โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันพฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

กลุ่มราษฏรรักษ์ป่า ประณามเสธ.หนั่น ระดมคนหนุนแก่งเสื้อเต้น

Posted: 08 Jul 2010 06:46 AM PDT

กลุ่มราษฎรรักษ์ป่า ออกแถลงการณ์ประณาม เสธ.หนั่น ระดมหัวคะแนนมาช่วยเรียกร้องสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น หวังผลประโยชน์ทางการเมือง ขัดหลักปรองดอง ท้าให้ลงสำรวจพื้นที่ป่าสักทอง

<!--break-->

8 ก.ค. 2553 - กลุ่มราษฎรรักษ์ป่า ตำบลสะเอียบ อำเภอสอง จังหวัดแพร่ ออกแถลงการณ์ประณาม พล.ต. สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี ที่สนับสนุนให้เกษตรกรบางส่วนในจังหวัดพิจิตรชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นเพื่อลดปัญหาภัยแล้ง-น้ำท่วม ในลุ่มน้ำยม ซึ่งก่อนหน้านี้พล.ต. สนั่น เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อว่าตนจะเร่งสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นให้ได้ในสมัยที่ตนเองเป็นรองนายกรัฐมนตรี

โดยในแถลงการณ์ระบุอีกว่าการประทำของพล.ต. สนั่น ขัดกับนโยบายปรองดองของรัฐบาล เนื่องจากสร้างความแตกแยกเกลียดชังให้เกิดขึ้นในกลุ่มคนลุ่มน้ำยม และเป็นการหวังผลทางการเมืองคือฐานเสียงของตนเองมากกว่าการแก้ไขปัญหาเรื่องการจัดการน้ำในแม่น้ำยม

กลุ่มราษฏรรักษ์ป่ายังได้กล่าวในแถลงการณ์อีกว่าขอท้าให้ พล.ต. สนั่น และพวกพ้องลงพื้นที่สำรวจข้อเท็จจริงของสภาพป่าสักทอง และยังได้ร้องขอให้กลุ่มผู้พี่น้องชาวบ้านที่ออกมาเรียกร้องเขื่อนอย่าตกเป็นเครื่องมือของนักการเมือง และต้องแสวงหาข้อเท็จจริงในการจัดการทรัพยากรที่ยั่งยืน

เนื้อหาของแถลงการณ์ฉบับเต็มมีดังนี้...

 

 


 

 

แถลงการณ์
กลุ่มราษฎรรักษ์ป่า ตำบลสะเอียบ อำเภอสอง จังหวัดแพร่

ประณาม เสธ.หนั่น ใช้ลิ่วล้อหัวคะแนน ปลุกระดมชาวบ้านหนุนแก่งเสือเต้นหวังผลทางการเมือง มากกว่าการแก้ไขปัญหาในลุ่มน้ำยมอย่างแท้จริง
 
8 กรกฎาคม2553
 
ตามที่ หัวคะแนนพรรคชาติไทยพัฒนาของพลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ และเกษตรบางส่วนในจังหวัดพิจิตร ร่วมกันชุมนุมหน้าศาลากลางจังหวัด เรียกร้องให้รัฐบาลเร่งสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นเพื่อลดปัญหาภัยแล้ง น้ำท่วม ในลุ่มน้ำยม ในครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นการสนับสนุนจากนักการเมืองจังหวัดพิจิตร โดยเฉพาะ พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อมวลชนหลายสำนัก ว่าจะเร่งสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นให้ได้ในสมัยที่ตนเองเป็นรองนายก
                ในขณะที่นโยบายรัฐบาลต้องการความปรองดอง  แต่การการกระทำของนักการเมืองหัวโบราณ อย่างพลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ ซึ่งมีตำแหน่งเป็นถึงรองนายกรัฐมนตรี กับแสดงพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดความสับสนหวาดระแวง และความแตกแยกขึ้นมาอีกครั้ง การกระทำดังกล่าวสวนทางกับการปรองดองในชาติ สร้างความเกลียดชังของคนในลุ่มน้ำยม และหวังผลทางการเมือง ฐานเสียงของตนเองมากกว่าการแก้ไขปัญหาเรื่องการจัดการน้ำในแม่น้ำยม
 

กลุ่มราษฎรรักษ์ป่า ขอประณามพฤติกรรมนักการเมืองโบราณ เมาไวน์ คิดอะไรไม่ออก ไม่มีอะไรทำ ห่วงฐานเสียงตัวเอง หวังผลทางการเมือง มากกว่าการแก้ไขปัญหา จ้องงาบงบประมาณสร้างเขื่อน และอยากกินป่าสักทอง เพื่อผลประโยชน์ใส่ตัวเองและพวกพ้อง ดังนั้นพวกเราขอท้า พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ และพวกพ้อง ลงพื้นที่มาดูข้อเท็จจริงของสภาพป่าสักทอง โดยพี่น้องในตำบลสะเอียบพร้อมที่จะพิสูจน์ความจริงทุกเมื่อ ดังที่ผู้เฒ่าผู้แก่ในชุมชนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า กลัวจะตายไปก่อน ที่จะได้สู้กับ พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ ในการพิสูจน์ความจริง และขอให้พลตรีสนั่นยุติพฤติกรรมเยี่ยงนี้ จะได้ไม่เป็นแบบอย่างให้กับนักการเมืองรุ่นหลัง

สำหรับพี่น้องชาวบ้านกลุ่มผู้เรียกร้องไม่ควรตกเป็นเครื่องมือของนักการเมือง และต้องแสวงหาข้อเท็จจริงในการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน อย่ามัวเรียกร้องให้คนอื่นเสียสละ ควรเริ่มคิดได้แล้วว่าตนเองจะเสียสละอะไรบ้างเพื่อแก้ไขปัญหาการจัดการน้ำ ไม่ใช่มาเรียกร้องให้สร้างเขื่อนซึ่งมันล้าสมัยไปแล้ว พวกเราได้เสนอหลายต่อหลายครั้งแล้ว ว่าให้มีการจัดการน้ำแบบองค์รวม ดูทรัพยากรทุกด้านอย่างรอบด้าน อย่าหวังได้น้ำแต่ทำลายป่า เพราะเมื่อเราได้เขื่อนเราก็จะไม่มีน้ำ ซึ่งเป็นการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน เหมือนกับการสร้างเขื่อนที่ผ่านมา อยากให้พี้น้องลองไปดูข้อเท็จจริงที่เขื่อนใกล้บ้านท่านโดยเฉพาะแควน้อย ว่ามีน้ำหรือไม่ ซึ่งถ้าสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น ก็จะไม่มีน้ำเช่นกัน พี่น้องควรหาข้อมูล ข้อเท็จจริงก่อนออกมาเรียกร้อง ในฐานะคนลุ่มน้ำเดียวกัน
 
 
ด้วยจิตคารวะ
คณะกรรมการชาวบ้าน กลุ่มราษฎรรักป่า
ตำบลสะเอียบ อำเภอสอง จังหวัดแพร่ 
 


 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

อภิสิทธิ์รับจ้างล็อบบี้ยิสต์ต่างชาติ อ้างสร้างความเชื่อมั่นศก.ไทย

Posted: 08 Jul 2010 06:06 AM PDT

<!--break-->

 

8 ก.ค. 2553 - เว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกระแสข่าวที่กระทรวงการคลังจะมีการว่าจ้างบริษัทล็อบบี้ยิสต์ในต่างประเทศ โดยยอมรับว่าเป็นความจริง พร้อมให้เหตุผลว่าเพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่เศรษฐกิจของไทย
      
นายกรัฐมนตรียังกล่าวแสดงความมั่นใจว่า นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่จะสามารถแยกแยะการทำงานในหน้าที่ตำแหน่งผู้ว่าฯ ธปท.ได้ แม้ว่าจะมาจากทางฝั่งธนาคารพาณิชย์ โดยเชื่อมั่นว่าความรู้ และมุมมองประสบการณ์ทางด้านภาคเอกชน จะเป็นประโยชน์ต่อการทำหน้าที่และจะไม่มีผลประโยชน์ขัดกัน
      
ส่วนในกรณีของนายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการ ธปท.ที่พลาดหวังจากตำแหน่งผู้ว่าฯ ธปท.นั้น นายกฯ ยังไม่ยืนยันว่าจะถูกวางตัวให้เป็นเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ คนใหม่หรือไม่ โดยเรื่องนี้มอบหมายนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นำไปพิจารณาและให้มีการพูดคุยกับผู้ว่าการ ธปท.ในการวางตำแหน่งที่เหมาะสม
      
ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่า กระทรวงการคลังได้ติดต่อจ้างบริษัทที่ปรึกษาสัญชาติสหรัฐฯ เพื่อทำการประชาสัมพันธ์เศรษฐกิจประเทศไทยกับสื่อในต่างประเทศ เพราะสืบเนื่องจากผลกระทบที่มีต่อความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจของประเทศ และส่งผลกระทบแนวโน้มโอกาสของไทยที่จะเสนอตัวเป็นประเทศที่น่าลงทุนในระยะ ยาว
      
ทั้งนี้ หากไม่มีการประชาสัมพันธ์ที่ดี และมีการเสนอข่าวที่ไม่ถูกต้องชัดเจนต่อผู้บริโภคข่าวในต่างประเทศ อาจทำให้ไทยเสียเปรียบประเทศคู่แข่ง และไทยเสียโอกาสในการที่จะได้รับความสนใจในแง่ของแหล่งประเทศที่น่าลงทุนใน สายตาของนักลงทุนต่างประเทศ
      
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังพิจารณาว่าควรมีการบริหารการสื่อสารข้อมูลกับสื่อต่างประเทศ และนักธุรกิจต่างประเทศอย่างเป็นระบบ จึงพิจารณาว่าต้องมีผู้เชี่ยวชาญด้านนี้มาให้คำปรึกษาในแง่ของวิธีการ และช่วยการดำเนินการให้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับประเทศไทย
      
ส่วนกรณีข่าวรองผู้ว่าการ ธปท.มีความเสียใจที่พลาดตำแหน่ง รมว.คลังกล่าวว่า ตนเองพร้อมให้กำลังใจคุณบัณฑิต เนื่องจากเป็นคนที่มีความรู้ ความสามารถและมีคุณค่าต่อระบบการเงินการคลัง เชื่อว่าคงจะสามารถหาตำแหน่งที่เหมาะสมได้

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

นายกฯ พม่า จุดชนวนสงครามชนเผ่าในรัฐคะฉิ่น / พม่าแบนนิตยสารโชว์ขาอ่อน

Posted: 08 Jul 2010 05:52 AM PDT

<!--break-->

 

นายกเต็งเส่ง จุดชนวนสงครามชนเผ่าในรัฐคะฉิ่น
แหล่งข่าวในรัฐคะฉิ่นเปิดเผยคำพูดบางส่วนของนายกรัฐมนตรีพม่าเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งระบุว่า อาจมีการนองเลือดและการสู้รบกันเกิดขึ้นระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์  ซึ่งคำพูดดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงความพยายามของรัฐบาลพม่าที่ต้องการปลุกปั่นให้มีการสู้รบกันเองระหว่างกลุ่มชนชาติชาวคะฉิ่น ซึ่งอาศัยอยู่ในรัฐคะฉิ่น ทางตอนเหนือของประเทศ

แหล่งข่าวยังระบุอีกว่า พลเอกเต็งเส่ง ซึ่งได้ลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรี และขณะนี้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานพรรคสหภาพเอกภาพและการพัฒนา (USDP - Union Solidarity and Development Party) ได้พูดสนับสนุนให้ชาวคะฉิ่นหันมาฆ่าฟันกันเอง ในระหว่างที่เยือนจังหวัดปูตาโอ (Puta-O) หรือเรียกปูเตา (Putau) เมื่อครั้งที่อดีตนายกคนนี้ได้พบกับผู้นำชนพื้นเมืองเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

การเยือนในครั้งนั้น พลเอกเต็งเส่งได้พบกับผู้นำชาวราวังและชาวลีซู ซึ่งทันทีที่เข้าพบปะกับผู้นำในพื้นที่ มีรายงานว่า พลเอกเต่งเส่งได้ถามคำถามขึ้นมา 2 ข้อ ซึ่งเกี่ยวข้องกับองค์กรคะฉิ่นอิสระ (KIO - Kachin Independence Organization) โดยตรง 

ทั้งนี้ แหล่งข่าวซึ่งมีความใกล้ชิดกับชาวบ้านที่เข้าพบปะกับพลเอกเต็งเส่งในครั้งนั้นเปิดเผยว่า “ คำถามแรกที่พลเอกเต็งเส่ง ได้ถามกับผู้นำทั้งสองก็คือ ในอดีตที่ผ่านมา มีคนจำนวนเท่าไหร่ที่ถูกสังหารโดยกลุ่ม KIO ซึ่งเป็นชาวจิ่งเผาะ ซึ่งพลเอกเต็งเส่งก็ได้รับการตอบจากผู้นำชาวราวังและผู้นำชาวลีซู” แหล่งข่าวกล่าว  

ขณะที่ในอดีต ได้เกิดความขัดแย้งระหว่างชาวราวังและชาวจิ่งเผาะจริง ซึ่งมีรายงานว่า ทหาร KIO ซึ่งเป็นชาวจิ่งเผาะ ได้สังหารชาวราวังเป็นจำนวนมาก โดยรัฐบาลพม่าเองพยายามนำประเด็นความขัดแย้งในอดีตนี้ มาทำให้ทั้งสองขัดแย้งกันอีกครั้ง

แหล่งข่าวเปิดเผยว่า พลเอกเต็งเส่งยังได้กล่าวกับผู้นำชาวราวังและชาวลีซูเพิ่มเติมว่า “ถ้าหากคุณสู้รบกับชาวจิ่งเผาะ เรา (รัฐบาลทหารพม่า) จะจัดหาอาวุธให้พวกคุณเอง” แหล่งข่าวกล่าว 
  
อย่างไรก็ตามมีรายงานว่า นายตังกู ดั่ง หรือที่รู้จักกันในชื่ออาดั่ง ผู้แทนของชาวราวัง ได้นำประเด็นเรื่องความขัดแย้งระหว่างกลุ่ม KIO กับชาวราวัง และประเด็นการสังหารชาวราวังในอดีตกลับมาอีกครั้ง และยอมรับข้อเสนอของรัฐบาลพม่าที่จะช่วยเหลือด้านอาวุธ

นายอาดั่งเป็นนักธุรกิจและเป็นเจ้าของห้องบันทึกเสียง Mali Hka ในเมืองมิตจีนา เมืองหลวงของรัฐคะฉิ่น นอกจากนี้ยังเป็นผู้นำของกองกำลังทหารราวัง ซึ่งแต่ก่อนรู้จักในนาม กลุ่มต่อต้านกบฏ (Rebellion Resistance Force) ซึ่งมีฐานที่มั่นอยู่ในหมู่บ้าน Hkawnglanghpu จังหวัดปูตาโอ

ขณะที่รัฐคะฉิ่นประกอบด้วย 6 เผ่าหลักคือ จิ่งเผาะ ราวัง ลีซู อาชิ และมารู เผ่าที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดคือเผ่าจิ่งเผาะ รองลงมาคือเผ่าราวัง โดยแต่ละเผ่าต่างมีภาษาพูดและวัฒนธรรมเป็นของตัวเอง และใช้ภาษาจิ่งเผาะเป็นภาษาหลักในการติดต่อสื่อสารกัน

 

ที่มา : Kachin News Group 7 กรกฎาคม 2553

 

 

พม่าแบนนิตยสารลงภาพนางเอกโชว์ขาอ่อน
แหล่งข่าวจากสื่อในกรุงย่างกุ้งรายงานว่า กองตรวจสอบและการจดทะเบียนสื่อ (The Press Scrutiny and Registration Division -PSRD) ของพม่าสั่งแบนวารสารรายสัปดาห์ 2 ฉบับ หลังลงภาพนางเอกในชุดกระโปรงสั้น 

วารสารที่ถูกแบนครั้งนี้คือ วารสาร Popular และวารสาร Envoy โดยทั้งสองวารสารถูกสั่งปิดทำการเป็นเวลา 1อาทิตย์ ทั้งนี้ วารสาร popular เผยแพร่และจัดทำโดยบริษัท Asian Fame Media Group ขณะที่วารสาร Envoy เป็นของนายซินยอ หม่องหม่อง ผู้กำกับหนังพม่า

มีรายงานว่า นิตยสาร Envoy ได้ลงภาพ Su Shoon Lei นางเอกพม่าในชุดกระโปรงสั้น ซึ่งเผยให้เห็นขาอ่อน โดยหลังจากนิตยสารเผยแพร่ออกไป ทางกองตรวจสอบและการจดทะเบียนสื่อได้สั่งลงโทษวารสารฉบับนี้ทันที โดยสั่งห้ามออกวารสารเป็นเวลา 1 อาทิตย์ โดยทางกองตรวจสอบและการจดทะเบียนสื่อของพม่าอ้างว่า ชุดที่นางเอกคนดังกล่าวใส่วาบหวิวขัดกับวัฒนธรรมของชาวพม่า

 ขณะที่บรรณาธิการจากสำนักข่าวในย่างกุ้งรายหนึ่งกล่าวว่า “หากทั้งสองวารสารต้องการกลับมาเผยแพร่วารสารอีกครั้งหลังจากพ้นโทษแบน พวกเขาจะต้องยื่นเรื่องขออนุญาตจากทางการพม่าอีกครั้ง” บรรณาธิการกล่าว

ด้านแหล่งข่าวรายงานว่า เมื่อเร็วๆนี้ กองตรวจสอบและการจดทะเบียนสื่อภายใต้รัฐบาลทหารพม่า ได้เพิ่มมาตรการเข้มงวดในการเซ็นเซอร์ต่อสื่อสิ่งพิมพ์ในประเทศ เช่นเดียวกับเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา กองตรวจสอบและการจดทะเบียนสื่อได้แบนวารสาร The Voice Weekly และThe First Music Agency journals ชั่วคราวด้วยเช่นกัน หลังทั้งสองวารสารตีพิมพ์บทความโจมตีนางเอกพม่ารายหนึ่ง

อย่างไรก็ตามขณะนี้ มีวารสารจำนวน 200 ฉบับและนิตยสารอีก 150 ฉบับเผยแพร่ในพม่า

 

ที่มา : Irrawaddy/Mizzima

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ดีเอสไอเปิดแผนรับมือกลุ่มวิจารณ์พระมหากษัตริย์ พระราชินี และองค์รัชทายาท ตามคำสั่ง ศอฉ.

Posted: 08 Jul 2010 04:55 AM PDT

"ธาริต เพ็งดิษฐ์" นำทีมคณะกรรมการกำหนดแนวทางดำเนินคดีเกี่ยวกับการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรืออาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินีและองค์รัชทายาท ตามคำสั่งของ ศอฉ. อ้างทำเป็นเครือข่ายตามสื่อออฟไลน์-ออนไลน์ มีทั้งท่อน้ำเลี้ยง เผยเตรียมแบ่งงานสืบสวนทั้งการข่าวและการเงิน

<!--break-->

วันนี้ (8 ก.ค.) เวลา 14.00 น. นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวในการประชุมหน่วยงานความมั่นคงเพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินคดีพิเศษเกี่ยวกับการหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรืออาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินีและองค์รัชทายาทตามคำสั่งของ ศอฉ.  ว่าทางคณะกรรมการคดีพิเศษได้พิจารณากรอบแนวทางในการดำเนินคดี และแบ่งมอบหน้าที่ให้หน่วยงานต่างๆ จำนวน 18 องค์กร เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงไอซีที สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการสืบสวนสอบสวนและดำเนินคดีดังกล่าว

นายธาริตกล่าวต่อไปว่า การโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีลักษณะเป็นเครือข่ายเชื่อมโยง มีลำดับขั้นทั้งระดับบงการ ปฏิบัติการ และแนวร่วม จะปรากฏทั้งในลักษณะการเผยแพร่โดยตรง เช่น การให้สัมภาษณ์สื่อต่างชาติ การปราศรัย การเผยแพร่บทความและใบปลิว และการเผยแพร่ทางอินเทอร์เนต เช่นการทำเว็บไซต์ คลิปวิดีโอ อีเมล์ และสื่อออนไลน์อื่นๆ โดยขณะนี้ได้ตรวจสอบผู้ต้องสงสัยว่าจะกระทำผิดในช่วงปี 2549 – 2553 ทั้งในเชิงการข่าว ด้านเทคโนโลยี และการเงินผ่านทางชุดปฏิบัติการ โดยถ้ามีพฤติกรรมเป็นกระบวนการ ทางคณะกรรมการก็จะรับมาดำเนินการเป็นคดีพิเศษ แต่ถ้าไม่เกี่ยวข้องกับกระบวนการก็จะให้พนักงานสอบสวนดำเนินการต่อไป

โดยในระยะนี้จะสืบสวนให้ทราบแน่ชัดว่าบุคคลและองค์กรต่างๆ มีความเกี่ยวข้องกับเครือข่ายจริงหรือไม่ก่อน แล้วค่อยเรียกมาสอบสวนในอีกระยะหนึ่ง ทั้งนี้ตนมีข้อมูลว่าการโจมตีสถาบันมีทั้งที่เป็นไปเพื่อเพื่อล้มล้างระบอบกษัตริย์ ลดความน่าเชื่อถือของประเทศไทย และขยายอุดมการณ์ทางการเมือง นายธาริตกล่าว

 

ที่มาข่าว: ธาริตเปิดแผนรับมือแก๊งหมิ่นเจ้า  (เว็บไซต์เดลินิวส์, 8-7-2553) http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=8&contentID=76921

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

"อานันท์-ประเวศ" เปิดรายชื่อคณะกรรมการปฏิรูป 19 คน และสมัชชาปฏิรูป 27 คน

Posted: 08 Jul 2010 04:25 AM PDT

อานันท์ ปันยารชุน-นพ.ประเวศ วะสี แถลงเปิดรายชื่อคณะกรรมการปฏิรูปฯ 19 คน และสมัชชาปฏิรูปฯ 27 คน อานันท์หวังขับเคลื่อนสังคมไทยสู่ความสมานฉันท์ สันติสุข และความเจริญมั่นคงในชาติบ้านเมือง นพ.ประเวศลั่นไม่ใช่คณะกรรมการปรองดอง แต่จะมองไปข้างหน้า จะไม่แก้ปัญหา แต่จะทำสิ่งใหม่ ขจัดความอยุติธรรมและเหลื่อมล้ำในสังคมให้หมดสิ้นไป

<!--break-->

นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรีและประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ และ นพ.ประเวศ วะสี ประธานคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปประเทศ แถลงข่าวที่บ้านพิษณุโลกวันนี้ (8 ก.ค. 53) ที่มา: ศูนย์สื่อทำเนียบรัฐบาล

ศูนย์สื่อทำเนียบรัฐบาล รายงานว่า เมื่อเวลา 11.00 น. วันนี้ (8 ก.ค. 53) ณ บ้านพิษณุโลก กทม. นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการปฎิรูปประเทศ และนายแพทย์ประเวศ วะสี ประธานคณะกรรมการสมัชชาปฎิรูปประเทศ ได้ร่วมกันแถลงข่าวเปิดตัวคณะกรรมการปฎิรูปจำนวน 19 คน และคณะกรรมการสมัชชาปฎิรูปจำนวน 27 คน

นายอานันท์ ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการปฎิรูปประเทศ กล่าวว่า คณะกรรมการปฎิรูปที่ตนได้เลือกเข้ามาทำงานร่วมกันนั้น แต่ละคนมีความหลากหลายในเรื่องของวิชาความรู้และประสบการณ์ที่ได้มาและในส่วนของเวลาในการทำงานมีให้อย่างเต็มที่ โดยมีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดยุทธศาสตร์ แนวทาง มาตรการ และกระบวนการต่างๆ เกี่ยวกับการปฎิรูป จัดทำข้อยุติและข้อเสนอแนะต่างๆ เกี่ยวกับการปฎิรูปเสนอต่อสาธารณชนและภาครัฐเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติอย่างแท้จริง

อีกทั้งประสานงานกับคณะกรรมการสมัชชาปฎิรูปประเทศ ในการให้ได้มาซึ่งข้อมูล ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะของสาธารณชนเกี่ยวกับการปฎิรูป พร้อมสนับสนุนและติดตาม ผลักดันการขับเคลื่อนของสาธารณชนและภาครัฐต่อการปฎิรูปให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้การดำเนินการขับเคลื่อนการปฎิรูประบบต่างๆ ในประเทศไทย เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาคประชาชน และชุมชน ภาคธุรกิจ ภาควิชาการ และภาครัฐ ที่มุ่งไปสู่ความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย เสริมสร้างสมรรถนะ และพลังปัจจัยที่จะช่วยขับเคลื่อนสังคมไทยให้มีความเข้มแข็ง อยู่เย็นเป็นสุข มีศักดิ์ศรี มีความเป็นธรรม อันจะนำไปสู่ความสมานฉันท์ สันติสุข และความเจริญมั่นคงในชาติบ้านเมือง โดยจะมีการประชุมนัดแรกในวันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม 2553 เวลา 14.00 น.ที่บ้านพิษณุโลกและจะมีการประชุมทุกวันจันทร์และพฤหัส เวลา 13.00 น. ทุกสัปดาห์อีกด้วย

ประธานคณะกรรมการปฎิรูปประเทศ กล่าวเพิ่มเติมว่า สุดท้ายความสำเร็จของการทำงาน ขึ้นอยู่กับประชาชนเป็นผู้ให้การสนับสนุน เพราะแผนแอคชั่นแพลนที่จะทำขึ้นไม่ได้เสนอให้รัฐบาลใด หรือพรรคการเมืองใดก็ตามที่จะนำไปหาเสียง แต่ต้องการเปลี่ยนแปลงทางสังคม

ด้าน นพ.ประเวศ ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการสมัชชาปฎิรูปประเทศ กล่าวว่า คณะกรรมการสมัชชาปฎิรูปจะทำหน้าที่เพื่อส่งเสริม สนับสนุนการมีส่วนร่วมของสังคมทุกภาคส่วน โดยอยากให้สังคมทุกส่วนเข้ามามีส่วนร่วม โดยจะมีการจัดตั้งสมัชชาจังหวัดขึ้นทั่วประเทศ สมัชชาประเด็นที่ภาคประชาชนเสนอและสมัชชาแห่งชาติ ขึ้นมาทำงาน รวบรวมข้อมูล รับฟังความคิดเห็นของประชาชน เพื่อมาวิเคราะห์ และสังเคราะห์ออกมาเป็นนโยบาย และที่สำคัญคณะกรรมการสมัชชาปฎิรูปจะทำงานคู่ขนานกับคณะกรรมการปฎิรูปในรูปแบบทำงานคนละเรื่องแต่เป็นเรื่องเดียวกัน โดยขอยืนยันว่า คณะกรรมการชุดนี้ไม่ใช่คณะกรรมการปรองดอง แต่จะทำงานมองไปข้างหน้า ไม่ใช่แก้ปัญหาแต่จะเป็นการทำสิ่งใหม่ เพื่อสร้างอนาคตประเทศไทย แก้ปัญหาความอยุติธรรมและความเหลื่อมล้ำในในสังคมให้หมดสิ้นไป

จากนั้นตนจะเรียกประชุมคณะกรรมการสมัชชาปฎิรูปประเทศครั้งแรกในวันที่ 14 กรกฎาคมนี้ เพื่อวางกรอบการทำงาน ซึ่งกรอบดังกล่าวจะมีความชัดเจนในการเดินหน้าทำงานต่อไป

ประธานคณะกรรมการสมัชชาปฎิรูปประเทศ กล่าวในตอนท้ายว่า อยากขอให้สื่อมวลชนเป็นศูนย์รับข้อเสนอแนะจากประชาชนทั่วประเทศ เพื่อนำข้อมูลมาสังเคราะห์และจะได้รู้ว่ามีกี่เรื่องที่ต้องแก้ไขและที่สำคัญท้ายที่สุดสังคมก็จะเป็นเจ้าของเรื่อง ดังนั้น จึงไม่ต้องกลัวว่านักการเมืองจะไม่ทำตามเพราะสังคมจะเป็นผู้ขับเคลื่อน นักการเมืองจะทำตามเอง

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า รายนามของคณะกรรมการทั้งสองชุดมีดังนี้

สำหรับ คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปประเทศไทย จำนวน 27 รายชื่อ ที่ นพ.ประเวศ วะสี เป็นประธาน ประกอบด้วย 1.นายกสมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย  2.ประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย  3.ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย  4.ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย 5.ประธานสมาคมธนาคารไทย
 
6.เลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ 7.นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม  หนึ่งในกรรมการชุดคณิต ณ นคร  8.นายชัยวัฒน์ ถิระพันธ์ ผู้อำนวยการสถาบันการเรียนรู้และพัฒนาประชาสังคม (civic net) และ นักวิชาการอิสระ  9.ผศ.ชิดชนก ราฮิมมูลา อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

10.นายณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 11. นายต่อพงษ์ เสลานนท์ รองเลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ ผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์มูลนิธิของคนตาบอดไทย 12.นางเตือนใจ ดีเทศน์ อดีตวุฒิสมาชิก และอดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ 13.รศ.นิพนธ์ พัวพงศกร ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) 14.นายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ศิลปินแห่งชาติ ผู้สนับสนุนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย 15.นายปรีดา คงแป้น ผู้ประสานงานเวทีขับเคลื่อนสภาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย

16.นายปรีดา เตียสุวรรณ ชมรมนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย ผู้สนับสนุนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย 17.นางเปรมฤดี ชามภูนท นายกเทศมนตรีนครพิษณุโลก 18. นพ.พลเดช ปิ่นประทีป กรรมการบริหารองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สมัยรัฐบาล คมช. ยุค พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ 19.นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม สมัยรัฐบาล คมช. ยุค พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์

20.นายมานิจ สุขสมจิตร อดีตประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ 21.นายรัชฏะ ศรีบุญรัตน์  ประธานสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย  22.นางเรวดี ประเสริฐเจริญสุข สภาพัฒนาการเมือง  และกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน มูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน 23. นพ.วิชัย โชควิวัฒน รองประธานคณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) 24.นายสน รูปสูง ปราชญ์ชาวบ้าน รองประธานสภาพัฒนาการเมือง 25. นายสมพร ใช้บางยาง อดีตอธิบดีกรมการปกครองท้องถิ่น 26.นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค 27.นายเอ็นนู ซื่อสุวรรณ รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.)

คณะกรรมการปฏิรูปประเทศ จำนวน 19 รายชื่อที่มี นายอานันท์ ปันยารชุนเป็นประธาน ประกอบด้วย  1.นายกฤษณพงษ์ กีรติกร อดีตเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา 2.คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา อดีตเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 3.นายชัยอนันต์ สมุทรวณิช อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ คอลัมน์นิสต์หนังสือพิมพ์เอเอสทีวีผู้จัดการ 4.นายณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ  อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ 5. นายนิธิ เอียวศรีวงศ์   นักวิชาการอิสระ คอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์"มติชน"

6. นายบัณฑร อ่อนดำ ที่ปรึกษาสถาบันพัฒนาองค์กรประชาชน (พอช.) 7.นางปราณี ทินกร อดีตคณบดี คณะเศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ 8.นายพงษ์โพยม วาศภูติ อดีตนายกสมาคมนิสิตเก่ารัฐศาสตร์ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย 9.นายเพิ่มศักดิ์ มกราภิรมย์ สมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 10.พระไพศาล วิสาโล พระนักกิจกรรม วัดป่าสุคะโต อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ

11. นางรัชนี ธงไชย (แม่แอ๊ว) ครูใหญ่โรงเรียนหมู่บ้านเด็ก จ.กาญจนบุรี ภรรยานายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย 12.นพ.วิชัย โชควิวัฒน ประธานมูลนิธิ 14 ตุลาคม กรรมการสมัชชาปฏิรูปชุด นพ.ประเวศ วะสี 13.นายวิริยะ นามศิริพงศ์พันธ์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประธานฝ่ายกฎหมายและสิทธิเสรีภาพมนุษยชน สภาคนพิการแห่งประเทศไทย 14.นายศรีศักร วัลลิโภดม กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร 15. นายสมชัย ฤชุพันธุ์ กรรมการกฤษฎีกา อดีตผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง

16.นางสมปอง เวียงจันทร์ แกนนำผู้ชุมนุมชาวปากมูลและตัวแทนคณะกรรมการชาวบ้านเพื่อฟื้นฟูชีวิตและ ชุมชนลุ่มน้ำมูล 17.นางสาวสมสุข บุญญะบัญชา อดีตผู้อำนวยการ พอช.  18.นายเสกสรรค์ ประเสริฐกุล อดีตแกนนำสหพันธ์นักศึกษาเสรี และแกนนำนักศึกษาในปี 2516 และอดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ 19. ม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์ อดีตผู้อำนวยการโครงการสร้างสรรค์และพัฒนาชุมชน สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ดีเอสไอ แจ้งข้อหา “ก่อการร้าย” คนติดตาม เสธ.แดง คุมตัวเรือนจำพิเศษฯ

Posted: 08 Jul 2010 03:29 AM PDT

<!--break-->

เมื่อวันที่ 6 ก.ค.53 ที่ศาลอาญา รัชดา เวลาประมาณ 10.30 น. นายยงยุทธ ท้วมมี ผู้ติดตาม พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง พร้อมทนายความจากศูนย์รับเรื่องร้องเรียนด้านกฎหมายและสิทธิมนุษยชน (ศรส.) เดินทางมาตามนัดหมายของเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)  ที่ยื่นคำร้องของควบคุมตัวนายยงยุทธต่อศาล หลังจากดีเอสไอเดินทางไปแจ้งข้อกล่าวหาก่อการร้ายที่กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน (บก.ตชด.) ภาค1 จังหวัดปทุมธานี เมื่อวันที่  5 ก.ค. เวลา 20.00 น.

ทั้งนี้ นายยงยุทธ หรือ บัง อายุ 55 ปี ถูกจับกุมมาควบคุมตัวที่ บก.ตชด. เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. เจ้าหน้าที่ตำรวจอ้างหมายจับที่ ฉฉ 114/2553 ศาลอาญา  ลงวันที่  21  พฤษภาคม 2553  โดยเมื่อครบกำหนดคุมตัว 7 วันในวันที่ 5 ก.ค. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอขยายเวลาการควบคุมตัว แต่ทนายของนายยงยุทธได้คัดค้านคำร้องดังกล่าว โดยระบุว่า นายยงยุทธเป็นเพียงผู้ร่วมชุมนุมธรรมดา และการควบคุมตัวที่ บก.ตชด.เจ้าหน้าที่ไม่ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาหรือฐานความผิดในการดำเนินคดีอาญาเป็นแต่เพียงการซักถามด้วยคำถามซ้ำๆ เหมือนกันทุกวัน จากนั้นศาลได้มีคำสั่งยกคำร้องการขยายเวลาควบคุมตัว อย่างไรก็ตาม ก่อนที่นายยงยุทธจะได้รับการปล่อยตัวในเวลาเที่ยงคืนวันที่ 5 ก.ค. ในเวลา 20.00 น.ของคืนเดียวกัน เจ้าหน้าที่จากดีเอสไอได้เดินทางเข้าแจ้งข้อกล่าวหาก่อการร้ายแก่นายยงยุทธ และนัดหมายให้นายยงยุทธมารายงานตัวยังศาลอาญาในวันรุ่งขึ้น เนื่องจากดีเอสไอเดินเรื่องขอควบคุมตัวต่อไม่ทัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายยงยุทธได้เดินทางมายังศาลและถูกควบคุมตัวในห้องขังใต้ถุนศาลอาญา ระหว่างที่ดีเอสไอยื่นคำร้องขอควบคุมตัวนายยงยุทธด้วยข้อหาก่อการร้ายโดยระบุว่านายยงยุทธร่วมชุมนุมที่สี่แยกราชประสงค์ในฐานะการ์ดของเสธ.แดง มีการแย่งอาวุธปืนจากทหารจึงน่าเชื่อว่าเป็นกองกำลังติดอาวุธ ขณะที่ทนายของนายยงยุทธได้ร้องคัดค้านและขอให้ศาลไต่สวน ซึ่งศาลได้ไต่สวนในช่วงบ่ายวันเดียวกัน  
ตามคำให้การของนายยงยุทธ ระบุว่า ตนเองร่วมชุมนุมกับกลุ่ม นปก.ตั้งแต่ปี 51-52 โดยไปฟังปราศรัยเกือบทุกวัน และเมื่อมีการชุมนุมใหญ่ของ นปช.ในปี 53 ก็ไปชุมนุมด้วย โดยหลังจากมีการสลายการชุมนุม  ได้กลับมาใช้ชีวิตตามปกติ  และถูกจับกุมในวันที่ 29 มิ.ย. อย่างไรก็ตาม ยืินยันว่า ไม่เคยเป็นการ์ด นปช. และไม่เคยแย่งอาวุธปืนจากทหาร เขาระบุว่า เขาถูกคุมตัวจนครบกำหนด 7 วัน ต่อมา ศาลได้อนุญาตให้ปล่อยตัว โดยตนเองได้เบิกความต่อศาลว่าเป็นเพียงผู้ชุมนุม และยังมีภาระหนักต้องเลี้ยงดูภรรยาและหลานรวมแล้ว 15 ชีวิต ขณะที่ภรรยาขาไม่ดี เดินไม่ค่อยได้ เมื่อได้รับการปล่อยตัวจาก บก.ตชด. ตอนเที่ยงคืนนั้นได้นั่งแท็กซี่กลับบ้าน รู้สึกดีใจมาก โทรบอกภรรยาว่าจะได้กลับบ้าน ดีใจจนร้องไห้ เมื่อดีเอสไอมาแจ้งข้อกล่าวหาก็ยินยอมมาศาลเพราะคิดว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่คิดหลบหนี หากถูกดำเนินคดีข้อหาก่อการร้ายก็จะขอสู้คดี
อย่างไรก็ตาม ศาลได้มีคำสั่งให้ควบคุมตัวนายยงยุทธได้ตามที่ดีเอสไอร้องขอ โดยได้นำตัวนายยงยุทธไปคุมขังไว้ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

 

ด้านนายชาตรี ท้วมมี บุตรชายนายยงยุทธ กล่าวว่า รู้สึกเป็นห่วงพ่อมาก เนื่องจากอายุมากแล้วและไม่เคยมีชีวิตยากลำบากในเรือนจำ โดยปกติตนเองกับพ่ออยู่แยกกันเพราะพ่อมีครอบครัวใหม่ไปนานแล้ว ในอดีตพ่อทำงานเป็นลูกจ้างในโรงงานกระเบื้องเคลือบ ไม่เคยเป็นทหาร หรือเชี่ยวชาญการสู้รบใดๆ เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา ปัจจุบันก็มีอาชีพรับจ้างก่อสร้างเป็นรายวัน เมื่อมีคนมาจ้างก็ไปทำงาน ขณะที่ภรรยาใหม่ของพ่อเปิดร้านขายของเล็กๆ น้อยๆ อยู่บ้านกับหลานอีกนับสิบคน

 

ชาตรีกล่าวต่อว่า พ่อไปฟังปราศรัยที่สนามหลวงนานแล้วเพราะว่างงาน และชื่นชอบเสธ.แดงเป็นพิเศษ จากนั้นพ่อได้ขอติดตาม เสธ.แดง เป็นผู้รับใช้ใกล้ชิด ซึ่งตนเองก็เป็นห่วงเพราะพ่อสุขภาพไม่ดีนักแต่ไม่สามารถห้ามได้
ด้านนางบุญหลง สุวรรณกลาง ชาวบ้านที่ร่วมชุมนุมที่ราชประสงค์และมาให้กำลังใจนายยงยุทธที่ศาล กล่าวว่า รู้จักกับนายยงยุทธในที่ชุมนุม

 

“เจอกันโดยบังเอิญ ตอนนั้นรัฐบาลเพิ่งขอพื้นที่คืน โมโหมาก ก็โวยวายด่ารัฐบาลลั่นเลย เขาเป็นคนบอกว่าให้ใจเย็นๆ ซื้อน้ำมาให้กิน” บุญหลงกล่าว

 

นางบุญหลงกล่าวอีกว่า จากนั้นก็เห็นนายยงยุทธบ่อยๆ โดยเขาจะคอยเดินตาม เสธ.แดง เมื่อเสธ.แดงโดนยิง นายยงยุทธก็ยังมานั่งชุมนุมกับชาวบ้านกลุ่มตน ที่ผ่านมาไม่เคยเห็นนายยงยุทธจับอาวุธ มีแต่นั่งฟังการปราศรัยด้วยกัน หากจะเห็นเขาอยู่ในกลุ่มการ์ด เขาก็มักจะทำหน้าที่ต้อนรับผู้คนใหม่ๆ ที่มาร่วมชุมนุม และคอยบอกคนอื่นๆ ว่าให้สุภาพกับผู้ชุมนุมในการตรวจกระเป๋า
นางบุญหลงกล่าวอีกว่า ตนเองพลัดหลงกับนายยงยุทธในวันที่ 19 พ.ค. โดยนายยงยุทธได้เข้าไปหลบในวัดปทุมฯ จากนั้นวันที่ 20 พ.ค.ทราบว่านายยงยุทธถูกตำรวจควบคุมตัวไปสอบปากคำที่ สน.ปทุมวัน เป็นการซักถามธรรมดาและถ่ายรูปเก็บประวัติก่อนจะปล่อยตัว

 

ก่อนหน้านี้นายยงยุทธ เคยให้สัมภาษณ์ว่า เขาเป็นผู้ติดตาม เสธ.แดง มามากว่า 3 ปีแล้ว โดยเริ่มต้นเข้าร่วมการชุมนุมที่สนามหลวงตั้งแต่ยังเป็น นปก. จากนั้นได้สมัครเข้าเป็นนักรบพระเจ้าตากรุ่นแรก ทำการฝึกกับเสธ.แดง 39 วันที่สนามหลวง และเริ่มติดตามเสธ.แดงนับแต่นั้น คอยติดตามไปทุกที่ ในช่วงชุมนุมก็ติดตามเสธ.แดง ซึ่งคอยตระเวนเยี่ยมตามด่านต่างๆ ของคนเสื้อแดงโดยตลอด แต่นายยงยุทธไม่ได้เข้าร่วมเป็นการ์ด นปช.แต่อย่างใด
ยงยุทธกล่าวต่อว่า เขาอยู่กับ เสธ.แดง ตลอดแม้แต่วันที่โดนยิง โดยเขานำตัวเสธ.แดงส่งโรงพยาบาลอย่างทุลักทุเล หลังจากลาเสธ.แดงแล้วก็ตัดสินใจเข้ามาร่วมชุมนุมอีกในฐานะผู้ชุมนุมปกติ จนกระทั่งวันที่ 19 พ.ค.ที่มีการสลายการชุมนุมก็ได้หลบเข้าไปอยู่ในวัดปทุมฯ ด้วยเพราะเกิดเหตุการณ์รุนแรงออกจากพื้นที่ไม่ได้ จนกระทั่งตำรวจมารับตัวไปที่ สน.ปทุมวัน มีการสอบปากคำเกี่ยวกับเหตุการณ์โดยทั่วไปและถ่ายรูป หลังจากนั้น 2 วัน จึงมีหมายจับไปติดที่บ้าน แต่เขาไม่อยู่บ้าน จากนั้นวันที่ 29 มิ.ย.ได้เดินทางไปพรรคเพื่อไทยและได้ค่ารถ 200 บาท ขากลับถูกจับบริเวณสี่แยกไฟแดงหัวลำโพง โดยตำรวจนอกเครื่องแบบ4-5 นาย ก่อนจะถูกนำตัวมาไว้ยัง บก.ตชด.
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ศาลตัดสินปล่อยตัวหนุ่มอังกฤษเสื้อแดง พ้นผิดก่อการร้าย-วางเพลิง

Posted: 08 Jul 2010 12:55 AM PDT

<!--break-->

 

สำนักข่าวเอพีรายงานความคืบหน้ากรณีศาลไทยตัดสินคดีนายเจฟฟ์ ซาเวจ ชาวอังกฤษ อายุ 48 ปี ซึ่งถูกจับกุมหลังตำรวจไทยพบหลักฐานเป็นคลิปวิดีโอที่นายเจฟฟ์ขู่ว่าจะก่อจลาจลและเผาทุกอย่างให้วอดในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงในไทยเมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา โดยผู้พิพากษา ยุทธนา ไสวสุวรรณวงศ์ ตัดสินว่านายเจฟฟ์รอดพ้นความผิดในข้อหาวางเพลิงและก่อการร้าย แต่มีความผิดข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พร้อมตัดสินลงโทษจำคุกเป็นเวลา 3 เดือน แต่เนื่องจากนายเจฟฟ์มิได้มีสัญชาติไทยและไม่มีส่วนได้ส่วนเสียจากความขัดแย้งทางการเมืองไทย จึงลดโทษเหลือกึ่งหนึ่ง แต่นายเจฟฟ์ถูกควบคุมตัวในเรือนจำมาแล้วระยะหนึ่ง จึงตัดสินให้ปล่อยตัวทันที ทำให้นายเจฟฟ์ถึงกับร่ำไห้ทันทีที่ได้ฟังคำตัดสินและบอกกับผู้สื่อข่าวเอพีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องมหัศจรรย์และประเทศไทยมีความยุติธรรม แต่อยากให้ความยุติธรรมได้เกิดกับทุกคนในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นผู้เสียชีวิต คนเสื้อแดง หรือแม้แต่พวกเสื้อเหลือง

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจะควบคุมตัวนายเจฟฟ์อีกประมาณ 4 วันทำการ จากนั้นจึงจะดำเนินการส่งตัวกลับอังกฤษ และสถานทูตอังกฤษประจำประเทศไทยจะประสานความร่วมมือกับทางตำรวจอีกแรงหนึ่ง

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เผยรายชื่อ 'ประเวศ' ตั้งกรรมการสมัชชาปฏิรูป 27 คน

Posted: 08 Jul 2010 12:29 AM PDT

<!--break-->

8 ก.ค. 2553 - เนชั่นทันข่าว รายงานเมื่อเวลา 12:18 น. ว่า ศ.นพ.ประเวศ วะสี ประธานกรรมการสมัชชาปฏิรูป ได้ลงนามแต่งตั้งคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปจำนวน 27 คน ประกอบด้วย
    1. นายกสมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย
    2. ประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย
    3. ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย
    4. ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
    5. ประธานสมาคมธนาคารไทย
    6. เลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
    7. นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์
    8. นายชัยวัฒน์ ถิระพันธ์
    9. ผศ.ชิดชนก ราฮิมมูลา
    10. นายณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ
    11. นายต่อพงษ์ เสลานนท์
    12. นางเตือนใจ ดีเทศน์
    13. รศ.นิพนธ์ พัวพงศกร
    14. นายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
    15. นายปรีดา คงแป้น
    16. นายปรีดา เตียสุวรรณ
    17. นางเปรมฤดี ชามภูนท
    18. นายพลเดช ปิ่นประทีป
    19. นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
    20. นายมานิจ สุขสมจิตร
    21. นายรัชฏะ ศรีบุญรัตน์
    22. นางเรวดี ประเสริฐเจริญสุข
    23. นายวิชัย โชควิวัฒน
    24. นายสน รูปสูง
    25. นายสมพร ใช้บางยาง
    26. นางสาวสารี อ๋องสมหวัง
    27. นายเอ็นนู ซื่อสุวรรณ

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ชาวบ้านเสนอให้ที่ว่าการ อ.กัลยาณิวัฒนา ติดรูปไก่

Posted: 08 Jul 2010 12:13 AM PDT

ผอ.รร.สหมิตรวิทยาใน อ.กัลยาณิวัฒนา เผยชาวบ้านต้องการให้ติดรูปไก่ที่ตัวอาคารที่ว่าการอำเภอ เพื่อให้เห็นว่าเป็นที่อยู่ของชาวปกาเกอะญอ ชี้ที่ผ่านมาอำเภอเรียกชาวบ้านมาเลือกแบบที่ราชการกำหนดมาแล้วจึงเกรงชาวบ้านขัดแย้งกันเพราะในอำเภอยังมีทั้งม้งและลีซู หวั่นอำเภอพัฒนาทางวัตถุรวดเร็วจนเจริญเหมือนเมืองปาย

<!--break-->

 


ป้ายแสดงสถานที่ก่อสร้างอาคารศูนย์ราชการอำเภอกัลยาณิวัฒนา เนื้อที่ 82 ไร่ โดยมีพื้นที่ป่าสนที่เห็นเบื้องหลังอยู่ล้อมรอบสถานที่ดังกล่าว


ถนนสี่เลนที่ตัดผ่านหน้าสถานที่ก่อสร้างที่ว่าการอำเภอกัลยาณิวัฒนา โดยขณะนี้ยังเป็นถนนลูกรัง ทั้งนี้  อ.กัลยาณิวัฒนา เป็นอำเภอลำดับล่าสุดของ จ.เชียงใหม่ ตั้งเมื่อ 26 ธ.ค. 2552 ที่ผ่านมา
 
 

 

เมื่อวันที่ 3 ก.ค.53 ที่ผ่านมา ที่ ต.บ้านจันทร์ อ.กัลยาณิวัฒนา จ.เชียงใหม่ ได้มีการจัดประชุมเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ "สภาแอะมือเจะคี" ว่าด้วยเรื่องการสร้างที่ทำการอำเภอกัลยาณิวัฒนาแห่งใหม่ โดยมีชาวบ้านใน อ.กัลยาณิวัฒนา เข้าร่วมแสดงความคิดเห็นการพัฒนาอำเภอให้ควบคู่ไปกับวัฒนธรรมและประเพณีของชาวบ้าน

โดยนายประวิทย์ สุริยมณฑล ผู้อำนวยการโรงเรียนสหมิตรวิทยาที่ตั้งอยู่ อ.กัลยาณิวัฒนากล่าวว่า ปัญหาหลักในการสร้างที่ว่าการอำเภอในขณะนี้คือชาวบ้านปกาเกอะญอต้องการให้ติดรูปไก่ ที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของตัวอาคารที่ว่าการอำเภอ เพื่อแสดงให้เห็นว่าบริเวณนี้เป็นที่อยู่ของกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ และเพื่อให้ลูกหลานรุ่นหลังระลึกถึง

แต่เมื่อวันที่ 22 มิ.ย.ที่ผ่านมา ทางปลัดอำเภอได้มีการเรียกประชุมชาวบ้านเพื่อพิจารณาเลือกรูปแบบของที่ทำการอำเภอ แต่ไม่ได้รับฟังความคิดเห็นของชาวบ้านเลย โดยตนเห็นว่าเมื่ออำเภอกัลยานิวัฒนาเป็นอำเภอที่มีความพิเศษแตกต่างจากอำเภออื่นของประเทศไทย จึงควรมีอะไรที่พิเศษของที่ว่าการอำเภอเช่นกัน

นายประวิทย์กล่าวต่อว่า ในการที่ทางภาครัฐเรียกประชุมเมื่อวันที่ 22 มิ.ย.นั้น ในหนังสือที่แจ้งมา ได้ระบุว่าเป็นการประชุมเพื่อพิจารณาเลือกแบบของที่ว่าการอำเภอ แต่เมื่อมีการประชุมกลับเป็นการลงคะแนนเสียงเพื่อเลือกรูปแบบที่หน่วยงานของภาครัฐกำหนดขึ้นให้เหมือนกันทุกที่ และได้มีการเรียกชาวบ้านหลายๆ ชนเผ่ามาลงคะแนนเพื่อเลือกแบบ ทำให้ชาวบ้านเกิดความขัดแย้งกัน เพราะในพื้นที่ของ อ.กัลยาณิวัฒนา มีชนเผ่าอยู่ 3 ชนเผ่า อันประกอบด้วย ลีซู 1 หมู่บ้าน ม้ง 2 หมู่บ้าน และปกาเกอญอกว่าร้อยละ 90 ซึ่งชาวบ้านส่วนใหญ่ของอำเภอนี้

“ชาวปกาเกอญอ ต้องการเพียงให้มีสัญลักษณ์ของชนเผ่าตน ไม่ได้ต้องการให้มีการเปลี่ยนรูปแบบของตัวอาคารทั้งหมด ซึ่งชนเผ่าม้งและลีซูหากมีความต้องการให้มีสัญลักษณ์ของชนเผ่าก็สามารถทำได้ เพราะบริเวณที่ตั้งของที่ว่าการอำเภอมีพื้นที่ถึง 82 ไร่ และไม่ได้มีเฉพาะอาคารทำการเท่านั้น แต่ยังน่าจะมีหอประชุมและอาคารอื่นๆ มากมาย”

นายประวิทย์กล่าวอีกว่า ชาวปกาเกอญอไม่ได้ต่อต้านการตั้งพื้นที่นี้เป็นอำเภอแต่อย่างใด แต่ต้องการให้การพัฒนาที่เข้ามาในบริเวณพื้นนี้ เป็นการพัฒนาที่ควบคู่ไปกับจารีตประเพณีของชาวบ้านด้วย เพราะเราก็ต้องการให้บ้านเกิดของตนมีการพัฒนาเหมือนกัน แต่หากการพัฒนานี้ทำให้วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านเปลี่ยนแปลงไป ตนซึ่งเป็นชาวบ้านบ้านคนหนึ่งก็คงทำใจได้ยาก ที่จะเห็นลูกหลานของตนทิ้งวัฒนธรรมความเป็นอยู่ที่เรียบง่ายไม่วุ่นวายตามวิถีชองชาวปกาเกอญอ

เรามีบทเรียนที่ชัดเจนของการพัฒนาพื้นที่ให้มีความเจริญหลั่งไหลเข้ามาอย่างรวดเร็วแล้ว คือเมืองปาย จ.แม่ฮ่องสอน ที่มีการพัฒนาทางวัฒถุอย่างรวดเร็ว มีนายทุนมาจับจองพื้นที่ ทำให้ชาวบ้านเสียวิถีชีวิตความเป็นอยู่เดิม พื้นที่ อ.กัลยาณิวัฒนา ก็เช่นกันหากให้การพัฒนาเข้ามาอย่างรวดเร็วจนไม่คำนึงถึงจารีตประเพณีและวัฒนธรรมความเป็นอยู่เดิมของชาวบ้านแล้ว อีกไม่นานทรัพยากรที่ชาวบ้านเฝ้าคอยดูแลกว่า 300 ปี คงเสื่อมโทรมในอีกไม่กีสิบปี นายประวิทย์กล่าว

สำหรับ อ.กัลยาณิวัฒนา เป็นเขตการปกครองระดับอำเภอลำดับที่ 25 ของ จ.เชียงใหม่ จัดตั้งเมื่อ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2552 ประกอบด้วยสามตำบลที่แยกออกมาจาก อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ ได้แก่ ต.แจ่มหลวง ต.บ้านจันทร์ ต.แม่แดด มีพื้นที่รวม 674.58 ตารางกิโลเมตร มีประชากรราว 1 หมื่นคนส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 90 เป็นชาวปกาเกอะญอหรือชาวกะเหรี่ยง รองลงมาเป็นชาวม้ง และลีซู โดยแต่เดิมชาวปกาเกอะญอเรียกดินแดนที่เป็นพื้นที่ อ.กัลยาณิวัฒนา ในภาษาปกาเกอะญอหรือภาษากะเหรี่ยงว่า "มือเจะคี"

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น