โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

จี้ "คปอ." เปิดผลสอบเหตุสลายชุมนุม เม.ย.- พ.ค. 53

Posted: 02 Feb 2011 09:41 AM PST

นักสิทธิฯ เสนอ คอป.ไขความจริงเปิดความเห็น "กรณีเม.ย.-พ.ค.53" แก้ข้อกังขาผู้นำสังหารประชาชน "สมชาย หอมละออ" ชี้ยังเก็บข้อมูลอยู่ เผยทำงาน 2 ปี หลังเลือกตั้งก็ยังทำต่อ

เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 53 ที่ผ่านมา มติชนออนไลน์รายงานว่าที่ห้องประชุมสำนักงานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหา ความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) มีการประชุมแสดงความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อหาข้อสรุปและตรวจสอบหา ความจริงจากเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม 2553 โดยมีองค์กรที่เกี่ยวข้องร่วมแสดงความคิดเห็นซึ่งยังหาข้อสรุปไม่ได้ เพราะตามกระบวนการยุติธรรมยังไม่สามารถดำเนินการไปตามขั้นตอนได้ หลังจากนี้ทาง คอป.จะเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์แต่ละกรณีมาเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริง อาทิ กรณีดาวเทียมไทยคม 9 เมษายน กรณีปะทะที่สี่แยกคอกวัว 10เมษายน กรณีการเสียชีวิตของช่างภาพญี่ปุ่น 10 เมษายน กรณีความรุนแรงบริเวณอนุสรณ์สถาน 28 เมษายน กรณีความรุนแรงบริเวณบ่อนไก่ สีลม ช่วงวันที่ 22 เมษายน ถึงวันที่19 พฤษภาคม กรณีการเสียชีวิตของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล 13 พฤษภาคม กรณีการเผาสถานที่ต่างๆในกรุงเทพฯและสถานที่ราชการในต่างจังหวัด

นายสุนัย ผาสุก จากฟอรั่มเอเชีย กล่าวว่า  ครั้งแล้วครั้งเล่า ที่ เกิดความรุนแรงจากฝ่ายเสื้อแดง ทางฝ่ายรัฐมีการตอบโต้อย่างไร มีมาตรการที่จะรับมือกับกลุ่มที่ต่อสู้เพื่อสันติวิธี สมแก่เหตุหรือเกินกว่าเหตุหรือไม่ การที่มีการประกาศเรื่องใช้ แก๊สน้ำตา โล่ กระบอง กระสุนยาง แต่ความเป็นจริงในเหตุการณ์ปะทะสิ่งที่รัฐประกาศจะใช้ไปในทิศทางเดียวกัน หรือไม่ เท่าที่พบมันไม่ได้ไปในทิศทางเดียวกัน ที่น่ากลัว คือ การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ซึ่งมีคนยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ใช้กระสุนจริงยิงพวกเขา คงชัดเจนว่ากระสุนจริงยิงขึ้นฟ้ามีความเสี่ยง มาตรการแบบนั้นนอกจากอันตรายแล้วยังยั่วยุทำให้เกิดความรุนแรงขึ้น เรื่องการใช้แก๊สน้ำตาที่โยนลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ก็ไม่มีประเทศไหนทำกัน

"เริ่มเห็นมาตรการที่น่ากลัว คือ การแฝงตัวของกองกำลังติดอาวุธแฝงอยู่กับผู้ชุมนุม แต่ก็ไม่มีการยืนยันได้ ว่า มีชายชุดดำยิงเจ้าหน้าที่จริง  ส่วนการใช้กระสุน ไม่ใช่ความชอบธรรมที่จะใช้กระสุนจริงได้ การระบุเป้า ว่า ใครจะเป็นเป้าถูกกระสุนจริงไม่มีความชัดเจน เพราะพื้นที่ตรงนั้นเป็นพื้นที่ชุมชนที่มีคนเดินทางกลับบ้าน เดินผ่านไปผ่านมา ซึ่งจะต้องมีการแยกแยะ แต่ที่ผ่านมารัฐบาลยังไม่สามารถระบุได้เลยว่าคนที่ถูกยิงเป็นผู้ชุมนุมหรือ คนบริสุทธิ์มากน้อยแค่ไหน ยกตัวอย่างอาสาสมัครพยาบาลที่ไม่ได้เป็นผู้ชุมนุมกลับถูกยิงที่ศีรษะ สิ่งที่ต้องถามรัฐบาล คือ มาตรการรับมือผู้ชุมนุมมันรุนแรงเกินกว่าเหตุหรือสมแก่เหตุหรือไม่ " นายสุนัย กล่าว

นายสุนัย กล่าวต่อว่า  นอกจากนี้มีการพูดถึงเรื่องการ คุกคามสถานพยาบาลที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ มันไม่ได้เริ่มจากการบุกเข้าไปในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สิ่งที่เกิดก่อนหน้านี้แกนนำมีท่าทีและคำปราศรัยพูดไปในเชิงคุกคามเจ้า หน้าที่พยาบาล จนถึงขั้นที่อาจจะสร้างความเชื่อให้ผู้ชุมนุมเข้าใจว่าเจ้าหน้าที่พยาบาล เป็นส่วนหนึ่งของอำนาจรัฐ ในการบุกเข้าไปในโรงพยาบาลเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง ในที่สุดแกนนำก็ออกมายอมรับว่าเป็นสิ่งที่ผิดพลาด

"ความรุนแรงเกิดขึ้นหลังจากมีการลอบสังหาร เสธ.แดง (พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก) การ ต่อสู้ทวีความรุนแรงขึ้น ท้ายที่สุดการตัดสินใจเคลื่อนกำลังเข้าไป ต้องหาคำตอบให้ได้ว่าเข้าไปโดยมีวัตถุประสงค์ใดกันแน่ เพราะเจ้าหน้าที่ออกมาบอก ว่า การเคลื่อนกำลังเข้าไปเพราะต้องการขอพื้นที่บางส่วนคืน เรื่องนี้ต้องช่วยกันหาคำตอบ ศอฉ. (ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน) ก็ยังไม่ได้ระบุแผนปฎิบัติการในวันนั้น ว่า คืออะไรกันแน่ เพราะยืนยันว่าไม่ได้เข้าสลายการชุมนุมแค่ขอพื้นที่คืน 

ความกังวลถึงอาวุธที่ใช้ว่า มีอะไรประเภทใดบ้าง อีกทางหนึ่งบอกเจ้าหน้าที่ใช้ปืนลูกกระสุนยาง แต่ในวันที่ 10 เมษายน จะเห็นว่าเจ้าหน้าที่เข้าประชิดผู้ชุมนุมโดยนำรถหุ้มเกราะพร้อมกระสุนเเข้า ไปทำไม แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ไม่มาให้ข้อมูลก็ไม่สามารถประเมินได้ ทั้งอาวุธและกำลังพลที่เคลื่อนไปสู่ที่ชุมนุมเพื่อจุดประสงค์ใด" นายสุนัย กล่าว

น.ส.รุ่งรวี  เฉลิมศรีภิญโญรัช  นักวิจัยโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  กล่าวว่า เคยทำรายงานเสนอ ว่า การแสวงหาความจริงเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะนำไปสู่การปรองดอง การ สร้างความปรองดองจะเกิดได้ไม่ยากในรัฐบาลชุดนี้ เพราะมีส่วนเกี่ยวข้องในเหตุการณ์ ความรุนแรงครั้งนี้ และต้องมีส่วนในการรับผิดชอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงแล้วรัฐบาลยังคงอยู่ได้ หลังจากเกิดเหตุการณ์สลายการชุมนุม ซึ่งทำให้หลายฝ่ายในสังคมกังขา เพราะมาตรฐานของสังคมไทยปกติรัฐบาลที่มีความรับผิดชอบต่อการสังหารประชาชน มากมายขนาดนี้ในประวัติศาสตร์ ไม่เคยอยู่ได้ แต่รัฐบาลนี้อยู่ได้
 
"เป็นการสร้างบรรทัดฐานใหม่ในสังคมที่เกิดขึ้น หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก ไม่ใช่จะปล่อยไปง่ายๆ คอป.จะต้องสร้างมาตรฐานใหม่ขึ้นมาได้เพื่อให้เรื่องนั้นออกไปสู่สาธารณชน ไม่ให้เหมือนกับการศึกษาเรื่องในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ สุดท้ายก็ไม่มีการสื่อสารออกสู่สาธารณชน เร่งเปิดพื้นที่การแสดงความคิดเห็นของประชาชนก่อนใช้วิธีใต้ดิน"  น.ส.รุ่งวรี กล่าว

นายสมชาย หอมละออ คณะอนุกรรมการตรวจสอบหาความจริง คอป. กล่าวว่า  ข้อมูลที่ได้จะนำไปประมวลกับข้อมูลที่มีอยู่แล้ว การรับฟังการชี้แจงข้อเท็จจริง จะรับฟังทุกสัปดาห์ ในวันอังคาร โดยให้สื่อมวลชนเข้ารับฟังด้วย แต่ประชาชนทั่วไปอาจจะไม่สะดวกเพราะว่าสถานที่ค่อนข้างจะคับแคบ เราก็อาจจะเชิญเป็นรายกรณีโดยเฉพาะผู้เกี่ยวข้องกับกรณีนั้นจริงๆ  บางคนอาจจะเข้าไปสัมภาษณ์ส่วนตัว เพราะไม่แน่ใจในเรื่องผลกระทบ ผู้ที่จะเชิญมาก็ต่อเมื่อยินยอมสมัครใจมาจริงๆ มีหลายคนที่เป็นญาติผู้ตายมาให้ข้อเท็จจริงบ้างแล้ว

"การตรวจสอบของเราตรวจสอบในขณะที่ความขัดแย้งมีอยู่ งานของเรา 2 ปี คอป.จะอยู่และทำงานต่อไป หลังจากที่มีการเลือกตั้งแล้ว ผลของรายงานจะพยายามทำให้ดีที่สุด จะเป็นรายงานที่มีข้อมูลและพยายานหลักฐานที่เป็นวิทยาศาสตร์ ขณะนี้ คอป.ก็พยายามจะดึงข้อมูลจากภาครัฐมาให้ได้มากที่สุด"  นายสมชาย กล่าว

ที่มาข่าว: มติชนออนไลน์
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

กวีประชาไท: อิสรภาพ

Posted: 02 Feb 2011 09:15 AM PST

เดินเดินเดิน…เดินไกลไปข้างหน้า
หากสวรรค์มีตาคงรู้เห็น
ถึงชีวิตลำบากแสนยากเย็น
ชีวิตเป็นๆเฉกเช่นพลัดถิ่นไทย

เดินเดินเดิน..เดินไปให้โลกรู้
ประวัติศาสตร์ดำรงอยู่ต้องแก้ไข
เปลี่ยนชีวิตปลดแอกให้เป็นไท
เขียนหนังสือเล่มใหญ่ผู้ทุกข์ทน

เดินเดินเดิน..เดินไปฝ่าเปลวแดด
แม้ร้อนแผดปวดแสบปานเผาไหม้
แสงสว่างข้างหน้าเห็นรำไร
เดินเถิดเดินไปคว้าชัยมา

เดินเดินเดิน..เดินไปสู่อิสรภาพ
มรดกประวัติศาสตร์บาปชำระใหม่
คืนศักดิ์ศรีสิทธิมนุษย์คือคนไท
สร้างบทเรียนหน้าใหม่ให้ผองเรา

เดินเดินเดิน..เดินไปคงได้เห็น
ชัยชนะดั่งเช่นที่ฝันหา
ปลอบประโลมเช็ดเหงื่อคราบน้ำตา
แล้วสัญชาติจะคืนมาอย่างแน่นอน!

หน้ารัฐสภา
๒๗ ม.ค. ๕๔
ปราโมทย์  แสนสวาสดิ์

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สมานฉันท์แรงงานไทย ขอระดมทุนช่วยแรงงานตะวันออกเรียกร้องความเป็นธรรม

Posted: 02 Feb 2011 09:10 AM PST

เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 54 ที่ผ่านมา คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) ได้ส่งจดหมายเปิดผนึกถึงเครือข่ายแรงงาน เรื่องขอการสนับสนุนให้พี่น้องผู้ใช้แรงงานที่ได้รับผลกระทบจากข้อพิพาทแรงงาน ในพื้นที่ภาคตะวันออก โดยมีรายละเอียดดังนี้

 

 

ที่ คสรท. ๑๖/๒๕๕๔

๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔

เรื่อง  ขอการสนับสนุนให้พี่น้องผู้ใช้แรงงานที่ได้รับผลกระทบจากข้อพิพาทแรงงาน ในพื้นที่ภาคตะวันออก

เรียน  พี่น้องผู้ใช้แรงงานทุกท่าน

สืบเนื่องจากข้อพิพาทแรงงาน และปัญหาความปลอดภัยในการทำงานในพื้นที่ภาคตะวันออก ไม่ว่าจะเป็นข้อพิพาทแรงงานของสหภาพแรงงานแม็กซิส ประเทศไทย และสหภาพแรงงานฟูจิซึ ประเทศไทย ที่ทั้งสองสหภาพแรงงานไม่สามารถเจรจาตกลงกับนายจ้างได้ รวมถึงกรณีไฟไหม้โรงงานพีซีบี ประเทศไทย ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต ๓ คน และบาดเจ็บ ๒๐ คน ซึ่งยังไม่ได้รับค่าชดเชย (รายละเอียดตามสิ่งที่ส่งมาด้วย ๑)

จากสภาพปัญหาข้างต้น ทำให้พี่น้องผู้ใช้แรงงานมีมติเคลื่อนไหว เพื่อให้เจ้าหน้าที่รัฐให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหา ด้วยวิธีการเดินเท้าขับเคลื่อนรณรงค์ ในตอนเช้าของวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ และจะหยุดพัก ณ วัดหนองฆ้อ อ.ศรีราชา (ใกล้สวนเสื้อศรีราชา) และในวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ จะหยุดพักที่อำเภอศรีราชา  ดังนั้นเพื่อเป็นการสนับสนุนการขับเคลื่อนของพี่น้องผู้ใช้แรงงานที่ประสบ ปัญหา คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย ขอเชิญพี่น้องผู้ใช้แรงงานทุกท่าน ร่วมเดินทางไปให้การสนับสนุนกับพี่น้องของเราที่กำลังขับเคลื่อนอยู่ตามราย ละเอียดข้างต้น และหากหน่วยงานใดต้องการสนับสนุนงบประมาณในการเคลื่อนไหว สามารถสนับสนุนผ่านบัญชีเงินฝากของกลุ่มสหภาพแรงงานภาคตะวันออก  ชื่อบัญชี “นายพิชิต กองโฮม และ/หรือ นายไพฑูรย์ บางหลง และ/หรือ นายสมชาย เซ็นน้อย”  ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาบิ๊กซี ชลบุรี เลขที่บัญชี ๔๐๑-๘๔๓-๕๕๗๘

จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา

ขอแสดงความนับถือ

นายชาลี ลอยสูง)
ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่
คุณชาลี ลอยสูง ๐๘-๙๐๓๐-๙๑๗๘
คุณสมศักดิ์ สุขยอด ๐๘-๐๕๗๓-๒๗๓๖
คุณจรัญ ก่อมขุนทด  ๐๘-๖๕๐๓-๗๑๑๖

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

พันธมิตรขีดเส้นตาย ให้เวลารัฐบาล 3 วัน ช่วย "วีระ-ราตรี"

Posted: 02 Feb 2011 09:00 AM PST

พันธมิตรให้เวลารัฐบาล 3 วัน ช่วย "วีระ-ราตรี" กลับประเทศ ขู่เกณฑ์คนยกระดับการชุมนุม 5 ก.พ. “สนธิ” แนะโทษประหารนักการเมืองขายแผ่นดิน ลูกสนธิซัด "เปลว สีเงิน" วิญญูชนจอมปลอมเป็นพ่อยก "มาร์ค"

2 ก.พ. 54 - พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) กล่าวว่า พธม.จะกดดันรัฐบาลไทยมากกว่าการกดดันรัฐอื่น และยืนยันว่ากระแสข่าวเผาสถานทูตกัมพูชานั้น พธม.จะไม่ใช้ความรุนแรง หากเกิดการเผาจริง ก็ไม่ใช่ฝีมือพันธมิตร ทั้งนี้ รัฐบาลต้องนำนายวีระ สมความคิด และ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ กลับมาภายใน 3 วันโดยไม่มีมลทิน ส่วนวันที่ 5 กุมภาพันธ์นี้ พธม.จะระดมผู้ชุมนุม เพื่อยกระดับให้รัฐบาลรับผิดชอบต่อปัญหาที่เกิดขึ้น

ทางด้านนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า การที่ศาลกัมพูชาตัดสินจำคุก 2 คนเป็นเวลานาน โดยไม่รอลงอาญา เป็นการหมิ่นศักดิ์ศรีคนไทยรักชาติรวมทั้งมีการบังคับให้ 2 คนสารภาพว่า ให้ไปขอพระราชทานอภัยโทษ ที่ผ่านมาสองปีรัฐบาลบิดเบือนข้อมูลมาตลอด และสองปีที่ผ่านมาก็ยังคงมีการทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นจำนวนมาก ไม่สามารถปกป้องอธิปไตยได้

"ให้เวลา 3 วัน ซึ่งวันเสาร์นี้ จะเชิญประชาชนมาที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ หากรัฐบาลยังไม่แก้ปัญหา จะขอฉันทานุมัติจากประชาชนว่าจะให้รัฐบาลรับผิดชอบอย่างไร โดยจะถามในช่วงค่ำๆ เมื่อประชาชนมีความพร้อม" นายปานเทพกล่าว

ขณะที่นายประพันธ์ คูณมี แกนนำพันธมิตร กล่าวว่า รัฐบาลไทยสมคบกับสมเด็จฯฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา จงใจให้นายวีระและ น.ส.ราตรี รับโทษโดยประสานงานให้กับ 5 คนไทยออกมาก่อน และศาลกัมพูชาก็เป็นที่ประจักษ์ว่า ตกภายใต้อิทธิพลสมเด็จฯฮุน เซน สามารถบังคับการได้มีกระบวนการไต่สวนที่อัปยศ ไม่เปิดโอกาสให้นำหลักฐานเข้าหักล้าง การชุมนุมต้องถูกยกระดับ เพื่อให้นายกฯแสดงความรับผิดชอบ เพราะนายกฯหมดความชอบธรรมในการปกครองบ้านเมือง มีความผิดของนายกฯ อุกฉกรรจ์ เหนือกว่ารัฐบาลทักษิณ ซึ่งวันที่ 5 กุมภาพันธ์ จะแถลงข่าวและประกาศจุดยืน

"มาร์ค" วอน พธม. ชี้แนะ ให้ช่วยอย่างไร

ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้เรียกร้องให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันหาแนวทางการช่วยเหลือ 2 คนไทยที่ถูกศาลกัมพูชาพิพากษาจำคุกอย่างเป็นเอกภาพ พร้อมย้อนถามกลุ่มพันธมิตรว่ามีวิธีไหนที่จะสามารถช่วยเหลือ 2 คนไทยให้เดินทางกลับประเทศไทยโดยเร็วที่สุด และขอร้องไม่นำเรื่องดังกล่าวมาขยายผลเป็นประเด็นทางการเมือง

"ในชั้นอุทธรณ์ก็อยากจะทำให้การช่วยเหลือเป็นเอกภาพมากขึ้น และอยากให้ทุกคนช่วยกัน ไม่ใช่มุ่งเอาเรื่อง 2 คนนี้ไปเป็นเงื่อนไขทางการเมือง หากความเห็นไม่ตรงกันก็ควรพูดคุยกับรัฐบาลว่าจะให้ช่วยแบบไหนให้ได้ผลดีมาก ที่สุด แต่ก็มีบางคนหยิบเรื่องนี้ไปเป็นประเด็นทางการเมือง" นายอภิสิทธิ์  กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในวันพรุ่งนี้(3 ก.พ.) นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ จะเดินทางไปประเทศกัมพูชา เพื่อเจรจาเรื่องการช่วยเหลือกับ รมว.ต่างประเทศกัมพูชา พร้อมทั้งยืนยันเรื่องการปักธงชาติเพื่อแสดงอธิปไตยเหนือดินแดนของไทย แต่ทั้งนี้รัฐบาลก็ต้องเคารพสิทธิในการตัดสินใจของคนไทยทั้งสองด้วย แม้จะมีความคิดเห็นแตกต่างจากรัฐบาล

นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทย-กัมพูชา ซึ่งถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และมั่นใจว่าทั้งสองประเทศยังยึดแนวทางการแก้ปัญหาโดยสันติวิธี ขณะเดียวกันรัฐบาลและกองทัพมีความเห็นที่เป็นเอกภาพในเรื่องดังกล่าว

“สนธิ” ยก “จีน” ยิ่งใหญ่เพราะหวงแหนดินแดน-แนะโทษประหารนักการเมืองขายแผ่นดิน

เมื่อเวลา 20.55 น.วันที่ 2 ก.พ. นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ขึ้นกล่าวปราศรัยที่เวทีสะพาน มัฆวานรังสรรค์ ระหว่างการชุมนุม “รวมพลังปกป้องแผ่นดิน” โดยได้กล่าวถึงประวัติศาสตร์ชาติจีน ซึ่งเมื่อ 100 ปีก่อน ก็ถูกมหาอำนาจตะวันตกยกกองกำลังเข้ามาบีบบังคับเอาดินแดนไปครอบครองเช่น เดียวกับประเทศไทย โดยจีนนั้นถูกโจรสลัดอังกฤษเข้าไปทำสงครามฝิ่น เมื่อจีนแพ้ต้องยกเกาะฮ่องกงให้อังกฤษเช่า และยกมาเก๊าให้โปรตุเกส ขณะที่ประเทศไทยนั้นถูกฝั่งเศสยกกองทัพเรือมาบีบบังคับใมห้เรายกดินแดนในลาว และกัมพูชาให้ ซึ่งไทยตอนนั้นต้องยอมทำตาม เพราะเราไม่มีอาวุธสมัยใหม่ที่จะสู้ได้
      
ประเทศจีนนั้น เมื่อเหมาเจ๋อตงขับไล่เจีบงไคเช็กออกไปและยกทัพเข้าปักกิ่งได้ก็ประกาศให้ ประเทศจีนเป็นอิสระในปี 1949 หรือ พ.ศ.2492 หลังจากนั้นมาจนปัจจุบัน จีนก็พัฒนาตัวเองมาเรื่อยๆ โดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นเสาหลักในการบริหาร จากประเทศที่ไม่มีข้าวกิน น้ำท่วมแถบลุ่มแม่น้ำหวงเหอคนตายเป็น 10 ล้าน กลายเป็นประเทศมหาอำนาจที่ก้าวหน้า สามารถยิงจรวดขึ้นอวกาศได้ มีกองทัพเรือทมี่ยิ่งใหญ่ และกำลังจะสร้างเรือบรรทุกเครื่องบินเองอีก 2-3 ลำ มีทุนสำรองระหว่างประเทศมากที่สุดในโลกถึง 2.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สหรัฐอเมริกาเป็นหนี้จีนเกือบ 2 ล้านล้านเหรียญ ช่วยพยุงเศรษฐกิจโลกไม่ให้ตกต่ำ
      
นายสนธิกล่าวว่า ที่เล่าเรื่องนี้เพราะต้องการเปรียบเทียบจีนกับไทย ตอนนั้นถูกมหาอำนาจยกกำลังมาบีบบังคับเหมือนกับไทย จนเวลานี้จีนมีหน้าที่ปกป้องดินแดนทั่วประเทศ เคยรบกับอินเดียเพราะเส้นแบ่งเขตแดนอยู่บนยอดเขาระบยะทางแค่ 1 กิโลเมตร ไม่มีใครยอมใคร ตอนที่นายพลแมคอาเธอร์ของสหรัฐญ ยกพลบุกเส้นขนานที่ 38 ของเกาหลี จีนห้ามข้ามแม่น้ำยาลูที่เป็นเส้นเขตแดนจีนแต่อมเริกาไม่เชื่อ ยกกำลังจะข้ามไป ก็ถูกทหารมาไล่จีนออกไป ย้อนไปสมัยราชวงศ์ชิง ทิเบตถือเป็นประเทศราชของจีน ทั้งอังกฤษและรัสเซียต่างก็ต้องการครอบครองทิเบต ต่อมาก็พยายามยุพระลามะให้เป็นกบฏ ซึ่งเหมาเจ๋งตงไม่ยอม เพราะถือว่าทิเบตเป็นของจีน เมื่อต่างชาติพยายามจะเข้ามาก็ยกกองทัพไปขับไล่ จนทะไลลามาะต้องหนีออกนอกประเทศจีนทุกวันนี้
      
หลังจากเจียงไคเช็กหนีไปไต้หวันและตั้งเป็นสาธารณรัฐจีนนั้น จีนไม่ยอมรับให้เป็นประเทศ และพูดมาตลอดว่าไต้หวันเป็นเพียงจังหวัดหนึ่งของจีน และคัดค้านการเป็นสมาชิกสหประชาชาติของไต้หวัน ในปี 1997 ที่มีการคืนเกาะฮ่องกงให้จีนนั้น ฝนตกทั่วเกาะ และในพิธีเชิญธงอังกฤษลงแล้วให้ธงจีนขึ้นแทนนั้นคนจีนต่างดีใจน้ำตาไหลที่ ได้แผ่นดินกลับคืน มีแต่พวกไฮโซที่มีชื่อจีนปนฝรั่งเท่านั้นที่เสียดาย
      
นายสนธิกล่าวอีกว่า ก่อนปี 1997 นั้นนางมากาเร็ต แธตเชอร์ พยายามเจรจากับนายเติ้ง เสี่ยวผิง เพื่อหาทางเช่าเกาะฮ่องกงต่อ แต่เติ้งเสี่ยวผิงไม่สนใจ และด่านางแธตเชอร์จนหัวคะมำตกเก้าอี้ นี่คือผู้นำประเทศที่เห็นดินแดนเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ เขาเข้มแข็ง วันนี้จีนยิ่งใหญ่ในโลการทูต เป็นหนึ่งในสมาชิกมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ถ้าเขามีเรื่องหมู่เกาะสแปรตลีย์เขาไม่ยอม เรือญี่ปุ่นมาชนกับเรือจีนแล้วจับเรือจีนไปเขาก็ไม่ยอม ห้ามเอาคนจีนไปขึ้นศาล เพราะบริเวณที่เรือชนกันเป็๋นอาณาเขตของจีน
      
นายสนธิกล่าวว่าจีนกับญี่ปุ่นถือว่าเป็นมวยรุ่นเดียวกันก็ยังพอมี โอกาสที่จะทำสงครามกันได้ แต่เขมรกับไทยคนละเรื่อง กองทัพเรามีศักยภาพสูงกว่ามาก แต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะก็ยังปล่อยให้นายฮุนเซนเอารองเท้าตบหน้าวันละ 3 เวลา สมัยที่เวียดนามยังหนุนหลังเขมร จีนเคยทำสงครามสั่งสอนเวียดนามครามโดยการยกทหารจีน 5 แสนคนบุกเวียดนามผ่านมณฑลกวางสี เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าในโลกนี้เขามีแต่ปกป้องดินแดนของเขา
      
นายสนธิได้เล่าเกร็ดประวัติศาสตร์สมัยราชวงศ์ซ้องว่า หลังจากที่จอมทัพงักฮุย ซึ่งเป็นนายทหารที่จงรักภักดี ถูกฉินไคว่ใช่เล่ห์เพทุบายเพ็ดทูลฮ่องเต้จนถูกประหารชีวิตแล้ว ก็ทำให้ราชวงศ์ซ้องแตก บ้านเมืองก็แตก ชาวเมืองจึงโกรธแค้นฉินไคว่และภรรยามาก จึงพากันจับฉินไคว่และภรรยาไปแขวนคอที่กำแพงเมือง และทำขนมปาท่องโก๋ เป็นตัวแทนฉินไคว่และภรรยา เพื่อกินให้หายแค้น
      
“ผมใฝ่ฝันว่าสักวันหนึ่งอยากจะให้มีการประหารชีวิตนักการเมืองที่ทำ ให้เสียดินแดน วันหนึ่งข้างหน้าจะได้ไม่มีใครกล้าทำให้เสียดินแดนอีก เพราะจะต้องถูกประหาร และไล่โคตรเหง้ามันออกไป อย่าให้มันอยู่ในประเทศไทย แต่ปัญหาสำคัญคือ งักฮุยบ้านเราอยู่ที่ไหน เรายังมองไม่เห็น”นายสนธิกล่าว

"จิตตนาถ" ซัด "เปลว สีเงิน" วิญญูชนจอมปลอม เป็นพ่อยก "มาร์ค"

นายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล  ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ไทยเดย์ ด็อท คอม จำกัด ได้ขึ้นกล่าวว่า วันนี้มีคน 2 คน ที่เป็นผู้ดีจอมปลอมที่อยากเอามาถลกหนัง จะกระชากหน้ากากออกมา คนแรกถือว่าเป็นระดับลิ่วล้อคือ คุณเปลว สีเงิน พ่อยกของมาร์คตัวพ่อ คุณเปลวนี่นอกจากจะเป็นพ่อยกของอภิสิทธิ์แล้วยังเป็นพ่อยกของหม่อมอุ๋ย และคุณสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ด้วย อันนี้ให้รู้ไว้คุณเปลวจะไม่มีวันด่า 3 คนนี้เป็นอันขาด อีกคนที่จะพูดถึงคือคนรูปหล่อ ปากหวาน สันดานตอแหล
      
นายจิตตนาถ กล่าวอีกว่า เผอิญตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาอ่านหนังสือพิมพ์แล้วรู้สึกเสียใจกับนักหนังสือ พิมพ์ท่านนี้ ที่มีแนวทางการเขียนคอลัมน์ดิสเครดิตพันธมิตรมาตลอด ว่าพันธมิตรออกมาเย้ว เย้ว น่ารำคาญ อ้างว่าผู้นำของเราพาคนไปตาย แล้วคุณเปลววันนี้เพิ่งจะมาเขียนชมคุณวีระ แต่ที่ผ่านมาเขียนด่ามาตลอดคุณเปลวเคยเขียนว่าก็สมประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย วีระ ก็อยากให้เขาจับ เขมรเองก็อยากจับคุณวีระ
      
แล้ววันนี้มาเขียนชมอะไรกันชักเข้าชักออกหรือเปล่า คุณเปลวเขาว่าเป็นโหร หมอดูแม่นๆ  ตนขอตั้งฉายาใหม่ให้เป็นหมอเปลวนั่งเทียน คุณเปลวพูดอยู่เสมอว่าเชื่อเถอะดวงประเทศไทยไม่เสียดินแดนหรอก ให้นายกฯทำงานเถอะ แต่คุณเปลวไม่เคยพูดถึงเอ็มโอยูเลย หรือคุณกลัวว่าเอ็มโอยูมันพิสูจน์ได้ชัดกว่าตำราหมอดูกำมะลอของตัวเอง  
      
แล้วตนก็จะไม่แปลกใจว่าพรุ่งนี้คุณเปลวก็จะต้องพาดหัว แล้วก็เขียนด่าเราอีกเช่นเคย แต่เราไม่สนใจ แต่เราจะประกาศให้ชัดว่าเรารู้แล้วว่าคุณแอบเป็นพ่อยกของนายกฯหน้าหล่ออยู่ ลับๆ  เปิดตัวออกมาเลย แล้วไทยโพสต์ก็ขอให้มีอาชีพเสริมปรับสำนักงานเป็นสำนักงานรับพยากรณ์ดวง  อีกอันก็เป็นสำนักงานรับทัวร์วัด แล้วคุณเปลวก็ไปเป็นหัวหน้ามักกะทายก  ก็ไม่รู้ใครมาว่าคุณลุงที่ตนเคารพ ตนก็ต้องว่าไปอย่างนี้แหละ ตนไม่ชอบพวกวิญูชนจอมปลอม
      
นายจิตตนาถ กล่าวว่า มาถึงคิวของคนดื้อตาใสตัวพ่อ วันนี้นายกฯยัดข้อหาพันธมิตรอีกแล้ว หาว่าเราเอากรณีนี้มาเล่นเกมการเมือง ใครเล่นเกมกับคุณหรือ  จริงๆแล้วใครที่เล่นเกมการเมือง คนหน้าหล่อใช่มั๊ย ที่พูดให้ร้ายพันธมิตรก็พื่อปกปิดความล้มเหลวของตัวเอง จริงๆต้องย้อนไปว่าใครกันแน่ที่ส่งคุณส่งคุณพนิชไปและเพื่อจุดประสงค์อะไร ก็ส่งไปเพื่อหาข้อมูลมาเบรคความชอบธรรมของเราในการชุมนุมเรื่องเอ็มโอยู นี่คือความจริง  พอกลุ่มของคุณพนิช และคุณวีระ โดนจับ ใครเป็นคนตั้งธงว่าโดนจับในเขตเขมร ถ้าหัวไม่ตั้งธงหางจะออกมารับกันเป็นทอดๆหรือไม่  ฉะนั้นก็เห็นว่าคนที่เล่นเกมการเมืองมาตลอด ก็คือท่านนายกฯ เพราะเขาไม่อยากให้เราชุมนุม เขากลัวเราจะเอาความจริงมาลากไส้เขา
      
ตอบตนหน่อยว่าพันธมิตรได้ประโยชน์อะไรบ้าง มีวาระทางการเมืองอะไรบ้าง ตอนช่วงเสื้อแดงเผาเมืองตนเคยมีข้อเสนอทางออกให้กับนายกฯ วันนี้ท่านมาท้าพันธมิตรว่าอีก 3 วัน มีทางออกให้ช่วยวีระอย่างไรบ้าง ตนก็จะพูดไปถึงนายกฯว่ามีทางเสนอ แนวทางแรก
      
ข้อ 1  ทำไมท่านไม่ประท้วงคำตัดสิน ท่านไม่อ้างเรื่องประชาคมอาเซียนที่ท่านชอบอ้างนักอ้างหนาล่ะ ไปอ้างกับเขมรบ้างอย่ามาอ้างแต่กับคนไทย 
      
ข้อ 2 ท่านก็ขู่ฮุนเซนไปเลยว่าจะยกเลิกเอ็มโอยู43 หรือไม่ก็ให้นายชวนนท์จอมล็อบบี้ ไปล็อบบี้ฮุนเซนข้างหลังก็ได้
      
ข้อ 3 ทำไมไม่เรียกทูตกลับเหมือนตอนที่ฮุนเซนประกาศหนุนแม้วล่ะ ทีตอนนั้นท่านไม่กลัวกระทบความสัมพันธ์หรือ ตอนนั้นคนจะมาล้มท่าน แต่ตอนนี้ฮุนเซนไม่ล้มท่าน ก็เลยไม่เรียกทูตกลับ
      
ข้อ 4 ถามจริงๆถ้าปิดชายแดนใครเสียประโยชน์ จะไม่มีใครไปเล่นกาสิโนที่ฮุนเซนมีหุ้น แล้วก็ไม่ต้องกลัวเรื่องของสงครามเพราะมีสงครามยูเนสโกถอนประเด็นมรดกโลกออก ไปทันที คนที่ต้องระวังเรื่องสงครามคือฮุนเซน อย่ามาตอแหลแล้วยังขี้ขลาด เราไม่ชอบ สรุปแล้วเอ็มโอยูช่วยอะไรไม่ได้เลย

นายจิตตนาถ ยังกล่าวอีกว่า อีกแนวทางที่ตนแนะนำนายกฯ ตรงข้ามกันกับอันแรกเลย คือ 1.นายกฯสามารถร้องไห้ไปฟ้องแม่ยกได้ หรือไม่อยากฟ้องแม่ยก ก็ข้อ 2.ร้องไห้ไปฟ้องวอลล์เปเปอร์ และแก๊งไอติมได้  3.สามารถให้ผู้ใหญ่ของท่านไปคอยล็อบบี้ก็ได้  4.ทำง่ายสุดและเป็นไม้ตายที่ท่านบอกแล้วว่าท่านจะทำคือไปกราบเท้าฮุนเซนเลย สรุปแล้วคนๆนี้ตอแหลหรือไม่ ขี้ขลาดหรือไม่

ที่มาข่าวเรียบเรียงจาก: ASTV ผู้จัดการออนไลน์, มติชนออนไลน์, โพสต์ทูเดย์
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ม็อบชนม็อบที่อิยิปต์ เจ็บร่วมร้อย

Posted: 02 Feb 2011 08:38 AM PST

ที่อิยิปต์ กลุ่มผู้สนับสนุนปธน. บุกเข้าปะทะกับกลุ่มผู้ชุมนุมต่อต้าน ปธน. โดยมีการขว้างปาก้องหิน ฝ่ายสนับสนุนมีไม้และมีด บ้างขี่ม้าขี่อูฐบุกเข้าไป รายงานคนเจ็บกว่า 100 นักข่าวถูกแทง 1 ขณะที่ทหารไม่ได้เข้าห้ามการปะทะ

คลิปวีดีโอจาก Al Jazeera

2 ก.พ. 2554 - สำนักข่าว อัลจาซีร่า รายงานว่า เกิดเหตุผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาลและผู้ชุมนุมสนับสนุนรัฐบาลในอิยิปต์ โดยผู้ประท้วงทั้ง 2 ฝ่ายได้ขว้างปาก้อนหินใส่กันที่จัตุรัสมาห์เรียซึ่งเป็นสถานที่ชุมนุมต่อต้านประธานาธิบดีฮอสนี มูบารักเมื่อ 9 วันที่ผ่านมา

ผู้สื่อข่าวอัลจาซีร่ารายงานจากที่เกิดเหตว่า มีประชาชนกว่า 100 รายได้รับบาดเจ็บจากเหตุปะทะในครั้งนี้ ซึ่งก่อนเกิดเหตุการณ์นี้มีผู้เห็นเหตุการณ์บอกว่าฝ่ายทหารได้ปล่อยให้กลุ่มสนับสนุนมูบารักหลายพันคนเข้ามาในพื้นที่ ซึ่งคนกลุ่มนี้มีทั้งมีดและไม้พลอง ซึ่งกลุ่มต้านรัฐบาลบอกว่ามูบารักเป็นคนสั่งให้ "อันธพาล" เข้ามาปราบปรามผู้ชุมนุม ผู้เห็นเหตุการหลายคนบอกว่าฝ่ายสนับสนุนมูบารักลากตัวผู้ต่อต้านไปให้กับหน่วยรักษาความสงบ

ผู้สื่อข่าวอีกคนหนึ่งกล่าวว่าฝ่ายทหารดูจะยืนดูเหตุการณ์เฉยๆ หรือไม่ก็ยิ่งสนับสนุนให้เกิดการปะทะ รายงานล่าสุดระบุว่าพื้นที่จัตุรัสยังคงอยู่ในการควบคุมของมวลชนต้านรัฐบาล แม้ผ่านสนับสนุนมูบารักจะยึดพื้นที่ส่วนหนึ่งได้ก็ตาม

ซัลมา หนึ่งในผู้ประท้วงต้านรัฐบาลบอกว่าจณะที่มีผู้ชุมนุมกว่าร้อยบาดเจ็บแต่ก็ไม่มีรถพยาบาลอยู่แถวนั้นเลย พวกเขาได้แต่ใช้เดดตอลล้างแผล

ผู้สื่อข่าวอีกคนบอกว่ามีคนขี่ม้าและอูฐฝ่าเข้าไปยังฝูงชน แต่ทหารก็ได้แต่ยืนอยู่เฉยๆ มีอย่างน้อย 6 รายที่ถูกดึงลงมาจากสัตว์พาหนะและถูกผู้ประท้วงทุบตีจนเลือดท่วมหน้า ผู้สื่อข่าวกล่าวอีกว่าฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลบางส่วนได้ยึดรถทหารและบางส่วนก็ยึดพื้นที่ใกล้อาคารและขว้างปาหินลงมาจากชั้นดาดฟ้า

ฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลใช้สโลแกนว่า "30 ปีแห่งเสถียรภาพ 9 วันแห่งอนาธิปไตย" ผู้อำนวยการผลิตของอัลจาซีร่าประจำกรุงไคโรบอกว่ามีการขว้างปาก้อนหินจากทั้ง 2 ฝ่าย และแม้ทหารจะตั้งแผงกั้นแต่พวกเขาก็ให้ฝ่ายสนับสนุนมูบารักผ่านเข้าไป

"คนบนหลังม้าเป็นผู้สนับสนุนมูบารัก พวกเขาเป็นกลุ่มคนผู้โกรธแค้นสอดสายตามองหาคนทำงานอัลจาซีร่าและชาวอเมริกัน พวกเขาพยายามผ่านไปยังอีกด้านที่รถถังทหารตั้งไว้ เพื่อไปหาฝ่ายต่อต้านมูบารัก มีฝ่ายสนับสนุนมูบารักผ่านเข้ามาเรื่อยๆ"

ผู้สื่อข่าวอัลจาซีร่า เจน ดัทตัน กล่าวว่าในกลุ่มสนับสนุนมูบารักนั้นมีเจ้าหน้าที่รักษาความสงบอยู่ด้วย และอาจเป็นการชี้นำให้ตำรวจปราบจลาจลเข้ามาในพื้นที่ด้วย นอกจากนี้ยังรายงานอีกว่ามีผู้สื่อข่าวจากช่อง อัล-อารบิยา รายหนึ่งถูกแทงในช่วงที่มีการปะทะกัน

ก่อนหน้าเหตุปะทะในวันนี้ กลุ่มผู้สนับสนุนประธานาธิบดีได้ชุมนุมกันในกรุงไคโรหลายครั้ง และบอกว่ามูบารักเป็นตัวแทนของเสถียรภาพ ขณะที่มีผู้เห้นเหตุการณ์รายหนึ่งบอกว่าผู้จัดชุมนุมสนับสนุนปธน. จ่ายเงินให้หัวละ 17 ดอลลาร์ (ราว 500 บาท) ซึ่งยังไม่มีการยืนยันในเรื่องนี้

สมาชิกรายหนึ่งของกลุ่มภราดรภาพมุสลิม กล่าวว่า คำกล่าวปราศรัยของประธานาธิบดีมูบารักมีลักษณะยุยงเนื่องจากมีการใช้ถ้อยคำอ่อนไหว "มูบารักถามประชาชนว่า ให้เลือกเอาระหว่างตัวเขาหรือความโกลาหล"

ที่มา:

Clashes break out in Tahrir Square, Al Jazeera, 02-02-2011
http://english.aljazeera.net/news/middleeast/2011/02/201122124446797789.html

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

นปช. ย้ำ 10 ข้อสันติวิธีต้าน รปห. -13,19 ก.พ.บุก 2 ศาล ร้องสิทธิเท่า พธม.

Posted: 02 Feb 2011 08:28 AM PST

"นปช." แจกคู่มือ "ยีนส์ ชาร์ป" ต้านรัฐประหารอย่างสันติวิธี  "จตุพร" แฉ 3 จุดทหารซุ่มคุยปฏิวัติ ย้ำ13 ก.พ.ไปศาลอาญา 19 ก.พ.ไปศาลฎีกา ร้องสิทธิเท่าพันธมิตรฯ

2 ก.พ. 54 - ที่ห้างสรรพสินค้าอิมพีเรียล ลาดพร้าว นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ รักษาการประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย ร่วมกันแถลงข่าว โดยนางธิดาแถลงกรณีมีกระแสข่าวจะเกิดรัฐประหาร ฉะนั้นเพื่อให้ นปช.รับมือทัน และไม่ช็อกกับสิ่งจะเกิดขึ้น นปช.จึงได้เรียบเรียงคู่มือต้านรัฐประหาร บางคนอ้างว่า นปช.นำเรื่องนี้มาปลุกระดมมวลชน ซึ่งความจริงแล้วคนเสื้อแดงออกมาอยู่แล้ว

นางธิดา กล่าวถึงคู่มือต้านรัฐประหารว่า นำหลักการปฏิบัติมามาจาก "ยีน ชาร์ป" สถาบันอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ระบุไว้ดังนี้

1. ให้ยืนตามถนน ถ้ามีการปราบให้สลายแล้วออกมายืนใหม่ ไม่เป็นเป้านิ่ง เคลื่อนไหวเร็ว ไม่ต้องมีเวที

2. จอดรถ นำสิ่งของมาทิ้งขวางกลางถนน ขัดขวางการเคลื่อนกำลัง

3. ปฏิเสธคำสั่งหรือประกาศใด ๆ ไม่ให้ความร่วมมือกับคณะรัฐประหาร

4. ท่าทีเป็นมิตรกับทหารและชวนมาเป็นพวก

5. ยึดมั่นสันติวิธี

6. สร้างสัญลักษณ์การต่อต้านที่เสื้อ หรืออาจผูกผ้าสีดำที่แขนเสื้อ หรือสัญลักษณ์ต่อต้านรัฐประหารเป็นสติ๊กเกอร์ หรือธงมีข้อความต้านรัฐประหารติดในทุกที่

7. บันทึกภาพการปราบปรามประชาชนหรือการเคลื่อนย้ายกำลัง และแจกจ่ายให้กว้างขวางทั้งทางทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ค

8. ต่อต้านการรัฐประหารในทุกกรณี ทำจดหมายเรียกร้องต่อศาล ไม่ให้รับรองคณะรัฐประหาร

9. ต่อต้านพวกสนับสนุนรัฐประหารทางเศรษฐกิจ เช่น ประจาน ประท้วงธุรกิจนั้นๆ

10. หยุดงานและประท้วง อธิบายเหตุผลต่อประชาชนให้มาร่วมชุมนุมให้มากที่สุด 

รักษาการณ์ประธาน นชป. ย้ำด้วยว่า ไม่ใช่กระต่ายตื่นตูม เพราะวันนี้มันเข้าเงื่อนไข คือ สถานการณ์ชายแดนไทยและกัมพูชาที่บางกลุ่มจุดขึ้น รวมทั้งข้อเรียกร้อง 3 ข้อที่รัฐบาลทำไม่ได้ และต้องใช้กลไกพิเศษจัดการปัญหา ประชาธิปไตยไทยจึงเกิดขึ้นไม่ได้ ประชาชนไม่เชื่อเรื่องประชาธิปไตย ตรงนี้เข้าเงื่อนไขแล้ว ขึ้นอยู่จะตัดสินใจเมื่อใดเท่านั้น พลเอกสนธิ บุณยรัตกลิน อดีต ผบ.ทบ. วางแผนรัฐประหารมาเจ็ดเดือนในช่วงพันธมิตรฯ ชุมนุม ลับ ลวง พรางมาตลอด และอ้างว่าอ่านหนังสือขอ "เหมา เจ๋อ ตุง" ทั้ง ๆ ที่หนังสือเล่มนี้เป็นของประชาชน เราจึงวางใจแม่ทัพนายกองไม่ได้ แต่เราจะไม่ยอมให้ประเทศไทยถูกข่มขืนซ้ำแล้วซ้ำอีก หากเกิดรัฐประหาร ขอให้กลุ่มต่างๆ ในแต่ละจังหวัดที่จัดตั้งไว้ออกมาต้าน และนำจดหมายของแกนนำนปช.ถูกจำคุกไปยื่นศาล

"กลไกการเลือกตั้งควรทำให้เสร็จในเดือนนี้ เพราะกลไกการรัฐประหารคืบหน้าไปแล้ว" นางธิดา กล่าวทิ้งท้าย

*ดาวน์โหลด คู่มือต้านรัฐประหาร (Against the Coup: Fundamentals of Effective Defense) ยีน ชาร์ป เขียน นุชจรีย์ ชลคุป แปล

จตุพรประกาศชุมนุมใหญ่ 13,19 ก.พ. ลั่นหากปฏิวัติมีแตกหักทันที

นายจตุพร กล่าวว่า ขณะนี้ทราบว่ามีกลุ่มนายทหารไปประชุมหารือกันเกี่ยวกับการทำรัฐประหารครั้ง นี้ โดยจุดที่หารือจุดแรกบริเวณบ้านพักหลังหนึ่งใกล้อิมพีเรียล ลาดพร้าวนี้ โดยมีบรรดานายทหารไปสุมหัวคุยกันอยู่ ส่วนจุดที่ 2 ภายในค่ายทหารม้า จ.เพชรบูรณ์ จุดที่ 3 ภายในโรงแรมแห่งหนึ่งชื่อเหมือนแม่น้ำ ย่านถนนรัชดา โดยในวงสนทนาดังกล่าวนี้มีการคุยว่ารอเพียงสัญญานอย่างเดียว ซึ่งสัญญานที่ว่านั้นที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.บอกว่าจะไม่ปฏิวัติ ยกเว้นว่ามีคนสั่ง เพราะฉะนั้นคนสั่งที่ว่านี้จะสั่งแค่ให้ปฏิวัติหรือไม่ปฏิวัติเท่านั้น

นายจตุพร กล่าวต่อว่า วันนี้กลุ่มพันธมิตรฯชุมนุมเพื่อจะล้มรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็จริง แต่คณะรัฐประหารชุดนี้เขาจะกระโดดข้ามกลุ่มพันธมิตรฯ และข้ามรัฐบาลเพื่อมากระทืบคนเสื้อแดงโดยเฉพาะ ฉะนั้นขอนัดหมายกันว่า ทันทีที่มีการยึดอำนาจขอให้ทุกที่ทุกทางในประเทศนี้ไปรวมตัวกันที่ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยทันที และทันทีที่มีคำประกาศฉบับที่ 1 ไม่ต้องรอฟังอีกครั้งหนึ่ง เราไปที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยแล้วเริ่มต้นแตกหัก เพราะว่าถ้าไม่ดำเนินการสู้กันแบบนี้ก็จะยึดอำนาจซ้ำแล้วซ้ำเล่า

นายจตุพร กล่าวอีกว่า ในวันที่ 13 ก.พ. เวลา 13.00 น. พวกเราได้นัดชุมนุมกันที่หน้าศาลอาญา ถนนรัชดา เพื่อไปแสดงสัญลักษณ์ตามจดหมายปรับทุกข์ของพี่น้องเราที่อยู่ในเรือนจำ ทั้งนี้ ตนฟังทางกลุ่มพันธมิตรฯ สัมภาษณ์แล้วรู้สึกสมเพช กรณีพันธมิตรฯ 2 คน คือ นายวีระ และน.ส.ราตรี ที่ถูกจับที่ประเทศกัมพูชา ศาลกัมพูชาพิพากษาจำคุกนายวีระ 8 ปี และราตรี  6 ปี โดยพันธมิตรฯ ประกาศขีดเส้นตายให้รัฐบาลเอาตัวทั้ง 2 คนนี้กลับมาภายใน 3 วัน แต่คนเสื้อแดงถูกจับ ถูกขังฟรี โดยไม่มีการพิจารณาคดีแต่อย่างใด และก็ไม่มีวี่แววว่าจะออก รวมทั้งการฟ้องก็เป็นการฟ้องเท็จใส่ความ แล้วความจริงก็ได้ปรากฏโดยคนฟ้องนั้นเอง ที่ฟ้องว่าฆ่ากันเองตาย 91 ศพ ซึ่งนายธาริต ออกมาแถลงไม่ใช่หรือว่า 13 ศพอาจจะเกิดขึ้นจากฝีมือเจ้าหน้าที่รัฐ และ 12 ศพ ยัดใส่ ส่วนอีก  60 กว่าศพไม่ทราบใครทำ เมื่อคุณแถลงแบบนี้จะเท็จจะจริงนั้นมันได้อธิบายว่าที่พวกคุณได้ขังนายณัฐ วุฒิ และพวกว่าฆ่ากันเองตาย 91 ศพ มันเป็นเท็จ ฉะนั้นเมื่อฟ้องเท็จคนเหล่านี้ควรจะได้รับการปล่อยตัวโดยทันที แต่ประเทศนี้ไม่มีความเมตตาและมีความยุติธรรมแต่อย่างใด

นายจตุพรกล่าวอีกว่า หลังจากนั้นอีก 6 วัน จะนัดชุมนุมในวันที่ 19 ก.พ.เวลา 13.00 น.บริเวณหน้าศาลฎีกา สนามหลวง และเคลื่อนต่อไปยังสี่แยกราชประสงค์ เพื่อที่จะไปบอกกับประธานศาลฎีกาว่าความยุติธรรมนั้นมันมีไหมกับคนเสื้อแดง ถ้าไม่มีสัญญานความยุติธรรมก็จะตัดสินกันอีกครั้งหนึ่งว่าจะชุมนุมยืดเยื้อ อีกรอบหรือไม่ เราควรที่จะมาทบทวนท่าทีเราเหมือนกันว่าทนให้เขาเหยียบย่ำหัวใจต่อไปหรือไม่ และขอประกาศอีกครั้งว่าตราบใดที่ไม่มีความยุติธรรม ภายใต้เงื่อนไขระหว่างนี้หากไม่มีการยึดอำนาจ ถ้ามีการยึดอำนาจก็ไปเจอที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เหตุการณ์ในอียิปต์ตามหลังเราฉะนั้นเราก็ต้องทำให้เป็นแบบอย่างอียิปต์ ซึ่งอียิปต์มีคน 2 ล้านคน ทำไมคนเสื้อแดงจะออกมาเกิน 2 ล้านคนไม่ได้ ปิดบัญชีกันดีกว่า

ที่มาข่าวเรียบเรียงจาก: กรุงเทพธุรกิจ, ข่าวสด

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนแถลงเรียกร้องรัฐไทยถอนฟ้องคดีผอ. ประชาไท

Posted: 02 Feb 2011 08:13 AM PST

2 ก.พ. ผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนแถลงเรียกร้องรัฐไทยถอนฟ้องกรณีจีรนุช เปรมชัยพร ผู้อำนวยการเว็บไซต์ประชาไทในคดีที่ถูกฟ้องว่าละเมิดกฎหมายพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์มาตรา 14 และ 15 ด้วยความผิดฐานเป็นตัวกลาง

องค์การผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนระบุว่า จีรนุชจะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีในวันที่ 4 ก.พ. นี้ ซึ่งตามฐานความผิดที่ถูกฟ้องนั้น จีรนุชอาจต้องโทษสูงสุดจำคุก 20 ปี

องค์การผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนยังระบุถึงคดีที่จีรนุชถูกฟ้องร้องฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ด้วย (เป็นคดีที่ถูกฟ้องร้องในภายหลัง ต่างหากจากคดีความผิดฐานตัวกลางตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์-อธิบายเพิ่มโดยประชาไท)

“องค์การผู้สื่อข่าวไรพรมแดนขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยแสดงความเมตตาต่อจีรนุช โดยใช้หลักพิจารณาและปฏิบัติเช่นเดียวกับคดีของ “เบนโตะ” ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตรายหนึ่งซึ่งถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดฐานหมิ่นสถาบันกษัตริย์โดยการโพสต์ข้อความจนกระทั่งคำได้รับการพิพากษายกฟ้อง...ด้วยการตัดสินใจอย่างเดียวกันในคดีของจีรนุชก็จะช่วยแสดงให้เห็นประเทศไทยมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น”

องค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนยังได้แสดงความหวังว่าจีรนุชจะพ้นจากความผิดและมีการดำเนินการถอนฟ้องด้วย
“จีรนุชเพียงแต่ทำหน้าที่ของตนเองในฐานะผู้สื่อข่าวและไม่สมควรที่จะถูกนำตัวขึ้นศาลด้วยเหตุเช่นนั้น ผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนหวังว่าจีรนุชจะพ้นจากความผิดซึ่งจะถูกไต่สวนในสัปดาห์นี้และขอให้มีการถอนฟ้องคดีดังกล่าว

“จีรนุชได้รับการสนับสนุนอย่างมากทั้งในหมู่พลเมืองไทยและในนานานาประเทศ การจับกุมเธอเมื่อเดือนกันยายนขณะที่เธอเดินทางกลับจากการประชุมที่เมืองบูดาเปสต์ เป็นการกระตุ้นให้เกิดการต่อต้านขึ้นทั่วโลก โดยขณะนี้มีบล็อกที่รณรงค์สนับสนุนจีรนุชได้แก่ http://digitaldemocracy.chipin.com/free-jiew

หมายเหตุ
พรบ. คอมพิวเตอร์ 2550

มาตรา 14 ผู้ใดกระทำความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

(1) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
(2) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศหรือก่อให้เกิดความ ตื่นตระหนกแก่ประชาชน
(3) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรหรือความผิดเกี่ยวกับการ ก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา
(4) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ ที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้
(5) เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ตาม (1) (2) (3) หรือ (4)

มาตรา 15 ผู้ให้บริการผู้ใดจงใจสนับสนุนหรือยินยอมให้มีการกระทำความผิดตามมาตรา 14 ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของตน ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดตามมาตรา 14
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

กรรมการสิทธิฯ ชม "วีระ" รักชาติ สู้กับคนกัมพูชาทั้งประเทศ

Posted: 02 Feb 2011 07:35 AM PST

"ปริญญา ศิริสารการ" กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ชี้ล่ามไต่สวนคดี “วีระ-ราตรี” หมกเม็ดข้อมูล ยกย่อง “วีระ” กล้าหาญกว่า “มาร์ค” ที่สู้กับคนกัมพูชาทั้งประเทศ

2 ก.พ.54 - ASTV ผู้จัดการออนไลน์รายงานว่า นายปริญญา ศิริสารการ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กล่าวถึงการเข้าร่วมสังเกตการณ์ไต่สวนคดี นายวีระ สมความคิด และ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ และรับฟังคำตัดสินของศาลกัมพูชา ว่า ได้เพียงแค่เห็นหน้า นายวีระ เท่านั้น จึงไม่ได้หารือเรื่องปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน แต่ปัญหาที่สังเกตพบ คือ เรื่องการแปลภาษาของล่ามที่มีปัญหา และจับประเด็นไม่ได้ใจความที่สมบูรณ์ แต่ศาลกัมพูชาก็ไม่ยอมให้มีการเปลี่ยนล่ามตามที่ นายวีระ ร้องขอ รวมทั้งเรื่องพยานหลักฐาน และข้อมูลที่ทางเครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ ต้องการนำไปต่อสู้กับศาลกัมพูชา เพื่อช่วย นายวีระ นั้น ก็ไม่ได้รับการประสานจากรัฐบาลไทย ซึ่งกัมพูชานั้นมีทั้งเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และผู้เชี่ยวชาญมาเป็นพยาน แต่ในส่วนที่เป็นหน้าที่ของรัฐบาลไทยไม่มีการส่งตัวช่วยมาเลย ทั้งนี้ เรื่องการประสานเข้าพบ นายวีระ และ น.ส.ราตรี ในเรือนจำนั้น ตนได้ประสานไปยังสถานทูตไทยในกัมพูชา เพื่อช่วยดำเนินการและขณะนี้ก็กำลังรอคำตอบอยู่ว่าจะได้พบ 2 คนเมื่อใด
      
“ผมขอตำหนิ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่ปล่อยเกียร์ว่าง ไม่ยอมส่งพยาน หรือผู้เชี่ยวชาญเข้าไปช่วย นายวีระ ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ได้ขอร้อง แต่เป็นหน้าที่ของรัฐบาล และขอชื่นชม นายวีระ ที่กล้าหาญ ที่ยืนยันต่อหน้าศาลกัมพูชาอยู่ตลอด ว่า ตัวเองถูกจับในดินแดนไทย นายวีระ รักชาติเหนือกว่านายกฯหลายเท่า เพราะนายวีระต่อสู้กับคนกัมพูชาทั้งประเทศและต่อสู้กับนักการเมืองไทยบางคน ด้วย” นายปริญญา กล่าวและว่า อย่างไรก็ตาม ทาง กสม.จะประสานขอเข้าพบนายกฯ เพื่อรับฟังความคิดเห็นในกรณีดังกล่าวว่ารัฐบาลจะดำเนินการช่วยเหลืออย่างไร ต่อไป

อนึ่งนาย นายปริญญา ศิริสารการ หนึ่งในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติชุดปัจจุบันนั้น อดีตเคยดำรงตำแหน่งรองประธานสภาอุตสาหกรรม, อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญปี 2550, อดีตสมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ปี 2551 และเป็นกรรมการ (กต.ตร.) สถานีตำรวจภูธรอำเภอโนนไทย จ.นครราชสีมา ได้รับการลงคะแนนรับเลือกเป็นกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติจากวุฒิสภาเมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2552 ในอันดับที่ 7 โดยได้รับความเห็นชอบ 76 ต่อ 42 เสียง ไม่ลงคะแนน 18 เสียง

โดยผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) จำนวน 7 คน เป็น กสม. ในครั้งนั้นได้แก่
1.ศ.อมรา พงศาพิชญ์ อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เห็นชอบ 131 เสียง ไม่ลงคะแนน 6 เสียง 2.นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ เห็นชอบ 128 ต่อ 2 คะแนน ไม่ลงคะแนน 7 เสียง
3.นางวิสา เบ็ญจะมโน ผู้ตรวจราชการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เห็นชอบ 126 ต่อ 6 เสียง ไม่ลงคะแนน 5 เสียง
4.นายไพบูลย์ วราหะไพฑูรย์ เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เห็นชอบ 123 ต่อ 6 เสียง ไม่ลงคะแนน 9 เสียง
5.พล.ต.อ.วันชัย ศรีนวลนัด รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เห็นชอบ 122 ต่อ 6 เสียง ไม่ลงคะแนน 9 เสียง
6.นพ.นิ รันดร์ พิทักษ์วัชระ อดีต ส.ว.อุบลราชธานี และประธานมูลนิธิพิทักษ์ธรรมชาติเพื่อชีวิต เห็นชอบ 109 ต่อ 20 เสียง ไม่ลงคะแนน 8 เสียง
7.นายปริญญา ศิริสารการ อดีตรองประธานสภาอุตสาหกรรม จ.นครราชสีมา เห็นชอบ 76 ต่อ 42 เสียง ไม่ลงคะแนน 18 เสียง 

ที่มาข่าว: ASTV ผู้จัดการออนไลน์

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

อัยการเลื่อนคดีสมาชิก สร.ไทยอินดัสเตรียแก๊สทำผู้บริหารตกใจ

Posted: 02 Feb 2011 07:13 AM PST

2 ก.พ. 54 - สหภาพแรงงานไทยอินดัสเตรียลแก๊ส (TIGLU) แจ้งความคืบหน้ากรณีที่สมาชิกสหภาพแรงงานไทยอินดัสเตรียลแก๊ส จำนวน 14 คน (จาก 15 คนเหลือ 14 คน เพราะผู้บริหารถอนการแจ้งความไป 1 คน) ที่ถูกผู้บริหารแจ้งความดำเนินคดีทำให้ผู้บริหารกลัวหรือตกใจเดินทางไปพบอัยการที่สำนักงานอัยการถนนสรรพาวุธ บางนา-กรุงเทพเพื่อฟังคำสั่งของอัยการว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่ซึ่งได้รับแจ้งว่าอัยการส่งสำนวนกลับไปให้ตำรวจ สน.บางนา สอบสวนเพิ่มเติมและเลื่อนการออกคำสั่งไปเป็นวันที่ 9 มีนาคม 2554

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

รายงาน: ความคืบหน้ากรณีศึกษาการสืบพยาน "คดีอินเทอร์เน็ตกับภาระของตัวกลาง"

Posted: 02 Feb 2011 06:50 AM PST

สืบเนื่องจากวันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2553 ซึ่งเครือข่ายพลเมืองเน็ตได้ออกแถลงการณ์ว่าด้วยเรื่องข้อเสนอในการปรับปรุงแก้ไขการบังคับใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์  พ.ศ.2550   ด้วยเหตุว่ากฎหมายฉบับนี้มีผลในการลิดรอนสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นอันเป็นหลักการพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย ทั้งยังขัดกับคุณลักษณะของอินเทอร์เน็ตในหลายแง่มุม

นอกจากนี้ ระหว่างสถานการณ์ทางการเมืองที่แหลมคมในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เครือข่ายพลเมืองเน็ตพบว่า พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ โดยเฉพาะมาตราที่เป็นปัญหามากที่สุดคือ มาตรา 14 และ 15 ถูกใช้เป็นเครื่องมือเล่นงานกับผู้ที่คิดต่างทางการเมือง หรือคิดต่างจากรัฐบาล ตัวอย่างหนึ่งที่ชัดเจนได้แก่ กรณีการจับกุมและตั้งข้อหาร้ายแรงกับจีรนุช เปรมชัยพร ผู้อำนวยการเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ออนไลน์ประชาไท (http://www.prachatai.com) ถึงสองคดี โดยในคดีแรกนั้น ตำรวจได้ตั้งข้อหากับจีรนุชว่ามีความผิดตามมาตรา 15 พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ คือเจตนาจงใจสนับสนุนหรือยินยอมให้มีข้อความที่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ปรากฏอยู่ในเว็บบอร์ดประชาไท  อย่างไรก็ตาม ข้อความดังกล่าวได้ถูกลบออกจากระบบแล้วเป็นเวลาหลายเดือนก่อนที่จะมีการจับกุม ภายหลังจากที่จีรนุชได้รับจดหมายจากกองบังคับการปราบปราม ซึ่งแสดงถึงเจตนาของจีรนุชว่ามิได้จงใจสนับสนุนการ กระทำผิดดังกล่าว นอกจากนี้ ระยะเวลา 20 วันที่ตำรวจกล่าวอ้างว่าเป็นการ “จงใจ สนับสนุน หรือยินยอม” ก็ยังไม่ได้มีกำหนดอยู่ในกฎหมายใด ๆ ทั้งสิ้น หากเป็นเพียงตัวเลขที่ปรากฏในบันทึกของตำรวจหลังจากที่มีการจับกุมแล้วเท่านั้น

เครือข่ายพลเมืองเน็นเห็นว่า คดีของจีรนุชชี้ให้เห็นถึงข้อบกพร่องของ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ พ.ศ. 2550 มาตรา 15 ในหลายประเด็นสำคัญอาทิ

1. มาตรา 15 ปฏิบัติกับผู้ให้บริการ หรือ “ตัวกลาง” (intermediary: เช่น ศูนย์ข้อมูล ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต เสิร์ชเอนจิน โซเชียลเน็ตเวิร์ก เว็บบอร์ด บล็อก) เสมือนหนึ่งเป็นบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ ผู้มีทั้งหน้าที่และความสามารถในการคัดกรองเนื้อหาทั้งหมดก่อนตีพิมพ์ แต่คุณลักษณะที่สำคัญที่ทำให้อินเทอร์เน็ตมีประโยชน์เช่นทุกวันนี้คือ ข้อมูลทุกอย่างไหลผ่านอย่างรวดเร็ว ตัวกลางจึงเป็นเพียง “ท่อข้อมูล” หรือช่องทางผ่านของเนื้อหาเท่านั้น (mere conduit) หากผู้บังคับใช้กฎหมายไทยจะถือว่าตัวกลางต้องรับผิดชอบต่อข้อมูลและเนื้อหาทั้งหมดที่ผ่านตัวกลางแล้ว นั่นย่อมหมายความว่า ตัวกลางจะต้องกลั่นกรองข้อมูลทั้งหมดก่อนการเผยแพร่ ซึ่งด้วยความเร็วและปริมาณข้อมูลจำนวนมาก สิ่งดังกล่าวยากที่จะทำให้เป็นไปได้ โดยไม่กระทบกับการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต

2. ตัวกลางกลายเป็น “แพะ” ในการดำเนินคดีกับ “ตัวกลาง” ดังเช่นในคดีของจีรนุชทั้งสองคดีนั้น ซึ่งข้อเท็จจริงปรากฏว่ามีผู้โพสต์ข้อความเพียงรายเดียวที่ถูกดำเนินคดี และศาลชั้นต้นได้มีคำตัดสินไปเมื่อวันที่ 31 ม.ค. 2554 โดยศาลพิพากษายกฟ้อง ด้วยเหตุผลว่าฝ่ายโจทก์ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าจำเลยคือผู้ที่โพสต์ข้อความดังกล่าวจริง  ซึ่งในกระบวนการสอบสวนเกี่ยวกับผู้โพสต์รายนี้นั้น เว็บไซต์ประชาไทได้ให้ความร่วมมือตามที่กฎหมายกำหนดทุกอย่าง ดังนั้นที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่รัฐไม่ควรพยายามเอาผิดกับตัวกลาง ทั้งที่ได้รับความร่วมมือจากตัวกลางซึ่งเป็นผู้ดูแลระบบอินเทอร์เน็ตแล้วแต่ไม่สามารถหาผู้กระทำผิดตัวจริงได้

เครือข่ายพลเมืองเน็ตเห็นว่า ในประเทศที่กฎหมายเกี่ยวกับระบบคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพของประชาชน จะมีการกำหนดข้อยกเว้นความรับผิด (safe harbour) โดยถือว่าตัวกลางเป็นผู้บริสุทธิ์ถ้าหากไม่สามารถพิสูจน์เจตนาการกระทำความผิดได้ เนื่องจากตัวกลางคือพื้นที่ที่โดยปกติไม่มีส่วนรู้เห็น หลักการนี้จึงมีไว้เพื่อคุ้มครองตัวกลางจากภาระทางกฎหมายที่ไม่จำเป็น

อย่างไรก็ตาม หลักการนี้ไม่ได้ให้เสรีภาพแก่ตัวกลางจนเกินขอบเขต เนื่องจากเจ้าหน้าที่สามารถแจ้งตัวกลางเมื่อพบเนื้อหาที่เป็นความผิด และขออำนาจศาลเพื่อสั่งให้มีการลบเนื้อหานั้นได้ ทั้งนี้ต้องเป็นไปในระยะเวลาที่เหมาะสมตามที่กฎหมายกำหนด (notice and take down procedures) เป็นต้น และที่สำคัญอยู่บนหลักการซึ่งถือว่าตัวกลางนั้นบริสุทธิ์โดยพื้นฐาน (by default)

ดังนั้นคดีของจีรนุช เปรมชัยพร และหนังสือพิมพ์ออนไลน์ประชาไท ในฐานะที่เป็นนักปกป้องสื่ออินเทอร์เน็ตจึงเป็นที่สนใจของแวดวงสิทธิเสรีภาพสื่อออนไลน์ทั่วโลก เพราะเป็นคดีที่ไม่ได้กระทบต่อการกำกับดูแลอินเทอร์เน็ตในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นบรรทัดฐานของสิทธิเสรีภาพสื่ออินเทอร์เน็ตในระดับสากลอีกด้วย เพราะคดีนี้สะท้อนถึงตัวชี้วัดเรื่องภาระของตัวกลางกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตภายใต้ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ และทิศทางของเสรีภาพอินเทอร์เน็ตและสิทธิพลเมืองเน็ตในประเทศไทยอันส่งผลผลกระทบต่อทิศทางของประเทศต่างๆในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยเช่นกัน

เนื่องจากการสืบพยานในคดีสำคัญดังกล่าวนี้จะเริ่มต้นขึ้นในวันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 เครือข่ายพลเมืองเน็ตจะร่วมติดตามการพิจารณาคดีดังกล่าวเช่นเดียวกับองค์กรด้านสื่อมวลชนและองค์กรสิทธิมนุษยชนในระดับภูมิภาคและระดับสากล พร้อมทั้งการรายงานความคืบหน้าของการพิจารณาคดีอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นกรณีศึกษาในเรื่องดังกล่าวต่อไป

ทั้งนี้ศาลอาญาจะนัดสืบพยาน คดีที่ นางสาวจีรนุช เปรมชัยพร ผู้อำนวยการหนังสือพิมพ์ออนไลน์ประชาไท เป็นจำเลยและสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 8 สำนักงานอัยการสูงสุดกรณี เป็นโจทก์ฟ้อง ในคดีการเอาผิดกับตัวกลาง (Intermediary) ในข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ พ.ศ. 2550มาตรา 15 ในฐานะผู้ดูแลเว็บบอร์ดได้จงใจสนับสนุนหรือยินยอมให้มีการดำเนินการนำข้อความเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งอยู่ในความควบคุมของ อันเป็นข้อมูลมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับความมั่นคงแห่งชาติ
 

วันนัดสืบพยาน

สืบพยานโจทก์    ในวันที่ 4, 8, 9, 10 กุมภาพันธ์   พ.ศ. 2554     ช่วงเวลา  9.00- 12.30  และ 13.30 - 16.00

สืบพยานจำเลย   ในวันที่ 11, 15, 16, 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554  ช่วงเวลา  9.00- 12.30 และ 13.30 - 16.00

ที่ ศาลอาญา รัชดา ห้อง 801

ภูมิหลัง คดีกองปราบ

จีรนุช เปรมชัยพร ผู้อำนวยการและผู้ดูแลเว็บบอร์ดของหนังสือพิมพ์ออนไลน์ประชาไท http://www.prachatai.com/webboard ซึ่งถูกกองปราบปรามจับกุมดำเนินคดีเมื่อวันที่ 6มีนาคม พ.ศ2552 ด้วยข้อกล่าวหาตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 15 เนื่องเพราะไม่ได้ลบข้อความในเว็บบอร์ด ที่เข้าข่ายขัดต่อกฎหมายดังกล่าว ภายในเกณฑ์เวลาที่เจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งไว้ ในขณะที่จีรนุชได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาและยืนยันเจตนาบริสุทธิ์ เนื่องจากได้ลบข้อความดังกล่าวออกทันทีที่ได้รับแจ้ง และได้ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติตามกฎหมายตลอดมา

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

British MPs voice concern over Thai webmaster trial
http://asiancorrespondent.com/47520/british-mps-voice-concern-over-trail-against-prachatais-webmaster/

Court drops internet lese majeste case
http://www.bangkokpost.com/news/local/219110/court-drops-lese-majeste-case-against-woman

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

5 เรื่องที่คุณควรรู้เกี่ยวกับกองทัพอิยิปต์

Posted: 02 Feb 2011 06:39 AM PST

นักวิชาการด้านตะวันออกกลางวิเคราะห์บทบาทของกองทัพอียิปต์ต่อการประท้วงใหญ่ครั้งล่าสุด ทั้งในแง่โครงสร้าง ความเป็นมา และการเชื่อมโยงอำนาจกับรัฐบาล ผ่าน 5 อันดับเรื่องที่คุณควรรู้เกี่ยวกับกองทัพอิยิปต์

เมื่อวันที่ 31 ม.ค. ที่ผ่านมา สตีเฟน เอ. คุก นักวิชาการที่ศึกษาเรื่องตะวันออกกลาง เผยแพร่บทความเชิงวิเคราะห์เกี่ยวกับบทบาทของกองทัพในการประท้วงใหญ่ครั้งล่าสุดของอิยิปต์ ในชื่อ "ห้าสิ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับกองทัพอิยิปต์" เนื้อหาของบทความมีดังนี้

ในช่วงที่ผ่านมามีผู้คนพูดคุยกันถึงเรื่องกองทัพอิยิปต์ ซึ่งโดยส่วนตัวผมเองคิดว่ามันเป็นความคิดที่ดี หากผมจะนำเสนอความเห็นผ่านการจัดอันดับ 5 สิ่งที่ผู้คนควรรู้เกี่ยวกับกองทัพอิยิปต์

อันดับที่ 1

เจ้าหน้าที่ทหารระดับอาวุโสเป็นผู้ที่สืบทอดตำแหน่งโดยตรงมาจาก กามาล อับเดล นาซเซอและกลุ่มฟรีออฟฟิศเซอร์ [1] ผู้ช่วยก่อร่างระบอบการปกครองของและรัฐบาลของอิยิปต์ ทางกองทัพจะได้รับประโยชน์โดยตรงจากความสงบเรียบร้อยทางการเมือง และจนถึงบัดนี้ก็ไม่มีความจำเป็นต้องเข้าไปแทรกแซงการเมืองมากนัก เนื่องจากระบบได้ทำงานของมันอย่างดี กองกำลังติดอาวุธโดยเฉพาะระดับผู้บัญชาการเองก็มีส่วนพัวพันอย่างลึกซึ้งในระบบเศรษฐกิจของอิยิปต์

อันดับที่ 2

เป็นเรื่องทีชวนให้รู้สึกหมดห่วงอย่างมาก เมื่อทางกองทัพประกาศว่าจะไม่ยิงผู้ชุมนุม ซึ่งขณะเดียวกันเรื่องนี้ก็ไม่ถือว่าเกินความคาดหมายนัก กองทัพอิยิปต์ไม่เหมือนกลุ่มกองกำลังของซีเรียที่พร้อมจะสังหารคนเป็นพันเพื่อรักษา ฮาฟิซ อัล ฮาซาด ไว้ในปี 1982 (ประธานาธิบดีซีเรียในสมัยนั้น) เจ้าหน้าที่กองทัพมักโยนให้การสร้างความสงบบนท้องถนนอิยิปต์เป็น "งานสกปรก" ของกระทรวงมหาดไทย

ขณะเดียวกันในเรื่องการประกาศไม่ใช้กำลังนั้นยังเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับกายในกองทัพด้วย มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายในกองทัพระหว่างผู้บัญชาการอาวุโสซึ่งอยู่ฝ่ายหนึ่ง กับเจ้าหน้าที่รุ่นน้องกับทหารเกณฑ์ซึ่งอยู่อีกฝ่ายหนึ่งที่ปฏิเสธจะยิงผู้ชุมนุม ความขัดแย้งภายในนี้เป็น "ส้นเท้าของอะคิลลิส" (เป็นสำนวนเปรียบเทียบถึงสิ่งที่แม้จะแข็งแกร่งแต่ก็มีจุดอ่อนร้ายแรงอยู่) ฝ่ายผู้อาวุโสในกองทัพก็ไม่รู้ว่าประชาชนจะยอมทำตามคำสั่งพวกเขาหรือเปล่า สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดผลลัพธ์ตามมาคือแทนที่จะเสี่ยงต่อความแตกแยกของกองทัพ ทหารอิยิปต์จึงเลือกทางที่จะไม่ใช้กำลังในการปราบปรามผู้ชุมนุม

อันดับที่ 3

แล้วยุทธวิธีที่พวกเขาใช้ล่ะ? ยุทธวิธีในการควบคุมการชุมนุมประท้วงให้นานที่สุดเท่าที่จะ เป็นไปได้ และเล่นตามบทไปเรื่อยๆ จากมุมมองของมูบารัก รองประธานาธิบดีโอมาร์ ซุไลมาน เสนาธิการ ซามี อันนัน และคนอื่นๆ ที่ยังคงเกาะเกี่ยวอำนาจเอาไว้วันต่อวันมีโอกาสในการทำให้กลุ่ต่อต้านอ่อนแรงลงและทำให้พวกเขารู้สึกมีการผูกมัดต่อการประท้วงน้อยลง เป็นเรื่องน่าแปลกใจหรือไม่ที่สุไลมานเริ่มพูดถึงการปรับปรุงรัฐธรรมนูญ ผู้นำกองทัพอาวุโสเชื่อว่าเขาจะอุ้มรัฐบาลไว้ได้ พวกเขาหลงผิดไปเอง? อาจจะเป็นเช่นนั้น แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่น่าแปลกใจเลยในการทำให้เห็นความเกี่ยวข้องกันอย่างลึกซึ้งกับรัฐบาล

อันดับที่ 4

หากมีคนสงสัยล่ะก็ สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ได้เผยให้เห็นแล้วว่ากองทัพคือแกนหลักจริงๆ ของรัฐบาล พรรคเนชันแนลเดโมเครติกไม่มีความหมายอีกแล้ว บริษัทใหญ่ๆ ก็หนีออกไปหมด ส่วนหน่วยงานตำรวจ (ยังจำข้อถแเถียงเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าตำรวจพยายามเข้ามามีบทบาทแทนที่ทหารได้หรือไม่) นั้นก็ล่มสลายไปแล้ว มีเพียงกองทัพเท่านั้นที่เหลืออยู่และดูเหมือนจะไม่อยากขยับออกไปไหนเลย เรากำลังเข้าไปในพื้นที่เรื่องความหมายในการดำรงอยู่ ผลที่เกิดตามมาอาจทำให้เกิดภาวะคุมเชิงกัน ซึ่งในขณะที่กองทัพไม่ใช้กำลังใดๆ หน่วยข่าวของสุไลมานก็คอยทำให้ฝ่ายผู้ต่อต้านแตกแยกกัน คนพวกนี้ถึงจะโหดแต่ก็ไม่ได้โง่

อันดับที่ 5

การสืบทอดอำนาจกำลังมีการดำเนินการอย่างลับๆ อยู่แล้ว การแต่งตั้งสุไลมานเป็นรองประธานาธิบดีเป็นเพียงการย้ำให้เห้นว่าทางสถาบันกองทัพไม่ยอมสละอำนาจอย่างไม่เป็นทางการที่พวกเขามีเชื่อมโยงกับประธานาธิบดีและรัฐบาล หากพวกเขาจัดการกับความยุ่งยากในตอนนี้ได้ พวกเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจควบคุมอยู่ตอนนี้อาจจะสถาปนาให้สุไลมานและอัลเมด ชาฟีค นายกรัฐมนตรคนใหม่ผู้เป็นเจ้าหน้าที่ทหารอากาศ (เช่นเดียวกับมูบารัก) เป็นผู้นำอิยิปต์คนต่อไป สิ่งสำคัญในตอนนี้คือการจัดการฉากลงจากตำแหน่งของมูบารัก ซึ่งต้องทำให้ดูสง่างามที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เพื่อเกียรติยศแล้ว ผู้มีอำนาจเหล่านี้ไม่มีหนทางอื่น

..................................

[1] - กามาล อับเดล นาซเซอ เป็นประธานาธิบดีคนที่ 2 ของอิยิปต์ ผู้ร่วมมือกับมูฮัมหมัด นาจิบ-ประธานาธิบดีคนแรก ในการปฏิวัติโค่นล้มระบอบกษัตริย์ในอิยิปต์และซูดาน โดยตั้งกลุ่มขบวนการฟรีออฟฟิศเซอร์ (คณะข้าราชการเสรี) ที่มีการรวมตัวกันของเจ้าหน้าที่กองทัพรุ่นใหม่ในการปฏิบัติการ หลังจากที่อิยิปต์พ่ายแพ้ในสงคราม อาหรับ-อิสราเอล เมื่อปี 1948 รวมถึงการเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก (The Great Depression) ซึ่งส่งผลต่อตะวันออกกลาง รวมถึงการที่กลุ่มอำนาจใหญ่ในตะวันออกกลางพยายามขจัดความก้าวหน้าด้านเศรษฐกิจของประเทศ จึงมีกลุ่มทางการเมืองออกมาเคลื่อนไหวเพื่อทำให้เกิดรัฐสมัยใหม่ซึ่งสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ที่มา
Five Things You Need to Know about the Egyptian Armed Forces, Steven A. Cook, Council on Foreign Relations (Blog), 31-01-2011
http://blogs.cfr.org/cook/2011/01/31/five-things-you-need-to-know-about-the-egyptian-armed-forces/

ข้อมูลเพิ่มเติมจาก
http://en.wikipedia.org/wiki/Gamal_Abdel_Nasser , เข้าดูเมื่อวันที่ 2 ก.พ. 2554
http://en.wikipedia.org/wiki/Free_Officers_Movement , เข้าดูเมื่อวันที่ 2 ก.พ. 2554

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

คปท.แถลงกรณีสวนป่าคอนสาร - เตรียมเดินทางเข้ากรุง 3 ก.พ.นี้

Posted: 02 Feb 2011 06:18 AM PST

เครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสานเตรียม  “เดินเท้าทางไกล เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม จากคอนสาร ถึง กรุงเทพฯ”  ตั้งแต่วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2554 เป็นต้นไป เพื่อเร่งรัดให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาตามผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง

2 ม.ค. 54 - เครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสานเตรียม  “เดินเท้าทางไกล เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม จากคอนสาร ถึง กรุงเทพฯ”  ตั้งแต่วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2554 เป็นต้นไป เพื่อเร่งรัดให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาตามผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมดที่ผ่านมา คือ ให้คณะรัฐมนตรีมีมติยกเลิกสวนป่าคอนสาร จากนั้นนำที่ดินมาจัดสรรแก่ประชาชนผู้เดือดร้อน ส่วนปัญหาคดีความให้ ออป. ในฐานะโจทก์ ดำเนินการถอนการบังคับคดีกับชาวบ้านทั้งหมด

นอกจากนี้ยังได้ออกแถลงการณ์ “ยกเลิกสวนป่าคอนสาร  คืนสิทธิที่ดินให้กับประชาชน” โดยมีรายละเอียดดังนี้ ...
 

 

แถลงการณ์เครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน ฉบับที่ 1

“ยกเลิกสวนป่าคอนสาร  คืนสิทธิที่ดินให้กับประชาชน”
 

ตลอด ระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา เครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน ได้ใช้กรอบนโยบายการจัดการที่ดินในรูปแบบของ “โฉนดชุมชน”  ซึ่งมีหลักการสำคัญในการสร้างความมั่นคงในการถือครองที่ดินของเกษตรกร และการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทที่ดินระหว่างหน่วยงานรัฐกับประชาชน ในบางกรณีมีความคืบหน้าเป็นลำดับ แต่มีหลายกรณีที่เป็นไปในลักษณะตรงกันข้าม หรือเกิดความล่าช้า และที่สำคัญที่สุดคือ ในบางพื้นที่มีการข่มขู่ คุกคาม ดำเนินคดีกับชาวบ้านผู้เดือดร้อน ซึ่งถือเป็นอุปสรรคต่อการทำงานอย่างยิ่ง

ใน กรณีปัญหาข้อพิพาทที่ดินสวนป่าคอนสาร  อำเภอคอนสาร  จังหวัดชัยภูมิ ระหว่างชาวบ้านผู้เดือดร้อนกับองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (ออป.) ซึ่งยืดเยื้อมาเป็นเวลานาน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2521 จนกระทั่งปัจจุบัน ชาวบ้านได้เข้าไปทำประโยชน์ในพื้นที่พิพาท  ในวันที่  17  กรกฎาคม  พ.ศ. 2552 และองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (ออป.) ได้ฟ้องร้องดำเนินคดีกับชาวบ้านและที่ปรึกษาเครือข่าย จำนวน  31  ราย ในความแพ่ง  ข้อหาขับไล่ ปัจจุบันศาลได้ออกหมายบังคับคดีและมีการเตรียมการที่จะขับไล่ชาวบ้านออกจาก พื้นที่พิพาทแล้ว ในขณะที่กระบวนการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอยู่ระหว่างดำเนินการ โดยมีความเห็นชอบจากนายสาทิตย์  วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้กันพื้นที่จำนวนประมาณ 1,500 ไร่ มาจัดการในรูปแบบโฉนดชุมชน แต่ในปัจจุบัน ยังไม่มีการปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าว

เครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาค อีสาน ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า หากปล่อยให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น และดำรงอยู่ต่อไป ย่อมจะนำไปสู่ปัญหาความรุนแรงยากที่จะแก้ไขได้ จึงกำหนดการ “เดินเท้าทางไกล เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม จากคอนสาร ถึง กรุงเทพฯ”  ตั้งแต่วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2554 เป็นต้นไป โดยรัฐบาลต้องตัดสินใจแก้ไขปัญหาตามผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมดที่ผ่าน มา กล่าวคือ ให้คณะรัฐมนตรีมีมติยกเลิกสวนป่าคอนสารโดยเด็ดขาด จากนั้นให้นำที่ดินมาจัดสรรแก่ประชาชนผู้เดือดร้อน ส่วนปัญหาคดีความให้ ออป. ในฐานะโจทก์ ดำเนินการถอนการบังคับคดีกับชาวบ้านทั้งหมด

ในการ นี้เครือข่ายฯ จึงเรียนมายังพี่น้องประชาชนผู้รักความเป็นธรรมทั้งหลาย เพื่อร่วมสนับสนุนการเดินทางครั้งนี้ ให้บรรลุผลตามเจตนารมณ์ ต่อไป

ด้วยจิตคารวะ
เครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

นักสิทธิฯ จี้ กก.สิทธิฯ ถาม รบ. ใยไม่ให้ชาวปากีฯ ลี้ภัย

Posted: 02 Feb 2011 05:53 AM PST

2 ก.พ. 54 - เครือข่ายสิทธิผู้ลี้ภัยภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค (Asia Pacific Refugee Rights Network หรือ  APRRN) กำหนดเข้ายื่นหนังสือต่อ  ศาสตราจารย์อมรา  พงศาพิชญ์  ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และขอปรึกษาประเด็นเรื่องความกังวลของเครือข่าย  กรณีรัฐบาลปฏิเสธสิทธิมนุษยชนของผู้ขอลี้ภัยและผู้ลี้ภัยชาวปากีสถาน  ในวันพฤหัสบดีที่  ๓ กุมภาพันธ์  ๒๕๕๔ เวลา ๑๓.๓๐ น. ณ ห้องประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ  ชั้น ๗  สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ  ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ  ๘๐ พรรษาฯ ถนนแจ้งวัฒนะ

สืบเนื่องจากวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๓ ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองได้เข้าจับกุมกลุ่มผู้ขอลี้ภัยและผู้ลี้ภัยชาวปากีสถานซึ่งนับถือศาสนาอิสลามนิกายอะห์มาดีจำนวนกว่า ๘๖ คน ผู้ซึ่งได้เข้ามาในประเทศไทยเพื่อเพื่อแสวงหาความคุ้มครองจากการประหัตประหารในประเทศปากีสถาน

ภัยประหัตประหารต่อผู้เชื่อนิกายอะห์มาดีในประเทศปากีสถานนั้นรุนแรงอย่างยิ่งและก่อการอย่างเป็นระบบตลอดมา อนึ่งประเทศปากีสถานเป็นเพียงรัฐเดียวที่มีประกาศอย่างเป็นทางการว่าผู้เชื่อนิกายอะห์มาดีมิใช่ชาวมุสลิมและสามารถถูกประหัตประหารได้ ดังนั้น บุคคลเหล่านี้จึงถูกคาดโทษจากการปฏิบัติตามศาสนาของตนซึ่งเป็นการขัดต่อสิทธิมนุษยชนอย่างชัดแจ้ง บุคคลเหล่านี้ได้เข้ามาในประเทศไทยเพื่อเพื่อแสวงหาความคุ้มครองจากการประหัตประหารในประเทศปากีสถาน และได้ลงทะเบียนเพื่อเข้ารับการพิสูจน์สถานะผู้ลี้ภัย ซึ่งดำเนินการโดยสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอชซีอาร์) ในประเทศไทย

ในกลุ่มของผู้ที่ถูกกักกันตัวมีผู้เยาว์ประมาณ ๓๐ ราย ผู้เยาว์อายุต่ำกว่า ๑๐ ปี เป็นจำนวน ๑๔ ราย นอกจากนี้ยังมีหญิงตั้งครรภ์ ๙ เดือน จำนวน ๑ คน รวมถึงบุคคลอื่นๆ ซึ่งมีโรคประจำตัว อาทิเช่น โรคความดันสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และ โรคระบบทางเดินหายใจ

จากรายงานล่าสุด ทางเครือข่ายได้รับรายงานมาว่า ผู้ถูกกักกันจำนวนประมาณ ๓๖ คนได้ถูกผลักดันกลับไปยังประเทศปากีสถานแล้ว ซึ่งขัดต่อหลักการไม่ผลักดันกลับตามกฏหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ ซึ่งมีใจความสำคัญว่าว่า รัฐจะไม่ขับไล่หรือผลักดันผู้ลี้ภัย  ไม่ว่าจะโดยลักษณะใด ๆ ไปยังชายเขตแห่งดินแดน ซึ่ง ณ ที่นั้น ชีวิตหรืออิสรภาพของผู้ลี้ภัยอาจได้รับการคุกคาม ด้วยสาเหตุทางเชื้อชาติ ศาสนา สัญชาติ สมาชิกภาพของกลุ่มสังคมเฉพาะหรือความคิดเห็นทางการเมือง

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เปิดแผน 10 ปีกองทัพผูกพัน "ล้านล้าน" ชงซื้ออาวุธอื้อ

Posted: 02 Feb 2011 05:39 AM PST

เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจเผย กลาโหมชงแผนพัฒนากองทัพ 10 ปี เผยงบผูกพันพุ่งทะลุ "ล้านล้าน" ตั้งซื้ออาวุธเพียบ ทบ.นำโด่งเฉียด "5 แสนล้าน"

2 ก.พ. 54 - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจรายงานว่า ในขณะที่รัฐบาลกำลังเตรียมจัดทำแผนงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2555 ฝ่ายกองทัพ โดยสำนักงานนโยบายและแผน กระทรวงกลาโหม ก็ได้ดำเนินการจัดทำร่าง "แผนพัฒนาขีดความสามารถกระทรวงกลาโหม ปี 2554-2563" (Modernization Plan : Vision 2020) และนำเสนอร่างดังกล่าวในการประชุมสภากลาโหมครั้งที่ 1/2554 ณ ห้องภาณุรังษี ศาลาว่าการกลาโหม เมื่อวันที่ 26 ม.ค.ที่ผ่านมา
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แผนพัฒนาขีดความสามารถดังกล่าว นำเสนอโดย พล.ต.ชัยชาญ ช้างมงคล ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักนโยบาย และแผนกลาโหม โดยในร่างเอกสารบรรยายสรุประบุว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม อนุมัติให้สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม กองบัญชาการกองทัพไทย และเหล่าทัพต่างๆ จัดทำแผนพัฒนาในห้วงระยะเวลา 10 ปี เพื่อใช้เป็นพื้นฐานในการพัฒนาเสริมสร้างหน่วยให้มีความสมบูรณ์ พร้อมรบ โดยพิจารณาวางแผนภายใต้กรอบวงเงินงบประมาณที่คาดการณ์ว่า สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม กองทัพไทย และเหล่าทัพ จะได้รับจัดสรรในห้วงระยะเวลา 10 ปี

คำบรรยายสรุประบุด้วยว่า "จากการประมาณการของสำนักงบประมาณกลาโหมบนสมมุติฐานที่จะได้รับการสนับสนุน งบประมาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปีจนถึงปีงบประมาณ 2563 กระทรวงกลาโหมจะได้รับการสนับสนุนงบประมาณคิดเป็นร้อยละ 2 ของจีดีพี"

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า สำหรับการตั้งเป้าหมายได้รับการสนับสนุนงบประมาณให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 2 ของจีดีพี มีแรงผลักดันจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม และพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีตผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) มาโดยตลอด โดยให้เหตุผลว่า ประเทศเพื่อนบ้านมีการเพิ่มงบประมาณทางการทหารเมื่อเทียบกับสัดส่วนจีดีพี อย่างต่อเนื่อง หากประเทศไทยยังคงสัดส่วนงบประมาณทางการทหารเมื่อเทียบกับจีดีพีในระดับต่ำ จะไม่สามารถสร้างดุลอำนาจกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีการเสริมกำลังรบอย่างต่อ เนื่องได้
 
ทั้งนี้คาดว่าจะมีงบประมาณที่สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม กองบัญชาการกองทัพไทย และเหล่าทัพ(กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ) ได้รับจัดสรรสำหรับดำเนินโครงการทั้งสิ้น 670,571.9 ล้านบาท แบ่งเป็น งบโครงการปกติ ร้อยละ 40 จำนวน 268,228.7 ล้านบาท และงบโครงการเสริมสร้างกำลังกองทัพ ร้อยละ 60 จำนวน 402,343.2 ล้านบาท
 
สำหรับร่างแผนพัฒนาขีดความสามารถกระทรวงกลาโหม ปี 2554-2563 ได้กำหนดความต้องการโครงการพัฒนา และจัดหายุทโธปกรณ์หลักของกระทรวงกลาโหม แบ่งเป็นความต้องการระดับสูงสุด 332 โครงการ วงเงิน 1,307,731.413 ล้านบาทและความต้องการระดับต่ำสุด  301 โครงการ วงเงิน 770,392.413 ล้านบาท ซึ่งความต้องการดังกล่าว ประกอบด้วย
 
1.ความต้องการโครงการในส่วนของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม 33 โครงการ วงเงิน 14,753.923 ล้านบาท โดยแบ่งโครงการออกเป็น 3 ด้าน ดังนี้ 1.1 โครงการด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และพลังงานทหาร 16 โครงการ วงเงิน 9,109.923 ล้านบาท 1.2 โครงการด้านวิทยาศาตร์ และเทคโนโลยีป้องกันประเทศ 3 โครงการ วงเงิน 1,394 ล้านบาท 1.3 โครงการด้านกิจการอวกาศ เทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร 14 โครงการ วงเงิน 4,250 ล้านบาท
 
2.ความต้องการยุทโธปกรณ์หลักของกองทัพไทย ซึ่งได้กำหนดขีดความสามารถที่ต้องการ และกำหนดความต้องการยุทโธปกรณ์หลักของกองทัพไทย โดยแบ่งความต้องการออกเป็นความต้องการระดับสูงสุด และความต้องการระดับต่ำสุด 2.1 ความต้องการระดับสูงสุด 299 โครงการ วงเงิน 1,292,977.49 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการของกองบัญชาการกองทัพไทย 32 โครงการ วงเงิน 30,022.24 ล้านบาท โครงการของกองทัพบก 157 โครงการ วงเงิน 497,358 ล้านบาท โครงการของกองทัพเรือ 48 โครงการ วงเงิน 325,523 ล้านบาท และโครงการของกองทัพอากาศ  62 โครงการ วงเงิน 440,074.25 ล้านบาท
 
2.2 ความต้องการระดับต่ำสุด 268 โครงการ วงเงิน 755,638.49 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการของกองบัญชาการกองทัพไทย 27 โครงการ วงเงิน 18,567.39 ล้านบาท โครงการของกองทัพบก 137 โครงการ วงเงิน 273,664 ล้านบาท โครงการของกองทัพเรือ 41 โครงการ วงเงิน 176,153 ล้านบาท และโครงการของกองทัพอากาศ 63 โครงการ วงเงิน 287,254.1 ล้านบาท
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แผนพัฒนาขีดความสามารถดังกล่าว มีโครงการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ และการจัดตั้งหน่วยทหารขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นที่จับตาของกลุ่มการเมืองฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลอย่างมาก โดยเฉพาะโครงการจัดตั้ง พล.ร.7 ในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน และ พล.ม.3 ในพื้นที่ภาคอีสาน ที่ทางกองทัพให้เหตุผลว่าเป็นการจัดตั้งตามยุทธศาตร์ป้องกันประเทศเพื่อให้ ดุลอำนาจด้านกำลังรบทัดเทียมกับประเทศเพื่อนบ้านทางทิศตะวันตก และตะวันออก แต่ฝ่ายการเมืองตรงข้ามมองว่าเป็นการหวังผลทางการเมือง โดยเฉพาะการเพิ่มกำลังเพื่อควบคุมความเคลื่อนไหวของกลุ่มมวลชนเสื้อแดงที่มี อยู่อย่างหนาแน่นในพื้นที่ภาคเหนือ และอีสาน อันเป็นฐานคะแนนเสียงของพรรคเพื่อไทยด้วย
 
ทั้งนี้สำหรับที่ตั้งกองบัญชาการ(บก.) ของ พล.ร.7 จะมีการปรับจากฐานที่ตั้งเดิมของค่ายกรมรบพิเศษที่ 5 อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ส่วนที่ตั้ง บก.พล.ม.3 จะปรับจากฐานที่ตั้งเดิมของค่ายกรมทหารม้าที่ 6 อ.เมือง จ.ขอนแก่น ขณะที่โครงการจัดหายุทโธปกรณ์ของแต่ละเหล่าทัพภายใต้วงเงินงบประมาณจำนวนมาก ก็เป็นที่น่าจับตาเช่นกัน
 
โดยกองทัพบก มีโครงการจัดหายานเกราะล้อยาง รุ่นบีทีอาร์ 3 อี 1 จากประเทศยูเครน เฟสที่ 2 จำนวน 121 ด้วยวงเงินเกือบ 5,000 ล้านบาท ทั้งที่มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่ายานเกราะล้อยางเฟสที่ 1 จำนวน 96 คัน ยังไม่ได้รับการส่งมอบ และเลื่อนนัดส่งมอบมาแล้วหลายครั้ง เนื่องจากการเปลี่ยนสเป็คเครื่องยนต์ ทั้งยังมีการพัฒนาระบบเฝ้าตรวจชายแดน ระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ ระบบป้องกันภัยทางอากาศ เป็นต้น
 
ส่วนกองทัพเรือ น่าจับตาว่าอาจมีการการจัดหาเรือดำน้ำ ซึ่งกองทัพเรือเสนอความต้องการมานาน แต่เนื่องจากต้องใช้งบประมาณมหาศาล จึงไม่ได้รับการอนุมัติ ประกอบกับข้อสังเกตว่าระดับน้ำที่ตื้นของอ่าวไทย อาจไม่เหมาะต่อการปฏิบัติภารกิจของเรือดำน้ำ นอกจากนี้ ยังมีโครงการปรับปรุง ร.ล.จักรีนฤเบศร การจัดหาเรือฟริเกต ฮ.ประจำเรือ เครื่องบินโจมตีผิวน้ำ ฯลฯ ที่ต้องใช้งบประมาณมหาศาล
 
สำหรับกองทัพอากาศ มีโครงการขนาดใหญ่ คือ การจัดหาเครื่องบินขับไล่เอนกประสงค์ ทดแทนเครื่องบินขับไล่แบบ 18 ก/ข (กริพเพน) (ระยะที่ 2) จำนวน 6 ลำ วงเงิน 16,222 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2554-2558 รวมทั้งโครงการปรับปรุงขีดความสามารถ(อัพเกรด) เครื่องบินเอฟ 16 จำนวน 6 ลำ วงเงิน 6,900 ล้านบาท ซึ่งตั้งเป็นงบผูกพันตั้งแต่ปีงบประมาณ 2554-2556 เป็นต้น

ด้านกองบัญชาการกองทัพไทย นอกจากการตั้งงบประมาณในภารกิจช่วยเหลือ และบรรเทาสาธารณภัยแล้ว น่าสังเกตว่า มีการตั้งงบประมาณเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการต่อต้านการก่อการร้ายสากล การปฏิบัติการด้านการข่าว และการต่อต้านข่าวกรองเพิ่มเติมด้วย

ที่มาข่าว: กรุงเทพธุรกิจ
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

11 ส.ส.อังกฤษ ลงชื่อหนุน ผอ.ประชาไท เตือน รบ.ไทย ส่อลิดรอนเสรีภาพ ปชช.

Posted: 02 Feb 2011 01:31 AM PST

กรณีมีการดำเนินคดีในข้อหาตาม พ.ร.บ.การกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ กับ น.ส.จีรนุช เปรมชัยพร ผู้อำนวยการเว็บไซต์ข่าวประชาไท ที่อังกฤษ มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 11 คนลงชื่อสนับสนุนกระทู้สั้นเกี่ยวกับคดีดังกล่าว ในช่วงวันที่ 10 มิถุนายน 2553 – 5 กรกฎาคม 2553

สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหราชอาณาจักรจำนวน 11 คน จาก 3 พรรคการเมืองใหญ่ ได้ลงชื่อสนับสนุนกระทู้สั้น (Early Day Motions) ที่เสนอโดย นายทอม วัตสัน (Tom Watson) ส.ส.พรรคแรงงาน ซึ่งแสดงความเป็นห่วงการดำเนินคดีกับ จีรนุช เปรมชัยพร ผู้อำนวยการเว็บไซต์ข่าวประชาไท ผู้ซึ่งถูกดำเนินคดีในข้อหาตาม พ.ร.บ.การกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ ว่า การกระทำดังกล่าวจะทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยในด้านสิทธิเสรีภาพตกต่ำลง นอกจากนี้ยังได้แสดงความไม่เห็นด้วยกับมาตรการปิดกั้นเว็บไซต์นับพันเว็บของรัฐบาลไทย และขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยทบทวนมาตรการและสถานการณ์การลิดรอนเสรีภาพของประชาชนดังกล่าว โดยกระทู้ดังกล่าวมีความว่า

"สภาผู้แทนราษฎรขอตั้งข้อสังเกต ในเรื่องเกี่ยวกับกรณีของ จีรนุช เปรมชัยพร ผู้อำนวยการเว็บไซต์ข่าวประชาไท ผู้ซึ่งถูกดำเนินคดีในข้อหาตาม พ.ร.บ.การกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ ในประเทศไทย เพราะลบข้อความวิจารณ์สถาบันกษัตริย์ของบุคคลที่สามออกไม่เร็วพอ ซึ่งถ้าจีรนุชถูกพิพากษาว่ามีความผิด อาจถูกตัดสินจำคุกสูงสุดถึง 50 ปี

"สภาผู้แทนราษฎรเชื่อว่า การกระทำนี้อาจทำให้ประเทศไทยได้ชื่อว่า ไม่มีความอดทนอดกลั้นต่อการใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชน และยังเสี่ยงที่จะสร้างบรรยากาศแห่งความกลัว นอกจากนี้ สภายังตั้งข้อสังเกตอีกด้วยว่า กฎหมายดังกล่าว ได้นำมาสู่การปิดกั้นเว็บไซต์หลายพันเว็บในประเทศไทย สภาผู้แทนราษฎรต่อต้านการปิดกั้นเว็บไซต์และการเซ็นเซอร์ และขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยทบทวนสถานการณ์ดังกล่าว"

ลงนามระหว่างวันที่ 10 มิถุนายน 2553 – 5 กรกฎาคม 2553

ดูรายละเอียดเกี่ยวกับกระทู้สั้นดังกล่าวได้ที่ http://www.edms.org.uk/2010-2011/198.htm

 

ทั้งนี้ ศาลอาญานัดสืบพยาน คดีที่ นางสาวจีรนุช เปรมชัยพร ผู้อำนวยการหนังสือพิมพ์ออนไลน์ประชาไท เป็นจำเลย และสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 8 สำนักงานอัยการสูงสุดกรณี เป็นโจทก์ฟ้อง ในคดีการเอาผิดกับตัวกลาง (Intermediary) ในข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์2550 มาตรา 15 ในฐานะผู้ดูแลเว็บบอร์ดได้จงใจสนับสนุนหรือยินยอมให้มีการดำเนินการนำข้อความที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงแห่งชาติเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งอยู่ในความควบคุมของตนเอง

 

วันนัดสืบพยาน:

สืบพยานโจทก์ ในวันที่ 4, 8, 9, 10 กุมภาพันธ์ ช่วงเวลา 9.00- 12.30 และ 13.30 - 16.00 น.

สืบพยานจำเลย ในวันที่ 11, 15, 16, 17 กุมภาพันธ์ ช่วงเวลา 9.00- 12.30 และ 13.30 - 16.00 น.

ที่ ศาลอาญา รัชดา ห้อง 703

 

ภูมิหลัง คดีกองปราบ

จีรนุช เปรมชัยพร ผู้อำนวยการและผู้ดูแลเว็บบอร์ดของหนังสือพิมพ์ออนไลน์ประชาไท http://www.prachatai.com/webboard ซึ่งถูกกองปราบปรามจับกุมดำเนินคดีเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2552 ด้วยข้อกล่าวหาตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 15 เนื่องเพราะไม่ได้ลบข้อความในเว็บบอร์ด ที่เข้าข่ายขัดต่อกฎหมายดังกล่าว ภายในเกณฑ์เวลาที่เจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งไว้ ในขณะที่จีรนุชได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาและยืนยันเจตนาบริสุทธิ์ เนื่องจากได้ลบข้อความดังกล่าวออกทันทีที่ได้รับแจ้ง และได้ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติตามกฎหมายตลอดมา

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น