เป็น "อำนาจแข็ง" ให้กับพวกเขาเอง

แต่ฮาร์เปอร์ก็ระบุว่าเรื่องนี้ละเลยการมองเป้าหมายที่แท้จริงของจีน คือการใช้ "อำนาจอ่อน" กับนโยบายต่างประเทศแบบที่พวกเขาเคยใช้มาแล้วกับกลุ่มประเทศแอฟริกา โดยพยายามดึงดูดให้ชาวแอฟริกันเข้าไปศึกษาต่อในจีนและให้ประเทศแอฟริกานำแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจแบบจีนไปใช้

นอกจากนี้จีนยังอาศัยประสบการณ์ร่วมสร้างความสัมพันธ์กับประเทศกำลังพัฒนาไม่ว่าจะเป็นการกระตุ้นให้เกิดแนวคิดแบบปลดปล่อยชาติจากเจ้าอาณานิคมดั้งเดิม รวมถึงมีความฉับไวในการหาประโยชน์จากความผิดพลาดของรัฐบาลทรัมป์ เช่น ในช่วงที่สหรัฐฯ คว่ำบาตรอิหร่านจนทำให้บริษัทตะวันตกไม่กล้าไปทำธุรกิจร่วมด้วยในอิหร่าน จีนก็ได้ฐานที่มั่นอุตสาหกรรมน้ำมันในอิหร่านเอาไว้แล้ว

ในบทความของฮาร์เปอร์ระบุว่าสิ่งที่น่าเป็นห่วงสำหรับสหรัฐฯ คือการที่สหรัฐฯ จะมีอิทธิพลต่อละตินอเมริกาน้อยลงหลังจากที่ในปี 2560 ปานามายอมรับความสัมพันธ์กับจีนแผ่นดินใหญ่แสดงให้เห็นอิทธิพลของจีนในภูมิภาคละตินอเมริกา

ในปี 2560 ยังเคยมีบทความจากนิตยสาร Foreign Policy ที่ระบุถึงการที่จีนยื่นมือเข้าไปให้เวเนซุเอลากู้ยืมทางการเงินโดยไม่มีเงื่อนไขผูกมัด บทความระบุว่าในฐานะที่จีนเป็นประเทศที่ไม่สนใจสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมอย่างจีนไม่ได้ทำไปเพื่อแสดงเป็นคนมีน้ำใจดีงาม แต่เป็นการที่จีนเข้าไปพยายามเปิดตลาดส่งออกใหม่และหาทางเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติของประเทศเป้าหมายที่ให้กู้ยืม ในกรณีของเวเนซุเอลาคือแหล่งน่ำมัน

จีนเน้นให้เวเนซุเอลากู้ยืมในช่วงระหว่างปี 2550-2557 มากถึง 63 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นร้อยละ 53 ที่ให้กู้ยืมในภูมิภาคละตินอเมริกา โดยที่จีนทำข้อตกลงให้พวกเขาจ่ายให้จีนกลับเป็นน้ำมันแทน ฟังดูเผินๆ เหมือนจะเป็นข้อตกลงที่ดีสำหรับเวเนซุเอลาที่เป็นหนี้มากอย่างน่าเป้นห่วงในช่วงยุคนั้น แต่ทว่าราคาน้ำมันที่ต่ำลงในต้นปี 2559 ทำให้เวเนซุเอลาต้องจ่ายให้จีนหนักกว่าเดิม

นอกจากนี้เวเนซุเอลายังตัดสินใจปรับราคาน้ำมันในคลังของตัวเองเป็นมูลค่าเงินหยวนแทนเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จนถูกเรียกว่าเป็น "ปิโตรหยวน" ซึ่งเรื่องนี้ฮาร์เปอร์มองว่าสะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของจีนที่แผ่ขยายขึ้นเรื่อยๆ และมีศักยภาพในการท้าทายสหรัฐฯ ในแนวทางอื่นนอกเหนือจากการท้าทายช่วงชิงความเป็นมหาอำนาจแบบเดิมๆ โดยที่ปิโตรหยวนนี้ได้รับการสนับสนุนจากสื่อรัสเซียอย่างรัสเซียทูเดย์ที่สะท้อนว่ารัสเซียก็กำลังพิจารณาหันมาใช้ "ปิโตรหยวน" แทน "ปิโตรดอลลาร์"  เพื่อโดดเดี่ยวสหรัฐฯ ในทางเศรษฐกิจ ซึ่งการพยายามโต้ตอบแบบของทรัมป์ด้วยการเพิ่มกำลังทหารนับเป็นการตีความยุทธศาสตร์จีนผิดไปและอาจจะทำให้สหรัฐฯ สูญเสียอำนาจนำทางเศรษฐกิจได้

โจเซฟ นาย นักวิชาการรัฐศาสตร์จากฮาร์วาร์ดผู้ประดิษฐ์คำว่า "อำนาจอ่อน" (soft power) ขึ้นมาก็เคยเตือนสหรัฐฯ ว่าสหรัฐฯ กำลังทำลาย "อำนาจอ่อน" ของตัวเองที่มีประสิทธิภาพเสมอมา โดยที่อำนาจอ่อนหมายถึงการใช้แรงดึงดูดใจหรือการโน้มน้าวเพื่อให้อีกฝ่ายทำตามแทนการใช้กำลัง แต่ในตอนนี้จากการสำรวจของศูนย์วิจัยพิวที่ทำการสำรวจประชากรจาก 134 ประเทศระบุผลว่ามีร้อยละ 30 ของกลุ่มตัวอย่างที่มีทัศนคติทางบวกกับสหรัฐฯ ซึ่งมีสัดส่วนเทียบเท่ากับจีน

ในบทความของ Foreign Policy ระบุว่า การแทรกตัวเข้ามามีอิทธิพลโดยจีนทั้งในละตินอเมริกา แอฟริกา และเอเชีย นั้นส่วนหนึ่งเป็นเพราะความล้มเหลวที่รัฐบาลโอบามาไม่สามารถเชื่อมต่อนโยบาย "แกนกลางแห่งเอเชีย" ด้วยอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันได้ ขณะที่ประเทศเอเชียหลายประเทศทั้งแอบพูดกันและพูดอย่างเปิดเผยว่าต้องการให้สหรัฐฯ เข้ามาจัดการเชิงสร้างความร่วมมือในภูมิภาคแทนที่จะปล่อยให้จีนมีอำนาจนำอยู่ฝ่ายเดียว แต่ทว่าถ้าให้ต้องเลือกระหว่างทำสัญญากับจีนในแบบเสี่ยงๆ กับไม่มีข้อตกลงอะไรเลยกับตะวันตกผู้นำจำนวนมากมักจะเลือกอย่างแรก

ทั้งนี้อำนาจของจีนยังส่งผลเลวร้ายต่อประเทศที่เป็นหนี้พวกเขาไม่เพียงแค่เรื่องอิทธิพล แต่ในกรณีแบบเวเนซุเอลา นิโคลา มาดูโร เป็นผู้นำที่ทำให้เศรษฐกิจเสียหายเพราะเขาได้รับการเกื้อหนุนจากเงินกู้ยืมจีนที่มีเครดิตไม่สิ้นสุด โครงการ "หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง" ของจีนที่ทำกับอีกหลายประเทศก็สร้างความกังวลว่าจะทำให้เกิดปัญหาเผด็จการที่สร้างภาวะชะงักงันทางเศรษฐกิจพยายามหันเข้าหาจีนเพื่อหวังสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจจากโครงการขายฝันโดยไม่สนใจผลกระทบระยะยาวหรือไม่

เรียบเรียงจาก

Beijing's gains in Latin America leave US foreign policy toward China in need of a rethink, Tom Harper, The Conversation, 04-09-2018
http://theconversation.com/beijings-gains-in-latin-america-leave-us-foreign-policy-toward-china-in-need-of-a-rethink-91989

Venezuela's Road to Disaster Is Littered With Chinese Cash, Foreign Policy, 06-06-2017
https://foreignpolicy.com/2017/06/06/venezuelas-road-to-disaster-is-littered-with-chinese-cash/

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

'เพื่อไทย' ยืนยันไม่ขาดแคลนหัวหน้าพรรค จะชัดเจน 1 เดือนหลังคลายล็อก

Posted: 08 Sep 2018 03:46 AM PDT

เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ยืนยันไม่มีปัญหาขาดแคลนบุคคลเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ชี้ 1 เดือนหลังคลายล็อกจะมีความชัดเจนในส่วนผู้นำพรรค 'สุเทพ' ย้ำ รปช. หนุนประยุทธ์หากทำตามเจตนารมณ์ของประชาชน 'มีชัย' ชี้ไพรมารีโหวต เสี่ยงเกิดทุจริตอำนาจทุนครอบงำพรรค

8 ก.ย. 2561 นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่าพรรคเพื่อไทยยังรอให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) คลายล็อกการเมืองก่อน จากนั้นจึงจะเตรียมการเพื่อรับการทำไพรมารีโหวต ซึ่งการทำไพรมารีโหวตไม่ใช่ปัญหาใหญ่ของการเมือง เพราะมีสมาชิกกระจายอยู่ทุกพื้นที่ แต่สิ่งที่ต้องดำเนินการคือพรรคการเมืองจะต้องหาสมาชิกเพิ่ม หลัง คสช.รีเซตสมาชิกพรรคการเมือง และการทำไพรมารีโหวตครั้งนี้อาจจะไม่เต็มรูปแบบเพียงแค่ให้สมาชิกทั่วไปมีส่วนร่วม ซึ่งหากมีความชัดเจนจาก คสช.พรรคเพื่อไทยพร้อมดำเนินการตาม 

สำหรับบุคคลที่จะมาเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยนั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า มีการพูดคุยกันบ้างเพราะเป็นประเด็นที่สังคมสนใจ ซึ่งพรรคมีบุคคลคุณภาพหลายคนที่พร้อมจะเข้ามาทำหน้าที่ และตอนนี้พรรคเพื่อไทยมีคณะทำงานอยู่หลายส่วน รอเพียงการคลายล็อกพรรคการเมืองจึงจะสามารถเข้าสู่กระบวนการเสนอชื่อให้สมาชิกพรรคเลือก กรรมการบริหารพรรค และหัวหน้าพรรคอย่างเป็นทางการได้ ส่วนที่มีรายชื่อนายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ลูกเขยนายทักษิณ ชินวัตร และนายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ บุตรชายนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยนั้นพรรคยังไม่มีการเสนอชื่อใคร มีเพียงรายชื่อที่ปรากฎผ่านสื่อมวลชนเท่านั้นยังไม่มีความชัดเจน 

"พรรคเพื่อไทยมีบุคคลากรหลายส่วนมากมาย การเลือกสรรหัวหน้าพรรคไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นคนรุ่นใหม่ เพียงแต่ต้องเป็นบุคคลที่เข้าใจโลกและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป และจะประสานงานอย่างไรในการทำงาน คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะไม่ได้มีสเปกอะไรที่ชัดเจน ส่วนตัวคิดว่าโลกยุคปัจจุบันต้องการคนที่รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง และพรรคเพื่อไทยไม่ได้มีปัญหาหรือขาดแคลนบุคคลที่จะเข้ามาทำหน้าที่หัวหน้าพรรค เมื่อถึงเวลาคงต้องมาหารือกันว่าในสถานการณ์นั้นต้องการบุคคลแบบใด โดยหลังจากคลายล็อกพรรคการเมืองภายใน 7-10 วัน ก็สามารถดำเนินการจัดประชุมพรรคเพื่อหาข้อสรุปภายใน 1 เดือน"นายภูมิธรรมกล่าว

นายภูมิธรรม ยังกล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เตรียมประกาศบทบาททางการเมืองว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะประเทศต้องการความชัดเจน ขอให้นายกรัฐมนตรีประกาศให้ชัดเจนว่าจะเลือกตั้งวันไหนเนื่องจากนายกรัฐมนตรีคงไม่สามารถเข้ามาสู่การเลือกตั้งได้ จากเงื่อนไขในรัฐธรรมนูญ แต่การประกาศความชัดเจนเพื่อให้ประเทศเดินได้ แต่หาก พล.อ.ประยุทธ์ ต้องการเข้าสู่การเมืองในอนาคต ก็ต้องเข้ากระบวนการเลือกตั้งให้ประชาชนตัดสินก็จะสง่างาม

'สุเทพ' ย้ำ รปช. หนุนประยุทธ์หากทำตามเจตนารมณ์ของประชาชน

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ร่วมจัดตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) พร้อมด้วยหม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล ว่าที่หัวหน้าพรรคร่วมเปิด "โรงเรียนการเมือง รวมพลังประชาชาติไทย" และเริ่มทำการเรียนการสอนวันแรกอย่างเป็นทางการ โดยโรงเรียนการเมืองมีหลักสูตรในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับระบบการเมือง ข้อกฎหมาย ศึกษารัฐธรรมนูญและประวัติศาสตร์การเมืองไทย

นายสุเทพ ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมคลายล็อกทางการเมืองของ คสช.ว่า พรรคเข้าใจการทำงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ต้องดูแลความสงบเรียบร้อย และจำเป็นต้องควบคุมสถานการณ์  ซึ่งที่ผ่านมาพรรค รปช.ได้ดำเนินกิจกรรมที่ไม่ขัดต่อคำสั่ง คสช. แม้มีการลงพื้นที่บ้าง ก็เป็นการรับฟังปัญหาประชาชน

"ขณะนี้ทางพรรคยังไม่ได้พูดถึงการเตรียมการส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้ง เพราะต้องรอให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) รับรองการเป็นพรรคการเมืองก่อน และต้องมีการประชุมกรรมการบริหารพรรค  ในส่วนของสมาชิกพรรคขณะนี้พรรคมีอดีต ส.ส.เพียง 2 คนที่เป็นน้องชายเท่านั้น เพราะต้องการสร้างนักการเมืองใหม่มากกว่า และไม่ติดใจเรื่องกรอบเวลาการหาเสียงเลือกตั้งเพราะทางพรรคมีความพร้อม"นายสุเทพกล่าว

ส่วนจุดยืนการสนับสนับสนุนให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัยนั้น นายสุเทพ กล่าวว่าให้ประชาชนเป็นผู้กำหนดส่วนตัวยังคงสนับสนุนพลเอกประยุทธ์ เพราะเห็นว่าตราบใดที่พลเอกประยุทธ์ยังทำงานตามเจตนารมณ์ของประชาชนจะยังคงได้รับการสนับสนุน โดยเฉพาะเรื่องการปฏิรูป

'มีชัย' ชี้ไพรมารีโหวต เสี่ยงเกิดทุจริตอำนาจทุนครอบงำพรรค

ด้านนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวว่า กรธ. ทำงานมาเกือบ 3 ปี ถือเป็นการทำงานที่ยาวนานที่สุด และภาคภูมิใจที่ประชาชนลงมติเห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญ จึงหวังว่าการร่างรัฐธรรมนูญครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายอย่าให้มีเหตุให้ต้องมาร่างกันอีก 

ส่วนกรณีของการทำไพรมารีโหวตนั้น ไม่แน่ใจว่าพรรคการเมืองจะทำไพรมารีโหวตได้จริงหรือไม่ เพราะด้วยระบบการเลือกตั้งของไทย ยังไม่สามารถทำไพรมารีโหวตได้ เนื่องจากจะทำให้ผู้สมัครเสียค่าใช้จ่ายสูง การทุจริตอาจจะตามมา อีกทั้งเมื่อมีการใช้เงินมากก็จะมีนายทุนอยู่เบื้องหลัง 

"ไพรมารีโหวตอาจทำได้ในวันข้างหน้า แต่วันนี้ยังไปไม่ได้รัฐธรรมนูญถูกแก้ถึง 3 ครั้ง ทั้งที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ เพราะรัฐธรรมนูญไม่น่าจะแก้ไขได้ และเรายังต้องยกร่างกฎหมายลูกอีก 10 ฉบับ เรารู้ว่ากฎหมายยังต้องผ่าน สนช. และองค์กรอิสระ ดังนั้น สิ่งที่ กรธ.คิดจึงมีโอกาสแก้ไขมาก เช่นเดียวกับการทำไพรมารีโหวต ที่เรารู้ดีว่าสิ่งที่คิดทำไม่ได้ แต่ก็ไม่สามารถแจ้ง สนช.ได้ เพราะสิ่งที่ สนช.คิดไม่ขัดรัฐธรรมนูญและยังไม่แน่ใจว่าที่พรรคการเมืองบอกว่าทำไพรมารีโหวตได้ นั้นทำได้จริงหรือไม่ เพราะค่าใช้จ่ายสูง คนดีที่ไม่มีสตางค์ จะเข้าสู่วงการเมืองได้อย่างไร และเมื่อมีการใช้เงินมาก การทุจริตจะตามมา อีกทั้งเมื่อมีการใช้เงินมาก ก็จะมีนายทุนบงการอยู่ดี" นายมีชัยกล่าว

ที่มาข่าวเรียบเรียงจากสำนักข่าวไทย [1] [2] [3]

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

'อียู' แจงกรณี 'นคร มาฉิม' ระบุไม่เคยสนับสนุน-รับรองมุมมองบุคคลใดเกี่ยวกับการเมืองไทย

Posted: 08 Sep 2018 02:21 AM PDT

สหภาพยุโรป (อียู) ชี้แจงข้อเท็จจริง กรณีข่าว นคร มาฉิม อดีต ส.ส.พิษณุโลก อ้างอียูรับปากบี้ คสช.จัดเลือกตั้ง แจงอียูไม่เคยสนับสนุนหรือรับรองมุมมองของบุคคลใดผู้หนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการเมืองในไทย ส่งตัวแทนไป จ.พิษณุโลก เรื่องโครงการทุนการศึกษาอีราสมุสที่ ม.นเรศวร จัดการประชุมเพิ่มเติมกับตัวแทนจากภาคประชาสังคมหลายฝ่ายเพื่อเรียนรู้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ในระดับท้องถิ่น 

8 ก.ย. 2561 ไทยรัฐออนไลน์ รายงานว่า สหภาพยุโรป (EU) ชี้แจงข้อเท็จริง กรณีที่มีการลงข่าวหัวข้อ 'อียูรับปากบี้ คสช.จัด ลต.' เมื่อ 7 ก.ย. 2561 โดยมีเนื้อหาว่า "นคร ถกตัวแทนสหภาพยุโรปเปิดโปง คสช.-เครือข่ายยึดอำนาจ ฉะทรราชย่ำยีฝ่ายประชาธิปไตย แฉทุนศักดินาจับมือทุนผูกขาด หนุนรัฐประหารแลกสัมปทาน เผยอียูรับปากชงกดดันเผด็จการเร่งจัดเลือกตั้ง" อีกทั้ง นายนคร มาฉิม อดีต ส.ส.พิษณุโลก และอดีตประธานคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมือง สภาผู้แทนราษฎร ยังกล่าวในตอนท้ายว่า "ดังนั้น ขอให้อียูกดดันให้รัฐบาลเผด็จการไทยเร่งรัดจัดการเลือกตั้งโดยเร็ว ส่งตัวแทนเข้าร่วมสังเกตการณ์ ตรวจสอบกระบวนการเลือกตั้งให้เป็นไปโดยเสรีและเป็นธรรม กดดันให้ปล่อยนักโทษการเมืองทั้งหมดโดยเร็ว และหามาตรการใหม่ที่ทำให้กระบวนการยุติธรรมเป็นที่พึ่งของคนไทย ซึ่งอียูเห็นด้วยและรับไปเสนอต่อที่ประชุมอียู 28 ประเทศต่อไป" นั้น (อ่านเพิ่มเติม: 'นคร มาฉิม' ทหาร มาเฉย หลัง 'อียู' เข้าพบเมื่อวานนี้)

ทางอียูมีความประสงค์ที่จะขอชี้แจงข้อเท็จจริงว่าสมาชิกของคณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย ได้เดินทางไปยังจังหวัดพิษณุโลก เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมในการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนทางวิชาการกับมหาวิทยาลัยในยุโรป ผ่านโครงการทุนการศึกษาอีราสมุส พลัส (Erasmus+) ซึ่งจัดขึ้นโดยมหาวิทยาลัยนเรศวร

ในโอกาสนี้ สมาชิกของคณะผู้แทนฯ ได้จัดการประชุมเพิ่มเติมกับตัวแทนจากภาคประชาสังคมหลายฝ่าย ซึ่งมีแนวความคิดทางการเมืองที่หลากหลาย เพื่อเรียนรู้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ในระดับท้องถิ่น สหภาพยุโรปส่งเสริมหลักการต่างๆ ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนทั่วโลก อย่างไรก็ตาม สหภาพยุโรปไม่ได้สนับสนุนหรือรับรองมุมมองใดๆ ของบุคคลผู้ใดผู้หนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการเมืองในประเทศไทย

ทั้งนี้ เพจ European Union in Thailand ยังได้แชร์ข้อความย้ำว่า "สหภาพยุโรปส่งเสริมหลักการต่างๆ ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนทั่วโลก อย่างไรก็ตาม สหภาพยุโรปไม่ได้สนับสนุนหรือรับรองมุมมองใดๆของบุคคลผู้ใดผู้หนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการเมืองในประเทศไทย"

"The EU promotes the principles of democracy and human rights across the globe, but does not support, or endorse the views of, any specific domestic political actor in Thailand."

ทหารตบเท้าบุกพบย้ำขอให้แสดงความคิดเห็นแค่ในประเทศ ร่วมมือสู่เลือกตั้ง

ด้าน มติชนออนไลน์ รายงานว่าเมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 8 ก.ย. 2561 พ.อ.นพดล วัชรจิตบวร รองเสนาธิการมณฑลทหารบกที่ 39 กองทัพภาคที่ 3 พร้อมคณะ ได้มาพบนายนคร มาฉิม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ที่ร้านฮิว ค๊อฟฟี่ ต.เนินเพิ่ม อ.นครไทย จ.พิษณุโลก เพื่อเจรจาทำความเข้าใจหลังจากนายนครลงรูปภาพจากกล้องวงจรปิดและโพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า "ตอนนี้ กอ.รมน.และกองทัพภาค 3 ทหารจากมณฑลทหารบกที่ 39 / สังกัดหน่วยงาน กอ.รมน. กองทัพภาคที่ 3 นำโดย พ.อ.นพดล มาที่บ้านพักของผมครับ"

นายนครได้ชี้แจงถึงอุดมการณ์และเจตนารมณ์ในการทำหนังสือถึงอียู ต่อต้านการทำงานของ คสช.กับ พ.อ.นพดล และคณะอีกครั้ง ซึ่งทาง พ.อ.นพดลก็ยืนยันว่าทางสหภาพยุโรป อียู ได้ปฏิเสธที่จะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องที่นายนครยื่นหนังสือไปตามที่มีการเผยแพร่ทางสื่อต่างๆ และสิ่งที่นายนครเรียกร้องนั้น ทางทหารก็ไม่ได้ว่าอะไร เคารพในความคิดของนายนคร แต่ที่มาวันนี้ต้องการชักชวนให้นายนคร นำสิ่งที่คิดที่ต้องการนำไปเสนอกับประชาชนที่จะเลือกตั้ง นายนครเข้ามาในการเลือกตั้งที่จะถึงอีกไม่กี่เดือนนี้ อะไรก็แล้วแต่อยากให้เป็นภายในประเทศของเราเท่านั้น

จากนั้นนายนครได้กล่าวฝาก พ.อ.นพดล ไปถึงรัฐบาล คสช. และองค์กรที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ขอให้จัดการเลือกตั้งในวันที่ 24 ก.พ.2562 และขอให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริต เที่ยงธรรม เป็นธรรมกับทุกฝ่าย และถ้าฝ่าย คสช.รับหลักการ ตนเชื่อว่าประชาชนทุกคนพร้อมรอคอยวันเวลานั้น เพื่อให้บ้านเมืองกลับไปสู่ความเป็นปกติ เดินไปสู่วิถีประชาธิปไตยที่ควรจะเป็น และขอให้ฝ่าย คสช.คืนอำนาจให้กับประชาชนโดยปราศจากเงื่อนไข

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

'ครูวิภา' ปลดหนี้ กยศ.แล้ว เตรียมทวงหนี้ตั้งกองทุนช่วยเหลือนักเรียนที่เดือดร้อน

Posted: 07 Sep 2018 11:07 PM PDT

'ครูวิภา' ปลดหนี้ 270,000 บาท หลุดพ้นจากการเป็นผู้ค้ำประกัน 'กยศ.' แล้ว เตรียมติดตามทวงหนี้จากนักเรียนที่ค้างชำระเป็นรายคนเพื่อนำเงินไปตั้งกองทุนช่วยเหลือนักเรียนที่เดือดร้อน ด้าน กยศ.ชี้คนแห่คืนหนี้ปี 2561 พุ่ง 2.6 หมื่นล้านบาท จากปกติ 5,000 ล้านบาทต่อปี คาดเพราะกระแสข่าวเบี้ยวหนี้ 

8 ก.ย. 2561 สืบเนื่องจากกรณีที่ น.ส.วิภา บานเย็น ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านห้วยน้อย ต.แม่ลาด อ.คลองขลุง จ.กำแพงเพชร ได้เป็นผู้คำประกันให้ลูกศิษย์เพื่อกู้เงินกองทุนให้กู้ยืนเพื่อการศึกษา (กยศ.) ตั้งแต่ปี 2541-2542 จำนวน 60 คน แต่ลูกศิษย์ไม่ยอมจ่ายเงินคืน จึงถูกฟ้องดำเนินคดีและยึดทรัพย์ตามที่สื่อได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 6 ก.ย. 2561 ที่ผ่านมา สำนักข่าวไทย รายงานว่า น.ส.วิภา ได้เปิดเผยความคืบหน้าการชำระหนี้ที่เกิดจากการค้ำประกันว่าตนได้ใช้ชำระหนี้ กยศ. แทนลูกศิษย์ไปเรียบร้อยแล้ว รวมเป็นเงินกว่า 270,000 บาท และหลุดพ้นจากการเป็นผู้ค้ำประกัน กยศ.แล้ว ขณะนี้รอหนังสือยืนยันจาก กยศ. ว่าตนหมดภาระคนค้ำประกันแล้ว ขั้นตอนต่อไป คือ การติดตามทวงหนี้นักเรียนที่ยังคงไม่มีการชำระหนี้ และนายธัชชัย สีสุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดกำแพงเพชร ช่วยประสานทุกหน่วยงานในจังหวัด เพื่อขอความร่วมมือช่วยตามหานักเรียนที่เคยกู้ กยศ. 20 คน ว่าอยู่ที่ไหน ทำอาชีพอะไร ขณะนี้ได้ข้อมูล อาชีพนักเรียนครบถ้วนแล้ว อยู่ขั้นตอนการดำเนินการติดตามทวงหนี้เป็นรายคนไป เพื่อนำเงินไปตั้งเป็นกองทุนช่วยเหลือนักเรียนที่เดือดร้อน จึงอยากขอบคุณทุกหน่วยงานที่ช่วยเหลือ

กยศ.ชี้คนแห่คืนหนี้ปี 2561 พุ่ง 2.6 หมื่นล้านบาท จากปกติ 5,000 ล้านบาทต่อปี คาดเพราะกระแสข่าวเบี้ยวหนี้ 

เมื่อวันที่ 5 ก.ย. 2561 ที่ผ่านมา เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ รายงานว่านายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เปิดเผยว่า กยศ.ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ "ส่งเสริมความรู้ทางการเงิน" กับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เพื่อส่งเสริมความรู้ทางการเงิน แก่บุคลากร ครูอาจารย์ นักเรียน นักศึกษา และศิษย์เก่า กยศ. รวมถึงการสนับสนุนการวางแผนการใช้จ่ายเงิน สร้างวินัยการออม ทางเลือกการลงทุนที่เหมาะสม ตลอดจนการวางแผนชำระคืนเงินกู้ยืมให้กองทุนตามกำหนด

สำหรับสถานะการดำเนินงานของ กยศ. ในปัจจุบัน มีผู้กู้ยืมทั่วประเทศ จำนวน 5.4 ล้านราย คิดเป็นงบประมาณให้กู้ยืมกว่า 5.7 แสนล้านราย ประกอบด้วย ผู้กู้ยืมที่อยู่ในช่วงกำลังการศึกษาหรืออยู่ในช่วงปลอดหนี้ จำนวน 1 ล้านราย ผู้กู้ที่ชำระหนี้เสร็จสิ้น จำนวน 800,000 ราย ผู้กู้ที่เสียชีวิตหรือทุพพลภาพ จำนวน 50,000 ราย นอกจากนี้ผู้กู้ที่อยู่ระหว่างการชำระหนี้จำนวน 3.5 ล้านราย คิดเป็นเงินให้กู้ยืมจำนวน 4 แสนล้านบาท ประกอบด้วยผู้กู้ที่ชำระหนี้ปกติ จำนวน. 1.4 ล้านราย นอกจากนี้ผู้กู้ที่ผิดนัดชำระหนี้ จำนวน 2.1 ล้านราย คิดเป็นเงินค้างชำระจำนวน 6.8 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย กลุ่มผิดนัดชำระแต่ยังไม่ถูกดำเนินคดีจำนวน 1 ล้านราย คิดเป็นเงินค้างชำระ จำนวน 1.7 หมื่นล้านบาท และกลุ่มถูกดำเนินคดีจำนวน 1.1 ล้านราย คิดเป็นเงินค้างชำระ จำนวน 5.1 หมื่นล้านบาท

"จากกรณีที่มีข่าวเบี้ยวหนี้ กยศ. ส่งผลให้ในปี 2561 มีลูกหนี้ กยศ.เข้ามาชำระหนี้มากขึ้น โดยชำระ 2.6 หมื่นล้านบาท จากปกติจะชำระเฉลี่ย 5,000 ล้านบาท/ปี" นายชัยณรงค์กล่าว

อย่างไรก็ตาม ทาง กยศ.เชื่อว่าความร่วมมือดังกล่าวจะทำให้ผู้ที่มีจิตสำนึกดีและต้องการชำระหนี้มีความรู้ด้านการวางแผนทางการเงินและมีวินัยทางการเงินมากขึ้น เพื่อเพิ่มความมั่นคงทางการเงินให้กับสังคมไทยโดยรวมและเป็นการสร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยอย่างยั่งยืน

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ให้ประกันตัวคดีแชร์ข่าวนักท่องเที่ยวอังกฤษถูกข่มขืน 'ฮิวแมนไรท์วอทช์' เรียกร้องยุติดำเนินคดี

Posted: 07 Sep 2018 10:38 PM PDT

'สำนักข่าวเบอร์นานิวส์' ระบุผู้ต้องหา 12 คน ในคดีแชร์ข้อความทางเฟสบุ๊คเกี่ยวกับนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษที่อ้างว่าถูกมอมยาและข่มขืนที่เกาะเต่าได้รับการประกันตัวแล้ว เงินประกันตัวคนละ 60,000 บาท ผู้ต้องหา 3 รายให้การรับสารภาพ ส่วนที่เหลือยังให้การปฏิเสธ ขณะที่ฮิวแมนไรท์วอทช์ เรียกร้องให้ทางการไทยหยุดใช้ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ดำเนินคดีกับผู้โพสต์และแชร์ข้อความเกี่ยวกับคดีดังกล่าว

เมื่อวันที่ 7 ก.ย. 2561 ที่ผ่านมา สำนักข่าวเบอร์นานิวส์ รายงานว่านายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของผู้ต้องหาทั้ง 12 ราย ที่ถูกควบคุมตัวไว้ที่ สภ.เกาะเต่า ตามหมายศาลจังหวัดสุราษฏร์ธานี ให้สัมภาษณ์กับเบนาร์นิวส์ ระบุว่า ทั้งหมดถูกตั้งข้อหาว่ากระทำความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 คนละ 3 กระทง ซึ่งอาจถูกลงโทษจำคุก 5 ปี ซึ่งตนเองมองว่าเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายที่เกินกว่าเหตุ ซึ่งในกรณีเช่นนี้ควรออกหมายเรียกมา เพื่อชี้แจงหรือสอบถามก่อน

"คนที่กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์คือ ต้องรู้โดยเจตนาว่าข้อความนั้นเป็นเท็จ และมีเจตนาแชร์ข้อมูลอันเป็นเท็จนั้น ถึงจะเข้าข่ายการกระทำความผิด คนเหล่านี้แชร์ข้อมูลที่พวกเขาไม่รู้ว่ามันเป็นเท็จ แต่พวกเขาเข้าใจว่ามันเป็นข่าวที่ถูกนำเสนอโดยสื่อต่างประเทศ" นายวิญญัติ ให้สัมภาษณ์กับเบนาร์นิวส์ทางโทรศัพท์

"ในทางตรงกันข้าม พวกเขามีความรักประเทศชาติ การแชร์ข่าวนี้เป็นเจตนาดี เป็นการตั้งคำถามและเตือนสติ ขณะที่เหตุการณ์ยังคลุมเคลือ เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อย และไม่กระทบกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศ" นายวิญญัติ กล่าวเพิ่มเติม

สำหรับคดีนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่นักท่องเที่ยวสาวชาวอังกฤษอายุ 19 ปี รายหนึ่ง เดินทางมาเที่ยวเกาะเต่ากับเพื่อนชาย 4 คน ในเดือนมิถุนายน ปีนี้ ซึ่งต่อมาหญิงสาวอ้างว่าถูกวางยาและถูกข่มขืนโดยชายชาวเอเชีย และอ้างว่าเข้าแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ไม่รับแจ้งความกรณีการถูกข่มขืน จึงได้เดินทางกลับอังกฤษ ก่อนที่มารดาของหญิงสาวจะพาเข้าแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจอังกฤษ และนำส่งหลักฐานเสื้อที่คาดว่าจะมีร่องรอยของอสุจิของคนร้าย ให้เจ้าหน้าที่ทำการพิสูจน์เพื่อยืนยันตัวบุคคล กลายเป็นข่าวใหญ่บนหน้าหนังสือพิมพ์ของสื่ออังกฤษ

จากนั้นเฟสบุ๊คเพจ CSI LA และ สมุยไทม์ นำมาเผยแพร่ผ่านไทม์ไลน์ มีผู้เข้าชมและแชร์เป็นจำนวนมาก ต่อมา มีผู้ที่อ้างว่าได้รับความเสียหายจากเพจทั้งสอง เข้าแจ้งความดำเนินคดี จนศาลจังหวัดเกาะสมุยอนุมัติหมายจับแอดมินเพจทั้งสอง พร้อมผู้แชร์ จำนวนทั้งหมด 14 คน ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถตามจับกุมผู้แชร์ซึ่งเป็นคนไทยทั้งหมดได้ 12 คน เหลือแอดมินเพจทั้งสอง ที่ยังไม่ได้เข้ามารายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ

อย่างไรก็ดี ขณะนี้ ผู้ต้องหาที่เป็นผู้แชร์จำนวน 12 คน ได้รับการประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวน หลังจากที่ญาติซึ่งเดินทางมาที่ สภ.เกาะเต่า และยื่นเงินประกันตัวคนละ 60,000 บาท โดยจะต้องกลับมารายงานตัวหรือให้การเพิ่มเติม หากเจ้าหน้าที่ร้องขอ

ฮิวแมนไรท์วอทช์ เรียกร้องให้ทางการไทยหยุดใช้ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ดำเนินคดีกับผู้โพสต์และแชร์

ทั้งนี้ นายแบรด อดัมส์ ผู้อำนวยการ ฮิวแมนไรท์วอทช์ ประจำภูมิภาคเอเชีย ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ทางการไทยหยุดการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้งหมดทันที และประนามการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการใช้ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และในการตั้งข้อหาบุคคลที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับการสอบสวนในคดีนี้

ด้าน พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีนี้ กล่าวกับผู้สื่อข่าว ในระหว่างการแถลงข่าวที่เกาะเต่า เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาว่า จากการตรวจสอบพยานหลักฐานเบื้องต้น ณ ขณะนี้ ยังไม่พบว่ามีการข่มขืน หรือการวางยา แต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจของไทยจะได้รอหลักฐานจากผู้เสียหายมาตรวจสอบเพิ่มเติม

ก่อนหน้านี้ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ และชุดพนักงานสอบสวนได้เข้าพบกงสุลใหญ่ประเทศอังกฤษ ประจำประเทศไทย เพื่อแสดงหลักฐาน และประสานงานขอหลักฐานจากทางอังกฤษ เช่น เสื้อผ้าที่เปื้อนคราบอสุจิ และคำให้การของผู้เสียหายมาให้ตำรวจไทยได้ตรวจพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริง ซึ่งคาดว่าน่าจะได้หลักฐานดังกล่าวภายในหนึ่งเดือน

ทั้งนี้ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ เดินทางไปยังสถานีตำรวจภูธรเกาะเต่า เพื่อพบผู้ต้องหาและญาติของผู้ต้องหา เปิดเผยว่า หนึ่งในผู้แชร์ข้อความยอมรับว่า ได้แชร์ข่าวจากเฟสบุ๊คเพจดังกล่าวจริง แต่ทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ อยากขอโทษต่อสังคมที่การกระทำของตนทำให้เกิดความเสียหาย ขณะที่ผู้ปกครองของผู้แชร์รายนี้ร้องขอความยุติธรรม เนื่องจากการออกหมายจับ อาจทำให้ลูกหมดอนาคต ทั้งที่เป็นเสาหลักในการดูแลครอบครัว

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

เปิดนวัตกรรม Smart Living สร้างเมืองอัจฉริยะเชื่อมระบบการแพทย์ฉุกเฉิน

Posted: 07 Sep 2018 10:03 PM PDT

8 ก.ย. 2561 ปัจจุบันประเทศไทยของเรากำลังก้าวเข้าสู่สังคมของผู้สูงอายุ ซึ่งจากผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่าประเทศไทยมีสัดส่วนของผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวมเร็วและต่อเนื่องโดยในปี พ.ศ. 2537 มีจำนวนผู้สูงอายุคิดเป็นร้อยละ 6.8 ของประชากรทั้งประเทศ และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนการสำรวจล่าสุดพบจำนวนของประชากรผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 14.9 ของประชากรทั้งหมด นอกจากนี้เรายังมีจำนวนผู้พิการ และผู้ป่วยติดเตียงที่เป็นประชากรกลุ่มเปราะบางเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ในงานประชุมวิชาการภาคประชาชนครั้งที่ 2 ภายใต้หัวข้อ "ยุทธศาสตร์ตำบลปลอดภัย หัวใจการแพทย์ฉุกเฉิน" ซึ่งจัดขึ้นโดยสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ที่นอกจากจะมีการพูดคุยในเวทีวิชาการแล้วยังได้มีการนำเสนอวัตกรรรมที่เกี่ยวกับระบบการแพทย์ฉุกเฉินเพื่อใช้ลดอัตราของการบาดเจ็บและเสียชีวิตของประชาชนในทุกวัยรวมถึงผู้สูงอายุและประชากรกลุ่มเปราะบางต่างๆด้วย 

และหนึ่งในนั้นก็คือนวัตกรรม "Thailand Smart Living" ซึ่งเป็นระบบที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรองรับสังคมสูงวัยและดูแลผู้ป่วย หรือผู้สูงอายุที่ภาวะติดเตียง คนพิการ หรือประชากรกลุ่มเปราะบาง โดย รศ.วิรุฬห์ ศรีบริรักษ์ อาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา หัวหน้าโครงการและผู้คิดค้น นวัตกรรม Thailand Smart Living ระบุถึงที่มาที่ไปขอนวัตกรรมชิ้นนี้ว่า "โครงการนวัตกรรม Thailand Smart Living คือโครงการที่เกิดขึ้นจากการมองเห็นถึงปัญหาทางสังคมโดยได้หยิบยกเอาปัญหาคุณภาพชีวิตและความปลอดภัยของผู้สูงอายุหรือประชากรกลุ่มเปราะบางต่างๆ ซึ่งช่วยเหลือตนเองไม่ได้และไร้คนดูแล โดยกลุ่มประชากรดังกล่าวมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เราจะต้องดึงประเด็นปัญหาสังคมตรงส่วนนี้ออกมา เมื่อเรารู้ว่าสังคมมีความต้องการในเรื่องใด หรือประสบปัญหาอะไรอยู่ เราก็จะต้องมาช่วยกันแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ ซึ่งหากเราช่วยกันแก้ไขปัญหาได้ก็จะสามารถสร้างความมั่นคงและคุณภาพชีวิตที่ดีให้ประชากรในประเทศของเราทุกวัยได้ "อาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพากล่าว

สำหรับรูปแบบนวัตกรรมของระบบ "Thailand Smart Living" นั้นจะเน้นเรื่องของการสร้างระบบการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุ ผู้พิการ และประชากรกลุ่มเปราะบางต่างๆ ในเมืองหรือในชุมชนที่ไม่สามารถพึ่งพิงตนเองได้ผ่านรูปแบบการทำงานแบบ Smart Public Healthcare ที่จะเชื่อมโยงข้อมูลทั้งเทศบาลเมือง โรงพยาบาลชุมชนหรือโรงพยาบาลเอกชน คลินิกชุมชนหรือคลินิกเอกชน โดยในระบบ Smart Public Healthcare จะประกอบไปด้วย ระบบติดตามและแจ้งเตือนผู้สูงอายุภายในบ้านผ่านสายรัดข้อมืออัจฉริยะที่คอยเก็บข้อมูลและรายงานกิจวัตรประจำวัน พร้อมทั้งอุปกรณ์ในสายรัดข้อมืออัจฉริยะจะเรียนรู้รูปแบบการเคลื่อนไหวของผู้ใช้งาน ตรวจนับการออกนอกพื้นที่พักอาศัยเพื่อป้องกันการพลัดหลง และแจ้งเตือนเมื่อเกิดอุบัติเหตุหกล้มหรือต้องการขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน สามารถส่งการแจ้งเตือนไปยังครอบครัวหรือผู้ดูแลเพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที

ในระบบระบบ Smart Public Healthcare จะมีอุปกรณ์เกตเวย์ประจำบ้าน ที่จะเป็นอุปกรณ์รับสัญญาณจากสายรัดข้อมือ พร้อมทั้งติดตามกิจกรรมปุ่มขอความช่วยเหลือไร้สาย หรือตัวทวนสัญญาณอื่นๆ ที่อยู่ภายในพื้นที่และส่งข้อมูลจากอุปกรณ์ดังกล่าวไปยังระบบ Cloud บนอินเตอร์เน็ต เพื่อทำการวิเคราะห์และรายงานสถานะบนระบบดาต้าเบสและแอพพลิเคชั่น นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นโทรศัพท์ฉุกเฉินเพื่อติดต่อกับหน่วยงานที่ดูแลผู้ใช้บริการสามารถรับข้อมูลจากอุปกรณ์รัดสายข้อมือติดตามกิจกรรมและปุ่มขอความช่วยเหลือ นอกจากนี้แล้วในระบบยังมีปุ่มขอความช่วยเหลือไร้สาย เป็นอุปกรณ์ที่ออกแบบมาสำหรับติดตั้งไว้ในที่พักอาศัยใช้สำหรับผู้สูงอายุและกลุ่มประชากรเปราะบางขอความช่วยเหลือโดยอุปกรณ์จะทำงานโดยการกดที่ตัวอุปกรณ์หรือดึงสายกระตุกที่ห้อยจากตัวอุปกรณ์ซึ่งจะทำให้เกิดการส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือไปยังเบอร์ที่ได้กำหนดไว้อาทิเบอร์สายด่วน 1669 หรือเบอร์ญาติ

ทั้งนี้ความน่าสนใจนอกจากอุปกรณ์เทคโนโลยีไฮเทคต่างๆ แล้ว รูปแบบการทำงานของ Smart Public Healthcare ยังมีระบบติดตามและเฝ้าระวังสถานการณ์ ซึ่งจะมีการแสดงข้อมูลต่างๆ ที่ได้รับจากอุปกรณ์ที่ติดตั้งและใช้งานอยู่ในพื้นที่ ซึ่งจะช่วยให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นสามารถติดตามและเฝ้าระวังเหตุการณ์ที่ผิดปรกติที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเข้าให้การช่วยเหลือในกรณีมีเหตุการณ์ฉุกเฉินได้อย่างทันท่วงทีด้วย

ขณะที่ นพ.ไพโรจน์ บุญศิริคำชัย รองเลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติกล่าวว่า โครงการ "ด้วยความทันสมัยของนวัตกรรม "Thailand Smart Living" ผ่านเทคโนโลยีในรูปแบบต่างๆ ผมเชื่อว่าจะยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนได้ ซึ่งระบบของนวัตกรรม Thailand Smart Living" อยู่ในระหว่างการทดลองเชื่อมโยงการทำงานในระบบสายด่วน 1669 ของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ ซึ่งหากประสบผลสำเร็จเราจะกระจายติดตั้งให้กับท้องถิ่นต่างๆ ทั่วประเทศไทยได้ใช้ด้วย นอกจากนี้ในส่วนของสพฉ.เองก็ได้พยายามพัฒนาระบบในการแจ้งเหตุให้ตอบรับกับยุค 4.0 ไม่ว่าจะเป็นการจัดทำแอพพลิเคชั่นที่ให้ประชาสามารถแจ้งเหตุได้ และเรายังพัฒนาการทำงานร่วมกับหน่วยงานภารรัฐอื่นๆอีกหลายหน่วยงานซึ่งในอนาคตประชาชนจะสามารถแจ้งเหตุผ่านวีดีโอคอลได้อีกช่องทางหนึ่งด้วยเช่นกัน" รองเลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติกล่าว
 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

การศึกษาโดยใช้ภาษาแม่เป็นฐาน สร้างโอกาสที่เท่าเทียมในการเรียนรู้ให้กับเด็กชาติพันธุ์

Posted: 07 Sep 2018 09:29 PM PDT

งานศึกษาชี้เด็กชาติพันธุ์ที่ไม่ได้พูดภาษาไทยเป็นภาษาแม่ มีผลการเรียนและทักษะการรู้ภาษาไทยที่ดีขึ้น เมื่อพวกเขาได้เรียนโดยใช้ภาษาแม่เป็นฐาน (ที่มาภาพ: UNICEF Thailand/2016/Preechapanich)

7 ก.ย. 2561 รายงานชิ้นใหม่ขององค์การยูนิเซฟและมหาวิทยาลัยมหิดลซึ่งเผยแพร่ในช่วงก่อนวันการรู้หนังสือสากล (International Literacy Day) ประจำปี พ.ศ. 2561 ชี้ว่าเด็กชาติพันธุ์ที่ไม่ได้พูดภาษาไทยเป็นภาษาแม่ มีผลการเรียนและทักษะการรู้ภาษาไทยที่ดีขึ้น เมื่อพวกเขาได้เรียนโดยใช้ภาษาแม่เป็นฐาน

ประเทศไทยควรบูรณาการแนวทางจัดการศึกษาโดยใช้ภาษาแม่เป็นฐานเข้าไว้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายการศึกษาแห่งชาติ และขยายผลนวัตกรรมนี้ไปยังภูมิภาคอื่นๆ ของประเทศไทยที่ไม่ได้พูดภาษาไทยเป็นภาษาแม่ เพื่อขจัดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาและพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของเด็กทุกคน

รายงานเรื่อง "สะพานเชื่อมโยงไปสู่อนาคตอันสดใส: โครงการจัดการศึกษาแบบทวิ-พหุภาษา (ภาษาไทย-มลายูถิ่น)" ซึ่งได้รวบรวมหลักฐานจากโครงการนำร่องในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ชี้ให้เห็นว่า การจัดการเรียนการสอนโดยใช้ภาษาแม่เป็นฐาน สามารถพัฒนาการรู้หนังสือและการเรียนของเด็กที่ไม่ได้พูดภาษาไทยเป็นภาษาแม่ โครงการดังกล่าวมุ่งเน้นไปที่การเรียนการสอนโดยใช้ภาษาแม่เป็นฐานในช่วงปีแรก ๆ เพื่อเชื่อมโยงไปยังการเรียนการสอนโดยใช้ภาษาไทยเป็นภาษาหลักในที่สุด

รายงานยังระบุด้วยว่า ในประเทศไทย เด็กที่ไม่ได้พูดภาษาไทยเป็นภาษาแม่ มักพบอุปสรรคในการเรียนรู้ เด็กกลุ่มนี้มักมีโอกาสอยู่ในระบบโรงเรียนน้อยกว่าเด็กทั่วไป ทั้งยังมีผลคะแนนสอบในระดับต่ำ และมีแนวโน้มที่จะออกจากโรงเรียนกลางคัน

นายโธมัส ดาวิน ผู้แทนองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าวในงานเสวนาที่จัดขึ้นที่กระทรวงศึกษาธิการว่า "เด็กที่ไม่ได้พูดภาษาไทยเป็นภาษาแม่ถือเป็นกลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ เด็กกลุ่มนี้ต้องการแนวทางเฉพาะที่จะช่วยให้พวกเขาเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ หลักฐานจากทั่วโลกรวมถึงในประเทศไทย ชี้ให้เราเห็นแล้วว่า เด็ก ๆ สามารถเรียนรู้ได้ดีที่สุดเมื่อเรียนด้วยภาษาแม่ในช่วงปีแรก ๆ ของการเข้าเรียน ซึ่งช่วยให้พวกเขามีพื้นฐานที่ดี ในการเรียนรู้ภาษาไทยและวิชาอื่น ๆ ตามมา"

อย่างไรก็ตาม แม้ประเทศไทยจะมีความก้าวหน้าด้านการศึกษาอย่างมาก โดยมีอัตราเข้าเรียนในระดับประถมศึกษาเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ และมีอัตราการรู้หนังสือของเยาวชนที่ร้อยละ 98  แต่ผลสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทย พ.ศ. 2558-2559 ซึ่งจัดทำโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติด้วยการสนับสนุนจากยูนิเซฟ  ระบุว่า เยาวชนอายุ 15-24 ปี ในครอบครัวที่ไม่ได้พูดภาษาไทยประมาณ 1ใน 3 คน ยังคงไม่รู้หนังสือภาษาไทย

ยูนิเซฟ มหาวิทยาลัยมหิดล และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย ได้ริเริ่มดำเนินการและวัดผลโครงการการจัดการศึกษาแบบทวิ-พหุภาษา (ภาษาไทย-มลายูถิ่น) ของนักเรียนในเขตจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเด็กที่พูดมลายูถิ่นมีผลการเรียนอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำที่สุดของประเทศในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา

รายงานที่เผยแพร่ในวันนี้ ได้นำเสนอความสำคัญของโครงการดังกล่าว ตลอดจนวิธีการจัดการเรียนการสอน ผลสัมฤทธิ์และผลกระทบของโครงการที่มีต่อนโยบายการศึกษาของประเทศไทย โดยผู้กำหนดนโยบายด้านการศึกษาสามารถนำไปบูรณาการให้เข้ากับนโยบายการศึกษาแห่งชาติได้

ศ.นพ.บรรจง มไหสวริยะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่าโครงการนี้ผ่านการประเมินผลหลายครั้ง รวมทั้งมีการติดตามสมรรถนะของผู้เรียน โดยแสดงให้เห็นว่าเด็กมีการพัฒนาทักษะการใช้ภาษาไทยอย่างรวดเร็วและมีผลการเรียนในวิชาอื่น ๆ ที่ดีขึ้น โครงการได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ปกครองและชุมชนท้องถิ่น ทั้งยังได้รับรางวัลต่าง ๆ ทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ รวมทั้งรางวัลนวัตกรรมการรู้หนังสือในพระเจ้าเซจอง โดยองค์การยูเนสโก (UNESCO King Sejong Literacy Prize) ประจำปี พ.ศ. 2559     

"ผมขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อขยายผลนวัตกรรมนี้ไปยังโรงเรียนประถมศึกษาอื่น ๆ ในเขตจังหวัดชายแดนภาคใต้ และนำแนวทางการศึกษาที่ใช้ภาษาแม่เป็นฐานไปใช้กับภูมิภาคอื่น ๆ ของประเทศไทย ซึ่งจะเป็นการสร้างสะพานเชื่อมโยงไปสู่อนาคตที่สดใสให้แก่เด็ก ๆ อีกเป็นจำนวนมากทั่วประเทศ" ศ.นพ.บรรจง กล่าว

รศ.นพ.โศภณ นภาธร ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ  กล่าวว่า ขณะที่ประเทศไทยกำลังขับเคลื่อนปฏิรูปการศึกษาอยู่นี้ ผู้วางนโยบายควรมีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่บ่งชี้ว่า อะไรคือสิ่งที่ประสบความสำเร็จ และอะไรคือวิธีการที่จะช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลงเพื่อให้เด็กทุกคนในประเทศไทยเข้าถึงการศึกษาอย่างทั่วถึงและเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ

"โครงการนี้เป็นโมเดลที่ดีในการชี้แนะการวางแผนการศึกษาสำหรับนโยบายไทยแลนด์ 4.0" รศ.นพ.โศภณ กล่าว "นี่คือโมเดลที่จะช่วยจัดการกับปัญหาความไม่เสมอภาคในระบบการศึกษา และลดช่องว่างระหว่างนักเรียนในเมืองใหญ่และชนบท"

งานเสวนาครั้งนี้ได้รับเกียรติจากนักวิชาการชั้นนำของประเทศ รวมทั้งศาสตราจารย์กิตติคุณ นพ.จรัส สุวรรณเวลา ประธานกรรมการคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา และดร.กฤษณพงศ์ กีรติกร ประธานกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ โดยทั้งสองท่านได้กล่าวถึงความสำคัญของทักษะการอ่านออกเขียนได้ว่าเป็นพื้นฐานการเรียนรู้และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งจะเป็นสิ่งสนับสนุนการพัฒนาประเทศต่อไปในอนาคต  

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น