โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2561

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com

Link to ประชาไท

200 ปี คาร์ล มาร์กซ์ : ปวงชน อุนจะนำ เรียนรู้วิกฤตชีวิตมาร์กซ์ พลิกโอกาสต่อสู้ในปัจจุบัน

Posted: 21 Sep 2018 06:49 AM PDT

15 กันยายน 2561 วิทยาลัยการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม จัดโครงการสัมมนาวิชาการ 200 ปีชาตกาล คาร์ล มาร์กซ์ วิทยากรประกอบด้วย รศ.สรวิศ ชัยนาม คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ผศ.ดร.เก่งกิจ กิติเรียงลาภ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ดร.ปวงชน อุนจะนำ คณะสังคมศาสตร์ ภาควิชารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเศวร, รศ.สมชัย ภัทรธนานันท์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, ดร.ธิกานต์ ศรีนารา คณะมนุษย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ผศ.ดร.Katsuyuki Takahashi College of ASEAN Community Studies มหาวิทยาลัยนเรศวร

ในช่วงเช้าเป็นการนำเสนอของสรวิศ ชัยนาม (อ่านที่นี่) เก่งกิจ กิติเรียงลาภ (อ่านที่นี่) ตามด้วยการนำเสนอขอองปวงชน อุนจะนำ 

ในวิกฤตยังมีโอกาส บทเรียนทางประวัติศาสตร์
จากชีวิตของคาร์ล มาร์กซ์
ปวงชน อุนจะนำ

ปัจจุบันมีวิกฤตที่ปรากฏให้เห็นหลายประการซึ่งทำให้พวกเรารู้สึกท้อแท้และสิ้นหวัง แต่หากเราศึกษาชีวประวัติของมาร์กซ์ เราจะพบว่ามาร์กซ์ก็ต้องเผชิญวิกฤตหลายอย่าง เขาไม่ได้หลีกหนีปัญหา พยายามเผชิญหน้ากับมันแล้วแก้วิกฤต เราสามารถเรียนรู้จากมาร์กซ์ได้ นำบทเรียนตรงนั้นมาประยุกต์ใช้ในวิกฤตของเรา ทำวิกฤตเป็นโอกาสให้ได้

ตอนแรกประหลาดใจนิดๆ เพราะงานประเภทนี้น่าจะจัดที่มหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศไทย โดยเฉพาะที่กรุงเทพมหานครที่มีชนชั้นกลางที่มีการศึกษา มีความรู้ เข้าถึงหนังสือภาษาอังกฤษได้ มาร์กซ์เป็นคนเยอรมันเชื้อสายยิว และเขียนงานส่วนใหญ่เป็นภาษาเยอรมัน การเข้าถึง text ของมาร์กซ์ถ้าไม่ใช่ภาษาเยอรมันก็เป็นภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส ประหลาดใจที่จัดที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม แต่พอคิดอีกทีหนึ่งก็รู้สึกว่า ไม่มีไหนแล้วที่จะเหมาะกับการจัดงานประเภทนี้เท่าที่นี่ เพราะดินแดนอีสานนี่แหละเป็นดินแดนที่ถูกกดขี่ขูดรีดจากส่วนกลางโดยตลอด ถ้าสีแดงคือสัญลักษณ์ของมาร์กซ์ ไม่มีที่ไหนที่เหมาะจัดงานเท่าพื้นที่ที่รัฐไทยจัดว่าเป็นพื้นที่ "สีแดง" มาตลอดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

ใจความสำคัญของการบรรยายคือ ปัจจุบันมีวิกฤตที่ปรากฏให้เห็นหลายประการซึ่งทำให้พวกเรารู้สึกท้อแท้และสิ้นหวัง แต่หากเราศึกษาชีวประวัติของมาร์กซ์ เราจะพบว่ามาร์กซ์ก็ต้องเผชิญวิกฤตหลายอย่าง เขาไม่ได้หลีกหนีปัญหา พยายามเผชิญหน้ากับมันแล้วแก้วิกฤต เราสามารถเรียนรู้จากมาร์กซ์ได้ นำบทเรียนตรงนั้นมาประยุกต์ใช้ในวิกฤตของเรา ทำวิกฤตเป็นโอกาสให้ได้

หัวข้อในการบรรยายแบ่งเป็น 4 หัวข้อหลัก คือ 1.วิกฤตของพวกเรา 2.วิกฤตในยุคของมาร์กซ์ 3.การแก้วิกฤตของมาร์กซ์ 4.การแก้วิกฤตของเรา อย่างไรก็ตาม วิกฤตในที่นี้จะเน้นวิกฤตทางการเมืองและสังคมเป็นหลัก

เราเผชิญ 3 วิกฤตในโลกปัจจุบัน

1.วิกฤตที่เกิดจากการผงาดของฝ่ายขวาและกุมชัยชนะไว้ไม่ปล่อยมือ ทุนนิยมในปัจจุบันกลายเป็นทางเลือกเดียวของเราไปแล้ว เราไม่มีทางเลือกอื่นอีกหลังสงครามเย็น หรือหลังการล่มสลายของกำแพงเบอร์ลิน การล่มสลายของสหภาพโซเวียต นอกจากนั้นในอดีตเราคิดว่ารัฐรับใช้นายทุน รับใช้ชนชั้นกระฎุมพี สหรัฐอเมริกาตอนนี้ประมุขของรัฐเป็นนายทุนเสียเอง ไม่ต้องพูดถึงรัฐอีกหลายแห่ง รัฐราชาธิปไตยหลายที่ประมุขของรัฐก็คือคนที่รวยที่สุด เช่น บรูไน ซาอุดิอาระเบีย ตอนนี้ทุนไปไกลขนาดนี้ นอกจากนี้นกระแสที่เกิดขึ้นคือ คนคนเดียวมีแนวโน้มจะปกครองประเทศเป็นเวลานาน เช่น ปูตินปกครองประเทศแบบลากยาวตั้งแต่ปี 1999 และสัญญาว่าจะลงจากตำแหน่งในปี 2024 ฯลฯ กระแสอนุรักษ์นิยมพุ่งสูงมากในปัจจุบัน อุดมการณ์ที่เคยถูกมองว่าล้าหลัง ชาตินิยม การเหยียดสตรี เหยียดเพศที่สาม เหยียดชาวมุสลิม ต่อต้านผู้อพยพ ฯลฯ กลับมาได้รับความนิยมใหม่ แนวคิดเสรีนิยมประชาธิปไตย แนวทางการแก้ปัญหาในรัฐสภา การเลือกตั้ง เสื่อมความนิยม กลายเป็นว่าระบอบรัฐสภานี่เองที่ผลักดันให้ผู้นำเผด็จการขึ้นสู่อำนาจได้ในหลายๆ ประเทศ

ถ้ามองในประเทศไทยก็น่าเป็นห่วงไม่แพ้กัน ปัจจุบันระบอบเผด็จการทหารกลับมาครองอำนาจแทนระบอบประชาธิปไตย แล้วครองอำนาจยาวนานเป็นครั้งแรกในรอบกว่าสี่ทศวรรษ อุดมการณ์อนุรักษ์นิยม ราชาชาตินิยม กษัตริย์นิยม จะมียุคไหนที่อุดมการณ์เหล่านี้กลับมาพุ่งสูงอีกเท่ายุคนี้  

เรื่องชนชั้นหรือ class กลายเป็นเรื่องแสนเชยในปัจจุบัน... ปัญญาชนเกิดความสิ้นหวังแล้วก็เฉื่อยชาทางการเมือง... ประกอบกับเสาหลักของฝ่ายซ้ายในไทย สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ, ใจ อึ๊งภากรณ์, สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ก็ประสบมรสุมชีวิตแตกต่างกันไป ...เราแทบไม่มีแรงบันดาลใจอะไรเหลือ

2. ขณะที่ฝ่ายซ้ายตกต่ำ กระจัดการกระจาย พรรคคอมมิวนิสต์ทั่วโลกล่มสลายหลังสงครามเย็นเป็นต้นมา ดีที่สุดตอนนี้คือเยอรมันมีพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตย อังกฤษมีพรรคแรงงาน ที่ย้อนแย้งก็คือ ประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ในอดีต จีน รัสเซีย เวียดนาม ลาว คิวบา อ้าแขนตอนรับนายทุนให้เข้ามาช่วยพัฒนาประเทศ ไม่มีประเทศคอมมิวนิสต์อีกแล้ว นอกจากนั้น ทฤษฎีมาร์กซิสม์ ทฤษฎีสังคมนิยม ทฤษฎีคอมมิวนิสต์ กลายเป็นแค่สิ่งที่เรียนในห้องเรียน และเป็นการเรียนต่อเนื่องในเชิงปรัชญาประวัติศาสตร์การเมือง เรียนมาร์กซ์เพื่อเอาไว้ต่อกับนักคิดสมัยใหม่ มันไร้น้ำยาอย่างสิ้นเชิง ไม่ได้เป็นคู่มือในการปฏิวัติอีกต่อไป

ที่สำคัญ กลุ่มซ้ายเก่าปัจจุบันกลายเป็นกลุ่มขวาใหม่ นักสู้นักปฏิวัติผันตัวเองไปสมาทานแนวคิดอนุรักษ์นิยม เผด็จการ ในประเทศไทยเราก็เห็นว่าพรรคคอมมิวนิสต์หมดบทบาทโดยสิ้นเชิงในการเมืองมหภาค คนเขียนหนังสือมาร์กซิสม์บางคนชีวิตจริงไปสนับสนุนทหาร อดีตซ้ายที่เคยเข้าป่าปัจจุบันเป็นนายทุน บางคนเป็นนักวิชาการที่สนับสนุนการรัฐประหาร ในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา หากจะมีขบวนการไหนที่ใกล้เคียงกับขบวนการที่สู้เพื่อมวลชน เพื่อคนชั้นล่าง มันคือขบวนการ "เสื้อแดง" แต่เสื้อแดงถูกล้อมปราบ ถูกกดขี่ แกนนำหลายคนต้องลี้ภัยทางการเมือง ถูกจำคุก ต้องลงไปเคลื่อนไหวใต้ดิน

3.ความไร้น้ำยาและสิ้นหวังของชนชั้นที่เป็นปัญญาชน เรื่องชนชั้นหรือ class กลายเป็นเรื่องแสนเชยในปัจจุบัน ปัจจุบันเราต้องพูดถึงการเมืองเชิงอัตลักษณ์ เรื่องเพศ เรื่องผิว เรื่องศาสนา เรื่องชาติพันธุ์ เราถอยห่างออกจากมวลชนมากขึ้น เรื่องคนรวยคนจน เรื่องปากท้องที่ชาวบ้านเขาพูดกัน ปัญญาชนมีแนวโน้มที่จะไม่พูด ปัญญาชนเกิดความสิ้นหวังแล้วก็เฉื่อยชาทางการเมือง เกิดกระแสแนวคิดว่า ไม่มีอะไรจีรัง ทุกอย่างเป็นวาทกรรม ประเทศนี้ถือว่าเช่าเขาอยู่ แล้วก็ถอยห่างออกจากการเมืองบนท้องถนน แนวคิดหลังสมัยใหม่ ชุมชนนิยมภูมิปัญญาชาวบ้าน และลัทธิเคร่งคัมภีร์เน้น text มากโดยที่ไม่ได้มองว่าชาวบ้านเขาสนใจเรื่องอะไร กระแสเหล่านี้มากลบการศึกษาแนวมาร์กซิสม์ไปหมด ประกอบกับเสาหลักของฝ่ายซ้ายในไทย สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ใจ อึ๊งภากรณ์ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ก็ประสบมรสุมชีวิตแตกต่างกันไป เราแทบไม่มีแรงบันดาลใจอะไรเหลือ

นอกจากนี้ในไทย จะมียุคไหนอีกที่คนมีการศึกษาสูงขนาดนี้ คนจบปริญญาตรีล้นตลาด คนได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์แทบจะเท่ากับนายพลเลย แต่ปรากฏว่าปัญญาชนวิพากษ์ทุกเรื่อง ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องน้อยแค่ไหน แต่ไม่วิพากษ์สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า การกดขี่ ชนชั้น สถาบันทางการเมืองหลายสถาบัน

 

คนรุ่นใหม่อาจมองภาพไม่ออกว่าประวัติศาสตร์ยุโรปเกี่ยวอะไรกับเราในปัจจุบัน ลองเปรียบเทียบง่ายๆ แบบนี้ว่า มาร์กซ์เกิดและโตในยุค ร.2 เป็นหนุ่มเต็มตัวสนใจการเมือง เข้าเล่นการเมืองในสมัย ร.3 ตกต่ำอย่างถึงที่สุดในสมัย ร.4 แล้วกลับมามีอิทธิพลอีกครั้งหนึ่ง สนใจการเมืองอีกครั้งในสมัย ร.5 ดังนั้น แม่พลอยไม่ใช่คนเดียวที่อยู่ใน 4 แผ่นดิน มาร์กซ์ก็เป็นผู้ชายที่อยู่ครบ 4 แผ่นดินเหมือนกัน

ก่อนที่จะพาไปดูชีวิตมาร์กซ์ ขอแบ่งให้เข้าใจง่ายเป็น 4 ช่วง1.เด็กจนถึงวัยรุ่น (1-17 ปี) ซึ่งยังไม่ค่อยมีสีสัน 2.ช่วงวัยหนุ่ม (18-30 ปี) ช่วงเข้ามหาวิทยาลัยจนถึงการปฏิวัติในปี 1848 ซึ่งสำคัญมากในประวัติศาสตร์ยุโรป ชนชั้นล่างลุกขึ้นต่อสู้กับระบอบศักดินาแล้วปลดแอกตัวเองจากการถูกกดขี่ ช่วงนี้ได้รับความนิยมในการศึกษามากที่สุด 3.วัยผู้ใหญ่ (31-46 ปี) เป็นช่วงที่มาร์กซ์ตกต่ำที่สุดในชีวิต ลี้ภัยไปอยู่ลอนดอน ถอยห่างจากการเมือง ท้อแท้และสิ้นหวัง ช่วงนี้จบลงที่การประชุมสากลที่ 1 ของสมาคมแรงงานซึ่งมาร์กซ์แอคทีฟในทางการเมืองอีกครั้งหนึ่ง 4.วัยอาวุโส (46-65 ปี) สากลที่ 1 จนเสียชีวิต 

ที่น่าสนใจไม่ใช่วัยหนุ่ม แต่คือวัยผู้ใหญ่ที่เขาตกต่ำที่สุด ซึ่งน่าจะเป็นบทเรียนให้พวกเราไม่มากก็น้อย 

เพื่อให้เห็นภาพ คนรุ่นใหม่อาจมองภาพไม่ออกว่าประวัติศาสตร์ยุโรปเกี่ยวอะไรกับเราในปัจจุบัน ลองเปรียบเทียบง่ายๆ แบบนี้ว่า มาร์กซ์เกิดและโตในยุค ร.2 เป็นหนุ่มเต็มตัวสนใจการเมือง เข้าเล่นการเมืองในสมัย ร.3 ตกต่ำอย่างถึงที่สุดในสมัย ร.4 แล้วกลับมามีอิทธิพลอีกครั้งหนึ่ง สนใจการเมืองอีกครั้งในสมัย ร.5 ดังนั้น แม่พลอยไม่ใช่คนเดียวที่อยู่ใน 4 แผ่นดิน มาร์กซ์ก็เป็นผู้ชายที่อยู่ครบ 4 แผ่นดินเหมือนกัน 
มีเกร็ดความรู้อีกนิดว่ามาร์กซ์อยู่ร่วมสมัยกับคนสำคัญในศตวรรษที่ 19 อีกหลายคน ไม่ว่าจะเป็น ชาร์ลส์ ดาร์วิน, จอห์น สจ๊วต มิลล์, ชาร์ล ดิกเกนส์, อับราฮัม ลินคอล์น

ขอเกริ่นนำในช่วงวัยหนุ่มสักนิดว่า เป็นช่วงวัยที่คนสนใจศึกษามาก จนขนาดมีการทำเป็นภาพยนตร์หลายครั้ง ล่าสุดคือปี 2017 คือ The Young Karl Marx เป็นยุคที่สนุกที่สุด เพราะมาร์กซ์ได้รู้จักงานปรัชญาของเฮเกล แล้วชอบมากจนสมาทานแนวคิดแบบเฮเกล หรือ เฮเกลเลี่ยน (Hegelian) นอกจากนั้น มาร์กซ์ยังเรียนปริญญาเอกด้านปรัชญา แต่ผันตัวเองไปทำงานหนังสือพิมพ์ แล้วโดนปราบปรามโดยรัฐปรัสเซียที่พยายามปิดหนังสือพิมพ์

ชีวิตส่วนตัวก็สนุก แต่งงานกับ Jenny von Westphalen ในภาพยนตร์เรื่องนี้ฉากที่สนุกคือฉากเลิฟซีนระหว่างเขากับภรรยา ในอดีตไม่เคยมีฉากทำนองนี้ในภาพยนตร์ คนเห็นมาร์กซ์เป็นพระเจ้า แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้เห็นว่ามาร์กซ์ก็ต้องสืบพันธุ์เหมือนกัน นอกจากนั้นช่วงวัยหนุ่มมาร์กซ์ยังได้เจอคนที่สำคัญมากคือ ฟรีดริช เองเกลส์ (Friedrich Engels) ซึ่งกลายเป็นสหายที่ช่วยกันต่อสู้จนถึงตอนเสียชีวิต แล้วตอนช่วงวัยหนุ่มยังมีการเปลี่ยนอุดมการณ์ครั้งใหญ่ แตกหักกับเสรีนิยมกลายมาเป็นคอมมิวนิสต์เต็มตัวด้วย ที่สำคัญที่สุด ยุควัยหนุ่มมาร์กซ์เข้าร่วมการปฏิวัติในปี 1848 เข้าไปร่วมกับชนชั้นล่างล้มระบอบราชาธิปไตยแล้วเปลี่ยนให้เป็นระบอบสาธารณรัฐ

งานเขียนของมาร์กในวัยหนุ่มมีหลายชิ้นที่น่าสนใจ ยกมา 4 ชิ้นให้คนรุ่นใหม่ได้รู้จัก คือ 1.On the Jewish Question เขาพยายามแตกหักฝ่ายเสรีนิยมที่เรียกร้องเพียงการเลือกตั้ง สิทธิเสรีภาพที่เท่าเทียมกันระหว่างชาวยิวกับชาวเยอรัน เราปลอดแอกมนุษย์แค่ในทางการเมืองไม่พอ ต้องปลดแอกในทางเศรษฐกิจและสังคมด้วย 2.Economic and Philosophical Manuscripts of 1844 งานชิ้นนี้ถือเป็นงานชิ้นโบว์แดง พาไปดูความแปลกแยกของมนุษย์ในสังคมทุนนิยมและเงินตราขึ้นมามีอำนาจนำเหนือมนุษย์ 3.German Ideology งานชิ้นนี้พาไปดูว่าเขาได้รับอิทธิพลจากสำนักคิดแบบเฮเกลมากน้อยแค่ไหน เป็นงานชิ้นแรกๆ ที่พูดถึงสังคมคอมมิวนิสต์ในฝันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว 4.The Communist Manifesto หรือแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ ชิ้นนี้เราอาจคุ้นเคยกันดี เป็นคู่มือการปฏิวัติของฝ่ายซ้ายทั่วโลก ถูกยกย่องว่าเป็นงานเขียนชิ้นที่ดีที่สุดของมนุษย์เคียงข้างกับคัมภีร์ไบเบิล หนังสือ The Republic ของเพลโต รวมถึงคำประกาศอิสรภาพของประเทศสหรัฐอเมริกา

ตอนเข้าร่วมการปฏิวัติ 1848 มาร์กซ์มีแนวโน้มที่จะประนีประนอมพอควร ตัวเขาเองคิดว่าการปฏิวัติต้องค่อยเป็นค่อยไปเป็นลำดับขั้น เริ่มด้วยการปฏิวัติกระฎุมพีก่อน แล้วค่อยตามด้วยการปฏิวัติของชนชั้นกรรมาชีพ 
มาร์กซ์ยังมองว่ากระฎุมพีคือความหวัง…

เมื่อเป็นยุทธศาสตร์ในการปฏิวัติ มาร์กซ์กับเองเกลร่วมกันเขียนแถลงการณ์อันหนึ่งที่ลดดีกรีความรุนแรง แถลงการณ์พรคคอมมิวนิสต์มี 10 ประการในการเปลี่ยนแปลงสังคมให้เป็นคอมมิวนิสต์ มาร์กซ์ลดให้เหลือแค่ 4 ประการเท่านั้น ไม่แตะกระฎุมพีมาก เน้นส่วนที่กระฎุมพีพอจะรับได้ เช่น เรื่องการศึกษา ธนาคารแห่งชาติ แต่ไม่แตะเรื่องทรัพย์สินส่วนบุคคล

ที่น่าสนใจคือ ในแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ดูจะเป็นการปฏิวัติอย่างรุนแรงถอนรากถอนโคน แต่ถ้าไปดูชีวประวัติของมาร์กซ์ตอนเข้าร่วมการปฏิวัติ 1848 มาร์กซ์มีแนวโน้มที่จะประนีประนอมพอควร ตัวเขาเองคิดว่าการปฏิวัติต้องค่อยเป็นค่อยไปเป็นลำดับขั้น เริ่มด้วยการปฏิวัติกระฎุมพีก่อน แล้วค่อยตามด้วยการปฏิวัติของชนชั้นกรรมาชีพ มาร์กซ์ยังมองว่ากระฎุมพีคือความหวัง เป็นชนชั้นที่มีความก้าวหน้า มีความรู้มีการศึกษา รักในสิทธิเสรีภาพ การเคลื่อนไหวของกรรมาชีพต้องเป็นพันธมิตรกับกระฎุมพี ต้องร่วมกับเขาเพื่อล้มศักดินา ในช่วงนี้เขายังมองว่าการเมืองจะเป็นตัวนำเศรษฐกิจ แม้เศรษฐกิจจะยังไม่พร้อมแต่ถ้ากระแสการเมืองมาแล้วก็ร่วมปฏิวัติเลย กรรมาชีพในเยอรมันถือว่ามีน้อยมากในตอนนั้นเมื่อเทียบกับชาวนา กระฎุมพีมีอำนาจน้อยมากถ้าเทียบกับอำนาจทหารหรือกษัตริย์ แต่ตอนนั้นไม่สนแล้วกระแสปฏิวัติมาก็ลุยเลย

แถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์มองในมุมมองคนยุคหลังคิดว่ามันยิ่งใหญ่ แต่ตอน 1848 แทบจะไม่มีใครรู้จักเลย ในคำนำมาร์กซ์บอกว่าได้รับการแปลแล้ว 5 ภาษา แต่ในทางปฏิบัติจริงมีแค่ภาษาเดียวคือภาษาเยอรมัน ตอนที่มาร์กซ์เข้าไปในเยอรมันโดยเอาแถลงการณ์ที่ตีพิมพ์แล้ว 1,000 ชิ้นเข้าไป แต่เมื่อเป็นยุทธศาสตร์ในการปฏิวัติ มาร์กซ์กับเองเกลร่วมกันเขียนแถลงการณ์อันหนึ่งที่ลดดีกรีความรุนแรง แถลงการณ์พรคคอมมิวนิสต์มี 10 ประการในการเปลี่ยนแปลงสังคมให้เป็นคอมมิวนิสต์ มาร์กซ์ลดให้เหลือแค่ 4 ประการเท่านั้น จะไม่แตะกระฎุมพีมาก เน้นส่วนที่กระฎุมพีพอจะรับได้ เช่น เรื่องการศึกษา ธนาคารแห่งชาติ แต่ไม่แตะเรื่องทรัพย์สินส่วนบุคคล

แล้วมาร์กซ์ในวัยผู้ใหญ่เป็นอย่างไร

 

นอกจากแพ้การปฏิวัติยังไม่พอ ชีวิตส่วนตัวของมาร์กซ์เองก็ตกต่ำไม่แพ้กัน ลี้ภัยไปอาศัยอยู่ในชุมชนแออัดในลอนดอน ไม่มีเงินเลี้ยงสมาชิกในครอบครัว มาร์กซ์มีลูก 7 คนมีแค่ 3 คนที่มีชีวิตอยู่ถึงวัยผู้ใหญ่ ลูกสาวคนหนึ่งที่เสียชีวิตมาร์กซ์ไม่มีเงินซื้อโลงศพแก่ลูกสาวต้องไปขอยืมเงินคนในละแวกบ้าน

เขาเจอวิกฤตทางการเมืองเยอะ ถ้าดูหนัง The Young Karl Marx ตอนจบนั้นยิ่งใหญ่มาก หลังแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์เผยแพร่ออกไป การปฏิวัติลุกฮือเป็นไฟ ฝ่ายซ้ายดูเหมือนชนะแน่นอน ภาพยนตร์จบเช่นนั้น

แต่ความเป็นจริง หลังเหตุการณ์คลี่คลาย มันคือความพ่ายแพ้ของฝ่ายซ้าย ฝ่ายขวากุมชัยชนะยึดครองอำนาจ กษัตริย์และขุนนางถอยร่นไปแป๊บหนึ่งสุดท้ายร่วมกับทหารและตำรวจล้อมปราบผู้ชุมนม ที่ผิดหวังที่สุดคือ กระฎุมพีชนชั้นกลางทั้งหลายหักหลังชนชั้นล่าง กลับยินยอมให้กับอำนาจเก่า ขณะที่ฝ่ายซ้ายก็กระจัดกระจาย ผู้ประท้วงถูกกวาดล้างอย่างรุนแรง มีการยุบสหพันธ์คอมมิวนิสต์ มีการยุติการเคลื่อนไหวอย่างเป็นทางการแล้วแกนนำก็ถูกจับกุม มีการลี้ภัยทางการเมือง ฝ่ายคอมมิวนิสต์เองก็แบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย เคลื่อนไหวอย่างมากแค่ใต้ดิน มาร์กซ์ก็มีความสิ้นหวัง เป็นความสิ้นหวังของชนชั้นปัญญาชน คนที่มีความรู้มีการศึกษายังไม่ยอมรับในความพ่ายแพ้ เราต้องสู้ต่อ แล้วก็เน้นเรื่องการปลุกระดมทางการเมืองเป็นหลัก โดยไม่ได้ดูมิติเศรษฐกิจสังคม มีการแตกคอกันเอง ไม่มีทฤษฎีอะไรเป็นเรื่องเป็นราวในการการนำมวลชน

นอกจากแพ้การปฏิวัติยังไม่พอ ชีวิตส่วนตัวของมาร์กซ์เองก็ตกต่ำไม่แพ้กัน ลี้ภัยไปอาศัยอยู่ในชุมชนแออัดในลอนดอน ไม่มีเงินเลี้ยงสมาชิกในครอบครัว มาร์กซ์มีลูก 7 คนมีแค่ 3 คนที่มีชีวิตอยู่ถึงวัยผู้ใหญ่ ลูกสาวคนหนึ่งที่เสียชีวิตมาร์กซ์ไม่มีเงินซื้อโลงศพแก่ลูกสาวต้องไปขอยืมเงินคนในละแวกบ้าน ที่สำคัญคือการตายของลูกชายที่มาร์กซ์รักนั่นคือ เอ็ดก้าร์ ทำให้มาร์กซ์รู้สึกเศร้าหมองในชีวิต ภรรยาของเขาก็แทบจะกลายเป็นโรคซึมเศร้าไปเลย ส่วนเองเกลก็ต้องประนีประนอมกับครอบครัวไปทำงานในโรงงานที่แมนเชสเตอร์ เป็นนายทุนเพื่อเลี้ยงตัวเองแล้วเจียดเงินบางส่วนมาเลี้ยงครอบครัวของมาร์กซ์ มาร์กซ์ยังโดนประณามและดูแคลนจากฝ่ายซ้ายด้วยกันเองเพราะแนวคิดที่ได้กล่าวไปในตอนแรก เขาถูกหาว่าเป็นพวกปฏิกิริยา เป็นพวกปฏิปักษ์การปฏิวัติ ต่อต้านชนชั้นแรงงาน เป็นนักวิชาการในหอคอยงาช้างที่ดันไปชื่นชมพวกกระฎุมพี ทำให้มาร์กซ์รู้สึกสิ้นหวัง มันแทบไม่ต่างจากยุคของพวกเรา

การแก้วิกฤตให้เป็นโอกาสของมาร์กซ์ มีอยู่ 3 ประการด้วยกัน 

มาร์กซ์ยอมรับว่ากระฎุมพีในหลายๆ ที่ไม่ยอมรับการทำหน้าที่ทางประวัติศาสตร์ มีแนวโน้มจะเป็นชนชั้นอนุรักษ์นิยมและทรยศการปฏิวัติที่ตัวเองสมควรจะทำ

1.การแสวงหาบทเรียนจากการพ่ายแพ้และรู้จักวิพากษ์ตัวเอง คำถามที่หลอกหลอนมาร์กซ์ในวัยผู้ใหญ่ก็คือ ทำไมการปฏิวัติในปี 1848 ถึงล้มเหลว ทำไมฝ่ายขวาถึงมีพลัง ทำไมซากเดนของศักดินาถึงอยู่ในสังคมปัจจุบัน นอกจากนั้นมาร์กซ์ก็หันมาสนใจความหลากหลายของชนชั้นหรือพลังทางสังคมมากขึ้น แทนที่จะมีแค่ชนชั้นในนายทุนกับกระฎุมพี งานของมาร์กซ์ในวัยผู้ใหญ่เน้นความหลากหลาย ชาวนา กระฎุมพีน้อย กษัตริย์ ขุนนาง กองทัพ นอกจากนี้มาร์กซ์ยังยอมรับว่ากระฎุมพีในหลายๆ ที่ไม่ยอมรับการทำหน้าที่ทางประวัติศาสตร์ มีแนวโน้มจะเป็นชนชั้นอนุรักษ์นิยมและทรยศการปฏิวัติที่ตัวเองสมควรจะทำ อีกประเด็นหนึ่งคือ ฝ่ายซ้ายเองก็ก้าวข้ามอดีตไม่ได้ ฝ่ายซ้ายในปี 1848 ก็อยากจะปฏิวัติเพื่อสร้างสาธารณรัฐไม่ต่างจากฝรั่งเศส คิดว่าตัวเองเป็นพวกจาโกแบง โรฟ ปิแอร์ แต่ไม่ได้คิดให้ไปไกลกว่านั้น มันคือสังคมคอมมิวนิสต์ต่างหากที่ต้องไปให้ถึง นอกจากนี้ในหลายๆ ที่กระบวนการเปลี่ยนผ่านจากระบอบศักดินาไปเป็นระบบทุนนิยมยังไม่สมบูรณ์ เขาครุ่นคิดสิ่งเหล่านี้มากขึ้น 

2.เขาเน้นย้ำให้ฝ่ายซ้ายอดทนอดกลั้น มีการวางแผนในระยะยาว มีการจัดตั้งและฝึกฝนมวลชนให้มากขึ้น มาร์กซ์บอกเลยว่าการต่อสู้ไม่ใช่เพียงปีสองปี บางทีการต่อสู้ การปลดแอกมวลชนใช้เวลาหลายทศวรรษ ต้องมีความอดทน มีวินัย นอกจากนั้นมาร์กซ์ยังเริ่มมองว่าการเมืองนำเศรษฐกิจไม่น่าจะใช่ เศรษฐกิจต่างหากที่สำคัญ วิกฤตเศรษฐกิจต้องเกิดขึ้นก่อน วิกฤตทางการเมืองถึงจะตามมา เขาจึงหันมาสนใจเศรษฐกิจมากขึ้นอีก แล้วก็การปฏิวัติกรรมาชีพต้องเป็นการปฏิวัติระดับโลกเท่านั้น ปฏิวัติในประเทศเดียวไม่ได้ แล้วต้องต่อเนื่อง ไม่หยุดกับที่ permanent revolution นั่นเอง

อีกประการสำคัญคือ แกนนำจะประสบความล้มเหลวตราบใดที่มวลชนไม่มีการจัดตั้งและฝึกฝน 

3.การแก้วิกฤตของมาร์กซ์นั้นวางปืนแล้วไปถือปากกาแทน แทนที่จะเป็นท้องถนนเขากลับเข้าห้องสมุด เขาใช้ชีวิตหลายปีมากในการไปห้องสมุดพิพิธภัณฑ์แห่งชาติของอังกฤษ เช้าถึงเย็นทุกวัน มาร์กซ์สนใจเศรษฐศาสตร์การเมืองเป็นพิเศษในยุคนี้ สนใจเรื่องทุน การผลิต เครื่องจักร ตลาด การบริโภค แล้วก็เทคโนโลยี ศึกษาจดหมายเหตุ ข่าวหนังสือพิมพ์ เอกสารรัฐบาล และการบันทึการเดินทางของคนยุโรปที่ไปในที่ต่างๆ ในยุคนี้จะเห็นมาร์กซ์วิเคราะห์การเมืองในระดับโลกอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็น ลัทธิล่าอาณานิคม ลัทธิชาตินิยม การเหยียดสีผิว การละเมิดชนกลุ่มน้อย

งานเขียนของมาร์กซ์ในวัยผู้ใหญ่มีอยู่หลายชิ้น ยกตัวอย่าง Class Struggle in France, The Eighteenth Brumaire of Louis Bonaparte, Grundrisse, Preface to A Critique of Political Economy บทความหลายชิ้นใน The New York Daily Tribune และร่างข้อมูลที่เตรียมเขียน Capital หรือ ทุน เล่มที่ 1,2,3 ซึ่งเขาเขียนเสร็จก่อนเสียชีวิตแค่เล่ม 1 เท่านั้น

หลังผ่านวัยตกต่ำไปแล้วก็เข้าสู่ยุคอาวุโส เกิดการประชุมครั้งใหญ่คือ สากลที่ 1 แล้วมาร์กซ์กลับมาแอคทีฟมาก มีการตีพิมพ์ ทุนเล่ม 1 ทำให้เป็นที่รู้จักและได้รับการเคารพจากฝ่ายซ้ายมาก จะปฏิวัติที่รัสเซีย แกนนำต้องมาปรึกษามาร์กซ์ ที่เยอรมันจะตั้งพรรคฝ่ายซ้ายก็มาปรึกษามาร์กซ์ อย่างไรก็ตาม ในช่วงวัยอาวุโส มาร์กซ์สุขภาพทรุดโทรมมากและเสียชีวิตในที่สุด

สุดท้าย พวกเราเรียนรู้อะไรได้บ้างจากชีวประวัติของมาร์กซ์ 

เราอาจทำอะไรมากไม่ได้ในยุคเผด็จการทหาร แต่สิ่งที่เราพอทำได้คือการค้นคว้าหาข้อมูล เข้าห้องสมุดได้ ศึกษาหาความรู้ได้ เรื่องที่สำคัญที่หลายคนละเลยคือ ทุนไทยเป็นอย่างไร การสะสมของทุนไทยเป็นอย่างไร มีสถาบันไหนบ้างที่เป็นพันธมิตรในการสะสมทุนในบ้านเรา มีอุดมการณ์ไหนบ้างที่ค้ำจุนให้ทุนไทยอยู่ได้แล้วความเหลื่อมล้ำยังอยู่ได้

1.เราจะต้องมีการทบทวน แสวงหาบทเรียนจากความพ่ายแพ้ อะไรทำให้ พคท.พ่ายแพ้ ตกลงเสื้อแดงแพ้หรือยัง ถ้าแพ้แพ้เพราะอะไร เรายังควรมีความหวังกับกระฎุมพีในเมืองให้ร่วมเปลี่ยนแปลงสังคมอยู่อีกหรือไม่ แล้วทำไมซากเดนศักดินาจึงยังอยู่ในสังคมไทยอีก

2.เราจะต้องมีความอดทน ต้องมีการฝึกฝนแล้วก็จัดตั้งมวลชน การต่อสู้ยังอีกยาวไกล เราแพ้ในวันนี้ไม่ได้แพ้ตลอดไป เราสู้เพื่อสักวันหนึ่งจะชนะ แต่จะสู้ไม่ได้เลยถ้าพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายจะไม่มีให้ประชาชนเลือกอย่างเป็นจริงเป็นจัง ตอนนี้ที่มาแรงอาจเป็นพรรคอนาคตใหม่ นี่อาจเป็นชอยส์ที่ดีที่สุดตอนนี้ แต่เป็นชอยส์ที่ดีที่สุดหรือเปล่าในมุมมองของฝ่ายซ้าย

3.เราอาจทำอะไรมากไม่ได้ในยุคเผด็จการทหาร แต่สิ่งที่เราพอทำได้คือการค้นคว้าหาข้อมูล เข้าห้องสมุดได้ ศึกษาหาความรู้ได้ เรื่องที่สำคัญที่หลายคนละเลยคือ ทุนไทยเป็นอย่างไร การสะสมของทุนไทยเป็นอย่างไร มีสถาบันไหนบ้างที่เป็นพันธมิตรในการสะสมทุนในบ้านเรา มีอุดมการณ์ไหนบ้างที่ค้ำจุนให้ทุนไทยอยู่ได้แล้วความเหลื่อมล้ำยังอยู่ได้ จะเกิดตรงนี้ได้ต้องค้นคว้าอย่างจริงจัง ติดตามข่าวสารทั้งในและนอกประเทศ

ขอปิดท้ายด้วยข้อมูลของมาร์กซ์ที่จะทำให้เราไม่เครียดจนเกิดไปและเป็นการแฮปปี้เบิร์ธเดย์มาร์กซ์ด้วย มาร์กซ์เคยร่วมเกมบนโต๊ะอาหาร มีคำถามสั้นๆ และให้มาร์กซ์ตอบสั้นๆ

คุณธรรมประจำใจของคุณคืออะไร
ความเรียบง่าย

ลักษณะเด่นของคุณคืออะไร
การยึดมั่นในเจตจำนงของตัวเอง 

คติพจน์ของคุณคืออะไร
จงกล้าตั้งคำถามกับทุกๆ สิ่ง 

อะไรคือความสุขของคุณ
การต่อสู้ 

ความชั่วร้ายที่คุณรู้สึกรังเกียจที่สุด
การยอมจำนนให้กับอำนาจ ไม่ต่างจากทาส

สีที่คุณชอบที่สุดคือสีอะไร
สีแดง

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

อุทธรณ์ยกฟ้องคดียุยงปลุกปั่น ติดป้ายแยกประเทศล้านนา ที่พะเยา

Posted: 21 Sep 2018 05:24 AM PDT

ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องตามศาลชั้นต้น (อีก) คดี ม.116 ข้อหา "ยุยงปลุกปั่น" ติดป้าย "ขอแยกเป็นประเทศล้านนา" ที่ จ.พะเยา เหตุไม่มีพยานหลักฐานว่าจำเลยทั้ง 3 คนได้กระทำความผิด

ป้ายไวนิลแยกประเทศล้านนาที่ติดในหลายพื้นที่ของจังหวัดภาคเหนือเมื่อเดือนมีนาคม 2557

เมื่อวันที่ 20 ก.ย.ที่ผ่านมา ศูนยท์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า ศาลจังหวัดพะเยานัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ในคดีของ ออด สุขตะโก และพวกรวม 3 คน ข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 หรือข้อหา "ยุยงปลุกปั่น" จากกรณีการพบป้ายที่มีข้อความว่า "ประเทศนี้ไม่มีความยุติธรรม กู ขอแยกเป็นประเทศล้านนา" ติดบริเวณสะพานลอยหน้าโรงเรียนบ้านร่องห้า อ.เมือง จ.พะเยา ตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 มี.ค.57 

ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาโดยสรุปเห็นว่า โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานว่าจำเลยทั้งสามได้กระทำความผิด แม้โจทก์จะมีพยานที่เห็นเหตุการณ์ว่ามีกลุ่มคน 5-6 คน ทำการติดป้าย แต่พยานโจทก์ก็ไม่ได้ยืนยันว่าเป็นจำเลยทั้งสาม ข้อเท็จจริงรับฟังได้เพียงว่าจำเลยทั้งสามได้กระทำผิดที่หน้าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเชียงราย ซึ่งศาลจังหวัดเชียงรายได้มีคำพิพากษาไปแล้ว จากการส่งตรวจแผ่นป้ายของกลาง ก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าใครเป็นผู้ทำแผ่นป้ายดังกล่าว พยานหลักฐานโจทก์จึงรับฟังไม่ได้เป็นแน่นหนาว่าจำเลยทั้งสามได้กระทำความผิด อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งสามยืนตามศาลชั้นต้น

โดยก่อนหน้านี้ ศาลจังหวัดพะเยาได้ทำการสืบพยาน และมีคำพิพากษาในคดีไปเมื่อวันที่ 18 ม.ค. 61 โดยศาลได้พิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งสาม เนื่องจากพยานหลักฐานของโจทก์ไม่สามารถยืนยันได้ว่าจำเลยทั้งสามเป็นผู้กระทำผิด แต่ต่อมา อัยการในคดีได้ทำการยื่นอุทธรณ์ ทำให้จำเลยทั้งสามได้รับหมายนัด เพื่อให้เดินทางมาฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ดังกล่าว

ศูนยท์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ยังรายงานปฏิกิริยา หลังฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ของจำเลยทั้ง 3 ด้วย ออด เปิดเผยความรู้สึกว่า ทุกวันนี้ตนเองเสียหายไปแล้ว ถูกคนพูดถึงกันว่า"ลุงออดแยกประเทศ ลุงออดแยกประเทศ" การเดินทางมาคดีแต่ละครั้ง ก็ต้องมีหนี้สิน  อีกทั้งเรื่องที่ไปขอให้คนรู้จักมาเป็นนายประกันเวลาที่ต้องมาศาล ก็ต้องติดหนี้บุญคุณเขา หากเขาขอให้ไปช่วยงานอะไรก็ต้องไป เมื่อวานก่อนจะมาฟังคำพิพากษาวันนี้ ก็ต้องไปช่วยเขาหักข้าวโพด ช่วยออกแรงก่อนเขาจะมา ทำให้รู้สึกได้รับผลกระทบจากการดำเนินคดี แม้ศาลจะพิพากษายกฟ้องก็ตาม

ส่วน สุขสยาม จอมธาร ระบุว่าคดีที่พวกตนถูกกล่าวหาที่จังหวัดพะเยา ก็ไม่ได้มีมูล ไม่ได้มีหลักฐาน ซึ่งเราก็ไม่ได้ทำจริงๆ อยู่แล้ว วันนี้จึงขอบคุณศาลที่ยังพอมีความยุติธรรมบ้าง ขณะที่ ถนอมศรี นามรัตน์ กล่าวว่าหากพูดถึงการถูกดำเนินคดี มันก็ไม่ยุติธรรมอยู่แล้ว เรายืนยันมาโดยตลอดว่าไม่ผิด แต่ก็ขอบคุณที่วันนี้ศาลยกฟ้อง แต่มันก็ทำให้เสียเวลา เสียการเสียงานในช่วงระหว่างที่ต้องมาต่อสู้คดีถึงสองคดีในตอนหลังนี้

สำหรับ ออด สุขตะโก อายุ 66 ปี ประกอบอาชีพทำสวนทำไร่, สุขสยาม จอมธาร อายุ 65 ปี ประกอบอาชีพทำสวนทำไร่ และ ถนอมศรี นามรัตน์ อายุ 56 ปี ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป ทั้งสามคนเป็นสมาชิกของกลุ่มแม่สรวยรักประชาธิปไตย ซึ่งเป็นกลุ่มคนเสื้อแดงที่เคยทำกิจกรรมในพื้นที่ อ.แม่สรวย  จ.เชียงราย

เมื่อวันที่ 30 ส.ค.ที่ผ่านมา ศาลจังหวัดเชียงราย ได้ยกฟ้องทั้ง 3 คนเช่นกัน ในคดียุยงปลุกปั่น จากกรณีการพบป้ายที่มีข้อความว่า "ประเทศนี้ไม่มีความยุติธรรม กู ขอแยกเป็นประเทศล้านนา" ติดที่บริเวณสะพานลอยหน้าตลาดป่าก่อดำ อ.แม่ลาว จ.เชียงราย ตั้งแต่เมื่อวันที่ 28 ก.พ. 57 โดยศาลระบุว่า ลำพังเพียงการกระทำความผิดของจำเลยในสถานที่หนึ่ง ไม่อาจฟังได้ว่าจำเลยได้กระทำความผิดในคดีนี้ อีกทั้ง พยานหลักฐานที่โจทก์นำเข้าสืบยังไม่มีน้ำหนักรับฟังได้ตามที่โจทก์ฟ้อง 

ก่อนหน้านี้ในปี 2557-58 ทั้งสามคนเคยถูกดำเนินคดีในข้อหาเดียวกันนี้มาแล้ว จากกรณีการพบป้ายข้อความเช่นเดียวกัน ซึ่งถูกติดอยู่บริเวณสะพานลอยหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่าจังหวัดเชียงราย โดยในคดีนี้ ศาลจังหวัดเชียงรายมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 22 ก.ค.58 ให้จำเลยทั้งสามคนมีความผิดตามมาตรา 116 ลงโทษจำคุกคนละ 4 ปี แต่ให้การเป็นประโยชน์ จึงให้ลดโทษเหลือจำคุก 3 ปี และจำเลยทั้งสามไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน จึงให้รอการลงโทษไว้ 5 ปี

ทำให้รวมแล้วทั้งสามคนถูกดำเนินคดีตามมาตรา 116 แล้วสามคดี

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

สาระ+ภาพ: นายพลล้นกองทัพ: พิจารณาสถิติแต่งตั้งโยกย้ายนายทหาร 2551-2561

Posted: 21 Sep 2018 02:55 AM PDT

เมื่อพิจารณาข้อมูลที่นำเสนอโดยสำนักข่าวอิศราเมื่อวันที่ 17 ก.ย. 2561 รวบรวมจากประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้นายทหารรับราชการ ระหว่างปี 2551 ถึง 2561 โดยพบว่าเฉพาะในปี 2561 มีการแต่งตั้งนายทหารรับราชการ 935 ราย [1] และเมื่อพิจารณาประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานยศทหารชั้นนายพลจำนวน 646 ตำแหน่ง [2] พบว่าในจำนวนนี้เป็นพลตรีใหม่ 358 ราย ที่เหลือเป็นการสลับตำแหน่งหรือปรับยศ

ทั้งนี้สำนักข่าวอิศรายังมีข้อสังเกตด้วยว่ารายชื่อนายพลในบัญชีแต่งตั้ง "ให้นายทหารรับราชการ" ทั้งหมด 935 ตำแหน่ง มีตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิทุกชั้นยศมากถึง 357 ตำแหน่ง โดยตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ มักเป็นตำแหน่งสำหรับนายพลที่ไม่มีตำแหน่งหลักให้ลง จะมีงานก็ต่อเมื่อได้รับมอบหมาย นอกจากนั้นยังมี "ผู้ชำนาญการ" และ "ที่ปรึกษา" อีกจำนวนหนึ่ง รวมๆ แล้วประมาณ 400 ตำแหน่ง หรือร้อยละ 42 ของรายชื่อทั้งหมดในบัญชี

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ใบตองแห้ง: ชาติชังสิทธิมนุษยชน

Posted: 21 Sep 2018 02:52 AM PDT

ท่านผู้นำ "ย้อนเจ็บ" ตามคำของสื่อบางค่าย หลัง UNHRC จัดอันดับไทยเป็น 1 ใน 38 ประเทศ น่าละอาย คุกคามนักสิทธิมนุษยชน ว่านักการเมืองที่เอาไปพูดนั่นแหละน่าละอาย เพราะพูดให้ประเทศเสียหาย

ก็ไม่รู้ใครเจ็บกันแน่ เพราะจาตุรนต์ ฉายแสง ชี้ว่าที่ UNHRC ตำหนิประเทศเหล่านี้ เพราะมักมีพฤติกรรมตำหนิ ตั้งข้อหา หรือข่มขู่คุกคามนักสิทธิมนุษยชน ว่าร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศ ทำลายชื่อเสียงประเทศชาติ

ที่ท่านพูดจึงเท่ากับ "เข้าทาง" คือท่านกำลังชี้หน้า ใครเห็นด้วยกับ UNHRC เห็นว่าเป็นจริง แล้วยกมาวิพากษ์วิจารณ์ ก็เป็นพวกน่าละอายเพราะพูดให้ประเทศเสียหาย

หรือพูดตามศัพท์สลิ่ม คือไอ้พวกนี้เป็นพวก "ชังชาติ" ร่วมมือกับฝรั่ง รับเงินไอ้กัน บ่อนทำลายชื่อเสียงประเทศไทย ซึ่งไม่เคยละเมิดสิทธิมนุษยชนซักหน่อย ต่อให้ปกครองด้วยระบอบเผด็จการ สลิ่มก็ไม่เดือดร้อน ใช้ ม.44 อุ้มคนเข้าค่ายทหาร ก็ถือเป็นขั้นตอนหนึ่งในกระบวนการยุติธรรม ไม่ได้ทำผิดแล้วกลัวอะไร

ไม่ต้องสงสัยว่าทันใดที่ UNHRC (ที่เพจไทยคู่ฟ้า สำแดงภูมิว่าชื่อเดิมคือ UNHCR) ระบุชื่อประเทศไทย คนชั้นกลางระดับบนผู้ภาคภูมิใจในเกียรติภูมิประเทศชาติ จึงโกรธเกรี้ยวกันใหญ่ เช่น กูรูรถยนต์ชื่อดังโพสต์สวนทันใด "ประกาศ ประเทศไทยขึ้นบัญชีดำยูเอ็นเอชซีอาร์ เพราะมันชอบเสือกเรื่องของบ้านอื่นเมืองอื่น ไสหัวแม่-ออกไป ไอ้… ไอ้…"

ในขณะที่ตามเพจองค์กรระหว่างประเทศ HRW แอมเนสตี้ ฯลฯ ก็ถูกคนไทยรักชาติบุกเข้าไปก่นด่า สุณัย ผาสุข ถูกส่งข้อความไล่จากประเทศไทย แต่ห้ามเอาทรัพย์สินเงินทองออกไปเพราะเป็นของประเทศชาติ

เออ นั่นสินะ ทำไมประเทศไทยไม่ไล่ UNHRC UNHCR องค์กรสิทธิทั้งหลายออกไปเลย ทำไมจะต้องชี้แจงเป็นวรรคเป็นเวร ว่าเรามีมาตรการคุ้มครองสิทธิตั้งมากมาย ประเทศเผด็จการอื่นๆ ไม่เห็นสนใจ มีแต่ไทย หลังรัฐประหารก็ยังลุ้น ยังเพ้อฝัน จะชิงที่นั่งในคณะมนตรีสิทธิมนุษยชน

มีแต่ประเทศศรีธนญไทย ที่รัฐประหารประกาศสิทธิ มนุษยชนเป็นวาระแห่งชาติ ผลักดันกฎหมายอยากเป็นเจนีวาแห่งเอเชีย แต่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศจัดอภิปรายเรื่อง นายพลพม่าก็ถูกห้าม

พูดง่ายๆ คืออยากมีหน้ามีตา อยากให้ชาวโลกยกย่องเมืองไทยเมืองพุทธ ว่าคุ้มครองสิทธิมนุษย์ล้ำเลิศกว่าใคร ทั้งที่อยู่ใต้ ม.44 นี่ไง เราปราบค้ามนุษย์ ปราบประมงผิดกฎหมาย ออกมาตรการป้องกันอุ้มหาย ฯลฯ ทั้งยังมีกรมคุ้มครองสิทธิ ไว้ตอบโต้ข้อกล่าวหา

แต่พอองค์กรสิทธิออกมาวิจารณ์ ก็ดิ้นพล่าน เสียหน้า ถ้าเป็นคนไทยด้วยกัน ก็โดนข้อหาทำลายชาติ บ่อนทำลายการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว แบบเพจ CSI LA ตีข่าวเกาะเต่า

ไม่ต่างกับด่าคนอยากเลือกตั้ง สร้างความวุ่นวาย ทำลายเศรษฐกิจ แต่พอประกาศกฎหมายเลือกตั้ง หุ้นพุ่งทันที โบรกเกอร์นักวิเคราะห์ทั้งหลายที่หดหัวในกระดองไม่เคย เรียกร้องเลือกตั้ง ก็ออกมาแซ่ซ้อง มีเลือกตั้งเศรษฐกิจดี หอการค้าชี้ เงินสะพัด

ประเทศนี้ตลกดีครับ รักหน้า รักชื่อเสียง อย่าให้ใครว่าไทย นิตยสารอะไรยกย่องให้เป็นดินแดนน่าเที่ยว ก็ตีปี๊บกันใหญ่ แต่เวลาองค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน จัดอันดับเสรีภาพสื่อไทย (ดีกว่าญวน เขมร ลาว) สื่อไทยเองกลับไม่อยากตีข่าว

สิทธิมนุษยชนในประเทศไทยมีไว้เพื่ออะไร มีไว้ด่าทักษิณไง ว่าทักษิณฆ่าตัดตอน อุ้มฆ่า 3 จังหวัดใต้ UN ไม่ใช่พ่อ ฯลฯ แต่พอไล่ทักษิณแล้ว ปกครองด้วยเผด็จการคนดีมีศีลธรรม ก็ทำได้ทุกอย่าง นักสิทธิที่เคยวิจารณ์ทักษิณก็กลายเป็นพวกรับเงินทักษิณ เพราะใช้มาตรฐานเดียวกันวิจารณ์รัฐบาล ที่ใช้อำนาจยิ่งกว่าทักษิณหลายเท่า

แล้วเสียงตอบโต้ก็ฟังคุ้นๆ ไม่ต่างจากยุคทักษิณ อย่ามาตำหนิรัฐบาล ไปประณามโจรใต้โน่น ละเมิดสิทธิมนุษยชน

อันที่จริง ถ้าดูทัศนะ คนชั้นกลางระดับบนที่เกลียดทักษิณวันนี้ ก็น่าจะชื่นชอบนโยบายปราบยาเสพติด ปราบโจรใต้ ในวันนั้น อยู่ที่ยอมรับกันหรือเปล่า

พูดให้ถึงที่สุด ก็คนไทยทุกระดับชั้นนั่นแหละ มีแนวโน้มอำนาจนิยม อยากเห็นการใช้อำนาจรุนแรงกับคนที่ตนเห็นว่าผิด หรือเกลียดชัง เพราะรากฐานสังคมไทยเป็นสังคมพุทธผิวเผิน ถ้าเห็นตัวเองเป็นคนดีแล้วอีกฝ่ายเป็นคนชั่ว ก็ทำอะไรกับมันได้ทุกอย่าง

เพียงแต่คนชั้นล่างยังตระหนักว่า เมื่อไหร่ที่รัฐมีอำนาจมาก เจ้าหน้าที่มีอำนาจมาก ตัวเองก็ตกเป็นเหยื่อได้ง่ายกว่า

ยิ่งกว่านั้น คนชั้นกลางระดับบนยังภาคภูมิใจกับประเทศไทย ใต้รัฐประหาร "สี่ปีซ่อม สี่ปีสร้าง" รัฐประหารสร้างไทยยิ่งใหญ่ ใครวิจารณ์เป็นพวกจ้องทำลาย พวกชังชาติ ไม่อยากอาศัยแผ่นดินอยู่ ก็ออกจากประเทศนี้ไป

 

เผยแพร่ครั้งแรกใน: ข่าวสดออนไลน์ www.khaosod.co.th/hot-topics/news_1593593

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

วันสันติภาพสากล 'PerMAS' จัดปล่อยลูกโป่ง ชู 4 ข้อ หวังปชช.มีส่วนร่วมอย่างแท้จริง

Posted: 21 Sep 2018 02:22 AM PDT

'PerMAS' จัดปล่อยลูกโป่งขาว ที่ ม.อ.ปัตตานี เนื่องในวันสันติภาพสากล พร้อม ชู 4 ข้อ ร้องรัฐบาลไทยยกเลิกกฎอัยการศึก พรรคการเมืองร่วมดันเจรจาสันติภาพปาตานีเป็นวาระแห่งชาติ ขอมาเลเซียทบทวนตั้งผู้อำนวยความสะดวกในการพูดคุยคนใหม่ รวมทั้งให้ ปชช.ไทยและ ปชช.ปาตานี ร่วมกันผลักดันเจรจาสันติภาพ ที่วางอยู่บนฐานการเคารพสิทธิทางการเมืองของ ปชช. ตามระบอบประชาธิปไตย

ภาพจาก เฟสบุ๊กแฟนเพจ 'Free Voice'

21 ก.ย.2561 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า วันนี้ เมื่อเวลา 11.30 น. ที่บริเวณหน้าตึก 19 หรือ อาคารเรียนรวม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี (ม.อ.ปัตตานี) นักศึกษานักกิจกรรม สหพันธ์นิสิตนักศึกษานักเรียนและเยาวชนปาตานี (PerMAS) จัดกิจกรรม เนื่องในวันสันติภาพสากล

อนัส หนึ่งในผู้ร่วมจัดกิจกรรม กล่าวว่า เราจัดกิจกรรมเขียนความรู้สึกลงบนลูกโป่งสีขาว ปล่อยลอยไปสู่ท้องฟ้า เพื่อสะท้อนว่า เรายังคงมีความหวัง เราจัดกิจกรรมแบบนี้มาหลายปีแล้ว มันซ้ำๆ เดิมๆ เราไม่รู้ว่าพอจะสามารถช่วยให้ผู้คนตระหนักถึงความสำคัญของสันติภาพหรือเปล่า แต่เราหวังว่าสักวันสันติภาพจะเกิดขึ้นจริงๆ เพราะมันหมายถึงชีวิต หมายถึงศักดิ์ศรีของเรา

วัรดะฮ. กล่าวว่า สำหรับพวกเรา อนาคตการจัดการความขัดแย้งจะออกมาในรูปแบบใดก็ตาม ขอให้ปัจจุบัน เด็กๆ ผู้หญิง พลเรือนได้รับการปกป้องคุ้มครองก็พอแล้ว การปล่อยลูกโป่งในครั้งนี้เพื่อระลึกว่าพลเรือนกี่ชีวิตแล้วที่หายไปกับสงครามระลอกนี้

ภาพจาก เฟสบุ๊กแฟนเพจ 'Free Voice'

อารีฟ ดาเล็ง ผู้ประสานงาน PerMAS เขต Patani Lama กล่าวว่า ในวันนี้ PerMAS ถือโอกาสวันสันติภาพสากล เสนอข้อเรียกร้อง 4 ข้อ เพื่อร่วมพัฒนากระบวนสันติภาพต่อไป

"คนที่นี้มีชีวิต มีลมหายใจ มีลูกมีครอบครัว ถึงเวลาแล้วที่พวกเราจำต้องร่วมผลักดันให้เกิดกระบวนการสันติภาพที่มีมาตรฐาน สามารถจัดการความขัดแย้งทางการเมืองได้จริงๆ" อารีฟ กล่าว

สำหรับแถลงการณ์และเสนอข้อเรียกร้อง 4 ข้อ ของ PerMAS มีดังนี้

แถลงการณ์ สหพันธ์นิสิตนักศึกษานักเรียนและเยาวชนปาตานี

ด้วยวันที่ 21 กันยายน ของทุกปี เป็นวันสันติภาพสากล ซึ่งทางสหประชาชาติได้กำหนดไว้ เพื่อให้ประชาชนทุกชนชาติระลึกถึงความสำคัญของสันติภาพ ชีวิต และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ 
สหพันธ์นิสิตนักศึกษานักเรียนและเยาวชนปาตานี หรือPerMAS เป็นขบวนการเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อให้ประชาชนปาตานี มีสิทธิทางการเมืองในการกำหนดชะตากรรมของตนเอง ด้วยสภาพความขัดแย้งทางการเมืองว่าด้วยอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนปาตานีนั้น ประชาชนชาวปาตานีตกอยู่ภายใต้สภาพความหวาดกลัวจากปฏิบัติทางอาวุธของทั้งสองฝ่าย ตราบใดที่แนวนโยบายการแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองนี้ เป็นไปตามแนวคิดความมั่นคงและนำโดยนโยบายการทหาร ประชาชนปาตานีไม่มีวันที่จะสามารถกำหนดชะตากรรมของตนเองได้ ในการนี้ทาง PerMAS จึงขอเสนอข้อเรียกร้อง เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริงดังต่อไปนี้ 

1. ขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยยกเลิกกฎอัยการศึก ซึ่งเป็นกฎหมายที่เอื้อต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนและหล่อเลี้ยงวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิด ลดเงื่อนไขความหวาดกลัว และเพื่อให้ประชาชนสามารถแสดงเจตจำนงทางการเมืองอย่างเสรี 

2. ขอให้พรรคการเมืองต่างๆ ร่วมผลักดันให้ การเจรจาสันติภาพปาตานีนั้น เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อสะท้อนเจตจำนงทางการเมืองของรัฐบาลอย่างแท้จริง

3. ขอให้มาเลเซียทบทวนการแต่งตั้งผู้อำนวยความสะดวกในการพูดคุยคนใหม่ เพื่อที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการเอื้ออำนวยให้เกิดกระบวนการเจรจาสันติภาพ ที่เป็นไปตามมาตรฐานสากล นำไปสู่การมีคนกลางที่ได้รับการยอมรับจากคู่ขัดแย้งและไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนใดๆ

4. ขอให้ประชาชนไทยและประชาชนปาตานี ร่วมกันผลักดันให้เกิดการเจรจาสันติภาพ ที่วางอยู่บนฐานการเคารพสิทธิทางการเมืองของประชาชน ตามระบอบประชาธิปไตย

ด้วยจิตรักสันติภาพ
สหพันธ์นิสิตนักศึกษานักเรียนและเยาวชนปาตานี

นศ. ลงพื้นที่ ต.บางเขา หนองจิก เช็คข้อมูล

ขณะที่วานนี้ (20 ก.ย.61) เวลา 10.00 น วันที่ 20 กันยายน 2561 เลขาธิการ PerMAS นำขบวนนักศึกษา 100 กว่าคน ลงพื้นที่ชุมชนตำบลบางเขา เพื่อสอบถามข้อมูลข้อเท็จจริงจากชาวบ้านในพื้นที่ และร่วมทำการละหมาดฮายัต

"ชาวบ้านในพื้นที่หวาดกลัว บรรยากาศเงียบอย่างน่ากลัว หลายวันแล้ว ชาวบ้านหลายคนสะท้อนว่า ไม่สามารถทำมาหากินอย่างปกติได้" อับดุลซาลั หนึ่งในนักศึกษาที่ลงพื้นที่ กล่าว

อาอีเซาะห์ ( นามสมมุติ ) เล่าว่า หลายวันแล้วที่ไม่มีใครมาทานข้าวที่นี้ เราขายไม่ได้เลย หลายครัวเรือนหาข้าวหาปลากันไม่ได้ ถ้ายังอยู่แบบนี้เราจะกินอะไร หลังมีการประกาศเป็นที่พิเศษ ทหารเข้าไปตั้งแคมป์ในโรงเรียนตาดีกา ทำให้จำต้องปิดการเรียนการสอน โรงเรียนประถมศึกษาก็ปิดด้วยเช่นกัน เด็กๆ ในชุมชนไม่เรียนหนังสือหลายวันแล้ว 

อับดุลซาลัม ย้ำว่า PerMAS ไม่เห็นด้วยกับการใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่ รัฐบาลต้องเปิดพื้นที่ทางการเมือง ประชาชนต้องมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก สันติภาพในพื้นที่จึงจะเกิดขึ้น

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 16 ก.ย.ที่ผ่านมา พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาค 4 และผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 (กอ.รมน.ภาค 4) จัดแถลงข่าว ณ มณฑลทหารบกที่ 46 ประกาศ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ฉบับที่ 86/2561 ให้ ต.บางเขา และ ต.ท่ากำซำ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เป็นพื้นที่ควบคุมพิเศษชั่วคราวโดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.กฎอัยการศึก พ.ศ.2457 และกำหนดให้ผู้ที่อาศัยในพื้นที่ดังกล่าวนำอาวุธปืน และเครื่องกระสุนทุกชนิด รถยนต์ รถจักรยานยนต์ และเรือทุกประเภทมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ทหารเพื่อตรวจสอบตั้งแต่วันที่ 17-23  ก.ย. 2561 ณ ที่ว่าการอำเภอหนองจิก จ.ปัตตานี ภายหลังเกิดเหตุการณ์ซุ่มยิงทหารพรานเสียชีวิต 2 นาย บาดเจ็บอีก 4 นายขณะที่ทั้งหมดกำลังเดินกลับฐานใน อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 11 ก.ย. ที่ผ่านมา 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ไม่พูดมาก เจ็บคอ.. แม่พยาบาลเกดเปิดคำสั่งศาล โต้ ‘มัลลิกา’ ชี้ชัดทหารยิง-ไม่มีชายชุดดำ

Posted: 21 Sep 2018 01:52 AM PDT

หลัง แม่พยาบาลเกด เหยื่อกระสุนปืนทหารในเหตุการณ์สลายชุมนุมเสื้อแดงปี 53 บุกทำเนียบทวงถาม พล.อ.ประวิตร เหตุมีกระแสข่าวนายทหารยศนายพลไปบุกอัยการเพื่อสั่งให้ยุติการดำเนินคดี ต่อมา 'มัลลิกา' ออกโรงเตือนแม่พยาบาลเกด อย่าอคติใส่ร้ายทหาร ชี้ปกปิดความจริงชายชุดดำฆ่าทหาร-ปชช. ขณะที่ ทบ. ขอความเป็นธรรมให้ทหาร ชี้ปืนหายก็ไม่ได้คืน ด้าน 'พะเยาว์' เปิดคำสั่งศาลโต้ 'มัลลิกา' ชี้ชัด ทหารยิงลูกตัวเอง และไม่มีชายชุดดำ 

ภาพที่ถูกถ่ายจากดาดฟ้า สตช. เย็นวันที่ 19 พ.ค.53 โดยทหารในภาพมองไปยังหน้าวัดปทุมฯ

21 ก.ย.2561 จากกรณีที่วานนี้ (20 ก.ย.61) พะเยาว์ อัคฮาด มารดาของ กมนเกด อัคฮาด หรือ เกด พยาบาลอาสาซึ่งเสียชีวิตในวัดปทุมวนาราม จากเหตุการณ์สลายการชุมนุมแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ปี 2553 พร้อมด้วย ณัทพัช อัคฮาด บุตรชายของพะเยาว์ รวมทั้ง พันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ บิดาของ สมาพันธ์ ศรีเทพ หรือน้องเฌอ ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมดังกล่าวเช่นกัน ทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์เดินเท้าจากศาลทหารกรุงเทพ ไปยังทำเนียบรัฐบาลและยื่นหนังสือ ถึงพล.อ.ประวิตร วงสุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ตรวจสอบกรณี มีนายทหารยศนายพลไปบุกอัยการเพื่อสั่งให้ยุติการดำเนินคดีกับทหาร กรณีสลายการชุมนุมปี 2553 นั้น

ภาพ พะเยาว์ อัคฮาด และ พันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ เดินไปทำเนียบเมื่อวันที่ 20 ก.ย.2561 (ที่มาภาพ เฟสบุ๊ก Nattaputt Akahad)

'มัลลิกา' เตือนแม่พยาบาลเกด อย่าอคติใส่ร้ายทหาร ชี้ปกปิดความจริงชายชุดดำฆ่าทหาร-ปชช.

ต่อมา มติชนออนไลน์ รายงานว่า มัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ประธาน มูลนิธิมัลลิกาเพื่อประชาชน และรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาเตือน พะเยาว์ และและประชาชนเสื้อแดงอื่นๆ เพื่อให้ได้สติว่าอย่าตกเป็นเหยื่อของกลุ่ม นปช.ทักษิณอีก อย่าเป็นเครื่องมือลุกขึ้นมาปลุกปั่นอีกรอบ เพราะการจะเรียกร้องหาข้อเท็จจริงต้องปราศจากอคติและควรปรารถนาดีต่อลูกหลานของตัวเองจริงๆ ไม่ใช่ตั้งแง่แต่ว่าต้องใส่ร้ายทหาร หลักฐานพยานอีกประการหนึ่งคือวิถีกระสุนที่มีการพิสูจน์หลักฐานของที่นิติวิทยาศาสตร์กระทรวงยุติธรรมในปี 2553 นั้นก็ชัดเจนดีว่าเป็นวิถีกระสุนพี่ไม่ได้มาจากมุมสูงแต่เป็นมุมราบ แล้วใครที่อยู่ในมุมราบใช่ชายชุดดำหรือไม่แล้วชายชุดดำมาจากใครคงต้องถามนปช.และทักษิณ นี่ต่างหาก 12 ปีของการครบรอบผู้ที่กระทำกับประเทศชาติบ้านเมืองและเจตนาจะใส่ร้ายเจ้าหน้าที่ของบ้านเมืองโดยที่ไม่ชะโงกดูพฤติกรรมตัวเองว่าครอบครองอาวุธกันทำไมติดอาวุธเป็นกองกำลังไม่ทราบฝ่ายตามที่แกนนำนปช.ประกาศบนเวทีเพื่ออะไร

'พะเยาว์' เปิดคำสั่งศาลโต้ 'มัลลิกา' ชี้ชัด ทหารยิงลูกตัวเอง และไม่มีชายชุดดำ

ล่าสุดวันนี้ (21 ก.ย.61) พะเยาว์ โพสต์โต้ มัลลิกา ผ่านเฟสบุ๊ก 'Phayaw Akkahad' ด้วยว่า "ฝากไปถึงคุณมัลลิกาและพรรคประชาธิปัตย์นะคะ คดีไต่สวนการตายของลูกสาวดิฉันศาลอาญากรุงเทพใต้ได้มีคำสั่งแล้วเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2556 ว่า ผู้ตายทั้ง 6 เสียชีวิตเนื่องมาจาก ถูกยิงด้วยกระสุนปืนขนาด .223 หรือ 5.56 มม. ซึ่งวิถีกระสุนปืน ยิงมาจากเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติหน้าที่อยู่บนรางรถไฟฟ้า BTS หน้าวัดปทุม และไม่ปรากฏว่ามีชายชุดดำอยู่ในบริเวณดังกล่าว" 

นอกจากนี้ พะเยาว์ ได้แนะนำให้อ่านคำสั่งศาลในการไต่สวนการตายดังกล่าว ผ่านเว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ https://www.thairath.co.th/content/362085 

"ขี้เกียจพูดมาก เจ็บคอ" พะเยาว์ โพสต์ทิ้งท้าย

ทบ. ขอความเป็นธรรมให้ทหาร ชี้ปืนหายก็ไม่ได้คืน

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ไม่ใช่มีเพียง มัลลิกา เท่านั้นที่ออกมาโต้ พะเยาว์ วันนี้ (21 ก.ย.61) ข่าวสดออนไลน์ รายงานด้วยว่า ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกรณีดังกล่าว ว่า กรณีคดีความเหตุการณ์ ปี 53 กองทัพบก ติดตามความความคืบหน้าคดีมาตลอด ไม่ได้ชะลอหรือทำให้เกิดความล้าช้า โดยทางคณะทำงานติดตามทางคดีของกองทัพบก ได้มีการติดตามเรื่องคดีต่างๆ อยู่เป็นระยะ แต่เพื่อรักษาบรรยากาศบ้านเมือง การให้ข้อมูลในช่วงที่ผ่านมาจึงต้องใช้ความระมัดระวัง เพราะห่วงความรู้สึกผู้ได้รับผลกระทบ

พ.อ.วินธัย กล่าวว่า ปัจจุบันเรื่องคดีนั้น เชื่อว่าหลายคดีที่มีองค์ประกอบพอเพียงที่จะดำเนินการทางคดีได้ และส่วนใหญ่ก็อยู่ในกระบวนการแล้ว สำหรับคดีที่เจ้าหน้าที่ทหารเป็นผู้ถูกกระทำ ก็มีความคืบหน้าน้อย ซึ่งคณะทำงานติดตามทางคดีของกองทัพบกก็ยังติดตามอย่างใกล้ชิด ก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับเจ้าหน้าที่ด้วยเช่นกัน

โฆษกกองทัพบก กล่าวอีกว่า ส่วนข้อห่วงใยคือ การติดตามอาวุธปืนราชการที่หาย เมื่อครั้งถูกปล้นและยึดไปเมื่อปี 2553 ปัจจุบันยังคงพยายามเร่งรัดหาคืน แม้ว่าในช่วง ปลายปี 2557 เจ้าหน้าที่สามารถยึดอาวุธสงครามบางส่วนได้ พร้อมออกมาตราการให้ใครก็ตามที่ครอบครองอาวุธสงครามนำส่งมอบให้ทางการมียอดรวมมากหลายหมื่นกระบอก ทั้งนี้ในส่วนอาวุธปืนของกองทัพบกที่ถูกปล้นยึดหายไปคราวนั้น ก็ยังตามหากลับมาได้ไม่ครบ ทางคณะทำงานติดตามทางคดีของกองทัพบก จึงต้องให้ความสำคัญพร้อมเร่งรัดต่อเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน เพื่อทำให้เหตุการณ์เกี่ยวกับการใช้อาวุธสงครามในชุมชนเมือง ไม่เกิดขึ้นมาซ้ำรอยอดีต

สำหรับ กระแสข่าวนายพลรุกเจรจาให้ยุติคดีสลายการชุมนุม นปช. ปี 53 นั้น เกิดขึ้น 16 ก.ย.ที่ผ่านมา ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. ได้เขียนจดหมายเปิดผนึกถึงอัยการสูงสุดและผู้เกี่ยวข้องในคดีสลายการชุมนุมดังกล่าว โดย ณัฐวุฒิ อ้างถึง บทความคอลัมน์ มองรอบทิศ เรื่อง "นายพล" เดินแรง โดยผู้ใช้นามปากกา พยัคฆ์น้อย หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับประจำวันที่ 6 ก.ย. 2561 ซึ่งเขียนว่ามีนายทหารระดับ "นายพล" เดินทางไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับสำนวนคดีสลายการชุมนุมกลุ่ม นปช.เมื่อปี 2553 โดย "นายพล" ขอให้ผู้ใหญ่ฝ่ายอัยการยุติเรื่องดังกล่าว โดยเฉพาะกรณีเกือบ 20 ศพ ที่ศาลไต่สวนสาเหตุการตายเป็นที่ยุติแล้วว่าเสียชีวิตเพราะถูกกระสุนปืนความเร็วสูงจากฝั่งเจ้าหน้าที่ ให้ทำเป็น "สำนวนมุมดำ" หาตัวผู้กระทำความผิดไม่ได้ จึงไม่ต้องส่งฟ้องศาล และ ณัฐวุฒิ ยังระบุด้วยว่า จะมอบหมายตัวแทนฝ่ายกฎหมายเดินทางไปยืนคำร้องเรื่องนี้ต่อสำนักงานอัยการสูงสุดอีกครั้งในสัปดาห์หน้า

ขณะที่ คดี 6 วัดปทุมวนาราม ศาลมีคำสั่งในการไต่สวนการเสียชีวิตตั้งแต่ 6 ส.ค.56 แล้ว ว่า สุวัน ศรีรักษา อายุ 30 ปี อาชีพเกษตรกร ผู้เสียชีวิตที่ 1, อัฐชัย ชุมจันทร์ อายุ 28 ปี บัณฑิตคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคําแห่ง ผู้เสียชีวิตที่ 2, มงคล เข็มทอง อายุ 36 ปี เจ้าหน้าที่อาสามูลนิธิปอเต็กตึ๊ง ผู้เสีย ชีวิตที่ 3, รพ สุขสถิต อายุ 66 ปี อาชีพพนักงานขับ รถรับจ้างในสนามบิน ผู้เสียชีวิตที่ 4, กมนเกด ฮัคอาด อายุ 25 ปี อาชีพพยาบาลอาสา ผู้เสียชีวิตที่ 5, และ อัครเดช ขันแก้ว อาชีพรับจ้าง ผู้เสียชีวิตที่ 6 โดยทั้ง 6 ศพ ถูกยิงเสียชีวิตที่วัดปทุมวนาราม เมื่อวันที่ 19 พ.ค.2553 ในเหตุการณ์สลายการชุมนุม ของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. สมัย อภิสิทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี

ศาลสั่งว่าผู้ตายที่ 1,3-6 ถึงแก่ความตายเนื่องจากกระสุนปืน .223 จากทหารกองพันจู่โจมพิเศษที่ 3 ค่ายเอราวัณ จ.ลพบุรี ที่ประจำอยู่บริเวณรางรถไฟฟ้า BTS หน้าวัดปทุมฯ ขณะเกิดเหตุ ส่วนผู้ตายที่ 2 ตายจากกระสุน .223 จากกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ที่ประจำการอยู่บริเวณถนนพระราม 1 ช่วงเกิดเหตุ ภายใต้คำสั่งของ ศอฉ.  และผลการตรวจจากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ไม่พบร่องรอยการยิงปืนของมือทั้ง 6 ศพ จึงเชื่อว่าทั้ง 6 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการใช้อาวุธปืน รวมทั้งขณะเกิดเหตุมีด่านเจ้าหน้าที่ตรวจค้นอาวุธแน่นหนา 

นอกจากนี้ ภายหลังการอ่านคำสั่งในวันนั้น ผู้สื่อข่าวประชาไทยังรายงานด้วยว่า ศาลกล่าวสรุปประเด็นให้ผู้ที่เข้าร่วมฟังด้วยว่า 1.เกิดจากการกระทำของเจ้าพนักงานทหาร 2.ผู้ตายทั้ง 6 ไม่มีคราบเขม่าดินปืนที่มือทั้งสองข้าง แสดงว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการใช้อาวุธปืนมาก่อน 3.การตรวจยึดอาวุธในวัดปทุมวนาราม ไม่น่าเชื่อว่ามีการตรวจยึดจริง และ 4.กรณีชายชุดดำ ไม่ปรากฏว่ามีชายชุดดำอยู่ในบริเวณดังกล่าว โดยศาลมีคำสั่งให้นำคำสั่งนี้ส่งต่อให้พนักงานอัยการ เพื่อดำเนินการต่อไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

เสื้อแดงเหยื่อกระสุนปี 52 ร้อง 'ผบ.ทบ.' ขอความเป็นธรรมยุติยึดที่ทำกิน หลังแพ้คดี

Posted: 20 Sep 2018 08:01 PM PDT

'ไสว ทองอ้ม' คนเสื้อแดงเหยื่อกระสุนปี 52 ร้อง ผบ.ทบ. ขอความเป็นธรรม และขอให้กองทัพบกยุติการยึดที่ดินทำกิน หลังแพ้คดีที่ฟ้องกองทัพสลายชุมนุมและยิงจนพิการที่แขน

ที่มาภาพ เฟสบุ๊ก ไพศาล จันปาน

เมื่อวันที่ 20 ก.ย.ที่ผ่านมา มติชนออนไลน์ รายงานว่า สมยศ พฤกษาเกษมสุข ประธานกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย เดินทางมาพร้อมมวลชนจำนวน 6 คน เพื่อจะยื่นหนังสือถึง ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เพื่อนำ ไสว ทองอ้ม มวลชน แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่ถูกยิงได้บาดเจ็บสาหัส จนแขนข้างซ้ายพิการ ในช่วงสลายชุมนุมของ นปช.ที่แยกสามเหลี่ยมดินแดง เมื่อ ปี 52 และได้ฟ้องร้องค่าเสียหายจากกองทัพบก ต่อมาศาลสั่งยกฟ้องและตัดสินให้ไสว ชดใช้ค่าเสียหายเป็นค่าธรรมเนียมศาลและค่าทนายความเป็นเงิน 212,114 บาท ให้กับกองทัพบก แต่ ไสว ไม่มีเงินจ่าย จึงถูกยึดที่ดินทำกิน นอกจากนี้ ไสวได้ร้องเรียนต่อกระทรวงกลาโหมแล้ว แต่ไม่มีความคืบหน้า

จากนั้น พ.อ.วิชิต คล้ายทอง นายทหารเวร ออกมารับหนังสือ โดย ไสว กล่าวว่า ในวันนี้มายื่นหนังสื่อให้ทาง ผบ.ทบ. เพื่อติดตามผลการดำเนินงานจากกองทัพบก ในเรื่องที่ร้องขอความเป็นธรรม และขอให้กองทัพบกยุติการยึดที่ดินทำกินของตน

สำหรับ ไสว จากการถูกยิง เขาฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายกับกองทัพ ศาลฎีกาได้ตัดสินให้ยกฟ้อง และสั่งให้ ไสว และสนอง พานทอง โจทก์ร่วมอีกคน จ่ายค่าธรรมเนียมศาลและจ่ายค่าทนายจำเลย (อัยการ) ของฝ่ายกองทัพด้วย รวมเป็นเงิน เป็นเงิน 212,114 บาท ขณะเดียวกันเงินในบัญชีธนาคารของไสวที่มีอยู่เกือบ 5,000 ถูกอาญัติ และและเจ้าพนักงานบังคับคดีที่สุรินทร์ยังได้ยึดที่นาของไสวจำนวน 8 กว่าไร่ ราคาประเมิน 460,980 บาท เพื่อทำการขายทอดตลาด แม้ในขั้นศาลชั้นต้นพิพากษาให้กองทัพจ่ายค่าเสียหายเป็นเงินหนึ่งล้านสองแสนบาท ต่อมากองทัพได้ยื่นอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายกฟ้อง เหตุไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ากระสุนมาจากทหารและชนิดกระสุนไม่ตรงกับกระสุนที่กองทัพใช้ จน ไสว ยื่นฎีกา ก่อนที่ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องตามศาลอุทธรณ์ดังกล่าว

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น