โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันพฤหัสบดีที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

นักข่าวพลเมือง: ฟันธงโรงไฟฟ้าแกลบ"บัวสมหมาย" กระทบชาวบ้าน หวั่นทำผลผลิตหายกว่า14 ล.

Posted: 03 Feb 2011 09:11 AM PST

ผลการศึกษาผลกระทบของโรงไฟฟ้าแกลบ "บัวสมหมาย" ที่อุบลฯ พบมีผลกระทบต่อชาวบ้านไม่เฉพาะทางสุขภาพและความปลอดภัย แต่ยังจะทำให้ผลผลิตชาวบ้านลด 14 ล้านบาทต่อปี

เมื่อวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา ที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดอุบลราชธานี นายชาตรี ดิเรกศรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ได้เป็นประธานการประชุมของคณะทำงานชี้แจงข้อมูลและรับฟังความ คิดเห็นของประชาชนต่อการขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้า เชื้อเพลิง ชีวมวล (แกลบ) ของบริษัท บัวสมหมายไบโอแมส จำกัด เพื่อรับฟังการรายงานผลการศึกษา การประเมินผลกระทบทางสุขภาพ กรณี โรงไฟฟ้าชีวมวล (แกลบ) ของบริษัท บัวสมหมายไบโอแมส จำกัด ที่บ้านคำสร้างไชย อ.สว่างวีระวงศ์ โดยทีมศึกษาจากมูลนิธินโยบายสุขภาวะและนักวิจัยชุมชน ที่ใช้ระยะเวลาศึกษา 3 เดือน (พ.ย. 2553-ม.ค. 2554)

บุญ โฮม วงศ์สีกุล ผู้ใหญ่บ้าน ม.3 บ้านใหม่สารภี ในฐานะนักวิจัยชุมชน นำเสนอผลการศึกษาทางด้านทางสังคม ว่าชาวบ้านที่อาศัยอยู่รอบโรงไฟฟ้าในรัศมี 2 กิโลเมตร มี 546 ครัวเรือน ประชากร 2,257 คน มีความเป็นพี่น้อง-เครือญาติสูง ช่วยเหลือเกื้อกูลและร่วมมือกันพัฒนาหมู่บ้านจนผู้ใหญ่บ้านบ้านคำสร้างไชยได้รับรางวัล "แหนบทองคำ" และ เป็นหมู่บ้านในโครงการหมู่บ้านสายใยรักแห่งครอบครัวในพระอุปถัมภ์ พระเจ้าวรวงค์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ 2 หมู่บ้าน คือ บ้านใหม่สารภี ต.ท่าช้าง และบ้านหนองเลิงนา ต.บุ่งมะแลง และมีหน่วยงานราชการ 4 แห่ง วัด 3 แห่ง โรงเรียน 1 แห่ง ผลกระทบที่เกิดขึ้นแล้ว พบว่า คนในชุมชนเกิดความรำคาญเสียงจากการขุดบ่อน้ำและถมที่ของโรงไฟฟ้า เครียดจากความแตกแยกของคนในชุมชน เด็กๆ ทุกข์ใจเพราะผู้ใหญ่ทะเลาะกัน

นายรุ่งทวี คำแข็ง ผู้ใหญ่บ้าน ม.12 บ้านคำนกเปล้า และนายคูณมิ่ง อนุชาติ นำเสนอด้านเศรษฐกิจชุมชน พบว่า ส่วนใหญ่ชาวบ้านประกอบอาชีพเกษตรกรรม ผลผลิตที่สำคัญ ได้แก่ มะม่วงหิมพาน ข้าว ปอและมันสำปะหลัง มีรายได้ 32,899,500 บาท นอกจากนี้ยังมีการเลี้ยงวัว ควาย และเลี้ยงไก่ไข่ รายได้รวม 260 ล้านบาท รวมรายได้ทั้งสิ้น 292 ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ ไม่รวมเศรษฐกิจที่ไม่ได้นับเป็นตัวเงิน คือการจับสัตว์ตามแหล่งธรรมชาติตลอดปี เช่น แมลง ไข่มดแดง ปู ปลา หอย กบ หนู เป็นต้น หากสร้างโรงไฟฟ้าจะได้รับผลกระทบจากฝุ่นละออง การใช้น้ำ และเสียง ซึ่งจะทำให้ผลผลิตลดลง 5% หรือ 14.6 ล้านบาทต่อปี และกลุ่มเสี่ยงที่สำคัญ คือ กลุ่มเลี้ยงไก่ไข่จำนวน 39 โรงเรือน ขนาดการผลิต 5,000-22,000 ตัว หากมีผลกระทบเกิดขึ้น บริษัทผู้ผลิตพันธุ์ไก่จะไม่ส่งไก่ให้เลี้ยง จะทำให้ไม่มีอาชีพและต้องเป็นหนี้สินธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ประมาณ 70 ล้านบาท เนื่องจากผู้เลี้ยงไก่ต้องเข้าระบบสินเชื่อของ ธกส. โดยจำนองที่ดินเพื่อสร้างโรงเรือนเฉลี่ยเป็นหนี้รายละ 1.8 ล้านบาท

ขณะที่ผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นต่อชุมชนหากโครงการโรงไฟฟ้าเริ่มดำเนินการ ชุมชนจะได้รายได้ประมาณ 12 ล้านบาทต่อปีจาก 4 แหล่ง คือ (1) กองทุนพัฒนาไฟฟ้า ขายเต็มกำลังคือ 9 เมกะวัตต์ จะคิดเป็นพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้ 78,840,000 หน่วยต่อปี ดังนั้น จะมีเงินเข้ากองทุนประมาณ 788,400 บาทต่อปี (2) บริษัทจะแบ่งรายได้จากการขายไฟฟ้า 1% ให้กับชุมชน ถ้าบริษัทขายไฟได้ประมาณ 60 ล้านบาทต่อปี จะแบ่งรายได้ให้กับชุมชน 600,000 บาทต่อปี (3) ส่วนองค์การบริหารส่วนตำบลท่าช้างจะได้รับเงินจากภาษีโรงเรือน ที่ดิน และเครื่องจักร ร้อยละ 12.5 ของเงินได้ เป็นเงินเสียภาษีประมาณ 7.5 ล้านบาทต่อปี (4) คนในชุมชนบางรายอาจมีรายได้จากการจ้างแรงงาน และการค้าขายภายในชุมชน โดยค่าแรงขั้นต่ำที่กระทรวงแรงงาน ถ้ามีการจ้างงานประมาณ 50 คน จะมีรายได้รวม 3,120,750 บาทต่อปี

นายทองคับ มาดาสิทธิ อดีตผู้ใหญ่บ้าน ม. 12 ด้านทรัพยากรธรรมชาติ พบว่า ชุมชนตั้งอยู่ในร่องฝนตกชุก ทำให้สภาพพื้นที่ป่าของชุมชนมีสภาพเป็นป่าเต็งรัง และบริเวณริมห้วยเป็นป่าดิบแล้ง มีพันธุ์พืชหายาก เช่น หม้อข้าวหม้อแกงลิง ที่พบในบริเวณคำเสือหล่ม อยู่บ้านคำสร้างไชย ซึ่งสหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ (IUCN) บรรจุรายชื่อบัญชีอนุรักษ์ของอนุสัญญาไซเตส ส่วนทรัพยากรน้ำ มีสายน้ำรอบชุมชน 4 สาย และแหล่งน้ำซับ 25 แห่ง ซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญของชุมชน และผลกระทบด้านทรัพยากรที่เกิดขึ้นแล้ว คือ เมื่อบริษัทบัวสมหมายฯ ขุดบ่อน้ำที่มีเนื้อที่ 15 ไร่ เพื่อใช้ในโรงงานประมาณวันละ 1,300 ลูกบาศก์เมตร (460,000 ลูกบาศก์เมตรต่อปี) แม้ยังขุดไม่เสร็จ แต่ได้ทำให้น้ำซับในหมู่บ้านไหลไปรวมกันในบ่อของโรงไฟฟ้า เพราะเป็นบ่อที่มีมีความกว้างและลึกกว่าน้ำซับของหมู่บ้าน ส่งผลให้คุ้มคำหัวงัวของบ้านคำสร้างไชยน้ำไหลค่อยลง ซึ่งในระยะยาวจะส่งผลให้ชาวบ้านขาดแคลนน้ำในการเกษตรและการบริโภค

นายศุภกิจ นันทะวรการ และนางสาวยวิษฐา พิทักษ์วัชระ นักวิชาการมูลนิธินโยบายสุขภาวะ ชี้แจงในที่ประชุมว่า ในการประเมินผลกระทบทางสุขภาพ จะเกิดผลกระทบในทุกช่วงของการดำเนินการ ทั้งระยะการก่อสร้าง และช่วงระยะดำเนินการ โดยผลกระทบที่สำคัญหลัก มี 3 ด้าน คือ ด้านฝุ่นละออง ด้านน้ำและด้านการขนส่ง และ การตั้งโรงไฟฟ้าที่ใช้แกลลเป็นเชื้อเพลงต้องตั้งอยู่ใกล้โรงสีข้าว เพื่อลดปัญหาฝุ่นละออง การตกหล่นของแกลบ เสียงดัง และไม่ควรตั้งอยู่ใกล้บ้านเรือนของประชาชน ชุมชน หรือสถานที่สำคัญที่สำคัญ ควรมีส่วนร่วมในการตัดสินใจโครงการโรงไฟฟ้าตั้งแต่ก่อนการซื้อที่ดินของบริษัท พร้อมเสนอตัวอย่างต้นแบบโรงไฟฟ้าชีวมวลเฉลิมพระเกียรติที่ให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการ เป็นเจ้าของและบริหารจัดการแบบพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน โดยใช้วัตถุดิบที่เหลือทิ้งจากการเกษตรที่หาได้ในท้องถิ่นให้เกิดประโยชน์ ทั้งชุมชนก็ได้ใช้ไฟฟ้า และนำความร้อนไปใช้อบผลไม้หรือผลิตผลทางการเกษตร ที่สำคัญ ราคาค่าก่อสร้าง 5 บาท กำลังการผลิตไฟฟ้า 100 กิโลวัตต์ เป็นโรงไฟฟ้าที่พร้อมรองรับชุมชนได้ถึง 200 ครัวเรือน

ในช่วงแลกเปลี่ยนความคิดเห็น นายอดุลย์ แสงสุวรรณ ตัวแทนของบริษัทบัวสมหมายไบโอแมสฯ ได้ลุกขึ้นกล่าวว่า ยอมรับว่าผลกระทบมีจริง แต่ถ้ากังวลและเป็นห่วงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ประเทศชาติคงไม่ต้องพัฒนา อุบัติเหตุที่ไหนก็เกิดได้ไม่จำเป็นต้องมาเกิดที่บริเวณจะสร้างโรงงานเท่านั้น รายงานการศึกษานี้ไม่มีความเป็นกลางและข้อมูลไม่ตรงกับความเป็นจริง และได้ชี้แจงเรื่องการใช้น้ำว่า ทางโรงงานจะไม่ใช้น้ำมูล แต่จะขุดบ่อบาดาล ซึ่งการใช้น้ำใช้วันละ 1,300 ลูกบาศก์เมตร เป็นการใช้แบบหมุนเวียน ไม่จำเป็นต้องขุดถึง 32 บ่อ ซึ่งทางโรงงานจะขุดบ่อขนาดพื้นที่ 15 ไร่ จำนวน 3 บ่อ สำหรับเก็บน้ำเสีย เก็บแกลบ และบ่อเก็บน้ำ และระยะทางก่อสร้างใช้เวลา 880 วัน ซึ่งระหว่างการก่อสร้างก็จะเก็บสต็อกแกลบไปด้วย เมื่อ เครื่องเดินจะทยอยเอาแกลบป้อนโรงงาน ดังนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้รถยนต์ขนส่งแกลบทุกวัน ซึ่งถ้าโรงงานทำผิดเงื่อนไขที่ตั้งไว้ ทางสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดฯ ก็สามารถสั่งปิดโรงงานได้ นอกจากนี้ยังมีตัวแทนชาวบ้านได้มาเสนอให้มีการประชาคมทุกบ้านที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ ไม่ควรยึดเพียงหมู่บ้านเดียวเท่านั้น

นางสาวสดใส สร่างโศรก แกนนำชาวบ้านกล่าวว่า ผลการศึกษาชี้ชัดเจนว่าผลกระทบด้านเสียมากกว่าผลด้านดี จึงไม่สมควรที่จะสร้างโรงไฟฟ้ากลางหมู่บ้านคำสร้างไชย และการที่โรงไฟฟ้าบัวสมหมาย จะใช้น้ำบ่อบาดาล ยิ่งเป็นสิ่งที่วิตกกังวลเพราะต้องเกิดการแย่งน้ำจากชาวบ้านแน่นอน เพราะเคยมีปัญหากับบ่อประปาบาดาลของหมู่บ้าน จนต้องย้ายถึง 2 ครั้ง เพราะเกิดดินถล่ม ดังนั้น หากโรงงานมีการใช้บ่อบาดาล หมู่บ้านต้องประสบปัญหาเรื่องดินถล่มอย่างที่เคยเกิดมาแล้ว

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สุเทพ – มท.1 ไม่กลัวไทยซ้ำรอย “อียิปต์”

Posted: 03 Feb 2011 08:53 AM PST

“พล.อ.ประยุทธ์” ประชุมหน่วยขึ้นตรงทัพบก เรียนประชาชนอย่าตื่นหากเห็นการเคลื่อนย้ายทหารไป “ซูดาน” พร้อมกำชับกำลังพลติดตามข่าว “อียิปต์” เหตุใดการแก้ปัญหาจึงทำให้เกิดความ “วุ่นวาย” เพื่อนำมาเปรียบเทียบไม่ให้เกิดซ้ำใน “ไทย” ด้าน มท.1 ไม่คิดว่า นปช. จะชุมนุมได้เท่าอียิปต์ เพราะคนออกมาเป็นล้าน ส่วนสุเทพไม่หวั่นศึกซักฟอก และว่า “ไม่เป็นไร” หากมีคนออกมาประท้วงแบบอียิปต์

 

 


มท.1 ไม่เชื่อ นปช. จะชุมนุมเป็นล้านได้เท่า “อียิปต์”

คมชัดลึกออนไลน์ รายงานวันนี้(3 ก.พ.54) ว่า นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวกรณีกลุ่ม นปช. จะออกมาชุมนุมในวันที่ 13 ก.พ.นี้ เพื่อยื่นเงื่อนไขให้ประกันตัวแกนนำ และจะชุมนุมที่ราชประสงค์ ในวันที่ 19 ก.พ. โดยประกาศจะชุมนุมยืดเยื้อ ถ้ารัฐบาลไม่ปล่อยตัวแกนนำว่า คงจะประเมินอะไรไม่ได้ ขึ้นอยู่ที่อารมณ์ร่วมของผู้นำ แต่การชุมนุมต้องอยู่ภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญ ถ้าไม่ผิดกฎหมาย ถือว่าทำได้ตามที่นายกรัฐมนตรีเคยพูดไว้ แต่ไม่คิดว่า การเคลื่อนไหวในประเทศไทย จะเทียบเท่าที่อียิปต์และตูนีเซีย เพราะที่อียิปต์ มีประชาชนเข้าร่วมเป็นล้านคน

เมื่อถามว่า ขณะนี้เป็นช่วงปลายของรัฐบาล ที่จะเดินหน้าเข้าสู่การเลือกตั้ง เป็นเรื่องยากหรือไม่ที่จะประคับประคองรัฐบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปฏิเสธไม่ขอตอบ โดยบอกว่ายังไม่รู้ว่าจะเดินหน้าสู่การเลือกตั้งเมื่อไหร่

สุเทพไม่หวั่นศึกซักฟอก และไม่กลัวไทยซ้ำรอยอียิปต์
ขณะที่เว็บไซต์ไทยอินไซเดอร์รายงานคำให้สัมภาษณ์ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ที่ทำเนียบรัฐบาล กรณีที่ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน และประธานส.ส.พรรคเพื่อไทย อาจจะไม่ร่วมอภิปรายไม่ไว้ว่ารัฐบาลว่า ไม่รู้สึกถึงความแตกต่าง เพราะในการอภิปรายแต่ละครั้ง ส.ส.แต่ละคนก็มีแฟนของตัวเอง ร.ต.อ.เฉลิมก็มีคนชอบ มีแฟนคลับของตัวเอง หาก ร.ต.อ.เฉลิมไม่ร่วมอภิปราย บรรดาแฟนคลับก็อาจเสียดาย ส่วนตนทราบอยู่แล้วว่าจะต้องถูกอภิปรายและพร้อมที่จะชี้แจง เพราะรู้อยู่แล้วว่าเขาต้องอภิปรายเรื่องเหตุการณ์ชุมนุมที่ผ่านมา

เมื่อถามกรณีที่ ส.ว.เตรียมขอเปิดอภิปรายทั่วไปรัฐบาล นายสุเทพ กล่าวว่า ทำได้ เพราะเป็นสิทธิ ซ้อมไว้ก่อนก็ได้ ชาวบ้านเขาจะได้รู้ ตนชอบการอภิปรายอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะเจอมาแล้วทั้งอภิปรายคนอื่นและถูกคนอื่นอภิปราย เป็นเวลาที่ประชาชนจะได้ฟังทุกฝ่ายอย่างรอบด้าน โดยไม่มีการตัดต่อ

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหากันอยู่ทุกวันตลอดเวลา 2 ปี ที่พาบ้านเมืองอยู่มาตลอดรอดฝั่งพอสมควร ที่ผ่านมารัฐบาลก็ไม่ได้ทำอะไรเชื่องช้าเหมือนในอดีตที่ผ่านมา หากไม่แก้ไขบ้านเมืองคงเสียหายไปมาก เพราะมีแต่คนสร้างปัญหามาก

เมื่อถามว่า เกรงหรือไม่ว่าจะเกิดปัญหา เหมือนในประเทศอียิปต์ที่ประชาชนเรียกร้องให้ประธานาธิบดีออกจากตำแหน่ง นายสุเทพ กล่าวพร้อมหัวเราะว่า ไม่เป็นไร


ประยุทธ์กำชับกำลังพลตามข่าว “อียิปต์”

โดยก่อนหน้านี้ เมื่อวานนี้ (2 ก.พ.) ไทยรัฐออนไลน์ รายงานว่า เมื่อ เวลา 15.30 น. ของวันที่ 2 ก.พ. ที่กองบัญชาการกองทัพบก พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก แถลงภายหลังการประชุมผู้บังคับหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก (นขต.ทบ.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก เป็นประธาน

โดย พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมามีข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายกำลังพลของกองทัพบกไป ในพื้นที่ต่างๆ และได้หยิบยกการเคลื่อนย้ายดังกล่าวไปสร้างความสับสนให้เกิดข้อมูลที่ ประชาชนเข้าใจคลาดเคลื่อน จึงขอชี้แจงว่า ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ถึงมีนาคม จะมีการฝึกภาคกองร้อย ฝึกภาคสนามของหน่วยทหารของกองทัพบก และในช่วงสัปดาห์หน้าจะมีการเคลื่อนย้ายกำลังพลเพื่อไปปฏิบัติภารกิจที่ ประเทศซูดาน โดยจะมีการเคลื่อนย้ายกำลังพลจากกองทัพภาคที่ 2 มาที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.) เพื่อพักคอยเตรียมไปประเทศซูดาน โดยมีกำหนดส่งในผลัดที่ 1 รอบที่ 2 วันที่ 9 และ 11 กุมพาพันธ์ จำนวน 400 นาย ที่ท่าอากาศยานทหารกองบิน6 (บน.6) กองทัพบก จึงขอชี้แจงให้ประชาชนได้เข้าใจ และขออภัยในช่วงที่มีการจราจร หนาแน่น นอกจากนั้นช่วงนี้ยังมีการฝึกนักศึกษาวิชาทหารที่เขาชนไก่อีกด้วย ดังนั้น หากเห็นการเคลื่อนย้ายกำลังพลในระยะนี้ ขอประชาชนอย่าแตกตื่น หรือหลงเชื่อข้อมูลข่าวสารที่จะนำไปเชื่อมโยงกับเรื่องอื่นๆ

“ในการประชุม ผบ.ทบ. ได้กล่าวยืนยันว่าจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดในการร่วมคลี่คลายสถานการณ์ ในด้านต่างๆของประเทศในขณะนี้ และสิ่งสำคัญกองทัพบกทำงานเป็นหนึ่งเดียว โดยยึดถือผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นหลัก ซึ่งในที่ประชุมท่านได้เล่าภารกิจการทำงาน และหลายเรื่องราวมากมาย โดยท่านพูดถึงสถานการณ์รวมๆ ทุกด้าน” รองโฆษกกองทัพบก กล่าว

รายงานข่าวแจ้งว่า ในการประชุม พล.อ.ประยุทธ์ ได้ให้กำลังพลติดตามสถานการณ์และข่าวสารเกี่ยวกับเหตุการณ์การจลาจลในประเทศ อียิปต์ พร้อมให้ดูถึงแนวทางว่า เหตุใดการแก้ไขปัญหาของประเทศอียิปต์จึงทำให้เกิดเหตุวุ่นวาย และประเทศอียิปต์มีการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างไร เพื่อจะได้นำไปเป็นตัวอย่างในการเปรียบเทียบ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นในการชุมนุมของประเทศไทย

นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังได้พูดถึงกระแสข่าวการปฏิวัติรัฐประหาร โดยพล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวกับ ผบ.หน่วยในที่ประชุมว่า “ใครจะทำ ไม่มีหรอก เรื่องพวกนี้อย่าไปคิด ไม่มีประโยชน์ ควรเอาสมองไปคิดเรื่องการทำงานจะดีกว่า”

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

นายกฯ ยันไม่มีความคิดสลายพันธมิตรฯ

Posted: 03 Feb 2011 08:38 AM PST

มาร์คยันไม่มีแนวคิดสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร แค่ขอช่องทางจราจรบางช่วงเวลา ด้านเทพเทือกชี้ พธม.ยกระดับชุมนุมไม่เกิดประโยชน์กับใคร

(3 ก.พ. 54) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไม่มีแนวคิดที่จะสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งปักหลักชุมนุมข้างทำเนียบรัฐบาลตั้งแต่วันที่ 25 ม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้ต้องปิดการจราจรไปโดยปริยาย ตั้งแต่เชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ต่อเนื่องจนถึงเชิงสะพานชมัยมรุเชษฐ์ เพียงแต่ต้องการให้เปิดช่องทางจราจรช่วงกลางวันเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้ กับประชาชน

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ส่วนกรณีที่มีการซักซ้อมการสลายกลุ่มผู้ชุมนุมเมื่อวานนี้ไม่ได้เป็นการ ข่มขู่ แต่เป็นการดำเนินงานตามปกติของเจ้าหน้าที่

"การซ้อมไม่ได้ขู่ เขาเป็นฝ่ายพูดก่อนว่าจะบุกเข้าไปในทำเนียบฯ เราไม่ต้องการให้มีการบุกรุกสถานที่ราชการ ไม่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง" นายอภิสิทธิ์กล่าว

นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า ยังไม่ทราบเหตุผลที่กลุ่มพันธมิตรฯ นัดระดมพลในวันที่ 5 ก.พ.นี้เพื่อขับไล่รัฐบาล แต่ยอมรับว่าความเห็นของรัฐบาลและกลุ่มพันธมิตรฯ แตกต่างกัน และข้อเรียกร้องในการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ก็ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อการแก้ปัญหาพิพาทเรื่องชายแดนไทย-กัมพูชาของรัฐบาล

ส่วนกรณีที่แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) หรือกลุ่มคนเสื้อแดง เตรียมขอฉันทามติในการชุมนุมยืดเยื้อนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยังไม่ทราบรายละเอียด แต่ขอให้กลุ่มผู้ชุมนุมคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชน และขอยืนยันว่าฝ่ายตุลาการมีความเป็นอิสระในการปฏิบัติหน้าที่

"สุเทพ" ชี้ พธม.ยกระดับชุมนุมไม่เกิดประโยชน์กับใคร

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กล่าวถึงกรณีมีนักวิชาการระบุว่าคดีนี้เป็นคดีที่เกิดขึ้นในพื้นที่พิพาท ศาลกัมพูชาไม่มีสิทธิที่จะตัดสินพิพากษาใด ๆ เกี่ยวกับคดีนี้ นายสุเทพ กล่าวว่า ตนไม่สามารถวิจารณ์เรื่องนี้ได้ ผู้สื่อข่าวถามว่า รัฐบาลไทยจะหยิบยกประเด็นนี้ไปต่อสู้คดีได้หรือไม่ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง กล่าวว่า ตนไม่ทราบและไม่เคยได้ฟังประเด็นนี้มาก่อน

ส่วนที่กลุ่มพธม.ประกาศยกระดับการชุมนุมและขีดเส้นตาย ให้รัฐบาลดำเนินการนำตัวคนไทยกลับมาโดยไม่มีมลทินภายใน 3 วันนั้น นายสุเทพ กล่าวว่า มันก็เป็นเรื่องแปลกต้องถามว่าผู้ชุมนุมเขาโกรธใคร โกรธกัมพูชาที่ไม่ยอมปล่อยคนไทย แล้วมาขับไล่รัฐบาลไทย หรือว่ามาชุมนุมเพราะว่าไม่พอใจที่รัฐบาลไม่ช่วยเหลือมันก็ไม่ใช่ เพราะรัฐบาลก็ดำเนินการมาตามลำดับขั้นตอน ทุกคนทุกฝ่ายก็ทราบกันดีอยู่แล้ว การประกาศยกระดับการชุมนุมนั้นตนไม่คิดว่าจะเป็นประโยชน์กับใคร ในทางตรงกันข้ามหากมาปรึกษาหารือกัน ว่าจะช่วยกันอย่างไรให้เหตุการณ์คลี่คลาย คนไทยทั้ง 2 คนได้กลับบ้านน่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า

ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า แสดงว่าการที่กลุ่มพธม.ประกาศยกระดับการชุมนุมไม่มีความหมายอะไรกับรัฐบาลใช่หรือไม่ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง กล่าวว่า อย่าพูดว่าไม่มีความหมายเลย เดี๋ยวเขาก็ทำให้มีความหมายมากขึ้น อย่างไรก็ตามขณะนี้ช่องทางการเจรจายังไม่มีอะไรคืบหน้า ยังเป็นช่องทางที่เหนื่อยอยู่

ผู้สื่อข่าวถามว่า วันที่ 2 ก.พ.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจซ้อมแผนรักษาความปลอดภัยทำเนียบรัฐบาล และผลักดันผุ้ชมุนนโดยการใช้แก๊สน้ำตา เป็นการส่งสัญญาณอะไรไปถึงกลุ่มผู้ชุมนุมหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ไม่ได้ส่งสัญญาณอะไร เป็นหน้าที่ของ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ในฐานะเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ ซึ่งมีหน้าที่รักษาทำเนียบรัฐบาลไม่ให้ใครเข้ามาบุกรุกจึงต้องให้ เจ้าหน้าที่มีความพร้อม ในการดูแลรักษาความสงบอยู่เสมอ ส่วนกำลังเจ้าหน้าที่นั้นตนได้ย้ำกับทางผบช.น.ว่า แม้จะมีภาระที่กำลังเจ้าหน้าที่จะต้องมาดูแลรักษาทำเนียบฯ รัฐสภา กระทรวงการต่างประเทศและสถานทูต แต่งานหลักจะต้องทำต่อไป ไม่ให้เสียหาย ซึ่งตนก็เห็นใจเพราะกำลังเจ้าหน้าที่มีจำนวนจำกัด ทั้งนี้การปรับกำลังเจ้าหน้าที่ขึ้นอยู่กับการประเมินสถานการณ์วันต่อวัน และรัฐบาลก็พยายามเจรจากับกลุ่มผู้ชุมนุม

 

 

ที่มา: เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์และเนชั่นทันข่าว

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เอ็ม 16 ถล่มบ้านแกนนำอนุรักษ์อ่าวน้อยอุกอาจ ชาวบ้านจี้ผู้ว่าฯ ดูแลคดีใกล้ชิด

Posted: 03 Feb 2011 08:25 AM PST

 
 
3 ก.พ.54 สืบเนื่องจากเหตุการณ์ยิงถล่มร้านขายของชำของนายเผชิญ เกตุแก้ว อายุ 43 ปี แกนนำกลุ่มอนุรักษ์บ้านเกิด ต.อ่าวน้อย อ.เมือง จ.ประจวบฯ จนมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย ความคืบหน้าในวันนี้ (3 ก.พ.) กลุ่มอนุรักษ์หลายกลุ่มในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์เข้ายื่นหนังสือต่อตัวแทนผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อขอให้ย้ายคดีจาก สภ.อ่าวน้อยมาที่ สภ.เมืองประจวบฯ เพราะไม่เชื่อมั่นในตัวเจ้าหน้าที่บางรายซึ่งมีความใกล้ชิดกับกลุ่มอิทธิพลในท้องถิ่น นอกจากนี้ยังเข้าพบผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์เพื่อให้ดูแลคดีดังกล่าว เนื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการกระทำอย่างอุกอาจ และเชื่อว่าเป็นผลสืบเนื่องจากการเคลื่อนไหวในประเด็นสาธารณะ เพราะโดยส่วนตัวนายเผชิญไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับใคร

นายเผชิญกล่าวว่า ที่ผ่านมาตนไม่มีเรื่องบาดหมางกับใคร แต่ได้เคลื่อนไหวเกี่ยวกับประเด็นในพื้นที่ 2 เรื่องใหญ่คือกรณีของการสร้างเตาเผาและฝังกลบขยะเทศบาล ในพื้นที่ หมู่ 1 หมู่ 3 บ้านคั่นกะได ต.อ่าวน้อย อ.เมือง ซึ่งตนไม่ได้เป็นแกนนำโดยตรง แต่เป็นผู้เดินเรื่องร้องเรียนกับหน่วยงานต่างๆ รวมถึงคณะกรรมาธิการของวุฒิสภา จนกระทั่งมีการตรวจสอบเกี่ยวกับเอกสารสิทธิที่ได้มาอย่างไม่ถูกต้อง นอกจากนั้นยังมีปัญหาจากการบุกรุกตัดไม้ในป่าเฉลิมพระเกียรติ สวนรัชมังคลาภิเษกในที่ดินกรมทางหลวง 300 กว่าไร่ ริมถนนเพชรเกษม ระหว่างหลัก กม.ที่ 309 -310ซึ่งมีการปลูกยางพารา ปลูกสับปะรด และบางพื้นที่นายทุนได้เข้าครอบครองเพื่อให้บุคคลอื่นเช่าต่อมานานกว่า 30 ปี 
 
ทั้งนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเย็นวันที่ 31 ม.ค.54 คนร้ายใช้รถเก๋งเป็นยานพาหนะมาจอดเทียบที่ริมถนนหน้าร้านค้าของนายเผชิญ จากนั้นคนร้ายได้เดินลงจากรถอย่างใจเย็นโดยไม่อำพรางใบหน้า ใช้อาวุธปืนขนาด 9 มม. ยิงใส่นายเผชิญที่นั่งคุยกับเพื่อนบริเวณหน้าร้านในระยะกระชั้นชิดจำนวน 4 นัด แต่กระสุนพลาดเป้า ทำให้มือปืนที่อยู่ในรถอีกคนได้ลงมายิงเสริมโดยใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 กราดยิงเข้าไปในร้านค้าอีก 7 นัด ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย คือ เด็กหญิงดวงนภา แตงอ่อน อายุ 13 ปี โดนยิงที่ขา และนางอุทัย เอี่ยมวรรณะ อายุ 53 ปีโดยยิงที่สะโพก ล่าสุดอาการปลอดภัยหลังเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล จ.ประจวบฯ  จากนั้นได้หลบหนีไป เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ส่งกำลังจากหน่วยปฏิบัติพิเศษ เข้ามาเสริมกำลังเพื่อดูแลความปลอดภัยให้ครอบครัวของผู้เสียหายแล้ว ส่วนกลุ่มคนร้ายคาดว่าน่าจะเป็นคนในพื้นที่  
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ศาลให้ประกันตัว "การุณ ใสงาม" คดีปิดสนามบิน หลังยื่นหลักทรัพย์ 2 แสน

Posted: 03 Feb 2011 08:21 AM PST

ศาลอาญาอนุญาตให้ประกันตัว "การุณ ใสงาม" ในคดีปิดสนามบิน หลัง พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน ยื่นหลักทรัพย์เป็นเงินสด 200,000 บาท

(3 ก.พ. 54) ศาลอนุญาตให้ฝากขังนายการุณ ใสงาม แกนนำกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ พร้อมยกคำร้องคัดค้านการฝากขัง ของนายณฐพร โตประยูร ทนายความกลุ่มเครือข่ายฯ โดยระบุว่า กระบวนการสอบสวนยังไม่แล้วเสร็จ อยู่ระหว่างการรอความเห็นจากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พนักงานสอบสวนจึงมีอำนาจสอบสวนคดี และฝากขังตามกฎหมาย จึงอนุญาตให้ฝากขังเป็นผลัดแรก

ขณะที่พลเรือเอกบรรณวิทย์ เก่งเรียน สมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย ในฐานะตัวแทนกลุ่มเครือข่ายฯ ได้นำหลักทรัพย์เป็นเงินสด จำนวน 2 แสนบาท ยื่นขอประกันตัว ซึ่งศาลได้อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวโดยมีเงื่อนไขว่า ผู้ต้องหาจะต้องไม่เข้าไปร่วมการชุมนุม หรือกิจกรรมทางการเมืองอื่นใด อันมิใช่การใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร หรือให้สัมภาษณ์ต่อสารณชนในทางที่เป็นอุปสรรคต่อการ สืบสวนสอบสวน และรวบรวมพยานหลักฐานในคดีนี้

โดยนายการุณ ถูกตำรวจจับที่สนามบินสุวรรณภูมิ ขณะเดินทางกลับมาจากประเทศกัมพูชา จากนั้น เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวไปที่กองปราบปราม และถูกนำตัวไปฝากขังที่ศาลอาญาในช่วงบ่ายที่ผ่านมา โดยนายการุณ ถูกตั้งข้อหามั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย สร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้นในบ้านเมือง เข้าไปกระทำการใดๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่น กระทำการด้วยวิธีการใด ๆ ให้ทางสาธารณะอยู่ในลักษณะอันเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่การจราจร และกระทำด้วยประการใดๆ ให้สื่อสาธารณะ และไปรษณีย์ขัดข้องกรณีบุกสนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินดอนเมือง เมื่อปลายปี 2551

 

ที่มา: TNN
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เตรียมยื่นประกัน 7แกนนำ นปช.คดีก่อการร้ายอีกครั้ง7ก.พ.

Posted: 03 Feb 2011 07:45 AM PST

 

นายนรินทร์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย ในฐานะทนายความแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวถึงความคืบหน้าในการช่วยเหลือยื่นขอประกันตัว 7 แกนนำ นปช.ว่า ทีมทนายความได้ประชุมหารือร่วมกันและได้ข้อสรุปว่า วันที่ 7 กุมภาพันธ์จะยื่นขอประกันตัวแกนนำ นปช.ทั้ง 7 คน ในคดีก่อการร้ายต่อศาลอีกครั้ง โดยช่วงเช้าจะเดินทางเข้าพบแกนนำเพื่อเซ็นเอกสารรับรองที่เรือนจำ จากนั้นจะยื่นขอประกันตัวต่อศาลในช่วงบ่าย โดยวางหลักทรัพย์ค้ำประกันคนละ 3 ล้านบาทเท่าเดิม

ส่วนเงื่อนไขการขอประกันตัวยังคงยืนยันเหตุผลเดิมคือการร่วมชุมนุม ตามสิทธิของรัฐธรรมนูญและข้อเสนอของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริง เพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่เสนอต่อรัฐบาลให้มีการปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องขัง

สำหรับแกนนำ นปช. 7 คน ประกอบด้วย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นพ.เหวง โตจิราการ, นายก่อแก้ว พิกุลทอง, นายนิสิต สินธุไพร, นายขวัญชัย ไพรพนา, นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย และ นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก
 

 

ที่มา: มติชนออนไลน์

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ทอมทรานส์ ไม่ใช่ทอมเลส การแปลงหรือไม่แปลงเพศจึงเป็นเรื่องของทอมทรานส์

Posted: 03 Feb 2011 07:25 AM PST

 

ข่าวความสามารถของแพทย์ไทยที่สามารถแปลง(อวัยวะ)เพศให้ผู้หญิงเป็นผู้ชายได้นั้น สร้างความสนใจให้กับผู้คนจำนวนมาก ทั้งในคนทั่วไป และในกลุ่มของคนที่มีความหลากหลายทางเพศเอง แต่ก็ตามมาด้วยการแสดงออกในเชิงขบขันตามที่เราได้เห็นจากพิธีกรในรายการเล่าข่าวทั้งหลาย

ซึ่งที่เป็นเช่นนั้นก็เกิดจากความเข้าใจผิดๆ ที่สังคมไทย (รวมถึงสังคมทอมดี้คนหลากหลายทางเพศเอง) มีต่อบุคคลที่ต้องการเปลี่ยนเพศจากหญิงเป็นชายนั่นเอง

สังคมไทยยังมีความเข้าใจผิด หรืองงๆ อยู่ว่าผู้หญิงที่ต้องการแปลงเพศเป็นชายนั้นคือ “ทอม” (ซึ่งในที่นี้หมายถึงผู้หญิงรักผู้หญิงที่แต่งตัวแบบทอมบอย โดยจะขอเรียกว่าทอมเลส) และนั่นก็ทำให้หญิงรักหญิงบางส่วนเข้าใจผิดเกิดความรู้สึกต่อต้าน

เนื่องจากหญิงรักหญิงคือผู้หญิงที่รักใคร่พึงพอใจในความเป็นผู้หญิงเหมือนกัน เมื่อมีข่าวว่าทอมจะไปแปลงเพศเป็นเพศตรงข้าม เลยเกิดการรับไม่ได้ เพราะความเข้าใจผิดว่า “ทอมเลส” คือทอมทรานส์ โดยหารู้ไม่ว่าทอมทรานส์ไม่ใช่ทอมเลส

ทอมทรานส์คือบุคคลที่ต้องการเปลี่ยน(อวัยวะ)เพศจากผู้หญิงไปเป็นผู้ชาย (Female to Male) อย่างที่กำลังเป็นข่าวในตอนนี้ เหมือนกับกะเทย หรือสาวประเภทสองที่ผ่าตัดแปลงเพศจากจากผู้ชายไปเป็นผู้หญิง (Male to Female)

เขาและเธอเหล่านี้คือบุคคลข้ามเพศ หรือ Transgenders ไม่ใช่บุคคลรักเพศเดียวกัน เหมือนหญิงรักหญิง (Lesbian) หรือชายรักชาย (Gay) พวกเขาและเธอ(ส่วนใหญ่) ไม่มีรสนิยมรักเพศเดียวกัน แต่จะนิยมรักต่างเพศแบบผู้ชายผู้หญิงส่วนใหญ่ในโลกนี้ เพียงแต่พวกเธอเป็นชายและหญิงที่ผ่านการเปลี่ยนแปลงอวัยวะเพศ(ภายนอก)ให้ถูกต้องตามความคิดความรู้สึกหรือจิตใจ(ภายใน)ก็เท่านั้นเอง

ทอมทรานส์อาจจะผ่าตัดเปลี่ยนเพศ หรือไม่ผ่าตัดเปลี่ยนเพศก็ได้ เช่นบางคนอาจจะแค่ผ่าตัดเอาหน้าอกออก ปลูกหนวดปลูกเคราเช่นเดียวกับกรณีของคุณโทมัส บีทตี ที่เคยทำให้ทั่วโลกฮือฮาตื่นตระหนกตกใจในฐานะผู้ชายคนแรกที่อุ้มท้อง และคุณโทมัสก็เป็นทอมทรานส์นี่แหละ แต่ว่าในการผ่าตัดแปลงเพศนั้น ไม่ได้ตัดเอารังไข่ออก จึงสามารถตั้งท้องแทนภรรยาที่มีปัญหาด้านสุขภาพได้

เพราะอย่าลืมว่าการผ่าตัดแปลงเพศจากหญิงมาเป็นชาย(Female to Male) มีความซับซ้อนและยุ่งยากกว่าการแปลงจากชายไปเป็นหญิง เนื่องจากระบบสืบพันธ์ของเพศหญิงมีความแตกต่างจากเพศชายมาก อีกทั้งค่าใช้จ่ายก็เยอะกว่าหลายเท่า ปัญหาเรื่องสุขภาพอีกล่ะ และที่สำคัญกว่านั้นก็คือหลายคนกลัวเจ็บ ถ้าไม่มีจิตมุ่งมั่นอันแรงกล้าจริงๆ ก็คงไม่มีใครอยากทำ

แถมเมื่อทำไปแล้วก็ยังไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่าจะสามารถใช้งานได้ตามปกติ ในที่นี้หมายถึงในแง่ของการขับถ่ายปัสสาวะ เพราะในเรื่องของการมีเพศสัมพันธ์กับคู่นั้นไม่ใช่เรื่องหลักที่จะทำให้ทอมทรานส์ไปเปลี่ยนเพศ ที่เปลี่ยนก็เพราะว่าต้องการให้ร่างกายและจิตใจตรงกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากกว่า

นอกจากนั้นยังเป็นเรื่องผลข้างเคียงทางสุขภาพด้วยข้อมูลทางการแพทย์ในเรื่องนี้ยังน้อยมาก (เมื่อเทียบกับการแปลงเพศจากชายไปเป็นหญิง) และส่วนใหญ่ก็มาจากสถานประกอบการนั้นๆ แทนที่จะมาจากหน่วยงานให้บริการด้านสุขภาพของรัฐ

และที่สำคัญที่สุดก็คือการดำรงชีวิตในสังคมหลังการผ่าตัดเปลี่ยนเพศ ซึ่งสำหรับสาวประเภทสองอาจไม่ยากเท่าไรที่จะประกาศให้ใครๆ ได้รู้ว่าเธอไปเปลี่ยนเพศมาแล้ว แต่สำหรับทอมทรานส์จะกลับกลายเป็นตรงกันข้าม ส่วนใหญ่จะไม่เปิดเผยกับคนทั่วไป เพราะกลัวว่าคนจะมองเป็นตัวประหลาด เช่นเดียวกับอดีตรองนางสาวไทยปี 2533 น.ส.ภัชธีรา กลั่นสนิท ที่ผ่าตัดเปลี่ยนจากสาวสวยมาเป็นชายหนุ่มแทน ทุกวันนี้เธอก็ไม่เปิดเผยตัวกับสังคมทั่วไป

เพราะว่ากันตามจริงแล้วสังคมไทยก็ยังไม่เปิดใจสำหรับคนกลุ่มนี้นัก หลายคนมองเป็นเรื่องตลกขบขัน หรือไร้สาระ แทนที่จะเคารพการตัดสินใจเลือกของคนคนนั้น

ขณะหน่วยงานของรัฐเองยังไม่มีทีท่าว่าจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องคือเรื่องคำนำหน้านามที่เป็นอุปสรรคสำคัญในการดำเนินชีวิตของพวกเธอและเขากลุ่มนี้

สถานประกอบการหรือแพทย์ที่ทำการผ่าตัดก็ไม่มีทีท่าจะเข้ามาร่วมผลักดันกฎหมายหรือนโนบายที่จะสอดรับกับการใช้ชีวิตหลังการผ่าตัดของคนกลุ่มนี้

เพื่อนๆ สาวประเภทสองหลายรายแต่งตัวสวยใส่กระโปรงไปสมัครงาน ถูกมองว่าเป็นพวกสิบแปดมงกุฎหลอกลวง เมื่อคำนำหน้านามของเธอยังเป็น “นาย” และหลายรายถูกให้ออกจากงาน เมื่อมาตรวจสอบพบทีหลังว่าคำนำหน้านามในบัตรประชาชนกับรูปลักษณ์ภายนอกไม่ตรงกัน ฯลฯ

เป็นคนรักเพศเดียวกันว่าเหนื่อยแล้ว เป็นทอมทรานส์ เป็นคนข้ามเพศดูเหมือนจะเหนื่อย (และยังเจ็บ)ยิ่งกว่า!!

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เขตแดนของเราเพื่อนบ้านอาเซียนของเรา(2): ข้อคิดและบทเรียนประเทศเอเชีย-ยุโรป

Posted: 03 Feb 2011 06:57 AM PST

ในงานโครงการฝึกอบรม "เขตแดนของเรา เพื่อนบ้านอาเซียนของเรา" ณ โรงแรมเซ็นทารา ดวงตะวัน เชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันศุกร์ที่ 28 มกราคม 2554 ที่ผ่านมา ช่วงเสวนา "บทบาทของกลไกระหว่างประเทศ International Court of Justice (ICJ), Permanent Court of Arbitration (PCA) และกรณีศึกษาเขตแดนระหว่างประเทศ - กลุ่มประเทศยุโรป" ได้มีการพูดถึงกรณีการจัดการชายแดนของประเทศตัวอย่างในเอเชียและยุโรป ซึ่งเป็นบทเรียนและข้อคิดที่น่าสนใจเกี่ยวกับการจัดการปัญหาเส้นเขตแดนและ พื้นที่ชายแดน


กระชับความสัมพันธ์ของผู้นำในการปักเขตแดนระหว่างประเทศเวียดนาม-กัมพูชา

อ.สุริยา คำหว่าน มหาวิทยาลัยนครพนม กล่าวว่า เวียดนามมีแผนที่ประเทศเป็นตัว S เกิด การตื่นตัวเรื่องเขตแดนเมื่อ ค.ศ. 1887 หลังจากที่ฝรั่งเศสเข้ามายึดครอง เมื่อช่วงสงครามเวียดนามชายแดนของทั้ง 3 ประเทศ ได้ถูกใช้เป็นพื้นที่ติดต่อในการขนส่งอาวุธเพื่อใช้ในสงคราม เกิดการเปลี่ยนโฉมหน้าขึ้นหลายครั้งหลายครา ปัจจัยต่างๆ นั้นต่างขึ้นอยู่กับการผลัดเปลี่ยนอำนาจของผู้นำประเทศในแต่ละยุคที่จะเข้ามามีอิทธิพลในการเจรจาระหว่างประเทศร่วมกัน

สถานการณ์ปักปันเขตแดนระหว่างเวียดนามกับกัมพูชา เริ่มต้นจากอนุสัญญาแนบท้ายสนธิสัญญากำหนดเขตแดนระหว่างเวียดนาม-กัมพูชา ปี ค.ศ. 1985 ซึ่งลงนามเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ. 2005 ได้ระบุว่าเวียดนามและกัมพูชาจะดำเนินการปักปันเขตแดนและจัดทำหลักเขตแดนระหว่างประเทศให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2008 อย่างไรก็ตามทั้งสองประเทศไม่สามารถดำเนินการตามแผนที่กำหนดไว้ ส่งผลให้ต้องเลื่อนกำหนดการปักปันเขตแดนระหว่างสองประประเทศไปในปี 2012 โดยในช่วงระหว่างการดำเนินการนี้ ทั้งสองประเทศได้มีการกระชับสัมพันธ์ต่างๆ ให้แน่นเฟ้นยิ่งขึ้นจากการเดินทางเพื่อพบปะพูดคุยและเจรจากันของผู้นำประเทศ

แต่เนื่องจากปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นมากมาย เช่น รูปแบบการปกครองที่แตกต่างกัน รวมไปจนถึงสถานการณ์การเมืองภายในประเทศกัมพูชาได้ส่งผลกระทบต่อการปักปัน เขตแดนเวียดนาม-กัมพูชาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จากข้อมูลเมื่อวันที่ 28 เมษายน ค.ศ. 2010 ระบุว่าเวียดนามและกัมพูชาสามารถดำเนินการจัดทำหลักเขตแดนแล้วเสร็จ 152 หลัก จาก 374 หลักที่กำหนดไว้ คิดเป็น 40.64% ในขณะที่ระยะเวลาที่กำหนดที่เหลืออีก 2 ปี 2 เดือน นับเป็นประเด็นที่ท้าทายทั้งสองประเทศเป็นอย่างยิ่ง

ข้ามความขัดแย้งในอดีต: ปักหมุดเขตแดนทางบกจีน-เวียดนาม
อ.พิเชฐ สายพันธ์ คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ม.ธรรมศาสตร์ กล่าวว่าแนวพรมแดนทางบกระหว่างสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม-สาธารณรัฐประชาชน จีน มีความยาวประมาณ 1,450 กิโลเมตร หลังจากได้ผ่านการทำสงครามกันมาอย่างยาวนานจนถึงการลำดับสถานะความสัมพันธ์ระหว่างกันด้วยสนธิสัญญาและการปักปันเขตแดน ระหว่างกันซึ่งได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการตั้งแต่ ค.ศ. 1991 ในการลงนามความตกลงชั่วคราวว่าด้วยการแก้ไขปัญหาชายแดนระหว่างสองประเทศ เป็นต้นมาจนถึง พิธีฉลองความสำเร็จในการเจรจาปักปันเขตแดนทางบกระหว่างเวียดนาม-จีน เดือนธันวาคมปี ค.ศ. 2009 โดยมีหลักเขตแดนทั้งสิ้นจำนวนถึง 1,970 หลักเฉลี่ยแล้วแต่ละหลักมีระยะห่างประมาณ 600 เมตร นับว่าเป็นแนวเส้นเขตแดนแนวหนึ่งที่มีความถี่ของการปักหลักเขตแดนมากกว่าค่าเฉลี่ยปกติบนโลก ใช้ระยะเวลาเพียง 20 ปีเท่านั้นในการฟื้นฟูความสัมพันธ์และทำข้อตกลงร่วมกันดังกล่าว นับเป็นความประสบความสำเร็จอย่างยิ่งที่ทั้งสองฝ่ายได้มองข้ามปัญหาความขัดแย้งที่เคยมีในอดีตและหันมาร่วมมือกันสร้างสันติภาพความเจริญทางเศรษฐกิจ ให้เกิดขึ้นระหว่างภูมิภาคได้อย่างน่าชื่นชม ก่อให้เกิดความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจ, สังคม, วัฒนธรรม ระหว่างกันอย่างพึ่งพาอาศัยกันและเป็นผลดีกับทั้งสองฝ่าย

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดจากการที่รัฐบาลทั้งสองประเทศได้ผ่านกระบวนการเจรจากัน ในกรณีปัญหาในการปักหลักเขตแดนทางบก ในพื้นที่ 232 ตารางกิโลเมตร สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปที่เป็นที่ยอมรับของทั้งสองฝ่ายว่า สาธารณรัฐประชาชนจีนได้พื้นที่ 117.1 ตารางกิโลเมตร สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ได้พื้นที่ 114.9 ตารางกิโลเมตร เป็นต้น

 


ภูมิศาสตร์ไข่แดงในยุโรป: การจัดการพื้นที่ข้ามจินตนาการรัฐชาติ
ดร.มรกต เจวจินดา ไมยเออร์ อาจารย์ประจำคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร กล่าวว่า หนึ่งหมู่บ้านสองแผ่นดิน เป็นกรณีตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดในการปักปันเขตแดนในยุโรป หมู่บ้านดังกล่าวมีสภาพเป็นภูมิศาสตร์ไข่แดง กล่าวคือ ส่วนของหมู่บ้านเรียกว่าบาร์เลอร์นาซเซาเป็นของประเทศเนเธอร์แลนด์ ส่วนบาร์เลอร์แฮร์ท็อกเป็นของประเทศเบลเยียม สถานการณ์ประหลาดนี้เรียกว่า เอ็นเคล็ฟ/เอกซ์เคล็ฟ (Enclave/Exclave) หรือ ภูมิศาสตร์แบบไข่แดงนี้ ถือเป็นเรื่องปกติที่พบทั่วไปในยุโรปตั้งแต่ยุคกลางเรื่อยมาจนถึงประมาณคริสต์ศตวรรษที่18-19 กล่าวคือ ใช้เรียกดินแดนส่วนหนึ่งของประเทศใดประเทศหนึ่งที่ไม่ได้ตั้งอยู่บนแผ่นดิน ของประเทศตัวเอง แต่ตั้งอยู่บนแผ่นดินของประเทศอื่น ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เมืองของประเทศหนึ่งไปอยู่อีกประเทศหนึ่ง มีสาเหตุมาจากเงื่อนไขในอดีตก่อนเกิดพรมแดนแบบรัฐชาติ เช่น อาจจะมอบเป็นเมืองเป็นของกำนันให้กัน เป็นต้น

การต่อรองเขตแดนของเบลเยียมเริ่มขึ้นอย่างจริงจังประมาณ ค.ศ.1829 เป็นต้นมาจนกระทั่งมาเสร็จสมบูรณ์หลังจากที่ยืดเยื้อกันมานานในเดือนกันยายน 1986 ทางเนเธอร์แลนด์และเบลเยียมลงนามในข้อตกลงความร่วมมือข้ามพรมแดนและข้อตกลงนี้เริ่มมีผลบังคับใช้ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1991 และเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1995 ในเวลาต่อมา

หอระฆัง: มรดกโลกข้ามพรมแดนภูมิภาคและรัฐชาติ
ดร.มรกต กล่าวอีกว่า ความร่วมมือข้ามพรมแดนระหว่างเบลเยียมและฝรั่งเศส (Trans-boundary co-operation between Belgium and France) ในการจัดการขึ้นทะเบียนหอระฆังเป็นมรดกโลกแบบข้ามพรมแดนได้สำเร็จกล่าวคือ ในปี 1995 หอระฆัง (Bulfry) จำนวน 32 แห่งในเบลเยียมได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแบบชุดหรือซีรีส์ (Serial Nomination) ถ้ามองแบบผิวเผินแล้วการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเป็นชุดหรือซีรีส์ไม่มีอะไรน่าสนใจนัก แต่ถ้าพิจารณาให้ดีจะพบว่า การขึ้นทะเบียนเป็นชุดหรือซีรีส์นี้มีความพิเศษตามที่คณะกรรมการมรดกโลกได้ บันทึกเพิ่มเติมในคำตัดสินว่า "การขึ้นทะเบียนมรดกโลกเป็นชุดหรือซีรีส์ (Serial Nomination) เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก เนื่องจากโบราณสถานเหล่านี้ตั้งอยู่ในเมืองหลายๆ เมืองและต่างภูมิภาคในประเทศเบลเยียม" เพราะถ้าหากคิดไปในเชิงรัฐศาสตร์และสังคมนิยมวิทยาเนื้อที่(Sociology of space)แล้ว สิ่งที่เบลเยียมทำเป็นการสร้าง "มรดกโลกข้ามพรมแดนภูมิภาค" ทั้งวาโลเนียและแฟลนเดอร์เป็นภูมิภาคที่มีความแตกต่างทั้งภาษาและวัฒนธรรม มีรัฐบาลท้องถิ่นต่างกัน รวมทั้งมีความขัดแย้งในการช่วงชิงการกำหนดทิศทางของสังคมการเมืองเบลเยียมมา ตั้งแต่ประเทศเป็นเอกราชและจากความร่วมมือที่เกิดขึ้นระหว่างท้องถิ่นนี้เอง ได้พัฒนาไปสู่ความร่วมมือของท้องถิ่นข้ามพรมแดนรัฐชาติ ดังเห็นว่า เบลเยียมและฝรั่งเศส ได้ร่วมกันเสนอชื้อหอระฆังในฝรั่งเศสจำนวน 22 แห่งให้เป็นมรดกโลก เพิ่มเติมจากรายชื่อหอระฆังที่เคยขึ้นทะเบียนไว้เมื่อ ค.ศ. 1999 ส่งผลให้เกิดมรดกโลกข้ามพรมแดนรัฐชาติควบคู่ไปกับมรดกโลกข้ามพรมแดนภูมิภาค
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

รถยนต์และรถตู้โดยสาร: ทางที่เลือก (ไม่) ได้ของคนเมือง

Posted: 03 Feb 2011 06:22 AM PST

 

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้โดยสารและคนขับรถตู้โดยสารสายมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต – สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส หมอชิต เมื่อปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมาดูจะได้สร้างความสลดใจและความรู้สึกร่วมต่อเหตุการณ์ของคนจำนวนมากในสังคมไทย อย่างไรก็ดี บทความชิ้นนี้ผู้เขียนมิได้ความตั้งใจที่จะสร้างความเข้าใจต่อเหตุการณ์อย่างละเอียดหรือชี้ให้เห็นความถูกผิดของเหตุการณ์ หากแต่ผู้เขียนมีความพยายามที่จะนำเสนอวิธีคิดเกี่ยวกับระบบถนนและการจัดพื้นที่ของเมืองอันเป็นเงื่อนไขสำคัญหนึ่งในการนำไปสู่เหตุการณ์อันเศร้าสลดในครั้งนี้

หลังจากเหตุการณ์เกิดขึ้นไม่นาน นอกจากกลุ่มคนที่พุ่งเป้าโจมตีไปยังการขับรถอย่างประมาทของคู่กรณี ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่วิพากษ์วิจารณ์สภาพและแบบแผนการโดยสารรถตู้ประจำทางที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นรถตู้มีสภาพไม่ได้มาตรฐาน การไม่มีเครื่องอำนวยความปลอดภัย และการที่รถประเภทนี้มิได้ถูกออกแบบมาเพื่อการโดยสาร เป็นต้น คำวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้ดูจะทำให้ผู้เขียนในฐานะที่ใช้บริการระบบขนส่งมวลชนแทบทุกวันและใช้บริการรถตู้โดยสารอยู่บ้างย้อนกลับมาคิดว่า
“เราจะอยู่กันอย่างไร? หากไม่มีระบบการขนส่งโดยรถตู้ ที่ปัจจุบันได้สร้างเครือข่ายออกไปอย่างกว้างขวางแทบจะทุกอำเภอของประเทศไทย”

ระบบการขนส่งมวลชนของประเทศไทยเกือบทั้งหมดดูจะพึ่งพิงอยู่กับการขนส่งทางถนนเป็นหลัก ตั้งแต่ส่วนกลางจนถึงระดับภูมิภาค ซึ่งระบบการขนส่งดังกล่าวนี้ดูจะเป็นผลมาจากระบบคิดเกี่ยวกับการคมนาคมและการวางผังเมืองของไทยในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองด้วยความช่วยเหลือจากบรรดาที่ปรึกษาจากองค์กรระหว่างประเทศและสหรัฐอเมริกา โดยจะเห็นได้อย่างชัดเจนในกรณีของกรุงเทพมหานครและธนบุรี ที่ในช่วงปี พ.ศ.2501 – 2502 องค์การบริหารวิเทศกิจแห่งสหรัฐ (United States Operations Mission: USOM) อันเป็นหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐที่ให้คำปรึกษาด้านการพัฒนาแก่ประเทศไทย ได้ให้ความช่วยเหลือแก่รัฐบาลไทยในการจัดทำผังเมืองและแผนพัฒนา 30 ปีของเมืองกรุงเทพมหานครและธนบุรี (The Greater Bangkok Plan (2503 – 2533)) ตามสัญญาที่ ICA-T-226 โดยได้ว่าจ้างให้บริษัท ลิทช์ฟิลด์ วิติง บราวน์ แอนด์ แอซโซซิเอทซ์ แห่งนิยอร์ก (Litchingfield Whiting & Associates, Architects and Engineers, of New York City) จัดทำแผนการพัฒนาเมืองฯ ร่วมกับสำนักผังเมืองกรุงเทพฯ และธนบุรี
แผนฯ ดังกล่าวนี้ได้ให้คำเสนอแนะจัดแบ่ง “พื้นที่” ของเมืองตามประเภทการใช้สอย อาทิ ที่อยู่อาศัย การค้า และอุตสาหกรรม โดยแต่ละพื้นที่จะถูกเชื่อมโยงผ่านระบบถนนหรือทางสายเอกที่จะมีทั้งวงแหวนรอบศูนย์กลางเมืองกรุงเทพฯ ถนนสายหลักตามแนวเหนือ/ใต้และตะวันออก/ตะวันตก

นอกจากนี้ยังได้กำหนดให้ “รถโดยสาร” เป็นระบบขนส่งมวลชนหลักของประเทศ รวมถึงจะมีการจัดตั้ง “สถานีขนส่ง” เพื่อเป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงกับภูมิภาคที่ได้วางแผนการพัฒนาระบบถนนภายใต้ความช่วยเหลือของสหรัฐอเมริกาและธนาคารโลก ในทางกลับกันแผนการพัฒนาเมืองฯ นี้ดูจะแทบมิได้ให้ความสำคัญกับการขนส่งระบบราง ดังจะเห็นได้จากไม่ปรากฎการแผนพัฒนาขนส่งมวลชนระบบรางภายในเมือง (มีแต่การพัฒนาเพื่อขนส่งสินค้าไปยังท่าเรือคลองเตย) ยิ่งไปกว่านั้นยังปรากฎว่าทางเลือกหนึ่งเกี่ยวกับระบบราง คือ การย้ายศูนย์การคมนาคมทางรถไฟจากหัวลำโพงไปยังบางซื่อ หรือกระจายไปยังสถานที่ 3 แห่ง คือ มักกะสัน บางซื่อ และธนบุรี โดยจะใช้รถบัสขนส่งคนจากหัวลำโพงไปยังสถานีหลักแห่งใหม่แทน

นอกจากนี้พึงจะกล่าวด้วยว่าแผนการพัฒนานี้ได้สะท้อนให้เห็นความคิดการวางผังเมืองแบบสหรัฐอเมริกาที่จัดแยกพื้นที่ต่าง ๆ ออกจากกันและเชื่อมโยงด้วยระบบถนนและ “ไฮท์เวย์” ขนาดใหญ่ ซึ่งต่างจากเมืองในแถบยุโรปที่จะไม่ค่อยมีการจัดแยกพื้นที่กันอย่างแยกขาด (ที่อยู่อาศัยสามารถอยู่ร่วมได้กับย่านการค้า)

จากแผนการพัฒนาฯ ดังกล่าวนี้ดูจะได้กลายมาเป็นแม่แบบหรือหลักสำคัญอันหนึ่งของการพัฒนากรุงเทพฯ ธนบุรี และปริมณฑลในเวลาต่อมา โดยเฉพาะการให้น้ำหนักไปที่การพัฒนาระบบถนนและการจัดพื้นที่ตามการใช้สอย ซึ่งความคิดลักษณะนี้ดูจะสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน – การจัดแบ่งให้ที่อยู่อาศัย/สถานศึกษาขนาดใหญ่อยู่เขตชานเมืองและศูนย์กลางเมืองกันไว้ให้กับธุรกิจเป็นหลัก มีถนนสายหลักตัดเชื่อมชายเมืองกับศูนย์กลาง----ในแง่นี้ส่งผลให้ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพฯ และอาจรวมถึงประเทศไทยทั้งหมด ต้องพึ่งพาอาศัยการขนส่งทางถนนไปโดยปริยาย ทั้งโดยรถส่วนตัวและรถประจำทาง โดยเฉพาะผู้มีรายได้ไม่มากนักรถประจำทางดูจะเป็นทางเลือกเดียวสำหรับการเดินทางในแต่ละวัน

และเมื่อการใช้ระบบรถโดยสารประจำทางในเขตเมืองต้องประสบปัญหาหรือสร้างความไม่สะดวกต่างๆ นานา โดยเฉพาะในช่วงหลังทศวรรษที่ 2530 ที่เมืองและจำนวนผู้คนในเมืองได้ขยายตัวอย่างมาก และถนนบางสายแทบไม่มีรถประจำทางวิ่งผ่าน ระบบขนส่งสาธารณะแบบอื่น ทั้งรถสองแถว รถสองแถวขนาดเล็กหรือที่เรียกว่า “รถป๊อป” และรถตู้ จึงได้กลายมาเป็นระบบการขนส่งหลักอันหนึ่งของชาวเมือง โดยเฉพาะรถตู้โดยสารนั้นอาจกล่าวได้ว่าส่วนใหญ่นอกจากจะไม่ต้องยืนรออย่างไร้จุดหมายแล้ว ยังมีความรวดเร็วและความสะดวกสบายมากกว่าการโดยสารรถประจำทาง ยิ่งในปัจจุบันที่เครือข่ายรถตู้ได้กระจายครอบคลุมถนนเกือบทุกเส้นของกรุงเทพฯ และมีผู้คนใช้บริการหลายแสนคนต่อวัน การปราศจากรถตู้โดยสารจึงอาจทำให้การเดินทางของชาวเมืองเป็นอัมพาตไปเลยทีเดียว เฉกเช่นเดียวกับการปราศจากรถยนต์ส่วนตัวของบางกลุ่มคน

เหตุการณ์อันเศร้าสลดเมื่อปลายเดือนธันวาคมและอุบัติเหตุบนท้องถนนหลายต่อหลายครั้ง อาจจะต้องมองย้อนกลับไปถึงสภาพแวดล้อมที่กลายเป็นเงื่อนไขอันนำไปสู่การต้องพึ่งพิงกับการขนส่งทางถนน การใช้รถยนต์ การโดยสารรถประจำทางและรถตู้โดยสาร สาเหตุอื่น ๆ อาจมีความสำคัญแต่อาจมิใช่ทั้งหมดของปัญหา ในทางเดียวกับชีวิตมนุษย์ต่างมีข้อจำกัดและไม่สามารถมีทางเลือกได้ในหลายกรณี

 

 

หมายเหตุ: เผยแพร่ครั้งแรกใน คอลัมน์ มุมมองบ้านสามย่าน หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันพฤหัสบดีที่ 3 กุมภาพันธ์ 2554
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เครือข่ายชุมชนฯ หนุนชาวบ้านสวนป่าคอนสาร เสนอใช้โฉนดชุมชนแก้ปัญหา

Posted: 03 Feb 2011 03:46 AM PST

กรณีชาวบ้านสวนป่าคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ กำลังเดินเท้าเข้ากรุงเทพฯ เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม เนื่องจากการถูกดำเนินคดี โดยองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (ออป.) และกำลังจะถูกบังคับออกจากพื้นที่ เครือข่ายชุมชนเพื่อการปฎิรูปสังคมและการเมือง (คปสม.) ออกจดหมายเปิดผนึกถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ระบุกรณีนี้เป็นรูปธรรมของการละเมิดสิทธิเกษตรกรไทยที่รุนแรงอย่างยิ่ง เพราะเกษตรกรเหล่านั้นได้บุกเบิกอาศัยทำกินในผืนดินดังกล่าวมาตั้งแต่ปี 2496 ก่อนการประกาศเขตป่าสงวนแห่งชาติ และโครงการสวนป่าคอนสารของ ออป.

"การแก้ปัญหาที่ดินตามแนวทางโฉนดชุมชนจะเป็นทางออกในการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดของคนจน จึงขอเรียกร้องให้ นายธีระ วงศ์สมุทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดำเนินการให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (ออป.) ถอนฟ้องชาวบ้านคอนสาร รวมทั้งสนับสนุนให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชุมชนในทุกด้าน เพื่อสร้างโอกาสให้เกษตรกรไทยได้ประกอบอาชีพที่สุจริตอย่างสง่างาม" เครือข่ายชุมชนเพื่อการปฎิรูปสังคมและการเมืองเสนอ

จดหมายเปิดผนึก
กรณีเร่งด่วน สวนป่าคอนสาร
ถึง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี

จากการที่ชาวบ้านสวนป่าคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ กำลังเดินเท้าเข้ากรุงเทพฯ เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม เนื่องจากการถูกดำเนินคดี โดยองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (ออป.) และกำลังจะถูกบังคับออกจากพื้นที่นั้น นับว่าเป็นรูปธรรมของการละเมิดสิทธิเกษตรกรไทยที่รุนแรงอย่างยิ่ง เพราะเกษตรกรเหล่านั้น เป็นผู้ที่บุกเบิกอาศัยทำกินในผืนดินดังกล่าวมาตั้งแต่ ปี พ.ศ. ๒๔๙๖ ก่อนการประกาศเขตป่าสงวนแห่งชาติ และโครงการสวนป่าคอนสารขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (ออป.)

เกษตรกรยากจนที่เป็นชาวไร่ชาวนา จำนวน ๒๗๑ ครัวเรือน ใช้พื้นที่ดังกล่าว ทำการผลิตพืชผลทางการเกษตรหลายอย่าง อาทิเช่น ปอ ฝ้าย พริก ฯลฯ ซึ่งหมายความว่าได้หล่อเลี้ยงครอบครัวเกษตรกรไทยกว่า ๑,๓๐๐ ชีวิต รวมทั้งเป็นแหล่งสร้างความมั่นคงทางอาหารที่สำคัญของภาคอีสานอีกด้วย

การที่รัฐบาลในอดีตได้มีโครงการสวนป่าคอนสาร แต่ได้ทำลายแหล่งความมั่นคงทางอาหารและความอยู่รอดของชาวไร่ชาวนา อาจเป็นความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่นโยบายรัฐบาลปัจจุบันของท่านมีเป้าหมายชัดเจนในการแก้ไขปัญหาความยากจนและได้มีความพยายามผลักดันให้เกิดนโยบายการแก้ปัญหาที่ดินของคนจน ในรูปแบบต่างๆ และพื้นที่ดังกล่าว เป็นพื้นที่นำร่อง เพื่อดำเนินการ “โฉนดชุมชน” อยู่แล้ว

ทางเครือข่ายชุมชนเพื่อการปฏิรูปสังคมและการเมือง (คปสม.) เห็นว่าการแก้ปัญหาที่ดินตามแนวทางโฉนดชุมชน จะเป็นทางออกในการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดของคนจน จึงขอเรียกร้องให้ นายธีระ วงศ์สมุทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดำเนินการให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (ออป.) ถอนฟ้องชาวบ้านคอนสาร รวมทั้งสนับสนุนให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชุมชน ในทุกด้าน เพื่อสร้างโอกาสให้เกษตรกรไทยได้ประกอบอาชีพที่สุจริต อย่างสง่างาม

เครือข่ายชุมชนเพื่อการปฎิรูปสังคมและการเมือง (คปสม.)
๓ มกราคม ๕๔

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

กวีตีนแดง: พระเจ้ากำเนิดข้ามาเสรี -- พระเจ้าองค์นี้ชื่อ "ประชาชน"

Posted: 03 Feb 2011 03:31 AM PST

 

ใครกันหรือ กำเนิดข้า มารองบาท
เป็นเพียงทาส ชาติไพร่ ไร้ปีกฝัน
เสี้ยวดวงแดด นั้นแผดเผา เราทุกวัน
จึงใฝ่ฝัน จักพลิกฟ้า ชะตากรรม

ร้าวรอยแส้ เจ็บแผลบาด ที่พาดผ่าน
คือใครกัน กำเนิดข้า มาเหยียบย่ำ
หมู่ดาวลอย หลงฟ้า กว่าจะช้ำ
เสียงครวญคร่ำ ย้ำทางเปลี่ยว ไม่เหลียวมอง

ใครกันหรือ กำเนิดข้า มายากไร้
ดินแดนไหน ใครกันเล่า เป็นเจ้าของ
ชีวิตข้า หัวใจข้า ใครครอบครอง
อยากกู่ร้อง ก้องโลก ข้าโศกตรม

ใครกันหรือ กำเนิดข้า มาเพียงฝุ่น
ใต้เท้าคุณ ใต้ตีนเขา เราขื่นขม
ใฝ่ฝันถึง กลีบดอกไม้ และสายลม
หวังจะห่ม เสรีภาพ อาบแสงจันทร์

ใครกันเล่า กำเนิดข้า มาขังลืม
ใครกินดื่ม หยดเลือดบน ลานสังหาร
ใครทำนา บนหลังคน มายาวนาน
ใครสร้างวิมาน เวหน บนหัวกู!!!

เมื่อสายลม แห่งโลกใหม่ ใกล้เข้ามา
มวลประชา พร้อมใจกัน ลุกขึ้นสู้
คนเหมือนกัน ยืนยัน ให้มันรู้
เดินหน้าชู ธงแดง แห่งเสรี

สุดปลายทาง ยุคมืดแห่ง อวิชชา
แสงสว่าง ทางปัญญา มาแทนที่
เมื่อพระเจ้า กำเนิดข้า มาเสรี
ก็ไม่มี เจ้าชีวิต คิดแทนเรา

สองตีนหยาบ จักหยัดยืน ขึ้นเย้ยฟ้า
ทวงชะตา ฟ้ากำหนด กฎใครเล่า
ลืมตาเถิด โลกเปลี่ยนไป ไล่ตามเงา
สุดสายป่าน ความเศร้า เพียงเท่านี้

ท้องถนน ในเมืองนี้ เป็นสีแดง
เถิดสาปแช่ง ทวยเทพแห่ง การกดขี่
เมื่อพระเจ้า กำเนิดข้า มาเสรี
พระเจ้าองค์นี้ มีชื่อว่า --- ประชาชน

3 กุมภาพันธ์ 2554

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เหยื่อกระสุนพฤษภาเฉียดตาย ได้ค่าชดเชย 2,800

Posted: 03 Feb 2011 02:50 AM PST

 
 
3 ม.ค.54  นางสมพาน พุทธจักร อายุ 39 ปี ผู้ได้รับบาดเจ็บจากการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 17 พ.ค.53 เดินทางไปรับเงินเยียวยาที่กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม โดยได้รับเงินเป็นจำนวน 2,800 บาท ทั้งนี้ สมพารเป็นแม่ของลูกๆ 3 คน พยายามจะเข้าไปชุมนุมที่แยกราชประสงค์ แต่โดนยิงเข้าที่กลางหลังบริเวณบ่อนไก่เสียก่อน หลังผ่าตัดต้องนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลนาน 14 วัน และต้องพักฟื้นที่บ้านนาน 4 เดือนจึงจะสามารถเริ่มช่วยเหลือตัวเองได้
 
"ภรรยาผมทำงานไม่ได้เลยตั้งแต่ถูกยิงจนถึงตอนนี้เป็นเวลากว่า8 เดือนคุณชดเชยให้เราเท่านี้เองหรือ" สุวรรณ ทับทอง สามีของนางสมพานกล่าวและว่าทางกรมคุ้มครองสิทธิขอให้แพทย์เขียนใบรับรองแพทย์อีกครั้งโดยให้ประมาณการระยะเวลารักษาตัวแต่แพทย์ที่รพ.ราชวิถีปฏิเสธโดยให้เหตุผลว่าไม่สามารถระบุได้
 
ทั้งนี้ ใบรับรองแพทย์เบื้องต้นของรพ.ราชวิถี ระบุว่า สมพานถูกระสุนปืนยิงเข้าที่หลังด้านซ้าย ได้รับบาดเจ็บ โดนลำไส้เล็ก, ตับอ่อน, ตับ, ไต ได้ทำการผ่าตัดรักษา รับไว้รักษาตัวที่รพ. ตั้งแต่วันที่ 15 พ.ค.-31 พ.ค.53
 
 
สำหรับความเป็นมาของเหตุการณ์นั้น สมพารเล่าว่า เมื่อก่อนไม่เคยสนใจเรื่องการเมือง ไม่เคยไปร่วมชุมนุมจนมีครั้งหนึ่งพี่สาวมาจากต่างจังหวัดได้ชวนไปหาที่ผ่านฟ้า ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่เข้าไปในที่ที่มีการชุมนุม แต่ไม่ได้คิดว่าจะไปอีก หลังจากนั้นพอกลับมาดูสื่อที่ออกข่าวเกี่ยวกับการชุมนุมของคนเสื้อแดงก็เห็นว่าไม่ตรงกับความเป็นจริง ไม่เหมือนกับที่เราไปมา จึงกลับมาร่วมชุมนุมอีกครั้งเพราะรับไม่ได้กับข่าวสารที่บิดเบือนจึงอยากพิสูจน์ อีกทั้งตนยังเป็นคนที่ชื่นชอบคุณทักษิณ ชินวัตร ด้วย
 
“เหตุการณตอนที่โดนยิงจำได้ไม่เคยลืม วันนั้นได้ข่าวว่าจะมีทหารมาสลายการชุมนุม เป็นห่วงพี่น้องที่อยู่ที่ราชประสงค์ แต่เข้าไม่ได้จึงมาอยู่ที่บริเวณบ่อนไก่ ตอนมาถึงได้สักพักก็พลัดหลงกับสามีจึงเดินหา แล้วเดินเข้าไปอยู่ตรงใต้ทางด่วน ซึ่งบริเวณนั้นคนเยอะ แล้วก็มีคนตะโกนขึ้นมาบอกว่า "หมอบๆ ทหารยิง หลบเร็ว" พี่ยังไม่ทันหมอบก็โดนยิงเข้าที่หลังเสียก่อน รู้ว่าโดนยิงเพราะมันรู้สึกว่ามีอะไรทะลุเข้าหลังเรา ตอนนั้นลืมตาไม่ขึ้นแล้วแต่รู้สึกเจ็บปวด เรายังได้ยินทุกอย่างจำได้หมดว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง มีคนมาช่วยเรียกเราตลอดเวลาเพื่อให้เรารูู้สึกตัวไม่ให้หลับ กลัวเราตาย จนถึง รพ.” สมพานกล่าว
 
ส่วนสามีของนางสมพาน กล่าวว่า หลังจากพลัดหลงกับภรรยาได้พยายามตามหา และโทรเข้ามือถือหลายครั้ง จนมีคนเก็บโทรศัพท์ภรรยาได้ แต่เครื่องพังเขาจึงเอาซิมไปใส่เครื่องของเขาและเขาบอกให้ทราบว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งถูกยิงเพิ่งมีคนนำส่ง รพ. ตนพยายามตามหาจนเจอที่ รพ.ราชวิถี
 
“ไปถึงรพ.หน้าห้องไอซี หมอก็ออกมาเจอแล้วบอกเราว่าให้ทำใจนะ ภรรยาคุณอาจไม่รอ ดเพราะกระสุนทำลายระบบภายในหมดแล้ว ผมได้แต่ภาวนาว่าขอให้บุญกุศลที่ทำมาทั้งชีวิตให้เขารอดตายด้วยเถิด แล้วคำภาวนาเป็นจริง”สามีสมพานกล่าว
 
สุวรรณกล่าวต่อว่า หลังออกจากห้องผ่าตัดพักฟื้นที่ รพ.ได้ 14 วันคุณหมอก็อนุญาตให้กลับบ้านทั้งๆ ที่เพิ่งทานอาหารได้เป็นมื้อแรก ก่อนหน้านั้นทานแล้วอาเจียนออกมาตลอด คิดว่าเขายังไม่หายดีจึงขอร้องคุณหมอว่าให้อยู่รักษาตัวที่ รพ.ก่อนแต่หมอบอกว่าให้มารักษาที่บ้านได้แล้ว พอกลับมาบ้านก็ต้องดูแลทุกอย่างแทนภรรยา ทั้งงานบ้าน ลูกๆ รวมทั้งตัวของภรรยาด้วย ต้องทำความสะอาดแผล ดูแลเรื่องอาหารการกินเพราะสมพานยังทานอาหารทั่วไปไม่ได้ ตอนล้างแผลต้องโทรไปถามพยาบาลที่ รพ.ว่าทำอย่างไร มือหนึ่งถือโทรศัพท์ อีกมือทำแผล ตอนนั้นสมพานยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย ตนเองเลยไม่ได้ไปขับรถ ทำให้ไม่มีรายได้เข้าบ้าน และรถที่ผ่อนไว้เกือบหมดก็โดนยึด จนผ่านไปเกือบ 4 เดือน ภรรยาจึงเริ่มพยุงตัวเองได้ ตนจึงกลับมาขับรถ ค่าเทอมลูกๆ ก็ไม่ได้จ่าย ทาง รร.ทวงมาก็ไปขอติดเขาไว้ก่อนเพราะยังไม่มีเงินจ่ายส่วนที่ค้างไว้
 
“เวลาหมอนัดตรวจอาการภรรยา บางครั้งไม่มีเงินค่ารถไปก็ไม่ได้พาไปรักษา ครั้งล่าสุดหมอนัดเอ็กซเรย์ก็ขอเลื่อนหมอไปอีก 6 เดือนเพื่อหาเงินมาตรวจ หมอก็เข้าใจ” สามีสมพานกล่าว
 
เมื่อถามถึงอาการในปัจจุบัน สมพานกล่าวว่า ตอนนี้ทานอาหารได้มากขึ้น ช่วยเหลือตัวเองได้ แต่หมอยังบอกว่าน่าเป็นห่วงเพราะร่างกายอวัยวะภายในเราถูกทำลายไปมาก หมอยังบอกว่าไม่รู้ว่ารอดมาได้อย่างไรแต่ที่ห่วงมากที่สุดตอนนี้คือลูกๆ เพราะความเป็นอยู่มันบีบคั้นมาก ไม่มีอาชีพ ไม่มีรายได้
 
“แม้เราจะผ่านเหตุการณ์เลวร้ายมาแล้วไม่เคยลืมเลยว่ามันเกิดเหตุการณ์นี้ได้อย่างไร เราเป็นแค่ประชาชนมือเปล่าไม่มีอะไรจะสู้ คนตั้งเยอะทำไมยิงโดนเรา ผลกระทบของการทำลายชีวิตคนๆ หนึ่งมันมีมากมหาศาล ยิ่งเราไม่ได้ตายเรายิ่งทรมาน ตอนนี้รู้สึกว่าสังคมนี้มันไม่มีความยุติธรรมเลย แต่แม้เราจะลำบากแต่อุดมการณ์ยังเหมือนเดิม เรายังคงต้องการแค่ประชาธิปไตยเท่านั้น” สมพานกล่าว
 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

กก.สิทธิฯ ห่วงคดีวีระ-ราตรี ย้ำต้องได้สิทธิขั้นพฐ. ในกระบวนการยุติธรรม

Posted: 03 Feb 2011 02:48 AM PST

 
(3 ก.พ. 54) คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติออกแถลงการณ์ กรณีการพิจารณาคดีนายวีระ สมความคิด และนางสาวราตรี พิพัฒนไพบูลย์ แนะไม่ควรใช้กระบวนการทางศาลของประเทศใดประเทศหนึ่งในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่ทับซ้อน เนื่องจากในพื้นที่ดังกล่าว เขตอำนาจของศาลยังไม่มีความชัดเจน พร้อมทั้งเรียกร้องให้รัฐบาลไทยและกัมพูชาดูแลคนไทยที่ยังอยู่ในระหว่างถูกดำเนินคดี ให้ได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานในกระบวนการยุติธรรมตามพันธกรณีในกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองที่ทั้งสองประเทศเป็นภาคี และในระหว่างที่การเจรจาเขตแดนยังไม่บรรลุผล ขอให้รัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาหารือเพื่อกำหนดมาตรการในการดูแลพื้นที่ที่ทั้งสองฝ่ายอ้างสิทธิเหนือดินแดน และเคารพข้อตกลงดังกล่าวอย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์ในทำนองนี้และเพื่อให้ประชาชนไทยและกัมพูชาดำรงชีวิตได้อย่างปกติสุขด้วย

 

แถลงการณ์คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
กรณีการพิจารณาคดีนายวีระ สมความคิด และนางสาวราตรี พิพัฒนไพบูลย์

ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้ออกแถลงการณ์ เมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๕๔ กรณีคนไทย ๗ คน ถูกทหารกัมพูชาจับกุมบริเวณชายแดน ไทย – กัมพูชา โดยได้ขอให้รัฐบาลประกันสิทธิและเสรีภาพของคนไทยทั้ง ๗ คนตามหลักสิทธิมนุษยชนตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะสิทธิขั้นพื้นฐานในกระบวนการยุติธรรมในการพิจารณาคดี ตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง นั้น

กสม. ได้ให้ความสำคัญต่อกรณีดังกล่าวเป็นอย่างยิ่ง โดยได้ติดตามความคืบหน้าในการดำเนินการของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาโดยตลอด และเมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ นายปริญญา ศิริสารการ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ในฐานะผู้แทนกสม. ได้เดินทางไปยังกัมพูชาเพื่อร่วมรับฟังการพิจารณาคดีของนายวีระ สมความคิด และนางสาวราตรี พิพัฒนไพบูลย์ ที่ศาลกรุงพนมเปญ และมีข้อสังเกตว่า นายวีระฯ และนางสาวราตรีฯ ไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเพียงพอที่จะได้รับการคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานในกระบวนการยุติธรรม เช่น การไม่ได้รับการสนับสนุนด้านเอกสารและพยานจากฝ่ายเจ้าหน้าที่ในการต่อสู้คดี นอกจากนี้ ทนายความและล่ามไม่สามารถสื่อสารเข้าใจได้ ซึ่งล้วนมีผลกระทบต่อการที่บุคคลทั้งสองจะได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม

ในการนี้ กสม. มีข้อห่วงกังวลและความเห็นกรณีดังกล่าว ดังนี้
1. กสม. เห็นว่า ความไม่ชัดเจนของแนวเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชามีผลกระทบต่อสิทธิของประชาชนของทั้งสองประเทศ หากมีการกระทบกระทั่งในพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาต่างอ้างสิทธิเหนือดินแดนที่เป็นเขตโต้แย้ง การแก้ไขปัญหาควรดำเนินไปตามหลักสันติวิธีและอย่างเป็นมิตรในเจตนารมณ์ของการเป็นเพื่อนบ้านที่ดี และไม่ควรใช้กระบวนการทางศาลของประเทศใดประเทศหนึ่งในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่ทับซ้อน เนื่องจากในพื้นที่ดังกล่าว เขตอำนาจของศาลยังไม่มีความชัดเจน

2. ในขณะที่กระบวนการทางศาลยังดำเนินต่อไป กสม. เรียกร้องให้รัฐบาลไทยและกัมพูชาดูแลคนไทยที่ยังอยู่ในระหว่างถูกดำเนินคดี ให้ได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานในกระบวนการยุติธรรมตามพันธกรณีในกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองที่ทั้งสองประเทศเป็นภาคี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม และได้รับสิทธิในการเตรียมเอกสารข้อมูลที่จำเป็นในการต่อสู้คดีตามที่ร้องขอ สิทธิที่จะสามารถเลือกทนายความในการต่อสู้คดีตามความประสงค์ และการจัดหาล่ามที่สามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ประชาคมโลกกำลังติดตามกระบวนการพิจารณาคดีทางศาลดังกล่าวว่าเป็นไปตามมาตรฐานระหว่างประเทศ หรือไม่

3. ในระหว่างที่การเจรจาเขตแดนยังไม่บรรลุผล ขอให้รัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาหารือเพื่อกำหนดมาตรการในการดูแลพื้นที่ที่ทั้งสองฝ่ายอ้างสิทธิเหนือดินแดน และเคารพข้อตกลงดังกล่าวอย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์ในทำนองนี้และเพื่อให้ประชาชนไทยและกัมพูชาดำรงชีวิตได้อย่างปกติสุข

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

หลงทาง หรือหลงทุน

Posted: 03 Feb 2011 02:05 AM PST

สถานการณ์ยืนต้นตายของมะพร้าวในหลายพื้นที่ ที่ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับเกษตรกรชาวสวนมะพร้าว และทำให้ราคามะพร้าวมีราคาแพงขึ้น จากการระบาดของแมลงดำหนาม และแม้ว่าขณะนี้ การระบาดของแมลงดำหนามจะเบาบางลง แต่ก็ยังพบการระบาดของหนอนหัวดำ ซึ่งกลุ่มงานวิจัยการปราบศัตรูพืชทางชีวภาพ สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช ได้ให้คำแนะนำในเบื้องต้นต่อเกษตรกรชาวสวนมะพร้าวให้หมั่นสังเกตต้นมะพร้าวในแปลงปลูกของตนเองอย่างสม่ำเสมอ หากตรวจพบหนอนหัวดำซึ่งเป็นศัตรูพืชทำลายมะพร้าวให้ตัดเก็บและเผาใบมะพร้าวที่ถูกทำลายทิ้ง และหากพบการระบาดรุนแรงให้ฉีดพ่นสารเคมีฆ่าแมลงตามคำแนะนำ ซึ่งจะต้องระมัดระวังในการฉีดพ่นเคมีเป็นพิเศษเพราะเป็นอันตรายต่อคนและสัตว์ และสามารถควบคุมหนอนหัวดำด้วยชีววิธี โดยใช้ศัตรูธรรมชาติทำลายหนอนหัวดำ เช่น ใช้แตนเบียนไข่ แตนเบียนหนอน และแตนเบียนดักแด้ รวมทั้งเชื้อราด้วย

กลุ่มงานวิจัยการปราบศัตรูพืชทางชีวภาพ สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช ยังได้ให้ข้อมูลการระบาดของหนอนหัวดำที่ทำลายต้นมะพร้าวนั้นว่า หนอนดังกล่าวไม่ได้ทำลายแต่ต้นมะพร้าว แต่ยังทำลายต้นตาลฟ้า อินทผลัม ปาล์มประดับ ปาล์มแวกซ์ หมากนวล หมากเขียว หมากแดง จั๋ง กล้วย ซึ่งจะต้องติดตามการระบาดอย่างใกล้ชิด
เมื่อหนอนหัวดำโตเต็มวัย ก็จะเป็นผีเสื้อกลางคืน เวลากลางวันจะเกาะหลบนิ่งอยู่ใต้ใบมะพร้าว หรือในที่ร่ม

น่าแปลกใจหรือไม่ว่าทำไมมะพร้าว ตาล หมาก ปาล์ม กล้วย ที่เป็นพืชอาหารที่ใกล้ชิดกับวิถีชีวิตของประชาชน จึงถูกทำลายด้วยด้วง หนอน ผีเสื้อ จนเป็นเหตุให้ยืนต้นตาย และยังเป็นศัตรูกับพืชอาหารอื่นๆ อีก มีผลกระทบให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน

หากพิจารณาถึงความเป็นธรรมชาติแล้วก็จะเห็นได้ว่า วันนี้สภาพนิเวศวิทยาของโลกนั้น ได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปด้วยการเกษตรแผนใหม่ที่ใช้เคมีที่ทำลายหญ้า ทำลายแมลง จนทำให้ห่วงโซ่อาหาร และดุลของธรรมชาตินั้นถูกทำลายลงสิ้นเชิง จนแมลงที่ทำลายแมลงก็ต้องตายกับยาฆ่าแมลง นกไม่มีแมลงเป็นอาหารหรือกินแมลงที่ปนเปื้อนเคมี ก็ต้องตาย หรือไม่สามารถเจริญพันธุ์ต่อไปได้ หรือแม้กระทั่งการคลั่งไคล้เลี้ยงนกในกรง ประกวดประชันขันเสียงชิงรางวัลกัน จนไร้นกที่คอยจับกินหนอนและแมลงต่างๆที่เป็นศัตรูพืช นี่เป็นปัจจัยหนึ่งในปัญหาการระบาดของแมลงศัตรูพืช

ในปัญหาการระบาดของแมลงศัตรูพืช กับไม้ยืนต้นสูงๆ อย่างต้นมะพร้าว แล้วจะให้คนเฝ้าระวังคอยดูแลว่ามีแมลงหรือไม่อย่างไรนับเป็นเรื่องยาก ทำไมไม่รณรงค์ให้มีการคืนธรรมชาติ คืนระบบนิเวศให้นกกลับคืนสู่ป่า สู่สวน สู่ไร่ ของประชาชน เพื่อให้นกเป็นหูเป็นตาเฝ้าดักจับกินแมลงให้กับเรา และถึงเวลาหรือยังที่จะต้องทบทวนนโยบายการใช้สารเคมีการเกษตรที่ทำลายระบบนิเวศวิทยา เป็นอันตรายต่อคนและสัตว์

เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2554 เครือข่ายวิชาการเตือนภัยสารเคมีเกษตร ประเทศไทย (คสท.) ได้ให้ข้อมูลว่าปัญหาสารเคมีการเกษตรตกค้างในผักผลไม้ของไทยอยู่ในขั้นวิกฤติ

คณะกรรมการวัตถุอันตราย ตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 ซึ่งมีปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธานคณะกรรมการนี้ จะต้องประชุมพิจารณานำเสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีเป็นการด่วนในการยับยั้งการใช้สารเคมีการเกษตรที่เป็นอันตรายต่อสภาพแวดล้อม อันตรายต่อคนและสัตว์ เพื่อหาหนทางให้ระบบนิเวศวิทยาสามารถฟื้นกลับคืนมาได้อย่างรวดเร็ว …

 

หมายเหตุ  อ้างอิง พระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535
http://web.krisdika.go.th/data/law/law2/%c703/%c703-20-9999-update.pdf

 
หนอนหัวดำมะพร้าว
http://www.rakbankerd.com/agriculture/page?id=1396&s=tblplant

 
เครือข่ายวิชาการเตือนภัยสารเคมีจี้รัฐแบน 4 สารเคมีการเกษตรสุดอันตราย
http://www.prachatai3.info/journal/2011/01/32834

 
             
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

นัดฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ คดี ‘ดา ตอร์ปิโด’ 9 ก.พ.นี้

Posted: 03 Feb 2011 01:09 AM PST

 

3 ก.พ.54 นายกิตติชัย ชาญเชิงศิลปกุล พี่ชายของนางสาวดารณี ชาญเชิงศิลปกุล ผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา กล่าวว่า ในวันที่ 9 ก.พ.นี้ เวลา 9.30 น. ศาลอาญา รัชดา นัดฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ดารณี ได้ยื่นขอถอนอุทธรณ์แล้ว แต่มีคำสั่งศาลอุทธรณ์ออกมาก่อนจึงได้ทำการยกเลิกการถอนอุทธรณ์ดังกล่าวไป โดยเหตุที่ดารณีเตรียมการจะถอนอุทธรณ์นั้นเนื่องจากคาดหวังว่าในปีนี้จะมีการอภัยโทษเป็นการทั่วไปให้แก่ผู้ต้องขังทั่วประเทศในวาระสำคัญ

นายกิตติชัย กล่าวด้วยว่าขณะนี้ความเป็นอยู่ของดารณีค่อนข้างยากลำบาก เนื่องจากยังคงเจ็บป่วยด้วยอาการกรามยึดติดทำให้อ้าปากได้เพียงเล็กน้อย และยังไม่ได้ทำการผ่าตัดเนื่องจากรับประทานอาหารปกติในเรือนจำไม่ได้ ทำให้โลหิตจาง หากผู้ใดต้องการช่วยเหลือสามารถบริจาคโดยตรงได้ที่ทัณฑสถานหญิงกลางในบัญชี ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือบริจาคผ่านบัญชี นายกิตติชัย ชาญเชิงศิลปกุล ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาถนนพูนผล เลขที่บัญชี 297-1-25805-5 ,ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาภูเก็ต เลขที่บัญชี 537-406116-0, ธนาคารกรุงเทพ สาขาภูเก็ต เลขที่บัญชี 264-4-40298-0
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น