โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันเสาร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

"สมศักดิ์ โกศัยสุข" นั่งหัวหน้าพรรค "การเมืองใหม่" แทนสนธิ

Posted: 03 Jul 2010 01:03 PM PDT

พรรคการเมืองใหม่ประชุมใหญ่วิสามัญเลือกกรรมการบริหารและหัวหน้าพรรคแทน "สนธิ ลิ้มทองกุล" มีผู้ได้รับเสนอชื่อชิงตำแหน่ง 6 คน คือสมศักดิ์-สุริยะใส-ประพันธ์-อัญชะลี-พล.ร.ท.ประทีป-พล.อ.กิตติศักดิ์ ปรากฏว่าทุกคนถอนตัวหมดยกเว้น "สมศักดิ์ โกศัยสุข" ก่อนที่จะมีการลงคะแนนรับรองสมศักดิ์เป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ด้วยคะแนนท่วมท้น เจ้าตัวลั่นนำพาพรรคการเมืองใหม่ให้เข้มแข็งพร้อมสานต่ออุดมการณ์พันธมิตรฯ

<!--break-->

ASTVผู้จัดการออนไลน์ รายงานเมื่อวานนี้ (3 ก.ค.) ว่า ที่อาคารนิมิบุตร ภายในสนามกีฬาแห่งชาติ พรรคการเมืองใหม่ได้จัดประชุมใหญ่วิสามัญครั้งที่ 1/2553 เพื่อเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ซึ่งรวมทั้งหัวหน้าพรรคคนใหม่แทนนายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่ลาออกจากสมาชิกและหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ตั้งแต่วันที่ 14 พ.ค.2553 ที่ประชุมได้เสนอชื่อผู้เข้าแข่งขันรวมทั้งสิ้น 6 คน ประกอบด้วยนายสมศักดิ์ โกศัยสุข,นายสุริยะใส กตะศิลา,นายประพันธ์ คูณมี,พล.อ.กิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ,น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก,พล.ร.ท.ประทีป ชื่นอารมย์ ซึ่งปรากฏว่าทุกคนถอนตัวยกเว้นนายสมศักดิ์ ซึ่งที่ประชุมได้ลงคะแนนลับ รับรองนายสมศักดิ์เป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ด้วยคะแนนท่วมท้น
      
จากนั้นที่ประชุมได้เลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคอีก 24 คน โดยส่วนแรก 12 คน เป็นกรรมการที่หัวหน้าพรรรคนใหม่เสนอให้ที่ประชุมลงคะแนนรับรองประกอบด้วย 1)นายพิเชฏฐ พัฒนโชติ เป็นรองหัวหน้าพรรค 2)นางภินันทน์ โชติรสเศรณี รองหัวหน้าพรรค 3)นายเทิดภูมิ ใจดี รองหัวหน้าพรรค 4)นายสำราญ รอดเพชร รองหัวหน้าพรรคและโฆษกพรรค 5)นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรค 6)นายศรัณยู วงษ์กระจ่าง รองเลขาธิการพรรค 7)นางสาวเสน่ห์ หงษ์ทอง นายทะเบียนสมาชิกพรรค 8)นางสาวสุวันนี ไวสีแสง เหรัญญิกพรรค 9)นางกิมอัง พงษ์นารายณ์ กรรมการ 10)นายบรรจง นะแส กรรมการ 11)นายอัศวัชร์ อภัยวงศ์ กรรมการ 12) ดร.สมบัติ เบญจศิริมงคล

หลังจากนั้น ที่ประชุมได้ลงมติเลือกกรรมการในส่วนที่สมาชิกเสนออีก 12 คน จากที่เสนอทั้งหมด 17 คน โดยผู้ที่ได้รับการคัดเลือก 12 คนประกอบด้วย 1) พลเอกกิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ 2) นางทัศนีย์ บุญประสิทธิ์ 3) นายประเสริฐ เลิศยะโส 4) พันเอกไพโรจน์ นิยมพันธุ์ 5)นายพิชิต ไชยมงคล 6) นางสาวอาภารัตน์ ชาติชุติกำจร 7)นายทศพล แก้วธิมา 8) นายรังษี ศุภชัยสาคร 9) นางนิตยา กุระคาน 10) นายณัฐดิษฐ์ นันท์วิมลวุฒิ 11)นายอมรเทพ อมรรัตนานนท์ 12) นายสราวุธ นิยมทรัพย์

นายสมศักดิ์ได้กล่าวขอบคุณที่ประชุมพร้อมประกาศว่ากรรมการบริหารพรรคชุดใหม่คือผู้อาสานำพาพรรคให้เข้มแข็งรองรับการขับเคลื่อนการเมืองใหม่ โดยโครงสร้างและปรัชญาการทำงานของพรรคนั้น พรรคจะยังมีทีมงานในส่วนที่ลงสมัครรับเลือกตั้งและส่วนที่พร้อมจะทำงานบริหารประเทศ ซึ่งทั้งส่วนที่จะเป็น ส.ส.และผู้บริหารประเทศในอนาคตจะต้องนำข้อเสนอเรียกร้อง อุดมการณ์เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ของสมาชิกพรรคและพี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไปปฏิบัติให้เป็นจริงในทุกด้าน เช่น ด้านเศรษฐกิจที่มีปัญหารวยกระจุกจนกระจาย,ปัญหาการเสียเอกราชดินแดน,ปัญหา การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ,ปัญหาการศึกษา,ปัญหาโครงสร้างตำรวจและการบังคับใช้กฎหมายที่ล้มเหลว เป็นต้น

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ศอฉ.ออกหมายเรียกพยานปากเอกหน่วยกู้ภัย ‘วสันต์ แสงรัศมี’

Posted: 03 Jul 2010 02:44 AM PDT

<!--break-->


เมื่อวันที่ 2 ก.ค.53 เว็บไซต์ข่าวสดรายงานว่า นายวสันต์ หรือเก่ง แสงรัศมี เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ชีพ ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมอาสาพยาบาลที่ติดอยู่ภายในวัดปทุมวนาราม เมื่อวันสลายม็อบแดง 19 พ.ค. เปิดเผยว่า ขณะนี้ตนได้รับแจ้งจากญาติพี่น้องที่พักอาศัยอยู่ภายในซอยประชาอุทิศ 29 ว่าบริเวณหน้าบ้านพักหลังดังกล่าวได้มีหมายเรียกของศูนย์อํานวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ติดไว้ที่ประตูบ้านพัก โดยติดไว้ตั้งแต่วันที่ 28 มิ.ย.ที่ผ่านมา มีข้อความระบุว่า ให้ตนไปรายงานตัวที่ศอฉ. แต่ไม่ระบุวันนัดหมาย พร้อมกับลงชื่อท้ายหมายว่าเป็นคำสั่งของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานศูนย์อํานวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) และข้อความห้ามดึงออก

นายวสันต์ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาตนไม่เคยทําอะไรที่ผิดกฎหมาย แต่ที่เข้าไปอยู่ภายในวัดปทุมวนารามในวันนั้น เนื่องจากเข้าไปช่วยเหลือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตที่อยู่ในวัด ยืนยันว่าตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับเหตุรุนแรงในพื้นที่ และไม่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมนปช. ซึ่งในใจตนคิดว่าการที่ศอฉ.นําหมายมาแปะที่หน้าบ้านเพื่อเรียกตนไปพบนั้น ก็เพื่อต้องการให้ตนเป็นพยานในคดีต่างๆ เพราะไม่รู้หาวิธีไหนเชิญตนไปพบ เพราะไม่มีความผิด และขณะนี้ตนต้องอยู่แบบหวาดผวา หวาดกลัวต้องหลบๆ ซ่อนๆ ไปตามสถานที่ต่างๆ และตนจะไม่เดินทางไปพบแน่ นอนเพราะไม่ได้ผิดอะไร

 
สำหรับนายวสันต์ หรือเก่ง เป็นหน่วยกู้ชีพที่ออกมาทวงความยุติธรรมให้ น.ส.กมลเกด อัดฮาด นายมงคล เข็มทอง และนายอัครเดช ขันแก้ว เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ชีพและพยาบาลอาสาที่ถูกยิง 3 ศพในวัดปทุมวนาราม และอีก 1 ศพคือนายมานะ แสนประเสริฐศรี ที่บ่อนไก่ และยังเป็นคนที่ยืนยันว่าในวันรุ่งขึ้นที่พ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เข้าไปชันสูตรศพน.ส.กมนเกดในเบื้องต้น พบว่ามีหัวกระสุนติดอยู่ที่บาดแผลบริเวณหน้าท้องของน.ส.กมนเกด

วันเดียวกัน ที่ศาลาประชาคม ภายในชุมชนบ่อนไก่ นางมาลี แสนประเสริฐศรี มารดา นายมานะ หรือเบิร์ด แสนประเสริฐศรี อายุ 25 ปี เจ้าหน้าที่กู้ภัยมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งที่ถูกยิงศีรษะเสียชีวิตขณะเข้าไปช่วยเหลือผู้บาดเจ็บจากการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง ได้จัดพิธีทําบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ลูกชายที่ครบรอบการเสียชีวิต 49 วัน มีบรรดาเจ้าหน้าที่กู้ภัยป่อเต็กตึ๊ง และผู้ที่เคยติดอยู่ภายในวัดปทุมฯและที่เคยร่วมชุมนุมอยู่บริเวณบ่อนไก่ มาร่วมงานกว่า 100 คน รวมทั้งน.ส.นวรัตน์ ฤกษ์มงคลรุจ อายุ 20 ปี แฟนสาวนายมานะ โดยเจ้าหน้าที่มูลนิธิได้จัดบอร์ดแสดงภาพเหตุการณ์สลายม็อบของรัฐบาล และภาพนายมานะที่ถูกยิงเสียชีวิต

น.ส.นวรัตน์กล่าวว่า ตนกับพี่มานะคบหากันมากว่า 2 ปี และเขาเป็นคนที่ชอบช่วยเหลือผู้เดือดร้อน นิสัยดี และเป็นคนขยันทุกวันเขาจะออกไปขับแท็กซี่ที่ซื้อไว้เกือบทุกวัน และเวลามีเหตุก็จะให้ผู้โดยสารลง ส่วนตัวเองก็ไปช่วยเหลือทันที โดยไม่คิดเงินลูกค้า และช่วงที่อยู่ด้วยกันตนยังเคยออกไปกู้ภัยกับเขาด้วย แต่พอมาช่วงหลังที่มีม็อบไม่ได้ไป เพราะพี่มานะไม่ให้ไป บอกว่ามันอันตราย ก่อนหน้าที่พี่มานะเสียชีวิตขณะนั้นอยู่กับตนในร้านเกมหลังโลตัส พระราม 4 ระหว่างนั้นพี่มานะเอามือมาจับแก้มตน และตนก็ได้กลิ่นเหม็นเน่าทั้งๆที่พี่มานะเพิ่งอาบน้ำมา ไม่นานพี่มานะก็หอมแก้มตนและก็ออกไปทำงานเพราะมีเหตุยิงกันที่บ่อนไก่ เหมือนเป็นลางบอกเหตุ หลังจากหายไปนานหลายชั่วโมงจนเกือบค่ำ ตนได้โทร.หาพี่มานะก็มีคนรับสายแทนบอกว่าพี่มานะตายแล้ว ตนตกใจมากรีบไปที่โรงพยาบาลทันที ตนเสียใจและเศร้าใจมาก ความจริงพี่มานะบอกตนว่าหากผ่อนรถแท็กซี่หมด ก็จะเก็บเงินสักก้อนมาขอตนแต่งงาน และสร้างบ้านอยู่ด้วยกัน แต่ต้องมาเสียชีวิตเสียก่อน

วันเดียวกัน นายวุฒิกร อินทรภูวศักดิ์ ผู้ช่วยรมต.ประจำกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) เป็นประธานพิธีมอบเงินเยียวยาช่วยเหลือผู้ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ความไม่สงบ ตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค. จำนวน 71 ราย แบ่งเป็นผู้เสียชีวิต 5 ราย และผู้บาดเจ็บ 66 ราย รวมเป็นเงิน 5 ล้านบาท

โดยนายวุฒิกร กล่าวว่า เงินช่วยเหลือที่มอบให้ผู้เสียหายในวันนี้มีจำนวนทั้งสิ้น 71 ราย รวมเป็นเงิน 5 ล้านบาท โดยแบ่งจ่ายตามระยะเวลาที่เข้าพักรักษาตัว ที่ระบุในหลักเกณฑ์การช่วยเหลือผู้ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ความไม่สงบ โดยพม.ได้มอบเงินเยียวยาให้ผู้เสียหายไปแล้ว 12 ครั้ง รวมครั้งนี้ด้วยเป็น 1,381 ราย เป็นเงิน 70,743,209 บาท

วันเดียวกัน นางสุวณา สุวรรณจูฑะ อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ได้มอบหมายให้นายสุทิพย์ ไชยเดช นิติกรปฏิบัติการ และเจ้าหน้าที่กรมคุ้มครองฯ เดินทางมาชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีนายพงศ์พิชาญ ธนาถิรพงศ์ อายุ 47 ปี โชเฟอร์แท็กซี่เหยื่อปืน ให้สัมภาษณ์ว่าค่าสินไหมทดแทนที่ร้องขอถูกตัดออกจากวาระการประชุมคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญาในวันนี้ 29 มิ.ย. ที่ผ่านมา จนเกิดควมเครียดปีนขึ้นบันไดชั้น 8 ขู่ฆ่าตัวตาย

นายสุทิพย์ กล่าวว่า ขอชี้แจงว่าคณะกรรมการพิจารณาฯ ต้องตรวจสอบพิจารณาตามลำดับเรื่องที่ร้องขอเข้ามา โดยเรื่องที่นายพงศ์พิชาญร้องเข้ามาในวันที่ 21 พ.ค. อยู่ในลำดับที่ 62 จึงยังไม่ได้เข้าวาระการประชุม เนื่องจากอยู่ในขั้นตอนรวบรวมหลักฐานว่ามีคุณสมบัติตามที่ พ.ร.บ. ค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544 กำหนดไว้หรือไม่ โดยนายพงศ์พิชาญให้การว่าโดนยิงประมาณ 5 ทุ่ม ขณะเดินอยู่บริเวณถ.ราชปรารภเพื่อไปทำธุระ จากนั้นมีเสียงปืนดังขึ้น และเห็นแสงเลเซอร์สีฟ้าพุ่งมาบริเวณหน้าผาก จึงยกแขนขึ้นมาบังและรู้สึกว่าแขนข้างซ้ายถูกยิงจนเลือดไหล จึงหลบเข้าข้างกำแพงและนั่งรถจักรยานยนต์ออกมา ก่อนมีคนมาช่วยนำตัวส่งโรงพยาบาล มีความขัดแย้งกับที่ให้สัมภาษณ์ในหนังสือพิมพ์ว่าโดนยิงประมาณ 5 ทุ่ม ขณะไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดง บริเวณหน้าปั๊มเอสโซ่ ซ.รางน้ำ ถ.ราชปรารภ

"การที่กรรมการพิจารณาฯ จะอนุมัติจ่ายเงินซึ่งเป็นเงินหลวงแก่ใคร จำเป็นต้องตรวจสอบหลักฐานทั้งจากตำรวจ โรงพยาบาล และพยานแวดล้อม ให้แน่ชัดเพื่อนำมาประกอบกับกฎ หมายตามพ.ร.บ.ฯ มาตราที่ 3 ที่ระบุว่าผู้เสียหายหมายความว่า บุคคลซึ่งได้รับความเสียหายถึงแก่ชีวิตหรือร่างกายหรือจิตใจ เนื่องจากการกระทำความผิดทางอาญาของผู้อื่น โดยตนมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดนั้น ร่วมกับรายการท้ายพ.ร.บ.ฯ ลักษณะ 10 ความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกาย หมวด 1 ความผิดต่อชีวิต มาตรา 288 ถึง 294 และหมวด 2 ความผิดต่อร่างกาย มาตรา 295 ถึง 300 ประกอบกัน ซึ่งถ้าเป็นตามที่ผู้ร้องได้ให้สัมภาษณ์ก็ถือเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด และผิดหลักเกณฑ์การร้องขอดังกล่าว" นิติกรปฏิบัติการ กล่าว

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ธเนศวร์ เจริญเมือง: ประชาธิปไตย 2 ระดับในสังคมไทย

Posted: 02 Jul 2010 11:59 PM PDT

<!--break-->

 
 
“หากไม่มีการปฏิวัติในวันนั้น (19 กันยา) ณ วันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็คงเป็นนายกฯ...คงรวยเป็นล้านล้านติดอันดับผู้ร่ำรวยที่สุดในโลก... ส.ส.พรรคไทยรักไทย...คงทำทุกอย่างเพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ องค์กรอิสระถูกพันธนาการด้วยทรัพย์สิน และ พ.ต.ท.ทักษิณ คงใหญ่คับฟ้า...
ประเทศจะเป็นอย่างไร...คงจะยากจนไม่มีเงินคงคลัง...คงเกิดเหตุนองเลือดของคนไทยด้วยกันเองก่อน..หากมองว่าประเทศเป็นเช่นนี้เพราะรัฐประหารของคณะปฏิรูป... ก็ไม่เป็นธรรม (เพราะ) คณะปฏิรูปใช้ความกล้าหาญในการปฏิวัติและสิ่งที่ทำในวันนั้นถือว่าถูกต้อง หาก คมช. ไม่ทำในวันนั้นประเทศจะเลวร้ายกว่าที่เป็นอยู่นี้...การปฏิวัติเป็นแนวทางที่ถูกต้อง แต่อาจจะมีจุดอ่อนบ้าง
เพราะเราไม่ได้หวังครองอำนาจ หวังแค่มาแก้ปัญหาเท่านั้น มีการมอบอำนาจให้รัฐบาลบริหารประเทศ โดยไม่เข้าไปก้าวก่ายกันใดๆเลย....
                                                 
พล.อ. สมเจตน์ บุญถนอม หัวหน้าสำนักงานเลขาธิการ
             คณะรัฐประหาร 19 กันยา มติชนรายวัน 19 กันยายน 2552 น. 11
 
“3 ปีที่ผ่านมาคงต้องบอกว่าน่าสงสารประเทศไทย มันเกิดภาวะความขัดแย้งกันในด้านการเมือง
ขณะเดียวกัน เราเผชิญกระแสเศรษฐกิจโลกซึ่งมีปัญหามาก...ปัจจัยภายในเรื่องความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองและความสามัคคีของคนในชาติเป็นสิ่งสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย...ภาคธุรกิจ นักธุรกิจยังมีความหวัง ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นในประเทศไทย เราก็อยู่ไม่หนีไปไหน เรายังคงรักประเทศไทย ตายที่ประเทศไทย พวกเราต้องช่วยกันทำ ช่วยกันแก้...
 
ดุสิต นนทะนาคร, ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย
 มติชนรายวัน19 กันยายน 2552 น. 11
 
“หลักในการปกครองประเทศมี 2 อย่างสำคัญ คือ..1. การยึดถือหลักกฎหมาย กฎเกณฑ์เพื่อ
สร้างความเป็นธรรม 2…เรื่องปากท้อง นักการเมืองเข้ามาบริหารประเทศต้องดูแลประชาชน...
ในช่วงปลายรัฐบาลทักษิณ หากอดใจรอไม่ทำการรัฐประหาร อีกไม่นาน พ.ต.ท.ทักษิณก็อยู่
ไม่ได้ด้วยตัวเอง เพราะปัญหารุมเร้ามากมาย...แต่คนไทยใจร้อน สุดท้ายยิ่งเป็นการซ้ำเติมวิกฤต
                                                                                   
คณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุด
            มติชนรายวัน 19 กันยายน 2552 น. 11
 
 
“1. รัฐประหารได้แก้ปัญหาเก่าที่มีอยู่ในสังคมหรือไม่ 2. ได้แก้ปัญหาตามที่อ้างไว้ในเหตุผล
ในการรัฐประหารหรือไม่ และ 3. ได้สร้างปัญหาใหม่ขึ้นมาในสังคมหรือไม่...ประชาธิปไตยก่อนหน้ารัฐประหารได้สะท้อนความต้องการของประชาชน แต่ไม่สามารถจัดการปัญหาการคอร์รัปชั่นได้ แต่อำนาจรัฐประหารก็ไม่สามารถจัดการปัญหาการคอร์รัปชั่นได้เช่นกัน... แต่สิ่งที่ตามมาจากรัฐประหารครั้งนี้ทำให้เกิดเรื่องใหญ่ 2 เรื่อง คือ 1. การวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์ องคมนตรีและศาลเพิ่มขึ้น...สิ่งที่ตามมาก็คือ การปิดเว็บไซต์และดำเนินคดีเกี่ยวกับการหมิ่นมากขึ้น 2. เกิดปัญหาการตีความเรื่องความยุติธรรมเกิดประเด็นสองมาตรฐาน... ก่อนรัฐประหารมีการครอบงำสื่อ แต่รัฐประหาร สื่อก็เอาด้วยกับฝ่ายรัฐประหาร ไม่นำเสนอข่าวด้านอื่นมากนัก จนเกิดความขัดแย้งระหว่างเสื้อเหลืองกับเสื้อแดงเราเคยโทษว่า พ.ต.ท.ทักษิณใช้บริษัทซื้อโฆษณาสื่อ ปัจจุบัน รัฐบาลก็ซื้อโฆษณาผ่านสื่อ...
 
ดร.พิชญ์ พงศ์สวัสดิ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
                                                 มติชนรายวัน 19 กันยายน 2552 น. 11
 
“หลังรัฐประหาร ทักษิณ และ “ระบอบทักษิณ” ถูกขุดคุ้ยเบื้องหลังความเลวร้ายทั้งจริงและไม่จริงมาขยี้ขยายอย่างต่อเนื่อง เขาถูกอายัดทรัพย์... ถูกดำเนินคดีหลายคดีพรรคไทยรักไทยถูกยุบ...แต่ทักษิณสู้... ด้วยศักยภาพของเขาที่สั่งสมทั้งเงินทุนบารมีและศรัทธาจากประชาชนมานานกว่า 5 ปี สงครามระหว่างคนที่ไม่เอาทักษิณกับคนที่นิยมทักษิณจึงดุเดือดเลือดพล่าน และเผาผลาญความสงบสุขของประเทศไทยมาเป็นเวลา 3 ปีเต็ม...ความผิดพลาดที่สุดของ พล.อ.สนธิ และกลุ่มอำนาจที่ไม่เอาทักษิณ ก็คือทุกคนประเมินทักษิณต่ำไป... การใช้วิธีรัฐประหารก็เหมือนกับการเลื่อยต้นไม้ใหญ่ไม่ให้เกะกะสายตาแต่รากลึกของทักษิณทำให้ต้นไม้แห่งอำนาจของเขาเบ่งบานขึ้นอีกทักษิณ จึงฆ่าไม่ตาย...อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะและกลุ่มคนที่ไม่เอาทักษิณพยายามที่จะก้าวข้ามทักษิณ แต่ผ่านไป 3 ปี ไม่มีใครก้าวข้ามพ้นทักษิณ ได้เลย... 3 ปีหลัง 19 กันยายน 2549 นอกจากคนได้รู้ว่าเบื้องหลังการรัฐประหารครั้งนี้ ซับซ้อนกว่าที่เราคิดและคนที่ร่วมในขบวนการกำจัดทักษิณ มากกว่า พล.อ.สนธิ เพียงคนเดียว การรัฐประหารยังฉุดดึงประเทศไทยสู่ความแตกร้าวอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนไม่เคยมีครั้งใดที่คนไทยจะเกิดความขัดแย้งมากเท่าครั้งนี้สังคมแห่งรอยยิ้มกลายเป็นสังคมของความเกลียดชัง..... เวลา 3 ปีเต็มได้พิสูจน์แล้วว่าการรัฐประหารครั้งที่ผ่านมาคือความผิดพลาดที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย
                                                                       
บทความ “3 ปี 19 กันยา ก้าวข้ามแต่ไม่พ้นทักษิณ”
                                                                        มติชนสุดสัปดาห์. 18-24 กันยายน 2552 หน้า 9
 
 
 
1.
           
โลกยุคโลกานุวัตร (Globalization) ที่ดำเนินมาจนถึงขณะนี้ 19 ปีนับตั้งแต่สหภาพโซเวียต ล่มสลายและในเวลาไล่เลี่ยกันนั้นกำแพงเบอร์ลินที่กั้นกางเยอรมนีตะวันออกและตะวันตกก็พัง ทลายลง เปิดโอกาสให้ทั่วทั้งโลก (ยกเว้นเพียงบางประเทศเช่น เกาหลีเหนือ และคิวบา) หันไปใช้ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีร่วมกัน สิ่งหนึ่งที่ตามมากับระบบเศรษฐกิจที่เหมือนกันทั้งโลก (Global economy) ก็คือการสร้างมาตรฐานเดียวกันในการติดต่อค้าขายและลงทุนแต่ละด้าน และด้วยเหตุดังกล่าว ระบบการเมืองการปกครองในฐานะที่เป็นโครงสร้างส่วนบน (Superstructure) ที่บริหารจัดการระบบเศรษฐกิจในฐานะที่เป็นฐาน (Base) ก็ย่อมจะมีความมั่นคงด้วยในเชิงกติกาเหมือนๆ กัน เช่น รัฐบาลที่เข้ามาบริหารประเทศจะเปลี่ยนทุกๆ 4 หรือ 5 ปี นั่นหมายถึงอาจมีการเปลี่ยน แปลงนโยบายการเมืองและเศรษฐกิจทุกๆ ช่วงเวลาดังกล่าว ขึ้นอยู่กับว่าพรรคใดได้รับเลือกตั้งเป็นเสียงข้างมาก หรือเป็นรัฐบาลผสม พรรคใดผสมกับพรรคใด มีนโยบายเศรษฐกิจแบบใด [1]
แน่นอน ไม่มีใครทราบสิ่งเหล่านี้ได้อย่างชัดเจนว่านโยบายเศรษฐกิจและการเมืองจะเปลี่ยนไปอย่างไร แต่สิ่งที่แน่นอนคือ กติกาของแต่ละประเทศคล้ายคลึงกัน คือ นั่นคือ ระบอบการเมืองเป็นประชาธิปไตยเหมือนกัน เช่น
1. เป็นระบอบการปกครองที่ประชาชนทุกคนมีสิทธิ เสรีภาพเท่าเทียมกัน และทุกคนมีความเสมอภาคภายใต้กฎหมายเดียวกัน ไม่มีระบบอภิสิทธิชน
2. สังคมปกครองด้วยระบบกฎหมายที่นอกจากเคารพและคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพและความเสมอภาคของทุกคน ยังเกิดจากความเห็นชอบของคนส่วนใหญ่ และไม่อาจเปลี่ยนแปลงไปมาด้วยคนเพียงไม่กี่คนโดยมีการใช้กำลังบีบบังคับและทำลายกฎเกณฑ์ที่คนส่วนใหญ่ได้กำหนดไว้
3. เป็นระบอบการปกครองที่ถูกกำหนดโดยเสียงของคนส่วนใหญ่ และเนื่องจากมีประชา กรเป็นจำนวนมาก ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยจึงได้เกิดระบบตัวแทน เพื่อเข้าไปทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ซึ่งแตกต่างกันในแต่ละประเทศ บ้างมีการเลือกตั้งโดย ตรง บ้างก็โดยอ้อม ตัวแทนที่มาจากการเลือกตั้งทำหน้าที่แทนประชาชนมีวาระการทำงานที่ชัด เจนเพื่อให้ประชาชนได้คัดเลือกตัวแทนเข้าทำงานตามวาระ หากไม่พอใจก็ไม่เลือกอีก หรือผลัก ดันให้ต้องลาออกไปหรือเกิดการตรวจสอบจับกุมลงโทษก่อนวาระการดำรงตำแหน่งสิ้นสุดลง
นั่นคือระบบประชาธิปไตยแบบตัวแทน (Representative Democracy) และเนื่องจากสังคมในระยะหลังๆมีประชากรมากขึ้น และมีอาชีพที่หลากหลาย มีผลประโยชน์มากขึ้นและสลับซับ ซ้อนมากขึ้น ตัวประชากรเองก็มีความตื่นตัวมากขึ้น และสนใจปัญหาต่างๆมากขึ้น ระบบข่าว สารและการสื่อสารพัฒนาไปทั้งปริมาณ ความเร็ว ความสะดวกและรูปแบบที่หลากหลาย สมาชิกในสังคมจึงรับรู้และสนใจกิจการบ้านเมืองมากขึ้น ได้พัฒนาความเป็นพลเมืองที่เข้มแข็งและเข้าไปมีบทบาทในการกำหนดหรือผลักดันหรือคัดค้านนโยบาย การออกกฎหมาย ตลอดจนตรวจสอบการทำงานของนักการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐอย่างจริงจัง เรียกว่าประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม (Participatory Democracy) จะพบว่าโลกในระยะหลังๆ ประชาธิปไตยทั้งสองแบบได้เข้ามาเติมเต็มให้การเมืองมีประสิทธิภาพมากขึ้นและสามารถตอบสนองความต้องการของผู้คนได้มากขึ้น ไม่ใช่มีอย่างอื่นขาด ทิ้งอีกอย่างหนึ่ง แต่เป็นการนำเอาสิ่งที่เป็นระบบและสิ่งที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาทำงานร่วมกัน กระทั่งทำให้ส่วนที่อยู่นอกระบบมีบทบาทเพิ่มมากขึ้น และสามารถพัฒนาส่วนดังกล่าวให้เป็นระบบมากขึ้น
และ 4. รัฐโดยส่วนใหญ่มักแบ่งการบริหารออกเป็น 2 ระดับ คือ รัฐบาลกลางและการปกครองท้องถิ่น เนื่องจากปัญหาต่างๆมีความหลากหลายและสลับซับซ้อน รัฐบาลกลางจึงไม่อาจดูแลและรับผิดชอบกิจการทุกด้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ การที่ประชากรในแต่ละท้องถิ่นใกล้ชิดและรู้ปัญหาท้องถิ่นของตนเองดีกว่าคนนอก อีกทั้งมีความรู้สึกผูกพันกับท้องถิ่นของตนเอง การบริหารและจัดการท้องถิ่นโดยคนท้องถิ่นเองจึงมีความสำคัญ ด้วยเหตุดังกล่าว รูปแบบการบริหารประเทศจึงแบ่งออกเป็น 2 ระดับ และเป็นแบบประชาธิปไตยทั้งคู่ ส่วนรัฐบาลกลางจะควบคุมท้องถิ่น และกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นมากแค่ไหน ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองระดับเป็นแบบใดก็ขึ้นอยู่กับพัฒนาการทางประวัติศาสตร์และดุลกำลังของแต่ละระดับในแต่ละประเทศ [2]
ตัวอย่างเช่น อังกฤษเป็นรัฐ-ชาติที่เก่าแก่มีชุมชนเมืองและท้องถิ่นที่เข้มแข็งยาวนาน มีการต่อสู้ช่วงชิงกันระหว่างราชสำนัก ชนชั้นขุนนาง ภายหลังมีชนชั้นนายทุนและชนชั้นกลางเข้าร่วม มีการสร้างรัฐจักรวรรดิที่ยึดครองอาณานิคมทั่วโลก มีรายได้มากพอที่จะกระจายสู่ท้องถิ่น และยอมให้การปกครองท้องถิ่นมีความเป็นอิสระระดับหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรม เมืองและบริเวณรอบโรงงานอุตสาหกรรมได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว เกิดปัญหาชีวิตความเป็นของเมืองมากมาย ทำให้เกิดความจำเป็นในการปฏิรูปการบริหารจัดการท้องถิ่น ขณะที่สหรัฐสร้างประเทศจากชาวยุโรปที่อพยพหลบหนีระบอบอำนาจนิยมไปสร้างชุมชนใหม่ในทวีปใหม่ที่เปี่ยมด้วยอุดมการณ์แบบประชาธิปไตย จึงมีการปกครองตนเองในระดับท้องถิ่น และรวมตัวกันเป็น 13 รัฐที่ต่อสู้กับนโยบายล่าอาณานิคมของอังกฤษจนได้รับเอกราช การปกครองท้องถิ่นของชุมชนในสหรัฐจึงแข็งแกร่ง มีความเป็นอิสระสูง จากนั้นจึงรวมกันเป็นรัฐต่างๆและสร้างสหพันธรัฐขึ้นมา สหรัฐจึงไม่รู้จักคำว่ากระจายอำนาจ เพราะรัฐบาลกลางเกิดหลังท้องถิ่น และแต่ละรัฐรวมกันเป็นสหรัฐอเมริกาในเวลาต่อมา กล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ การปกครองท้องถิ่นที่เข้มแข็งเกิดก่อนการสร้างรัฐบาลกลางในภายหลัง ส่วนเยอรมนีเป็นแว่นแคว้นศักดินาเล็กๆจำนวนมาก ที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูงแต่เดิม แต่เนื่องจากพัฒนาอุตสาหกรรมล่าช้า ไม่อาจแข่งขันกับประเทศที่พัฒนาไปก่อนได้ ที่สุดก็กลายเป็นรัฐเผด็จการนำโดยฮิตเล่อร์ก่อสงครามเพื่อแย่งชิงอำนาจ หลังจากพ่ายแพ้ จึงถูกชาติมหาอำนาจคือ อังกฤษ ฝรั่งเศส สหภาพโซเวียต และสหรัฐแบ่งดินแดนออกเป็น 4 ส่วนให้เข้ายึดครอง และเพื่อป้องกันมิให้เยอรมนีเป็นรัฐเผด็จการที่เข้มแข็งและก่อสงครามได้อีก ประเทศที่เข้ายึดครองนำโดยสหรัฐจึงทำให้เยอรมนีเป็นสหพันธรัฐ มีกองทัพที่อ่อนแอ แต่มีประชาธิปไตยระดับชาติที่เข้มแข็ง สร้างการปกครองท้องถิ่นแบบประชาธิปไตยที่เข้มแข็งจนถึงปัจจุบัน ที่กล่าวมานี้ คือ ตัวแบบทั้ง 3 ที่แตกต่างกัน [3]
 อย่างไรก็ตาม แม้ว่าลักษณะ, ที่มา และรูปแบบของประชาธิปไตยทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติของทั้ง 3 ประเทศจะแตกต่างกัน แต่ในห้วงเวลา 60 ปีเศษที่ผ่านมาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง (พ.ศ. 2488) การปกครองแบบประชาธิปไตยทั้ง 2 ระดับของทั้ง 3 ประเทศต่างเข้ม แข็ง, เป็นปึกแผ่น และต่างฝ่ายต่างสนับสนุนกันในการธำรงระบอบประชาธิปไตยของประเทศไว้
 
2.
           
3 ปีที่แล้ว ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงสำคัญทางการเมืองในประเทศไทย นั่นคือ การทำรัฐประหารล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน เป็นการล้มล้างรัฐบาลพรรคเดียวครั้งแรกและครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ แต่เป็นรัฐประหารครั้งที่ 10 ของประเทศนี้
            แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ประเทศไทยผ่านการทำรัฐประหารและกบฏมาแล้วถึง 21 ครั้ง ในห้วง 2 ศตวรรษที่ผ่านมา นับตั้งแต่เริ่มยุคโลกานุวัตรในปี ค.ศ. 1990 (พ.ศ. 2533) ประเทศไทยมีรัฐประหาร 2 ครั้ง ครั้งแรกยังพอเข้าใจได้เพราะเกิดขึ้นเมื่อยุคโลกานุวัตรเกิดได้ไม่นานคือ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 และประชาชนไทยได้ลุกขึ้นต่อต้านรัฐบาลทหารอย่างกล้าหาญในปีถัดมา และนายทหารที่แต่งตั้งตนเองเป็นนายกรัฐมนตรีที่สั่งสังหารประชาชนที่เดินขบวนก็ต้องลาออกจากตำแหน่งไปด้วยความอัปยศ
แต่แล้วหลังจากนั้น 15 ปี คือ ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2549 ก็ได้เกิดรัฐประหารอีกครั้ง เป็นรัฐประหารที่คนจำนวนมากไม่เคยคาดคิดว่าจะเกิดขึ้นอีกแล้วในประเทศนี้ เพราะเบื่อหน่ายเหลือเกินกับการเสนอเหตุผลเก่าๆซ้ำซาก ประเภทจาบจ้วงสถาบัน, ทุจริตคอรัปชั่น, สร้างความแตกแยก ฯลฯ แต่ยึดอำนาจแล้วก็ไม่ได้แก้ไขสิ่งที่กล่าวอ้าง ซึ่งอาจเป็นเพราะเป็นเหตุผลที่ยกเมฆหรือคณะรัฐประหารไม่เคยสนใจแก้ไขปัญหาอะไรจริงจังนอกจากแสวงหาประโยชน์เพื่อตนเอง
และหลังจากการยึดอำนาจครั้งนี้ก็ไม่มีอะไรที่แตกต่างจากครั้งก่อนๆ ยกเว้นผลของการเลือกตั้งทั่วไป 1 ปีหลังจากนั้นก็สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่ยอมรับรัฐประ หาร และต้องการให้รัฐบาลเก่ากลับมา แม้ว่าพรรคการเมืองที่พวกเขารักจะถูกยุบไป แต่เขาก็เลือกพรรคใหม่ที่เป็นคนของพรรคเก่าให้ชนะการเลือกตั้ง นี่คือเจตนารมณ์ของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยที่เสียงส่วนใหญ่จะต้องได้รับความเคารพและเสียงส่วนน้อยต้องยอมรับกติกา และเฝ้ารอเวลาจนกว่าจะมีการเลือกตั้งครั้งต่อๆไป และระหว่างนั้น ทุกฝ่ายก็สามารถมีบทบาทตรวจ สอบการทำงานของรัฐบาลและสภาฯและแสดงความเห็นคัดค้านได้อย่างต่อเนื่อง
 
3.
 
รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และการลุกขึ้นของคนเสียงน้อยต่อต้านผลการเลือกตั้ง และทำทุกอย่างเพื่อล้มล้างรัฐบาลที่ชนะการเลือกตั้ง โดยเฉพาะใช้กำลังเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล และสนามบิน โดยได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายอำมาตยาธิปไตยตลอดปี พ.ศ. 2551 และการต่อสู้ของกลุ่มคนเสื้อแดงเพื่อทวงประชาธิปไตยกลับคืนตลอด 9 เดือนที่ผ่านมาในปีนี้ ได้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า 3 ปีที่ผ่านมาคือ ช่วงเวลาของการต่อสู้ระหว่างระบอบประชาธิปไตยกับระบอบอำมาต ยาธิปไตย คือ ความไม่แน่นอนของระบอบการเมือง การสลับไปมาระหว่างระบอบการเมืองต่างๆเนื่องจากการต่อสู้กันยังไม่ยุติ ยังไม่มีฝ่ายใดได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาด คือระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนช่วงชิงได้มาหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬในปี พ.ศ. 2535 นึกว่าจะมั่นคงสถาพร แต่แล้วก็ถูกทำลาย 15 ปีหลังจากนั้น และเมื่อได้กลับคืนมา 1 ปีหลังจากนั้น อีกปีต่อมา อำนาจของประชา ชนก็ถูกปล้นไปอีกครั้งตราบจนกระทั่งบัดนี้
ด้วยเหตุดังกล่าว ครบรอบ 3 ปี ของรัฐประหาร 19 กันยายน จึงตอกย้ำอีกครั้งว่าระบอบการเมืองของไทยยังไม่เป็นประชาธิปไตย หรือหากจะเป็นดังเช่นหลายปีก่อนก็ขาดความมั่นคง แม้ระบอบประชาธิปไตยจะดำเนินยาวนานจาก พ.ศ. 2538 ถึง 2549 หรือ 11 ปีติดต่อกัน แต่ในที่สุด รัฐประหารก็กลับคืนมาอีกครั้ง
หลายสิบปีก่อน ระบอบประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญถูกทำลายบ่อยครั้งโดยคณะรัฐ ประหาร อย่างมากที่สุด แผ่นดินนี้ก็ถูกล้อเลียนเพียงว่าเป็นดินแดนที่มี 4 ฤดู คือ ฤดูร้อน ฤดูฝน ฤดูหนาว และฤดูรัฐประหาร ไม่ใช่ 3 ฤดูดังปรากฏในหนังสือวิชาภูมิศาสตร์ หรือถูกล้อเลียนว่า ประเทศไทยเปลี่ยนรัฐธรรมนูญบ่อยเหมือนเปลี่ยนผ้าอนามัย ฯลฯ แต่บัดนี้ โลกเดินทางเข้าสู่ยุคโลกานุวัตรมา 2 ทศวรรษแล้ว การล้อเลียนเลือนหายกลายเป็นความสงสัย ความไม่เชื่อ ไม่เชื่อว่าเหตุใดระบอบการเมืองของประเทศนี้จึงยังคงล้าหลัง ไม่ยอมหลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์ทางการ เมือง (Vicious cycle) นั้นเสียที
           
4.
 
คำตอบก็คือ นักรัฐศาสตร์และนักวิชาการด้านสังคมศาสตร์สาขาต่างๆที่ศึกษาสังคมไทยมิได้ศึกษาหาความจริงเกี่ยวกับสังคมนี้อย่างจริงจัง เช่น ตรงไหนที่กฎหมายบอกว่าตรงนี้เป็นสีขาว นักวิชาการก็บอกว่าใช่แล้ว สีขาว โดยไม่ได้ศึกษาอย่างละเอียดว่าจริงหรือไม่ ด้านหลังสีอะไร หรือเป็นสีขาวตลอดเวลาหรือไม่ ฯลฯ ตรงไหนที่กฎหมายหรือสังคมบอกว่าห้องนั้นไม่ให้เข้าไปดู หรือองค์กรนั้นอยู่นอกการค้นคว้า นักวิชาการก็เชื่อตาม ฯลฯ เมื่อมีคนป่วยไข้บ่อยครั้ง หมอศึกษาหาสาเหตุผิดพลาด อาการป่วยไข้ก็ไม่หายฉันใด สังคมที่เจ็บป่วย และการเมืองที่ล้าหลังก็ย่อมต้องประสบชะตากรรมต่อไป หากค้นหาต้นเหตุของปัญหาไม่พบ ฉันนั้น
            ตำรารัฐศาสตร์ส่วนใหญ่มักเขียนว่าระบอบประชาธิปไตยนั้นแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรม 3 มิติ คือ 1. ด้านอุดมการณ์ 2. ด้านสถาบัน และ 3. ด้านวิถีชีวิต หมายความว่า ในมิติแรก ประชาชนทั่วทั้งสังคมมีอุดมการณ์อยากได้ระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบการปกครองของประเทศ ในมิติที่สอง จะต้องมีการปกครองด้วยระบบกฎหมาย เป็นนิติรัฐ เคารพกติการ่วมกัน คือ รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด มีรัฐสภา มีการเลือกตั้ง มีพรรคการเมืองแข่งขันกันด้วยนโยบาย มีองค์กรต่างๆคอยตรวจสอบการบริหารงานของรัฐบาล และถ่วงดุลการใช้อำนาจ ฯลฯ และในมิติที่สาม ประชาชนในสังคมมีความเชื่อ ความคิดและท่วงทำนองแบบประชาธิปไตยในการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ผู้คนเคารพกฎหมาย ไม่มีระบบอภิสิทธิ์ แต่ละคนเชื่อมั่นในสิทธิและเสรีภาพของตนเอง ไม่ละเมิดหรือลิดรอนสิทธิเสรีภาพของคนอื่นๆ ผู้ใหญ่ไม่ลิดรอนสิทธิเสรี ภาพของเด็กๆ ชายเคารพหญิงในฐานะที่ทุกคนเท่าเทียมกัน การประชุมมีการเคารพกฎเกณฑ์กติกาและใช้เสียงข้างมากในการเลือกตั้ง ผู้นำที่ได้รับการเลือกตั้งแต่ละระดับจะลาออกเมื่อถูกเปิดโปงว่าได้กระทำความผิดในการบริหารงานหรือเรื่องชีวิตส่วนตัว ฯลฯ
            ประเทศจะเป็นประชาธิปไตยได้ควรมีทั้ง 3 มิติ ตัวอย่างเช่น การกล่าวว่าแต่ละคนมีอุดม การณ์อยากให้สังคมเป็นประชาธิปไตย มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ มีการอนุญาตให้จัดตั้งพรรคการเมือง การแข่งขันกันหาเสียง และการจัดตั้งรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง มีการจัดตั้งองค์ กรต่างๆจำนวนมาก แต่ปรากฏว่าได้มีกลุ่มบุคคลบางกลุ่มเดินขบวนขอร้องให้อำนาจนอกระบบออกมาล้มระบอบประชาธิปไตย และเมื่อได้เกิดการรัฐประหาร มีหลายคนที่ไปชื่นชมยินดีกับฝ่ายรัฐประหาร และมีคนออกมาคัดค้านการกระทำอันผิดกฎหมายนี้น้อยมาก ฯลฯ ตัวอย่างที่ยกมานี้เห็นได้ชัดว่า อุดมการณ์ของผู้นำและประชาชนต่อระบอบประชาธิปไตย ยังแข็งแกร่งไม่พอที่จะลุกขึ้นมาคัดค้านรัฐประหาร ยังมีผู้นำและประชาชนจำนวนที่จะต่อสู้เพื่อปกป้องประชาธิปไตย สถาบันทางการเมืองต่างๆรวมทั้งรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดนั้นเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมา เป็นสิ่งที่ประดิษฐ์ขึ้น เมื่อใจไม่ปรารถนา สถาบันเหล่านั้นก็หมดความหมาย เมื่อทหารนำรถถังออกมา โดยไม่มีใครคัดค้าน ข้าราชการก็ไม่ประท้วง สถาบันที่อยู่ในระบอบประชาธิปไตยก็หมดความหมาย และเมื่อวิถีชีวิตของผู้คนสวนทางกับประชาธิปไตย ความรู้สึกนึกคิดและการกระทำเป็นแบบเผด็จการ ฯลฯ ระบอบประชาธิปไตยก็ไม่อาจดำรงอยู่ต่อไปได้
            นอกจากเราจะมองประชาธิปไตยแบบแนวราบ ที่มองเห็น 3 มิติ หรือ 3 ด้าน (คือด้านจุดมุ่งหมาย ด้านสถาบัน และด้านการปฏิบัติหรือท่วงทำนอง) เราอาจมองประชาธิปไตยได้อีกแนวหนึ่ง คือ แนวดิ่ง นั่นคือ มองว่าระบอบประชาธิปไตยสามารถแบ่งได้เป็น 2 ระดับ คือ ระดับชาติและระดับท้องถิ่น และประชาธิปไตยควรมีอยู่ในทั้ง 2 ระบอบนี้
 
5.
 
77 ปีที่ผ่านมา ระบอบการเมืองไทยขาดเสถียรภาพ มีการสลับไปมาระหว่างระบอบอำนาจนิยมกับระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งถูกโค่นล้มด้วยรัฐประหารถึง 10 ครั้ง มีกบฏรวม 11 ครั้ง มีการลุกขึ้นของประชาชนต่อต้านอำนาจนิยมครั้งใหญ่ 3 ครั้ง และมีรัฐ ธรรมนูญรวม 18 ฉบับ
            ขณะที่ประชาธิปไตยระดับชาติล้มลุกคลุกคลาน ประชาธิปไตยท้องถิ่นกลับอยู่ในสภาพที่ยากลำบากยิ่งกว่าหลายเท่า เพราะยังไม่ทันได้ปฏิสนธิ ก็ถูกถุงยางอนามัยสกัดกั้นเสียแล้ว
ในสังคมยุคศักดินา นักวิชาการสำนักวัฒนธรรมชุมชนพูดถึงความรักความสามัคคีและความเป็นพี่น้องกันของสังคมชนบท และยกย่องสภาพดังกล่าวพร้อมกับเชิดชูให้สังคมสมัยใหม่หวนกลับไปหาหรืออนุรักษ์วัฒนธรรมชุมชนไว้ต่อไป ในความเป็นจริง นั่นเป็นเพียงสายสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมของชุมชนหมู่บ้าน เป็นความรักความอบอุ่นในหมู่ไพร่ทาสที่อยู่ร่วมกันในชนบท สำนักวัฒนธรรมชุมชนละเลยความสัมพันธ์ทางชนชั้นในสังคมศักดินายุคนั้น ไม่ยอมมองว่าคนในชนบทถูกกดขี่ขูดรีดโดยชนชั้นเจ้าที่ดินที่อยู่ในเมือง ไม่ยอมความสัมพันธ์ทางอำนาจในสังคม ที่ว่าชาวนาเป็นไพร่ หรือทาส ไพร่ทาสที่ไม่มีสิทธิเสรีภาพ ไม่มีที่ดินทำกินของตนเอง ต้องทำนาของคนอื่น ต้องทำงานรับใช้เจ้านาย และเมื่อรัฐต้องการแรงงานและทำสงคราม ไพร่ทาสก็จะถูกเกณฑ์ไปทำงานและทำการสู้รบโดยไม่เคยรับค่าตอบแทนใดๆ [4]
สังคมศักดินาไทยไม่มีเสรีชน ทุกคนมีสังกัด ต้องทำงานรับใช้เจ้านาย คือ ขุนนาง หรือวัด หรือวัง สังคมมีทาสรับใช้ มีไพร่หลวง ไพร่สม ไพร่ส่วย ระบบนายสิบ นายร้อย นายพันในหมู่บ้านต่างๆมาจากการแต่งตั้งโดยเจ้านาย คนเหล่านั้นทำหน้าที่ควบคุมกำลังไพร่พลในแต่ละหมู่บ้านและตำบล สังคมดังกล่าวไม่มีการปกครองแบบประชาธิปไตย แต่มีลักษณะการจัดการแบบประชาธิปไตยอย่างน้อย 2 อย่างปรากฏในเอกสารประวัติศาสตร์ คือ 1. ชุมชนมีที่ดินส่วนรวม (ที่ภาษาล้านนาเรียกว่า ของหน้าหมู่) เช่น ในป่าหรือบริเวณรอบๆหมู่บ้านที่ใครสามารถเข้าไปใช้ประโยชน์ แต่ไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของและผูกขาดการใช้ เหตุใด ยุคนั้น รัฐไม่เข้าไปครอบครองที่ดินในเขตป่าเขาทุกแห่ง เช่นปัจจุบัน คำตอบคือเพราะรัฐในอดีตมีเครื่องไม้เครื่องมือและกำลังจำกัด แม้จะประกาศว่าป่าเขาทั้งหมดเป็นของรัฐ แต่รัฐก็ไม่มีกำลังมากพอที่จะไปดูแลมิให้คนอื่นเข้าไปใช้สอย เพียงการล้อมรั้ว หรือปักป้าย รัฐก็ไม่มีความสามารถพอ เราจะเห็นว่าสงครามของรัฐศักดินาในอดีต มีทั้งการยึดครองไพร่พล ทรัพย์สิน และที่ดิน จะพบว่าเมื่อมีปัญหาหลายอย่าง ก็ทำได้เพียงขั้นแรกคือกวาดต้อนผู้คนและทรัพย์สินกลับไป ขั้นที่สอง เข้ายึดครองพื้นที่ปล่อยให้คนในพื้นที่นั้นปกครองกันเอง และส่งบรรณาการให้แก่รัฐที่ชนะตามเวลาที่กำหนด ขั้นที่สาม ส่งคนไปปกครองเพื่อควบคุมโดยตรง และจัดระบบการบริหาร จะขนทรัพย์สิน กำลังไพร่พล หรืออย่างอื่นกลับไปปีละเท่าใด ฯลฯ จากขั้นที่สามจึงพัฒนาไปสู่ขั้นที่ลึกซึ้งกว่านั้น นั่นคือการส่งบุคลากรจำนวนมากเข้าไปควบคุมและเปลี่ยนแปลงท้องถิ่นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อผลประโยชน์ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
2. การจัดการระบบเหมืองฝาย ชาวนาในแต่ละหมู่บ้านหรือคนที่ใช้ประโยชน์จากเหมืองฝายแห่งหนึ่งจะเลือกกรรมการบริหารและหัวหน้าเหมืองเพื่อดูแลรับผิดชอบปริมาณน้ำที่ชาวนาแต่ละคนในย่านนั้นจะได้รับด้วยความเสมอภาคกัน และมีกฎเช่น หัวหน้าเหมืองจะต้องเป็นคนท้ายเหมืองเพื่อจัดระบบการจัดสรรน้ำให้สมาชิกที่อยู่ท้ายเหมืองได้รับปริมาณน้ำอย่างยุติธรรม มิใช่กักน้ำไว้ให้สมาชิกที่อยู่ตอนเหนือทั้งหมด และเมื่อสิ้นสุดฤดูการเก็บเกี่ยว สมาชิกแต่ละคนก็จะนำข้าวมาแบ่งปันให้ผู้รับผิดชอบเหมืองฝายทุกคนเป็นค่าบริหารระบบการแบ่งสรรน้ำ โปรดสังเกตว่า นี่คือ ระบบการบริหารจัดการน้ำ ที่เป็นแบบประชาธิปไตย แต่โครงสร้างทางอำนาจที่เกี่ยวกับการถือครองปัจจัยการผลิตก็ยังเป็นเช่นเดิม คือ เจ้าของที่ดินเป็นผู้ปกครอง คนที่ไม่มีที่ดินทำกินก็คือราษฎรผู้ถูกปกครอง น่าสนใจเพียงว่าระบบศักดินาปล่อยให้การจัดการปริมาณน้ำเป็นแบบประชาธิปไตย แต่การถือครองที่ดินอันเป็นปัจจัยการผลิตหลักตลอดจนการแบ่งปันผลผลิตกลับมีลักษณะชนชั้นและไม่เป็นประชาธิปไตย [5]
            เมื่อสังคมไทยเคลื่อนตัวเข้าสู่ยุคทุนนิยม โดยมีการยกเลิกระบบไพร่-ทาส แต่ความสัม พันธ์แบบเดิมระหว่างเจ้าที่ดินกับผู้เช่าที่ดินยังอยู่ ที่ดินส่วนใหญ่ยังอยู่ในมือของเจ้าที่ดิน ไม่มีการปฏิรูประบบการถือครองกรรมสิทธิ์ในที่ดิน คนที่ไม่ต้องเช่าที่ดินก็คือคนที่บุกรุกเข้าไปแผ้วถางพื้นที่ป่าเขา โรงงานที่เกิดขึ้นใหม่ได้ต้อนรับแรงงานเสรีที่เคยเป็นไพร่-ทาส ขณะเดียวกัน อำนาจการปกครองที่เคยเป็นของเจ้าเมืองในท้องถิ่นก็ถูกยึดครองโดยรัฐ และรัฐได้แต่งตั้งข้าราชการจากส่วนกลางไปดูแลท้องถิ่นทุกระดับ สำหรับผู้ใหญ่บ้านและกำนันที่ได้รับการเลือกตั้งจากประชา ชน แต่หลังจากนั้น เนื่องจากพวกเขาอยู่ในตำแหน่งจนเกษียณอายุโดยไม่มีการเลือกตั้งทุกๆ 4-5 ปี ตำแหน่งของผู้นำท้องถิ่นทั้งสองประเภทในทางปฏิบัติจึงเป็นเสมือนข้าราชการส่วนภูมิภาค พวกเขาไม่ใช่ส่วนหนึ่งของการปกครองท้องถิ่น แต่ทำงานรับใช้คำสั่งของส่วนกลางเป็นหลัก [6]
            ด้วยเหตุนี้ ท้องถิ่นจึงขาดอำนาจในการบริหารและจัดการตนเอง อำนาจหลักอยู่ในมือของข้าราชการแต่งตั้ง สุขาภิบาลที่ควรจะเป็นของท้องถิ่นก็อยู่ในมือของข้าราชการแต่งตั้ง เมื่อบวกเข้ากับการที่วัดทั่วประเทศสังกัดกรมศาสนา โรงเรียนทุกระดับสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ หลักสูตรทั้งหมดถูกส่วนกลางกำหนด อำนาจการจัดการถนน สะพาน แม่น้ำ ไฟฟ้า ป่าไม้ แร่ธาตุ และทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆถูกครอบครองและควบคุมโดยกรมกองและกระทรวงต่างๆซึ่งสังกัดรัฐบาลกลาง เทศบาลที่ก่อตั้งขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2476 สุขาภิบาลที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2495และองค์การบริหารส่วนจังหวัดที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2498 ฯลฯ ถูกควบคุมโดยข้าราชการส่วนภูมิภาคโดยเฉพาะนายอำเภอและผู้ว่าฯ (นายอำเภอเป็นประธานสุขาภิบาล และผู้ว่าฯเป็นนายก อบจ. โดยตำแหน่ง) ก็เท่ากับว่าสังคมนี้ไม่มีประชาธิปไตยระดับท้องถิ่นไม่ว่าจะเป็นด้านไหน
เมื่อบวกกับคำสั่งที่ห้ามพูด เรียนเขียนอ่านภาษาท้องถิ่นโดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคอีสาน รัฐที่รวมศูนย์อำนาจเช่นนี้จึงเข้าไปยึดกุมชีวิตแทบทุกๆด้านของท้องถิ่น ข้าราชการส่วนภูมิภาคดูแลรับผิดชอบงานแต่ละด้านในท้องถิ่น แต่พวกเขามาอยู่ในแต่ละท้องที่ไม่กี่ปีก็ย้ายไปจังหวัดอื่น ชีวิตการทำงานของพวกเขาจึงเน้นที่การเรียนรู้ปัญหา แต่ไม่ต้องรับผิดชอบปัญหา การพยายามปรับตัว การรอฟังคำสั่ง การไม่กล้าคิดงานใหม่ๆ กระทั่งกลายเป็นความเคยชินที่จะทำ งานไปเรื่อยๆ คอยรอรับและดูแลผู้บังคับบัญชาที่เดินทางเข้ามาดูงานหรือท่องเที่ยวในพื้นที่ หรือวิ่งเต้นที่จะย้ายไปจังหวัดที่ตนเองปรารถนาหรือขอเลื่อนตำแหน่ง หรือเสียเวลาแก้ไขปัญหาครอบครัวที่ต้องอยู่ห่างกัน ฯลฯ แต่ก็ไม่เป็นปัญหาเพราะได้รับเงินเดือนสม่ำเสมอ มีการขึ้นเงิน เดือนเป็นระยะๆ ระบบข้าราชการส่วนภูมิภาคที่บริหารแต่ละท้องถิ่นจึงไม่อาจแก้ไขปัญหาหลักๆของท้องถิ่นได้ มีเพียงการสรรหาคำพูดเพราะๆประเภท ”กำลังหาทางแก้ไขอย่างเร่งด่วน” “เราให้ความสนใจปัญหาเหล่านี้มาก” “ชุมชนต้องเข้มแข็ง” “ประโยชน์สุขของประชาชนคือเป้าหมายหลัก” ฯลฯ เพื่อให้คนพูดดูดี ดูมีความรับผิดชอบสูงและมุ่งมั่นในการทำงานเพื่อส่วนรวม
            ปรากฏการณ์ที่ดำเนินตลอดมา คือ ระบบการทำงานของข้าราชการส่วนภูมิภาคไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญ มีแต่เพิ่มจำนวนข้าราชการมากขึ้น มีหน่วยงานเพิ่มมากขึ้น แทนที่จะกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นให้มากขึ้น
อำนาจที่เพิ่มขึ้นจากการรวมศูนย์อำนาจสู่ส่วนกลาง ด้านหนึ่ง ทำให้กระทรวงมหาดไทยผลักดันกฎหมายกำหนดรูปแบบการจัดตั้งองค์กรท้องถิ่นที่เป็นแบบเดียวกันทั้งประเทศ โดยไม่เปิดโอกาสให้ท้องถิ่นเลือกจัดรูปแบบการบริหารของเขาเอง และการเปลี่ยนแปลงแก้ไขใดๆที่ริเริ่มจากท้องถิ่นแทบเป็นไปไม่ได้เลย อีกด้านหนึ่ง การเติบโตดังกล่าวตั้งแต่สมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ในทศวรรษที่ 2500 ได้ทำให้แต่ละกระทรวงมีทั้งอำนาจ งบประมาณ ภารกิจ และบุคลากรเพิ่มขึ้น ผลก็คือรัฐไทยกลายเป็นรัฐรวมศูนย์อำนาจมากแต่อำนาจแยกออกเป็นส่วนๆ (Fragmented) ตามกระทรวงต่างๆ ด้านที่เหมือนกันที่รวมศูนย์อำนาจและหาประโยชน์ใส่ตัว แต่ด้านที่ต่างกันคือ นโยบายและการทำงานขาดความเป็นเอกภาพ การแก้ไขปัญหาและแผนการการจัดการท้องถิ่นต่างๆขึ้นอยู่กับแต่ละหน่วยงาน ดังจะพบเห็นกรณีถนนหลายสายมีการขุดตลอดปีเพราะมีงานหลายอย่าง และงบประมาณได้รับการอนุมัติหรือเบิกจ่ายไม่พร้อมกัน เป็นต้น [7]
            เมื่อประชาชนไม่สามารถควบคุมการบริหารงานใดๆของส่วนภูมิภาค เพราะข้าราชการส่วนภูมิภาคมาจากการแต่งตั้ง ประชาชนไม่มีอำนาจในการเลือกตั้งใดๆ รูปแบบการทำงาน การกำหนดนโยบายและเป้าหมาย ตลอดจนงบประมาณรวมทั้งบุคลากรจึงถูกกำหนดจากส่วนกลางเป็นหลัก ไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลง ขบวนการเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าฯในทศวรรษที่ 2510 และทศวรรษที่ 2530 จึงไม่เคยประสบผลสำเร็จเลย แม้แต่จังหวัดเดียว การเปลี่ยนแปลงการปกครองท้องถิ่นที่พัทยา (เป็นรูปแบบผู้จัดการเมือง) ในปี พ.ศ. 2518 และการกำหนดให้มีการเลือกตั้งผู้ว่า กทม. ในปี พ.ศ. 2521 ทั้งสองอย่างนี้เกิดจากการริเริ่มของกระทรวงมหาดไทยซึ่งดูแลและรับผิดชอบการปกครองท้องถิ่น เนื่องจากเมืองพัทยาสกปรกมาก และกรุงเทพฯเป็นเมืองที่ใหญ่เกินไป ต้องเผชิญปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้นๆๆ จึงมีการนำเอารูปแบบจากต่างประเทศมาใช้ เป็นการเปลี่ยนแปลงจากบนสู่ล่าง แต่เมื่อประชาชนในท้องถิ่นเรียกร้องขอสิทธิในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด ส่วนกลางกลับบอกว่าเป็นไปไม่ได้ [8]
 
6.
 
ในช่วงเวลา 11 ปีที่รัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง (พ.ศ. 2538-2549) ไม่มีกบฏหรือรัฐประหาร แต่มีรัฐธรรมนูญฉบับ ปี 2540 ที่ได้รับการยกย่องมากว่าเป็นประชาธิปไตยมากกว่าฉบับอื่นๆ สังคมไทยเขยิบเข้าสู่การเมืองแบบประชาธิปไตย 2 ระดับขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งเนื่องจากการที่รัฐธรรม นูญฉบับ พ.ศ. 2540 กำหนดให้มีการสถาปนาประชาธิปไตยในระดับท้องถิ่น เช่น ให้มีกฎหมายกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น (มาตรา 284); สมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นจะต้องมาจากการเลือกตั้ง (มาตรา 285); องค์กรปกครองท้องถิ่นมีหน้าที่บำรุงรักษาศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น (มาตรา 289); และจัดการและบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ (มาตรา 290)
            กฎหมายสูงสุดฉบับดังกล่าวได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญต่อท้องถิ่นเป็นลำดับ เช่น การจัดตั้ง อบต. เริ่มในปี 2537; การเลือกตั้งนายก อบจ. โดยอ้อม (พ.ศ. 2541); การกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจ (พ.ศ. 2542); พ.ร.บ.การเลือกตั้งนายกเทศมนตรีโดยตรง (พ.ศ. 2543); พ.ร.บ.การเลือกตั้งหัวหน้าฝ่ายบริหารท้องถิ่นโดยตรงทุกระดับ พ.ศ. 2546 ด้วยเหตุนี้ จึงได้เกิดการปฏิรูปครั้งสำคัญในระดับท้องถิ่นของประเทศในช่วงเวลาที่สังคมไทยไร้รัฐประหารและกบฏ จากสถิติที่รวบรวมได้ล่าสุด ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2551 องค์กรปกครองท้องถิ่น (อปท.)ทั่วประเทศมีจำนวน 7,853 แห่ง เป็นการปกครองรูปแบบพิเศษ 2 แห่ง, อบจ. 75 แห่ง อบต. 6,157 แห่ง และเป็นเทศบาล 1,619 แห่ง หมายความว่าทั่วประเทศมีนายก อบจ. นายก อบต. และนายกเทศ มนตรีเทศบาล (ทั้ง 3 ระดับคือนคร-เมืองและตำบล) ทั้งหมดรวมกันถึง 7,853 คน คนเหล่านี้มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน มีความใกล้ชิดกับประชาชน และดำรงตำแหน่ง 4 ปีก็ต้องให้ประชาชนตัดสินอนาคตของพวกเขาอีกครั้ง ยังไม่นับจำนวนสมาชิกสภาท้องถิ่นขององค์กรเหล่านั้นซึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนเช่นกันรวมประมาณ 20,000 คน [9]
            เมื่อเรานำเอาแนวคิดเกี่ยวกับประชาธิปไตย 3 มิติมาใช้ จะพบว่า การเกิดขึ้นของ อปท. จำนวนเกือบ 8 พันแห่งทั่วประเทศเป็นการเปลี่ยนของมิติที่ 2 นั่นคือ การเปลี่ยนด้านสถาบัน กล่าวคือ มีองค์กรในท้องถิ่นเกิดขึ้นทั่วประเทศ ขณะเดียวกัน ก็มีการเปลี่ยนแปลงของมิติแรกบ้าง นั่นคือ ผู้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ต้องการเห็นการกระจายอำนาจ จึงกำหนดให้มีการออกกฎหมายกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจ ขณะเดียวกัน ก็มีการเปลี่ยนแปลงของมิติที่ 3 ด้วย เช่น ประชาชนในท้องถิ่นสามารถเลือกตัวแทนของเขาเข้าไปเป็นสมาชิกในสภาท้องถิ่น สามารถเลือกหัวหน้าฝ่ายบริหารเข้าไปบริหารงานของท้องถิ่น สามารถกำหนดโครงการ แผนงาน และงบประมาณ สามารถคัดค้านโครงการที่ตนเองไม่เห็นด้วย และต่อจากนี้ คนในท้องถิ่นได้ตระหนักว่าการบริหารท้องถิ่นหลายส่วนจะสำเร็จได้ด้วย อบต. หรือเทศบาล และ อบจ. งานหลายอย่างไม่ต้องพึ่งพาอำเภอหรือจังหวัดซึ่งเป็นหน่วยราชการส่วนภูมิภาคอีกต่อไป ในอดีต ชาวบ้านเคยร้องของบฯช่วยเหลือการพัฒนาโครงการต่างๆ ต้องรอแล้วรอเล่า ก็ไม่มา บัดนี้ พวกเรารู้แล้ว ว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นทั้งด้านความคิด สถาบัน และวิถีชีวิตของคนในท้องถิ่นเอง ฯลฯ
            อย่างไรก็ตาม การรวมศูนย์อำนาจที่ยาวนาน, มากเกินไป และแยกออกเป็นส่วนๆ ในสังคมไทยดังที่ได้กล่าวมาแล้วในตอนต้น ได้ส่งผลกระทบหลายด้านที่การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นไม่อาจเกิดขึ้นอย่างขนานใหญ่ในเวลาอันสั้น ตัวอย่างเช่น
            ประการแรก ในด้านอุดมการณ์ การรวมศูนย์อำนาจมากเกินไปและยาวนานเกินไปในด้านการศึกษาและวัฒนธรรมทำให้คนทั่วประเทศรู้จักแต่ชาติ แต่มีความรู้ความเข้าใจน้อยมากเกี่ยวกับท้องถิ่นของตนเอง เช่น ทุกอย่างนอกบ้านของตนเองเป็นของหลวง ไม่มีอะไรที่เป็นของท้องถิ่น วัดเป็นของกรมศาสนา โรงเรียนเป็นของกรมสามัญ ถนนเป็นของกรมทางหลวง โบราณสถานเป็นของกรมศิลปากร ฯลฯ ด้วยเหตุนั้น คนท้องถิ่นจำนวนมากจึงไม่เห็นคุณค่าของของเก่า ไม่รู้จักประวัติหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ ไม่เห็นคุณค่าหรือขอความรู้จากคนแก่ เห็นทุกอย่างในท้องถิ่นเป็นของล้าสมัย เมื่อไม่รู้ไม่เห็นคุณค่า ก็ขาดความรักและความภาคภูมิใจต่อท้องถิ่นของตนเอง ขาดอุดมการณ์ ขาดความมุ่งมั่นที่จะอุทิศตนเองเพื่อแผ่นดินเกิด ฯลฯ
ประการที่สอง ขาดความรู้และประสบการณ์ในการบริหารจัดการ เพราะท้องถิ่นอยู่ใต้การปกครองของผู้ใหญ่บ้าน กำนัน นายอำเภอและผู้ว่าฯ ซึ่งต้องขึ้นต่อการแต่งตั้งและการบังคับบัญชาจากส่วนกลาง ขาดการมีส่วนร่วมจากประชาชนในท้องถิ่น ไม่เคยมีการร่วมคิดร่วมวางแผนร่วมทำ ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่จึงเป็นคนเกาะรั้วยืนดู ถูกปิดกั้นโอกาส ขาดความรู้และประสบการณ์มาเป็นเวลานาน ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ รอคอยฝนจากฟ้า ไม่มีงบ ก็ทำอะไรไม่ได้ หรือจะทำอะไรก็ต้องได้รับอนุญาต ระยะหลังๆ มีการประชุมที่จ่ายเบี้ยเลี้ยง มีการเกณฑ์ให้ไปที่ตัวจังหวัดหรือที่กรุงเทพฯ ได้ไปเที่ยวทะเล ได้รับเงิน มีการแจกสิ่งของ ฯลฯ งานส่วนรวมจึงกลาย เป็นงานจ้างวาน รัฐและผู้มีฐานะจากส่วนกลางมีเมตตานำเสื้อกันหนาวและผ้าห่มไปแจก จนถึงบัดนี้ก็ยังมีข่าวการแจกสิ่งของ แทนที่จะให้ท้องถิ่นดูแลตัวเอง ช่วยเหลือตัวเอง ฯลฯ
ประการที่สาม ขาดทั้งอุดมการณ์และมากด้วยผลประโยชน์ส่วนตัว ไม่ว่าท้องถิ่นไหนก็เหมือนกับครอบครัวหรือปัจเจกชน นั่นคือ การช่วยเหลือตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่เนื่องจากท้องถิ่นถูกลิดรอนอำนาจมานาน ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ด้านการศึกษา สาธารณสุข วัด ตำรวจ และการบริหารดูแลทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมและศิลปวัฒนธรรมเกือบทั้งหมดเป็นข้าราชการส่วนกลางและส่วนภูมิภาคที่คุ้นชินกับระบบการบริหารแบบรวมศูนย์อำนาจมานาน ได้รับประโยชน์ทั้งอำนาจและชื่อเสียงตลอดจนความหวังที่จะก้าวหน้าในสายอาชีพ อีกทั้งการศึก ษาและวัฒนธรรมในอดีตไม่เคยอธิบายความสำคัญและบทบาทของท้องถิ่น มีแต่ดูถูกท้องถิ่นและคนท้องถิ่น เน้นแต่บทบาทและอำนาจของข้าราชการส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ระบบราชการจึงขาดทั้งความคิดที่จะกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ถ่ายโอนภารกิจต่างๆให้แก่ อปท. ยกมาตรฐานหรือกฎเกณฑ์ต่างๆมากมายขึ้นมาเพื่อป้องกันมิให้เกิดการกระจายอำนาจ หรือถ่วงเวลาการกระจายอำนาจ และทั้งหวั่นเกรงว่าผลประโยชน์และอำนาจที่เคยได้รับจะลดลงหากมีการกระจายอำนาจ อีกด้านหนึ่งก็คือเพราะดูถูกดูหมิ่นท้องถิ่นมานาน จึงไม่เคิยคิดว่า คนท้องถิ่นจะมีความรู้ความ สามารถในการบริหารจัดการกิจการเหล่านั้นได้ดีพอ
ประการที่สี่ ขาดความมุ่งมั่นทางการเมืองที่จะผลักดันภารกิจนี้ให้บรรลุผล ที่ผ่านมา สังคมไทยยังไม่เคยมีรัฐบาลใดที่แสดงเจตนารมณ์อย่างแรงกล้าและแสดงความมุ่งมั่นทางการเมือง(Political commitment) ที่จะกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น พรรคการเมือง 4 พรรคที่ชนะการเลือกตั้งและร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลในปี พ.ศ. 2538 ได้ประกาศหาเสียงว่าจะจัดการเลือกตั้งผู้ว่าฯโดยประชาชน แต่ทำได้เพียงหาเสียง รัฐบาลในระหว่างพ.ศ. 2544-49 โดดเด่นในด้านนโยบายเศรษฐกิจสำหรับคนระดับล่าง และได้ปฏิรูปการปกครองท้องถิ่นด้านสถาบัน แต่ขาดด้านการให้การศึกษาและวัฒนธรรมเกี่ยวกับการกระจายอำนาจแก่สังคมไทย
ปัญหาทั้ง 4 ข้อโดยเฉพาะข้อสุดท้ายเกี่ยวพันโดยตรงสภาวะ 3 ด้านทางการเมือง คือ หนึ่ง รัฐรวมศูนย์อำนาจยาวนานได้สร้างปัจจัยต่างๆไว้มากมายซึ่งขึ้นต่อและกลายเป็นแรงต้านมิให้เกิดการกระจายอำนาจ สอง การแทรกแซงทางการเมืองของกองทัพหลายครั้งไม่เพียงแต่ทำลายความเข้มแข็งของพรรคการเมืองและพลังประชาธิปไตย แต่ได้ทำให้ฝ่ายประชาธิปไตยหันไปสนใจผลประโยชน์เฉพาะหน้าหรือปัญหาเร่งด่วนอื่นๆ จนในที่สุด ก็ไม่สนใจประเด็นการกระจายอำนาจเพราะเกรงจะได้รับการต่อต้านจากระบบราชการซึ่งเป็นเครื่องมือของการรัฐประหาร และ สาม ฝ่ายรัฐประหารหรือฝ่ายอำมาตยาธิปไตยได้เล็งเห็นบทบาทของระบบราชการในการควบคุมอำนาจทางการเมืองและอำนาจการบริหาร จึงได้ส่งเสริมให้ระบบราชการส่วนกลางและส่วนภูมิภาคแข็งแกร่ง และให้รางวัลทุกครั้งที่เกิดรัฐประหาร และไม่เคยส่งเสริมการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ปัจจัยทั้งสามส่วนนี้หนุนเนื่องกัน และทั้งไม่เคยสนใจพัฒนาประชาธิปไตยระดับท้องถิ่น
 
7.
 
ขอยกตัวอย่างในห้วง 5 ปีที่ผ่านมาสัก 8 กรณีที่ชี้ให้เห็นว่าแม้จะมีการสถาปนาการปกครองท้องถิ่นขึ้นมาแล้วในสังคมไทย แต่ประชาธิปไตยระดับท้องถิ่นก็ยังมีข้อจำกัดจำนวนมาก โดยเฉพาะความอ่อนแอด้านอุดมการณ์และวัฒนธรรมทางการเมืองจนส่งผลต่อวิถีชีวิตของผู้คน
กรณีแรก ปัญหาเชียงใหม่ หากศึกษาเอกสารของแต่ละฝ่าย จะพบว่าไม่มีใครมองเห็นความหนักหน่วงของปัญหาเอกนครระดับภูมิภาคของเมืองนี้ (Regional primate city) ที่ยังคงไม่ได้รับการแก้ไข และการเติบโตของอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจบนถนนนิมมานเหมินท์โดยทุนและลูก ค้าจากกรุงเทพฯ ในช่วง 2-3 ปีมานี้ สะท้อนให้เห็นว่าความแตกต่างระหว่างรายได้ของชนชั้นสูงและชนชั้นล่างตลอดจนการที่เชียงใหม่เป็นศูนย์กลางทุกอย่างของภาคเหนือและอำนาจของท้องถิ่นที่มีข้อจำกัดเปิดโอกาสให้ทุนที่มีกำลังเหนือกว่าและลูกค้าที่มีกำลังซื้อจากส่วนกลางเลือกใช้จุดๆหนึ่งนอกกรุงเทพฯเพื่อบรรลุภารกิจของตน
คนที่ไปเยือนเชียงใหม่จะพบความเป็นกรุงเทพฯหลายด้าน เช่น สภาพรถติดที่นับวันรุน แรง กรุงเทพฯน้อยที่ถนนและซอยย่านนิมมานเหมินท์ และสภาพของเมืองที่โฆษณาว่าเป็นเมืองเก่าแก่ เป็นศูนย์กลางศิลปวัฒนธรรมล้านนา แต่แทบไม่เห็นลักษณะเหล่านั้นหลงเหลืออยู่อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่มีใครสนใจข้อเสนอที่ให้แบ่งเขตเมืองกับเมืองใหม่ออกจากกัน ให้เขตเมืองเก่าหลงเหลือความเป็นเมืองเก่าไว้ ส่วนเมืองสมัยใหม่ให้ไปสร้างที่อื่น เช่น ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำปิง ฯลฯ แยกกันชัดเจน ทั้งหมดนี้ตอกย้ำความอ่อนแอของการปกครองท้องถิ่น หรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือการปกครองท้องถิ่นเพิ่งเริ่มต้นเมื่อไม่นานนี้เอง ส่วนการบริหารส่วนภูมิภาคที่มีมายาวนานนับร้อยปีไม่เคยปกป้องอัตลักษณ์ของท้องถิ่น แต่เป็นเครื่องมือที่รับใช้ส่วนกลางอย่างซื่อสัตย์ตลอดมา หลายคนมองว่า เชียงใหม่นับวันจะเป็นกรุงเทพฯมากขึ้น ไม่มีอัตลักษณ์ของเชียงใหม่อีกต่อไป แต่อีกฝ่ายหนึ่งก็อธิบายว่า การปกครองแบบเมืองขึ้นก็ย่อมเป็นเช่นนี้แหละ [10]
กรณีที่สอง ปัญหาปัตตานี รัฐปัตตานีเคยเป็นอิสระเช่นเดียวกับรัฐล้านนาในภาคเหนือ แต่ได้ถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของสยามรัฐในปี พ.ศ. 2328 (รัชกาลที่ 1) และตกอยู่ใต้ระบบเทศาภิ บาลในสมัยรัชกาลที่ 5 แม้ว่าท้องถิ่นต่างๆจะลุกขึ้นต่อต้านการทำลายท้องถิ่นและการรวมศูนย์อำนาจ เช่นกรณีกบฏผีบุญในภาคอีสาน กบฏแพร่ในภาคเหนือ และกบฏพระยาแขก 7 หัวเมืองที่ปัตตานีในปี พ.ศ. 2445 และแม้ว่าจะถูกปราบปรามอย่างรุนแรง แต่จิตใจและอัตลักษณ์ของท้อง ถิ่นหาได้หมดสิ้นไปไม่ การบริหารท้องถิ่นด้วยระบบเทศาภิบาลและระบบบริหารราชการส่วนภูมิภาคหลังจากนั้นได้พัฒนาไปตามแนวคิดที่ Lord Acton (ค.ศ. 1834-1902) ได้กล่าวไว้คือ “อำนาจย่อมก่อให้เกิดการฉ้อฉล ยิ่งมีอำนาจมาก การฉ้อฉลอำนาจก็ยิ่งมีมากขึ้น” เมื่อขุนนางถูกส่งไปปกครองในท้องถิ่น ห่างไกลจากการควบคุมและตรวจสอบของอำนาจรัฐส่วนกลาง การกดขี่ข่มเหงผู้ถูกปกครองจึงเกิดขึ้น ยิ่งพี่น้องส่วนใหญ่ในดินแดน 7 หัวเมืองนับถือศาสนาและพูดภาษาที่ต่างออกไป มีขนบธรรมเนียมประเพณีที่ต่างออกไป การดูถูกเหยียดหยาม การไม่เคารพต่อท้อง ถิ่นและการใช้อำนาจบาตรใหญ่จึงเกิดขึ้น กลายเป็นความขัดแย้งที่ทวีความรุนแรงขึ้นเป็นลำดับ [11]
จากการเปิดเผยของศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี เหตุการณ์รุนแรงในพื้นที่ 4 จังหวัดคือ ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และสงขลา นับตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ. 2547 จนถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2552 มีเหตุการณ์ยิง ระเบิด วางเพลิงและการก่อกวนอื่นๆ รวมถึง 8,908 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 3,471 คน บาดเจ็บ 5,740 คน รวมผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บทั้งประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐเกือบ 1 หมื่นคน และแนวโน้มของเหตุการณ์ความรุนแรงรายวันและรายเดือนในปัจจุบันเพิ่มสูงขึ้น [12]
ปัญหาความรุนแรงต่อเนื่องในภาคใต้เกิดจากปมเงื่อนสำคัญ 2 ด้าน ด้านหนึ่ง คือ นโยบายการรวมศูนย์อำนาจของรัฐบาลทุกชุดที่ผ่านมา รูปธรรมของนโยบายที่รวมศูนย์อำนาจก็คือการใช้คนจากส่วนกลางและส่วนภูมิภาคเข้าไปทำงานในพื้นที่ โดยประชาชนในพื้นที่ไม่มีส่วนร่วม ไม่รับฟังข้อเสนอของคนในพื้นที่ และติดตามด้วยการใช้กำลังปราบปรามคนในท้องถิ่น ผู้นำท้องถิ่นในสมัยฮัจญีสุหลงได้เคยเสนอข้อเรียกร้อง 7 ประการต่อรัฐบาลไทย แต่แล้วรัฐบาลในปี พ.ศ. 2490 ก็ไม่เพียงละทิ้งการเจรจาเพื่อหาทางแก้ปัญหา กลับเข้าจับกุมและปราบปรามคนในพื้นที่ 3 จังหวัด และนโยบายของรัฐบาลหลังจากนั้นเรื่อยมาก็ไม่เคยเปลี่ยนจากเดิมในสาระสำคัญ
อีกด้านหนึ่ง คือ ระบอบประชาธิปไตยที่ไร้เสถียรภาพในระดับประเทศ ขณะที่ระบบราชการที่ควบคุมกำลังทหาร ตำรวจ และพลเรือน ตลอดจนองค์กรประชาชนที่ระบบราชการจัดตั้งขึ้นมีความต่อเนื่องยาวนาน สามารถสะสมกำลังและปฏิบัติงานในกรอบนโยบายการรวมศูนย์อำนาจของระบบราชการ ขณะที่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งมีอำนาจเพียงไม่กี่ปีก็ถูกโค่นล้ม ไม่มีโอกาสเสนอทางเลือกใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นอย่างจริงจังหรือการเปิดทางเจรจาเพื่อหาทางยุติความรุนแรงทั้งปวงให้ได้
การยกเลิกศูนย์อำนวยการบริหารกิจการชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ในปี พ.ศ. 2546 และจัดตั้งกองอำนวยการเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กอสสส.จชต) และตั้งคณะกรรม การอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ (กอส.) ขึ้นมาแทนเพื่อแสวงหาสันติภาพในภาคใต้ ด้านหนึ่ง เป็นภาวะปกติของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งย่อมแสวงหาหนทางใหม่ๆในการแก้ไขปัญหา จะผิดหรือถูกก็ต้องลงไปสำรวจค้นคว้าโดยไม่เลือกข้าง แล้วก็ค่อยๆหาทางแก้ไขต่อไป [13] แต่อีกด้านหนึ่ง สังคมไทยที่เป็นรัฐราชการ (Bureaucratic polity) มายาวนาน มีระบบราชการที่แข็งแกร่งและแนวคิดเรื่องการรวมศูนย์นาจและการครอบงำท้องถิ่นมีมายาวนานมาก การแสวงหาหนทางใหม่ๆจะเกิดขึ้นได้อย่างไรในเมื่อแม้แต่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งได้รับคะแนนเสียงอย่างท่วมท้นยังถูกล้มล้างโดยคณะรัฐประหาร และความรุนแรงของเหตุการณ์ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นช่วงรัฐบาลของพรรคไทยรักไทยหรือคณะรัฐประหารหรือรัฐบาลอื่นก็ไม่ได้แตกต่างกัน [14] รัฐบาลชุดปัจจุบันซึ่งถือว่ามีฐานที่แข็งแกร่งในภาคใต้ก็ไม่มีบทบาทใดๆที่แตกต่างจากนโยบายของรัฐบาลอื่นๆในสาระสำคัญ สะท้อนให้เห็นความล้าหลังของระบอบการเมือง และนโยบายรวมศูนย์อำนาจที่ไม่มีการปรับตัวมาเป็นเวลานาน
กรณีที่สาม ปัญหามาบตาพุด คำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดที่ให้ระงับการดำเนิน งานของโครงการอุตสาหกรรมรวม 76 โครงการ มูลค่า 4 แสนล้านบาทในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดและพื้นที่ใกล้เคียงเป็นเขตควบคุมมลพิษในช่วงปลายเดือนกันยายน 2552 ไม่เพียงแต่สะท้อนให้เห็นจุดอ่อนในการบริหารของรัฐ หากสะท้อนให้เห็นภาวะที่ประชาธิปไตยอ่อนแอในการเมืองทั้ง 2 ระดับของประเทศ
นับตั้งแต่รัฐบาลพลเอกเปรม กำหนดให้พื้นที่มาบตาพุดเป็นเขตนิคมอุตสาหกรรมในปี พ.ศ. 2524 ทุ่มงบประมาณมากมายในการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เขตนี้พร้อมกับต้อนรับการลงทุนมูลค่ามหาศาลจากต่างประเทศ แม้โรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมากที่เกิดขึ้นจะได้สร้างอาชีพและรายได้แก่คนงานจำนวนมากและช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของพื้นที่ แต่เวลาผ่านไป ชุมชนที่อยู่รอบๆก็ได้พบว่าโรงงานเหล่านั้นสร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนมากขึ้นๆเป็นลำดับ
 
 “ที่ผ่านมา การควบคุมโรงงานอุตสาหกรรมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องพูดว่า
 ไร้ประสิทธิภาพโดยสิ้นเชิง กรณีที่เกิดเหตุการณ์ก๊าซรั่ว เกิดอุบัติภัยในโรงงาน เรื่อง
 การลักลอบทิ้งขยะเปื้อนสารเคมีในที่สาธารณะ และการระบายมลพิษในอัตราที่น่ากลัว
 สิ่งเหล่านี้ปล่อยให้เกิดขึ้นมา...ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2537
 ประชาชนยื่นหนังสือร้องเรียนและต่อสู้เรียกร้องมาตลอด แต่ไม่ได้รับการแก้ไข
 ฝ่ายรัฐเองพิจารณาเร่งปรับปรุงกระบวนการเพื่อรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่มาบตาพุด
 เป็นไปอย่างล่าช้า ประชาชนเผชิญกับอากาศเป็นพิษ ป่วยเป็นโรคทางเดินหายใจ โรคมะเร็ง
 บ่อน้ำที่ชาวบ้านใช้อุปโภคบริโภคในอดีตกลับตื้นเขิน สารอันตรายปนเปื้อน ประชาชนได้
 รับผลกระทบต้องล้มป่วย เข้ารับการรักษา...ที่โรงพยาบาลมาบตาพุดซึ่งมีเพียง 30 เตียง...
            ชาวมาบตาพุดต้องทนรับชะตากรรมมานาน เขตแนวกันระหว่างโรงงานกับชุมชน
 ถูกละเมิด น้ำประปาที่ใช้ดื่มกินไม่ได้รับการเหลียวแลจากรัฐ บ่อน้ำตื้นเขินใช้ไม่ได้ น้ำ
 ประปาขาดแคลนบ่อยครั้ง ต้องซื้อน้ำ มลพิษในอากาศไม่มีการกำหนดค่ามาตรฐานมานาน
 เพิ่งจะมากำหนดเมื่อปี 2550….
 รัฐบาลอนุมัติให้ขยายพื้นที่ก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมโดยไม่ฟังเสียงประชาชน
 เปลี่ยนสีผังเมือง จากสีเขียวซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยเป็นสีม่วงซึ่งสามารถสร้างโรงงานอุตสาหกรรม
 ได้และก่อให้เกิดผลกระทบเรื่องมลพิษแก่ประชาชนรอบโรงงาน...
                                     สุทธิ อัชฌาศัย, ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก
 
             “พล.อ. ชาติชายต้องการให้เมืองระยองโชติช่วงชัชวาล มีนายทุนกว้านซื้อที่ดิน ชาว
 บ้านขายที่ดินได้เงินมากมาย ความเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ปัญหาต่างๆเริ่มทวีความรุนแรง
 จากวันนั้นถึงวันนี้ รัฐบาลไม่ได้ใส่ใจหรือให้ความสำคัญในเรื่องสาธารณูปโภคและความอยู่
 กินดีของประชาชน ไม่ได้เตรียมวางแผนกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น...
                                     สุทธา เหมสถล, แกนนำชุมชนมาตาพุด-บ้านฉาง
 
 “อุตสาหกรรมทำลายวิถีชีวิตคนท้องถิ่น คนรุ่นผมที่มีอายุ 60 กว่าปี มีความรู้แค่ ป. 4
 จะไปทำงานโรงงานก็ไม่ได้ ต้องทำสวนพุทรา ปลูกแตงโม มันสำปะหลัง และประมงชายฝั่ง
 แต่ปัจจุบัน ปัญหามลพิษได้ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตชุมชน บ่อน้ำตื้นที่ชาวบ้านใช้มาตั้งแต่
 บรรพบุรุษ ใช้การไม่ได้เพราะมีสารปนเปื้อน ใช้ในการเกษตรก็ไม่ได้ มิหนำซ้ำยังลักลอบ
 ปล่อยน้ำเสียลงคลองอีก ขยะสารพิษจากโรงงานก็ลอบทิ้งในที่สาธารณะ...
 เจริญ เดชคุ้ม, ชาวเกาะกก-หนองแตงเมต ต.มาบตาพุด [15]
 
ถ้อยคำข้างต้นไม่เพียงชี้ให้เห็นการละเลยของรัฐในการควบคุมโรงงานอุตสาหกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนมานาน และไม่เพียงชี้ให้เห็นความล้มเหลวของภาครัฐในการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 (มาตรา 56) และรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 (มาตรา 67) แต่ยังสะท้อนว่าท้องถิ่นมีอำนาจจำกัดมาก รัฐบาลมีนโยบายจะสร้างนิคมอุตสาหกรรมที่ใดในท้องถิ่น ในช่วงปี พ.ศ. 2524 ก็มี อบจ. และเทศบาลแล้ว แต่ อปท. ก็มีอำนาจจำกัด ไม่มีปากเสียงในการออกความเห็นใดๆมากนักทั้งๆที่จะเกิดนิคมฯในพื้นที่ของตนเอง ครั้นมีรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 แล้วและได้มีประชาชนเป็นจำนวนมากที่ได้รับความเดือดร้อนจากโรง งานอุตสาหกรรม แต่การร้องเรียนของคนในท้องถิ่นก็ไม่เคยได้รับความสนใจจากหน่วยงานส่วนภูมิภาคหรือส่วนกลาง จนในที่สุด พวกเขาก็ได้ค้นพบวิธีการต่อสู้ทางกฎหมาย
กรณีที่สี่ ปัญหาผบ.ตร. ความล้มเหลวของนายกรัฐมนตรีในการแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้จนถึงขณะนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนให้เห็นความขัดแย้งในหมู่ชนชั้นนำ หากยังสะท้อนให้เห็นถึงผลประโยชน์มหาศาลที่จะได้รับจากตำแหน่งนี้หากฝ่ายใดได้ครองตำแหน่งดัง กล่าว แต่มีอีกประเด็นหนึ่งที่สังคมไทยละเลยตลอดมาก็คือ ระบบการรวมศูนย์อำนาจของตำรวจที่มีมาตั้งแต่รัฐบาลจอมพล ป.ในช่วงทศวรรษที่ 2490 เนื่องจากงบช่วยเหลืออันมหาศาลของรัฐบาลสหรัฐ และนับตั้งแต่กรมตำรวจก็ได้กลายเป็นกำลังส่วนหนึ่งระบอบเผด็จการทหารเรื่อยมา มีระบบการรวมศูนย์อำนาจทั่วประเทศ ทั้งๆที่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว ตำรวจซึ่งมีหน้าที่ดูแลทุกข์สุขของประชาชนควรจะอยู่ใกล้ชิดกับประชาชนให้มากที่สุด นั่นคือสังกัด อปท. แต่รัฐราชการไทยกลับหวงอำนาจอย่างรุนแรงไม่ยอมกระจายอำนาจการบริหารตำรวจให้แก่ อปท. แม้แต่น้อย และด้วยเหตุนี้ ยามเมื่อระบอบอำมาตยาธิปไตยยังดำรงอยู่ และฝ่ายประชาธิปไตยต้องการให้อำนาจเป็นของประชาชน และตำรวจควรจะปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน กลับกลายเป็นว่าการรวมศูนย์อำนาจยิ่งเข้มข้น และการแย่งชิงตำแหน่ง ผบ.ตร.ก็ยิ่งยอมกันไม่ได้ [16]
กรณีที่ห้า ปัญหากำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน ระบบกำนัน-ผู้ใหญ่บ้านที่สถาปนาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2432 ที่ให้พวกเขามาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน แต่ให้อยู่ในตำแหน่งจนถึง 60 ปี เป็นรูปแบบที่ผู้นำสยามได้มาจากการไปดูงานที่เมืองพม่าที่ขณะนั้นเป็นอาณานิคมของอังกฤษ การเป็นทวิลักษณะของกำนัน-ผู้ใหญ่บ้านที่ขึ้นต้นด้วยการเลือกตั้งโดยประชาชน แต่จบลงด้วยการเป็นคนของระบบราชการถูกใช้ในรัฐเมืองขึ้น แต่เมื่อสยามรัฐนำมาใช้ นั่นก็คือการจัดตั้งระบบรวมศูนย์อำนาจที่แนบเนียนด้วยการใช้คนท้องถิ่นปกครองกันเอง แต่กำนัน-ผู้ใหญ่บ้านไม่มีอำนาจอะไรในการพัฒนาท้องถิ่น ไม่มีงบประมาณใดๆ นอกจากรอคอยคำสั่งจากข้าราชการส่วนภูมิภาคและส่วนกลาง
ระบบรวมศูนย์อำนาจและท้องถิ่นที่ถูกทำให้อ่อนแออย่างยาวนานก่อให้เกิดปัญหานานัปการในสังคมไทย เริ่มตั้งแต่การหลั่งไหลของแรงงานจากชนบทสู่เมืองหลวงที่ไม่เพียงรวมศูนย์อำนาจการเมือง หากยังรวมศูนย์งบประมาณ, เงินทุนและความเจริญทุกๆด้าน จนเกิดสภาพเอกนคร (Primate city) ที่กรุงเทพฯ ซึ่งใหญ่โตกว่าเมืองใหญ่อันดับสองของประเทศเช่นเชียงใหม่หรือโคราชถึง 30 เท่า (ประชากร 12 ล้านคน – 3 ถึง 4 แสนคน); เชียงใหม่กลายเป็นเอกนครระดับภาค; การพัฒนาที่ไม่เท่าเทียมกันในสังคม; ปัญหาสังคมชนบทที่พ่อแม่จำนวนมากเข้าไปทำงานในเมืองทิ้งลูกหลานให้อยู่กับคนชรา; ส่วนคนหนุ่มสาวอพยพเข้าเมืองไปเรียนหนังสือและทำงาน; และทุนกับเจ้าหน้าที่ของรัฐก็ร่วมกันหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในท้องถิ่น ฯลฯ
การเกิดขึ้นของ อบต. และเทศบาลตำบล แม้ว่าการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นยังอยู่ในระยะเริ่มต้นแต่ได้เปิดโอกาสให้คนท้องถิ่นรู้จักบริหารท้องถิ่นของตนเองอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน หลายปัญหาโดยเฉพาะสิ่งก่อสร้างที่ขาดแคลนในชนบทได้รับการแก้ไขจากการมี อบต. และเทศบาล ตลอดจน อบจ. และยังจะต้องอาศัยเวลาเพื่อให้ประชาชนสามารถตรวจสอบและควบคุมการบริหารงานของ อปท. ได้มากขึ้นในอนาคต ดังนั้น การกำหนดให้กำนัน-ผู้ใหญ่บ้านมีวาระในการดำรงตำแหน่งและในที่สุดก็ให้ยกเลิกสถาบันนี้ (และให้ตำรวจมาขึ้นกับ อปท.ในอนาคต) จึงเป็นทิศทางที่ถูกต้องเพื่อประชาธิปไตยในระดับท้องถิ่น การถอยหลังกลับไปสู่การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่สถาบันกำนัน-ผู้ใหญ่บ้านหลังรัฐประหาร 19 กันยา กระทั่งมีการเพิ่มเงินเดือน รวมทั้งการให้มีกำนัน-ผู้ใหญ่บ้านในเขตเทศบาล ก็คือการไม่ยอมพัฒนาประชาธิปไตยระดับท้องถิ่นให้มากขึ้น และการพยายามรวมศูนย์อำนาจเข้าสู่ส่วนกลางอีกครั้ง (Recentralization) [17]
กรณีที่หก ปัญหารถไฟ ระบบรถไฟของสยามได้รับการพัฒนาเป็นอันดับต้นๆของเอเชียในสมัยรัชกาลที่ 5 และได้เชื่อมต่อกับเมืองสำคัญๆทั่วประเทศในรัชกาลต่อมา แต่หลังจากนั้น เส้นทางคมนาคมอื่นๆกลับได้รับการพัฒนารุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้บริการรถไฟล้าหลัง 1 ศตวรรษผ่านไป แทบทุกเมืองในสังคมไทยมีปัญหาจราจรติดขัด มีจำนวนยวดยานทุกชนิดเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล รถไฟฟ้าเพิ่งเปิดบริการสำหรับคนเมืองหลวง ส่วนต่างจังหวัด รถไฟซึ่งควรจะเป็นยานพาหนะที่ประหยัด สะดวก ราคาต่ำ ปลอดภัยและตรงเวลาที่สุดกลับกลายเป็นยวดยานของคนจนในต่างจังหวัดและนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ เส้นทางรถไฟยังคงมีเพียงสายหลักไม่กี่สายจากกรุงเทพฯถึงเมืองสำคัญๆในชายแดนแต่ละทิศ ทั้งหมดนั้นดำเนินการเสร็จสิ้นเมื่อ 80 ปีที่แล้ว รัฐบาลจอมพล ป. มีโครงการที่จะสร้างทางรถไฟจากสถานีเด่นชัย จังหวัดแพร่ต่อไปยังอำเภองาว ลำปาง พะเยา เชียงราย แม่สาย และเชียงแสน เมื่อปี พ.ศ. 2496 บัดนี้ผ่านไป 56 ปี ทุกอย่างคงเดิม
รถไฟถึงเชียงใหม่เมื่อปี พ.ศ. 2464 ผ่านไปแล้ว 88 ปี ไม่มีรถไฟไปถึงอำเภอฝาง ปาย แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ไม่มีรถไฟไปเมืองน่าน หรือตาก ไม่มีรถไฟวิ่งไปมาภายในตัวเมือง ไม่มีรถไฟวิ่งไปมาระหว่างอำเภอต่างๆกับตัวจังหวัด ภาคอื่นๆก็เป็นเช่นนี้เหมือนกันหมด ปัจจุบัน รถไฟไทยมีระยะทางที่เปิดการเดินทางเพียง 4,346 กิโลเมตร เป็นเพียงเส้นทางหลักที่เคยเปิดนานแล้ว แต่ไม่เคยมีเส้นทางรองที่ได้รับการขยาย ขณะที่โครงข่ายทางหลวงทั่วประเทศเชื่อมโยงทุกจังหวัดมีถึง 1,476 เส้นทาง มียานพาหนะที่จดทะเบียนในประเทศมีจำนวนถึง 26.42 ล้านคันในปี พ.ศ. 2551 และมีอัตราเพิ่มเฉลี่ย 8% ต่อปีในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา [18]
โลกเล็กลง ประชากรมีจำนวนมากขึ้นๆ สังคมและประเทศต่างๆต้องการระบบคมนาคมที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวดเร็วยิ่งขึ้น บรรทุกผู้โดยสารให้มากขึ้น ปลอดภัยมากขึ้น และใช้พลัง งานให้น้อยลง มีเพียงบางประเทศในโลกที่ทางหลวงและยวดยานบนทางหลวงกับกิจการรถไฟแตกต่างกันอย่างมหาศาล
ความล้าหลังของกิจการรถไฟไทยสะท้อนความล้าหลังของระบบความคิดของผู้นำประเทศและความล้าหลังของระบบการเมืองการบริหาร สังคมไทยเป็นสังคมที่มีแต่การรณรงค์ ผู้นำออกมาขี่จักรยานครั้งหนึ่งบนถนน ผู้คนซื้อจักรยาน แทบทุกคนมีจักรยานที่บ้าน คนส่วนใหญ่ปรารถนาจะได้ขี่จักรยานออกมานอกบ้าน แต่มีสักกี่คนที่กล้าขับขี่ออกมาโดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อไปทำงานแต่ละวัน มีคนไม่มากนักที่ขี่จักรยานเพื่อออกกำลัง ก็เพราะมีแต่การรณรงค์ การสร้างภาพ แต่ไม่มีการแก้ไขต้นตอของปัญหา ยวดยานวิ่งเต็มท้องถนน รถติดเป็นส่วนใหญ่ ทางจักรยานมีน้อยและถูกยึดครอง ยวดยานแล่นเร็วและเต็มไปด้วยอันตรายสำหรับคนขี่จักรยาน อากาศมีแต่ฝุ่นและควันพิษ ฯลฯ คนในท้องถิ่นเคยคิดไหมว่าท้องถิ่นควรบริหารอย่างไร; อปท. ไม่มีอำนาจบริหารจัดการระบบคมนาคม; ข้าราชการส่วนภูมิภาคมาแล้วก็ไป; สมาชิกสภาผู้แทนในอดีตเคยรับฟังปัญหาของประชาชนอย่างจริงจังหรือไม่; เคยไปดูงานต่างประเทศแล้วได้เห็นหรือไม่ว่าเขาจัดการระบบคมนาคมอย่างไร; ผู้นำระดับประเทศมีความรู้หรือว่าสนใจแต่ผลประโยชน์ส่วนตัวเกี่ยวกับทางหลวงและรถยนต์และเครื่องบิน; ระบบรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งขาดความมั่นคงถูกรัฐประหารโค่นล้มจะบริหารประเทศอย่างไร และที่ผ่านมาเคยมีคณะรัฐประหารชุดใดที่สนใจรับฟังความเห็นของประชาชนส่วนใหญ่และมุ่งแก้ไขปัญหาต่างๆของพวกเขาให้หมดไป ฯลฯ [19]
กรณีที่เจ็ด จุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจ 1 ทศวรรษที่ผ่านมานับแต่มีการประกาศใช้รัฐธรรม นูญฉบับ พ.ศ. 2540 ที่ส่งเสริมการกระจายอำนาจ กำหนดให้ อปท. มีหน้าที่ดูแลศิลปวัฒนธรรมและทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ ตั้งแต่นั้น ท้องถิ่นบางแห่งก็เริ่มแสดงอัตลักษณ์ของท้องถิ่นด้วยความสำนึกรักและภาคภูมิใจ แน่นอน อาจมีบางพื้นที่ที่พยายามปกป้องอัตลักษณ์ของท้องถิ่นก่อนหน้านั้นด้วยซ้ำ หลายภาคส่วนจึงเริ่มสนใจท้องถิ่นและเห็นว่านั่นคือช่องทางที่จะส่งเสริมการท่อง เที่ยว แต่การที่มีจุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลายจุดเกิดขึ้น
โปรดสังเกตว่าญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ดำเนินนโยบายกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นอย่างแข็งขันเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2490 แต่สังคมไทยกลับเดินหน้าเข้าสู่ระบอบเผด็จการทหารและระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบพร้อมทั้งควบคุมท้องถิ่นให้อ่อนแอและอยู่ในโอวาทมาเป็นเวลานานอย่างน้อย 3 ทศวรรษเศษ (2490-2531) แต่สิ่งที่สังคมไทยมีคือเป็นสังคมที่มีความอุดมสมบูรณ์ด้านการเกษตรและทรัพยากรธรรมชาติ ตลอดจนเป็นแหล่งท่องเที่ยวได้ทั้งปี ผิดกับญี่ปุ่นที่มีอากาศหนาวเหน็บ ประชากรหนาแน่น ขาดทรัพยากรธรรมชาติ สหรัฐวางแผนให้ญี่ปุ่นเป็นรัฐที่ยกเลิกกระทรวงกลาโหม ส่งเสริมการเกษตรให้ชาวนาญี่ปุ่นอยู่ได้ เร่งรัดพัฒนาอุตสาหกรรมและดำเนินนโยบายกระจายอำนาจ ส่งเสริมท้องถิ่นให้บริหารจัดการท้องถิ่นของตนเอง แต่สหรัฐกลับทำให้ไทยเป็นรัฐทหาร ดำเนินนโยบายรวมศูนย์อำนาจ ใช้ระบบราชการควบคุมและปกครองทุกพื้นที่ ให้ไทยเป็นแหล่งต้อนรับการลงทุนของโลกทุนนิยมโดยเฉพาะสหรัฐและญี่ปุ่น จากนั้น จึงส่งเสริมการท่องเที่ยว
การโหมกระพือข่าวสงกรานต์เชียงใหม่ในช่วงปี พ.ศ. 2503-05 การประชุมนานาชาติที่เชียงใหม่เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในแถบเอเชีย-แปซิฟิก ในปี พ.ศ. 2512 คือ การเปิดยุคทำสังคม ไทยให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว และต่อจากนั้น ก็มีการกำหนดคำขวัญของแต่ละจังหวัด แน่นอน ความภูมิใจของผู้คนในแต่ละจังหวัดย่อมแตกต่างกัน เช่น ประเพณี ผู้นำ วีรชน วีรกรรม อาหาร สถานที่ที่เคารพหรือน่าเยี่ยมชม ฯลฯ แต่เหตุใดคำขวัญของแต่ละจังหวัดจึงเน้นไปที่แหล่งท่อง เที่ยว คำตอบก็คือเพราะกระทรวงมหาดไทยรับผิดชอบจังหวัดต่างๆจึงกำหนดให้ผู้ว่าฯและนาย อำเภอคิดคำขวัญตามนโยบายของรัฐ (และตามที่สหรัฐผลักดัน) นั่นคือส่งเสริมการท่องเที่ยว สะท้อนให้เห็นบทบาทอันจำกัดของคนในท้องถิ่นหรือ อปท. ที่ไม่สามารถกำหนดอัตลักษณ์หรือคำขวัญของตนเองได้เอง
การเติบโตของแม่สาย, ปาย, ตลาดสามชุก, เมืองน่าน, วัดร่องขุ่น เชียงราย, หรือตลาดน้ำอัมพวา สมุทรสงคราม ฯลฯ ทั้งหมดนี้แยกไม่ออกจากการท่องเที่ยวที่ผู้คนที่มีรายได้ดีต้องการพัก ผ่อนหย่อนใจ ท้องถิ่นที่เติบโตเกิดจากหลายปัจจัย แต่ที่สำคัญก็คือมีความงดงาม แปลกใหม่ เป็นผลงานของปัจเจกที่ทุ่มเททำงาน หาใช่เกิดจากองค์กรใดของท้องถิ่นหรือเกิดจากการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น, หลายพื้นที่เก็บรักษาสิ่งที่มีอยู่เดิมไว้มิใช่ด้วยสำนึกรักและอนุรักษ์ท้องถิ่น แต่เพราะความไม่เท่าเทียมกันในการพัฒนาประเทศ ขณะเดียวกัน เมื่อมีบางเมืองเติบโตอย่างรวดเร็วและไร้ทิศทางเกิดปัญหา คนส่วนใหญ่ก็จะรีบฉกฉวยหาโอกาสใหม่ๆ ละทิ้งวิถีชีวิตดั้งเดิม ขณะที่ท้องถิ่นที่ไม่ได้รับการพัฒนาอาศัยข้อดีที่ตนเองไม่ถูกทำลาย กลายเป็นทางเลือกใหม่ที่สังคมสมัย ใหม่โหยหา แต่ด้วยความแตกต่างระหว่างท้องถิ่นกับส่วนกลาง ในที่สุดทุนสมัยใหม่ก็รุกเข้าไปครอบงำท้องถิ่น การไปเยือนมิใช่ไปด้วยความเคารพและช่วยกันรักษาท้องถิ่นแต่เป็นเพียงการไปหาดู “ของแปลกใหม่” ดังนั้น ท้องถิ่นจึงต้องเข้มแข็ง และส่วนกลางต้องสนับสนุน ไม่ใช่ครอบงำ
การโฆษณาว่าเชียงใหม่เป็นเมืองประวัติศาสตร์ แต่กลับเต็มไปด้วยอาคารสูงและความทันสมัย การพัฒนาที่รวดเร็วและมากเกินไปเกิดปัญหาด้านลบต่อเชียงใหม่ และทำให้แรงผลักดันด้านบวกที่จะอนุรักษ์ลำพูน ลำปาง พะเยา-แพร่-น่าน และศึกษาบทเรียนด้านลบจากเชียงใหม่-เชียงราย ความทันสมัยเกินไปของเชียงใหม่ผลักดันให้นักท่องเที่ยวต่างชาติหนีออกจากเมืองไปเสาะหาชุมชนเล็กๆที่งดงามและเงียบสงบจนได้พบเมืองปาย ที่ปัจจุบันเติบโตมากเกินไปเพราะปัจจัยภายนอก มีคนมีเงินจากต่างถิ่นบุกเข้าไปลงทุนและเปลี่ยนแปลงสร้างปัญหาหลายด้านให้แก่ท้องถิ่นนั้น และอปท. ก็ไม่มีอำนาจมากพอที่จะปกป้องอัตลักษณ์ของตนเองไว้ได้
หรือกรณีตลาดน้ำและแหล่งหิ่งห้อยหรือถนนนิมมานเหมินท์ที่เชียงใหม่ กองทัพนักลงทุนและนักซื้อของจากเมืองหลวงที่เข้าไปพร้อมกับค่านิยมสมัยใหม่และเรือหางยาวและยวดยานที่บุกเข้าไปในช่วงวันหยุดได้เปลี่ยนโฉมหน้าชุมชนดั้งเดิม ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของคนท้องถิ่นและคุณภาพของสิ่งแวดล้อม, เกิดความขัดแย้งระหว่างท้องถิ่นกับปัจจัยภายนอก - ท้องถิ่นที่มีทั้งส่วนที่อยากเปลี่ยนแปลงและส่วนที่อยากจะอนุรักษ์ และอปท.ที่มีอำนาจจำกัดและต้องเผชิญทั้งปัญหาและแรงกดดันหลายด้าน ตลอดจนปัญหาการจัดความรู้เพื่อความสมดุลระหว่างเก่ากับใหม่ ฯลฯ
การผุดขึ้นของพิพิธภัณฑ์ต่างๆทั้งระดับชาติ ส่วนภูมิภาค และท้องถิ่นมีทั้งด้านที่เป็นความตื่นตัวสำนึกรัก แต่ก็มีทั้งการหางบประมาณเพื่อสร้างให้เป็น “ผลงาน” หรือตามแฟชั่น หรือข้อขัดแย้งระหว่างคุกกลางเมืองเชียงใหม่ซึ่งเกิดขึ้นหลังการรื้อคุ้มหลวงของเจ้าเมืองเชียงใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 5 และบัดนี้ผ่านไป 100 ปีเศษ คนท้องถิ่นเรียกร้องขอให้รื้อคุกสร้าง “ข่วงหลวง” กลางเมืองแทน แต่ฝ่ายกรมราชทัณฑ์กลับอ้างความเก่าแก่ของอาคารคุกควรเก็บไว้เป็นพิพิธภัณฑ์ ขณะที่สำนักงานอำเภอเมืองที่อยู่ใกล้ๆก็ต้องการเพื่อขยายพื้นที่สำนักงาน; กรณีเมืองมรดกโลก แต่ถูกพ่อค้าแม่ค้าบุกรุก จนเขตเมืองเก่ากลายเป็นเมืองใหม่ สูญเสียอัตลักษณ์และทำผิดกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้จนเกือบต้องสูญเสียความเป็นเมืองมรดก ย่อมสะท้อนให้เห็นความล้มเหลวของระบบการบริหารจัดการที่รวมศูนย์อำนาจแบบแยกส่วน (หน่วยงานใครหน่วยงานมัน) และท้องถิ่นที่ถูกทำให้อ่อนแอตลอด 1 ศตวรรษที่ผ่านมา [20]
กรณีที่แปด ประเด็นการเลือกตั้งผู้ว่าฯโดยตรงจากประชาชน การที่ญี่ปุ่นผงาดขึ้นเป็นประเทศที่เจริญก้าวหน้าและคุณภาพของประชากรมีความมั่นคงปลอดภัยมากที่สุดประเทศหนึ่งของโลก จะเป็นเพราะสาเหตุใดก็ตาม แต่ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือญี่ปุ่นมีระบบการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นที่พัฒนาแล้วเหมือนกับประเทศตะวันตกที่พัฒนาทั้งหลาย ญี่ปุ่นไม่มีระบบบริหารราชการส่วนภูมิภาคที่คอยแทรกแซงและควบคุมการปกครองท้องถิ่นไว้เช่นของไทย สหรัฐเข้ายึดครองญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พร้อมกับสถาปนาระบบผู้ว่าฯเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนในทุกๆจังหวัดทั่วประเทศ รัฐไทยนำแนวคิดโอท็อปจากจังหวัดหนึ่งของญี่ปุ่นมาใช้ในไทย แต่ลืมไปว่าทุกๆจังหวัดของญี่ปุ่นมีผู้ว่าฯที่ขึ้นตรงต่อประชาชนและรับใช้ท้องถิ่นตามวาระ 4 ปี ขณะที่ผู้ว่าฯของไทยย้ายไปมา วันๆต้องคอยดูทิศทางการเมือง รอรับคำสั่ง คำว่าประชาชนและท้องถิ่นมาหลังสุด ปัญหาต่างๆในท้องถิ่นก็กวาดไว้ใต้พรม ไม่ต้องเหนื่อย เพราะอยู่ไม่นานก็ต้องย้าย
การรณรงค์เลือกตั้งผู้ว่าฯในช่วงกลางทศวรรษ 2530 ไม่ได้รับการสนองตอบจากรัฐ แต่กระทรวงมหาดไทยแก้ไขปัญหาด้วยการจัดตั้ง อบต. ในปี พ.ศ. 2537 ส่วนการเลือกตั้งผู้ว่าฯก็ไม่มีการให้ความสนใจเลยจนถึงปัจจุบัน ไม่ใช่เพราะประชาชนไม่พร้อม แต่เพราะรัฐราชการที่คุ้นชินกับระบบการรวมศูนย์อำนาจและระบอบอำมาตยาธิปไตยไม่พร้อมที่จะปล่อยอำนาจให้อยู่ในมือของผู้ว่าฯที่มาจากการเลือกตั้ง การเลือกตั้งนายก อบจ. ทั่วประเทศที่ให้มีอำนาจจำกัด โดยเฉพาะโครงการและงบประมาณทั้งหมดจะต้องได้รับการอนุมัติโดยผู้ว่าฯ จึงนำไปสู่การควบคุมทางกฎหมาย และบีบบังคับให้นายก อบจ. ต้องคอยเกรงอกเกรงใจผู้ว่าฯ เนื่องจากอำนาจที่เหนือกว่าดังกล่าว และเมื่อรัฐประหารและระบอบอำมาตยาธิปไตยหวนคืนสู่อำนาจ ระบบผู้ว่าฯแต่งตั้งก็คือเครื่องมือสำคัญของระบอบอำมาตยาธิปไตยในการควบคุมกำลังของท้องถิ่นในทุกๆจังหวัด จะยึดอำนาจหรือไม่ก็ไม่สำคัญ แต่ที่สำคัญคือหากมีระบบผู้ว่าฯเลือกตั้งโดยประชาชน ก็เท่ากับว่าระบบการบริหารส่วนภูมิภาคจะต้องสิ้นสุดลง เท่ากับนำสังคมไทยก้าวไปสู่ระบบการบริหารที่ทัด เทียมกับประเทศอารยะที่มีเพียงการบริหารราชการส่วนกลางและการปกครองท้องถิ่น การไม่มีระบบการบริหารส่วนภูมิภาคย่อมจะทำให้ท้องถิ่นไม่ถูกครอบงำและแทรกแซง เกิดการแข่งขันกันระหว่างจังหวัดต่างๆ สามารถปกครองตนเองได้และพัฒนาท้องถิ่นให้ก้าวหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน ก็จะทำให้ส่วนกลางสูญเสียอำนาจในการครอบงำและแทรกแซงท้องถิ่นโดยเฉพาะการควบคุมด้านงบประมาณและการใช้ทรัพยากรแต่ละด้านดังที่เคยได้ทำยาวนานในอดีต
นี่คือตัวอย่างสำคัญอีกอันหนึ่งที่ชี้ให้เห็นว่าเหตุใดประชาธิปไตยท้องถิ่นจึงพัฒนาอย่างล่าช้า และรัฐราชการแบบรวมศูนย์ที่ส่วนกลางและระบอบอำมาตยาธิปไตยไม่ยอมกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น อีกทั้งไม่ยอมให้ประชาธิปไตยในระดับชาติก้าวหน้าต่อไปอย่างมั่นคง แต่ต้องล้มลุกคลุกคลานตลอดมา
ในแง่นี้ ความสัมพันธ์อันเหนียวแน่นระหว่างประชาธิปไตยทั้ง 2 ระดับจึงมีความสำคัญยิ่งในการส่งเสริมซึ่งกันและกัน การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในระดับประเทศโดยละเลยประชาธิป ไตยในระดับท้องถิ่นจึงเท่ากับการลิดรอนกำลังของตนเองหรือไม่เพิ่มกำลังให้แก่ตนเองในระยะยาว ส่วนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยระดับท้องถิ่นนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เพราะยากที่จะเกิดขึ้นในสังคม ไทยที่เป็นรัฐรวมศูนย์อำนาจอย่างมากมายาวนาน และประชาธิปไตยเกิดขึ้นครั้งแรกในระดับชาติเมื่อปี พ.ศ. 2475 และจนบัดนี้ ภารกิจการสร้างประชาธิปไตยระดับชาติก็ยังไม่บรรลุ ความสนใจของคนจำนวนไม่น้อยในสังคมไทยตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ก็คือ ทุ่มเทความสนใจทั้งหมดไปที่การสร้างประชาธิปไตยระดับชาติ แต่ให้ความสนใจต่อประชาธิปไตยระดับท้องถิ่นน้อยมาก หรือไม่เห็นความสำคัญเลย
 
 
 
เชิงอรรถ
 
[1]  Diane Perrons, Globalization and Social Change. People and Places in a Divided World. London: Routledge, 2004, Chapter 1: Analyzing globalization and social change.
[2] David Beetham, Democracy: A Beginner’s Guide. Oxford: Oneworld, 2005 and Paul Ginsborg, Democracy: Crisis and Renewal. London: Profile Books, 2008
[3] Alan Norton, International Handbook of Local and Regional Government. A Comparative Analysis of Advanced Democracies. Aldershot: Edward Elgar, 1994 Chapters 4, 7, and 8
[4] ฉัตรทิพย์ นาถสุภา, วัฒนธรรมไทยกับขบวนการเปลี่ยนแปลงสังคม. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์ฯ, 2534
[5] ฉัตรทิพย์ นาถสุภา และพรพิไล เลิศวิชา, วัฒนธรรมหมู่บ้านไทย. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์สร้างสรรค์, 2537 บทที่ 1 ภาคเหนือ หน้า 39-80
[6] ธเนศวร์ เจริญเมือง, 100 ปี การปกครองท้องถิ่นไทย, พ.ศ. 2440-2540. พิมพ์ครั้งที่ 6 กรุงเทพฯ: โครงการจัดพิมพ์คบไฟ, 2550
[7] ธเนศวร์ เจริญเมือง, รัฐศาสตร์ที่ยังมีลมหายใจ. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์พิราบ, 2547 บทที่ 4: รัฐไทย – รัฐที่กระจายอำนาจล่าช้า หน้า 75-96
[8] ธเนศวร์ เจริญเมือง, บรรณาธิการ. เลือกตั้งผู้ว่าฯ. เชียงใหม่: โครงการศึกษาการปกครองท้องถิ่น, คณะสังคมศาสตร์, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2537
[9] ข้อมูลจากส่วนวิจัยและพัฒนาระบบรูปแบบและโครงสร้าง สำนักพัฒนาระบบรูปแบบและโครงสร้าง, กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น, กระทรวงมหาดไทย 15 สิงหาคม พ.ศ. 2551 http://www.thailocaladmin.go.th/work/apt150851.pdf 9/24/2009
[10] โปรดดู ณัฐกร วิทิตานนท์, “ขอคน “เชียงใหม่” กำหนดอนาคตของตัวเอง.” http://www.prachatai.com/journal/2009/02/20107 และ ดวงจันทร์ อาภาวัชรุตม์, เมืองยั่งยืนในเชียงใหม่. เชียงใหม่: สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ธันวาคม 2548 และ ธเนศวร์ เจริญเมือง, ประวัติศาสตร์และพัฒนาการการปกครองท้องถิ่น: เทศบาลนครเชียงใหม่ (พ.ศ. 2476-2549). กรุงเทพฯ: วิทยาลัยพัฒนาการปกครองท้องถิ่น สถาบันพระปกเกล้า, มกราคม 2550
[11] ครองชัย หัตถา, ประวัติศาสตร์ปัตตานี สมัยอาณาจักรโบราณถึงการปกครอง 7 หัวเมือง. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์, 2551 และพรรณงาม เง่าธรรมสาร, วิกฤตมณฑลปัตตานี พ.ศ. 2465: บทเรียนสมัยรัชกาลที่ 6. กรุงเทพฯ: โครงการความมั่นคงศึกษา, สกว. มิถุนายน 2551
[12] คณะทำงานวาระทางสังคม, ความรู้และความไม่รู้ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปี 2552. กรุงเทพฯ: สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, กันยายน 2552 หน้า 25
[13] แผนงานร่วมศึกษาเสริมสร้างสุขภาพ กรณี 3 จังหวัดภาคใต้, คณะทำงานวาระทางสังคม, ความรู้และความไม่รู้ จังหวัดชายแดนภาคใต้. บทนำโดย ชัยวัฒน์ สถาอานันท์, โครงการตลาดวิชามหาวิทยาลัยชาวบ้าน, กรกฎาคม 2549; นิธิ เอียวศรีวงศ์, บก. มลายูศึกษา ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับประชาชนมลายูมุสลิมในภาคใต้. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์อมรินทร์, มิถุนายน 2550; จาตุรนต์ ฉายแสง, จาตุรนย์บนทางดับไฟใต้. กรุงเทพฯ: สนพ.มติชน, 2551; และวารสาร Deepsouth. เล่มที่ 1-4, 2550-2552.
[14] มติชนรายวัน. วันที่ 21 ตุลาคม 2552 หน้า 9
[15] มติชนรายวัน. วันที่ 30 กันยายน, 2 ตุลาคม 2552 หน้า 9 และ The Nation. October 1, 2009 p. B1
[16] พล.ต.อ.วิสิษฐ์ เดชกุญชร, “ตำแหน่ง ผบ.ตร. ใครสาบ?” มติชนรายวัน. วันที่ 18 สิงหาคม 2552 หน้า 6; มติชนสุดสัปดาห์. ฉบับวันที่ 28 สิงหาคม-3 กันยายน 2552 หน้า 20 และฉบับวันที่ 4-10 กันยายน 2552 น. 9, 14-15 และโปรดดูแนวคิดเรื่องตำรวจในรัฐประชาธิปไตย เช่น Michael D. Lyman, The Police An Introduction. 3rd ed. NJ: Pearson Prentice Hall, 2005 Chapter 2: Historical Foundations, Chapter 3: Contemporary Police System
[17] นิธิ เอียวศรีวงศ์, “กำนันผู้ใหญ่บ้าน” มติชนรายวัน. วันที่ 28 พฤษภาคม 2552 น.6; สุวัฒน์ คงแป้น, “สภาองค์กรชุมชน” มติชนรายวัน. วันที่ 21 มิถุนายน 2552 น. 9; และเพ็ญนภา จันทร์แดง, “มองกำนันผู้ใหญ่บ้านหลังแก้ไข พรบ. ลักษณะปกครองท้องที่” มติชนรายวัน. วันที่ 27 กรกฎาคม 2552 หน้า 10
[18] ดวงจันทร์ อาภาวัชรุตม์, โลกร้อนกับประเทศไทย. เชียงใหม่: สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ธันวาคม 2551 หน้า 206-226
[19] ดวงจันทร์ อาภาวัชรุตม์, เมืองในสังคมไทย. ปรับปรุงครั้งที่ 2 เชียงใหม่: สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2551 หน้า 201-228
[20] พรรณงาม เง่าธรรมสาร และปรีดา คงแป้น, เรียบเรียง. ย้อนมอง...สามชุกตลาดร้อยปี กว่าจะถึงวันนี้. เอกสารในการรับรางวัลอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม ของยูเนสโก 11 ธันวาคม 2552, และสุภาภรณ์ อาภาวัชรุตม์ และดวงจันทร์ อาภาวัชรุตม์, บก. เรื่องเล่าชาวกาด. เล่ม 1-6 (พ.ศ. 2546-2552) เชียงใหม่: มูลนิธิสถาบันพัฒนาเมืองเชียงใหม่
 
 
                       

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ใบตองแห้งออนไลน์: สามเหลี่ยมทองคำ!

Posted: 02 Jul 2010 10:12 PM PDT

<!--break-->

OMG! Oh My Gosh! ระบอบอภิสิทธิ์อนุมัติงบประมาณฟรีจากภาษีประชาชน 600 ล้านให้อานันท์-หมอประเวศ ไปตั้งสำนักงานปฏิรูปประเทศไทย ใช้เวลาการทำงาน 3 ปี

ไม่ผิดไปจากที่ปรามาสไว้ ลัทธิประเวศศ์ศ์ศ์ สอนให้ชาวบ้านไม่ต้องพึ่งทุนนิยม แต่ทำอะไรต้องใช้เงินมหาศาล ถลุงงบประมาณยิ่งกว่าโครงการทีมชาติไทยไปบอลโลก (เซ็งเป็ดเลย กะจะเชียร์อาร์เจนตินาถล่มเยอรมันซักหน่อย ดันโผล่มาเชียร์ด้วย)

สิ่งที่ผมติดใจคือ สำนักงานปฏิรูปประเทศไทย จะต้องเอาเงินไปทำอะไร ในเมื่อหน้าที่ของอานันท์ ประเวศ คือออกพิมพ์เขียวแนวทางปฏิรูปไปให้รัฐบาล ซึ่งจะปฏิบัติตามหรือไม่ก็แล้วแต่

หมอประเวศทำงานมา 30 ปี จะเสนอแนวทางปฏิรูปประเทศทั้งที ทำไมต้องใช้เงินถึง 600 ล้านไปคิดวิเคราะห์ ปราชญ์อย่างท่านยังไม่ตกผลึกอีกหรือ ผมเชื่อว่าใช้เวลาเพียง 7 วัน หมอประเวศก็น่าจะเขียนออกมาได้เป็นข้อๆ ซัก 10-20 ข้อว่าควรจะปฏิรูปประเทศไทยอย่างไรบ้าง

หรือว่าเงินภาษี 600 ล้านจะช่วยเนรมิตแนวคิดพิสดารบรรเจิดเลิศเลอ อย่างที่ไม่เคยพบเคยเห็นกันมาก่อนในสังคมไทย จะช่วยให้ลัทธิประเวศศ์ศ์ศ์บรรลุขั้นสกทาคามี (ปัจจุบันท่านคงบรรลุโสดาบันไปแร้ววว...) คิดฝันปั้นแต่งสิ่งวิเศษสุดสำหรับสังคมไทย ที่ไม่มีใครเคยคิดได้มาก่อน

อ๊ะอ๊ะ แต่ถ้าเงิน 600 ล้านหมดแล้ว ได้ข้อสรุปออกมา 10-20 ข้อเหมือนคัดมาจากหนังสือหมอประเวศ ก็เตรียมตอบคำถามประชาชนเจ้าของเงินภาษีไว้ด้วยนะครับ

แต่มองโลกในแง่ดีเข้าไว้ ก็อาจเป็นได้ว่าคณะกรรมการปฏิรูปประเทศไทยต้องการให้ประชาชนมีส่วนร่วม เพราะฉะนั้นก็จะต้องใช้งบประมาณ ระดมมวลชน NGO ในเครือข่าย สสส.พอช.มาร่วมฟังการเสวนา ที่มีวิทยากรเช่น อ.อคิน อ.ศรีศักดิ์ อ.ไพบูลย์ หมอพลเดช หมอชูชัย หมอวิชัย ประสาร มฤคพิทักษ์ ครูหยุย ครูแดง รสนา ผัวรสนา วิทยากร เชียงกูล ฯลฯ จากนั้นก็เปิดให้พูดคุยแลกเปลี่ยน แสดงความคิดเห็น โดยพูดอะไรที่เป็นพุทธปรัชญาเข้าไว้ ลอยๆ เข้าไว้ น้ำเสียงเนิบๆ เข้าไว้ ไม่รู้อะไรก็พอเพียงเข้าไว้

ซึ่งแน่นอนว่าต้องใช้งบประมาณค่าจัดประชุมค่าเบี้ยเลี้ยงค่าที่พักค่าเดินทาง แม้อาจจะไม่จัดเลี้ยงหัวละ 850 บาทเหมือนที่กระทรวงสาธารณสุขจัดประชุม อสม. แต่ลัทธิประเวศศ์ศ์ศ์ก็ต้องเดินได้ด้วยเงินเหมือนกันนะคร้าบ

พูดๆๆๆๆๆ กันอยู่อย่างนี้ 3 ปี ผลการรวบรวมความคิดเห็นมวลชนก็จะออกมาไม่ต่างจากที่หมอประเวศเขียนออกมา 10-20 ข้อในเวลา 7 วัน เพียงแต่ประทับตรา “ประชาชนมีส่วนร่วม” (แบรนด์เนมเลยละ)

อ้าว! ก็คุณตั้งวงกันเองมีส่วนร่วมกันเอง คนอื่นเขาไม่เข้าร่วม แล้วมันจะมีประเด็นของคนอื่นโผล่มาได้อย่างไรละครับ

ผมเนี่ยนึกภาพออกเลยว่าจะต้องมีการจัดประชุมเสวนามวลชนแบบพวกเครือข่ายพลเมืองกรุงเทพฯ ของหมอพลเดช และภุชงค์ กนิษฐชาติ ที่พูดอะไรนิ่มๆ น่าฟัง แต่ไม่มีสาระนอกจากจะพยายามทำให้สังคมประนีประนอมโดยไม่แก้ไขรากเหง้าของปัญหา

ถามว่าในเมื่อรู้แล้วว่าปั๊มแบรนด์เนม “ประชาชนมีส่วนร่วม” แล้วผลสรุปก็จะออกมาเหมือนเดิม ถ้าอย่างนั้นจะต้องทำทำไม

ยังจำได้ไหม ตอนที่พี่เปี๊ยกกับ อ.พิชายเสนอโปรเจกท์ 100 ล้านของบ สสส.มาเคลื่อนไหวเสริมสร้างประชาธิปไตย คราวนั้นไม่ได้ แต่คราวนี้ได้มาเต็มๆ 3 ปี 600 ล้าน ในทางทฤษฎีการเคลื่อนไหวเขาเรียกว่าเป้าหมายยังไม่สำคัญเท่ากระบวนการ นั่นคือรู้อยู่แล้วว่าผลจะออกมาอย่างไร แต่กระบวนการเคลื่อนไหวจะช่วยสร้างเครือข่ายให้เข้มแข็ง ดึงมวลชนเข้ามาเป็นพวกของตัวได้มากขึ้น

ฉะนั้น เงินภาษี 600 ล้านนี้ เป้าหมายที่แท้จริงก็คือ การสยายปีกของเครือข่ายลัทธิประเวศศ์ศ์ศ์ ที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง เพราะเขาจะเอาไปสร้างมวลชน สร้างองค์กร-ที่ไม่ใช่พันธมิตร เพราะไม่ได้มาทั้งหมด แต่มาเฉพาะเครือข่าย NGO ลัทธิประเวศศ์ศ์ศ์ (คือพวกพี่เปี๊ยกของผมนี่แหละ) ส่วนพวกสนธิ ASTV ฮาร์ดคอร์ ก็จะค่อยๆ หมดบทบาทกลายเป็นซากทางประวัติศาสตร์ไป หรือเป็นได้แค่ผู้สนับสนุน

ที่น่าจับตาอย่างยิ่งก็คือ มันมีสัญญาณบ่งบอกว่าการสยายปีกครั้งนี้ของเครือข่ายลัทธิประเวศศ์ศ์ศ์ จะมุ่งไปที่ “ปฏิรูปการศึกษา” ฟังดูก็น่าจะดีนะครับ แต่อย่าลืมว่าลัทธิประเวศศ์ศ์ศ์ “สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา” ไม่เคยทำอะไรฟรีๆ แค่เสนอความเห็นแล้วจบ มันมีความเป็นไปได้ว่าการ “ปฏิรูปประเทศไทย” จะนำไปสู่การตั้งองค์กรที่มาดูแลปฏิรูปการศึกษา โดยอยู่ภายใต้เครือข่ายลัทธิประเวศศ์ศ์ศ์ เปรียบเหมือน สสส.ภาคการศึกษา มีแหล่งที่มาของเงินทุนที่แน่นอน (ซึ่งน่าจะได้เงินมาจากการเก็บภาษี ร.ร.กวดวิชาเคมีครูอุ๊ แบบ สสส.ได้มาจากภาษีเหล้าบุหรี่ ฮิฮิ)

คราวนี้แหละครับ หมอประเวศจะได้นอนตายตาหลับเสียที เพราะเครือข่ายลัทธิประเวศศ์ศ์ศ์ (โปรดสังเกตผมสะท้อนเสียง 3 ครั้ง) จะเข้าไปยึดครองงานด้านประชาสังคมทั้ง 3 ด้านนั่นคือ การศึกษา สาธารณสุข และงานพัฒนาชุมชน ผ่าน สสส. พอช. และองค์กรด้านการศึกษาที่จะตั้งขึ้นใหม่ โดยมีสาวกลัทธิประเวศศ์ศ์ศ์เข้าไปยึดครองอำนาจการบริหารทั้งหมด มีเงินให้ใช้จ่ายปีละนับหมื่นล้านหมุนเวียนสนับสนุนเครือข่ายของตัวเอง โดยรัฐบาลไหนมาก็แตะต้องไม่ได้

ไชโย ลัทธิประเวศศ์ศ์ศ์จงเจริญ ไชโยๆ

คิดแล้วก็อยากเอาหัวตัวเองโขกกำแพง ไอ้โง่เอ๊ย ถ้ารู้จักเก็บปากเก็บคำทำหนิมหน่อย วิพากษ์วิจารณ์พันธมิตรอย่างเนียนๆ ไม่เขียนลงประชาไท ไม่ปากสว่างลามปามหมอประเวศ อาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพวกพี่เปี๊ยกพี่หมอพลเดช (แถวๆนั้นรู้จักตั้งหลายคน) เผลอๆ จะได้งานทำในสำนักงานปฏิรูปประเทศไทย ไม่ต้องวิจัยฝุ่นอยู่อย่างนี้ เขาอยากได้อยู่แล้วคนที่ภาพ “เป็นกลาง” หน่อย เพราะมันดูดีโรยหน้าได้

หรือไม่ก็อาศัยช่วงฮือฮา “ปฏิรูปสื่อ” ตั้งองค์กรเขียนโปรเจกท์อะไรซักอย่างแบบงานวิจัยผลกระทบและพัฒนาสื่อ ร่วมมือกับน้องๆ 3-4 คน ไปขอชื่อพวกพ้องในเครือข่ายมาเป็นที่ปรึกษา ของบ สสส.ซักปีละ 5-10 ล้าน ตั้งเงินเดือนให้ตัวเองพร้อมเบี้ยประชุมค่าน้ำมันรถ ซื้อตึกซักหลังแล้วติดป้าย “อาคารปลอดบุหรี่” ยังไปขอเงิน สสส.มาต่อเติมซ่อมแซมได้อีก

งาน NGO สมัยนี้น่ะทำไม่ยากหรอกครับ มีชื่อหน่อย มีเครดิตหน่อย เขียนโปรเจกท์เป็น มี “คนดี” รับประกันว่าเราเป็น “คนดี” (ในเครือข่ายเดียวกัน) ทำโครงการ “แด่น้องผู้หิวโหย” “แต่น้องผู้หิวข้าว” “แด่น้องผู้หิวน้ำ” (ยกเว้นอย่างเดียวห้าม “แด่น้องผู้หิวบุหรี่”) ก็ของบ สสส.ได้แล้ว เพราะในขณะที่ประชาไท (หลังถูก สสส.ตัดเงินสนับสนุน) ดิ้นกระแด่วๆ ขอบริจาคเงิน 1 ล้าน ยังได้มาไม่กี่สตางค์เนี่ย สสส.เขาเปิดให้ขอโครงการระดับหมู่บ้านส่งทางอินเตอร์เน็ตไม่ต้องเห็นหน้าเห็นตากัน ก็ยังได้ทันที 2 แสนบาท ไม่เชื่อไปเปิดเว็บ สสส.ดู

ที่จริงอยากเขียนยาวกว่านี้ แต่วันนี้เวลาไม่พอไว้ต่อภาคสองดีกว่า คือผมมองว่าความขัดแย้งในสังคมไทยวันนี้เป็นการต่อสู้ระหว่างความคิดเสรีประชาธิปไตย กับความคิดอนุรักษ์นิยมหรือจารีตนิยม ซึ่งนานไปฝ่ายล้าหลังจะพ่ายแพ้ แต่ลัทธิประเวศศ์ศ์ศ์แทรกเข้ามาเป็น “นีโอคอนส์” เป็นตัวช่วยที่น่ากลัวของฝ่ายจารีตนิยม

ออกตัวด้วยว่าผมอาจจะวิเคราะห์ผิด ที่ว่าเขาจะเอาเงิน 600 ล้านไปปฏิรูปประเทศไทยอย่างไร คือบางทีเงิน 600 ล้านเนี่ยอาจจะเอาไปใช้เพื่อตีความคำพูดของหมอประเวศ เพราะตัวหมอประเวศเองอาจไม่สามารถอธิบายความคิดตัวเองออกมา 10 ข้อ 20 ข้อ

การตีความคำพูดหมอประเวศเนี่ยเป็นงานที่ลำบากยากเย็นมากนะครับ ใครอ่านหมอประเวศเขียนแล้วจับประเด็นอะไรได้ลองเอามาแลกเปลี่ยนกันดู เผลอๆ จับได้ไม่เหมือนกัน มีน้องอดีต NGO คนหนึ่งเขาตั้งฉายาให้ว่าหมอประเวศก็คือ “บิ๊กจิ๋ว” แห่งภาคประชาสังคม เพราะบิ๊กจิ๋วพูดอะไรไม่เคยฟังรู้เรื่อง พูดทีไรก็รักทุกคน ฝ่ายนั้นก็รักฝ่ายนี้ก็รัก มีแต่เรื่องดีๆ ไปโม้ด นักข่าวใหม่ๆ ไปฟังบิ๊กจิ๋วบรรยายกลับมามึ้นตึ้บทุกคน พูดอะไรไม่รู้ จับประเด็นไม่ได้ หมอประเวศก็เหมือนกัน แกถึงต้องเขียนมาไง

       ใบตองสีส้ม
       3 ก.ค.53

ป.ล.รักฟลายอิ้งดัทช์แมนมาตั้งแต่ความพ่ายแพ้เพราะความงดงามในปี 1974 คารวะโยฮัน ครัฟฟ์ ที่ไม่ยอมไปเตะบอลโลก 1978 เพราะอาร์เจนตินาเป็น “เผด็จการ” ถึงอัศวินสีส้มทีมนี้จะน่าเบื่อเน้นเกมรับ แต่ทำไงได้ ของมันผูกพันมานาน ส่วนที่เชียร์อาร์เจนตินาไม่ได้ชื่นชอบเป็นพิเศษ แต่ใครแข่งกับเยอรมันเชียร์ทีมนั้น เพราะเกลียดฟุตบอลกลไกที่ทำลายความสวยงามมาทุกยุคสมัย ตั้งแต่ฮังการีปี 1954 ฮอลแลนด์ปี 1974 และฝรั่งเศสยุคพลาตินีเมื่อปี 1986
..............................
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ประธานองค์กรสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย เรียกร้อง 'สีหศักดิ์' ออกคำสั่งไทยเลิก พรก. ฉุกเฉิน

Posted: 02 Jul 2010 09:59 PM PDT

ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย (AHRC) ส่งจดหมายเรียกร้องนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว  ผู้ดำรงตำแหน่ง ‘ประธานคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ’ (UNHRC) คนปัจจุบัน ให้ออกคำสั่งแก่รัฐบาลไทยยกเลิกพรก.ฉุกเฉิน

<!--break-->

เมื่อวันที่ 2 ก.ค.2553 นายเบซิล เฟอร์นานโด ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย (AHRC) ส่งจดหมายถึงนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ผู้แทนถาวรไทยแห่งสหประชาชาติ ประจำกรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ผู้ดำรงตำแหน่ง ‘ประธานคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ’ (UNHRC) คนปัจจุบัน ซึ่งเพิ่งได้รับเลือกจากประเทศสมาชิกสหประชาชาติช่วงปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ระบุว่านายสีหศักดิ์จะต้องออกคำสั่งแก่รัฐบาลไทยให้ยกเลิกการประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พรก.ฉุกเฉิน) ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมา
 
นายเฟอร์นานโดระบุว่ารัฐบาลไทยจะต้องยกเลิก พรก.ฉุกเฉิน ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 24 จังหวัดทั่วประเทศไทย รวมถึงพิจารณายกเลิกการประกาศกฎอัยการศึกในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งมีผลบังคับใช้มานานกว่า 5 ปี และกำลังจะสิ้นสุดวาระลงในวันที่ 7 ก.ค.2553 โดยระบุว่าถึงแม้นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำรัฐบาลไทย จะยังมิได้มีคำสั่งให้ต่ออายุการใช้กฎอัยการศึกในภาคใต้ต่อไป แต่ก็ยังไม่มีคำสั่งยกเลิกการบังคับใช้เช่นกัน
 
เนื้อหาในจดหมายได้อ้างถึงคำให้สัมภาษณ์ของนายสีหศักดิ์ ซึ่งถูกเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ฉบับวันที่ 29 มิ.ย.2553 ระบุว่า “สถานการณ์ (ในกรุงเทพฯ) สงบลงแล้ว” นายเฟอร์นานโดจึงเรียกร้องว่าหากนายสีหศักดิ์กล่าวกับสื่อมวลชนเช่นนั้นจริง ย่อมแสดงว่าไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่รัฐบาลไทยจะต้องคงอำนาจ พรก.ฉุกเฉินเอาไว้ เนื่องจากการประกาศใช้ พรก.ฉุกเฉินต่อไป จะเป็นการกระทำผิด กติกาสากล ซึ่งประเทศไทยมีพันธะผูกพันและต้องปฏิบัติตามในฐานะประเทศที่เข้าร่วมเป็นภาคี
 
ทั้งนี้ นายเฟอร์นานโดได้กล่าวถึง กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางแพ่งและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights หรือ ICCPR) ในข้อ 4 ซึ่งระบุว่า “มาตรการในการบริหารจัดการสถานการณ์ต่างๆ ภายใต้การประกาศใช้กฎอัยการศึกควรมีขอบเขต” และ “การต่อเวลาบังคับใช้ต้องขึ้นอยู่กับความจำเป็นเร่งด่วนของแต่ละสถานการณ์” ซึ่งถ้าหากความจำเป็นเร่งด่วนที่ทำให้ต้องประกาศใช้ พรก.ฉุกเฉินสิ้นสุดลงแล้ว ก็สมควรที่จะประกาศยกเลิกไปในคราวเดียวกัน
 
นอกจากนี้ยังได้มีการหยิบยกข้อความในรายงานของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติซึ่งแสดงความวิตกกังวลต่อการบังคับใช้ พรก.ฉุกเฉินของไทยเอาไว้ในปี 2548 ซึ่งมีใจความว่า:
 
“คณะมนตรีฯ มีความกังวลต่อพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (ของรัฐบาลไทย) ซึ่งมิได้กำหนดนิยามคำว่าสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือขอบเขตการบังคับใช้ พรก.ที่ชัดเจน ทั้งยังมิได้กำหนดเงื่อนไขการบังคับใช้มิให้ละเมิดหรือขัดแย้งต่อพันธะอื่นๆ ของประเทศที่มีต่อกติกาสากล ซึ่งรวมถึงกติกาข้อ 4 ของกติกา ICCPR”
 
“สิ่งที่น่ากังวลใจเป็นอย่างยิ่งคือ พรก.ดังกล่าวระบุว่าเจ้าหน้าที่ที่ใช้อำนาจตาม พรก.ฉุกเฉินจะได้รับการยกเว้นจากการดำเนินคดีตามกฎหมายและการลงโทษทางระเบียบวินัย ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาผู้กระทำผิดลอยนวลจากโทษที่สมควรได้รับตามกฎหมาย และการจับกุมหรือควบคุมตัวบุคคลใดๆ เป็นเวลานานกว่า 48 ช.ม.โดยไม่ได้รับการคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐาน ถือเป็นเรื่องต้องห้ามซึ่งรัฐบาลประเทศภาคีจะต้องหลีกเลี่ยงมิให้เกิดขึ้น ทั้งยังต้องรับรองว่าจะไม่กระทำการใดๆ ที่ละเมิดเนื้อหาในข้อ 4 ของกติกา ICCPR อีกด้วย” (CCPR/CO/84/THA, 2005, para. 13)
 
รัฐบาลไทยยังมิได้แก้ไขเนื้อหาหรือข้อบังคับใดๆ ใน พรก.ฉุกเฉิน นับตั้งแต่วันที่คณะมนตรีฯ ได้แสดงความคิดเห็นเอาไว้ในรายงาน ฉะนั้น การบังคับใช้ พรก.ฉุกเฉิน ตามเนื้อหาและรูปแบบเดิมเอาไว้จึงเป็นการกระทำที่ขัดแย้งต่อพันธะที่ประเทศไทยต้องยึดถือและปฏิบัติตามหลักกติกาสากล
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชียแสดงความคาดหวังว่านายสีหศักดิ์จะแสดงบทบาทที่เหมาะสมในฐานะประธานคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติด้วยการดำเนินมาตรการให้สาธารณชนประจักษ์  ไม่ว่าจะเป็นการแทรกแซงหรือเรียกร้องให้รัฐบาลไทยยกเลิก พรก.ฉุกเฉิน  
นอกจากนี้ AHRC ยังเรียกร้องให้รัฐบาลไทยปล่อยตัวผู้ที่ถูกจับกุมภายใต้อำนาจของ พรก.ฉุกเฉินทุกคนซึ่งมิได้ถูกตั้งข้อหาว่ากระทำผิดกฎหมายอาญาข้อใด และจะต้องปกป้องคุ้มครองสิทธิของผู้ที่ถูกควบคุมตัว รวมถึงจัดหาทนายมาให้และเปิดโอกาสให้ครอบครัวหรือญาติเข้าเยี่ยมผู้ถูกควบคุมตัวได้
 
ประเด็นสำคัญที่สุดคือการดำเนินคดีหรือตั้งข้อหาผู้ถูกจับกุมจะต้องดำเนินไปอย่างเปิดเผยในกระบวนการชั้นศาล และต้องอนุญาติให้สามารถประกันตัวได้ในระหว่างรอการดำเนินคดี หรือศาลจะต้องมีหลักฐานที่ชัดเจนเพียงพอประกอบการตัดสินให้ควบคุมตัวต่อไป โดยจะต้องคุมตัวเอาไว้ในสถานที่ราชการและต้องไม่มีการซ้อมทรมานหรือทำร้ายร่างกายผู้ถูกคุมตัวเกิดขึ้น รวมถึงเปิดโอกาสให้องค์กรหรือหน่วยงานอิสระระหว่างประเทศ อาทิ กาชาดสากล เข้าไปสำรวจและสังเกตการร์ในสถานที่คุมขังด้วย

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์: ความเหลื่อมล้ำในบริบทสังคมที่เปลี่ยนแปลง

Posted: 02 Jul 2010 08:44 PM PDT

<!--break-->

เราทุกคนรับรู้อยู่ว่าสังคมไทยมีความเหลื่อมล้ำกันมานานมากแล้ว คงต้องกล่าวด้วยว่าในอดีตมีงานวิจัยจำนวนมากที่ศึกษาถึงการกระจุกตัวของราย ได้ที่แตกต่างกัน ระหว่างคนยี่สิบเปอร์เซ็นต์ส่วนบนกับยี่สิบเปอร์เซ็นต์ส่วนล่าง และโดยมากแล้วสังคมไทยก็จะ "ฮือฮา" กันช่วงแรกๆ ที่มีงานวิจัยในแต่ละปีแสดงผลความเหลื่อมล้ำนี้ หลังจากนั้นไม่นานก็ลืมกันไป
 
ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะว่าเมื่อก่อนนี้คนไทยที่อยู่ข้างล่างยอมอยู่ และยอมรับสภาพความเหลื่อมล้ำได้ จึงทำให้ไม่เกิดปัญหาของความคับข้องใจแต่ประการใด ไม่ว่าจะเป็นความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ หรือความไม่เสมอภาคทางชาติพันธุ์ 
 
ส่วนคนที่แสดงความใส่ใจเรื่องนี้ ก็มักจะให้ความสนใจเฉพาะหน้า เหมือนกับพวกนายทุนและชนชั้นนำทางเศรษฐกิจ (เช่น บริษัทที่แจกผ้าห่มสีเขียว เป็นต้น) นำผ้าห่มไปแจกชาวบ้านหน้าหนาวโดยที่ไม่เคยสำนึกและแสดงอะไรให้รับรู้ว่าควร จะทำให้ชาวบ้านมีเงินซื้อผ้าห่มที่ดีกว่า (ที่แจกให้) ด้วยตนเอง เพราะความเหลื่อมล้ำกลับเป็นช่องทางที่ทำให้พวกเขาได้แสดงให้สังคมเห็นว่า พวกเขาห่วงใยคนยากจนในสังคม โดยเฉพาะแสดงให้ชนชั้นกลางในสังคมไทย ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจซื้อสูงสุดยอมรับในภาพพจน์ความมีน้ำใจต่อผู้เดือดร้อน
 
ดังนั้น สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจจึงไม่ใช่เรื่องของเฉพาะความเหลื่อมล้ำ หากแต่ต้องพิจารณาให้เข้าใจถึงปฏิบัติการของคนในสังคมกับความเหลื่อมล้ำที่ ผ่านมา และความเปลี่ยนแปลงหมายของความรู้สึกเหลื่อมล้ำ
 
ชนชั้นกลางในสังคมไทยซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีอำนาจสูงที่สุดในปัจจุบันไม่ ใช่คนใจไม้ไส้ระกำอะไร รายการโทรทัศน์จำนวนไม่น้อยชอบเสาะหาผู้ตกทุกข์ได้ยากมาแสดงชีวิตที่ลำเค็ญ เพราะรู้ว่าจะมีความช่วยเหลือมากมายไหลมาจากคนชั้นกลางสู่ผู้ตกทุกข์ได้ยาก ซึ่งก็จะทำให้การหาโฆษณาง่ายมากขึ้น
 
กล่าวได้ว่า ชนชั้นกลางในสังคมไทย (หรือของคนในสังคมไทยเลยก็ว่าได้) เป็นกลุ่มคนที่มีความ "เมตตากรุณา" ฝังอยู่ แต่ความ "เมตตากรุณา" ของสังคมไทยเป็นความรู้สึกที่มีเงื่อนไขกำกับอยู่ ก็คือ เป็นความ "เมตตากรุณา" ต่อผู้ที่อยู่เบื้องล่างและต้องเป็นผู้ที่ไม่เผยตนขึ้นมาเท่าเทียมเป็นอัน ขาด หากเผยอขึ้นมาเท่าเทียม ก็ไม่สามารถแสดงความเมตตาได้
 
ปฏิบัติการต่อความเหลื่อมล้ำที่ผ่านมาของสังคมไทย จึงเป็นการแสดงความ "เมตตากรุณา" ต่อผู้ที่ต้องยอมสยบอยู่ภายใต้ความเหลื่อมล้ำนั้น และเมื่อได้รับ "ความเมตตากรุณา" ไปแล้ว ก็ต้องสำนึกในบุญคุณให้มากด้วย
 
ลองนึกถึงความรู้สึกของพวกเราเวลาให้เงินขอทานดูซิครับ และหากสมมติว่าขอทานไทยเดินมาตบบ่าท่านและพูดว่า "เพื่อนเอ๋ย แบ่งเศษเงินมาให้กินข้าวหน่อยได้ไหม" ท่านจะให้เงินหรือไม่ ผมเชื่อว่าเราจะงง และไม่ยอมให้แม้แต่บาทเดียว
 
ระบบอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของสังคมไทย ที่มีต่อความเหลื่อมล้ำเช่นนี้ จึงไม่ได้นำมาซึ่งการแก้ปัญหาที่แท้จริงแต่ประการใด จนดูเหมือนว่าเราจงใจปล่อยให้ความเหลื่อมล้ำดำรงอยู่ต่อไป เพื่อที่เราจะได้เป็นคนที่มีความ "เมตตากรุณา" และได้มีโอกาสทำบุญเพื่อขึ้นสวรรค์ในท้ายที่สุด
 
ขณะเดียวกัน ในสมัยก่อนนั้น คนที่ได้รับความ "เมตตากรุณา" หรือคนที่อยู่ภายใต้ความเหลื่อมล้ำก็ยอมรับสภาวะดังกล่าวนี้ได้ เพราะชีวิตของพวกเขาถูกอธิบายด้วยความไม่เท่าเทียมกันของกรรมเก่า ประกอบกับพวกเขาไม่เคยถูกทำให้คิดและรู้สึกว่าพวกเขามีโอกาสจะลืมตาอ้าปาก ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ การรับความ "เมตตากรุณา" ก็เป็นเรื่องปกติของชีวิต
 
ความเหลื่อมล้ำจึงดำรงอยู่มาเป็นเวลานานในสังคมไทย
 
แต่ในวันนี้ สังคมไทยไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
 
ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจได้ทำให้คนจำนวนไม่น้อยในสังคมได้พบว่าตนเอง สามารถที่จะเลื่อนฐานะของตนเองด้วยความสามารถและขยันขันแข็ง พวกเขาได้ขยับตนเองออกจากจุดอับทางเศรษฐกิจภาคการเกษตรก้าวเข้าสู่ภาคการ ผลิตสมัยใหม่มากขึ้น และพบว่าพวกเขาทำได้ในระดับที่น่าพึงพอใจ 
 
แต่ขณะที่พวกเขากำลังสร้าง "ความหวัง" ในการเลื่อนฐานะ กลับพบว่าโอกาสของพวกเขานั้นมีไม่มากนัก เมื่อเปรียบเทียบกับชนชั้นกลางรุ่นก่อนหน้านี้ พวกเขาพบว่าบนพื้นฐานความสามารถส่วนบุคคลนั้น พวกเขาไม่ได้เป็นรอง "คนอื่น" หากแต่ที่ "คนอื่น" อยู่ในฐานะที่สูงกว่า ก็เพราะเงื่อนไขทางสังคมกีดกันพวกเขา ดังนั้น ความเหลื่อมล้ำจึงกลายมาเป็นประเด็น ที่ก่อให้เกิดความอึดอัดคับข้องใจพวกเขามากขึ้นตามลำดับ 
 
ขณะที่คนกลุ่มใหม่กำลังพัฒนาความสำนึกในศักยภาพของคนที่เท่าเทียมกันขึ้นมา คนกลุ่มนี้จึงเริ่มมองว่าการรับความ "เมตตากรุณา" แบบเดิมเป็นเรื่องการทำลายศักดิ์ศรีของเขา พวกเขาไม่ได้ต้องการความ "เมตตากรุณา" แบบเดิม หากแต่ต้องการความเท่าเทียมกันในโอกาสมากกว่า
 
หากสังคมไทยหรือชนชั้นนำไทยยังมองความเหลื่อมล้ำในความหมายแบบเดิม และเน้นความช่วยเหลือแบบให้ความ "เมตตากรุณา" ก็รังแต่จะเกิดความขัดแย้งเพิ่มมากขึ้น เพราะความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจได้ถูกเชื่อมต่อเข้ากับความเหลื่อมล้ำทาง ด้านการเมืองและสังคมไปแล้ว
 
เวลาที่ผมอ่านหรือฟังชนชั้นนำทางการเมืองและปัญญาชนกระแสหลักทั้งหลายพูด เกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำ ผมจะเกิดความกังวลทุกครั้ง เพราะผมรู้สึกว่าชนชั้นนำทางการเมืองและปัญญาชนกระแสหลักนั้นไม่ได้เข้าใจ ความเปลี่ยนแปลงของระบบอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของคนในสังคมเลยแม้แต่น้อย 
 
กล่าวได้ว่า ในบรรยากาศที่แย่ๆ แบบนี้ของสังคมไทย น่าเศร้าตรงที่ว่าชนชั้นนำทางการเมืองและปัญญาชนกระแสหลักไม่รู้ว่าตนเองไม่ รู้จักสังคมไทย แต่กลับหลงคิดไปว่าตนเป็นผู้รู้แต่เพียงกลุ่มเดียวและพยายามผูกขาดการอธิบาย สังคมไว้ในกลุ่มพวกตนเท่านั้น 
 
ความเปลี่ยนแปลงความหมายของความเหลื่อมล้ำได้ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญๆ มาแล้วในทุกแห่งบนพื้นโลก ทั้งการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงและไม่รุนแรง สำหรับสังคมไทยนั้น ความเปลี่ยนแปลงของหมายของความเหลื่อมล้ำได้ก้าวเข้ามาสู่ขอบเขตของการใช้ ความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น เรา-ท่านจะมีความสามารถมากพอที่จะหยุดความรุนแรง และแสวงหาทางผ่านพ้นไปด้วยความไม่รุนแรงหรือไม่
 
ผมคิดว่าคนจำนวนไม่น้อยที่ห่วงใยบ้านเมืองเริ่มรู้สึกทอดอาลัยตายอยาก เพราะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับความเกลียดชังระหว่างกลุ่มคนในสังคมไทยที่ เพิ่มมากขึ้น ผมคิดว่าหากเราลองพยายามคิดกันว่ารากฐานที่มาของความเกลียดชังกันนี้เป็น อย่างไร น่าจะเป็นการเริ่มต้นร่วมกันของสังคมครับ  
 
 
 
ตีพิมพ์ครั้งแรก : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ  ฉบับวันที่ 1 กรกฎาคม 2553

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ศาลอนุญาตขัง ‘สมบัติ’ ต่อ 7 วัน ตร.ยังถามไม่เสร็จ เจ้าตัวเผยอาจโดนคดีอาญาพ่วง

Posted: 02 Jul 2010 01:38 PM PDT

<!--break-->

วันนี้ 2 ก.ค.53 เมื่อเวลาประมาณ 10.00 น.ที่ศาลอาญารัชดา ศาลขึ้นบัลลังก์ไต่สวนกรณีทนายความของนายสมบัติ บุญงามอนงค์ (บก.ลายจุด) ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวนายสมบัติ ซึ่งถูกควบคุมตัวตามหมายควบคุมตัวตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) เนื่องจากการควบคุมตัวไม่ชอบ ทั้งนี้ ในเบื้องต้นศาลได้สั่งให้มีการไต่สวนผ่านระบบเทเลคอนเฟอร์เรนท์ แต่ภายหลังศาลมีคำสั่งอนุญาตตามคำร้องของทนายความ ให้นำตัวนาย สมบัติ มาไต่สวนต่อหน้าศาล เพื่อเปิดโอกาสให้สามารถแสดงพยานหลักฐาน เหตุผล และข้อเท็จจริงถึงความไม่ชอบด้วยกฎหมายของการควบคุมตัว
ตามคำร้องของนายสมบัติ ระบุว่าการควบคุมตัวดังกล่าวกระทำโดยมิชอบ และไม่มีเหตุจำเป็นที่ต้องใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เนื่องจากการจัดกิจกรรมเป็นไปเพื่อการแสดงออกซึ่งความเห็นทางการเมือง โดยวิธีการสันติและปราศจากอาวุธ ตามสิทธิเสรีภาพที่ได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญ และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ซึ่งผูกพันประเทศไทย
 
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่  21 พ.ค.53 ศาลอาญาได้อนุมัติหมายจับนายสมบัติ จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้เข้าควบคุมตัวนายสมบัติขณะทำกิจกรรมผูกผ้าแดงที่ป้ายราชประสงค์ เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.53 และถูกนำตัวไปควบคุมที่กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน (บก.ตชด.) ภาค 1 คลอง 5 จ.ปทุมธานี ต่อมาเมื่อวันที่ 29 มิ.ย.53 นายสมบัติ ได้ยื่นคำร้องคัดค้านการควบคุมตัวและขอให้ปล่อยตัว โดยได้รับความช่วยเหลือทางกฎหมายจากศูนย์รับเรื่องร้องเรียนด้านกฎหมายและสิทธิมนุษยชน (ศรส.) มีนายอานนท์ นำภา ทำหน้าที่ทนายความ
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงเช้ามีผู้ใกล้ชิด เพื่อน และประชาชนมารอในกำลังใจและเข้ารับฟังการไต่สวนราว 10 คน ขณะที่นายสมบัติ ถูกเบิกตัวจาก บก.ตชด.ภาค1 มายังศาลอาญา โดยสวมเสื้อยืดสีขาวด้านหน้าพิมพ์ข้อความ “I am RED วันอาทิตย์สีแดง”
 
นายสมบัติ ให้สัมภาษณ์ก่อนเริ่มการไต่สวนว่า เพิ่งได้ทราบจากเจ้าหน้าที่ตำรวจว่านอกจากการไต่สวนกรณีถูกควบคุมตัวโดย ศอฉ.ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แล้ว ยังต้องขึ้นศาลกรณีที่ถูกฟ้องในคดีอาญาความผิดฐานฝ่าฝืนประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินอีกด้วย โดยในสำนวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจทราบมาว่ามีการระบุว่าเขาได้ปลุกระดมประชาชนให้นำยางรถยนต์มาเผาด้วยทั้งที่ไม่เป็นความจริง
 
ในการพิจารณาคดีทนายความได้เบิกตัวและซักถามเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบ ผู้ยื่นขอต่อระยะเวลาการควบคุมตัวนายสมบัติ โดยเจ้าหน้าที่ชี้แจงเหตุผลการขอหมายจับต่อศาลว่า ผู้ต้องสงสัยได้ร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดงมาโดยตลอด ระหว่างชุมนุมมีเหตุการณ์ไม่สงบภายในบ้านเมืองตลอดมา มีคนร้ายก่อความไม่สงบหลายครั้งจนนายกฯ ต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ผู้ต้องสงสัยทราบถึง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และข้อกำหนดต่างๆ ดีแต่ก็ยังร่วมชุมนุมฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เรื่อยมา ต่อมา ศอฉ.ได้กระชับวงล้อมแยกผู้ชุมนุมกับผู้ก่อการร้าย ผู้ชุมนุมได้ตอบโต้การทำงานของเจ้าหน้าที่จนมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก หลังเหตุการณ์ดังกล่าวผู้ต้องสงสัยยังนำกลุ่มบุคคลมาชุมนุม ปราศรัยบนถนนประดิษฐ์มนูธรรม ชักชวน ปลุกระดม ให้ผู้ชุมนุมตอบโต้การกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ จึงออกหมายจับกุมผู้ต้องสงสัยในฐานะผู้สนับสนุนหรือร่วมกระทำให้เกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน นอกจากนั้น วันที่ 26 มิ.ย.53 ผู้ต้องสงสัยยังนำกลุ่มบุคคลมาชุมนุมและผูกผ้าสัญลักษณ์สีแดงที่แยกราชประสงค์ ตำรวจจึงจับกุมตัวตามหมายจับมาควบคุมตัวตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จะเห็นได้ว่าหลังเหตุการณ์ไม่สงบผู้ต้องสงสัยยังดำเนินการทางการเมืองโดยการปลุกระดมชักชวนให้มีการชุมนุมและทำกิจกรรมทางการเมืองที่ทำให้เกิดความแตกแยกในสังคมอันจะทำให้เกิดความไม่สงบ ขัดต่อหลักกฎหมาย แม้จะอ้างเรื่องสิทธิโดยชอบธรรมตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ แต่สิทธิดังกล่าวกระทบต่อการใช้ชีวิตปกติของประชาชนทั่วไป และมีกฎหมายคือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน บัญญัติห้ามไว้
 
ส่วนเหตุที่ขอขยายเวลาการควบคุมตัวนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่า เนื่องจากผู้ต้องสงสัยมีพฤติการณ์สนับสนุนการกระทำให้เกิดสถานการณ์ไม่สงบในบ้านเมือง และพนักงานผู้ซักถามยังซักถามผู้ต้องสงสัยไม่แล้วเสร็จจึงขอขยายระยะเวลาต่ออีก 7 วัน ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองปราบปรามระบุด้วยว่า เขาไม่ได้อยู่ร่วมในเหตุการณ์การชุมนุมของนายสมบัติในวันที่ 21 พ.ค.ตามที่มีการตั้งข้อกล่าวหา ไม่ทราบรายละเอียดต่างๆ ทราบเพียงรายงานตามที่ตำรวจ สน.วังทองหลางส่งมาให้
 
จากนั้นในช่วงบ่าย นายสมบัติได้เข้าเบิกความกับศาล โดยกล่าวถึงเหตุการณ์เมื่อวันที่ 21 พ.ค.53 ซึ่งได้กระทำการจนทำให้เกิดเป็นคดีว่า ขณะนั้นเป็นช่วงเวลาหลังจากเมื่อวันที่ 19 พ.ค.35 มีการสลายการชุมนุมที่สี่แยกราชประสงค์ โดยเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบไล่ยิงประชาชนกลางเมือง แต่ในสื่อกลับเสนอแต่ข่าวของเจ้าหน้าที่ทหารและผู้สั่งการ แต่ไม่ได้มีการให้ข้อมูล ข้อเท็จจริงในด้านของผู้ชุมนุม สวนสาธารณะขนาดเล็กใต้ทางด่วน จึงกลายเป็นสถานที่ที่ประชาชนใช้ในการมานั่งพูดคุยกัน เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าจะไปรับรู้ข้อมูลได้จากที่ไหน
 
“การที่ผู้คนออกมาเสาะหาข้อเท็จที่เขากำลังเป็นทุกข์ ถือเป็นปฏิกิริยาพื้นฐานของมนุษย์ แต่การที่รัฐบาลบอกให้พวกเขาเงียบอยู่กับบ้านต่างหากที่ขัดกับพื้นฐานของมนุษย์” นายสมบัติกล่าว
 
นายสมบัติกล่าวต่อมาว่า ก่อนที่เขาจะเข้าร่วมกิจกรรมที่บริเวณสวนสาธารณะดังกล่าว มีประชามชนจำนวนหนึ่งได้ไปพบปะและร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร รวมทั้งภาพถ่ายกันอยู่ก่อนแล้ว ส่วนตัวเขาได้โพสต์ข้อความในอินเตอร์เน็ตว่าจะเข้าไปร่วมพูดคุยกับผู้คนที่นั่น โดยไม่รู้ว่าจะมีคนมาเท่าไหร่ นอกจากนี้เมื่อวันที่ 20 พ.ค.53 เขาก็ได้ไปร่วมพูดคุยกับประชาชนที่สวนสาธารณะดังกล่าวด้วยเช่นกัน
 
เมื่อทนายถามถึงจำนวนผู้ที่ไปรวมตัวกันในบริเวณดังกล่าว นายสมบัติกล่าวว่าอยู่ที่ราว 10-80 คนแล้วแต่วันและช่วงเวลา ซึ่งเขาไม่รู้ว่าใครเป็นใคร เพราะต่างคนต่าก็นั่งจับกลุ่มพูดคุยกันอยู่อย่างกระจัดกระจายในสวนหย่อม โดยถือเป็นการพูดคุยกันปกติ ไม่มีเวที นอกจากนั้นก็ยังมีผู้ที่อยู่ร่วมในเหตุการณ์ที่วัดปทุมฯ มาบอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย ส่วนบอร์ดนิทรรศการภาพถ่ายก็เป็นการนำรูปที่แต่ละคนมีไปติดตามกำแพง อย่างไรก็ตามตัวเขาเป็นคนที่คนทั่วไปคุ้นหน้า เนื่องจากเป็น นกป.จึงมีคนนำโทรโข่งมาให้และขอให้พูดคุยกับผู้คนที่มารวมตัวกัน ทั้งนี้ เขายืนยันว่าไม่ได้มีความคิดที่จะจัดชุมนุมทางการเมืองหรือปลุกระดมแต่อย่างใด และไม่มีการพูดให้ระดมยาง หรือการยุยงให้เผาดังที่ถูกกล่าวหา
 
“ในฐานะที่มีความเป็นมนุษย์และมีความผูกพันกับผู้คนที่เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ และผู้คนที่กำลังเสียขวัญ ไม่รู้ว่าตัวเองจะเป็นเช่นไรต่อไป ผมคิดว่าเป็นความจำเป็นที่จะต้องมีการพูดคุยแบ่งปันสิ่งที่เกิดขึ้น ให้คนที่รู้เรื่องราวมาบอกเล่าข้อมูลให้ฟัง” นายสมบัติกล่าว
 
นายสมบัติเล่าต่อมาว่า นับตั้งแต่เวลาประมาณ 12.00 น.ที่เขาเข้าไปร่วมการพูดคุย กิจกรรมดำเนินไปได้ราว 2 ชั่วโมง จากนั้นได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนกว่า 200 นาย เข้ามาในพื้นที่และขอให้ยุติกิจกรรมต่างๆ ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่เห็นประโยชน์ใดๆ ในการดื้อรั้นต่อคำขอของเจ้าหน้าที่ ทุกคนจึงแยกย้ายกันเดินทางกลับ และในวันนั้นก็ไม่ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาใดๆ จากเจ้าหน้าที่ตำรวจ
 
“ผมไปเพราะสามัญสำนึก และคิดว่าเป็นสิทธิที่จะแสดงแดงออกโดยไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร” นายสมบัติกล่าว
 
ต่อคำถามของทนายที่ว่า ทราบหรือไม่ว่าตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ได้ห้ามไม่ให้มีการชุมนุมทางการเมือง นายสมบัติตอบว่าทราบ แต่ส่วนตัวเขาคิดว่าการประกาศบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวไม่สมเหตุสมผล แต่เกิดจากความต้องการที่จะใช้กำลังทหารปราบปรามการชุมนุม อีกทั้งเห็นว่าการกระทำของเขาและประชาชนจำนวนหนึ่งในสวนหย่อม ไม่ได้เป็นการปิดถนน ไม่ได้สร้างความวุ่นวาย จึงไม่น่าจะเข้าข่ายการชุมนุมทางการเมืองที่ก่อให้เกิดความวุ่นวายได้
 
นายสมบัติกล่าวด้วยว่า ส่วนตัวเขาคิดว่าการแจ้งความในข้อหายุยง ปลุกปั่น เป็นความต้องการของคนที่เชื่อมโยงกับรัฐบาลที่ต้องการใส่ความ รังแก โดยใช้อำนาจกฎหมายและกลไกของรัฐเพื่อมาละเมิดสิทธิของคนที่เห็นต่าง และเหตุผลที่เจาะจงที่ตัวเขานั้น เป็นเพราะตั้งแต่ที่การชุมนุมยุติลง เขาเป็นคนเดียวที่ออกมาเคลื่อนไหวต่อสู้ในเชิงสัญลักษณ์ ยกตัวอย่างเช่น กิจกรรมวันอาทิตย์สีแดง ซึ่งรัฐบาลอาจมองว่าการแสดงออกดังกล่าวเป็นพฤติกรรมที่ต่อต้านรัฐ และจะนำไปสู่การต่อสู้ในรูปแบบใหม่ๆ ทั้งนี้ เขายังแสดงความเห็นด้วยว่ารัฐบาลต้องการกำจัดทุกคนที่เห็นต่าง ไม่ว่าจะเป็นสายเหยี่ยว หรือสายพิราบที่ใช้วิถีทางสันติวิธี
 
ทั้งนี้ นายสมบัติยังได้ให้ข้อมูลถึงการเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองในการต่อต้านรัฐประหาร 19 ก.ย.49 และร่วมรณรงค์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 อีกทั้งยังได้เข้าร่วมเคลื่อนไหวทางการเมืองในนามแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) เพื่อต่อต้านคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) แต่ในการเคลื่อนไหวของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เขาไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมใดๆ
 
นายสมบัติ ให้ข้อมูลต่อมาว่า หลังเหตุการณ์สลายการชุมนุมโดยกำลังทหารบนถนนราชดำเนิน เมื่อวันที่ 10 เม.ย.53 ซึ่งทำให้ผู้ชุมนุม นปช.และทหารบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนไม่ต่ำกว่า 20 ราย เขาได้รับเชิญให้เข้าร่วมเป็นหนึ่งใน “คณะอนุกรรมการเฉพาะกิจเพื่อพิจารณาตรวจสอบกรณีเหตุความรุนแรงจากการขอคืนพื้นที่จากกลุ่มผู้ชุมนุม เมื่อวันที่ 10 เม.ย.” ในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ทำให้ต้องเข้าไปในพื้นที่การชุมนุมเพื่อสำหรวจข้อมูลหลักฐาน แต่หลังจากเข้าร่วมประชุมกับคณะอนุกรรมการดังกล่าว 2-3 ครั้งก็ได้ยื่นจดหมายลาออก เนื่องจากเห็นว่าการทำงานไม่ได้เอาจริงเอาจังและไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
 
นายสมบัติกล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาเขาทำงานเป็นนักเคลื่อนไหวทางสังคม โดยใช้วิธีรณรงค์เชิงสัญลักษณ์ และเป็นผู้เสนอแคมเปญ “แดงไม่รับ” ในการรณรงค์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 และต่อมาสีแดงก็ได้ถูกใช้แทนการต่อสู่เชิงสัญลักษณ์ และนำมาขับเคลื่อนในกิจกรรมการเมืองจนถึงปัจจุบัน พร้อมยืนยันว่าไม่ได้มีพฤติกรรมในการยั่วยุหรือปลุกระดมให้เกิดความรุนแรง และไม่เห็นด้วยการใช้ความรุนแรงในการสลายการชุมนุมทางการเมืองไม่ฝ่ายต่อฝ่ายใด
 
“การต่อสู้ทางการเมือง ต้องใช้วิธีการทางการเมืองเท่านั้น” บก.ลายจุดกล่าว พร้อมเล่าว่า เมื่อมีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในวันที่ 7 เม.ย.53 ทั้งที่ยังไม่ได้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงใดๆ เขามีความคิดว่ารัฐบาลต้องการใช้อำนาจทางการทหารกับผู้ที่คิดเห็นแตกต่างกับรัฐบาล และต่อมาก็เกิดเหตุการณ์ วันที่ 10 เม.ย.53 ซึ่งมีการใช้กำลังทหาร รถหุ้มเกราะ และอาวุธสงครามเต็มรูปแบบเพื่อสลายการชุมนุม
 
ส่วนข้อกล่าวหาจากเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ระบุถึงพฤติกรรมยั่วยุ ปลุกระดม นายสมบัติยืนยันว่าไม่เป็นความจริง แต่การแสดงออกของเขาเป็นไปเพื่อยืนยันสิทธิการแสดงความเห็นทางการเมือง พร้อมยกตัวอย่างกิจกรรมที่ชื่อ “เปลือยเพื่อชีวิต” เมื่อวันที่ 18 พ.ค.53 ที่บริเวณใต้ทางด่วน ในย่านสามเหลี่ยมดินแดง ซึ่งได้มีการชักชวนกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงมาถอดเสื้อผ้า เพื่อเป็นสัญลักษณ์สื่อสารไปยังคนทั่วไปในสังคม ให้รู้ว่าพวกเขามีเพียงตัวเปล่า ไม่มีอาวุธ
 
นายสมบัติกล่าวว่าการกล่าวหาดังกล่าว ทำให้เขาเสื่อมเสียชื่อเสียง และขัดแย้งกับกิจกรรมที่เขาเคยทำมา อย่างไรก็ตาม หากได้รับการปล่อยตัว เขาก็จะทำกิจกรรมรณรงค์ต่อไป โดยยืนยันว่าสิทธิทางการเมืองคือสิทธิมนุษยชน
 
 
ตัวอย่างบางข้อความจาก บก.ลายจุดถึงชาว Facebook

 
 
 
 
 
ศาลมีคำสั่งยกคำร้องขอปล่อยตัว เนื่องจากการควบคุมตัวไม่ชอบ
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากการไต่ส่วนเสร็จสิ้นลงเมื่อเวลาประมาณ 14.00 น.ศาลให้รอฟังคำสั่งในห้องพิจารณาคดี นายสมบัติได้เขียนข้อความขนาดสั้นๆ ระบุถึงความรู้สึกของเขาต่อการไต่สวนในวันนี้ และแจกจ่ายให้กับกลุ่มแฟนคลับที่มาฟังการพิจารณาคำร้อง อีกทั้ง ยังได้นั่งพูดคุยกันอย่างเป็นกันเองกับกลุ่มผู้ที่มาให้กำลังใจ
จากนั้นเมื่อเวลาประมาณ 15.30 น.ศาลมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอปล่อยตัว โดยระบุว่าจากพฤติการณ์ของผู้ร้องที่ส่อให้เห็นว่าเป็นการชุมนุมทางการเมืองจริง ในระหว่างที่ยังมีการคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ โดยมีการนำรูปเหตุการณ์สลายการชุมนุมไปติดในบริเวณสถานที่ และได้พบกับคน 10-80 คน ดังนั้นการควบคุมตัวจึงชอบด้วยกฎหมาย ศาลจึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง    
 
ทั้งนี้ ในวันเดียวกัน (2 ก.ค.53) ถือเป็นวันที่นายสมบัติครบกำหนด 7 วันของการควบคุมตัวครั้งแรก ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการยื่นขอควบคุมตัวต่อไปอีก 7 วันต่อผู้พิพากษาเวร ซึ่งศาลได้พิจารณาอนุญาตตามคำขอของเจ้าหน้าที่ตำรวจ แม้จะมีการยื่นขอคัดค้านการขยายเวลาควบคุมตัวจากทนายความของนายสมบัติ ด้วยเหตุผลเป็นการขอควบคุมตัวตามอำนาจของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ 
 
อย่างไรก็ตาม ในวันนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่มีการฟ้องคดีอาญากับนายสมบัติ ตามที่ได้มีการแจ้งกับนายสมบัติและทนายเอาไว้ก่อนหน้านี้ แต่อย่างใด
 

 
บก.ลายจุด: เราจะไปทางไหนกัน ?
*ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าห้องพิจารณาคดีเพื่อไต่สวนขอปล่อยตัว ศาลอาญา (2 ก.ค.53)

มองกรณีของตัวเองอย่างไร
“การดำเนินกิจรรมทางการเมืองของผม ผมไม่มีช่องทางไหนอีกแล้วนอกจากเฟซบุ๊ก มันเป็นช่องทางของปัจเจกชนที่จะสื่อสารไปสู่สาธารณะ เกิดเหตุแบบนี้ขึ้นทำให้เห็นว่าจริงๆ แล้วรัฐมีนโยบายเกี่ยวกับการจัดการแบบไม่ปราณีเลย เต็มที่ ในทัศนะผม แม้แต่การสร้างเรื่องเท็จก็ยังทำได้ เพียงแต่ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ” 
“การเคลื่อนไหวข้างนอกไม่เกิดผลกระทบต่อรัฐบาลเลย ไม่เลย มันไม่มีข่าวเลยว่ามีใครไปถามแล้วตอบคำถาม มีแค่กรณีของกรรมสิทธิฯ เท่านั้นที่ถูกจี้ให้ตอบ แต่ถ้าไม่มีคนจุดเทียนไปเขาจะไม่มีทัศนะเรื่องนี้เลย คนมักบอกว่าข้าราชการเกียร์ว่างแต่องค์กรอิสระที่ต้องดูแลเรื่องนี้นั้นดูเหมือนจะยิ่งกว่าเกียร์ว่าง บางคนเป็นเครื่องมืออีกฝ่ายในการปราบปรามประชาชน”
โดนคดีแบบนี้จะส่งผลต่อกลุ่มกิจกรรมย่อยๆ ที่เริ่มสร้างกิจกรรมทางการเมืองของตัวเองอย่างที่คุณสมบัติพยายามรณรงค์ไหม
“ผมบอกแล้วว่าผมไม่ใช่แกนนำ เป็นแกนนอน ผมไม่ควรต้องแสดงความรับผิดชอบต่อการเกิดหรือไม่เกิดกลุ่มย่อยต่างๆ เพราะมันเกิดจากการที่แนวนอนทั้งหลายจะเห็นด้วยและสนับสนุนแนวทางนี้ แต่ก็เห็น่วาเกิดการเคลื่อนไหวอย่างเห็นได้ชัด มีการตื่นตัว ในมุมหนึ่งเป็นปัจจัยที่ตอบโต้คืน รัฐบาลกดดันผมและขบวน แต่ถ้าเราไม่ทำไรเลย แปลว่าแนวทางแบบนี้ของรัฐบาลประสบความสำเร็จ แต่ขณะเดียวกันการตอบโต้คืนมันก็คือการบอกว่าคุณทำไม่สำเร็จ มันจำเป็นมากที่จะเรียนรู้วิธีการตอบโต้คืนในรูปแบบที่เหมาะสม เมื่อรัฐบาลใช้กฎหมายเราก็ต้องใช้รูปแบบ เช่น การยืนจดหมาย การออกแถลงการณ์ กิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ ซึ่งเป็นเรื่องต้องออกแบบ
“สิ่งสำคัญคือการชิงพื้นที่สื่อ เพราะเราอาศัยกลไกของรัฐไม่ได้ อย่างกิจกรรมที่ไปพ่นรูปที่ราชประสงค์ ติดสติ๊กเกอร์ หรืออะไรทำนองนั้น มันอาร์ตมาก ผมรู้สึกว่าแนวคิดนี่ใช่เลย แบบชนชั้นกลาง ไม่ใช่ประเภทไม่จัดวาง แต่มีการคิดเวิร์ดดิ้ง ทำตำแหน่งจัดวางให้สวยงาม อย่างการไปแปะสติ๊กเกอร์ที่ป้าย “Together We Can” เป็น jamming มันไม่ได้ทำลายนะ แต่ไปป่วน message เกิดการตลก ล้อเลียน มันง่ายและเหมาะกับคนชั้นกลาง”
“อาทิตย์ที่ผ่านมา ผมคิดเรื่องการเอาปากกาวาดพระอาทิตย์ในที่สาธารณะที่มีที่ว่าง เช่น สะพานลอย ฯลฯ “
แล้วก็อาจโดนปรับ ห้าร้อย หรือสองพันบาทข้อหาทำสกปรก
“นี่แหละสันติวิธี คุณต้องท้าทายกฎหมาย ไม่ใช่ไม่ผิดกฎหมาย สันติวิธีผิดกฎหมายได้ เพียงแต่มันไม่รุนแรง ไม่ทำความรุนแรงให้คนอื่น แต่ว่าถ้าเขาบอกว่าคุณห้ามทำอะไรเลยแล้วไม่ทำ คุณก็เสร็จ แค่เอาปากกาไปเขียน ผมว่ามันพอ มันน่าทำ แค่วาดรูปพระอาทิตย์เท่านั้นเอง ถ้าเกิดทุกที่มันเป็นการแสดงความท้าทายอย่างซอฟท์ด้วย ไม่หยาบคาย ไม่ก้าวร้าว เหมือนพวกกราฟฟิตี้ แค่ประกาศว่า “ฉันมาแล้ว” เหมือนโคลัมบัสไปปักธงในที่ที่เขาค้นพบ การขึ้นรูปพระอาทิตย์สีแดงมันสนุกมาและน่ารัก ถ้าผมออกไปได้จะไปดันเรื่องนี้ต่อ บางทีเราน่าจะทำปากกาเคมีสีแดงรุ่นประชาธิปไตย แจกด้วยก็ดี แท่งสิบบาท ยี่สิบบาท เป็นของที่ระลึกด้วย(หัวเราะ)” 
อยู่ที่ บก.ตชด.ได้รับการดูแลดีไหม
“ดี เจ้าหน้าที่ก็ท่าทีดีมาก แต่เขาไม่ค่อยบอกอะไรมากนัก เรื่องคดีก็เถอะถ้าผมไม่ถามก็ไม่รู้ แล้วที่สังเกตได้คือมีการสอบปากคำ ซักถามตลอดเวลา เยอะมาก ผลัดเปลี่ยนกันมา อย่างคนที่เคยถูกคุมตัว 30 วันก็สอบกันทั้ง 30 วัน ไม่รู้ทำไม”
ถ้าถูกฟ้องคดีอาญาอีก อาจถูกคุมตัวในเรือนจำ กังวลไหม กลัวไหม
“มันทำงานระดับจิตใต้สำนึกนะ ตอนออกมาจากคุกคราวนั้นผมก็ยังฝันถึงมันอีกหลายคืน เพราะมันขัดแย้งกับจิตใต้สำนึกของเรา ทุกอย่างในนั้นสำหรับผมมันเป็นประเด็นหมดเลย เห็นอะไรก็เป็นประเด็นหมดแม้แต่ท้องฟ้า มันเครียดมาก เพียงแต่เราใช้เหตุผลกดมันไว้ว่านี่เป็นเรื่องชั่วคราว อย่างนั้นอย่างนี้ แต่จริงๆ แล้วเราขยะแขยงกับสิ่งนั้นมาก เพราะเราเป็นพวกเสรีนิยมสุดโต่ง (หัวเราะ)”
 

 

คำร้องขอขยายเวลาควบคุมตัว

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ฟินแลนด์คุ้มครองสิทธิเข้าถึงเน็ตความเร็วสูงเป็นสิทธิพื้นฐานของพลเมือง

Posted: 02 Jul 2010 10:26 AM PDT

ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฏาคมนี้เป็นต้นไป พลเมืองชาวฟินแลนด์ทุกคนจะมีสิทธิในการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตความเร็ว 1Mbps รัฐบาลฟินแลนด์ยังให้สัตยาบันว่าพลเมืองทุกคนสามารถใช้อินเตอร์เน็ตความเร็ว 100Mbps ในปี ค.ศ.2015 ถือเป็นประเทศแรกในโลกที่คุ้มครองสิทธิการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงเป็นสิทธิพื้นฐานของพลเมือง

<!--break-->

เว็บไซต์ blognone รายงานโดยอ้างข่าวจากสำนักข่าวบีบีซีว่า กฏหมายประกันการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตด้วยความเร็ว 1Mbps ของฟินแลนด์ผ่านออกมาตั้งแต่ตุลาคมปีที่แล้ว วันนี้ก็เป็นวันแรกของการบังคับใช้กฏหมาย

กฏหมายนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนระดับชาติจากกระทรวงคมนาคมและการสื่อสารของฟินแลนด์ที่แถลงแผนการมาตั้งแต่ปี 2008 (แผนการ [PDF]) ผลจากกฏหมายนี้บังคับให้บริษัทสื่อสารในฟินแลนด์ต้องลากสายเชื่อมต่อไปยังบ้านเรือนที่ยังไม่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตตามที่กฏหมายกำหนด โดยมียอดทั้งหมด 4,000 หลังคาเรือน

ทุกวันนี้ประชาชนฟินแลนด์เข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ตามกฏหมายนี้อยู่แล้วถึง 96% (ประชาชนบางส่วนเข้าถึงได้แต่เลือกจะไม่ติดตั้ง)

ชั้นต่อไปตามแผนการของฟินแลนด์คือยกมาตรฐานนี้ให้เป็น 100Mbps ทุกบ้านในปี 2015

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

กวีประชาไท: พลิกฟ้าคว่ำดิน พลิกดินคว่ำฟ้า

Posted: 02 Jul 2010 09:54 AM PDT

<!--break-->

๑.

พลิก  ใจกระดิกจิตด้วย      ดวงมณี
ฟ้า    แปลกฟ้าเปลี่ยนสี     สลับครั้ง
คว่ำ   สวรรค์สั่นธรณี        ขยับอก นรกฤๅ
ดิน    ย่อมดินอยู่ยั้ง          หยัดเย้ยอธรรมหยาม

พลิกแผ่นดินกระชากฟ้า      เฟือนหาว
ดาวดับแดงเดือดกราว       กราดเกรี้ยว
ดวงแดดุจเมฆขาว            คลาเคลื่อน
คลุมครอบขอบฟ้าเสี้ยว      เสกสร้างธุลีสรวง

ศักดิ์ศรีแห่งมนุษย์สิ้น         ยอมสยบ
นานนับกี่กัปนบ                 แนบเท้า
ก้มหน้าแผ่นดินกลบ           กรานกราบ
ใครแบ่งชนไพร่-เจ้า           แยกชั้นสวรรยา

ชนชั้นสวมบทแม้น            สมมติ
มโนเสกมนัสยุทธ์             มนุษย์สร้าง
คาวเลือดหล่อมงกุฎ         บัลลังก์กร่อน
คุณค่าคงคู่ค้าง                คว่ำฟ้าดินเฟือน.
.......................................................

๒.     พลิกดินคว่ำฟ้า

 พลิก   ใดในโลกหล้า       โลกันตร์
ดิน      ดับเดือดแดงดัน     ทะลุด้าว
คว่ำ     เนตรโศกนองศัลย์  ทะเลศพ
ฟ้า      กราดแสงก้าวร้าว    กวาดล้างธุลีสลาย

สูงนักหรือขอบฟ้า             ฝันครอง
ผูกขาดเป็นเจ้าของ           เขตหล้า
ต่ำนักจิตจองหอง             ผยองศักดิ์
เผยอสิทธิ์คิดทายท้า         กระชากฟ้าเสมอดิน

อำมาตย์จวนกลบสิ้น         กาลวสาน
โลกเปลี่ยนดฤถีวาร           เวี่ยไว้
ดูราประชาราน                 ระบมระบอบ
ขมขื่นขุกเข็ญไข้              คร่ำแค้นคหบดินทร์

กฎหมู่ไยอยู่ค้ำ                กฎหมาย
พฤษภ-เมษาวาย             วอดสู้
ตาหูปากปิดตาย              ตรวนลิ่ม
รากไพร่พลันเรียนรู้           เริ่มต้นอธิปไตย

พลิก   หน้าประวัติศาสตร์แล้ว   ราษฎร
ฟ้า     พร่าแสงประภัสสร         เสื่อมถ้วน
คว่ำ    คุณค่าทิฆัมพร             คลอนสั่น
ดิน     เกลือกดินกอดม้วน        กบฏแม้นกบิลเมือง.

เพ็ญ ภัคตะ
พฤษภาคม ๒๕๕๓

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

แอฟริกาใต้ 2010: สำรวจตรวจตราผู้ชมผ่านการถ่ายทอดสด

Posted: 02 Jul 2010 09:22 AM PDT

ฟุตบอลโลกครั้งนี้มีเครือข่ายโทรทัศน์กว่า 2,000 ช่องใน 5 ทวีป ถ่ายทอดสดเกมการแข่งขัน หลายประเทศมีแนวโน้มผู้ชมสูงขึ้นเมื่อเทียบกับฟุตบอลโลกหนที่แล้ว ส่วนชาติทีตกรอบเม็ดเงินจากการโฆษณาก็หดหายลงไปมิใช่น้อย
<!--break-->

ซึ่งเมื่อเทียบกับฟุตบอลโลกปี 2006 นั้นมีเครือข่ายโทรทัศน์ 376 ช่อง ส่วนปี 2002 มีเครือข่ายโทรทัศน์ 232 ช่องที่ได้รับลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสด โดยในปี 2006 ที่เยอรมันเป็นเจ้าภาพนั้น เกมรอบชิงชนะเลิศระหว่างอิตาลีกับฝรั่งเศส มีผู้ชมทั่วโลกถึง 715.1 ล้านคนชมการถ่ายทอดสดผ่านโทรทัศน์
จากข้อมูลของ Sportcal ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยเกี่ยวกับธุรกิจกีฬาพบว่าเม็ดเงินจากลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดในการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งนี้มีถึง 2.15 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 53% จากฟุตบอลโลกปี 2006
ผู้ชมในประเทศอาจไม่โชคดีเท่ากับบ้านเราที่สามารถดูผ่านฟรีทีวีได้ เพราะในหลายที่เครือข่ายโทรทัศน์ที่ซื้อลิขสิทธิ์ไปนั้นเป็นเครือข่ายแบบจ่ายเงินดู (Pay-per-view) เช่น Al Jazeera ถ่ายทอดสดผ่านช่องพรีเมียม ESPN ของสหรัฐ และ SBS ของเกาหลีใต้ เป็นต้น
ในจีนมีผู้ชม 39.7 ล้านคนชมการแข่งขันระหว่างอาร์เจนตินาและเกาหลีใต้ผ่านช่องกีฬาท้องถิ่น CCTV5 ส่วนในเกมรอบ 16 ทีมสุดท้ายที่อุรุกวัยเอาชนะเกาหลีใต้มีผู้ชม 27.6 ล้านคน และเกมระหว่างเยอรมันกับอังกฤษนั้นมีผู้ชมประมาณ 34 ล้านคน
ส่วนเกาหลีใต้เครือข่าย SBS มีผู้ชม 7 ล้านคนในเกมระหว่างเกาหลีใต้กับกรีซ ซึ่งเป็นยอดผู้ชมสูงสุดตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2007 ส่วนประเทศประเทศเจ้าภาพแอฟริกาใต้นั้น SABC1 เครือข่ายท้องถิ่นมีผู้ชมมากกว่า 8 ล้านคนชมเกมที่ทีมเจ้าภาพลงแข่ง 2 แมตซ์แรก
ในเยอรมันผู้ชมผ่านเครือข่าย ARD 29.2 ล้านคนระหว่างเกมนัดสุดท้ายของรอบแรกที่พวกเขาเอาชนะกาน่า ส่วนเกมที่เจอกับอังกฤษนั้นมีผู้ชม 25.6 ล้านคน โดยเมื่อ 4 ปีที่แล้วที่เยอรมันเป็นเจ้าภาพนั้น ในเกมรอบรองชนะเลิศที่พวกเขาแพ้อิตาลี มีผู้ชมผ่านเครือข่าย ZDF 29.7 ล้านคน

 
คนเกาหลีเหนือก็ได้ดูบอลโลกอย่างถูกกฎหมายกับเขาเหมือนกันนะ
ชาวเกาหลีเหนือได้ชมการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งนี้ตั้งแต่นัดเปิดสนาม ท่ามกลางความประหลาดใจของเครือข่ายโทรทัศน์ที่ได้รับลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดของเกาหลีใต้
 
โดยก่อนหน้านี้มีความหวาดกลัวว่าเกาหลีเหนือจะจารกรรมสัญญาณ เพราะเกาหลีเหนือเคยทำแสบไว้ในการแข่งขันฟุตบอลโลกปี 2002 ด้วยการแอบดูดสัญญาณถ่ายทอดจากเกาหลีใต้ และครั้งนี้เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ไม่สามารถเจรจาเรื่องลิขสิทธิ์กันได้
 
แต่สถานีโทรทัศน์ของเกาหลีเหนือได้รับสัญญาณการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลก ผ่าน Asia-Pacific Broadcasting Union ที่มีฐานอยู่ในประเทศมาเลเซีย โดยข้อตกลงระหว่างเกาหลีเหนือกับ Pacific Broadcasting Union สำเร็จก่อนหน้านัดเปิดสนามเพียงไม่กี่วัน
 
อนึ่ง Pacific Broadcasting Union เป็นองค์กรไม่หวังผลกำไร ส่งสัญญาณภาพใน 58 ประเทศ ซึ่งเป็นโปรแกรมแลกเปลี่ยนด้านข่าวสารและความบันเทิง
 

เมื่อตกรอบ มูลค่าโฆษณาก็หด
แฟนฟุตบอลในบ้านจะอยู่หน้าจอมากกว่านี้หากทีมอย่างอังกฤษ ฝรั่งเศส และอิตาลี ไม่ชิงตกรอบไปเสียก่อน ทั้งนี้ได้ส่งผลต่อมูลค่าการโฆษณาระหว่างการถ่ายทอดสดที่ลดลงไปอย่างรวดเร็ว
เครือข่ายที่ดำเนินการถ่ายทอดสดอย่าง TF1 (ฝรั่งเศส) Sky Italia (อิตาลี) และ ITV (อังกฤษ) จะได้รับรายได้จากโฆษณาอย่างเป็นกอบเป็นกำหากทีมชาติของพวกเขาสามารถเข้ารอบลึกๆ ไปได้ แต่หลังจากการตกรอบรายได้เหล่านั้นก็หายไปด้วยเช่นกัน ตัวอย่างเช่นช่อง TF1 เรียกค่าโฆษณา 30 วินาทีถึง 197,000 ดอลลาร์สหรัฐ ในเกมที่ทีมชาติฝรั่งเศสลงเล่น โดยมูลค่าโฆษณาจะสูงถึง 215,000 ดอลลาร์สหรัฐ หากทีมชาติฝรั่งเศสเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย แต่ขณะนี้ลดลงเหลือเพียง 105,000 ดอลลาร์สหรัฐ เท่านั้น
ในอังกฤษมีแฟนบอลเกือบ 20 ล้านคนชมการถ่ายทอดสดในเกมที่อังกฤษแพ้เยอรมัน 1-4 ผ่านช่อง BBC1 ซึ่งสิ่งต่อเนื่องจากความผิดหวังของแฟนทีมสิงโตคำราม ก็คือรายได้จากการโฆษณาของ ITV และ BBC ผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดในอังกฤษ
ทั้งนี้บางครั้งในเกมที่อังกฤษไม่ลงทำการแข่งขันนั้น อาจมีผู้ชมลดลงเหลือเพียงครึ่งหนึ่งของแมตซ์ที่อังกฤษแข่ง (ประมาณการว่ายอดผู้ชมที่อังกฤษทำการแข่งขันมีผู้ชม 18-20 ล้านคน)
สำหรับ ITV ที่ได้ถ่ายทอดเกมที่อังกฤษลงทำการแข่งขันเพียง 2 เกมเท่านั้น และอาจส่งผลต่อเป้าหมายที่จะทำกำไรจากการโฆษณาที่ได้ตั้งเป้าไว้ 25% ในปีแห่งมหกรรมลูกหนังโลกนี้กลายเป็นหมันไป
สหรัฐ แฟนฟุตบอลยังโตได้อีก
จากข้อมูลของ Nielsen ผู้ชมการแข่งขันฟุตบอลโลกผ่านเครือข่ายโทรทัศน์ภาษาอังกฤษและสเปนเพิ่มขึ้นประมาณ 34% ผู้ชม 99.2 ล้านคนในสหรัฐได้ชมการแข่งขันอย่างน้อย 6 นาทีเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (29 มิ.ย.) เพิ่มขึ้นจาก 91.4 ล้านคนเมื่อฟุตบอลโลกปี 2006
เครือข่ายโทรทัศน์กีฬาอย่าง ESPN, ABC และเครือข่ายภาษาสเปนอย่าง Univision นั้นก็คึกคักขึ้นมาทันตากับกีฬา “ซอคเกอร์” ที่ไม่ใช่กีฬายอดนิยมของคนอเมริกัน
โดยในเกมที่อาเจนตินาเอาชนะเม็กซิโกไปได้ 3-1 ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายนั้นมีผู้ชม 9.4 ล้านคนที่ชมการถ่ายทอดผ่านช่องสัญญาณภาษาสเปน ในเกมที่สหรัฐเจออังกฤษนั้นมีผู้ชมผ่าน ABC และ Univision 14.2 ล้านคน ส่วนเกมที่พวกเขาแพ้กาน่านั้นมีผู้ชม 19.4 ล้านคน เมื่อเทียบกับปี 2006 มีผู้ชมเกมการแข่งขันนัดชิงระหว่างอิตาลีและฝรั่งเศส 12 ล้านคน ส่วนในปี 2002 นัดชิงระหว่างบราซิลและเยอรมันมีผู้ชมเพียง 3.9 ล้านคน
ทั้งนี้ฟุตบอลโลกครั้งนี้ยอดผู้ชมในสหรัฐพุ่งสูงเป็นประวัติกาลนับตั้งแต่ที่พวกเขาเคยเป็นเจ้าภาพในปี 1994 ทั้งนี้ยอดผู้ชมการถ่ายทอดกีฬาฟุตบอลในสหรัฐอเมริกาที่เคยทำสถิติไว้คือการแข่งขันฟุตบอลโลกหญิงนัดชิงชนะเลิศระหว่างสหรัฐกับจีนในปี 1999
ที่มา:
The Real World Cup Prize? Broadcast Rights (ERIC PFANNER, The New York Times, 23-5-2010)
North Korea Gets Broadcast Rights for World Cup Games (EVAN RAMSTAD, wsj.com, 16-6-2010)
World Cup Viewership Numbers Expected To Drop With Big Teams Out (football-marketing.com, 30-6-2010)
World Cup Reaches One-Third of All U.S. TV Viewers (Nielsen Wire, 1-7-2010)
2010 World Cup gets amazing TV ratings (euFootball.BIZ, 2-7-2010)
http://en.wikipedia.org/wiki/2010_FIFA_World_Cup_broadcasting_rights (เข้าดูเมื่อ 2-7-2010)
http://www.fifa.com/aboutfifa/marketing/factsfigures/tvdata.html (เข้าดูเมื่อ 2-7-2010)
 
 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

องค์กรเอกชนกัมพูชาเตรียมจัดงานแสดงความโกรธแค้นไทย กรณีรุกพื้นที่พิพาทเขาพระวิหารเมื่อ 2 ปีก่อน

Posted: 02 Jul 2010 05:02 AM PDT

องค์กรเอกชนของกัมพูชาเผยต้องการแสดงออกให้ไทยรู้ว่าชาวกัมพูชาไม่พอใจที่ไทย "รุกราน" อธิปไตย ในเหตุการณ์ส่งกองกำลังทหารเข้าประชิดพื้นที่พิพาทใกล้เขาพระวิหาร เมื่อ 15 ก.ค. 2551 เอกอัครราชทูตไทยเชื่อไม่มีผลกระทบเพราะหน่วยงานที่จัดเป็นหน่วยงานเอกชน

<!--break-->

เว็บไซต์พนมเปญโพสต์ รายงานเมื่อวันที่ 30 มิ.ย. ที่ผ่านมาว่า สภาเฝ้าระวังกัมพูชา (The Cambodia Watchdog Council-CWC) มีแผนการที่จะจัดการชุมนุมขึ้นในวันที่ 15 ก.ค. นี้เพื่อแสดงความโกรธแค้นต่อประเทศไทยที่ "รุกราน" เข้ามายังพื้นที่พิพาทใกล้เขาพระวิหารเมื่อ 2 ปีก่อน โดยระบุว่า เมื่อวันที่ 15 ก.ค. ปี 2551   ทางการไทยได้ส่งกองกำลังทหารเข้ามาในพื้นที่พิพาทใกล้กับบริเวณเขาพระวิหาร ซึ่งเป็นเวลา 1 สัปดาห์ให้หลังจากที่คณะกรรมการมรดกโลกรับเอกสารขอขึ้นทะเบียนมรดกโลกจากทางกัมพูชา

ประธานขององค์กรดังกล่าวระบุว่า จุดประสงค์ของการรวมตัวกันครั้งนี้ก็เพื่อแสดงให้ไทยรู้ว่าชาวกัมพูชานั้นไม่พอใจต่อการ "รุกราน" อธิปไตยของกัมพูชา

ด้านนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา อนุญาตให้องค์กรภาคเอกชน หรือ เอ็นจีโอ ในกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา จัดงานวันแห่งความโกรธแค้นไทยในวันที่ 15 ก.ค. นี้ ว่าคิดว่าไม่น่ามีปัญหาอะไรและไม่น่าจะมีผลกระทบอไะรกับประเทศไทยเพราะเป็นกิจการภายในประเทศและหน่วยงานที่จัดก็เป็นภาคเอกชน  ในอดีต กัมพูชาเคยจัดงานลักษณะนี้มาแล้ว คืองานเฉลิมฉลองที่ศาลโลกตัดสินใหักัมพูชาได้ครอบครองปราสาทพระวิหารและงานฉลองที่งค์การ การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรม แห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก 

ที่มาข่าวบางส่วนจาก พนมเปญโพสต์

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ศาลยกคำร้องประกันตัว 11 นปช. ให้เหตุผลเป็นคดีร้ายแรงโทษถึงประหาร หวั่นหลบหนี

Posted: 02 Jul 2010 04:32 AM PDT

วีระ มุสิกพงษ์ พร้อมด้วยแกนนำและการ์ด นปช. รวม 11 คน ยื่นขอปล่อยตัวชั่วคราวครั้งที่ 2 ใช้หลักทรัพย์อย่างต่ำคนละ 2 ล้านบาท ศาลไต่สวนแล้วยกคำร้อง ให้เหตุผลเป็นคดีร้ายแรง ความผิดมีโทษถึงประหารชีวิต หวั่นผู้ต้องหาหลบหนี

<!--break-->

วันที่ 2 ก.ค. เวลา 13.45 น. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดา ศาลไต่สวนคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว 11 แกนนำ นปช. ประกอบด้วย นาย วีระ มุสิกพงษ์, นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ, น.พ.เหวง โตจิราการ,นายนิสิต สินธุไพร, นายยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก, นายขวัญชัย ไพรพนา, นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท,นายภูมิกิติ สุขจินดาทอง มือขวา เสธ.แดง, นายสมบัติ มากทอง  และ นายอำนาจ อินทโชติ, และนายก่อแก้ว พิกุลทอง ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. กทม. เขต 6

โดยนายคารม พลทะกลาง ทนายความแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้ยื่นคำร้องประกันตัวครั้งที่ 2 นายวีระ มุสิกพงศ์ ประธาน นปช. กับพวกซึ่งเป็นแกนนำ 11 คน รวมทั้ง นายก่อแก้ว พิกุลทอง ผู้สมัคร สส.เขต 6 ผู้ต้องหาคดีร่วมกันใช้ หรือสนับสนุนผู้อื่นให้กระทำการฐานก่อการร้าย ต่อศาลอาญา ที่ถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยใช้หลักทรัพย์เป็นเงินสดคนละ 2 ล้านบาท เพื่อให้ศาลพิจารณาปล่อยตัวชั่วคราว ขณะที่ นายวีระ มีภรรยาเป็นนายประกัน ยื่นหลักทรัพย์เป็นเช็คเงินสดธนาคารไทยพาณิชย์ 3 ล้านบาท ยื่นประกันตัว

นายคารม ทนายความ นปช. กล่าวว่า หลักทรัพย์ที่ทีมทนายความจัดเตรียมไว้ยื่น ส่วนใหญ่เป็นเงินสดคนละ 2 ล้านบาท แต่บางคน อาทิ นพ.เหวง โตจิราการ นั้น นางธิดา ภรรยานพ.เหวง ได้ยื่นหลักทรัพย์เพิ่มเป็นโฉนดที่ดินย่านดอนเมือง เนื้อที่กว่า 300 ตารางวา ราคาประเมิน 7 ล้านบาทด้วย ส่วน นายยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก ยื่นหลักทรัพย์เพิ่มอีก 500,000 บาท รวมเป็น 2.5 ล้านบาท เนื่องจากถูกกล่าวหาคดีดูหมิ่นสถาบัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ด้วย ขณะที่

การยื่นคำร้องได้อธิบายข้อเท็จจริงประกอบการปล่อยตัวชั่วคราวของแกนนำแต่ละคนด้วยว่า เป็นเพียงผู้ผู้ถูกกล่าวหาเท่านั้น และการประกันตัวเป็นสิทธิที่จะกระทำได้ตามรัฐธรรมนูญ รวมทั้งแกนนำเข้ามอบตัวเองต่อศาล โดยประสงค์ที่จะต่อสู้คดี จึงไม่มีความคิดที่จะหลบหนี ส่วน นายก่อแก้ว พิกุลทอง ที่ลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อม ส.ส.กทม. เขต 6 นั้น ได้ชี้แจงว่าขอโอกาสในการหาเสียง ส่วน นายสมชาย  ไพบูลย์ หนึ่งในแนวร่วม นปช.คนที่ 12 ที่ถูกคุมขังอยู่ด้วยนั้น ก่อนหน้านี้ ได้ยื่นขอประกันตัวแล้ว แต่ศาลอาญาไม่อนุญาตให้ประกันตัว ซึ่งได้ยื่นอุทธรณ์แล้ว แต่อยู่ระหว่างรอฟังคำสั่ง

ทั้งนี้ นายคารม ทนายความ ยังกล่าวถึง กรณีที่ นายโรเบิร์ต อาร์ อัมสเตอดัมส์ ทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ มีหนังสือถึง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ขอให้หน่วยงาน เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบที่เกี่ยวข้องการสอบสวนกรณีที่มีผู้เสียชีวิตระหว่างการชุมนุมเดือน เม.ย.-พ.ค.53 ส่งมอบข้อมูลทั้งหมด ว่า ตนได้รับหมายให้ประสานงานร่วมกับนายโรเบิร์ต เกี่ยวกับการรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ เพื่อดำเนินคดีกับรัฐบาลไทยด้วย ซึ่งหากรัฐบาลไทยไม่ส่งมอบข้อมูลก็สามารถทำได้ แต่ในมุมมองของต่างชาติอาจมองว่า การดำเนินคดีของไทยมีปัญหาเรื่องการเข้าถึงพยานหลักฐานยากง่ายเพียงใดหรือไม่

ด้าน นางธิดา ภรรยา นพ.เหวง กล่าวด้วยว่า สำหรับ นพ.เหวง ก็ระบุเหตุผลประกอบด้วยว่า ไม่คิดที่จะหลบหนีอย่างแน่นอน เพราะมีภาระต้องดูแลกิจการเปิดคลินิก รวมทั้งมีเจ้าหน้าที่พยาบาลประจำคลินิกจะต้องดูแลด้วย ประกอบกับ นพ.เหวง เอง มีโรคประจำตัวเป็นภูมิแพ้ เมื่อต้องอยู่ในสถานที่ สภาพแวดล้อมแออัด อาจจะกำเริบได้ ซึ่งเวลานี้ นพ.เหวง เห็นว่าร่างกายซูบผอมลงไปจากเดิมบ้าง

อย่างไรก็ตาม ศาลพิเคราะห์คำร้อง และหลักทรัพย์ของผู้ต้องหาทั้ง 11 คนแล้ว เห็นว่า เป็นคดีร้ายแรง มีอัตราโทษสูงถึงขั้นประหารชีวิต หากปล่อยชั่วคราวเกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี จึงให้ยกคำร้อง

ที่มา: http://www.dailynews.co.th, http://www.posttoday.com

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

กก.สิทธิแนะรัฐบาลเลิก พรก.ฉุกเฉิน ชี้คุมตัว "บก.ลายจุด" อาจเข้าข่ายละเมิดสิทธิทางการเมือง

Posted: 02 Jul 2010 01:00 AM PDT

นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แนะรัฐบาลยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ระบุพ้นสภาพความฉุกเฉินไปแล้ว ชี้กรณีจับสุธาชัย-สมยศ-สมบัติ เป็นการใช้กฎหมายในแง่ป้องปรามการกระทำในทางการเมืองหรือการชุมนุมทางการเมือง ซึ่งอาจจะนำไปสู่การละเมิดสิทธิทางการเมือง 

<!--break-->

(2 ก.ค.53) นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ในฐานะประธานอนุกรรมการด้านสิทธิทางการเมืองและสิทธิพลเมือง กล่าวถึงความจำเป็นในการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินของรัฐบาล ว่า อนุกรรมการฯ กำลังส่งหนังสือซึ่งเป็นมติร่วมกันวานนี้ให้รัฐบาลและผู้อำนวยการ ศอฉ. เพื่อพิจารณายกเลิกการใช้ พ.ร.ก.ฉบับนี้ เพราะเห็นว่าพ้นจากสภาพความฉุกเฉินไปแล้ว หลังประกาศใช้มาร่วม 3 เดือน

ส่วนกรณีการจับนายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข และนายสมบัติ บุญงามอนงค์ นพ.นิรันดร์เห็นว่า เป็นการใช้กฎหมายในแง่ป้องปรามการกระทำในทางการเมือง หรือการชุมนุมทางการเมือง ซึ่งอาจจะนำไปสู่การละเมิดสิทธิทางการเมือง ทั้งนี้ เมื่อดูในรายละเอียด กรณีนายสมยศและนายสุธาชัย ถูกควบคุมตัวหลังแถลงข่าวว่าจะจัดการชุมนุม ขณะที่นายสมบัติถูกจับหลังจากไปทำกิจกรรมผูกผ้าแดงที่แยกราชประสงค์ ซึ่งล้วนเป็นการดำเนินการตามสิทธิทางการเมืองปกติ

อนุกรรมการฯ ได้ตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ถ้าเป็นการกระทำตามมาตรา 63 ของรัฐธรรมนูญ สามารถดำเนินการได้ ถ้ารัฐบาลใช้กฎหมายพิเศษในการควบคุมตัวเขา ควบคุมการสื่อสาร หรือกักบริเวณก็จะเข้าข่ายละเมิดสิทธิเสรีภาพ เป็นเรื่องไม่เหมาะสม เพราะสิทธิการชุมนุมกำหนดไว้แล้วในรัฐธรรมนูญ ถ้าบุคคลมีพฤติการณ์ไม่เหมาะสม ก็ใช้่กฎหมายทั่วไปจัดการได้

“ภายใต้นโยบายความปรองดอง ถ้ายังคงกฎหมายนี้อยู่ก็ดูจะสวนทางกัน” นพ.นิรันดร์กล่าวและเตือนว่า การควบคุมตัวนายสุธาชัยและนายสมบัติอาจเป็นการสร้างแนวร่วมมุมกลับขึ้นมา
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

กก.สิทธิเยี่ยมผู้ต้องขังตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ร้องไม่มีทนาย-ไม่เกี่ยวข้องชุมนุม

Posted: 02 Jul 2010 12:55 AM PDT

<!--break-->

2 ก.ค. 53 เวลา 14.00น. เรือนจำพิเศษ กทม. นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ในฐานะประธานอนุกรรมการด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง พร้อมคณะอนุกรรมการ ได้แก่ พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ นิติรัฐ ทรัพย์สมบูรณ์ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายเลขานุการ ได้เดินทางไปเยี่ยมผู้ต้องหาที่มีความผิดตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 รวม 60 ราย ซึ่งเป็นเหตุต่อเนื่องจากคำร้องเรียนกรณีนายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข และนายสมบัติ บุญงามอนงค์ ที่เรียกร้องให้คณะกรรมการสิทธิฯ เข้ามาดูแลการบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
 
โดย นพ.นิรันดร์ระบุว่า การมาครั้งนี้เพื่อจะมาดูสภาพความเป็นอยู่ของผู้ต้องหา ดูมาตรการในเรือนจำ รวมถึงการรับฟังปัญหาเรื่องความเหมาะสมในการจับกุมด้วย
 
เวลาประมาณ 16.00 น. คณะอนุกรรมการฯ ได้เดินทางออกจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ นายแพทย์นิรันดร์ ให้สัมภาษณ์ว่า มีผู้ต้องหามาให้ข้อมูลกับอนุกรรมการฯ ประมาณ 40 คน จากจำนวนทั้งหมดราว 60 คน และทราบมาว่าที่เรือนจำคลองเปรมยังมีผู้ต้องขังอยู่ที่นั่นอีก 40 กว่าคน ซึ่งคงต้องมีการตรวจสอบตัวเลขที่ชัดเจนอีกครั้ง ทั้งนี้ ผู้ต้องหาทั้งหมดถูกตั้งข้อกล่าวหาแตกต่างกัน บางคนมีข้อกล่าวหาค่อนข้างร้ายแรง บางคนผิดฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
น.พ.นิรันดร์ กล่าวต่อว่า ปัญหาที่สำคัญที่พบคือ ผู้ต้องหายังไม่มีทนายความมาดูแล 28 ราย ผู้ที่มีทนายความแล้วมี 13 ราย โดยส่วนใหญ่ไม่มีความรู้ด้านกฎหมาย เมื่อไม่มีทนายความก็ไม่มีผู้ให้คำแนะนำและช่วยเหลือประเด็นด้านกฎหมายซึ่งเชื่อมโยงกับการรับรู้สิทธิในการประกันตัวด้วย รวมไปถึงประเภทที่ญาติพี่น้องอยู่ต่างจังหวัด ไม่มีใครมาเยี่ยมเลย คณะอนุกรรมการฯ ได้ให้ผู้ต้องหากรอกรายละเอียด ที่อยู่ที่สามารถติดต่อญาติได้เพื่อช่วยประสานงานติดต่อญาติให้ด้วย
นอกจากนี้ยังมีชาวต่างประเทศ 3 คน เป็นชาวออสเตรเลีย และชาวอังกฤษ ดังที่ปรากฏเป็นข่าว และสถานทูตทั้งสองแห่งก็มาเยี่ยมดูแล ขณะที่อีกคนหนึ่งเป็นชาวกัมพูชา ซึ่งให้ข้อมูลว่าเขาถูกตั้งข้อกล่าวหาทั้งที่เขาไม่มีส่วนรู้เห็นด้วยในการชุมนุม อย่างไรก็ตาม ผู้ต้องหาส่วนหนึ่งในจำนวนทั้งหมดต่างก็ให้ข้อมูลว่าเขาไม่รู้เห็นในการชุมนุม เป็นแค่คนเดินผ่าน หรือกรณีที่มาร่วมการชุมนุมก็ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ความรุนแรง ซึ่งทางคณะอนุกรรมการฯ จะตรวจสอบเรื่องเหล่านี้ต่อไป
น.พ.นิรันดร์ กล่าวว่า ยังมีนักศึกษาที่ถูกจับประมาณวันที่ 6 มี.ค. ก่อนการชุมนุม ด้วยข้อกล่าวหาว่ามีอาวุธร้ายแรงคือ ระเบิด ซึ่งต้องทำการตรวจสอบต่อไป ประเด็นสุดท้ายคือเรื่องคนป่วยที่มีปัญหาเรื่องของยา แม้เรือนจำมีสถานพยาบาลอยู่ แต่ถ้าเป็นคนไข้ที่มีโรคประจำตัวต้องทานยาประจำก็ค่อนข้างลำบาก เรื่องนี้คงต้องดูรายละเอียดของแต่ละราย
น.พ.นิรัดร์ กล่าวสรุปว่า ในเบื้องต้นคณะอนุกรรมการฯ จะรวบรวมข้อมูลและประชุมหารือกันในอนุกรรมการฯ ในวันพุธหน้า โดยจะสรุปเป็นประเด็นให้ผู้บัญชาการชี้แจงอีกทีว่าแต่ละเรื่องเป็นอย่างไร เพื่อเป็นการตรวจสอบทั้งสองทาง แล้วจึงสรุปอีกครั้งว่าจะทำอะไรบ้างก่อนที่คณะอนุกรรมการฯ จะออกไปเยี่ยมผู้ต้องหารในเรือนจำในต่างจังหวัด โดยเฉพาะในภาคอีสาน เช่น อุบลฯ อุดรฯ มุดาหาร
 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

คพส.เผยรายชื่อผู้ร่วม “ปฏิรูปสื่อภาครัฐ-พัฒนาสื่อเอกชน”

Posted: 01 Jul 2010 01:36 PM PDT

<!--break-->

1 ก.ค. 2553 - เว็บไซต์สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะทำงานร่วม 4 องค์กรวิชาชีพสื่อ ประกอบด้วยผู้แทนจาก สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย, สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย มีมติเสนอชื่อผู้แทนองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชน นักกฎหมาย ผู้แทนองค์กรด้านการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสื่อมวลชนและการปฏิรูปสื่อ เป็นกรรมการใน “คณะกรรมการพัฒนาส่งเสริมสิทธิเสรีภาพและความรับผิดชอบสื่อมวลชน” (คพส.)

นายพรชัย ปุณณวัฒนาพร เลขาธิการ สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ หนึ่งในคณะทำงานร่วม 4 องค์กรวิชาชีพสื่อ กล่าวว่าเพื่อให้การทำงานของแผนงาน “ปฏิรูปสื่อภาครัฐ-พัฒนาสื่อเอกชน” บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้จึงได้มีการเสนอชื่อบุคคลจำนวน 11 คนเป็นกรรมการ คพส. ประกอบด้วย

1.นายมานิจ สุขสมจิตร อดีตประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ 2.นายปราโมทย์ ฝ่ายอุประ ประธาน สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ 3.นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ ประธาน สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย 4. นายประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ นายก สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย 5. นายก่อเขต จันทเลิศลักษณ์ นายก สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย 6.นายสุนทร จันทรรังสี ตัวแทนนักหนังสือพิมพ์ภูมิภาค 7. รศ. จุมพล รอดคำดี อดีตคณบดีคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ 8. ดร. สุดารัตน์ ดิษยวรรธนะ จันทราวัฒนากุล คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยกรุงเทพ 9.นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ อดีตนายกสภาทนายความ 10. นางสาวเข็มพร วิรุณราพันธ์ ผู้จัดการแผนงาน สื่อสร้างสุขภาวะเยาวชน (สสย.) และ 11. นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ รองประธานคณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ

คณะกรรมการ คพส. จะมีการประชุมครั้งแรกในวันอังคารที่ 6 กรกฎาคม 2553 เวลา 14.00 น. ณ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ถนนสามเสน เพื่อหารือเรื่องกรอบแนวทางการดำเนินงานและแต่งตั้งคณะทำงานย่อยจำนวน ๕ คณะทำงาน ประกอบด้วย 1. คณะทำงานพัฒนากลไกควบคุมกันเองทางวิชาชีพ 2. คณะทำงานพัฒนาบุคลากรในวิชาชีพ 3. คณะทำงานปรับปรุงกฎหมายด้านสิทธิเสรีภาพสื่อมวลชน 4. คณะทำงานปรับปรุงกฎหมายด้านวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ และ 5. คณะทำงานพัฒนากลไกการเฝ้าระวังการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน โดยคณะทำงานจะทำหน้าที่ผลักดันภารกิจต่างๆ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น