โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

พี่สาวช่าวภาพอิตาเลียน ยังคงเรียกร้องรัฐบาลไทยเคลียร์สาเหตุการตาย 19 พ.ค.

Posted: 30 Jul 2010 11:44 AM PDT

เอลิซาเบตตา โปเลนจิ พี่สาวของช่างภาพชาวอิตาเลียนซึ่งถูกยิงตายในวันที่ 19 พ.ค. 2553 เรียกร้องอีกครั้งให้รัฐบาลไทยเดินหน้าสอบสวนหาเหตุการตายของน้องชาย พร้อมเดินหน้าหาพยานหลักฐานจากกล้องวีดีโอของน้องชายต่อไป ด้านตัวแทน CPJ ระบุ ผู้ใช้อาวุธทั้งสองฝ่ายลอยนวลไม่ต้องรับผิด

<!--break-->

30 ก.ค. ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย พี่สาวของช่างภาพชาวอิตาเลียนซึ่งถูกยิงตายในเหตุการณ์พฤษภาเลือด 19 พ.ค. 2553 เรียกร้องอีกครั้งให้รัฐบาลไทยสอบสวนหาเหตุการตายของน้องชาย พร้อมเดินหน้าหาพยานหลักฐานจากกล้องวีดีโอของน้องชายต่อไป

น.ส.เอลิซาเบตตา โปเลนจิ พี่สาวของนายฟาบิโอ โปเลนจิ ระบุว่า การที่กล้องของน้องชายหายไปนั้น ทำให้เกิดข้อกังขา และเธอยังพยายามติดตามหากล้องตัวที่นายฟาบิโอใช้งานในวันที่ถูกสังหารด้วยกระสุน ขณะที่มีการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 19 พ.ค. ที่ผ่านมา เนื่องจากจะเป็นกุญแจสำคัญในการบ่งชี้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับเหตุการณ์ก่อนที่นายฟาบิโอจะถูกยิงเสียชีวิตได้

น.ส.เอลิซาเบตตาระบุด้วยว่า หลังจากที่น้องชายเสียชีวิตลงก็ต้องการทราบความคืบหน้าของการสืบสวนสอบสวนจึงเดินทางกลับมายังประเทศไทยอีกครั้ง เพื่อรับฟังข้อสรุปและผลการสืบสวนสอบสวน แต่เธอรู้สึกว่าสองเดือนที่ผ่านมานั้นดูเหมือนจะเร็วเกินไปที่เธอจะได้รับข้อเท็จจริงเพิ่มเติมจากรัฐบาลไทย

ก่อนหน้านี้ เว็บไซต์สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย รายงานว่าน.ส.เอลิซาเบตตา ได้เข้าพบ พ.ต.อ. ณรัชต์ เศวตนันทน์ รองอธิบดีกรมสืบสวนคดีพิเศษ พร้อมด้วยผู้แทนสถานเอกอัครราชทูตอิตาลี/ปทท. และผู้แทนกรมยุโรป เมื่อวันที่ 29 ก.ค. 2553 เพื่อขอทราบผลการติดตามคดีดังกล่าวโดยเฉพาะขอรับเอกสารผลการชันสูตรศพในขั้นสุดท้าย ซึ่งทาง DSI แจ้งว่า ได้รับสำนวนคดีจาก สน.ลุมพินีและผลการชันสูตรจาก สน.ปทุมวันแล้ว ขณะนี้ได้เรียกพยานในที่เกิดเหตุมาสอบปากคำแล้ว โดยได้เล่าให้ น.ส. เอลิซาเบตตา ทราบถึงเวลาที่นาย ฟาบิโอเสียชีวิตและจุดที่เกิดเหตุ ตลอดจนขั้นตอนต่อไปที่ทาง DSI จะสอบปากคำนายแพทย์ที่ชันสูตรศพและผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธเพื่อระบุว่าบาดแผล ที่เกิดขึ้นเกิดจากกระสุนหรือเป็นสะเก็ดระเบิดประเภทใด ก่อนที่จะสรุปผลและชี้แจงให้ญาติผู้เสียชีวิตทราบอย่างเป็นทางการในเวลาภาย ใน 3 สัปดาห์ สำหรับการดำเนินการสืบสวนพยานต่างๆ และสรุปคดีนั้น ซึ่งไม่สามารถระบุได้ว่าจะใช้เวลานานเท่าใด ขณะเดียวกัน น.ส. เอลิซาเบตตา ชี้แจงว่า ตามรายงานที่สรุปถึงเวลาและสถานที่เกิดเหตุที่เจ้าหน้าที่ระบุนั้นคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง พร้อมทั้งได้มอบหลักฐานจากภาพคลิปวิดิโอที่ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ถ่ายไว้ขณะ ที่นายฟาบิโอเสียชีวิตและนำไปลงในเว็บไซต์ยูทูปว์ เพื่อประกอบการสืบสวน พร้อมทั้งย้ำว่า ตนต้องการให้ติดตามตัวชายไทยในภาพที่เห็นหน้าอย่างชัดเจนซึ่งเป็นผู้ที่เอา กล้องถ่ายภาพของนายฟาบิโอ ไปทันทีที่เห็นว่าถูกยิงล้มลงก่อนที่จะช่วยลากร่างของนายไปกับช่างภาพอื่นๆ เพื่อส่งโรงพยาบาล ซึ่งทางเจ้าหน้าที่รับว่าอาจจะใช้วิธีการประกาศตามหาหรือมอบรางวัลแก่ผู้ที่ แจ้งเบาะแสแก่เจ้าหน้าที่ พร้อมทั้งรับปากว่าจะติดต่อกับน.ส.อิซซาเบตตาเป็นระยะเพื่อรายงานผลการสืบสวน

ด้านชอว์น คริสปิน จากคณะกรรมการคุ้มครองผู้สื่อข่าว (Committee to Protect Journalists หรือ CPJ) วิพากษ์ว่า กรณีการเสียชีวิตของนายฮิโระ มูราโมโตะ ผู้สื่อข่าวชาวญี่ปุ่น และนายฟาบิโอ โปเลนจินั้น จบลงที่การสอบสวนหาข้อเท็จจริงในเชิงการเมือง แต่ไม่มีการสืบสวนสอบสวนที่จะนำคดีไปสู่กระบวนการยุติธรรม ทั้งเรียกร้องให้นำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ

ชอว์น คริสปินระบุด้วยว่า ถึงขณะนี้ แม้ว่าฝ่ายคนเสื้อแดงจะปฏิเสธว่าดำเนินการชุมนุมโดยไม่มีอาวุธและสันติวิธี แต่จากรายงานพิเศษที่คณะกรรมการคุ้มครองผู้สื่อข่าวจัดทำขึ้นโดยรวบรวมสัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวต่างประเทศที่บาดเจ็บและอยู่ในเหตุการณ์วันสลายการชุมนุม ก็มีหลักฐานแน่ชัดแล้วว่ากองกำลังของทั้งสองฝ่ายคือฝ่ายรัฐบาลฝ่ายผู้ประท้วงนั้นต่างมีอาวุธหนัก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือผู้ใช้อาวุธทั้งสองฝ่ายไม่มีใครต้องรับผิด
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ศาสนาของคำผกา: ตอนที่ 2: โลกย์ของธรรมะบ้านๆ

Posted: 30 Jul 2010 09:48 AM PDT

วิจักขณ์ พานิช สัมภาษณ์คำ ผกา ตอนที่ 2 ว่าด้วยพุทธแบบบ้านๆ อัีนปลอดพ้นจากอารมณ์ดรามา และการเผชิญทุกข์แบบไม่ต้องอาศัยวัด

<!--break-->

วิจักขณ์: คุณแขกโตมาในสิ่งแวดล้อมแบบไหน

คำ ผกา: เกิดที่นี่ โตที่นี่เลย [บ้านสันคะยอม สันทราย เชียงใหม่]

วิจักขณ์: แล้วจริงเหรอที่บอกว่า ไม่เข้าใจเลยว่าโลกจิตวิญญาณ โลกศาสนา ที่มันศักดิ์สิทธิ์สูงส่งเป็นยังไง

คำ ผกา: อือ เข้าใจไม่ได้จริงๆ

วิจักขณ์: แล้วสิ่งที่ตัวเองเรียนรู้จากการเติบโตแบบนี้ มันมีอะไรที่พอจะเรียกว่าเป็นคุณค่าทางจิตวิญญาณหรือศาสนาได้บ้างมั๊ย

คำ ผกา: คือ แขกก็นับถือศาสนาพุทธมาตั้งแต่เกิด ก็ไปวัดเหมือนชาวบ้านทั่วไป ทำบุญตักบาตรตามปกติ แต่ทีนี้ความสัมพันธ์ระหว่างชาวบ้านกับพระแบบบ้านๆเนี่ย มันไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์สูงส่งอะไรมากมาย มันใกล้กันมาก (เน้นเสียง) เจ้าอาวาสก็คือว่า ถึงเวลาที่จะขึ้นเทศน์ สวดอะไรก็สวดไป แต่พอหมดหน้าที่ตรงนั้น ท่านก็จะมาเดินคุย เดินเม้าท์ นินทาชาวบ้าน อะไรเงี้ยะ (หัวเราะ) สำหรับแขกมันไม่ใช่อะไรที่อยู่พ้นไปจากโลกมนุษย์น่ะ และตัวเองก็มองว่า จริงๆแล้วหน้าที่ของวัดและพระตามหมู่บ้านต่างๆ มันก็คล้ายๆตัวกลางของชาวบ้าน ที่เอาไว้ต่อรองกับอำนาจรัฐ ไว้คุยกับนายอำเภอ เพราะว่าถ้าให้เจ้าอาวาสคุยก็มีน้ำหนักกว่าชาวบ้านคุยเอง หรือในกรณีถ้ามีความขัดแย้งอะไรกัน นอกนั้นก็เอาไว้ประกอบพิธีกรรม งานศพ งานอะไร เอาไว้ mobilize เงินทุนในหมู่บ้าน จะทำอะไร จะมีกิจกรรมอะไร เอาไว้สร้างโบสถ์ สร้างวิหาร ก็มีแค่นั้นแหละ แล้วก็เอาไว้เป็นตัวกลาง เพราะพุทธที่บ้านก็เป็นกึ่งๆพุทธ กึ่งๆผีอยู่แล้ว ก็เป็นตัวกลางสำหรับอุทิศส่วนกุศลให้คนที่ล่วงลับไปแล้ว

แขกไม่เคยสัมผัสพุทธที่มันเป็นปรัชญา สำหรับแขกพุทธก็บ้านๆแบบนี้ พระก็รู้ชีวิตส่วนตัวเรา เราก็จะรู้ชีวิตส่วนตัวพระ มันก็ไม่ค่อยจะมีอะไรที่เป็นความลับ แล้วก็ไม่มีวินัยอะไรเคร่งครัด อย่างหมู่บ้านนี้ สมัยแขกเด็กๆ ก็จะมีเวรส่งข้าวเย็นให้วัด บ่ายๆก็จะไปถามว่าวันนี้อยากกินอะไร เออ แล้ววันนึงแขกก็ไปเจอ อ้าว พระไม่กินข้าวเย็นหรอกเหรอ นี่เพิ่งมารู้ตอนโต (หัวเราะ) ตกใจ อ้าวจริงเหรอ แล้วก็ไม่มี ที่ขนาดจะไม่จับ ไม่โดนกันนี่ก็ไม่มีนะ คือโดนตัวกันก็ไม่ได้คิดว่าเป็น big deal โอเคถ้าไม่โดนได้ก็ดี แต่ถ้ามันจะต้องไปโดนกันบ้างก็ไม่เป็นไร

วิจักขณ์: แล้วเคยได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องจิตใจ มีการอบรมสั่งสอนหลักธรรมอะไรทำนองนี้บ้างมั๊ย หรือว่าไม่ได้สนใจเลย

คำ ผกา: ไม่ได้สนใจเลย ไม่ได้สนใจว่าพระจะต้องมีหน้าที่สอนให้เราเป็นคนดี เพราะหลักการความดี มันก็ง่ายๆอย่างที่พระเทศน์ ก็คือ ศีล 5 แล้วศีล 5 ก็ไม่ได้มีการตีความอะไรเพิ่มไปมากกว่านั้น ก็ไม่ได้มีการตั้งคำถามอะไรกัน เช่นว่า ตบยุงบาปมั๊ย เอ๊ะเราฆ่าหมูแล้วเอาไปทำบุญอันไหนจะได้บุญ อันไหนจะได้บาป คนก็ไม่ค่อยตั้งคำถามกันนะ เหมือนพุทธมันเป็นกลไกนึงของชีวิตที่มันเป็นวิถีปฏิบัติ แล้วชาวบ้านก็ไม่ค่อยพูดคำว่านิพพาน หรือว่าหลุดพ้น

วิจักขณ์: แล้วอย่างนี้เวลาที่มีคนในหมู่บ้านมีความทุกข์ มีใครตาย มีการพลัดพรากสูญเสียอะไรอย่างนี้ล่ะ

คำ ผกา: เอ้อ..อันเนี้ยะ (เสียงสูง) อันนี้แหละ น่าสนใจ คือแขกไม่เคยเห็นคนมีความทุกข์ (เน้นเสียง)

วิจักขณ์: โห จริงเหรอ!!

คำ ผกา: (หัวเราะ) เออ นึกออกมั๊ย

วิจักขณ์: นี่มันเทวดานี่ (หัวเราะ)

คำ ผกา: ไม่ช่ายยยย (เสียงสูง) (หัวเราะ) คือมันมีการสูญเสียนะ มันมีความเครียด แต่แขกไม่เคยเห็นความทุกข์แบบคนในเมืองน่ะ คือ อย่างงานศพมันก็จะเป็นความโศกเศร้าแบบดราม่ากันคืนเดียว สมมติว่าวันนี้มีคนตาย ก็จะร้องห่มร้องไห้กัน พอร้องไห้เสร็จก็จะเป็นเรื่องพิธีกรรม ทุกคนก็จะลืมความทุกข์ แล้วไป concentrate เรื่องว่าเราจะเอาอาหารอะไรมารับแขก ใครจะมาตั้งวงไฮโลกี่วง เราจะเอาดนตรีอะไรมาเล่น จะเอาปี่พาทย์หรือวงดนตรีสมัยใหม่ จะนิมนต์พระที่ไหน มีพระที่เทศน์ตลกที่สุด ฮาที่สุด ที่ไหนบ้าง แล้วมีเงินจะจ่ายค่าตัวพระมั๊ย พระเทศน์เก่งๆก็จะค่าตัวแพงหน่อย คือมันก็จะกลายเป็นเรื่องกิจกรรมทั้งหมด แล้วทุกคนก็ไม่ได้เศร้าอะไรกันนาน

แขกมองว่านี่คือโลกธรรมะของชาวบ้าน วิธีคิดแบบนี้มันไม่ค่อย dramatize อารมณ์ คือมันเศร้าแล้วมันก็จบ ไม่ได้เก็บเอามาไว้ระลึกถึง มันไม่มีอนุสาวรีย์แบบคนในเมือง ไม่มีครบรอบวันแต่งงาน ครบรอบวันเจอกัน ไอ้เรื่องแบบนั้นมันทำให้คนเศร้าเนอะ แต่ชาวบ้านเค้าไม่มีวิธีการรำลึกถึงอดีตแบบนั้น เค้าไม่มีวัตถุที่แสดงถึงความทรงจำ เค้าจะไม่มีว่า เห็นอันนี้แล้วคิดถึงแม่ที่จากไป แขกไม่เคยรับรู้เรื่องพวกนี้มาก่อนตลอดชีวิตแขก จนเมื่อไปเจอเพื่อนที่โตมากับครอบครัวที่อยู่ในเมือง แขกก็มารู้จักเรื่องฉลองวันเกิด เรื่องอะไร ซึ่งมารู้จักเอาทีหลังมากเลย มันมีด้วยเหรอ คนเราต้องมีครบรอบวันโน่นนี่นั่น ไม่รู้ สำหรับแขกพอมันไม่มีวันพวกนั้นมันก็เลยไม่จำ พอไม่จำมันก็ไม่ค่อยมีความโศกเศร้าฟูมฟาย แล้วการไปพึ่งศาสนาในมิตินั้นมันก็เลยไม่ค่อยมี เหมือนทุกอย่างมันดูแลของมันไปเองได้

วิจักขณ์: แล้วอกหักล่ะมีมั๊ย?

คำ ผกา: ไม่เคยเห็นคนอกหักเลยนะ (เสียงสูง) ผิดหวังในความรักมันต้องมีอยู่แล้วล่ะ แต่แขกไม่เคยเห็นคนแสดงอาการอกหัก ก็อาจจะมีนะ มีสั้นๆ ขำๆ แต่ไม่เคยเห็นใครอกหักแบบเยอะๆ นานๆ แล้วก็เห็นว่าเป็นบาดแผลในชีวิต อย่างเมื่อไม่นานมานี้ ลุงแขกเสีย ลุงอายุหกสิบกว่า ป้าก็เพิ่งห้าสิบกว่า ก็คือยังไม่แก่มาก แล้ววิธีของทางบ้าน ถ้ามีใครซักคนตาย สิ่งแรกที่เราจะทำก็คือ ไปหาพวกนั่งทางใน เพื่อที่จะถามว่าตอนนี้เค้าอยู่ที่ไหน อยู่ดีมั๊ย ได้กินอะไร แล้วก็อยากให้เราทำอะไรให้มั๊ย ก็คือทุกคนก็รู้ว่ามันโกหก แต่ก็จะไป ไปให้มันสบายใจ ก็ถามโน่นถามนี่ แต่คำถามสุดท้ายที่พวกแม่ๆป้าๆถาม “เออ แล้วตกลงจะให้เอาผัวใหม่รึเปล่า” (หัวเราะ) คือตายไปวันเดียวเองน่ะ มันคิดเรื่องมีผัวใหม่แล้ว แขกก็คิดไม่ได้สำหรับคนชั้นกลางนะ เพราะผัวตายก็ต้องเศร้าไปสามปี เข้าวัด นั่งสมาธิ อะไรงี้ แต่นี่เค้าคิดไปข้างหน้าแล้วว่า เออถ้ามีผัวใหม่เธอจะโอเคมั๊ย ก็ถามผ่านร่างทรงน่ะ

วิจักขณ์: ดูเหมือนมันจะมีความเบาสบายอยู่ในท่าทีของชาวบ้านกับเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว

คำ ผกา: แต่แขกคิดว่านี่แหละ คือ การปล่อยวาง ง่ายๆ แต่คนเค้าไม่ได้พูดว่าปล่อยวาง ไม่ได้เรียกว่าอนิจจัง แต่แขกคิดเค้าอยู่กับการเปลี่ยนแปลงได้ดีกว่าคนในเมือง คือเค้าอยู่โดยที่เค้าไม่ต้องพูด แขกจึงบอกว่ามันมีการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน กิจกรรมในชีวิตที่มันขัดเกลา คนที่มีวิถีปฏิบัติในชีวิตต่างกันก็ได้รับการขัดเกลาความคิดหรือจิตใจไม่เหมือนกัน อย่างชาวบ้าน แขกคิดว่าเขาอยู่กับความไม่เที่ยงอยู่แล้ว อยู่กับความไม่แน่นอนของชีวิตอยู่แล้ว ทั้งเรื่องภัยธรรมชาติ เรื่องการทำนาก็เอาแน่เอานอนไม่ได้ หรือถ้าเค้าค้าขายอะไรเล็กๆน้อยๆ เค้าก็ไม่ได้มี insurance อะไรที่จะมารับประกันว่า กิจการเล็กๆของเค้าจะไม่เจ๊งไปในวันใดวันนึง โรคภัยไข้เจ็บ แล้วนึกถึงว่าในสังคมหมู่บ้านสมัยก่อนไม่ได้มีหมอ ซึ่งคนตายเมื่อไหร่ก็ได้ เค้าอยู่กับความไม่แน่นอนมาตลอดชีวิตน่ะ เค้าก็รับมือกับความเปลี่ยนแปลง แล้วเค้าถึงไม่ได้มีความทุกข์แบบที่เรารู้จัก แต่ไม่ได้แปลว่าเค้าไม่ได้มีปัญหาในชีวิต หรือไม่มีความผิดหวัง ไม่มีความล้มเหลวนะ เพียงแต่เค้าไม่ได้มองความทุกข์ว่าเป็นสิ่งที่ต้องกอดเอาไว้

วิจักขณ์: เหมือนกับว่าต้องกอดความทุกข์ไว้ จึงจะรู้สึกได้ถึงตัวตน พอมีตัวตนก็ต้องมีธรรมะ พอมีธรรมะก็ต้องประสบความสำเร็จทางธรรมะอีกที กลายเป็นว่ากอดโน่นกอดนี่มั่วไปหมด ปล่อยอะไรไม่ได้ซักอย่าง เพราะกลัวความเบาของชีวิต

คำ ผกา: ช่ายย...ต้องรู้สึกถึงการมีอยู่ของตัวเอง เพราะฉันทุกข์ ฉันจึงมีอยู่ (หัวเราะ)

วิจักขณ์: แล้วโตมาแบบนี้ วันนึงไปเจอเพื่อนที่มาจากโลกอีกแบบนึง แล้วก็เริ่มซึมซับโลกแบบคนเมือง มีการศึกษา มีเพื่อน มีวันเกิด มีแฟน มีวันครบรอบการเจอกัน มีอกหัก แล้วก็ต้องมีดราม่าบ้างอะไรบ้างใช่มั๊ย

คำ ผกา: โอ๊ย มีสิ อกหักก็อย่างดราม่าเลย ตอนนั้นวัยรุ่นนี่ (หัวเราะ)

วิจักขณ์: อ้าว แล้วไง กับสิ่งที่โตมา พุทธแบบบ้านๆ มันยังใช้ได้เหรอ

คำ ผกา: พอเราเป็นสักพักนึง เราก็จะเกิดภาพเปรียบเทียบไง ทำไมเมื่อก่อนไม่เป็นวะ (หัวเราะ) แล้วมันก็ตั้งคำถามมากขึ้น แล้วก็เริ่ม...

วิจักขณ์: หันมาสนใจธรรมะรึเปล่า (หัวเราะ)

คำ ผกา: (ตอบเร็ว) ไม่เลย (หัวเราะ) เออ แต่อันนี้ไม่เคยเลย ไม่ว่าจะทุกข์แค่ไหน มันไม่เคยคิดจะเข้าวัดเลย (หัวเราะ)

วิจักขณ์: (หัวเราะ) เออ แล้วที่นี้ทำไง

คำ ผกา: ก็เผชิญไป หาเหตุหาผล อย่างสมมติว่าอกหัก ตอนเด็กๆนะก็คิดว่า อุ๊ย...อย่างนี้ มีคนใหม่ก็น่าจะหาย เออ...มันก็หายจริงๆ แล้วพอมันหลายครั้ง เราก็สั่งสมทักษะในการรับมือกับมัน (หัวเราะ) เราก็โตขึ้น มีประสบการณ์มากขึ้น เห็นชีวิตคนอื่นมากขึ้น ก็แค่นั้นเองน่ะ ก็ไม่เห็นต้องไปวัด

เออ...ทำไมนะ (หัวเราะ) แขกนี่ไม่เอาเลยนะ แม้จะมีความทุกข์แค่ไหน ก็ไม่เคยคิดว่าจะเข้าวัด

วิจักขณ์: ขอเลือกที่จะใช้แบบของตัวเองดีกว่า?

คำ ผกา: (นิ่งนึก) ไม่ใช่ใช้แบบของตัวเองนะ เอาอย่างงี้ดีกว่า ยิ่งเราแก่ตัวลงเรื่อยๆ แขกกลับมองว่า ปัญหาหรือความทุกข์มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต มันไม่ใช่อะไรที่เราจะต้องวิ่งหนี ถ้าไม่มีสิผิดปกติ ช่วงไหนมีความสุขมากๆ ก็จะรู้สึกแปลกๆ เป็นสัญญาณอะไรที่ไม่ดีรึเปล่า (หัวเราะ)

มีปัญหา มีความทุกข์อะไร ก็แก้ปัญหาไปตามเนื้อผ้า แก้ได้ก็ได้ แก้ไม่ได้ก็แล้วไป มันก็อยู่นอกเหนือการจัดการของเราแล้วล่ะ ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ทำได้แค่แก้ไปเท่าที่เราเห็น เท่าที่เราทำได้

วิจักขณ์: แล้วมีมั๊ยที่แบบ โอ๊ยยย... แก้ไม่ได้ ใครก็ได้มาช่วยฉันที

คำ ผกา: ไม่ได้ก็คือไม่ได้ ไม่ได้ก็ปล่อยไป ไม่ได้ก็ไปทำอย่างอื่น แล้วเราก็ต้องรู้ว่า เราไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาล เราก็นิดเดียวบนโลกใบนี้ เราทำผิดพลาดไปแค่นี้ โลกก็ไม่ได้ถล่มทลาย...

สัมภาษณ์เมื่อ 21 กรกฎาคม 2553
ภาพจาก นิตยสารสารคดี
____________________________

บ้านตีโลปะ
www.tilopahouse.com

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม้หนึ่ง ก.กุนที: ทรรศนะศึกษา

Posted: 30 Jul 2010 09:19 AM PDT

<!--break-->

จากหมู่บ้าน ขึ้นลงสู่ อีกหมู่บ้าน
ผ่านชนเผ่า กลางพนา ป่าน้ำฝน
ฝ่าคืนวัน มุ่งมหานครคน
เห็นวงล้อ เคลื่อนสังคม พลวัต

ทัศนา เกิด ดับ อยู่ ของภูเขา
ดินหินเก่า ประกอบเถื่อน ดงสงัด
หยิ่ง ในความสมบูรณ์ และอัตคัด
ผยองเถอะ ! สาธารณะรัฐราษฎร !!

ทาบประทับ รอยเท้าไป บนปุยเมฆ
กลับเป็นเด็ก นักเรียนน้อย หาครูสอน
ตรึก..อัตวิสัย ของคนจร
ค่ำนอนไหน ? พญาไฟ นกแดงเพลิง

แสงเดือนผ่อง ส่องเห็นรอยเท้าผู้เฒ่า
สายฟ้าวาว วับจรัส แรงอีเกิ้ง
กรีดอาดูร หรือปลอบโยน กล่อมบันเทิง
โศก หรือ เริงรื่นสำนึกหาญคะนอง

ผู้คนเลือกการกระทำ ที่ต่างแตก
จำแนกตามภาระ ที่ตกต้อง
ส่วนใหญ่อยู่ สู้ต่อ ในครรลอง
อีกส่วนอุดข้อบกพร่อง เสริมแนวทาง

เข้าพรรษา พร้อมพายุ ดุลำเค็ญ
เดือนยังเพ็ญ สวยเย็น เห็นกระจ่าง
ถึงคืนแรม ที่เงาโลก ทับอำพราง
ดาวจะพร่าง พราวชัด ขึ้นชี้นำ !!!
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เมื่อวงร็อคเชื้อสายอิหร่านแปลงเพลง Pink Floyd ประท้วงรัฐบาล

Posted: 30 Jul 2010 09:06 AM PDT

วง Blurred Vision จากสองพี่น้องชาวอิหร่านพลัดถิ่น แปลงเพลง Another brick in the wall (Part 2) ของวงดนตรีระดับโลก Pink Floyd เพื่อประท้วงรัฐบาลอิหร่านที่เคยปราบปรามผู้ชุมนุมเมื่อปีที่ผ่านมา

<!--break-->

แปลจาก
'Ayatollah, leave those kids alone' – Pink Floyd get an Iranian twist
By Jerome Taylor
9 July 2010
The Independent

(หมายเหตุ : ผู้แปลแก้ไขข้อมูลบางส่วนของบทความต้นฉบับให้มีความแม่นตรงมากขึ้น เช่นเพลง Another brick in the wall วงอิหร่านดัดแปลงเฉพาะ part 2 เท่านั้น)

หญิงสาวในผ้าคลุมหน้าสีแดงพุ่งผ่านประตูเข้ามาในห้องมืด เธอถูกตามล่าโดยครูสอนศาสนาที่กำลังฉุนเฉียว เธอนำโทรศัพท์มือถือออกมา พยายามกดเรียกร้องความช่วยเหลือ แต่ก็ไม่มีสัญญาณ

ฉากที่กล่าวถึงข้างต้นนี้ฟังดูเหมือนคลิปวิดิโอลับที่นักกิจกรรมหนุ่มสาวลักลอบเผยแพรไปภายนอกอิหร่าน ซึ่งพวกเขาคงเข้าร่วมการประท้วงรัฐบาลของประชาชนหลายแสนคนตั้งแต่ฤดูร้อนปีที่แล้ว (2009) ที่ถือเป็นการประท้วงที่ใหญ่ที่สุดตั้งแต่มีการปฏิวัติอิหร่าน

แต่ทว่าฉากนี้เป็นฉากเปิดของวิดิโอเพลงของวงร็อคอิหร่าน ที่นำเพลง "Another Brick in the wall (Part 2)" ของวง Pink Floyd มาขับร้องใหม่ จนกลายเป็นเพลงประจำของกลุ่มต่อต้านรัฐบาลอิหร่าน ซึ่งแต่เดิมเองเพลง Another Brick in the Wall (Part 2) ของ Pink Floyd ก็เป็นเพลงที่มีเนื้อหาประท้วงระบอบการศึกษาแบบอำนาจนิยม

วงดังกล่าวคือ Blurred Vision เป็นวงร็อคเรียบ ๆ ของสองพี่น้องชาวอิหร่านที่ครอบครัวอพยพออกจากประเทศไปอาศัยอยู่ที่โตรอนโตในช่วงราว 30 ปีก่อน และพวกเขานำเพลงสุดคลาสสิคสมัยเมื่อ 30 ปีที่แล้ว มาดัดแปลงใหม่ สมาชิกวงให้ชื่อว่าเซปป์ และ โซห์ พวกเขาไม่ให้ชื่อจริงเพื่อปกป้องญาติส่วนหนึ่งของพวกเขาที่ยังอยู่ในอิหร่าน สองพี่น้องถ่ายทำวิดิโอเพลงโดยไม่มีทุนรอนใด ๆ แต่ก็ได้รับความช่วยเหลือจากบาบัก ปายามี คนทำภาพยนตร์ชาวอิหร่านที่ตอนนี้อาศัยอยู่ในออสเตรีย และเทอร์รี่ บราวน์ โปรดิวเซอร์เพลงร็อคที่มีชื่อเสียงจากแคนาดา

วิดิโอเพลงชุดนี้มีการตัดต่อภาพเข้ากับการประท้วงปีที่ผ่านมา (2009) จนกลายเป็นกระบอกเสียงสะท้อนความรู้สึกไม่พอใจของหนุ่มสาวชาวอิหร่านและมีท่อนสำคัญที่แปลงเนื้อเดิมจากฉบับ Pink Floyd เป็น "Hey Ayatollah, leave those kids alone!" (เฮ้ อยาตอลเลาะห์ ปล่อยเด็กพวกนั้นไป!)

 

มีการเผยแพร่วิดิโอเพลงใน Youtube และมีผู้เข้าชมแล้ว 100,000 ฮิต พวกเขาได้ไปแสดงในเทศกาลภาพยนตร์ที่จัตุรัสโซโหของอังกฤษ ในคาเฟ่ใจกลางกรุงลอนดอนสองพี่น้องอธิบายว่าเพลงของพวกเขาเป็นการนำเสนอเรื่องราวของหนุ่มสาวชาวอิหร่านในประเทศที่ดนตรีร็อคถูกแบน "พวกเราได้รับข้อความจากชาวอิหร่านจำนวนมากบอกว่าพวกเขาใช้เพลงนี้ช่วยส่งเสียงเรียกร้องในการประท้วงของพวกเขา" โซห์สมาชิกวงคนพี่อายุ 35 ปีกล่าว

เซปป์ สมาชิกคนน้องอายุ 28 ปีเสริมว่า "ข้อความนี้ได้มาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วตอนที่โซห์แปลข้อความนี้น้ำตาเขาก็ไหล มันเป็นข้อความจากแฟนเพลงในอิหร่าน แล้วเขาก็พูดซ้ำ ๆ ว่า 'รักษาเสียงของเราให้มีชีวิตชีวาเข้าไว้ หากไม่ทำก็จะไม่มีใครฟังเรา"

"ในตอนแรกเราก็กังวลว่าจะมีคนโกรธไหม" เซปป์กล่าวถึงการนำเพลงของ Pink Floyd มาร้องใหม่ "ถ้าเป็นผม ผมก็คงโกรธที่มีใครพยายามจะมาเทียบชั้นกับ Pink Floyd แต่เนื้อเพลงก็เข้ากับเรื่องราวในอิหร่านได้เป็นอย่างดี"

ทั้งสองคนเริ่มอัดเพลงและส่งไปให้โรเจอร์ วอเตอร์ส "พวกเราไม่อยากทำมันออกมาโดยไม่ได้รับการยอมรับจากเขา แล้วก็อีเมลล์ตอบกลับมาว่า 'จากนี้ไป เพลงในเวอร์ชั่นนี้เป็นของพวกเธอ'"

ทางวงมีความหวังว่าเพลงนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ประท้วงชาวอิหร่าน เหมือนเช่นที่ครั้งหนึ่งนักกิจกรรมต่อต้านการเหยียดสีผิวในแอฟริกาใต้เคยนำเพลงนี้ไปใช้ประท้วงต่อต้านการเหยียดผิวในโรงเรียน

โซห์หวังว่าการปราบปรามผู้ชุมนุมเมื่อปีที่แล้วจะช่วยให้ภาพลักษณ์ของอิหร่านเปลี่ยนไปจากสายตาของชาวตะวันตก จากที่เห็นว่าอิหร่านเป็นรัฐอิสลามที่ต้องการอาวุธนิวเคลียร์เป็นประเทศที่เรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกับที่เคยเกิดในแอฟริกาใต้ "มองเผิน ๆ แล้วเหมือนว่าผู้ประท้วงจะถูกบดขยี้ แต่ตอนนี้พวกเขาได้เปิดประตูไปสู่หนทางที่อาจหลีกเลี่ยงแล้ว" เขากล่าว "ผมว่าความคิดเห็นของชาวตะวันตกกำลังเปลี่ยนแปลง พอถึงเวลาประชาชนจะเป็นปากเสียงให้กับชาวอิหร่าน มันจะช่วยทำให้โลกตะวันตกกับโลกตะวันออกมีช่องว่างน้อยลงบ้าง หวังว่าเพลงนี้จะมีส่วนช่วยบ้างสักเล็กน้อยก็ยังดี"
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สถานพินิจฯ เล็งส่ง นร.ม.5 เชียงราย ตรวจสุขภาพจิต

Posted: 30 Jul 2010 09:02 AM PDT

นักเรียน ม.5 ที่ร่วมกิจกรรมชูป้ายค้าน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่เชียงราย ไปรายงานตัว สถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลางวันนี้ เผยมีการถามฐานะทางบ้าน ถามว่าสูบบุหรี่-กินเหล้า-เที่ยวกลางคืนหรือไม่ พร้อมแนะให้รับสารภาพเพื่อให้ศาลเมตตา ขณะที่เจ้าหน้าที่สถานพินิจฯ เตรียมนัดอีกจันทร์นี้เพื่อตรวจสุขภาพจิต

<!--break-->

ตามที่เมื่อวันที่ 16 ก.ค. ที่ผ่านมา กลุ่มนักเรียนนักศึกษา 5 คน ใน จ.เชียงราย ได้รวมตัวทำกิจกรรมชูป้ายให้มีการยกเลิกการประกาศพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ) ที่บริเวณหน้าทางเข้าศาลากลาง จ.เชียงราย ที่หอนาฬิกา และที่หน้าตลาดสดเทศบาล 1 เทศบาลนครเชียงราย อ.เมือง จ.เชียงราย และต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.อ.เมือง จ.เชียงราย ได้ข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน คือ ชุมนุมหรือมั่วสุมกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป หรือกระทำการใดอันเป็นการยุยง ให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย ประกาศกำหนด ร่วมกันเสนอข่าว ทำให้แพร่หลายซึ่งสิ่งพิมพ์หรือสิ่งอื่นใดที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชน เกิดความหวาดกลัว หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉิน จนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน จนเป็นกรณีครึกโครมนั้น

ล่าสุดวันนี้ (30 ก.ค.) ซึ่งเป็นวันที่ สถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลาง จ.เชียงราย นัดหมายให้นักเรียนชั้น ม.5 อายุ 16 ปีคนหนึ่งที่ร่วมกิจกรรมไปรายงานตัวนั้น ล่าสุด เมื่อเวลาประมาณ 19.20 น. สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมวอยซ์ทีวี ได้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ "คุณมด" นักเรียนชั้น ม.5 รายดังกล่าว ซึ่งในวันนี้ไปไปรายงานตัวที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลาง จ.เชียงราย

"คุณมด" กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ในการรายงานตัว ซึ่งเป็นการรายงานตัวกับเจ้าหน้าที่สถานพินิจ มีการสอบถามเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวทางบ้าน พ่อแม่ทำงานได้เงินเท่าไหร่ ตนเคยถูกจับคดีอาญาหรือไม่ กินเหล้าหรือไม่ สูบบุหรี่หรือไม่ (มีพฤติกรรม)แต่งรถหรือเปล่า ฐานะทางบ้านเป็นอย่างไร มีเพื่อนสนิทเยอะหรือไม่ เที่ยวกลางคืนหรือเปล่า มีการถามถึงวัตถุประสงค์ในการเข้าร่วมกิจกรรมเมื่อ 16 ก.ค. และเจ้าหน้าที่สถานพินิจแนะนำให้รับสารภาพเพื่อให้ศาลเมตตา

โดย "คุณมด" ตอบคำถาม ผู้สื่อข่าววอยซ์ทีวีที่ถามว่า ได้ทำให้ประชาชนหวาดกลัว ตามความผิดฐานฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หรือไม่ โดย "คุณมด" ปฏิเสธ และบอกว่าประชาชนไม่หวาดกลัว ยิ้มแย้มแจ่มใส นักเรียน ม.5 รายนี้ยังระบุว่าในระหว่างการรายงานตัวเจ้าหน้าที่สถานพินิจใช้วาจาสุภาพ และในวันจันทร์ที่ 2 ส.ค. นี้ มีการนัดหมายตนไปที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลาง จ.เชียงรายอีก เพื่อไปตรวจสุขภาพจิต

นักเรียน ม.5 ผู้นี้ยังยืนกับผู้สื่อข่าวอีกว่าจะทำกิจกรรมต่อไป ในเงื่อนไขที่ว่าต้องไม่มี พ.ร.ก.ฉุกเฉินด้วย
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น