ประชาไท Prachatai.com | ![]() |
- 200 ปี คาร์ล มาร์กซ์ : ปวงชน อุนจะนำ เรียนรู้วิกฤตชีวิตมาร์กซ์ พลิกโอกาสต่อสู้ในปัจจุบัน
- อุทธรณ์ยกฟ้องคดียุยงปลุกปั่น ติดป้ายแยกประเทศล้านนา ที่พะเยา
- สาระ+ภาพ: นายพลล้นกองทัพ: พิจารณาสถิติแต่งตั้งโยกย้ายนายทหาร 2551-2561
- ใบตองแห้ง: ชาติชังสิทธิมนุษยชน
- วันสันติภาพสากล 'PerMAS' จัดปล่อยลูกโป่ง ชู 4 ข้อ หวังปชช.มีส่วนร่วมอย่างแท้จริง
- ไม่พูดมาก เจ็บคอ.. แม่พยาบาลเกดเปิดคำสั่งศาล โต้ ‘มัลลิกา’ ชี้ชัดทหารยิง-ไม่มีชายชุดดำ
- เสื้อแดงเหยื่อกระสุนปี 52 ร้อง 'ผบ.ทบ.' ขอความเป็นธรรมยุติยึดที่ทำกิน หลังแพ้คดี
200 ปี คาร์ล มาร์กซ์ : ปวงชน อุนจะนำ เรียนรู้วิกฤตชีวิตมาร์กซ์ พลิกโอกาสต่อสู้ในปัจจุบัน Posted: 21 Sep 2018 06:49 AM PDT Submitted on Fri, 2018-09-21 20:49 15 กันยายน 2561 วิทยาลัยการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม จัดโครงการสัมมนาวิชาการ 200 ปีชาตกาล คาร์ล มาร์กซ์ วิทยากรประกอบด้วย รศ.สรวิศ ชัยนาม คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ผศ.ดร.เก่งกิจ กิติเรียงลาภ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ดร.ปวงชน อุนจะนำ คณะสังคมศาสตร์ ภาควิชารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเศวร, รศ.สมชัย ภัทรธนานันท์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, ดร.ธิกานต์ ศรีนารา คณะมนุษย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ผศ.ดร.Katsuyuki Takahashi College of ASEAN Community Studies มหาวิทยาลัยนเรศวร ในช่วงเช้าเป็นการนำเสนอของสรวิศ ชัยนาม (อ่านที่นี่) เก่งกิจ กิติเรียงลาภ (อ่านที่นี่) ตามด้วยการนำเสนอขอองปวงชน อุนจะนำ
ในวิกฤตยังมีโอกาส บทเรียนทางประวัติศาสตร์ |
อุทธรณ์ยกฟ้องคดียุยงปลุกปั่น ติดป้ายแยกประเทศล้านนา ที่พะเยา Posted: 21 Sep 2018 05:24 AM PDT Submitted on Fri, 2018-09-21 19:24 ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องตามศาลชั้นต้น (อีก) คดี ม.116 ข้อหา "ยุยงปลุกปั่น" ติดป้าย "ขอแยกเป็นประเทศล้านนา" ที่ จ.พะเยา เหตุไม่มีพยานหลักฐานว่าจำเลยทั้ง 3 คนได้กระทำความผิด ป้ายไวนิลแยกประเทศล้านนาที่ติดในหลายพื้นที่ของจังหวัดภาคเหนือเมื่อเดือนมีนาคม 2557 เมื่อวันที่ 20 ก.ย.ที่ผ่านมา ศูนยท์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า ศาลจังหวัดพะเยานัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ในคดีของ ออด สุขตะโก และพวกรวม 3 คน ข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 หรือข้อหา "ยุยงปลุกปั่น" จากกรณีการพบป้ายที่มีข้อความว่า "ประเทศนี้ไม่มีความยุติธรรม กู ขอแยกเป็นประเทศล้านนา" ติดบริเวณสะพานลอยหน้าโรงเรียนบ้านร่องห้า อ.เมือง จ.พะเยา ตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 มี.ค.57 ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาโดยสรุปเห็นว่า โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานว่าจำเลยทั้งสามได้กระทำความผิด แม้โจทก์จะมีพยานที่เห็นเหตุการณ์ว่ามีกลุ่มคน 5-6 คน ทำการติดป้าย แต่พยานโจทก์ก็ไม่ได้ยืนยันว่าเป็นจำเลยทั้งสาม ข้อเท็จจริงรับฟังได้เพียงว่าจำเลยทั้งสามได้กระทำผิดที่หน้าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเชียงราย ซึ่งศาลจังหวัดเชียงรายได้มีคำพิพากษาไปแล้ว จากการส่งตรวจแผ่นป้ายของกลาง ก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าใครเป็นผู้ทำแผ่นป้ายดังกล่าว พยานหลักฐานโจทก์จึงรับฟังไม่ได้เป็นแน่นหนาว่าจำเลยทั้งสามได้กระทำความผิด อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งสามยืนตามศาลชั้นต้น โดยก่อนหน้านี้ ศาลจังหวัดพะเยาได้ทำการสืบพยาน และมีคำพิพากษาในคดีไปเมื่อวันที่ 18 ม.ค. 61 โดยศาลได้พิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งสาม เนื่องจากพยานหลักฐานของโจทก์ไม่สามารถยืนยันได้ว่าจำเลยทั้งสามเป็นผู้กระทำผิด แต่ต่อมา อัยการในคดีได้ทำการยื่นอุทธรณ์ ทำให้จำเลยทั้งสามได้รับหมายนัด เพื่อให้เดินทางมาฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ดังกล่าว ศูนยท์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ยังรายงานปฏิกิริยา หลังฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ของจำเลยทั้ง 3 ด้วย ออด เปิดเผยความรู้สึกว่า ทุกวันนี้ตนเองเสียหายไปแล้ว ถูกคนพูดถึงกันว่า"ลุงออดแยกประเทศ ลุงออดแยกประเทศ" การเดินทางมาคดีแต่ละครั้ง ก็ต้องมีหนี้สิน อีกทั้งเรื่องที่ไปขอให้คนรู้จักมาเป็นนายประกันเวลาที่ต้องมาศาล ก็ต้องติดหนี้บุญคุณเขา หากเขาขอให้ไปช่วยงานอะไรก็ต้องไป เมื่อวานก่อนจะมาฟังคำพิพากษาวันนี้ ก็ต้องไปช่วยเขาหักข้าวโพด ช่วยออกแรงก่อนเขาจะมา ทำให้รู้สึกได้รับผลกระทบจากการดำเนินคดี แม้ศาลจะพิพากษายกฟ้องก็ตาม ส่วน สุขสยาม จอมธาร ระบุว่าคดีที่พวกตนถูกกล่าวหาที่จังหวัดพะเยา ก็ไม่ได้มีมูล ไม่ได้มีหลักฐาน ซึ่งเราก็ไม่ได้ทำจริงๆ อยู่แล้ว วันนี้จึงขอบคุณศาลที่ยังพอมีความยุติธรรมบ้าง ขณะที่ ถนอมศรี นามรัตน์ กล่าวว่าหากพูดถึงการถูกดำเนินคดี มันก็ไม่ยุติธรรมอยู่แล้ว เรายืนยันมาโดยตลอดว่าไม่ผิด แต่ก็ขอบคุณที่วันนี้ศาลยกฟ้อง แต่มันก็ทำให้เสียเวลา เสียการเสียงานในช่วงระหว่างที่ต้องมาต่อสู้คดีถึงสองคดีในตอนหลังนี้ สำหรับ ออด สุขตะโก อายุ 66 ปี ประกอบอาชีพทำสวนทำไร่, สุขสยาม จอมธาร อายุ 65 ปี ประกอบอาชีพทำสวนทำไร่ และ ถนอมศรี นามรัตน์ อายุ 56 ปี ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป ทั้งสามคนเป็นสมาชิกของกลุ่มแม่สรวยรักประชาธิปไตย ซึ่งเป็นกลุ่มคนเสื้อแดงที่เคยทำกิจกรรมในพื้นที่ อ.แม่สรวย จ.เชียงราย เมื่อวันที่ 30 ส.ค.ที่ผ่านมา ศาลจังหวัดเชียงราย ได้ยกฟ้องทั้ง 3 คนเช่นกัน ในคดียุยงปลุกปั่น จากกรณีการพบป้ายที่มีข้อความว่า "ประเทศนี้ไม่มีความยุติธรรม กู ขอแยกเป็นประเทศล้านนา" ติดที่บริเวณสะพานลอยหน้าตลาดป่าก่อดำ อ.แม่ลาว จ.เชียงราย ตั้งแต่เมื่อวันที่ 28 ก.พ. 57 โดยศาลระบุว่า ลำพังเพียงการกระทำความผิดของจำเลยในสถานที่หนึ่ง ไม่อาจฟังได้ว่าจำเลยได้กระทำความผิดในคดีนี้ อีกทั้ง พยานหลักฐานที่โจทก์นำเข้าสืบยังไม่มีน้ำหนักรับฟังได้ตามที่โจทก์ฟ้อง ก่อนหน้านี้ในปี 2557-58 ทั้งสามคนเคยถูกดำเนินคดีในข้อหาเดียวกันนี้มาแล้ว จากกรณีการพบป้ายข้อความเช่นเดียวกัน ซึ่งถูกติดอยู่บริเวณสะพานลอยหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่าจังหวัดเชียงราย โดยในคดีนี้ ศาลจังหวัดเชียงรายมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 22 ก.ค.58 ให้จำเลยทั้งสามคนมีความผิดตามมาตรา 116 ลงโทษจำคุกคนละ 4 ปี แต่ให้การเป็นประโยชน์ จึงให้ลดโทษเหลือจำคุก 3 ปี และจำเลยทั้งสามไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน จึงให้รอการลงโทษไว้ 5 ปี ทำให้รวมแล้วทั้งสามคนถูกดำเนินคดีตามมาตรา 116 แล้วสามคดี ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai |
สาระ+ภาพ: นายพลล้นกองทัพ: พิจารณาสถิติแต่งตั้งโยกย้ายนายทหาร 2551-2561 Posted: 21 Sep 2018 02:55 AM PDT Submitted on Fri, 2018-09-21 16:55 เมื่อพิจารณาข้อมูลที่นำเสนอโดยสำนักข่าวอิศราเมื่อวันที่ 17 ก.ย. 2561 รวบรวมจากประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้นายทหารรับราชการ ระหว่างปี 2551 ถึง 2561 โดยพบว่าเฉพาะในปี 2561 มีการแต่งตั้งนายทหารรับราชการ 935 ราย [1] และเมื่อพิจารณาประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานยศทหารชั้นนายพลจำนวน 646 ตำแหน่ง [2] พบว่าในจำนวนนี้เป็นพลตรีใหม่ 358 ราย ที่เหลือเป็นการสลับตำแหน่งหรือปรับยศ ทั้งนี้สำนักข่าวอิศรายังมีข้อสังเกตด้วยว่ารายชื่อนายพลในบัญชีแต่งตั้ง "ให้นายทหารรับราชการ" ทั้งหมด 935 ตำแหน่ง มีตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิทุกชั้นยศมากถึง 357 ตำแหน่ง โดยตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ มักเป็นตำแหน่งสำหรับนายพลที่ไม่มีตำแหน่งหลักให้ลง จะมีงานก็ต่อเมื่อได้รับมอบหมาย นอกจากนั้นยังมี "ผู้ชำนาญการ" และ "ที่ปรึกษา" อีกจำนวนหนึ่ง รวมๆ แล้วประมาณ 400 ตำแหน่ง หรือร้อยละ 42 ของรายชื่อทั้งหมดในบัญชี ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai |
ใบตองแห้ง: ชาติชังสิทธิมนุษยชน Posted: 21 Sep 2018 02:52 AM PDT Submitted on Fri, 2018-09-21 16:52 ท่านผู้นำ "ย้อนเจ็บ" ตามคำของสื่อบางค่าย หลัง UNHRC จัดอันดับไทยเป็น 1 ใน 38 ประเทศ น่าละอาย คุกคามนักสิทธิมนุษยชน ว่านักการเมืองที่เอาไปพูดนั่นแหละน่าละอาย เพราะพูดให้ประเทศเสียหาย ก็ไม่รู้ใครเจ็บกันแน่ เพราะจาตุรนต์ ฉายแสง ชี้ว่าที่ UNHRC ตำหนิประเทศเหล่านี้ เพราะมักมีพฤติกรรมตำหนิ ตั้งข้อหา หรือข่มขู่คุกคามนักสิทธิมนุษยชน ว่าร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศ ทำลายชื่อเสียงประเทศชาติ ที่ท่านพูดจึงเท่ากับ "เข้าทาง" คือท่านกำลังชี้หน้า ใครเห็นด้วยกับ UNHRC เห็นว่าเป็นจริง แล้วยกมาวิพากษ์วิจารณ์ ก็เป็นพวกน่าละอายเพราะพูดให้ประเทศเสียหาย หรือพูดตามศัพท์สลิ่ม คือไอ้พวกนี้เป็นพวก "ชังชาติ" ร่วมมือกับฝรั่ง รับเงินไอ้กัน บ่อนทำลายชื่อเสียงประเทศไทย ซึ่งไม่เคยละเมิดสิทธิมนุษยชนซักหน่อย ต่อให้ปกครองด้วยระบอบเผด็จการ สลิ่มก็ไม่เดือดร้อน ใช้ ม.44 อุ้มคนเข้าค่ายทหาร ก็ถือเป็นขั้นตอนหนึ่งในกระบวนการยุติธรรม ไม่ได้ทำผิดแล้วกลัวอะไร ไม่ต้องสงสัยว่าทันใดที่ UNHRC (ที่เพจไทยคู่ฟ้า สำแดงภูมิว่าชื่อเดิมคือ UNHCR) ระบุชื่อประเทศไทย คนชั้นกลางระดับบนผู้ภาคภูมิใจในเกียรติภูมิประเทศชาติ จึงโกรธเกรี้ยวกันใหญ่ เช่น กูรูรถยนต์ชื่อดังโพสต์สวนทันใด "ประกาศ ประเทศไทยขึ้นบัญชีดำยูเอ็นเอชซีอาร์ เพราะมันชอบเสือกเรื่องของบ้านอื่นเมืองอื่น ไสหัวแม่-ออกไป ไอ้… ไอ้…" ในขณะที่ตามเพจองค์กรระหว่างประเทศ HRW แอมเนสตี้ ฯลฯ ก็ถูกคนไทยรักชาติบุกเข้าไปก่นด่า สุณัย ผาสุข ถูกส่งข้อความไล่จากประเทศไทย แต่ห้ามเอาทรัพย์สินเงินทองออกไปเพราะเป็นของประเทศชาติ เออ นั่นสินะ ทำไมประเทศไทยไม่ไล่ UNHRC UNHCR องค์กรสิทธิทั้งหลายออกไปเลย ทำไมจะต้องชี้แจงเป็นวรรคเป็นเวร ว่าเรามีมาตรการคุ้มครองสิทธิตั้งมากมาย ประเทศเผด็จการอื่นๆ ไม่เห็นสนใจ มีแต่ไทย หลังรัฐประหารก็ยังลุ้น ยังเพ้อฝัน จะชิงที่นั่งในคณะมนตรีสิทธิมนุษยชน มีแต่ประเทศศรีธนญไทย ที่รัฐประหารประกาศสิทธิ มนุษยชนเป็นวาระแห่งชาติ ผลักดันกฎหมายอยากเป็นเจนีวาแห่งเอเชีย แต่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศจัดอภิปรายเรื่อง นายพลพม่าก็ถูกห้าม พูดง่ายๆ คืออยากมีหน้ามีตา อยากให้ชาวโลกยกย่องเมืองไทยเมืองพุทธ ว่าคุ้มครองสิทธิมนุษย์ล้ำเลิศกว่าใคร ทั้งที่อยู่ใต้ ม.44 นี่ไง เราปราบค้ามนุษย์ ปราบประมงผิดกฎหมาย ออกมาตรการป้องกันอุ้มหาย ฯลฯ ทั้งยังมีกรมคุ้มครองสิทธิ ไว้ตอบโต้ข้อกล่าวหา แต่พอองค์กรสิทธิออกมาวิจารณ์ ก็ดิ้นพล่าน เสียหน้า ถ้าเป็นคนไทยด้วยกัน ก็โดนข้อหาทำลายชาติ บ่อนทำลายการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว แบบเพจ CSI LA ตีข่าวเกาะเต่า ไม่ต่างกับด่าคนอยากเลือกตั้ง สร้างความวุ่นวาย ทำลายเศรษฐกิจ แต่พอประกาศกฎหมายเลือกตั้ง หุ้นพุ่งทันที โบรกเกอร์นักวิเคราะห์ทั้งหลายที่หดหัวในกระดองไม่เคย เรียกร้องเลือกตั้ง ก็ออกมาแซ่ซ้อง มีเลือกตั้งเศรษฐกิจดี หอการค้าชี้ เงินสะพัด ประเทศนี้ตลกดีครับ รักหน้า รักชื่อเสียง อย่าให้ใครว่าไทย นิตยสารอะไรยกย่องให้เป็นดินแดนน่าเที่ยว ก็ตีปี๊บกันใหญ่ แต่เวลาองค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน จัดอันดับเสรีภาพสื่อไทย (ดีกว่าญวน เขมร ลาว) สื่อไทยเองกลับไม่อยากตีข่าว สิทธิมนุษยชนในประเทศไทยมีไว้เพื่ออะไร มีไว้ด่าทักษิณไง ว่าทักษิณฆ่าตัดตอน อุ้มฆ่า 3 จังหวัดใต้ UN ไม่ใช่พ่อ ฯลฯ แต่พอไล่ทักษิณแล้ว ปกครองด้วยเผด็จการคนดีมีศีลธรรม ก็ทำได้ทุกอย่าง นักสิทธิที่เคยวิจารณ์ทักษิณก็กลายเป็นพวกรับเงินทักษิณ เพราะใช้มาตรฐานเดียวกันวิจารณ์รัฐบาล ที่ใช้อำนาจยิ่งกว่าทักษิณหลายเท่า แล้วเสียงตอบโต้ก็ฟังคุ้นๆ ไม่ต่างจากยุคทักษิณ อย่ามาตำหนิรัฐบาล ไปประณามโจรใต้โน่น ละเมิดสิทธิมนุษยชน อันที่จริง ถ้าดูทัศนะ คนชั้นกลางระดับบนที่เกลียดทักษิณวันนี้ ก็น่าจะชื่นชอบนโยบายปราบยาเสพติด ปราบโจรใต้ ในวันนั้น อยู่ที่ยอมรับกันหรือเปล่า พูดให้ถึงที่สุด ก็คนไทยทุกระดับชั้นนั่นแหละ มีแนวโน้มอำนาจนิยม อยากเห็นการใช้อำนาจรุนแรงกับคนที่ตนเห็นว่าผิด หรือเกลียดชัง เพราะรากฐานสังคมไทยเป็นสังคมพุทธผิวเผิน ถ้าเห็นตัวเองเป็นคนดีแล้วอีกฝ่ายเป็นคนชั่ว ก็ทำอะไรกับมันได้ทุกอย่าง เพียงแต่คนชั้นล่างยังตระหนักว่า เมื่อไหร่ที่รัฐมีอำนาจมาก เจ้าหน้าที่มีอำนาจมาก ตัวเองก็ตกเป็นเหยื่อได้ง่ายกว่า ยิ่งกว่านั้น คนชั้นกลางระดับบนยังภาคภูมิใจกับประเทศไทย ใต้รัฐประหาร "สี่ปีซ่อม สี่ปีสร้าง" รัฐประหารสร้างไทยยิ่งใหญ่ ใครวิจารณ์เป็นพวกจ้องทำลาย พวกชังชาติ ไม่อยากอาศัยแผ่นดินอยู่ ก็ออกจากประเทศนี้ไป
เผยแพร่ครั้งแรกใน: ข่าวสดออนไลน์ www.khaosod.co.th/hot-topics/news_1593593
ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai |
วันสันติภาพสากล 'PerMAS' จัดปล่อยลูกโป่ง ชู 4 ข้อ หวังปชช.มีส่วนร่วมอย่างแท้จริง Posted: 21 Sep 2018 02:22 AM PDT Submitted on Fri, 2018-09-21 16:22 'PerMAS' จัดปล่อยลูกโป่งขาว ที่ ม.อ.ปัตตานี เนื่องในวันสันติภาพสากล พร้อม ชู 4 ข้อ ร้องรัฐบาลไทยยกเลิกกฎอัยการศึก พรรคการเมืองร่วมดันเจรจาสันติภาพปาตานีเป็นวาระแห่งชาติ ขอมาเลเซียทบทวนตั้งผู้อำนวยความสะดวกในการพูดคุยคนใหม่ รวมทั้งให้ ปชช.ไทยและ ปชช.ปาตานี ร่วมกันผลักดันเจรจาสันติภาพ ที่วางอยู่บนฐานการเคารพสิทธิทางการเมืองของ ปชช. ตามระบอบประชาธิปไตย ภาพจาก เฟสบุ๊กแฟนเพจ 'Free Voice' 21 ก.ย.2561 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า วันนี้ เมื่อเวลา 11.30 น. ที่บริเวณหน้าตึก 19 หรือ อาคารเรียนรวม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี (ม.อ.ปัตตานี) นักศึกษานักกิจกรรม สหพันธ์นิสิตนักศึกษานักเรียนและเยาวชนปาตานี (PerMAS) จัดกิจกรรม เนื่องในวันสันติภาพสากล อนัส หนึ่งในผู้ร่วมจัดกิจกรรม กล่าวว่า เราจัดกิจกรรมเขียนความรู้สึกลงบนลูกโป่งสีขาว ปล่อยลอยไปสู่ท้องฟ้า เพื่อสะท้อนว่า เรายังคงมีความหวัง เราจัดกิจกรรมแบบนี้มาหลายปีแล้ว มันซ้ำๆ เดิมๆ เราไม่รู้ว่าพอจะสามารถช่วยให้ผู้คนตระหนักถึงความสำคัญของสันติภาพหรือเปล่า แต่เราหวังว่าสักวันสันติภาพจะเกิดขึ้นจริงๆ เพราะมันหมายถึงชีวิต หมายถึงศักดิ์ศรีของเรา วัรดะฮ. กล่าวว่า สำหรับพวกเรา อนาคตการจัดการความขัดแย้งจะออกมาในรูปแบบใดก็ตาม ขอให้ปัจจุบัน เด็กๆ ผู้หญิง พลเรือนได้รับการปกป้องคุ้มครองก็พอแล้ว การปล่อยลูกโป่งในครั้งนี้เพื่อระลึกว่าพลเรือนกี่ชีวิตแล้วที่หายไปกับสงครามระลอกนี้ ภาพจาก เฟสบุ๊กแฟนเพจ 'Free Voice' อารีฟ ดาเล็ง ผู้ประสานงาน PerMAS เขต Patani Lama กล่าวว่า ในวันนี้ PerMAS ถือโอกาสวันสันติภาพสากล เสนอข้อเรียกร้อง 4 ข้อ เพื่อร่วมพัฒนากระบวนสันติภาพต่อไป "คนที่นี้มีชีวิต มีลมหายใจ มีลูกมีครอบครัว ถึงเวลาแล้วที่พวกเราจำต้องร่วมผลักดันให้เกิดกระบวนการสันติภาพที่มีมาตรฐาน สามารถจัดการความขัดแย้งทางการเมืองได้จริงๆ" อารีฟ กล่าว สำหรับแถลงการณ์และเสนอข้อเรียกร้อง 4 ข้อ ของ PerMAS มีดังนี้ แถลงการณ์ สหพันธ์นิสิตนักศึกษานักเรียนและเยาวชนปาตานีด้วยวันที่ 21 กันยายน ของทุกปี เป็นวันสันติภาพสากล ซึ่งทางสหประชาชาติได้กำหนดไว้ เพื่อให้ประชาชนทุกชนชาติระลึกถึงความสำคัญของสันติภาพ ชีวิต และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ 1. ขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยยกเลิกกฎอัยการศึก ซึ่งเป็นกฎหมายที่เอื้อต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนและหล่อเลี้ยงวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิด ลดเงื่อนไขความหวาดกลัว และเพื่อให้ประชาชนสามารถแสดงเจตจำนงทางการเมืองอย่างเสรี 2. ขอให้พรรคการเมืองต่างๆ ร่วมผลักดันให้ การเจรจาสันติภาพปาตานีนั้น เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อสะท้อนเจตจำนงทางการเมืองของรัฐบาลอย่างแท้จริง 3. ขอให้มาเลเซียทบทวนการแต่งตั้งผู้อำนวยความสะดวกในการพูดคุยคนใหม่ เพื่อที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการเอื้ออำนวยให้เกิดกระบวนการเจรจาสันติภาพ ที่เป็นไปตามมาตรฐานสากล นำไปสู่การมีคนกลางที่ได้รับการยอมรับจากคู่ขัดแย้งและไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนใดๆ 4. ขอให้ประชาชนไทยและประชาชนปาตานี ร่วมกันผลักดันให้เกิดการเจรจาสันติภาพ ที่วางอยู่บนฐานการเคารพสิทธิทางการเมืองของประชาชน ตามระบอบประชาธิปไตย ด้วยจิตรักสันติภาพ นศ. ลงพื้นที่ ต.บางเขา หนองจิก เช็คข้อมูลขณะที่วานนี้ (20 ก.ย.61) เวลา 10.00 น วันที่ 20 กันยายน 2561 เลขาธิการ PerMAS นำขบวนนักศึกษา 100 กว่าคน ลงพื้นที่ชุมชนตำบลบางเขา เพื่อสอบถามข้อมูลข้อเท็จจริงจากชาวบ้านในพื้นที่ และร่วมทำการละหมาดฮายัต
"ชาวบ้านในพื้นที่หวาดกลัว บรรยากาศเงียบอย่างน่ากลัว หลายวันแล้ว ชาวบ้านหลายคนสะท้อนว่า ไม่สามารถทำมาหากินอย่างปกติได้" อับดุลซาลั หนึ่งในนักศึกษาที่ลงพื้นที่ กล่าว อาอีเซาะห์ ( นามสมมุติ ) เล่าว่า หลายวันแล้วที่ไม่มีใครมาทานข้าวที่นี้ เราขายไม่ได้เลย หลายครัวเรือนหาข้าวหาปลากันไม่ได้ ถ้ายังอยู่แบบนี้เราจะกินอะไร หลังมีการประกาศเป็นที่พิเศษ ทหารเข้าไปตั้งแคมป์ในโรงเรียนตาดีกา ทำให้จำต้องปิดการเรียนการสอน โรงเรียนประถมศึกษาก็ปิดด้วยเช่นกัน เด็กๆ ในชุมชนไม่เรียนหนังสือหลายวันแล้ว อับดุลซาลัม ย้ำว่า PerMAS ไม่เห็นด้วยกับการใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่ รัฐบาลต้องเปิดพื้นที่ทางการเมือง ประชาชนต้องมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก สันติภาพในพื้นที่จึงจะเกิดขึ้น ทั้งนี้เมื่อวันที่ 16 ก.ย.ที่ผ่านมา พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาค 4 และผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 (กอ.รมน.ภาค 4) จัดแถลงข่าว ณ มณฑลทหารบกที่ 46 ประกาศ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ฉบับที่ 86/2561 ให้ ต.บางเขา และ ต.ท่ากำซำ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เป็นพื้นที่ควบคุมพิเศษชั่วคราวโดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.กฎอัยการศึก พ.ศ.2457 และกำหนดให้ผู้ที่อาศัยในพื้นที่ดังกล่าวนำอาวุธปืน และเครื่องกระสุนทุกชนิด รถยนต์ รถจักรยานยนต์ และเรือทุกประเภทมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ทหารเพื่อตรวจสอบตั้งแต่วันที่ 17-23 ก.ย. 2561 ณ ที่ว่าการอำเภอหนองจิก จ.ปัตตานี ภายหลังเกิดเหตุการณ์ซุ่มยิงทหารพรานเสียชีวิต 2 นาย บาดเจ็บอีก 4 นายขณะที่ทั้งหมดกำลังเดินกลับฐานใน อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 11 ก.ย. ที่ผ่านมา ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai |
ไม่พูดมาก เจ็บคอ.. แม่พยาบาลเกดเปิดคำสั่งศาล โต้ ‘มัลลิกา’ ชี้ชัดทหารยิง-ไม่มีชายชุดดำ Posted: 21 Sep 2018 01:52 AM PDT Submitted on Fri, 2018-09-21 15:52 หลัง แม่พยาบาลเกด เหยื่อกระสุนปืนทหารในเหตุการณ์สลายชุมนุมเสื้อแดงปี 53 บุกทำเนียบทวงถาม พล.อ.ประวิตร เหตุมีกระแสข่าวนายทหารยศนายพลไปบุกอัยการเพื่อสั่งให้ยุติการดำเนินคดี ต่อมา 'มัลลิกา' ออกโรงเตือนแม่พยาบาลเกด อย่าอคติใส่ร้ายทหาร ชี้ปกปิดความจริงชายชุดดำฆ่าทหาร-ปชช. ขณะที่ ทบ. ขอความเป็นธรรมให้ทหาร ชี้ปืนหายก็ไม่ได้คืน ด้าน 'พะเยาว์' เปิดคำสั่งศาลโต้ 'มัลลิกา' ชี้ชัด ทหารยิงลูกตัวเอง และไม่มีชายชุดดำ ภาพที่ถูกถ่ายจากดาดฟ้า สตช. เย็นวันที่ 19 พ.ค.53 โดยทหารในภาพมองไปยังหน้าวัดปทุมฯ 21 ก.ย.2561 จากกรณีที่วานนี้ (20 ก.ย.61) พะเยาว์ อัคฮาด มารดาของ กมนเกด อัคฮาด หรือ เกด พยาบาลอาสาซึ่งเสียชีวิตในวัดปทุมวนาราม จากเหตุการณ์สลายการชุมนุมแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ปี 2553 พร้อมด้วย ณัทพัช อัคฮาด บุตรชายของพะเยาว์ รวมทั้ง พันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ บิดาของ สมาพันธ์ ศรีเทพ หรือน้องเฌอ ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมดังกล่าวเช่นกัน ทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์เดินเท้าจากศาลทหารกรุงเทพ ไปยังทำเนียบรัฐบาลและยื่นหนังสือ ถึงพล.อ.ประวิตร วงสุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ตรวจสอบกรณี มีนายทหารยศนายพลไปบุกอัยการเพื่อสั่งให้ยุติการดำเนินคดีกับทหาร กรณีสลายการชุมนุมปี 2553 นั้น ภาพ พะเยาว์ อัคฮาด และ พันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ เดินไปทำเนียบเมื่อวันที่ 20 ก.ย.2561 (ที่มาภาพ เฟสบุ๊ก Nattaputt Akahad) 'มัลลิกา' เตือนแม่พยาบาลเกด อย่าอคติใส่ร้ายทหาร ชี้ปกปิดความจริงชายชุดดำฆ่าทหาร-ปชช.ต่อมา มติชนออนไลน์ รายงานว่า มัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ประธาน มูลนิธิมัลลิกาเพื่อประชาชน และรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาเตือน พะเยาว์ และและประชาชนเสื้อแดงอื่นๆ เพื่อให้ได้สติว่าอย่าตกเป็นเหยื่อของกลุ่ม นปช.ทักษิณอีก อย่าเป็นเครื่องมือลุกขึ้นมาปลุกปั่นอีกรอบ เพราะการจะเรียกร้องหาข้อเท็จจริงต้องปราศจากอคติและควรปรารถนาดีต่อลูกหลานของตัวเองจริงๆ ไม่ใช่ตั้งแง่แต่ว่าต้องใส่ร้ายทหาร หลักฐานพยานอีกประการหนึ่งคือวิถีกระสุนที่มีการพิสูจน์หลักฐานของที่นิติวิทยาศาสตร์กระทรวงยุติธรรมในปี 2553 นั้นก็ชัดเจนดีว่าเป็นวิถีกระสุนพี่ไม่ได้มาจากมุมสูงแต่เป็นมุมราบ แล้วใครที่อยู่ในมุมราบใช่ชายชุดดำหรือไม่แล้วชายชุดดำมาจากใครคงต้องถามนปช.และทักษิณ นี่ต่างหาก 12 ปีของการครบรอบผู้ที่กระทำกับประเทศชาติบ้านเมืองและเจตนาจะใส่ร้ายเจ้าหน้าที่ของบ้านเมืองโดยที่ไม่ชะโงกดูพฤติกรรมตัวเองว่าครอบครองอาวุธกันทำไมติดอาวุธเป็นกองกำลังไม่ทราบฝ่ายตามที่แกนนำนปช.ประกาศบนเวทีเพื่ออะไร 'พะเยาว์' เปิดคำสั่งศาลโต้ 'มัลลิกา' ชี้ชัด ทหารยิงลูกตัวเอง และไม่มีชายชุดดำล่าสุดวันนี้ (21 ก.ย.61) พะเยาว์ โพสต์โต้ มัลลิกา ผ่านเฟสบุ๊ก 'Phayaw Akkahad' ด้วยว่า "ฝากไปถึงคุณมัลลิกาและพรรคประชาธิปัตย์นะคะ คดีไต่สวนการตายของลูกสาวดิฉันศาลอาญากรุงเทพใต้ได้มีคำสั่งแล้วเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2556 ว่า ผู้ตายทั้ง 6 เสียชีวิตเนื่องมาจาก ถูกยิงด้วยกระสุนปืนขนาด .223 หรือ 5.56 มม. ซึ่งวิถีกระสุนปืน ยิงมาจากเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติหน้าที่อยู่บนรางรถไฟฟ้า BTS หน้าวัดปทุม และไม่ปรากฏว่ามีชายชุดดำอยู่ในบริเวณดังกล่าว" นอกจากนี้ พะเยาว์ ได้แนะนำให้อ่านคำสั่งศาลในการไต่สวนการตายดังกล่าว ผ่านเว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ https://www.thairath.co.th/content/362085 "ขี้เกียจพูดมาก เจ็บคอ" พะเยาว์ โพสต์ทิ้งท้าย ทบ. ขอความเป็นธรรมให้ทหาร ชี้ปืนหายก็ไม่ได้คืนผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ไม่ใช่มีเพียง มัลลิกา เท่านั้นที่ออกมาโต้ พะเยาว์ วันนี้ (21 ก.ย.61) ข่าวสดออนไลน์ รายงานด้วยว่า ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกรณีดังกล่าว ว่า กรณีคดีความเหตุการณ์ ปี 53 กองทัพบก ติดตามความความคืบหน้าคดีมาตลอด ไม่ได้ชะลอหรือทำให้เกิดความล้าช้า โดยทางคณะทำงานติดตามทางคดีของกองทัพบก ได้มีการติดตามเรื่องคดีต่างๆ อยู่เป็นระยะ แต่เพื่อรักษาบรรยากาศบ้านเมือง การให้ข้อมูลในช่วงที่ผ่านมาจึงต้องใช้ความระมัดระวัง เพราะห่วงความรู้สึกผู้ได้รับผลกระทบ พ.อ.วินธัย กล่าวว่า ปัจจุบันเรื่องคดีนั้น เชื่อว่าหลายคดีที่มีองค์ประกอบพอเพียงที่จะดำเนินการทางคดีได้ และส่วนใหญ่ก็อยู่ในกระบวนการแล้ว สำหรับคดีที่เจ้าหน้าที่ทหารเป็นผู้ถูกกระทำ ก็มีความคืบหน้าน้อย ซึ่งคณะทำงานติดตามทางคดีของกองทัพบกก็ยังติดตามอย่างใกล้ชิด ก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับเจ้าหน้าที่ด้วยเช่นกัน โฆษกกองทัพบก กล่าวอีกว่า ส่วนข้อห่วงใยคือ การติดตามอาวุธปืนราชการที่หาย เมื่อครั้งถูกปล้นและยึดไปเมื่อปี 2553 ปัจจุบันยังคงพยายามเร่งรัดหาคืน แม้ว่าในช่วง ปลายปี 2557 เจ้าหน้าที่สามารถยึดอาวุธสงครามบางส่วนได้ พร้อมออกมาตราการให้ใครก็ตามที่ครอบครองอาวุธสงครามนำส่งมอบให้ทางการมียอดรวมมากหลายหมื่นกระบอก ทั้งนี้ในส่วนอาวุธปืนของกองทัพบกที่ถูกปล้นยึดหายไปคราวนั้น ก็ยังตามหากลับมาได้ไม่ครบ ทางคณะทำงานติดตามทางคดีของกองทัพบก จึงต้องให้ความสำคัญพร้อมเร่งรัดต่อเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน เพื่อทำให้เหตุการณ์เกี่ยวกับการใช้อาวุธสงครามในชุมชนเมือง ไม่เกิดขึ้นมาซ้ำรอยอดีต สำหรับ กระแสข่าวนายพลรุกเจรจาให้ยุติคดีสลายการชุมนุม นปช. ปี 53 นั้น เกิดขึ้น 16 ก.ย.ที่ผ่านมา ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. ได้เขียนจดหมายเปิดผนึกถึงอัยการสูงสุดและผู้เกี่ยวข้องในคดีสลายการชุมนุมดังกล่าว โดย ณัฐวุฒิ อ้างถึง บทความคอลัมน์ มองรอบทิศ เรื่อง "นายพล" เดินแรง โดยผู้ใช้นามปากกา พยัคฆ์น้อย หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับประจำวันที่ 6 ก.ย. 2561 ซึ่งเขียนว่ามีนายทหารระดับ "นายพล" เดินทางไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับสำนวนคดีสลายการชุมนุมกลุ่ม นปช.เมื่อปี 2553 โดย "นายพล" ขอให้ผู้ใหญ่ฝ่ายอัยการยุติเรื่องดังกล่าว โดยเฉพาะกรณีเกือบ 20 ศพ ที่ศาลไต่สวนสาเหตุการตายเป็นที่ยุติแล้วว่าเสียชีวิตเพราะถูกกระสุนปืนความเร็วสูงจากฝั่งเจ้าหน้าที่ ให้ทำเป็น "สำนวนมุมดำ" หาตัวผู้กระทำความผิดไม่ได้ จึงไม่ต้องส่งฟ้องศาล และ ณัฐวุฒิ ยังระบุด้วยว่า จะมอบหมายตัวแทนฝ่ายกฎหมายเดินทางไปยืนคำร้องเรื่องนี้ต่อสำนักงานอัยการสูงสุดอีกครั้งในสัปดาห์หน้า ขณะที่ คดี 6 วัดปทุมวนาราม ศาลมีคำสั่งในการไต่สวนการเสียชีวิตตั้งแต่ 6 ส.ค.56 แล้ว ว่า สุวัน ศรีรักษา อายุ 30 ปี อาชีพเกษตรกร ผู้เสียชีวิตที่ 1, อัฐชัย ชุมจันทร์ อายุ 28 ปี บัณฑิตคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคําแห่ง ผู้เสียชีวิตที่ 2, มงคล เข็มทอง อายุ 36 ปี เจ้าหน้าที่อาสามูลนิธิปอเต็กตึ๊ง ผู้เสีย ชีวิตที่ 3, รพ สุขสถิต อายุ 66 ปี อาชีพพนักงานขับ รถรับจ้างในสนามบิน ผู้เสียชีวิตที่ 4, กมนเกด ฮัคอาด อายุ 25 ปี อาชีพพยาบาลอาสา ผู้เสียชีวิตที่ 5, และ อัครเดช ขันแก้ว อาชีพรับจ้าง ผู้เสียชีวิตที่ 6 โดยทั้ง 6 ศพ ถูกยิงเสียชีวิตที่วัดปทุมวนาราม เมื่อวันที่ 19 พ.ค.2553 ในเหตุการณ์สลายการชุมนุม ของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. สมัย อภิสิทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ศาลสั่งว่าผู้ตายที่ 1,3-6 ถึงแก่ความตายเนื่องจากกระสุนปืน .223 จากทหารกองพันจู่โจมพิเศษที่ 3 ค่ายเอราวัณ จ.ลพบุรี ที่ประจำอยู่บริเวณรางรถไฟฟ้า BTS หน้าวัดปทุมฯ ขณะเกิดเหตุ ส่วนผู้ตายที่ 2 ตายจากกระสุน .223 จากกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ที่ประจำการอยู่บริเวณถนนพระราม 1 ช่วงเกิดเหตุ ภายใต้คำสั่งของ ศอฉ. และผลการตรวจจากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ไม่พบร่องรอยการยิงปืนของมือทั้ง 6 ศพ จึงเชื่อว่าทั้ง 6 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการใช้อาวุธปืน รวมทั้งขณะเกิดเหตุมีด่านเจ้าหน้าที่ตรวจค้นอาวุธแน่นหนา นอกจากนี้ ภายหลังการอ่านคำสั่งในวันนั้น ผู้สื่อข่าวประชาไทยังรายงานด้วยว่า ศาลกล่าวสรุปประเด็นให้ผู้ที่เข้าร่วมฟังด้วยว่า 1.เกิดจากการกระทำของเจ้าพนักงานทหาร 2.ผู้ตายทั้ง 6 ไม่มีคราบเขม่าดินปืนที่มือทั้งสองข้าง แสดงว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการใช้อาวุธปืนมาก่อน 3.การตรวจยึดอาวุธในวัดปทุมวนาราม ไม่น่าเชื่อว่ามีการตรวจยึดจริง และ 4.กรณีชายชุดดำ ไม่ปรากฏว่ามีชายชุดดำอยู่ในบริเวณดังกล่าว โดยศาลมีคำสั่งให้นำคำสั่งนี้ส่งต่อให้พนักงานอัยการ เพื่อดำเนินการต่อไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai |
เสื้อแดงเหยื่อกระสุนปี 52 ร้อง 'ผบ.ทบ.' ขอความเป็นธรรมยุติยึดที่ทำกิน หลังแพ้คดี Posted: 20 Sep 2018 08:01 PM PDT Submitted on Fri, 2018-09-21 10:01 'ไสว ทองอ้ม' คนเสื้อแดงเหยื่อกระสุนปี 52 ร้อง ผบ.ทบ. ขอความเป็นธรรม และขอให้กองทัพบกยุติการยึดที่ดินทำกิน หลังแพ้คดีที่ฟ้องกองทัพสลายชุมนุมและยิงจนพิการที่แขน ที่มาภาพ เฟสบุ๊ก ไพศาล จันปาน เมื่อวันที่ 20 ก.ย.ที่ผ่านมา มติชนออนไลน์ รายงานว่า สมยศ พฤกษาเกษมสุข ประธานกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย เดินทางมาพร้อมมวลชนจำนวน 6 คน เพื่อจะยื่นหนังสือถึง ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เพื่อนำ ไสว ทองอ้ม มวลชน แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่ถูกยิงได้บาดเจ็บสาหัส จนแขนข้างซ้ายพิการ ในช่วงสลายชุมนุมของ นปช.ที่แยกสามเหลี่ยมดินแดง เมื่อ ปี 52 และได้ฟ้องร้องค่าเสียหายจากกองทัพบก ต่อมาศาลสั่งยกฟ้องและตัดสินให้ไสว ชดใช้ค่าเสียหายเป็นค่าธรรมเนียมศาลและค่าทนายความเป็นเงิน 212,114 บาท ให้กับกองทัพบก แต่ ไสว ไม่มีเงินจ่าย จึงถูกยึดที่ดินทำกิน นอกจากนี้ ไสวได้ร้องเรียนต่อกระทรวงกลาโหมแล้ว แต่ไม่มีความคืบหน้า จากนั้น พ.อ.วิชิต คล้ายทอง นายทหารเวร ออกมารับหนังสือ โดย ไสว กล่าวว่า ในวันนี้มายื่นหนังสื่อให้ทาง ผบ.ทบ. เพื่อติดตามผลการดำเนินงานจากกองทัพบก ในเรื่องที่ร้องขอความเป็นธรรม และขอให้กองทัพบกยุติการยึดที่ดินทำกินของตน สำหรับ ไสว จากการถูกยิง เขาฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายกับกองทัพ ศาลฎีกาได้ตัดสินให้ยกฟ้อง และสั่งให้ ไสว และสนอง พานทอง โจทก์ร่วมอีกคน จ่ายค่าธรรมเนียมศาลและจ่ายค่าทนายจำเลย (อัยการ) ของฝ่ายกองทัพด้วย รวมเป็นเงิน เป็นเงิน 212,114 บาท ขณะเดียวกันเงินในบัญชีธนาคารของไสวที่มีอยู่เกือบ 5,000 ถูกอาญัติ และและเจ้าพนักงานบังคับคดีที่สุรินทร์ยังได้ยึดที่นาของไสวจำนวน 8 กว่าไร่ ราคาประเมิน 460,980 บาท เพื่อทำการขายทอดตลาด แม้ในขั้นศาลชั้นต้นพิพากษาให้กองทัพจ่ายค่าเสียหายเป็นเงินหนึ่งล้านสองแสนบาท ต่อมากองทัพได้ยื่นอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายกฟ้อง เหตุไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ากระสุนมาจากทหารและชนิดกระสุนไม่ตรงกับกระสุนที่กองทัพใช้ จน ไสว ยื่นฎีกา ก่อนที่ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องตามศาลอุทธรณ์ดังกล่าว ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai |
You are subscribed to email updates from ประชาไท. To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google, 1600 Amphitheatre Parkway, Mountain View, CA 94043, United States |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น