โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันอาทิตย์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

"พิพิธภัณฑ์แรงงานไทย" สัญจรพบแรงงานนอกระบบที่เชียงใหม่

Posted: 20 Feb 2011 10:05 AM PST

"พิพิธภัณฑ์แรงงานไทย" จัดเวทีสัญจรเชียงใหม่ "วรวิทย์ เจริญเลิศ" ชี้ยังมีแรงงานนอกระบบจำนวนมากที่เข้าไม่ถึงระบบประกันสังคม เรียกร้องให้รัฐขยายสิทธิให้แรงงานนอกระบบได้รับการคุ้มครอง ด้านผู้แทนจากเครือข่ายแรงงานนอกระบบเชียงใหม่เรียกร้องให้แรงงานสังคมได้รับสิทธิเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 พ.ร.บ.ประกันสังคม

เมื่อเวลา 17.00 น. วานนี้ (20 ก.พ. 54) ที่ลานประตูท่าแพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ พิพิธภัณฑ์แรงงานไทย ได้จัดกิจกรรมสัญจรที่ จ.เชียงใหม่ ซึ่งมีกิจกรรมแสดงดนตรีของวงภราดร และเวทีเสวนาประชาธิปไตยกับผู้ใช้แรงงาน ในงานมีการฉายภาพยนตร์เรื่องแรงงาน เพื่อให้ประชาชนรับรู้สิทธิประชาธิปไตย และสร้างความเข้าใจในแรงงานนอกระบบ ต่อผู้ค้าถนนคนเดิน จ.เชียงใหม่ด้วย

โดยในช่วงเวทีเสวนาประชาธิปไตยกับผู้ใช้แรงงาน มีวิทยากรประกอบด้วย รศ.ดร.วรวิทย์ เจริญเลิศ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นายดนัย สารพฤกษ์ ผู้อำนวยการส่วนส่งเสริมสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม นางคะนึงนิตย์ อายุมั่น สมาชิกสภาพัฒนาการเมืองจังหวัดเชียงใหม่ นางสาวดวงเดือน คำไชย ที่ปรึกษาเครือข่ายแรงงานนอกระบบภาคเหนือ นางไพรินทร์ เจนตระกูล เครือข่ายแรงงานนอกระบบจังหวัดเชียงใหม่ และนางสาวรัชนี นิลจันทร์ เป็นผู้ดำเนินรายการ

รศ.ดร.วรวิทย์ เจริญเลิศ อภิปรายว่า แรงงานในระบบ คือ มีนายจ้าง กับลูกจ้าง ในสถานประกอบการ มีจำนวน 7 ล้านคน ส่วนแรงงานนอกระบบซึ่งประกอบอาชีพอิสระ ค้าขาย การเกษตร และค้าปลีก ซึ่งไม่ได้อยู่ในโรงงาน โดยคนทำงานถนนคนเดิน ก็เป็นแรงงานนอกระบบ เป็นคนที่ทำงานในครอบครัว และทำอาชีพอิสระค้าขาย มีราว 24 ล้านคน และคนส่วนใหญ่ไม่ได้รับการคุ้มครองจากประกันสังคม และรัฐต้องขยายประกันสังคมให้แรงงานนอกระบบได้รับการคุ้มครอง ซึ่งแรงงานร่วมผลักดันให้แรงงานนอกระบบเข้าถึงสิทธิ

โดยแรงงานอยู่ในระบบที่สภาออกกฎหมายคุ้มครอง สร้างอำนาจต่อรอง โดยแรงงานต้องมีสิทธิเลือกตั้งในที่ทำงาน ไม่ต้องกลับไปภูมิลำเนา ทำให้พวกพรรคการเมืองสนใจทำนโยบายสอดคล้องปัญหาแรงงาน แล้วยอมหาข้อมูลเพื่อออกนโยบายด้านแรงงาน

นายดนัย สารพฤกษ์ กล่าวว่า เคยทำงานเทศบาลตำบลบ้านกลาง ใกล้นิคมอุตสาหกรรมลำพูน ซึ่งพบว่าคนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าแรงงานนอกระบบไม่ใช่แรงงานต่างด้าว และเทศบาลตำบล ก็เกี่ยวกับ อสม. ภาคชนบท อาชีพจักสานสินค้า OTOP ก็เกี่ยวกับแรงงานนอกระบบทั้งนั้น ซึ่งแรงงานนอกระบบเป็นกลุ่มทางสังคม ทั้งอาชีพอิสระ เปิดร้านอาหาร อู่ซ่อมรถ

โดยองค์กรท้องถิ่น หรือเทศบาลก็เปิดให้แรงงานนอกระบบมีส่วนร่วมทั้งในชุมชนของแผนงานเทศบาล และแผนงานร่วม 2 ด้าน หนึ่ง เลี้ยงวัว รวมกลุ่มสามารถหาทุน อบป.ได้ สอง เงินกิจกรรมร่วมจากระเบียบกลุ่มทางสังคม โดยจดทะเบียนก่อนกับ อบจ. และกิจกรรมกลุ่มในชุมชน ก็มีส่วนร่วม ทั้งสิทธิทางสุขภาพ กับองค์กรการปกครองท้องถิ่น

นางคะนึงนิตย์ อายุมั่น ชี้แจงว่า การทำงานของสภาพัฒนาการเมือง ทำให้ชุมชนรู้ปัญหาเสนอแนวทงแก้ไขปัญหาท้องถิ่น โดยสภาองค์กรท้องถิ่น ร่วมกับคณะกรรมการปฏิรูปประเทศไทย ซึ่งสมาชิกสภาพัฒนาการเมืองช่วยแก้ไขปัญหาระดับอำเภอ และระดับจังหวัด ซึ่งคนส่วนใหญ่ต้องรู้ว่าขยับพัฒนาองค์กรชุมชน และแรงงานนอกระบบเป็นเจ้าของประเทศ ทำขั้นตอนเสนอชี้แจงข้อกฎหมาย ที่ติดขัด เพราะส่วนมากชาวไร่ ชาวนา ก็ไม่รู้ว่าตนเองเป็นแรงงานนอกระบบ โดยสภาองค์กรชุมชน ก็ต้องร่วมมือกับชาวบ้าน และเครือข่ายแรงงานนอกระบบ ในการวิเคราะห์ สังเคราะห์ต่อปัญหาสู่รัฐสภา

นางสาวดวงเดือน คำไชย กล่าวว่า ประชาธิปไตยเป็นการปกครองของประชาชนเพื่อประชาชน โดยแรงงานต่อรองการเมืองยาก คือ เรื่องประกันสังคม ซึ่งแรงงานนอกระบบ ไม่ได้รับการสนใจ ถ้าชาวบ้านสนใจสิทธิประกันสังคม ไม่ใช่แค่แค่บัตรทองรักษาทุกโรค และเราต่อสู้เรียกร้องสิทธิฟาดฟันมาตลอด ชวนคนมาให้มีสิทธิได้ ตามมาตรา 40 โดยแรงงานนอกระบบ คือ แม่ค้า ชาวนา จะเข้าถึงแหล่งทุนของประกันสังคม

นางไพรินทร์ เจนตระกูล กล่าวว่า แรงงานนอกระบบต้องรู้ตัวเองว่า เราเป็นแรงงานนอกระบบ ซึ่งมีสิทธิประชาธิปไตย และแรงงานนอกระบบต้องรู้เรื่องสิทธิ การรักษาพยาบาล ในสาธารณสุขจังหวัด ดูแลสุขภาพแรงงานนอกระบบ เหมือนการพัฒนาของบัตรทอง ซึ่งประกันสังคมออกมา จะต้องทำการประกันตนเอง โดยเรื่องสิทธิของการประกันสังคม ในกรณีเจ็บป่วย มีค่าชดเชยรายวัน ค่าคลอดบุตร ค่าทุพลภาพพิการ ค่าเสียชีวิต ค่าบำนาญชราภาพ และสิทธิประกันต้องรณรงค์ช่วยกันดำเนินการให้ประกันสังคมตามมาตรา 40 พ.ร.บ.ประกันสังคม สำหรับแรงงานนอกระบบ

ทั้งนี้ ผู้ค้าถนนคนเดิน ช่วงข่วงประตูท่าแพ ได้ร่วมรับฟังเวทีเสวนาดังกล่าว และได้ร่วมแลกเปลี่ยน ในประเด็นเรื่องแรงงานนอกระบบด้วย

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ทีมข่าวการเมือง: สำรวจทิศทาง เหลือง-แดง ในสุดสัปดาห์แห่งการชุมนุม

Posted: 20 Feb 2011 09:44 AM PST

ไม่เพียงประเด็นการเมืองภายในประเทศเท่านั้นที่ทั้ง 2 ฝ่ายต่างมีวาระของตัวเองในการโจมตีรัฐบาล แต่การเมืองที่เกี่ยวกับการระหว่างประเทศ ก็เป็นประเด็นที่ทั้ง 2 สี ต่างมีอยู่ในมือ เพื่อชี้แจงต่อมวลชน 

วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2554 เป็นอีกวันที่ถนนราชดำเนิน รองรับผู้ชุมนุม ทั้ง 2 สี ในเวลาเดียวกัน แตกต่างกันเพียงบริเวณไหน รองรับสีใด และรูปแบบในการชุมนุม ที่กลุ่มหนึ่งปักหลักมาหลายสัปดาห์บริเวณรอบทำเนียบรัฐบาล ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งนัดชุมนุมเดือนละ1-2 ครั้ง เดินจากจุดอื่น มาสิ้นสุดที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย บนถนนราชดำเนินเป็นจุดสุดท้าย ก่อนแยกย้ายกลับบ้าน

ระหว่างข้อเรียกร้องและวาระการรำลึกของคนเสื้อแดง ดำเนินต่อไปบนเงื่อนไขที่แกนนำเกือบทั้งหมดยังไม่ได้รับการประกันตัวออกจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ

ฝ่ายเสื้อเหลืองเอง ก็มีวาระและข้อเรียกร้องที่คล้ายกันราวกับแฝดคนละฝา เพราะนายวีระ สมความคิด และน.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูลย์ คนของฝ่ายพันธมิตรฯ ยังอยู่ในคุกของกัมพูชาเช่นเดียวกัน

ไม่เพียงประเด็นการเมืองภายในประเทศเท่านั้นที่ทั้ง 2 ฝ่ายต่างมีวาระของตัวเองในการโจมตีรัฐบาล แต่การเมืองที่เกี่ยวกับการระหว่างประเทศ ก็เป็นประเด็นที่ทั้ง 2 สี ต่างมีอยู่ในมือ เพื่อชี้แจงต่อมวลชน

ขณะที่ฝ่ายเสื้อแดง ชูหลักฐานใบเกิดนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในประเด็นสัญชาตินายกรัฐมนตรีไทย เพื่อไปสู่การดำเนินคดีในเวทีระหว่างประเทศ กรณีเหตุการณ์ทางการเมืองในช่วงเดือนเมษา-พฤษภา 2553

ส่วนพันธมิตรฯ มีประเด็นระหว่างประเทศเช่นกัน แต่มีเนื้อหาเรื่องดินแดนและความพยายามจำกัดเวทีไม่ขยายวงไปไกลเกินกว่ากลไกทวิภาคี ด้านฝ่ายแดง ใช้เนื้อหาในประเด็นสิทธิมนุษยชน และเลือกวิธีการขยายวงออกไประหว่างประเทศ เพื่อหวังผลย้อนกลับมากดดันการเมืองภายใน

บนโต๊ะแถลงข่าวของฝ่ายเสื้อเหลือง ในวันเดียวกันกับปรากฏการณ์การเคลื่อนไหวของฝ่ายเสื้อแดง จึงน่าสังเกตการหยิบยกทั้งประเด็นการเมืองภายนอกและภายในประเทศ ให้เห็นความคืบหน้าของอดีตกลุ่มมวลชนที่เคยมีผลงานล้มฝ่ายบริหารได้สำเร็จถึง 3 รัฐบาล

เริ่มที่การเมืองภายในประเทศ ตัวแทนฝ่ายเสื้อเหลือง แถลงเตรียมประชุมเพื่อกำหนดมาตรการชุมนุมใหญ่ โดย นายประพันธ์ คูณมี โฆษกคณะกรรมการรวมพลังปกป้องแผ่นดิน กล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ นายกรัฐมนตรี เป็นคนพูดเอาดีใส่ตัว แล้วก็มาโยนความชั่วให้พี่น้องผู้ชุมนุม ทั้งๆ ที่พี่น้องผู้ชุมนุม(เสื้อเหลือง)ทั้งหมด ไม่มีใครเลยไม่ช่วยคุณวีระและคุณราตรี มีแต่ทางรัฐบาลหาทางทำลายขัดขวางและไม่ช่วย และเชื่อว่าลึกๆ แล้วเป็นการวางแผนระหว่าง นายกรัฐมนตรีกัมพูชา กับฝ่ายมีอำนาจในการเมืองไทย ไม่ว่ากลุ่มเนวิน (ชิดชอบ) กลุ่มประวิตร (วงษ์สุวรรณ) กลุ่มสุเทพ (เทือกสุบรรณ) จับมือกับ ฮุน เซน ต้องการจะให้นายวีระ ถูกจองจำอยู่ตรงนั้น 

นายอภิสิทธิ์ ก็รู้ว่านายวีระ เป็นคนเปิดโปงทุจริต ที่ดินรถไฟของนายเนวิน นายวีระจึงไม่เป็นที่พอใจของพล.อ.ประวิตร ไม่เป็นที่พอใจของนายสุเทพ ทั้งหมดนี้จึงทำให้คนเหล่านั้น ไม่มีใครออกมาให้สัมภาษณ์ในทางที่จะช่วยเหลือคุณวีระเลย ในทางตรงกันข้าม มีแต่วางแผนจะหาทางให้นายวีระ ติดคุกอย่างหนัก และกัน 5 คนออกมาอย่างไร นี่คือข้อเท็จจริง ผมจึงกราบเรียนว่าพี่น้องประชาชนต้องเข้าใจ ว่านายกรัฐมนตรีเวลานี้ มีจุดยืนที่ผิดเพี้ยนบิดเบี้ยว แล้วก็ไม่มี ความรักชาติรักประชาชนอย่างที่เราคาดหวัง

จึงอยากจะกราบเรียนว่า ในเร็วๆ นี้ พี่น้องพันธมิตรประชาชน กลุ่มรวมพลังปกป้องแผ่นดิน จะประชุมปรึกษาหารือกันเพื่อเตรียมการนัดประชุม ชุมนุมกันครั้งใหญ่ เพื่อเรียกร้องกดดันรัฐบาล ว่าเมื่อเราได้ให้ข้อมูลข้อเท็จจริงประชาชนมามากพอระดับนี้แล้ว ผมเชื่อว่าวันนี้ประชาชนทั้งประเทศ ได้รับรู้แล้วและเห็นแล้วว่าพฤติกรรมของท่านนายกฯ เป็นอย่างไรและรัฐบาลเป็นอย่างไร

เราก็จะประชุมปรึกษาหารือกันเพื่อกำหนดมาตรการการเคลื่อนไหว ที่เข้มข้นและเรียกร้องให้ประชาชนออกมาเรียกร้องร่วมกันให้มากที่สุดในเรื่องนี้” นายประพันธ์กล่าว

ขณะที่ประเด็นการเมืองระหว่างประเทศ พันธมิตรฯ ย้ำประเด็นว่าฝ่ายไทยโดยกระทรวงการต่างประเทศเสียเอง ที่จ้างนักวิชาการค้นคว้าหลักฐานที่เป็นประโยชน์ต่อทางฝ่ายกัมพูชา โดย นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ กล่าวว่า นับตั้งแต่มีคำพิพากษาศาลโลกจนถึงปัจจุบัน กัมพูชาไม่เคยคิดจะยื่นเรื่องต่อศาลโลกอีก แต่ครั้งนี้กัมพูชาอาจจะนำเรื่องสู่ศาลโลก ตามมาตรา 60 เพราะกระทรวงต่างประเทศ ได้จ้างนักวิชาการมูลค่า 7.1 ล้าน มาให้ความหมายว่าศาลตัดสินได้มากไปกว่าตัวปราสาทพระวิหาร โดยพูดถึงตัวแผนที่ ด้วย อันนี้ทำให้กัมพูชาได้อ้าง กรณีงานวิจัยของ ดร.ชาญวิทย์ (เกษตรศิริ) ซึ่งเป็นผลงานของกระทรวงต่างประเทศทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ผลร้ายมันเกิดจากแรงจูงใจจากฝ่ายวิชาการ ที่กระทรวงการต่างประเทศสร้างขึ้นเองโดยตรงและกัมพูชากำลังเดินตามแนวทางนี้อย่างต่อเนื่อง

ที่สำคัญคือก่อนหน้านี้ กัมพูชา ตลอดระยะเวลา 50 ปีไม่เคยใช้เวทีศาลโลกหรือองค์การสหประชาชาติ แต่ที่กัมพูชากำลังจะทำ ได้เพราะเหตุผลเดียวคือ แผนที่มาตรา 1 ต่อ 200,000 ซึ่งไม่เคยผูกพันในเวทีไหน กลับมาผูกพันใน MOU2543 ให้มีสภาพบังคับให้ไทยและกัมพูชาต้องพิจารณา ฉะนั้น หากหาความหมาย แม้ไม่ใช่ขอบเขตคำพิพากษา ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อนานาชาติให้เข้าใจว่าไทยและกัมพูชา กำลังยึดถือแผนที่ 1 ต่อ 200,000 เข้าไปด้วย อันนี้เป็นอันตรายร้ายแรง อย่างยิ่งจากมาตรการของรัฐบาลที่ไม่หยุดยั้งในผลงานทางวิชาการของตัวเอง โดยการจ้างบุคคลภายนอกแล้วให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับฝ่ายกัมพูชา

จากนั้น นายประพันธ์ กล่าวเสริมว่า อย่าลืมว่าผลงานชิ้นนี้ที่มาประกอบเป็นผลงานวิชาการอันนี้ ฝ่ายกัมพูชาได้ข้อมูลหลักฐานนี้ไปหมดแล้ว แล้วก็รู้ว่าผลงานของอาจารย์ชาญวิทย์ และคณะ เป็นผลงานที่กระทรวงการต่างประเทศ เป็นผู้จ้างเอง แล้วผลงานวิชาการกลายเป็นไปสมประโยชน์ฝ่ายกัมพูชาหมดเลย กัมพูชาจะได้หลักฐาน ที่เป็นเอกสารชั้นดี จากฝ่ายไทย ทั้งหมดนี้ ฝ่ายไทยช่วยหาเอกสารหลักฐานให้เขา ไม่แตกต่างจากกรณีคุณวีระและคุณราตรี ที่อภิสิทธิ์ ประวิตร สุเทพ เป็นคนช่วยหาหลักฐานให้เขาทั้งนั้น

เรื่องหลักฐานจากกระทรวงการต่างประเทศ ทำให้กัมพูชามีความมั่นใจที่จะนำเรื่องนี้กลับไปสู่ศาลโลก เพราะนักวิชาการพวกนี้ออกมาพูดว่าเนี่ยเป็นของกัมพูชาหมดแล้ว ดินแดนนี้และ 4.6 ตารางกิโลเมตร แล้วอย่างนี้ใครบ้างมันทำลายชาติ ใครบ้างมันช่วยชาติ

ผมถึงบอกว่ารัฐบาลเวลานี้ ถ้ายังเป็นแบบนี้ ผมไม่เคยเห็นรัฐบาลไหนที่จะสร้างเงื่อนไข ในการที่จะทำลายแผ่นดินของตัวเอง ทำให้ประเทศตัวเองเสียดินแดนเสียเอกราช ไม่รู้ว่าจะเรียกฉลาดหรือโง่ยังไง ก็สุดแท้แต่วิจารณญาณของท่าน ผมไม่เคยเห็นผู้ปกครองประเทศไหน เขาคิดทำเรื่องแบบอย่างนี้

แล้วผลงานวิชาการ ก็มีเจ้าหน้าที่สถานทูตกัมพูชามานั่งประชุมเสวนาด้วย เขาได้หลักฐานไปหมดแล้ว ว่านักวิชาการพวกนี้รับจ้างกระทรวงการต่างประเทศ แล้วผลงานทางวิชาการ เป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับประเทศกัมพูชา เป็นผม ผมก็กระโดดงับ ในฐานะนักกฎหมายก็เห็นว่านี่เป็นหลักฐานชั้นดีเลย คุณยอมรับเอง คุณจ้างนักวิชาการมาบอกว่า นี่เป็นดินแดนผม ผมไม่กระโดดงับเหรอ ผมถึงบอกว่าท่านช่วยไปถามรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ และนายกษิต ว่าพวกคุณทำอะไร พวกคุณทำไปทำไม แล้วหลักฐานเป็นหลักฐานที่ปรักปรำประเทศตัวเอง คุณยังทนดูดายอยู่ได้ แล้ววันนี้กัมพูชาก็ได้หลักฐานทั้งหมดนี้ ถึงมีความมั่นใจ ที่จะนำเรื่องร้องขึ้นไปยังศาลโลกอีกครั้งหนึ่ง จาก 50 ปีมาแล้วเขาก็ไม่มีความหวังอยู่แล้ว เขาก็ได้เฉพาะตัวปราสาท กลายเป็นว่าเราถอยร่นๆ จนแผ่นดินจะหมดไปเพราะอย่างนี้” นายประพันธ์กล่าว

ขณะที่ความเคลื่อนไหว ของกลุ่มคนเสื้อเหลือง และคนเสื้อแดง ยังคงดำเนินต่อไป บนปรากฎการณ์ที่สวนทางกัน เช่น ความโดนเด่นในประเด็นที่ฝ่ายหนึ่งเคยทำได้อย่างรวบรัด ชี้แจงต่อมวลชนจนเกิดกระแส พร้อมปรากฎการณ์จำนวนคนกดดัน จนสะเทือนไปหลายรัฐบาล ได้ลดความเข้มข้นไปพร้อมกับปริมาณผู้ชุมนุม

ในเวลาเดียวกันที่อีกฝ่ายหนึ่ง เคยเริ่มต้นจากการหาความเป็นเอกภาพไม่ได้ ทั้งในระดับแกนนำและประเด็นเนื้อหา ต่างขับเคลื่อนกันอย่างลุ่มๆ ดอนๆ ตามอัตถภาพ แต่ความแตกต่างสารพัดประการ กำลังเดินไปสู่ทิศทางที่หาจุดร่วมกันได้เอง...

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เบื้องหลัง ‘วิจัย’ บทบาท ‘พระสงฆ์’ กับการเลือกฝ่าย ‘แดง - เหลือง - กลาง’

Posted: 20 Feb 2011 07:44 AM PST

"สุรพศ ทวีศักดิ์" อภิปรายผลวิจัย “ความคิดทางจริยธรรมกับการเลือกฝ่ายทางการเมืองของพระสงฆ์ในสังคมไทยปัจจุบัน” ซึ่งผู้วิจัยพบว่าความเป็นกลางทางการเมือง” ไม่ใช่หลักการตายตัวที่พระสงฆ์จำเป็นต้องยึดถือปฏิบัติในการแบ่งฝ่ายทางการเมืองในทุกกรณีเสมอไป

หลังจากผลวิจัยชื่อ ความคิดทางจริยธรรมกับการเลือกฝ่ายทางการเมืองของพระสงฆ์ในสังคมไทยปัจจุบัน” (ศูนย์พุทธศาสน์ศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สนับสนุนทุนวิจัย) ถูกเผยแพร่ทางสื่อมวลชน ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ตามมติและประกาศมหาเถรสมาคม (มส.) มีคำสั่งห้ามพระสงฆ์ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองเด็ดขาด และต้องวางตัวเป็นกลางทางการเมือง ส่วนเรื่องแสดงความคิดเห็นนั้นสามารถทำได้ แต่ต้องเป็นกลางและมีเหคุผลในการแสดงความเห็น...” (มติชน, 2 ก.พ.54,หน้า 15)

อันที่จริงคำว่า “วางตัวเป็นกลางทางการเมือง” นั้น จำเป็นต้องพิจารณาอย่างจำแนกแยกแยะ จากการศึกษาค้นคว้าในงานวิจัยดังกล่าว

ผู้วิจัยพบว่า “ความเป็นกลางทางการเมือง” ไม่ใช่หลักการตายตัวที่พระสงฆ์จำเป็นต้องยึดถือปฏิบัติในการแบ่งฝ่ายทางการเมืองในทุกกรณีเสมอไป

เช่น ถ้าเป็น “การเมืองของนักการเมืองหรือกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมือง” หรือการเมืองในความหมายของการลงสมัครรับเลือกตั้งของพรรคการเมืองต่างๆ พระสงฆ์ไม่ควรเข้าไปเกี่ยวข้อง ควรวางตัวเป็นกลาง

แต่ถ้าเป็น “การเมืองของประชาชน” หรือการเมืองในความหมายของการปกป้องความเป็นธรรม หลักการประชาธิปไตย ชีวิตประชาชน การเรียกร้องสันติวิธี สันติภาพทางสังคม และ/หรือสันติภาพของโลก ตามหลักการทางพระธรรมวินัยแล้วพระสงฆ์ควรเข้าไปเกี่ยวข้อง

และแม้จำเป็นต้องเลือกฝ่ายก็ควรเลือก หากสามารถอธิบายได้ว่า การเลือกฝ่ายเช่นนั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน

ความเป็นกลางทางการเมืองไม่ใช่ “การวางเฉย” แต่หมายถึงการแสดงบทบาทเป็นกลางในการวิพากษ์วิจารณ์ชี้ถูกชี้ผิดทุกฝ่ายอย่างเที่ยงธรรมและเท่าเทียม โดยยึดหลักการประชาธิปไตย ข้อเท็จจริง และหลักสันติวิธีเป็นเกณฑ์ในการแสดงบทบาทดังกล่าว

ทว่าความขัดแย้งทางการเมืองในบ้านเรากว่า 5 ปี มานี้ เป็นการเมืองที่ซ้อนๆ กันอยู่ ระหว่าง “การเมืองของนักการเมืองหรือกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมือง” กับ “การเมืองของประชาชน”

แต่จากภาวะที่ซ้อนๆ กันอยู่นั้น หากยึดหลักการประชาธิปไตย หรือการยืนยันเสรีภาพในการปกครองตนเองของประชาชนเป็นเกณฑ์ เราก็พอจะจำแนกได้ว่า ฝ่ายไหนที่ยืนยันหรือปฏิเสธเสรีภาพในการปกครองตนเองของประชาชนชัดเจนกว่า (แม้ว่าทุกฝ่ายต่างก็มีผลประโยชน์เฉพาะตัวแฝงอยู่ก็ตาม)

จากสภาพความเป็นจริงทางการเมืองดังกล่าวนี้ ปรากฏว่าท่าทีของพระสงฆ์มีทั้งวางเฉย เลือกฝ่ายและเป็นกลาง ผลสำรวจความคิดเห็น (โดยวิธีใช้แบบสอบถาม,การสัมภาษณ์เชิงลึก และการจัดเสวนาแบบเจาะจงกลุ่มเป้าหมาย) ของพระสงฆ์จำนวน 512 รูป ประกอบด้วยพระราชาคณะ พระสังฆาธิการ พระลูกวัด ผู้บริหาร คณาจารย์ และพระนิสิตของมหาวิทยาลัยสงฆ์ จากทุกภูมิภาคของประเทศ สามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มหลักๆ คือ

กลุ่มแรก คือพระสงฆ์ส่วนใหญ่ที่ยืนยันว่าท่านไม่ได้เลือกฝ่ายเสื้อเหลืองหรือเสื้อแดงโดยพระสงฆ์ในภาคใต้ไม่เลือกฝ่ายทางการเมืองมากที่สุด (68.0%) รองลงมาเป็นภาคกลาง (60.3%) ภาคเหนือ (60.3%) และไม่เลือกฝ่ายน้อยที่สุดคือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (40.0%) แต่ว่าในจำนวนนี้มีทั้งที่บอกว่าเฉยๆ บ้าง ไม่สนใจการเมืองบ้าง ขอเป็นกลางบ้าง พระสงฆ์ไม่ควรยุ่งการเมืองบ้าง ยังตัดสินใจไม่ได้บ้าง ฯลฯ

กลุ่มที่สอง คือกลุ่มพระสงฆ์ที่ยืนยันชัดเจนว่าเลือกฝ่ายเสื้อเหลืองและเสื้อแดง ซึ่งมีทั้งที่ออกมาชุมนุม ไม่ออกมาชุมนุม และเป็นพระที่มีชื่อเสียงที่แสดงความคิดเห็นทางการเมืองเป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณะ ในกลุ่มพระสงฆ์ที่เลือกฝ่ายทางการเมืองนี้ พระสงฆ์ที่เลือกฝ่ายเสื้อแดงมีจำนวนมากกว่า โดยพระสงฆ์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเลือกฝ่ายเสื้อแดงมากที่สุด (57.3%) รองลงมาเป็นภาคเหนือ (47.0%) ภาคกลาง (33.0%) และภาคใต้ (4.7%) ส่วนพระสงฆ์ที่เลือกฝ่ายเสื้อเหลือง พระสงฆ์ภาคใต้เลือกฝ่ายเสื้อเหลืองมากที่สุด (27.3%) รองลงมาเป็นภาคกลาง (6.7%) ภาคเหนือ (3.7%) และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (2.7%)

กลุ่มที่สาม คือพระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงในบ้านเราหลายรูปที่ถูกมองว่าเลือกสีนั้นสีนี้ แต่เมื่อผู้วิจัยไปสัมภาษณ์แล้ว ท่านยืนยันด้วยตัวท่านเองว่าท่านเป็นกลาง ได้แก่ 

1. พระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงที่ถูกสื่อและสังคมมองว่า เลือกฝ่ายเสื้อเหลือง หรือเป็น “พระเสื้อเหลือง” คือ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ว.วชิรเมธี) ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตยาลัย และ พระกิตติศักดิ์ กิตฺติโสภโณ ประธานมูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่

2. พระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงที่ถูกสื่อและสังคมมองว่า “เลือกฝ่ายเสื้อแดง” หรือเป็น “พระเสื้อแดง” คือ พระราชธรรมนิเทศ (พยอม กลฺยาโณ) เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว นนทบุรี และ พระมหา ดร.สมชาย ฐานวุฑฺโฒ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย (เนื่องจากวัดธรรมกายถูกมองว่าเลือกฝ่ายเสื้อแดง ท่านหลังนี้ผู้วิจัยสัมภาษณ์ท่านในฐานะผู้แทนวัดธรรมกาย)

3. พระไพศาล วิสาโล ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการปฏิรูปประเทศไทย พระคุณเจ้าท่านนี้มีบทบาทเป็นที่รู้จักในฐานะพระสงฆ์นักสันติวิธี นักกิจกรรมสังคม และมีบทบาทในด้านความเป็นกลางอย่างเป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณะมากที่สุด

ประเด็นสำคัญที่ผู้วิจัยต้องการทราบคือ พระสงฆ์ที่เลือกฝ่ายทางการเมือง และที่เลือกเป็นกลางทางการเมือง ท่านมี “เหตุผลทางการเมือง” และ “เหตุผลทางจริยธรรม” อย่างไร

ผลสำรวจสรุปได้ว่า “เหตุผลทางการเมือง” ในการเลือกฝ่ายของพระสงฆ์ส่วนใหญ่ไม่ใช่เหตุผลเรื่องตัวบุคคล หรือเหตุผลเรื่องสู้-ไม่สู้เพื่ออำนาจทางการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หากแต่เป็นเหตุผลเรื่อง “ความถูกต้องทางการเมือง” นั่นคือต้องการประชาธิปไตย ต่อต้านรัฐประหาร และต่อต้านรัฐบาลคอร์รัปชัน

กล่าวคือ พระสงฆ์ที่ออกมาชุมนุมกับคนเสื้อแดงส่วนใหญ่ต้องการประชาธิปไตย (49.3%) และเพื่อต่อต้านรัฐประหาร (34.7%) มีเพียงส่วนน้อย (5.7%) ที่เรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาเป็นนายกฯ อีก

ส่วนพระสงฆ์ภาคอีสาน (77.7%) ภาคกลาง (68.3%) และ ภาคเหนือ (65.7%) ก็ยืนยันเหตุผลทางการเมืองเพื่อต้องการประชาธิปไตย และต่อต้านรัฐประหาร

ยกเว้นภาคใต้ที่พระสงฆ์ส่วนใหญ่ (54.7%) อ้างเหตุผลเรื่องต้องการประชาธิปไตย ต่อต้านคอร์รัปชัน และไม่ต้องการให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาเป็นนายกฯในสัดส่วนที่สูงกว่าการต่อต้านรัฐประหาร คือมีพระสงฆ์ที่อ้างเหตุผลต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ 18% ขณะที่อ้างเหตุผลต่อต้านรัฐประหาร 15%

ส่วน “เหตุผลทางจริยธรรม” พระสงฆ์ส่วนใหญ่ต้องการให้สังคมมีความยุติธรรม ไม่ต้องการสองมาตรฐาน ต้องการเห็นการเมืองมีจริยธรรม/ธรรมาธิปไตย และต้องการให้ยุติความขัดแย้งด้วยสันติวิธี ตามลำดับ คือ เหตุผลทางจริยธรรมของพระสงฆ์ที่ร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดง (70.0%) และพระสงฆ์ส่วนใหญ่ในภาคกลาง (64.0%) ภาคเหนือ (73.0%) และภาคอีสาน (77.7%) คือ เหตุผลเรื่องต้องการความยุติธรรม และไม่ต้องการสองมาตรฐาน แต่พระสงฆ์ภาคใต้ส่วนใหญ่ (60.0%) ต้องการเห็นการเมืองมีจริยธรรม/ธรรมาธิปไตย และต้องการให้ยุติความขัดแย้งด้วยสันติวิธี

สำหรับพระสงฆ์ที่ยืนยันว่าเป็นกลาง เช่น พระราชธรรมนิเทศ (พยอม กัลยาโณ) พระไพศาล วิสาโล พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ว.วชิรเมธี) พระกิตติศักดิ์ กิตฺติโสภโณ เป็นต้น ต่างปฏิเสธรัฐประหาร ต้องการให้สังคมเปลี่ยนผ่านไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยด้วยแนวทางสันติวิธี

ฉะนั้น ผลสำรวจแสดงให้เห็นว่าพระสงฆ์ส่วนใหญ่ คือพระสงฆ์ที่เลือกฝ่ายเสื้อแดง กับพระสงฆ์ที่เลือกเป็นกลางทางการเมืองต่างยืนยันตรงกันว่า ไม่เอารัฐประหาร”

มีเพียงท่านสมณะโพธิรักษ์ (ผู้วิจัยสัมภาษณ์ท่านในฐานะตัวแทนสมณะสันติอโศก) ซึ่งสนับสนุนฝ่ายเสื้อเหลืองเท่านั้นที่ยืนยันว่ารัฐประหารโดยคนไม่มีกิเลสหรือมีกิเลสน้อยเพื่อขจัดรัฐบาลคอร์รัปชัน แล้วมาจัดการปกครองที่เป็นประชาธิปไตยเพื่อประโยชน์ของประชาชนเป็นรัฐประหารที่ชอบธรรม”

จึงกล่าวโดยภาพรวมได้ว่า เหตุผลในการเลือกฝ่ายหรือเลือกเป็นกลางทางการเมืองของพระสงฆ์เป็นเหตุผลที่อ้างอิง “การเมืองของประชาชน” เป็นหลัก แต่ในภาวะความซับซ้อนทางการเมืองที่เป็นอยู่จริง ไม่ว่าจะเลือกฝ่ายหรือเลือกเป็นกลาง ต่างก็ต้องเผชิญกับปัญหา “กลืนไม่เข้าคายไม่ออกทางศีลธรรม” (moral dilemma)

กล่าวคือ เลือกเป็นกลางก็เป็นกลางไม่ได้จริง เนื่องจารีตทางสังคมและกฎหมายไม่อนุญาตให้ตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบ “อำนาจนอกระบบ” ได้อย่างเท่าเทียมกับที่ทำได้กับอีกฝ่าย

เลือกเสื้อแดงก็เผชิญกับคำถามว่าพระสงฆ์ควรสนับสนุนบุคคลที่ถูกกล่าวหาเรื่องทุจริตคอร์รัปชันหรือไม่

เลือกเสื้อเหลืองก็เผชิญกับคำถามเรื่องสนับสนุนอำมาตย์ และรัฐประหาร

แต่ถ้าวางเฉยก็ถูกตั้งคำถามถึงความรับผิดชอบต่อศีลธรรมเชิงสังคม เช่นการปกป้องหลักการประชาธิปไตย และชีวิตของประชาชนจากการใช้อำนาจรัฐที่เกินกว่าเหตุ เป็นต้น

แต่อย่างไรก็ตาม จากการสัมภาษณ์นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านพุทธศาสนามองว่า พระสงฆ์ที่เป็นกลางก็มีข้อเด่นเรื่องการยืนยันแนวทางสันติวิธี แต่จะดียิ่งขึ้นหากท่านแน่วแน่ในการยืนยันหลักการประชาธิปไตย ใส่ใจ “ความเป็นจริง” ของประชาชนที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และใส่ใจปัญหาสองมาตรฐานต่างๆ ที่ยังดำรงอยู่ภายใต้โครงสร้างอำนาจที่อยุติธรรมมากขึ้น

ส่วนพระสงฆ์ที่เลือกฝ่ายเสื้อแดง หากสามารถอธิบายได้ว่าท่านไม่สนับสนุนวิธีการรุนแรง ต้องการปกป้องสิทธิของประชาชนที่ถูกปล้นไป ต่อต้านรัฐประหาร ต่อต้านอำมาตย์ ต้องการให้สังคมเป็นประชาธิปไตยและมีความเป็นธรรม เหตุผลของท่านก็ควรแก่การรับฟัง

และพระสงฆ์ที่เลือกฝ่ายเสื้อเหลือง หากท่านยืนยันได้ว่าไม่ได้สนับสนุนรัฐประหารที่ปล้นสิทธิประชาชนหรือทำลายประชาธิปไตยเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มชนชั้นนำบางกลุ่ม ท่านก็อาจมีความชอบธรรมที่จะเลือกเช่นนั้น

สำหรับ สถาบันสงฆ์ในฐานะที่เป็นสถาบันหลักทางสังคม มีข้อเสนอแนะจากนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านพุทธศาสนาว่า ควรแสดงบทบาทรับผิดชอบต่อศีลธรรมทางสังคมให้ชัดเจน เช่น แสดงออกในนามคณะสงฆ์เพื่อเรียกร้องสันติวิธี ปกป้องชีวิตประชาชน หรือยืนยันความเป็นธรรม และความสมานฉันท์ทางสังคม เป็นต้น

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ทัศนะต่อบทความ "เบี้ยเดินหมาก" ของ "นิธิ เอียวศรีวงศ์"

Posted: 20 Feb 2011 07:30 AM PST

มีบางอย่างในบทความ "เบี้ยเดินหมาก" ของอาจารย์นิธิ ที่อ่านจบแล้ว พาลไม่เห็นด้วย แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นบรรทัดไหน ข้อความใด จนได้มาอ่านบทความ "นีโอชาตินิยม" ของใบตองแห้ง ก็ถึงบางอ้อว่าน่าจะเป็นข้อความเดียวกันกับที่ใบตองแห้งเองก็ไม่เห็นด้วยกับ อาจารย์นิธิ นั่นก็คือ

"สังคมโดยรวมมีสติเป็นตัวของตัวเอง ไม่ตกเป็นเครื่องมือการแย่งอำนาจกันด้วยเล่ห์กระเท่ห์ของชนชั้นนำอย่างหมดตัวเหมือนที่เคยเป็นมา"

สังคม ไทยโดยรวมมีสติขึ้นจริงหรือเปล่า ถ้าจะเน้นคำว่า "โดยรวม" เหมือน "โดยเฉลี่ย" ก็อาจจะจริงที่หลังจากข่าวการสู้รบที่ชายแดนเผยแพร่ต่อคนกรุงเทพในช่วงวัน หยุดเสาร์ อาทิตย์ พอถึงวันจันทร์ ม็อบกู้ชาติที่มัฆวานก็เหมือนจะตื่นตัวอยู่พักหนึ่ง แต่สุดท้ายก็อ่อนแรงลง แม้แต่สงครามชายแดนและวีรบุรุษวีรสตรีในคุกเขมร ก็ยังไม่สามารถปลุกปั่นกระแสคลั่งชาติได้อย่างมีประสิทธิผลนัก

นั่นก็คือ "โดยรวม/โดยเฉลี่ย" แล้ว สังคมไทย (ในที่นี้ทั้งอาจารย์นิธิ ใบตองแห้ง และผม น่าจะหมายถึงชนชั้นกลางในกรุงเทพเป็นหลัก) มีสติมากกว่า ตอนที่ออกมาขับไล่รัฐบาลสมัครด้วยประเด็นเขาพระวิหารเดียวกันนี้

แต่คำว่า "สังคมโดยรวมมีสติเป็นตัวของตัวเอง" มากขึ้น มันอดคิดไม่ได้ว่าหมายถึงทุกคน ทุกสี ทุกองคาพยพมีพฤติกรรมเช่นว่า ซึ่งชวนให้ตั้งข้อสงสัยนักว่าจริงหรือ หมายความว่าทั้งนักวิชาการสันติประชาธรรมที่ลงนามคัดค้านสงคราม และสมาชิกบอร์ดเสรีไทยที่เอารายชื่อนักวิชาการเหล่านั้นมาเผยแพร่ และตีตราว่าเป็นพวกขายชาติ ล้วนแล้วแต่มีสติมากขึ้น หมายความว่าทั้งคนที่ออกไปรวมตัวกัน จุดเทียนเป็นสัญลักษณ์เพื่อสันติภาพ และที่อยู่แถวสะพานมัฆวาน ล้วนแล้วแต่มีสติมากขึ้น

เราจะปฏิเสธหรือ ว่าการลุกขึ้นมาต่อต้านสงครามนั้น ไม่ได้เป็นพฤติการณ์ของมวลชนเสื้อแดง และนักวิชาการที่เอนเอียงไปทางเสื้อแดง (แทบจะล้วนๆ ) เราจะปฏิเสธหรือ ว่าทั้งมวลชนเสื้อเหลือง ตั้งแต่ระดับ NGO ยันรองศาสตราจารย์ ไม่ได้ทำตัวไร้สติกันอีกต่อไปแล้ว

นี่ยังไม่นับมวลชนเสื้อขาว ที่ดูไม่ค่อยสนใจอีร้าค้าอีรม ใครอยากจะคลั่งชาติ อยากจะปลุกปั่นให้ทหารไทยส่งกองกำลังไปยึดนครวัดเพื่อแลกกับเขาพระวิหาร ก็ทำไปตามสะดวก ทั้งที่คนกลุ่มเดียวกันนี้ หงุดหงิดรำคาญใจทุกครั้ง เมื่อบ.ก. ลายจุดจัดกิจกรรมวันอาทิตย์สีแดง (แต่เอาละ เรายกผลประโยชน์ให้จำเลย เนื่องจากความเงียบก็ตีความได้หลายอย่าง ไม่ได้หมายถึงพวกเขา "สนับสนุนสงคราม" เสมอไป อาจจะ "คิดว่ายังไงสงครามก็ไม่เกิด" หรือ "ก็ต่อต้านนะ แต่ไม่อยากถูกมองว่าเป็นเสื้อแดง")

ผมเห็นด้วยกับอาจารย์นิธิว่า สังคมไทยโดยรวมมีสติมากขึ้น แต่คำว่าสังคมไทยในที่นี้ เราคงหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้วจะพูดถึงเรื่องสี และพลวัตรระหว่างสีต่างๆ การผลักตัวเองให้ไร้สติมากขึ้นของคนเสื้อเหลือง ส่วนหนึ่งก็ช่วยให้คนเสื้อแดงต้องยิ่งออกมาแสดงพลัง และส่งผลให้ฐานมวลชนของเสื้อเหลืองแคบลงเรื่อยๆ แต่ขณะเดียวกัน เหมือนกับรู้ว่าตัวเองกลายเป็นคนส่วนน้อยของสังคม การแสดงออกของเสื้อเหลืองก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นตามไปด้วย (แค่ถือป้าย "สันติภาพ" และ "ชายแดนเป็นเรื่องสมมติ" ก็ถูกขึ้นข้อหาแล้วว่า "ขายชาติ" หรือ "รับเงินทักษิณ")

พลวัตรเหล่านี้มีคุณค่าและชวนคิดตาม และถ้าเราคิดตามแล้ว จะได้ข้อสรุปเหมือนกันหรือเปล่าว่า "ชนชั้นกลางไทยมีสติมากขึ้น เท่าๆ กับที่พวกเขาเปลี่ยนมาเป็นคนเสื้อแดงมากขึ้นต่างหาก"

บทความนีโอชาตินิยม ของใบตองแห้ง
http://prachatai3.info/journal/2011/02/33191

บทความเบี้ยเดินหมาก ของอาจารย์นิธิ
http://www.prachatai3.info/journal/2011/02/33145

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

12 ชนกลุ่มน้อยติดอาวุธจับมือสู้รัฐบาลทหารพม่า

Posted: 20 Feb 2011 06:43 AM PST

มีรายงานว่า 12 กลุ่มติดอาวุธชนกลุ่มน้อยทั้งกลุ่มที่ทำและไม่ทำสัญญาหยุดยิงกับรัฐบาลพม่าได้ตัดสินใจที่จะเป็นพันธมิตรร่วมมือกันในการต่อสู้กับรัฐบาลทหารพม่า โดยมีตัวแทนกว่า 50 คน จากกลุ่มๆต่างๆเข้าร่วมประชุม นอกจากนี้ยังมีตัวแทนจากกลุ่มการเมืองเข้าร่วมประชุมด้วยตรงชายแดนไทย เมื่อวันที่ 12 – 16 ก.พ.ที่ผ่านมา

มีรายงานว่า องค์กรคะฉิ่นอิสระ(Kachin Independence Organization (KIO) ซึ่งเป็นองค์กรการเมืองของกองทัพเอกราชคะฉิ่น (Kachin Independent Army) พรรครัฐมอญใหม่ (New Mon State Party - NMSP) และกองกำลัง Shan State Army – เหนือ (SSA-N) ได้จับมือกันเป็นครั้งแรกในรอบประวัติศาสตร์ในการประชุมในครั้งนี้ด้วย

ทั้งนี้ ในการประชุม ได้มีการเห็นด้วยที่จะจัดตั้งกลุ่มชื่อ Union Nationalities Federal Council - UNFC ขึ้นมาเพื่อประสานงานและทำงานร่วมกันระหว่างชนกลุ่มน้อย นอกจากนี้ ชนกลุ่มน้อยทั้ง 12 กลุ่มยังเห็นด้วยที่จะมีการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใช้ในกลุ่ม รวมทั้งการจัดตั้งหน่วยงานทางการเมือง อย่างเช่นหน่วยงานด้านกฎหมาย หน่วยงานด้านกิจการภายใน รวมไปถึงหน่วยงานด้านการต่างประเทศ ซึ่งมีการคาดการณ์กันว่า หน่วยงานเหล่านี้จะทำหน้าที่เป็นตัวแทนของกลุ่ม UNFC

นอกจากนี้ ในระหว่างการประชุม ได้มีการเลือกคณะกรรมการกลางระดับสูงจำนวน 6 คน และคณะกรรมการกลางที่เป็นสมาชิกของกลุ่มอีก 10 คน ด้านนายพลมูทู เซพอ จากกองกำลังสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง(Karen National Union)หรือ เคเอ็นยู ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานของกลุ่ม UNFC ส่วนพลโทโก โซ แซง จากองค์กรคะฉิ่นอิสระได้รับเลือกเป็นรองประธานคนที่ 1 ด้านพลตรีอาเบล ทวิต จากพรรคก้าวหน้าแห่งชาติคะเรนนีได้รับเลือกเป็นรองประธานคนที่ 2 ส่วนนายหงษ์สา จากพรรครัฐมอญใหม่ได้รับเลือกเป็นเลขาธิการใหญ่

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 17 ก.พ.53 ที่ผ่านมา กลุ่ม UNFC ได้ออกแถลงการณ์ว่า จุดมุ่งหมายของกลุ่ม UNFC คือ เพื่อสิทธิ ความเสมอภาคและการปกครองตนเองของชนกลุ่มน้อยในพม่า และเพื่อให้เกิดประชาธิปไตยแบบสหพันธรัฐในพม่าอย่างแท้จริง รวมไปถึงการร่วมมือกันต่อสู้กับรัฐบาลพม่า

 อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า กองทัพสหรัฐว้า (United Wa State Army) และกองกำลัง Shan State Army – ใต้ ภายใต้การนำของเจ้ายอดศึกยังไม่ได้เข้าร่วมกับกลุ่ม UNFC แต่อย่างใด

(ที่มา http://asiancorrespondent.com/DVB 19 ก.พ.54)

 

แปลและเรียบเรียงโดย สาละวินโพสต์ "สื่อทางเลือกเพื่อแบ่งปันความเข้าใจสู่เพื่อนบ้าน"อ่านข่าวและบทความอื่นๆ อีกมากมายได้ที่เว็บไซต์ www.salweennews.org เฟซบุ๊คhttp://www.facebook.com/Salweenpost ทวิตเตอร์http://twitter.com/salweenpost

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ขปส. ชี้แก้ปัญหาปากมูลต้องก้าวพ้นการเมืองผลประโยชน์

Posted: 20 Feb 2011 06:32 AM PST

ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) ออกแถลงการณ์ “แก้ไขปัญหาเขื่อนปากมูล ต้องก้าวพ้นปมการเมืองและผลประโยชน์ สู่ความเป็นธรรมที่ยั่งยืน”


 

แถลงการณ์ ฉบับที่ ๖ (ฉบับพิเศษ)
“แก้ไขปัญหาเขื่อนปากมูล ต้องก้าวพ้นปมการเมืองและผลประโยชน์ สู่ความเป็นธรรมที่ยั่งยืน”
 
ในวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ เป็นอีกวันหนึ่งที่รัฐบาลจะได้ตัดสินใจแก้ไขปัญหา ที่เกิดขึ้นจากเขื่อนปากมูล ที่หมักหมมมายาวนานกว่า ๒๐ ปี การตัดสินใจครั้งนี้ของรัฐบาลจึงมีความสำคัญอย่างมาก เป็นความสำคัญต่อความมั่นคงในการดำรงชีวิตของชาวบ้านปากมูน เป็นความสำคัญต่อความมั่นคงของปลาในแม่น้ำมูน เป็นความมั่นคงของนิเวศแม่น้ำมูน และที่สำคัญเป็นบรรทัดฐานที่จะใช้ในการตัดสินใจระหว่างความรู้ที่เป็นวิชาการ กับอำนาจทางการเมืองและผลประโยชน์ของนักสร้างเขื่อน
 
พวกเราขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) ยืนยันว่า บทสรุปของกระบวนการทำงานที่ผ่านมา ซึ่งดำเนินมาอย่างถูกต้องตามกระบวนการมาตรฐานทางวิชาการ ทั้งกระบวนการจัดการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนผู้มีส่วนได้ประโยชน์ และเสียประโยชน์จากเขื่อนปากมูล ทั้งการใช้ข้อมูลงานวิชาการที่ทำโดยการว่าจ้างของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เจ้าของเขื่อนปากมูล งานวิชาการที่ทำโดยการว่าจ้างของรัฐบาล งานวิชาการที่ทำโดยนักวิชาการอิสระ รวมทั้งงานวิชาการที่ทำโดยคณะกรรมาธิการเขื่อนโลก (WCD) รวมถึง ๗ ฉบับ โดยมีบทสรุปที่สำคัญ กล่าวคือ
 
๑)      มูลค่าของพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้เฉลี่ยปีละ ๙๙ ล้านบาท ขณะที่กระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้อยู่ที่ปีละ ๔๐ เมกะวัต ต่ำกว่าที่ตั้งไว้คืออยู่ที่ ๑๓๖ เมกะวัต (อ้างจาก WCD:๒๕๔๓)
๒)     เดิมแม่น้ำมูนมีชนิดพันธุ์ปลาจำนวน ๒๖๕ ชนิด หลังมีการสร้างเขื่อนปากมูลชนิดพันธุ์ปลาลดลงเหลือ ๕๖ ชนิด ขณะที่รายได้ของชาวบ้านที่หายไป (เฉพาะรายได้จากการประมง) เฉลี่ยปีละ ๑๔๐ ล้านบาท
๓)     การชลประทาน เขื่อนปากมูลตั้งเป้าพื้นที่ชลประทานไว้ที่ ๑๖๐,๐๐๐ ไร่ ผลการดำเนินงาน ๒๐ ปีที่ผ่านมา สามารถทำการเกษตรได้จริง จำนวน ๔,๖๐๖ ไร่ คิดเป็นร้อยละ ๒.๘๗
ทั้งหมดนี้ยังไม่นับรวมความเสียหายที่เกิดขึ้นกับระบบนิเวศแม่น้ำมูน และผลกระทบต่อกิจกรรมอาชีพด้านอื่น เช่น การทำเกษตรริมมูน การเลี้ยงสัตว์ การท่องเที่ยว ฯลฯ
จากข้อค้นพบดังกล่าว คณะอนุกรรมการฯ จึงมีข้อเสนอแนะเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากเขื่อนปากมูล ดังนี้
๑.      ให้มีการเปิดประตูเขื่อนปากมูลอย่างถาวร เพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศแม่น้ำมูนและวิถีชีวิตของชาวบ้าน
๒.      ให้มีการเยียวยา ฟื้นฟู ชดเชยความเสียหายที่ผ่านมานับแต่เขื่อนปากมูลเปิดใช้งาน
ต่อเรื่องการตัดสินใจลักษณะนี้ ชาวบ้านปากมูนเคยมีประสบการณ์ที่เจ็บปวดมาแล้ว เมื่อครั้งที่รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ซึ่งได้ว่าจ้างมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ทำการศึกษาผลกระทบและหาแนวทางการแก้ไขปัญหา โดยการศึกษาครั้งดังกล่าวมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ได้เสนอให้เปิดประตูเขื่อนปากมูลอย่างถาวร แต่รัฐบาลขณะนั้นที่มี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี กลับเลือกตัดสินใจให้เปิดเขื่อนปีละ ๔ เดือน และปิด ๘ เดือน การตัดสินใจครั้งนั้น นับเป็นการตัดสินใจที่ไร้ความชอบธรรม และไม่ใช้ข้อมูลวิชาการใดๆ รองรับ เป็นการตัดสินใจแบบแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างนักการเมืองกับนักสร้างเขื่อน โดยที่ชาวบ้านปากมูนไม่ได้รับประโยชน์ใดเลย
 
ครั้งนี้การตัดสินใจกำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ที่จะถึงนี้ ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) ขอเรียกร้องให้รัฐบาลยืดมั่นในมาตรฐานกระบวนการได้มาของข้อมูล และบทสรุปอันเป็นชุดความรู้ทางวิชาการ และที่สำคัญกระบวนการที่ผ่านมาทั้งหมด เกิดขึ้นจากกลไกที่รัฐบาลตั้งขึ้นมาเอง
 
ดังนั้นการพิจารณาแก้ไขปัญหาเขื่อนปากมูลของคณะรัฐมนตรี ในวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ จึงเป็นบทพิสูจน์ที่สำคัญว่า รัฐบาลจะก้าวข้ามปมการเมือง และผลประโยชน์ของนักสร้างเขื่อน ไปสู่การสร้างบรรทัดฐานใหม่ของการตัดสินใจที่ตั้งอยู่บนฐานของความรู้ที่เป็นวิชาการ อันเป็นการสร้างมาตรฐานทางสังคม และการสร้างมาตรฐานทางการเมืองแบบใหม่ ซึ่งเป็นมาตรฐานของผู้นำที่สังคมไทยกำลังต้องการ
 
อย่างไรก็ตาม ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) จะติดตามฟังผลการตัดสินใจของรัฐบาลอย่างใกล้ชิด และหวังว่ารัฐบาลจะกล้าสร้างมาตรฐานใหม่ให้เกิดขึ้นในสังคมไทย
 
คนจนทั้งผองพี่น้องกัน
ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม
๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔

 

 

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เราเหมือนดูภาพยนตร์คู่รักอกหัก:พันธมิตรฯแตกหักรัฐกระทบเพื่อนบ้านกลายเป็นคู่รบ

Posted: 19 Feb 2011 08:16 PM PST

..The crisis consists precisely in the fact that the old is dying and the new cannot be born; in this interregnum a great variety of morbid symptoms appear.Antonio Gramsci, Selections from Prison Notebooks, 1971, p.276…

สิ่งที่ผู้เขียนอยากนำเสนอในเดือนแห่งความรัก ที่มีสัญลักษณ์วันวาเลนไทน์กับคู่รักไทยในสมัยใหม่ มีลักษณะร่วมกับสากล ก็คือ ทุกคนยอมรับวันแห่งความรัก และถ้าเรานึกถึงสมมติสร้างภาพยนตร์รักโรแมนติคกับสงคราม โดยถ้าเรารู้สึกเหมือนคนที่อกหัก และเลิกรัก หรือคนรักหายไป เป็นส่วนหนึ่งเหมือนคนที่ต้องการคนรักกลับคืนดี จึงทำให้นึกถึงภาพยนตร์ หรือละครทีวี ที่มีลักษณะปลุกใจรักชาติ และตัวละคร ก็ต้องการเรียกร้องดินแดนที่หายไปอย่างคลุ้มคลั่ง
ในประเทศของเรา ซึ่งถ้าเราเป็นประชา+อธิปไตย=ประชาธิปไตย โดยมีสันติภาพอย่างชอบธรรม  ซึ่งเราต้องไม่แตกแยกกับประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งเรื่องอธิปไตยของอำนาจของรัฐไทยด้วย 

บทเรียนภาพยนตร์เรื่องพระเจ้าช้างเผือก : เราไม่มีสุขใดเสมอด้วยสันติภาพ
ประวัติการสร้างภาพยนตร์ในกรณี 2475 เป็นต้นมา ซึ่งมีปรากฏการสร้างภาพยนตร์บันทึกเหตุการณ์ 2475 และต่อมาภาพยนตร์บันทึกเหตุการณ์วันรัฐธรรมนูญ โดยวิธีการของคณะราษฎร ก็ใช้ภาพยนตร์เป็นสื่ออุดมการณ์กับสถาบันทหาร เช่น กรณีภาพยนตร์บันทึกเหตุการณ์ กบฏบวรเดช ในพ.ศ.2477 เป็นชัยชนะของทหารผู้พิทักษ์รัฐธรรมนูญ แน่นอนว่า ภาพยนตร์ยังมีบทบาทต่อสังคมการเมือง ต่อมาทั้งเรื่องภาพยนตร์เลือดทหารไทย ซึ่งผู้เขียนเคยศึกษาเรื่องภาพยนตร์พระเจ้าช้างเผือก และผู้อ่านสามารถดูเพิ่มเติมจากการอ้างอิงนี้(1) จึงคิดถึงประโยคว่า ไม่มีสุขใดเสมอด้วยสันติภาพ ที่มีปรากฏในภาพยนตร์เรื่องพระเจ้าช้างเผือกของปรีดี พนมยงค์ สะท้อนนัยยะของความสงบสุข ดังกล่าวนั้นเอง

จากภาพยนตร์พระเจ้าช้างเผือก โดยสรุปย่อๆ คือ ตัวละครคู่พระเอก นางเอกในเรื่องดังกล่าวไม่ใช่ความจริง แต่นั่นคือ สิ่งสมมติตามประวัติศาสตร์ สัมพันธ์ปมปัญหาแผนที่ และเขตแดนขึ้นมาเป็นปัญหาปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งผู้เขียนเคยอธิบายไปแล้ว จึงอธิบายย่อๆ โดยตั้งแต่สมัยช่วงสงครามอินโดจีน พร้อมบริบทของภาพยนตร์พระเจ้าช้างเผือก ในช่วงพ.ศ.2483 จนกระทั่งในปัจจุบัน และถ้าเรานึกถึงกรณีเหมือนข้อเท็จจริงของความขัดแย้งทางสังคม ไม่ว่าปัญหาแบ่งแยกดินแดนภาคใต้ นับตั้งแต่ปี 2547 ถึงปัจจุบัน ก็มีภาพยนตร์ภาคใต้เพื่อทำความเข้าใจ และผู้เขียนคิดถึงในแง่ประเด็นสร้างการรับรู้ต่อคนไทย(2) และปัญหารัฐระหว่างประเทศ ก็สลับซับซ้อน โดยผู้เขียน ต้องการชี้ให้เห็นภาพร่วมบรรยากาศถึงเดือนแห่งความรัก ที่มีคู่รัก แต่งงานกัน ก็ถ้ามีความรักและความสามัคคีในครอบครัว และลูกสืบทอดต่อมา โดยไม่ขัดแย้งแตกแยกปะทะเลิกแยกทางกัน ซึ่งสะท้อนผ่านพ่อ แม่ เป็นครอบครัวถึงลูกหลาน เป็นส่วนหนึ่งของต้นตระกูลในประเทศไทย 

ทั้งนี้ ผู้เขียนอธิบายต่อง่ายๆว่า เช่นเดียวกับยกตัวอย่าง ภาพยนตร์พระเจ้าช้างเผือก ที่มีพระเอก และนางเอกเป็นคู่รัก ซึ่งสร้างจินตนาการต่อมาถึงความรัก และครอบครัว เหมือนละครทีวีเกี่ยวกับสงครามรบ ก็มีเรื่องความรัก มีธง บทเพลงประกอบภาพยนตร์เหมือนละครทีวี และเรื่องราวคู่รัก เป็นครอบครัวสะท้อนภาพส่วนหนึ่งของสายเลือดของครอบครัวเป็นอาณาจักร ในส่วนประกอบความเป็นชาติดังกล่าวเป็นพื้นฐาน เหมือนภาพยนตร์พระเจ้าช้างเผือก จึงยกตัวอย่างเสียงในจินตกรรมของภาพยนตร์ดังกล่าว และอธิบายต่อถึงความรักชาติ หรือรักประเทศ ก็ไม่ได้แตกต่างจากความรักแบบอื่นๆ ในแง่ที่ต้องมีองค์ประกอบของการจินตนาการถึงความรักรวมอยู่ด้วย(3) 

อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนอธิบายส่วนองค์ประกอบการแย่งชิงอำนาจฝ่ายต้องการ ชัยชนะในความรัก และฉายภาพเรื่องตัวละคร คือ คนอกหักจากอำนาจ ต้องการแย่งชิงต่อสู้แตกหัก รอเวลากลับมาในสังคม เพราะคนอกหัก ตกอยู่ภายใต้สภาวะแปลกแยก กลายเป็นคนแตกแยกกับสังคม โดยคู่รัก ที่มีบ้านหลังหนึ่งเหมือนประเทศ ซึ่งมีพ่อแม่ของคู่รักอยู่ในบ้าน แต่ว่าคู่รักหรือคู่ขัดแย้งชนเพื่อนบ้าน ที่อยู่ข้างบ้านเหมือนประเทศเพื่อนบ้าน ในขณะนี้ คือ เสื้อเหลืองกับรัฐอภิสิทธิ์จากเดิมเป็นคู่รักกัน เปลี่ยนไปเหมือนคู่รักทะเลาะกันเป็นความย้อนแย้งนั่นเอง ส่วนเสื้อแดง ถ้าเราไม่อยากยุ่งเรื่องคู่รักขัดแย้งกัน เหมือนเราดูภาพยนตร์และละครทีวีเกี่ยวกับสงคราม การต่อสู้และความรักก็ซาบซึ้งแล้ว 

การเมืองเหมือนภาพยนตร์พันธมิตรฯเป็นคู่รักอกหักรัฐ กระทบเพื่อนบ้านเป็นคู่รบไม่เข้าใจกัน
การเมืองของพันธมิตรฯ กำลังไปสู่การต่อสู้กับเส้นตายโดยรัฐบาล ซึ่งผู้เขียนได้เคยเขียนในประชาไทอย่างต่อเนื่องมาแล้ว ในส่วนของเรื่องเส้นเขตแดน-ม็อบมีเส้น กับสถานการณ์ทางการเมือง รวมทั้งเรื่อง “ปัญหารัฐธรรมนูญ 2550 :นิยายและความจริง ในภาพสะท้อนเราใกล้ชิดเส้นชัย” และ“เกร็ดเรื่องวันกองทัพไทย และ…สู่อนาคตทหารไทยนี้รักสงบ” แต่ถึงรบไม่ขลาดตามแบบเพลงชาติ ที่มีเรื่องทหารไทยกับทหารกัมพูชา และม็อบพันธมิตรฯ ก็วิเคราะห์ในมุมมองจากจำนวนของผู้ชุมนุม หรืออะไรก็ตาม แต่ผู้เขียนโฟกัสไปที่สถานการณ์ระส่ำระส่ายของความเคลื่อนไหว เช่น ประธานสภาฯ คือ ชัย ชิดชอบ ออกตัวนัยยะต้องดูวันที่ 18 ก.พ.(วันมาฆบูชา) ซึ่งปัญหาชายแดนการสู้รบที่ผ่านมา ก็ทำให้เห็นภาพพันธมิตรแจกของช่วยเหลือผู้ประสบภัยทั้งชาวบ้าน-ทหาร โดยสะท้อนต้นทุน และผู้สนับสนุนต่อพันธมิตรฯด้วย

 

โดยสาเหตุการเชิดชูสนับสนุนชาตินิยม ก็รักชาติมาก่อนทั้งรัฐบาลและเสื้อเหลือง เหมือนพันธมิตรฯกับรัฐบาลในอดีตเป็นคู่รักกลับกลายเป็นคู่ขัดแย้งเป็นคู่รบ ก็เป็นสิ่งที่ผู้เขียนวิเคราะห์ไว้ว่าพันธมิตรฯ จะชนะรัฐบาลได้ ในรูปแบบใด สักอย่างก็ตาม ซึ่งผู้เขียน ไม่กลัวผิดพลาดในการวิเคราะห์ โดยบ่อยครั้งที่ผู้เขียนยังวิเคราะห์สาวไม่ถูก ก็ตลกอกหักบ่อยๆ เนื่องโดยส่วนตัวไม่อยากให้มีรัฐประหาร เพราะส่วนตัวก็ไม่ได้ยินดีเท่าไหร่ ให้พันธมิตรชนะแถมเกรงว่าจะสูญเสียเลือดเนื้อชีวิต ต่างๆนานา โดยผู้เขียนพยายามวิเคราะห์ตามความเป็นจริง แล้วการประเมินเกมส์ไพ่การเมืองอย่างเป็นจริง 

เมื่อถ้าเรานึกถึงภาพยนตร์เรื่องสงครามของจีนต่างๆ ซึ่งมักอ้างตำราพิชัยสงครามของซุนวู ในเรื่องรู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง(ลองดูเพิ่มเติมข้อมูลตำราฯบางส่วนในวิกกีพีเดียภาษาไทย) และประเด็นสำหรับมุมมองของผู้เขียน คือ ส่วนใหญ่แล้วฝ่ายที่ชนะนั้น จะรู้ว่าจะรบก่อน จึงออกรบ ดังกล่าวนั้น 

ซึ่งพล.ต.จำลอง ศรีเมือง อาจจะไม่ได้อ่านตำราพิชัยสงคราม แต่ว่าจำลอง เคยเป็นทหารรบมาก่อน และก็อาการพูดของพล.ต.จำลอง น่าสนใจในภาวะเหมือนคนอกหัก หรือแตกหักกับรัฐบาล โดยจำลองกล่าวว่า “ตนได้ร่วมกับพี่น้องประชาชนบางกลุ่มบางเหล่า ต่อต้านคัดค้านเพื่อบ้านเมืองมา แล้วทั้งหมด 8 ครั้ง แต่ละครั้งแทบไม่เห็นชัยชนะ แต่ไม่รู้เป็นไงชนะทุกครั้ง และครั้งที่ 9 นี้แพ้ไม่ได้ ครั้งนี้ถ้าแพ้หมายถึงคนไทยทั้งหมดแพ้ เพราะดินแดนเป็นของคนไทย 63 ล้านคน เพราะฉะนั้นคราวนี้ไม่มีทางแพ้ สู้ที่นี่ สู้ตรงนี้ สู้จนชนะ” เป็นต้น 

ฉะนั้น น่าสังเกตว่า คนที่รู้ว่าจะชนะ จึงออกมารบนั่นแหละ เพราะเหตุการณ์เลื่อนการชุมนุมมาตั้งแต่เดือนพ.ย.-ธ.ค.53 ถ้าเรายังทบทวนจำกันได้ คือ การเปิดเกมต่อมาปลายเดือนธ.ค.ในเรื่องคนไทยทั้ง7คนและการเคลื่อนขบวนของกองทัพธรรมโดยสันติอโศก ซึ่งการเคลื่อนทัพ ถ้าเราเคยดูภาพยนตร์กันมา ก็เป็นระบบ-ระเบียบอย่างเป็นขั้นตอน ซึ่งในแง่การทำงานทหารของจำลอง ต้องประเมินการรบมาก่อนอยู่แล้วและองค์ประกอบก็ขึ้นอยู่กับบุคคลเบื้องหลัง โดยข้อน่าสังเกต ก็คือ พลเอก เปรม ตั้งแต่ข่าวออกมาว่า ห่วง 7 คนไทย และต่อมา ก็วีระ สมความคิดติดคุก ฯลฯ รวมทั้งสถานการณ์สู้รบชายแดนจริง เหมือนภาพยนตร์เกี่ยวกับสงคราม และละครทีวีเกี่ยวกับสงคราม 

ความย้อนแย้ง “คู่รัก เปลี่ยนเป็นคู่รบ” บ่งชี้อาการผิดปกติของการแตกหักทางการเมือง
ปัญหาของการเมืองไทยเป็นเรื่องการเมืองภายในของเสื้อเหลืองกับรัฐบาล ล้ำเส้นเข้าสู่ปัญหาของกัมพูชา สิ่งที่ผู้เขียน ก็อ้างAntonio Gramsci และการปรากฏ(appear) ทำให้เกิดปรากฏการณ์แบบนี้เป็นเรื่องอาการผิดปกติของการแตกหักทางการเมือง และปัญหาการแจกของให้สงครามของพันธมิตร เป็นมากกว่าการไปช่วยแจกของให้ผู้ ประสบภัยน้ำท่วม แม้ว่าพันธมิตรฯ จะสร้างแนวร่วมก็แล้ว แต่การปลุกใจให้รุกฆาต ก็ส่งผลกระทบต่อผู้อยู่ชายแดน และการเมืองของรัฐบาล ก็ถูกพันธมิตรฯ รุกต่อสู้ทางอุดมการณ์อย่างไม่หยุดนิ่งนั่นเอง 

ส่วนทางฝ่ายรัฐ แก้ปัญหาโดยอ้างใช้พรบ.การชุมนุมฯ โดยเราเห็นเพียงตำรวจ แต่เราไม่เห็นทหาร ในกรณีหนึ่ง ที่มีปัญหากับเสื้อแดงในเหตุการณ์ปี2553 โดยน่าสนใจว่า ทหารของหน่วยปฏิบัติการจิตวิทยาที่หน้ากรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ ซึ่งสร้างความเข้าใจโดยบอกวิธีว่า “..ถ้าฝ่ายตรงข้ามมีขวัญและกำลังใจที่ดี เราก็ต้องใช้หลักธรรมชาติ คือการชี้แจงซ้ำๆ ชี้แจงบ่อยๆ ต้องใช้ลูกตื๊อ เหมือนกับเราไปจีบสาวสักคน ครั้งแรกเขาอาจจะไม่ชอบเรา แต่ต่อมาก็ต้องคิดกันแหละครับว่าจะทำยังไงต่อไป สาวคนนี้เขาชอบไม่ชอบอะไร และต้องพูดจาแบบไหนเขาจึงจะชอบ..”(สงครามจิตวิทยา และดูข้อมูลเพิ่มเติมตามอ้างอิง) เป็นการกล่าวของพันโทกอสิน กัมปนยุทธ์ ผู้บังคับกองพันปฏิบัติการจิตวิทยา (ปจว.) กรมรบพิเศษที่ 2 หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ(4) เป็นต้น 

ดังนั้น นี่เป็นการยกตัวอย่างจากเสื้อแดงพลิกกลับมาเป็นเสื้อเหลือง เหมือนคู่รักขัดแย้งกัน ไม่มีใครเป็นผู้ฟังใครอย่างชอบเข้าใจกัน ก็มีแต่คนพูดโวยวายต้องการชัยชนะใส่กันภายในบ้าน และพ่อแม่ ที่อยู่ในบ้านก็ห้ามปรามไม่ได้ ซึ่งกรณีความเป็นจริงที่พันธมิตรฯ บอกว่าอภิสิทธิ์ ยกดินแดนให้กัมพูชา ทำให้ไทยเสียดินแดนและการสู้รบของไทยกับกัมพูชา ซึ่งถ้าเราคิดเป็นตัวละคร ภาพยนตร์ และตัวละครทีวี ในมุมมองเหมือนรัฐอภิสิทธิ์ เป็นกิ๊ก หรือชู้รักกับกัมพูชา ไม่จงรักภักดีกับเสื้อเหลือง และเสื้อแดงไม่เกี่ยวแง่มุมอยู่ห่างๆสงบๆไว้เป็นทางเลือก ก็รอดูชัยชนะของพันธมิตรเป็นการต่อสู้ของคู่รัก กลายเป็นคู่รบ เพื่อสร้างเงื่อนไขต่อไปในอนาคต ซึ่งผู้เขียนในฐานะของคนที่มีส่วนเข้าร่วมกิจกรรมสันติภาพ ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เมื่อวันที่ 7 ก.พ.54 ที่ผ่านมา ก็ตระหนักถึงความรัก เท่านั้นจะยาวนาน โดยความทรงจำทางประวัติศาสตร์ที่ถูกต้องของเรา จะเป็นบทเรียนเยียวยาให้รักเรายาว 

อย่างไรก็ตาม บางครั้งเมื่อเราเห็นคนอกหักต้องการเวลา ถ้าทั้งสองฝ่ายในที่สุดจะคืนดีกัน หรือตั้งแต่แรก ทั้งสองฝ่ายแอบซ่อนความรักต่อกันไม่ ได้แสดงออกมา อยู่เบื้องหลัง และสองฝ่ายแสดงละครตีบทแตก เพื่อให้คนดูตกใจ และพะวงกับเรื่องพวกนี้ จนลืมปัญหาของเสื้อแดงไป และคนในบ้านเมืองแตกความรักสามัคคีก็ต้องการเวลา ส่วนเสื้อแดงก็รอไปก่อนใช้เวลาสะสมกำลังพลไว้ เพราะสงครามยืดเยื้อเหมือนในภาพยนตร์เกี่ยวกับการต่อสู้ทางการเมือง หรือที่เราเห็นในละครทีวี ซึ่งรอวันเราเข้าใจเขาเข้าใจเรา สร้างแนวร่วม และสิ่งใหม่ไทยล้วนหมายรักสามัคคี(Solidarity)กับประเทศเพื่อนบ้าน โดยไทยเป็นประชาธิปไตยและสันติภาพเป็นสากล

 

 

อ้างอิง

1. อรรคพล สาตุ้ม “ย้อนดูภาพยนตร์ ‘พระเจ้าช้างเผือก’ สงคราม สันติภาพ และชาตินิยม”

http://www.artgazine.com/shoutouts/viewtopic.php?p=4080

2.อาสา คำภา,อรรคพล สาตุ้ม “มุสลิมในการรับรู้ของคนไทย : องค์ความรู้ที่สะท้อนถึงความไม่เข้าใจต่อความจริง” ฟ้าเดียวกัน ปีที่2 ฉ.3 กรกฏาคม-กันยายน 2547

3.เบน แอนเดอร์สัน(ฉบับแปล) ชุมชนจินตกรรม บทสะท้อนว่าด้วยกำเนิดและการแพร่ขยายของชาตินิยม :281

4.ม็อบ VS ทหาร ปฏิบัติการจิตวิทยา : สงครามไร้กระสุน  โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 18 มีนาคม 2553 19:38 น.

 http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9530000038351

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ส.ส.ปชป.แจ้งจับ"แม้ว-อัมสเตอร์ดัม-บก.ฟ้าเดียวกัน"ข้อหาหมิ่นสถาบัน-ศาล กรณีสมุดปกขาวการสังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ

Posted: 19 Feb 2011 07:26 PM PST

เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 19 กุมภาพันธ์ ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นายวัชระ เพชรทอง ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.พงษ์ไสว แช่มลำเจียก พนักงานสอบสวน (สบ 3) กก.1 บก.ป. เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายโรเบิรต์ อัมสเตอร์ดัม ทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ   และนายธนาพล อิ๋วสกุล บรรณาธิการวารสารฟ้าเดียวกัน ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จากกรณีจัดพิมพ์และจำหน่ายหนังสือเรื่อง "สมุดปกขาวการสังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ" โดยอ้างว่า มีข้อความหมิ่นสถาบัน รวมทั้งกล่าวหาศาลว่าถูกครอบงำยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ตามอำเภอใจ

"ผมเคยยื่นเรื่องเสนอต่อนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2553 เพื่อขอให้เสนอเรื่องดังกล่าวให้ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. เพื่อดำเนินคดีกับบุคคลทั้ง 3 อย่างเด็ดขาด แต่ผ่านไปกว่า 3 เดือนแล้ว ในฐานะ ส.ส. จึงเดินทางมาแจ้งความดำเนินคดีกับบุคคลทั้ง 3 ด้วยตนเอง โดยนำหลักฐานเป็นหนังสือดังกล่าวมามอบไว้ให้พนักงานสอบสวน"นายวัชระกล่าว และว่า วันที่ 21 กุมภาพันธ์ เวลา 10.00 น. จะเดินทางไปที่ศาลฎีกา สนามหลวง เพื่อยื่นหนังสือดังกล่าวมอบให้กับประธานศาลฎีกา เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดีต่อไป

ทั้งนี้ในหนังสือดังกล่าวไม่ได้ระบุชื่อผู้พิมพ์ผู้โฆษณาที่มีชื่อ นายธนาพล อิ๋วสกุล บก.สนพ.ฟ้าเดียวกันแต่อย่างไร

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ส.ส.ปชป.แจ้งจับ"แม้ว-อัมสเตอร์ดัม-บก.ฟ้าเดียวกัน"ข้อหาหมิ่นสถาบัน-ศาล กรณีสมุดปกขาวการสังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ

Posted: 19 Feb 2011 07:04 PM PST

 

เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 19 กุมภาพันธ์ ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นายวัชระ เพชรทอง ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.พงษ์ไสว แช่มลำเจียก พนักงานสอบสวน (สบ 3) กก.1 บก.ป. เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายโรเบิรต์ อัมสเตอร์ดัม ทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ   และนายธนาพล อิ๋วสกุล บรรณาธิการวารสารฟ้าเดียวกัน ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จากกรณีจัดพิมพ์และจำหน่ายหนังสือเรื่อง "สมุดปกขาวการสังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ" โดยอ้างว่า มีข้อความหมิ่นสถาบัน รวมทั้งกล่าวหาศาลว่าถูกครอบงำยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ตามอำเภอใจ 

"ผมเคยยื่นเรื่องเสนอต่อนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2553 เพื่อขอให้เสนอเรื่องดังกล่าวให้ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. เพื่อดำเนินคดีกับบุคคลทั้ง 3 อย่างเด็ดขาด แต่ผ่านไปกว่า 3 เดือนแล้ว ในฐานะ ส.ส. จึงเดินทางมาแจ้งความดำเนินคดีกับบุคคลทั้ง 3 ด้วยตนเอง โดยนำหลักฐานเป็นหนังสือดังกล่าวมามอบไว้ให้พนักงานสอบสวน"นายวัชระกล่าว และว่า วันที่ 21 กุมภาพันธ์ เวลา 10.00 น. จะเดินทางไปที่ศาลฎีกา สนามหลวง เพื่อยื่นหนังสือดังกล่าวมอบให้กับประธานศาลฎีกา เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดีต่อไป

ทั้งในหนังสือดังกล่าวไม่ได้ระบุชื่อผู้พิมพ์ผู้โฆษณาที่มีชื่อ นายธนาพล อิ๋วสกุล บก.สนพ.ฟ้าเดียวกันแต่อย่างไร

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ส.ส.ปชป.แจ้งจับ"แม้ว-อัมสเตอร์ดัม-บก.ฟ้าเดียวกัน"ข้อหาหมิ่นสถาบัน-ศาล กรณีสมุดปกขาวการสังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ

Posted: 19 Feb 2011 07:02 PM PST

เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 19 กุมภาพันธ์ ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นายวัชระ เพชรทอง ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.พงษ์ไสว แช่มลำเจียก พนักงานสอบสวน (สบ 3) กก.1 บก.ป. เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายโรเบิรต์ อัมสเตอร์ดัม ทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ   และนายธนาพล อิ๋วสกุล บรรณาธิการวารสารฟ้าเดียวกัน ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จากกรณีจัดพิมพ์และจำหน่ายหนังสือเรื่อง "สมุดปกขาวการสังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ" โดยอ้างว่า มีข้อความหมิ่นสถาบัน รวมทั้งกล่าวหาศาลว่าถูกครอบงำยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ตามอำเภอใจ 

"ผมเคยยื่นเรื่องเสนอต่อนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2553 เพื่อขอให้เสนอเรื่องดังกล่าวให้ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. เพื่อดำเนินคดีกับบุคคลทั้ง 3 อย่างเด็ดขาด แต่ผ่านไปกว่า 3 เดือนแล้ว ในฐานะ ส.ส. จึงเดินทางมาแจ้งความดำเนินคดีกับบุคคลทั้ง 3 ด้วยตนเอง โดยนำหลักฐานเป็นหนังสือดังกล่าวมามอบไว้ให้พนักงานสอบสวน"นายวัชระกล่าว และว่า วันที่ 21 กุมภาพันธ์ เวลา 10.00 น. จะเดินทางไปที่ศาลฎีกา สนามหลวง เพื่อยื่นหนังสือดังกล่าวมอบให้กับประธานศาลฎีกา เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดีต่อไป

ทั้งในหนังสือดังกล่าวไม่ได้ระบุชื่อผู้พิมพ์ผู้โฆษณาที่มีชื่อ นายธนาพล อิ๋วสกุล บก.สนพ.ฟ้าเดียวกันแต่อย่างไร

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สนธิเผย “หรั่ง ร็อกเคสตร้า” ร่วมเวทีไม่ได้เพราะติดงาน “ภูมิใจไทย”

Posted: 19 Feb 2011 06:04 PM PST

ลั่นวันนี้เป็นการพิสูจน์ว่า ทุกคนที่มาอยู่ที่นี่เหลือแต่พี่น้องที่รักกินจริง แต่ถ้ามาห้อยโหนแล้วไปพูดลับหลัง ก็ไปลงนรกเสียเถอะ รับไม่เข้าใจสังคมไทย-สื่อมวลชน ยังยอมรับอภิสิทธิ์ ทั้งที่โกหกและไม่กล้าตอบคำถาม พธม. ชี้สู้กับวิญญูชนจอมปลอมต้องใช้เวลา

สนธิเชื่อถ้าไทยรบกัมพูชา ลาว-เวียดนามไม่มารบแน่
ช่วงค่ำวานนี้ (19 ก.พ.) นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขึ้นปราศรัยที่เวทีสะพานมัฆวานรังสรรค์ โดยกล่าวว่า มีคนถามตนว่า หากเกิดสงครามชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาซึ่งมีข้อตกลงร่วมในการป้องกัน ประเทศกับเวียดนามและลาว ทางลาว-เวียดนามจะมารบกับไทยหรือไม่ คำตอบมีว่า ลาวไม่มายุ่งแน่นอน ส่วนเวียดนามนั้น ถ้าจะส่งกำลังทหารมารบกับไทยที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งมีระยะทางเกือบ 1 พันกิโลเมตร ต้องใช้เวลานาน คงมาไม่ได้ และเชื่อว่าเวียดนามจะไม่กล้ามายุ่ง ขอให้รัฐบาลเราเข้มแข็ง กล้าเผชิญหน้ากับนายฮุนเซน ขณะที่ในเขมรเองก็มีนายทหารที่ไม่พอใจนายฮุนเซนที่แต่งตั้งลูกชายตัวเองให้ ขึ้นมาครองอำนาจ รวมถึงคนเขมรที่ไม่พอใจนายฮุนเซนจะลุกขึ้นมาโค่นล้มนายฮุนเซนในที่สุด ส่วนชายแดนทางตะวันตก เป็นปัญหาระหว่างรัฐบาลพม่าสู้รบกับชนกลุ่มน้อย ไม่ใช่ปัญหากับเรา ชายแดนไทย-ลาว ก็ไม่มีปัญหา ทางใต้ ไทยกับมาเลเซียก็ไม่มีปัญหา จึงเหลือแต่นายฮุนเซนกับเราเท่านั้น 

นายสนธิ กล่าวว่า วิกฤติบ้านเมืองวันนี้เป็นเพราะเราขาดทหารที่ซื่อสัตย์กล้าหาญ เป็นทหารที่เสียศักดิ์ศรี ทำให้บ้านเมืองเสียดินแดน แต่โชคดีที่เรายังมีประชานที่กล้าหาญ ขณะที่รัฐบาลก็ปล่อยให้ประชาชนเดือดร้อน เมื่อก่อนรัฐบาลจะไม่ให้ประชาชนมาเข้าคิวกันซื้อน้ำมันพืชแบบนี้ เขาต้องเด็ดหัวไอ้จรกาไปแล้ว วันนี้ตนคุยกับคนมา 10 คน ไม่มีคนไหนบอกว่าเศรษฐกิจดีเลย น้ำมันก็ขึ้นไปลิตรละ 30 กว่าบาท แต่ ปตท.ก็ยังได้กำไรมากเหมือนเดิม
 
ยันไม่ได้ปลดทนายวีระ ตามที่ “ไทยโพสต์” ลง
นายสนธิ กล่าวถึงกรณีที่หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์พาดหัวข่าวว่าพันธมิตรฯ ไล่ทนายความนายวีระ สมความคิดออก โดยนายสนธิกล่าวหาหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ว่า เป็นเพราะหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ได้เงินจาก ปตท. และนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภมา จึงเป็นแบบนี้ นายเปลว สีเงิน ไม่เคยพูดเรื่องคดีคลองด่านของนายสุวัจน์ ไม่เคยถามว่า ป.ป.ช.จะส่งฟ้องเมื่อไหร่ แล้วยังมาอ้างว่าเป็นปรมาจารย์ได้อย่างไร นายณฐพร โตประยูรนั้น ไม่ใช่ทนายของพันธมิตรฯ ทนายความของพันธมิตรฯ มีเพียงนายสุวัตร อภัยภักดิ์ และนายนิติธร ล้ำเหลือ ซึ่งเดิมนั้นเราขอให้ใช้ทนายความร่วมกัน แต่นายวีระขอหาทนายเอง แล้วนายณฐพรนั้นไปยื่นฟ้องศาลไหนก็ยกฟ้องหมด นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แกนนำกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติจึงปลดนายณฐพรออก แล้วไทยโพสต์กลับไปพาดหัวข่าวว่าพันธมิตรฯ ไล่ทนายความนายวีระออก 
 
เผย “หรั่ง ร็อกเคสตร้า” มาร่วมเวทีไม่ได้เพราะติดงาน “ภูมิใจไทย”
นายสนธิ กล่าวอีกว่า มีคนถามว่าทำไมพันธมิตรฯ ไม่เชิญ “หรั่ง ร็อกเคสตร้า”มาขึ้นเวที ซึ่งเวลาไปถามหรั่ง เขาจะบอกว่าเพราะพันธมิตรฯ ไม่เชิญเขามา แต่พอทีมงานเราโทรศัพท์ไปเชิญให้มา หรั่งกลับบอกว่า มาไม่ได้ ติดรับงานพรรคภูมิใจไทยอยู่ เพราะฉะนั้นวันนี้ จึงเป็นการพิสูจน์ว่า ทุกคนที่มาอยู่ที่นี่จึงเหลือแต่พี่น้องที่รักกินจริงเท่านั้น วันนี้มาถึงช่วงสุดท้ายของชีวิตที่จะต่อสู้เพื่อแผ่นดิน ใครจะมาร่วมต่อสู้กับเราก็มาขึ้นเวทีได้ เรายินดี แต่ถ้ามาห้อยโหนพวกเรา แล้วไปพูดลับหลังว่าเราไม่สนใจ ก็ไปลงนรกเสียเถอะ เรื่องแบบนี่จะต้องพูดกันให้ชัด 
 
เผยไม่เข้าใจสังคมไทย-สื่อ ยังยอมรับอภิสิทธิ์ ชี้สู้กับวิญญูชนจอมปลอมต้องใช้เวลา
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ขณะนี้เราไม่เข้าใจสังคมไทยและสื่อมวลชนที่ยังให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะโกหกต่อไปและยังยอมรับอีก ทั้งที่ช่วงหลังนายอภิสิทธิ์ไม่กล้าตอบพวกเรา คราวก่อนก็บอกให้ยกตัวอย่างเรื่องที่เขาโกหก ตนก็ยกไป 20 เรื่อง ไม่เห็นตอบมาสักเรื่อง ระยะหลังนายอภิสิทธิ์จึงออกมาเป็นชุดภาษา เช่น พันธมิตรฯ ทำให้ประชาชนสับสน พันธมิตรฯ พูดจาเป็นเท็จทั้งสิ้น แต่ไม่ขยายความว่าเป็นเท็จอย่างไร เพราะเขาเถียงไม่ออก ขณะที่เรามีหลักฐานมัดตัวเขา
 
“สู้กับวิญญูชนจอมปลอมนี่พวกเราเหนื่อยกันมากครับพี่น้อง เพราะกว่าเราจะกระชากหน้ากากออกมาได้ มันต้องใช้เวลา และเป็นการวัดว่าใครจะอึดกว่า แต่เพื่อชาติบ้านเมืองแล้ว พวกเราถึงไหนถึงกัน”นายสนธิกล่าว 
 
จำลองเผยร่วมสงครามลับในลาว อ้างเพื่อไม่ให้ข้าศึกเข้าใกล้ไทย
พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ปราศรัยในเวลา 00.20 น. ของวันที่ 20 ก.พ. ว่า คนที่เคยมาขึ้นเวที เป็นที่ต้องตาต้องใจมีผู้ติดตามฟัง หายไป ด้วยประการใดก็ตามไม่เป็นไร ไปเลย ไม่ง้อ ไม่อ้อนวอน ไม่ขอร้อง เป็นพันธมิตรฯ เสียอย่างหนึ่ง ผู้ที่มีแก่นแท้เท่านั้นจะยืนอยู่ได้ หายไปก็หายไป แม้น้อยก็ชนะ แพ้ไม่ได้ เพราะ 63-64 ล้านคนจะแพ้หมด ไม่ใช่กลุ่มเรากลุ่มเดียว แต่แพ้หมดทั้งชาติ
 
พล.ต.จำลอง ยังกล่าวถึงสมัยที่ใช้ชื่อปลอมว่า ร.อ.โยธิน ว่า เพราะต้องทำสงครามลับในลาว เพื่อรบกับข้าศึกไม่ให้เข้ามาใกล้ประเทศไทย และต้องใช้ชื่อปลอมเนื่องจากเวลาถูกจับเป็นเชลยจะได้ไม่สามารถเชื่อมโยงมาได้ถึงกองทัพ นอกจากนี้ พล.ต.จำลอง ยังกล่าวถึงสมรภูมิภูผาที ที่เคยไปร่วมรบในลาวด้วย
 
 

ที่มา: เรียบเรียงจาก เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สนธิเผย “หรั่ง ร็อกเคสตร้า” ร่วมเวทีไม่ได้เพราะติดงาน “ภูมิใจไทย”

Posted: 19 Feb 2011 05:42 PM PST

 

ลั่นวันนี้เป็นการพิสูจน์ว่า ทุกคนที่มาอยู่ที่นี่เหลือแต่พี่น้องที่รักกินจริง แต่ถ้ามาห้อยโหนแล้วไปพูดลับหลัง ก็ไปลงนรกเสียเถอะ รับไม่เข้าใจสังคมไทย-สื่อมวลชน ยังยอมรับอภิสิทธิ์ ทั้งที่โกหกและไม่กล้าตอบคำถาม พธม. ชี้สู้กับวิญญูชนจอมปลอมต้องใช้เวลา

สนธิเชื่อถ้าไทยรบกัมพูชา ลาว-เวียดนามไม่มารบแน่

ช่วงค่ำวานนี้ (19 ก.พ.) นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขึ้นปราศรัยที่เวทีสะพานมัฆวานรังสรรค์ โดยกล่าวว่า มีคนถามตนว่า หากเกิดสงครามชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาซึ่งมีข้อตกลงร่วมในการป้องกัน ประเทศกับเวียดนามและลาว ทางลาว-เวียดนามจะมารบกับไทยหรือไม่ คำตอบมีว่า ลาวไม่มายุ่งแน่นอน ส่วนเวียดนามนั้น ถ้าจะส่งกำลังทหารมารบกับไทยที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งมีระยะทางเกือบ 1 พันกิโลเมตร ต้องใช้เวลานาน คงมาไม่ได้ และเชื่อว่าเวียดนามจะไม่กล้ามายุ่ง ขอให้รัฐบาลเราเข้มแข็ง กล้าเผชิญหน้ากับนายฮุนเซน ขณะที่ในเขมรเองก็มีนายทหารที่ไม่พอใจนายฮุนเซนที่แต่งตั้งลูกชายตัวเองให้ ขึ้นมาครองอำนาจ รวมถึงคนเขมรที่ไม่พอใจนายฮุนเซนจะลุกขึ้นมาโค่นล้มนายฮุนเซนในที่สุด ส่วนชายแดนทางตะวันตก เป็นปัญหาระหว่างรัฐบาลพม่าสู้รบกับชนกลุ่มน้อย ไม่ใช่ปัญหากับเรา ชายแดนไทย-ลาว ก็ไม่มีปัญหา ทางใต้ ไทยกับมาเลเซียก็ไม่มีปัญหา จึงเหลือแต่นายฮุนเซนกับเราเท่านั้น
 
นายสนธิ กล่าวว่า วิกฤติบ้านเมืองวันนี้เป็นเพราะเราขาดทหารที่ซื่อสัตย์กล้าหาญ เป็นทหารที่เสียศักดิ์ศรี ทำให้บ้านเมืองเสียดินแดน แต่โชคดีที่เรายังมีประชานที่กล้าหาญ ขณะที่รัฐบาลก็ปล่อยให้ประชาชนเดือดร้อน เมื่อก่อนรัฐบาลจะไม่ให้ประชาชนมาเข้าคิวกันซื้อน้ำมันพืชแบบนี้ เขาต้องเด็ดหัวไอ้จรกาไปแล้ว วันนี้ตนคุยกับคนมา 10 คน ไม่มีคนไหนบอกว่าเศรษฐกิจดีเลย น้ำมันก็ขึ้นไปลิตรละ 30 กว่าบาท แต่ ปตท.ก็ยังได้กำไรมากเหมือนเดิม
 
ยันไม่ได้ปลดทนายวีระ ตามที่ “ไทยโพสต์” ลง
นายสนธิ กล่าวถึงกรณีที่หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์พาดหัวข่าวว่าพันธมิตรฯ ไล่ทนายความนายวีระ สมความคิดออก โดยนายสนธิกล่าวหาหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ว่า เป็นเพราะหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ได้เงินจาก ปตท. และนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภมา จึงเป็นแบบนี้ นายเปลว สีเงิน ไม่เคยพูดเรื่องคดีคลองด่านของนายสุวัจน์ ไม่เคยถามว่า ป.ป.ช.จะส่งฟ้องเมื่อไหร่ แล้วยังมาอ้างว่าเป็นปรมาจารย์ได้อย่างไร นายณฐพร โตประยูรนั้น ไม่ใช่ทนายของพันธมิตรฯ ทนายความของพันธมิตรฯ มีเพียงนายสุวัตร อภัยภักดิ์ และนายนิติธร ล้ำเหลือ ซึ่งเดิมนั้นเราขอให้ใช้ทนายความร่วมกัน แต่นายวีระขอหาทนายเอง แล้วนายณฐพรนั้นไปยื่นฟ้องศาลไหนก็ยกฟ้องหมด นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แกนนำกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติจึงปลดนายณฐพรออก แล้วไทยโพสต์กลับไปพาดหัวข่าวว่าพันธมิตรฯ ไล่ทนายความนายวีระออก 
 
เผย “หรั่ง ร็อกเคสตร้า” มาร่วมเวทีไม่ได้เพราะติดงาน “ภูมิใจไทย”
นายสนธิ กล่าวอีกว่า มีคนถามว่าทำไมพันธมิตรฯ ไม่เชิญ “หรั่ง ร็อกเคสตร้า”มาขึ้นเวที ซึ่งเวลาไปถามหรั่ง เขาจะบอกว่าเพราะพันธมิตรฯ ไม่เชิญเขามา แต่พอทีมงานเราโทรศัพท์ไปเชิญให้มา หรั่งกลับบอกว่า มาไม่ได้ ติดรับงานพรรคภูมิใจไทยอยู่ เพราะฉะนั้นวันนี้ จึงเป็นการพิสูจน์ว่า ทุกคนที่มาอยู่ที่นี่จึงเหลือแต่พี่น้องที่รักกินจริงเท่านั้น วันนี้มาถึงช่วงสุดท้ายของชีวิตที่จะต่อสู้เพื่อแผ่นดิน ใครจะมาร่วมต่อสู้กับเราก็มาขึ้นเวทีได้ เรายินดี แต่ถ้ามาห้อยโหนพวกเรา แล้วไปพูดลับหลังว่าเราไม่สนใจ ก็ไปลงนรกเสียเถอะ เรื่องแบบนี่จะต้องพูดกันให้ชัด 
 
เผยไม่เข้าใจสังคมไทย-สื่อ ยังยอมรับอภิสิทธิ์ ชี้สู้กับวิญญูชนจอมปลอมต้องใช้เวลา
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ขณะนี้เราไม่เข้าใจสังคมไทยและสื่อมวลชนที่ยังให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะโกหกต่อไปและยังยอมรับอีก ทั้งที่ช่วงหลังนายอภิสิทธิ์ไม่กล้าตอบพวกเรา คราวก่อนก็บอกให้ยกตัวอย่างเรื่องที่เขาโกหก ตนก็ยกไป 20 เรื่อง ไม่เห็นตอบมาสักเรื่อง ระยะหลังนายอภิสิทธิ์จึงออกมาเป็นชุดภาษา เช่น พันธมิตรฯ ทำให้ประชาชนสับสน พันธมิตรฯ พูดจาเป็นเท็จทั้งสิ้น แต่ไม่ขยายความว่าเป็นเท็จอย่างไร เพราะเขาเถียงไม่ออก ขณะที่เรามีหลักฐานมัดตัวเขา
 
“สู้กับวิญญูชนจอมปลอมนี่พวกเราเหนื่อยกันมากครับพี่น้อง เพราะกว่าเราจะกระชากหน้ากากออกมาได้ มันต้องใช้เวลา และเป็นการวัดว่าใครจะอึดกว่า แต่เพื่อชาติบ้านเมืองแล้ว พวกเราถึงไหนถึงกัน”นายสนธิกล่าว 
 
จำลองเผยร่วมสงครามลับในลาว อ้างเพื่อไม่ให้ข้าศึกเข้าใกล้ไทย
พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ปราศรัยในเวลา 00.20 น. ของวันที่ 20 ก.พ. ว่า คนที่เคยมาขึ้นเวที เป็นที่ต้องตาต้องใจมีผู้ติดตามฟัง หายไป ด้วยประการใดก็ตามไม่เป็นไร ไปเลย ไม่ง้อ ไม่อ้อนวอน ไม่ขอร้อง เป็นพันธมิตรฯ เสียอย่างหนึ่ง ผู้ที่มีแก่นแท้เท่านั้นจะยืนอยู่ได้ หายไปก็หายไป แม้น้อยก็ชนะ แพ้ไม่ได้ เพราะ 63-64 ล้านคนจะแพ้หมด ไม่ใช่กลุ่มเรากลุ่มเดียว แต่แพ้หมดทั้งชาติ
 
พล.ต.จำลอง ยังกล่าวถึงสมัยที่ใช้ชื่อปลอมว่า ร.อ.โยธิน ว่า เพราะต้องทำสงครามลับในลาว เพื่อรบกับข้าศึกไม่ให้เข้ามาใกล้ประเทศไทย และต้องใช้ชื่อปลอมเนื่องจากเวลาถูกจับเป็นเชลยจะได้ไม่สามารถเชื่อมโยงมาได้ถึงกองทัพ นอกจากนี้ พล.ต.จำลอง ยังกล่าวถึงสมรภูมิภูผาที ที่เคยไปร่วมรบในลาวด้วย
 
 

ที่มา: เรียบเรียงจาก เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

โฆษก พธม.หวั่นหากพระวิหารสงบจะสามารถขึ้นทะเบียนมรดกโลกได้

Posted: 19 Feb 2011 05:22 PM PST

โฆษกพธม. หวั่นหากพระวิหารสงบเป็นพื้นที่สันติภาพ จะสามารถขึ้นทะเบียนมรดกโลกได้

กองทัพไทยตกลงหยุดยิง 8 ข้อ กับกัมพูชาแล้ว สองฝ่ายยังคงกำลังทหารในพื้นที่ต่อไปจนกว่าจะเจรจาตกลงกันได้ ด้านลูก “ฮุนเซน” สงสัยทำไมรัฐบาลไทยปล่อยให้ผู้ชุมนุมโจมตีกัมพูชาและพ่ออย่าง ชี้ปัญหาเกิดจากคนเหล่านี้ ขณะที่ “ปานเทพ” ระบุรัฐบาลไม่ควรเจรจาหยุดยิง เพราะหากพื้นที่บริเวณปราสาทพระวิหารสงบ ก็จะกลายเป็นพื้นที่สันติภาพ และสามารถขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกได้      

เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า เมื่อเวลา 11.30 น. วันนี้ (19 ก.พ.) ที่บริเวณจุดผ่านแดนถาวรไทย - กัมพูชา ช่องสะงำ ต.ไพรพัฒนา อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ พล.อ. ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ เสนาธิการทหารบก เป็นหัวหน้าคณะในการเจรจา ร่วมด้วย พล.ท. ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาค2 พล.อ. นิพัทธ์ ทองเล็ก ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ กองบัญชาการกองทัพไทย อดีตเจ้ากรมกิจการชายทหารแดนทหาร (บก.สส.) และ พล.ต. ชวลิต ชุนประสาน ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี ได้ไปเจรจากับ พล.ท. ฮุนมาเน็ต ลูกชายนายฮุนเซน ในฐานะ รองผบ.ทบ. กัมพูชา เป็นหัวหน้าคณะ พร้อมด้วย พล.ท. เจียมอน ผบ.ภูมิภาคทหารที่ 4 และ พล.ท. สรัย ดึ๊ก ผบ.ทหารจังหวัดพระวิหาร และคณะนายทหารอีก 14 คน ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ที่ชายแดน ที่ช่องสะงำ ตรงข้าม จ.สุรินทร์ ตั้งแต่เวลา 10.00-12.30 น. จากนั้น พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวถึงผลการเจรจาเพียงสั้นๆว่า เรียบร้อยดี

โดยมีรายงานว่า ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามใน บันทึกข้อตกลงร่วมกัน 8 ข้อ 1.การหยุดยิง 2. ห้ามมีการเพิ่มเติมกำลังทหาร และ ห้ามเคลื่อนย้ายกำลังทหาร 3. ห้ามไม่ให้มีการเคลื่อนย้าย อาวุธยุทโธปกรณ์หนักขนาดใหญ่ เช่น ปืนใหญ่ รถถัง 4. ห้ามไม่ให้มีการใช้อาวุธหนักในการโจมตีกัน 5. ห้ามไม่ให้มีการสร้างสิ่งปลูกสร้างใดๆ ในพื้นที่ปัญหา 4.6 ตร.กม. โดยเด็ดขาด 6. ห้ามทำฐานทหาร ทำบังเกอร์ 7.ห้ามไม่ให้มีการก่อสร้างถนนของทั้งสองฝ่าย 8. ให้มีการประสานความเข้าใจผ่านทางโทรศัพท์มือถือสายตรง hotline ตลอด 24 ชม.ในบรรดาผู้นำทหารทุกระดับชั้น และมีการตกลงกันในรายละเอียดของการระดับปฏิบัติการ 

อย่างไรก็ตาม ยังต้องมีการวางกำลังทหารเช่นนี้ต่อไปจนกว่าจะมีการเจรจาตกลงกันได้ในระดับ รัฐบาลและคณะกรรมการชุดต่างๆ รวมถึงรอการประชุม รมต.อาเซียน ในวันที่ 22 ก.พ. นี้ด้วย 

ทั้งนี้ในการเจรจา ทางพลโท ฮุนมาเน็ต ลูกชายของนายฮุนเซน ยังแสดงความสงสัยว่าทำไมรัฐบาลไทยปล่อยให้กลุ่มบางกลุ่ม สื่อบางสื่อ โจมตีกัมพูชา โจมตีนายกรัฐมนตรีกัมพูชาอย่างรุนแรงอยู่ได้ และมองว่าปัญหาที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งมาจากกลุ่มเหล่านี้ 

ต่อกรณีดังกล่าว เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ ยังรายงานว่า นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ กล่าวว่า รัฐบาลไม่ควรเจรจาหยุดยิงกับทางกัมพูชา เพราะหากพื้นที่บริเวณปราสาทพระวิหารสงบ ก็จะกลายเป็นพื้นที่สันติภาพ และสามารถขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกได้

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

กอ.รมน.ใต้ยืนยันไม่มีข้อมูลเรื่องการฝึกอาวุธให้เยาวชนสตรีมุสลิม

Posted: 19 Feb 2011 04:53 PM PST

กอ.รมน.ใต้ ระบุชัดไม่มีรายงานเรื่องกาฝึกอาวุธให้สตรีมุสลิมตามภาพที่ได้มีการเผยแพร่ คาดเป็นการจัดฉากโดยผู้ไม่ประสงค์ดี

ตามที่มีความสับสนในการออกมารายงานข่าว โดยอ้างหน่วยข่าวในพื้นที่ว่ามีภาพสตรีมุสลิมฝึกอาวุธสงครามแต่ โฆษกกอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า กลับออกมาชี้แจงว่า ที่ผ่านมาไม่ปรากฏในรายงานข้อมูลด้านการข่าวของหน่วยว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงใช้เยาวชนสตรีมุสลิมฝึกอาวุธ

จากการนำเสนอข่าวของสำนักข่าวบางแห่ง เมื่อวันที่ 18 ก.พ. 54 เกี่ยวกับภาพเยาวชนหญิงมุสลิมอายุประมาณ 17-20 ปี ที่กำลังฝึกการใช้อาวุธปืนสงครามในท่าเตรียมพร้อม ว่า หน่วยข่าวความมั่นคงที่เกาะติดสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดน ภาคใต้ ได้พบภาพเยาวชนสตรีมุสลิมอายุประมาณ 17-20 ปี ที่มีการฝึกใช้อาวุธปืนสงครามในท่าเตรียมพร้อม โดยเจ้าหน้าที่ได้ภาพดังกล่าวจากการบุกตรวจค้นพื้นที่ และได้แจกจ่ายภาพดังกล่าวไปตามหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ เพื่อให้ตรวจสอบและติดตามหาความเคลื่อนไหวของกลุ่มเยาวชนสตรีมุสลิมใน พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

ต่อมาทาง กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ได้ชี้แจงข่าวภาพการฝึกใช้อาวุธเยาวชนสตรีมุสลิม โดย พันเอก บรรพต พูลเพียร โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า เปิดเผยว่า ตามที่มีผู้ไม่ประสงค์ดี ได้แจกจ่ายภาพถ่ายเยาวชนหญิงมุสลิมอายุประมาณ 17 - 20 ปี ที่กำลังฝึกการใช้อาวุธปืนสงครามในท่าเตรียมพร้อม แจกจ่ายไปให้กับสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 18 ก.พ.54 และยังกล่าวอ้างว่าขณะนี้ได้พบเบาะแสความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ก่อความไม่ สงบ ได้ปลุกระดมเยาวชนสตรีมุสลิม ชักจูงให้เข้าไปร่วมขบวนการ เพื่อส่งไปฝึกการใช้อาวุธในต่างประเทศ ก่อนกลับมาก่อเหตุในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งที่ผ่านมามีผู้ผ่านการฝึกแล้วหลายรุ่นนั้น  ทาง กอ.รมน.ได้ตรวจสอบขั้นต้นแล้ว ไม่ปรากฏในรายงานข้อมูลด้านการข่าวของหน่วยว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงมีการฝึกอาวุธให้กับเยาวชนสตรีมุสลิม เพื่อใช้ในการก่อเหตุในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้แต่อย่างใด อีกทั้งภาพดังกล่าวไม่ได้แจ้งว่าเป็นภาพเหตุการณ์เมื่อใด และไม่ได้ระบุสถานที่ว่าเป็นประเทศใดหรือพื้นที่ใด จึงอาจเป็นภาพที่ถูกจัดฉากให้เห็นเสมือนจริง แล้วกล่าวอ้างว่าเป็นการฝึกเยาวชนสตรีมุสลิมจากจังหวัดชายแดนภาคใต้

ภาพข่าว : ผู้จัดการ

ที่มา: BungarayaNews
วันที่ : 19 กุมภาพันธ์ 2554

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

พิพิธภัณฑ์แรงงานไทยสัญจรนิคมลำพูน

Posted: 19 Feb 2011 03:45 PM PST

ผู้ใช้แรงงานจากนิคมอุตสาหกรรมลำพูนร่วมกิจกรรมสัญจรของ "พิพิธภัณฑ์แรงงานไทย" พร้อมอภิปรายถึงระบบการเลือกตั้งที่ไม่ได้ตอบสนองกับวิถีชีวิตของพวกเขา

19 ก.พ.54 เมื่อเวลา 18.00 น ณ ตลาดสันป่าฝ้าย จ.ลำพูน ซึ่งพิพิธภัณฑ์แรงงานไทยสัญจร จัดเวทีดนตรี และปราศัยเรื่องประชาธิปไตยของแรงงานในนิคมอุตสาหกรรม จังหวัด ลำพูน ณ ตลาดสดสันป่าฝ้าย จัดเวทีดนตรี และนิทรรศการ โดยเวทีปราศัยเสริมความรู้ประชาธิปไตยคนงาน ให้ประชาชน และชุมชนตามตลาดรับรู้ด้วย 

นายวิชัย นราไพบูลย์ ผู้จัดการพิพิธภัณฑ์แรงงานไทย กล่าวเปิดงานว่า การจัดงานครั้งนี้ให้แรงงานไทยรู้สิทธิร่วมสร้างประชาธิปไตย โดยการสนับสนุนงบประมาณจากสถาบันพระปกเกล้า โดยร่วมจัดงานกับกลุ่มสหภาพแรงงานภาคเหนือในนิคมอุตสาหกรรมลำพูน ซึ่งจัดงานนิทรรศการ และกิจกรรมดนตรี รวมทั้งปราศรัยเพื่อให้เข้าใจเรื่องประชาธิปไตย

ด้านนายอนุชา มีทรัพย์ ตัวแทนสหภาพอัญมณีและเครื่องประดับสัมพันธ์ กล่าวว่า คนทำงานเป็นแรงงานแฝง สำหรับการเลือกตั้ง เพราะ พวกเราถูกละเลย โดยบางคน ต้องกลับไปเลือกตั้ง ไม่ได้ใช้สิทธิใกล้ที่ทำงานของตัวเอง ซึ่งเราต้องกลับบ้านไปใช้สิทธิไกลที่ต่างจังหวัด ก็ทำให้ส.ส.ไม่สนใจเรา โดยเราต้องรวมตัวเป็นสหภาพแรงงาน เนื่องจากส.ส.มองไม่เห็นว่า เราต้องมีสิทธิเลือกตั้ง ใกล้ที่ทำงานในนิคมอุตสาหกรรมลำพูน และเราต้องรวมต้องเพื่อให้สภาพชีวิตที่ดีขึ้น

โดยนายอนุชา มีทรัพย์ กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า เรารวมตัวกัน แล้วอบต.อบจ.ก็จะมองเห็นเราเป็นฐานคะแนนเสียงสำหรับการเลือกตั้ง และเราต้องรวมตัวกันให้เกิดสิทธิ เสรีภาพ และเราต้องหามิตร สร้างแนวร่วมช่วยประชาชน และประชาธิปไตย

ด้านนาย เกียรติศักดิ์ ลัดดาพันธ์ ตัวแทนสหภาพแรงงานอิเล็คทรอนิกส์ และเครื่องไฟฟ้าสัมพันธ์ กล่าวว่า บริษัทโฮย่า ที่ผมทำ ก็มีปัญหาเรื่องการเลิกจ้าง เราเคยนำปัญหานี้เข้าไปคุยกับนักการเมือง แต่เขาก็ไม่สนใจ หลังจากพูดคุยกับนักการเมือง หรือภาครัฐก็ดี ปรากฏว่าไม่ได้อะไร และเราอยากให้นักการเมืองได้รู้ปัญหาของแรงงานต้องการอะไร และนักการเมืองจะได้รู้ปัญหาสภาพการดำรงชีวิตของเรา

ทั้งนี้ กิจกรรมของพิพิธภัณฑ์แรงงานไทยสัญจร ยังจัดเวทีดนตรี นิทรรศการ และปราศรัยของแรงงานนอกระบบ เป็นกิจกรรมต่อเนื่องที่จังหวัดเชียงใหม่ ในวันที่ 20 ก.พ. 54 เวลา 17.00 น. ที่ประตูท่าแพ จ.เชียงใหม่อีกด้วย

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น