ประชาไท | Prachatai3.info |
- “สนธิ”อัด "มาร์ค" อย่าทวงถนน 2 เลน - ไล่ให้ไปทวงพื้นที่ 4.6 ตร.กม.
- ตำรวจจับผู้ดูแลเว็บบิททอเรนท์ในไทย
- แอมเนสตี้ฯ เรียกร้อง รบ.ไทยยกฟ้องทุกข้อกล่าวหาต่อ ผอ.ประชาไท
- X – Step บทพิสูจน์เด็กเล่นเกม สู่คนทำเกมคุณภาพ
- พนักงานโรงกลั่น Esso ศรีราชา ชี้แจงกรณีพิพาทแรงงาน
- ลึก(ไม่)ลับ กับ กุหลาบพันธุ์ไม้มหัศจรรย์ = ความนิยมที่ไม่(เคย)จางหาย แทน “ความรัก”
- สืบพยานจำเลย คดีผู้ออกแบบเว็บ "นปช.ยูเอสเอ" ศาลนัดพิพากษา 15 มี.ค.
- พม่าห้ามรถผ่านเข้าพื้นที่กองกำลังว้า – เมืองลา กดดันหลังปัดตั้ง BGF
- แฟนไทยพรีเมียร์ลีกยังไม่มั่นใจการรักษาความปลอดภัยในฤดูกาลใหม่
- มาร์คฉะ พธม. ให้ส่วนรวมแค่ 2 ช่องจราจรทำไมให้ไม่ได้
- ปัญหาระหว่างไทยกับกัมพูชา: ผลกระทบต่อความร่วมมือระหว่างประเทศ
- ผู้ป่วยชาวพม่าพึ่งสภาทนายฯ-หลังใบอนุญาตทำงานไม่หมดอายุ แต่ยังถูกคุมตัว
- ศอ.รส.ออกประกาศ 2 ฉบับขับพันธมิตรฯ พ้นพื้นที่รอบทำเนียบ
- กลุ่มสันติภาพรณรงค์ร้องเพลงชาติถอยหลังต้านแนวคิดคลั่งสงคราม
“สนธิ”อัด "มาร์ค" อย่าทวงถนน 2 เลน - ไล่ให้ไปทวงพื้นที่ 4.6 ตร.กม. Posted: 10 Feb 2011 01:38 PM PST ชี้ "อภิสิทธิ์" ปกป้องผลประโยชน์เขมร หวังสวมตอผลประโยชน์ทางทะเลแทน "ทักษิณ" ด้าน "จำลอง" ลั่นเป็นนักไล่นายกฯ มืออาชีพ ถามมาร์คอยากเป็นคนที่ 5 หรือ พร้อมนัดผู้ชุมนุมเคลื่อนใหญ่ศุกร์นี้ ตามที่เมื่อช่วงบ่ายวานนี้ (10 ก.พ.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้สัมภาษณ์ขอพื้นที่การจราจรคืนจากพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจำนวน 2 ช่องจราจรโดยระบุว่า "ผมก็อยากจะย้ำอีกครั้งว่าให้ส่วนรวมเพียงแค่ 2 ช่องจราจรทำไมให้ไม่ได้ มีเหตุผลอะไรนอกจากอยากจะให้บ้านเมืองวุ่นวายหรืออย่างไร" นั้น (อ่านข่าวย้อนหลัง) จำลองอัดนายกฯ ไม่ฉลาด ขี้ขลาด ตอแหล พล.ต.จำลอง กล่าวอีกว่า เมื่อวันที่ 5 ที่เรามาออกเสียงเป็นเอกฉันท์ เราให้เวลามานานแล้วให้ต่อไปไม่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นเสียดินแดนแน่นอน เพราะฉะนั้นออกไป ๆ เขามีอยู่ 2 ทาง คือ ออกไป หรือแกล้งเรา วันนี้เขาเลือกวิธีที่ 2 คือมาแกล้งเรา หาเหตุผลมาตอแหลเหลือเกิน ตอแหลว่า 2 ช่องทางจราจรมันจะเสียแดนได้อย่างไร เรามากดดันนายกฯก็ต้องอยู่ข้างที่ทำงานนายกฯ ไม่งั้นก็เข้าไปในทำเนียบน่ะสิ ลั่นเป็นนักไล่นายกฯ มืออาชีพ ถามมาร์คอยากเป็นคนที่ 5 หรือ พล.ต.จำลอง กล่าวว่า ตนได้ร่วมกับพี่น้องประชาชนบางกลุ่มบางเหล่า ต่อต้านคัดค้านเพื่อบ้านเมืองมาแล้วทั้งหมด 8 ครั้ง แต่ละครั้งแทบไม่เห็นชัยชนะ แต่ไม่รู้เป็นไงชนะทุกครั้ง และครั้งที่ 9 นี้แพ้ไม่ได้ ครั้งนี้ถ้าแพ้หมายถึงคนไทยทั้งหมดแพ้ เพราะดินแดนเป็นของคนไทย 63 ล้านคน เพราะฉะนั้นคราวนี้ไม่มีทางแพ้ สู้ที่นี่ สู้ตรงนี้ สู้จนชนะ พล.ต.จำลอง ยังกล่าวอีกว่า พรุ่งนี้ 10 นาฬิกา เราจะเดินไปพร้อมๆกัน จะเดินสวนสนามกันอย่างเท่ห์ๆ เลย และผู้กล่าวนำปฏิญาณคือนายทหารผ่านศึกที่ผ่านสมรภูมิมากที่สุดในประเทศไทย พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ พี่น้องต้องภูมิใจนะ ทหารปฏิญาณต่อธงชัยเฉลิมพล แต่เรา ปฏิญาณเพื่อปกป้องแผ่นดิน ส่วนที่จะส่งของไปที่ชายแดน พี่น้องไม่ต้องไป ถ้าจะไปเราต้องไปกันเยอะๆ โอกาสหน้ายังมี คราวนี้ส่งของไปช่วยเขาก่อน สนธิชี้กัมพูชายึดแผนที่ 1 ต่อ 200,000 เพื่อเขตแดนทางทะเล อัดนายกฯ ปกป้องผลประโยชน์เขมร คิดสวมตอผลประโยชน์ทางทะเลแทนทักษิณ อย่างไรก็ตาม หลังจากนายสมัคร สุนทรเวช เข้ามาเป็นนายกฯ ก็เดินหน้าต่อ ด้วยการออกแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาเพื่อสนับสนุนการจดทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชาแต่เพียงฝ่ายเดียว ซึ่งนายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศเป็นผู้ลงนาม ซึ่งพันธมิตรฯ ได้ออกมาคัดค้าน ทั้งนี้ นายนพดลถือเป็นตัวการที่ทักษิณวางตัวไว้ให้เดินเรื่องมรดกโลก สานต่อเอ็มโอยู 2543 เอ็มโอยู 2544 และต่อไปยังอ่าวไทยที่มีก๊าซธรรมชาติและน้ำมัน เนื่องจากนายนพดลเป็นทนายความที่ทักษิณสั่งซ้ายหันขวาหันได้ เมื่อนายอภิสิทธิ์เข้ามา ทั้งที่เคยพูดตอนเป็นฝ่ายค้านว่าไม่เอาแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน แต่ความที่ต้องการเอาตัวรอดไปวันๆ ก็พยายามให้เราเชื่อว่ายังยึดหลักสันปันน้ำ แต่พฤติกรรมของเขาตั้งแต่เป็นนายกฯ ก็เปลี่ยนไปทุกด้าน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงไปคุยกระหนุงหระหนิงกับนายฮุนเซน แล้วกลับมาบอกว่าพื้นที่ 4.6 ตร.กม.แค่แมวดิ้นตาย เแสดงว่าไปตกลงจะให้นาฮุนเซนไดเพื้นที่ 4.6 ตร.กม. เพื่อเอาไปหาเสียงกับคนเขมรใช่หรือไม่ นอกจากนี้มีคนบางคนไปพบนายซกอาน รองนายกฯ เขมรที่ฮ่องกง ซึ่งตนพอรู้คร่าวๆ ว่า มีการตกลงจะให้มีสันติภาพ ด้วยการยก 4.6 ตร.กม.ให้เขมร แล้วฝ่ายเขมรจะให้ผลประโยชน์ทางทะเล นั่นคือกระบวนการสวมตอนั่นเอง
ย้อนมาร์คขอคืนพื้นที่จราจร แต่ไม่เคยขอคืนพื้นที่ 4.6 ตร.กม. นายสนธิ กล่าวว่า นอกจากมีการตกลงผลประโยขน์กับนายฮุนเซนแล้ว ทหารบางคนมีเมียน้อยถึง 4 คน ที่ส่งสินค้าอุปโภคบริโภคขายให้เขมร พวกเราจึงต้องมานั่งเหงื่อแตกอยู่ตรงนี้ เพราะรัฐบาลไม่ทำงาน ตรงกันข้าม การแสดงออกทั้งของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม กลับเร่งให้ไทยเสียดินแดน เมื่อคนไทย 7 คนถูกจับ ก็รีบออกมาพูดว่าอยู่ในดินแดนเขมร จนพวกเราต้องไปหาหลักฐานมา เอาชาวบ้านที่เป็นเจ้าของที่มายืนยันว่าอยู่ในเขตไทย ที่มา: เรียบเรียงจาก เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ [1] , [2] สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ตำรวจจับผู้ดูแลเว็บบิททอเรนท์ในไทย Posted: 10 Feb 2011 01:15 PM PST เจ้าหน้าที่ตำรวจจับผู้ดูแลเว็บ "ทอเรนมูฟ ดอทคอม" เนื่องจากให้บริการแบ่งปันไฟล์เพลง ภาพยนตร์ละเมิดลิขสิทธิ์ โดยเอาผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และยังเอาผิดตาม พ.ร.บ.ภาพยนตร์และวิดีทัศน์ เนื่องจากเครื่องไรท์ดีวีดีและแผ่นซีดีละเมิดลิขสิทธิ์นับหมื่น ด้านผู้ดูแลเว็บรับสารภาพเฉพาะเรื่องซีดีละเมิดลิขสิทธิ์ แต่ให้การปฏิเสธในคดี พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เมื่อคืนวานนี้ (10 ก.พ.) ข่าวสามมิติ ทางสถานีโทรทัศน์่ช่อง 3 รายงานว่า ตำรวจกองบังคับปราบปรามการกระทำเกี่ยวกับความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ บก.ปอท. เข้าตรวจค้นบ้านเจ้าของนายพนิต ชอบชน ผู้ดูแลเว็บไซต์ทอเรนมูฟ ดอทคอม ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่าเว็บดังกล่าวเป็นให้บริการบิททอเรนท์ ให้ผู้ใช้บริการโพสต์และดาวโหลดไฟล์เพลง ไฟล์ภาพยนตร์ ที่ละเมิดลิขสิทธิ์และอนาจาร โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจยึดคอมพิวเตอร์ 6 เครื่อง ซึ่งมีคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งซึ่งกำลังเชื่อมต่อเซิร์ฟเวอร์ ปรากฎข้อมูลสมาชิก และข้อมูลการแจ้งโอนเงินค่าสมาชิกหลายรายการ นอกจากนี้ยังตรวจค้นพบแผ่นดีวีภาพยนตร์ละเมิดลิขสิทธิ์ เครื่องทำสำเนาแผ่นดีวีดีสองเครื่อง และใบสั่งซื้อดีวีดีและใบแนบหลักฐานการโอนเงินเข้าธนาคาร โดยเจ้าของเว็บไซต์ รับสารภาพเฉพาะข้อหาทำสำเนา จำหน่ายภาพยนตร์ละเมิดลิขสิทธิ์ ส่วนข้อหาอื่นๆ มั่นใจว่าไม่ผิดกฎหมาย โดยขณะนี้ตำรวจได้ปิดเซอร์เวอร์เว็บไซต์ดังกล่าวแล้ว และแจ้งข้อหาตามมาตรา 14 วรรค 4 และ วรรค 5 และมาตรา 15 ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และเอาผิดตาม พ.ร.บ.ภาพยนตร์และวิดีทัศน์ พ.ศ. 2551 ฐานนำภาพยนตร์ออกฉาย ให้เช่า หรือแลกเปลี่ยนโดยไม่ได้รับอนุญาต สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
แอมเนสตี้ฯ เรียกร้อง รบ.ไทยยกฟ้องทุกข้อกล่าวหาต่อ ผอ.ประชาไท Posted: 10 Feb 2011 01:00 PM PST ชี้การจับกุมและดำเนินคดีต่อ ‘จีรนุช’ แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลมุ่งจัดการความเห็นของฝ่ายค้านให้เงียบเสียง ทั้งยังเป็น ‘ซีรีย์ล่าสุด’ ของการโจมตีเสรีภาพการแสดงความเห็นในประเทศไทย เหมือนยิง “คนนำสาร” ชี้รัฐบาลไทยกำลังละเมิดกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ซึ่งรัฐบาลไทยเคยลงนามรับรอง เมื่อวันที่ 10 ก.พ. แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ องค์กรนิรโทษกรรมสากล เรียกร้องให้ทางการไทยยกฟ้องทุกข้อกล่าวหาต่อจีรนุช เปรมชัยพร ผู้อำนวยการหนังสือพิมพ์ออนไลน์ประชาไทและกระดานสนทนา โดยคดีดังกล่าวจีรนุชถูกตั้งข้อกล่าวหาเนื่องจากลบความเห็นหมิ่นเหม่ในกระดานสนทนาช้าเกินไป "จีรนุชไม่ควรอยู่ในคอกจำเลย ความคิดเห็นท้ายข่าว ซึ่งเธอต้องกลายเป็นผู้รับผิดแทนนั้นไม่ควรถูกลงโทษห้ามแต่แรก โดยเฉพาะเมื่อความเห็นพวกนั้นโพสต์โดยบุคคลอื่น" เบนจามิน ซาแวคกี ผู้เชี่ยวชาญด้านประเทศไทยของแอมเนสตี้กล่าว จีรนุชถูกตั้งข้อหาตามมาตรา 14 และ 15 ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ซึ่งตามกฎหมายดังกล่าวตัวกลางออนไลน์ก็ต้องรับผิดด้วย รวมทั้งผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISPs) และ ผู้ดูแลเว็บ โดยตามที่ระบุในกฎหมายยังรวมถึงผู้ที่สนับสนุนหรือยินยอมให้มีการโพสต์ข้อความที่เกี่ยวข้องความมั่นคงของชาติในระบบคอมพิวเตอร์ที่เขาเป็นผู้ดูแลด้วย “การจับกุมและดำเนินคดีจีรนุชเป็นการแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไทยต้องการมุ่งจัดการความเห็นของฝ่ายค้านและฝ่ายที่ไม่นิยมรัฐบาลให้เงียบเสียงเพียงไร” ซาแวคกีกล่าว “คดีของจีรนุชมีนัยยะสำคัญเพราะเป็นการคุกคาม และเป็นการ “ยิงคนนำสาร” นอกเหนือไปจากการพยายามเอาผิดกับข้อความด้วย” ซาแวคกีกล่าว “นอกจากนี้ยังเป็นซีรีย์ล่าสุดของการโจมตีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประเทศไทย ในรอบไม่กี่ปีมานี้ด้วย” ทั้งนี้กระทรวงไอซีทีได้ประกาศในเดือนมิถุนายนปี 2553 ว่า ได้บล็อกเว็บไซต์ไปแล้ว 43,908 เพจ ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ ในเดือนต่อมาประชาไทได้ปิดเว็บบอร์ดการแสดงความคิดเห็นของตน เนื่องจากถูกกดดันและเซ็นเซอร์อย่างหนักโดยรัฐบาล ทั้งนี้เฉพาะปี 2553 เป็นต้นมา ประชาไทถูกดำเนินคดีเพิ่มตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ อีก 5 ข้อหา รวมเป็น 15 ข้อหาหากนับตั้งแต่ปี 2550 ทั้งนี้การจับกุมและตั้งข้อหาจีรนุช เกิดขึ้นในเดือนมีนาคมและเมษายน 2552 หลังจากมีผู้แสดงความเห็นในเว็บบอร์ดประชาไทในเดือนเมษายนและสิงหาคมปี 2551 จีรนุชถูกกล่าวหาแยกเป็น 10 คดี แต่ละคดีต้องโทษจำคุกสูงสุด 5 ปี ทั้งนี้ประชาไทประเมินว่าในปี 2551 มีความเห็นใหม่ๆ ราว 2,500 ความเห็นถูกโพสต์ในเว็บไซต์ โดยที่จีรนุชเป็นผู้ดูแลเว็บบอร์ดในช่วงนั้น โดยเหตุที่ยกมากล่าวหาต่อจีรนุชก็คือ ปล่อยให้มีความเห็นดังกล่าวค้างอยู่ในเว็บไซต์เป็นเวลา 1 ถึง 20 วัน แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลระบุว่า หากจีรนุชถูกตัดสินให้มีความผิดและต้องโทษจำคุก จะเป็นนักโทษที่ต้องโทษเพียงเพราะเป็นผู้แสดงออกซึ่งเสรีภาพในการแสวงหา ได้รับ และติดต่อสื่อสารเพื่อข้อมูลและแนวคิดต่างๆ” ซึ่งเป็นเสรีภาพซึ่งได้รับการการันตีอยู่ในกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (the International Covenant on Civil and Political Rights) “ขณะที่ประเทศไทยได้ลงนามในกติการะหว่างประเทศดังกล่าว ดังนั้น “ความมั่นคงของชาติ” และ “กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ไม่ควรถูกใช้เพื่อละเมิดเสรีภาพและเพื่อทำให้การวิพากษ์วิจารณ์ต้องเงียบเสียง” ซาแวคกีกล่าว สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
X – Step บทพิสูจน์เด็กเล่นเกม สู่คนทำเกมคุณภาพ Posted: 10 Feb 2011 09:12 AM PST พีรพัทธ์ นันนารารัตน์ (ที่มาของภาพ: ฝ่ายสื่อสารสังคม มูลนิธิสยามกัมมาจล) ปัญหาเด็กติดเกม หนีเรียน ความรุนแรงในสังคม อาจทำให้การเล่นเกมกลายเป็นจำเลยของสังคม วันนี้มีบทพิสูจน์จากเด็กเล่นเกมที่ผันตัวเองมาเป็นคนสร้างเกม หลายแง่มุมความคิดจากหนุ่มน้อย นายพีรพัทธ์ นันนารารัตน์ หรือ“น้องฮง” นักเรียนชั้น ม. 6 โรงเรียนเพ็ญสมิทธ์ กรุงเทพฯ เจ้าของหลายรางวัลจากการทำเกมคุณภาพ อาจให้คำตอบของการเล่นเกม...เป็นมากกว่าที่หลายคนเคยมอง น้องฮง เล่าว่าตัวเองก็เป็นคนหนึ่งที่เริ่มต้นถนนคนทำเกมจากการเป็นคนเล่นเกมมาก่อน ทำให้สนใจอยากมีเกมเป็นของตัวเอง จึงรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ เพื่อเรียนรู้และทำเกมแอคชั่นขึ้นเป็นเกมแรกด้วยเทคนิคไม่ซับซ้อนมากนัก คือ เกม Confuse way เกมสะท้อนแนวคิดการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อนในรูปแบบที่วัยรุ่นเล่นได้ไม่เบื่อ ผูกเรื่องให้เกี่ยวข้องกับเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ เป็นจุดเริ่มต้นของนักสร้างเกมหนุ่มน้อยวัย 18 ปีที่มีแนวความคิดในการทำเกมอย่างสร้างสรรค์ “สำหรับตัวผม การที่เป็นคนชอบเล่นเกมมาก่อทำให้รู้สึกอยากเปลี่ยนแปลงบ้าง เห็นนักออกแบบเกมดังๆในโลก เช่น ชิเงะรุ มิยะโมะโต , วิลล์ ไรท์ และ คริสโตเฟอร์ เทย์เลอร์ การทำงานของเขาแทนที่จะมานั่งจดจ่อกับการเขียนเกมอย่างที่ผมเคยเป็น เขาก้าวข้ามจุดนั้นโดยใช้แต่ความคิดเมื่อพัฒนาความคิดมาถึงจุดหนึ่งแล้วเขาจะประยุกต์ได้เองว่าควรทำอย่างไร ประเด็นหลักในการคิดเกมอาจไม่ต้องคำนึงถึงโปรแกรมมากนัก แต่ให้ความสำคัญที่แนวความคิดที่จะนำเสนอ” เกม BKK TaXo MeTroN ที่พีรพัทธ์เป็นผู้สร้างสรรค์ (ที่มาของภาพ: ฝ่ายสื่อสารสังคม มูลนิธิสยามกัมมาจล) จุดเริ่มต้นของเด็กเล่นเกมที่มีความฝันอยากมีเกมเป็นของตัวเองทำให้ น้องฮงไม่หยุดยั้งได้สร้างสรรค์เกมขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง โดยเกมต่อมาที่ทำ คือ เกมเกี่ยวกับการขับแท็กซี่ท่องไปตามสถานที่สำคัญต่างๆ รอบเกาะรัตนโกสินทร์ ชื่อ เกม BKK TaXo MeTroN มีเนื้อหาเกี่ยวกับการศึกษาประวัติศาสตร์ของกรุงเทพฯ “เกมนี้จำลองฉากเกาะรัตนโกสินทร์มาเป็นรูปแบบของเกมซึ่งมีความเสมือนจริง ก่อนทำเกม ผมและเพื่อนๆ ได้ไปสำรวจรอบเกาะรัตนโกสินทร์ทั่วบริเวณพันกว่าไร่ ฉากของเกมนี้ รถแท๊กซี่จะรับผู้โดยสารขึ้นมาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ไปยังสถานีตำรวจนครบาลพระราชวัง จากทางเหนือสุดไปใต้สุด รอบเกาะรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ วัดพระแก้ว พระบรมมหาราชวัง ศาลหลักเมืองไปจนเกือบถึงปากคลองตลาด ฯลฯโดยเกมนี้ได้แนวคิดมาจากนครวาติกัน และอีกหลายๆ มหานครของโลก ที่ทำให้กลับมาคิดว่าสถานที่เที่ยวของประเทศไทยก็ติดอันดับโลกมากมาย เกมในลักษณะนี้เราน่าจะทำออกมาได้ โดยเฉพาะเรามีประวัติศาสตร์อันยาวนานและน่าสนใจไม่แพ้กัน” พีรพัทธ์กับบทบาทการเป็นวิทยากรอบรมการเขียนโปรแกรมเกมคอมพิวเตอร์ (ที่มาของภาพ: ฝ่ายสื่อสารสังคม มูลนิธิสยามกัมมาจล) จากการทำเกมร่วมกับกลุ่มเพื่อนๆในโรงเรียนเก่าคือโรงเรียน นวมินทราชินูทิศ น้องฮงยังมีโอกาสเข้าร่วมงานมหกรรมพลังเยาวชน พลังสังคม ครั้งที่ 1 เมื่อปี 2552 ที่ผ่านมาโดย มูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ร่วมกับภาคีเครือข่าย สนับสนุนให้เกิดกิจกรรมในครั้งนั้น “ในงานมหกรรมพลังเยาวชนฯ ผมได้มีโอกาสเปิดอบรมการเขียนเกมภายใน 1 ชั่วโมง ปรากฎว่าได้รับการตอบรับดีมาก จึงมาจัดกิจกรรมนี้อีกครั้งโดยใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงปรากฏว่าภายในงานทุกคนสามารถเขียนเกมและมีเกมเป็นของตนเองได้จริง มีผู้สนใจเข้าเรียนเยอะมาก ทั้งที่ยังเป็นเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาเรื่อยไปจนถึงผู้สูงอายุวัย 60 ปี” น้องฮง เล่าด้วยว่า จากการเข้าร่วมแสดงพลังในงานมหกรรมพลังเยาวชน พลังสังคมฯ นั้นยังทำให้เขามีโอกาสทำงานด้านเกมอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือซิป้า โดย นาวาตรี ดร. วุฒิพงศ์ พงศ์สุวรรณ รองผู้อำนวยการถ่ายทอดเทคโนโลยี ได้เปิดโอกาสให้น้องฮงได้ทำโครงการเมฆา (Mekha) เพื่อรวบรวมเกมที่มีประโยชน์ อาทิ เกมเพื่อการเรียนการสอนที่เปิดให้ใช้งานได้ฟรี เป็นโอเพนซอร์ส ทุกคนสามารถดัดแปลงและแก้ไขเกมเหล่านี้ได้ โดยจัดทำเป็นคู่มือภาษาไทย และมีการปรับลดความรุนแรงในเกมเพื่อทำให้เกมเหล่านั้นสามารถเล่นได้ทุกเพศทุกวัย “นอกจากนั้นทาง SIPA ก็ยังจัดให้มีการอบรมการพัฒนาเกมด้วย Mekha โดยผมก็เป็นวิทยากร หลายครั้ง เช่น มหาวิทยาลัยบูรพา และ ที่ศูนย์ฝึกอบรมของ SIPA เอง เนื้อหาที่สอนก็จะเริ่มตั้งแต่การออกแบบเกม การออกแบบตัวละคร และการพัฒนาทุกๆ ส่วนจนได้เกมขึ้นมา ในระหว่างการสอน ผมก็จะแทรกประสบการณ์ที่ได้รับผู้เข้าอบรมทั้งอุปสรรคปัญหา ข้อผิดพลาด ในการทำงาน และการแก้ปัญหาที่ผ่านมาแล้ว”น้องฮงเล่า จากการที่มีโอกาสได้ทำงานร่วมกับผู้ใหญ่นี้เอง ทำให้น้องฮงเพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์มากขึ้น ทำให้เขาพัฒนาผลงานขึ้นตามลำดับ จนสามารถสร้างสรรค์เกมได้ด้วยการทำงานเพียงคนเดียว ล่าสุดคือX-Step เกมผจญภัยที่ผู้เล่นต้องใช้สมาธิมาก ทั้งยังแฝงแนวคิดเรื่องการใช้เวลาให้คุ้มค่าไว้อีกด้วย “แรงบันดาลใจในการคิดเกมนี้คือ หลายคนมักมองว่า การเล่นเกมทำให้สมาธิสั้น แต่จริงๆแล้วการเล่นเกมต้องอาศัยสมาธิมาก ต้องจดจ่อและเข้าใจ ที่สำคัญต้องสนุกและมีสาระในการใช้ความคิดเพื่อหาเส้นทางที่จะไปถึงจุดหมาย” โดยในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ หรือวันแห่งความรักที่จะถึงนี้ น้องฮงจะเปิดตัวเกม X-Step Episode 2 เป็นเกมเวอร์ชั่นใหม่ที่มีเนื้อหาสอดรับกับวันวาเลนไทน์ โดยเปิดให้ผู้สนใจดาวน์โหลดได้ฟรีที่ www.thaiopengames.org เพื่อส่งสัญญาณให้สังคมรับรู้ว่า “เกมดีๆ มีคุณภาพฝีมือคนไทยมีให้จับจองอีกมาก” ก่อนจากกันไป น้องฮง ยังได้ตอบคำถามที่หลายคนสงสัยว่าเกมมีประโยชน์อย่างไรไว้อย่างน่าฟังอีกด้วย “ถ้าคนเล่นเกม 1 ล้านคนในเมืองไทยเพียง 1% กลายมาเป็นคนทำเกม เท่ากับว่าเราจะสามารถสร้างรายได้มหาศาลเข้าประเทศ เนื่องจากอุตสาหกรรมนี้ยังเติบโตไปเรื่อยๆ อย่างอดีตนายกฯ อังกฤษ กอร์ดอน บราวน์ เคยพูดไว้ว่า Video game industry stock is a better investment than gold หรือ การลงทุนในหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมเกมน่าลงทุนกว่าทองเสียอีก” นอกจากนี้เกมหลายเกมยังสร้างมาจากเรื่องจริงในประวัติศาสตร์ เช่น เกมสามก๊ก จึงสามารถใช้เป็นช่องทางเรียนรู้ใหม่ที่ไม่ใช่เพียงการเปิดอ่านจากตำราเล่มโต และหากมีการประยุกต์เข้ากับเนื้อหาวิชาการอื่นๆ อาทิ การเงินการธนาคาร การบริหารธุรกิจ ฯลฯ เกมก็จะเป็นดั่งหน้าต่างบานโตเปิดโอกาสให้เราเข้าถึงเรื่องราวต่างๆ เหล่านั้นได้โดยง่าย โดยในส่วนของน้องฮงเอง เวลานี้สอบติดที่วิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารสังคม หลักสูตร วิทยาศาสตร์บัณฑิต การออกแบบสื่อปฏิสัมพันธ์และมัลติมีเดีย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เพื่อหวังจะศึกษางานด้านนี้อย่างต่อเนื่องจริงจังมากขึ้น “ผมอยากทำเกมไทยๆ เช่น ศิลปะการต่อสู้ ประวัติศาสตร์ หรือการละเล่นแบบไทย นำเสนอเอกลักษณ์ความเป็นไทยที่น่าสนใจและมีเนื้อหาพอที่จะทำเป็นเกมได้อีกหลายอย่าง อยากสื่อถึงความเป็นไทยให้ทุกคนได้เข้าใจ” น้องฮง อีกหนึ่งเยาวชนคนเก่งกล่าวปิดท้าย สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
พนักงานโรงกลั่น Esso ศรีราชา ชี้แจงกรณีพิพาทแรงงาน Posted: 10 Feb 2011 08:32 AM PST พนักงานโรงกลั่นน้ำมันเอสโซ่ชี้แจงกรณีข้อพิพาทแรงงานหลัง คนงาน 259 คน ทั้งระดับปฏิบัติการและระดับบังคับบัญชายื่นข้อเรียกร้องต่อผู้บริหาร 10 ม.ค. 54 – สืบเนื่องจากพนักงานโรงกลั่นน้ำมันเอสโซ่ศรีราชา จำนวน 259 คน ทั้งระดับปฏิบัติการและระดับบังคับบัญชา ได้ร่วมกันลงลายมือชื่อ ยื่นข้อเรียกร้อง ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 ที่ได้ให้สิทธิลูกจ้างในการยื่นข้อเรียกร้องเพื่อปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้าง ต่อฝ่ายบริหาร ของบริษัท เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2553 จำนวน 16 ข้อ ซึ่งได้มีการประชุมเจรจา เป็นทางการจำนวน 6 ครั้ง และนอกรอบอย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งได้มีการเจรจาครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2554 โดยตัวแทนฝ่ายบริษัทตอบปฏิเสธข้อเรียกร้องของพนักงาน ทั้งจำนวน 16 ข้อ ซึ่งข้อเรียกร้อง ทั้ง 16 ข้อของพนักงานประกอบด้วย 1.ให้บริษัทจัดหาเครื่องแบบการทำงาน รองเท้าเซฟตี้ อย่างน้อยปีละ 1 คู่ ชุดทำงานปีละ 3 ชุด และสำหรับพนักงานสำนักงานให้จ่ายเป็นค่าตัดชุด เท่ากับ ราคา ที่พนักงานฝ่ายผลิตได้รับ 2.ให้บริษัทจัดเงินสนับสนุนการศึกษาบุตรพนักงาน ตั้งแต่ระดับอนุบาล – ปริญญาตรี ทั้งนี้บุตรต้องมีอายุไม่เกิน 25 ปีและไม่เกิน จำนวน บุตรที่ได้รับสิทธิ ไม่เกิน 2 คน 3.ให้บริษัทจัดเงินสวัสดิการสำหรับค่ารักษาพยาบาล บุตร / สามี / ภรรยา พนักงาน ในกรณีค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอกโดยให้จ่ายตามจริง แต่ทั้งนี้ ไม่เกิน ครอบครัวละ 25000 บาท / ปี 4.ให้บริษัทปรับเงินช่วยเหลือ ค่าครองชีพ ทั้งระดับปฏิบัติการ และระดับบังคับบัญชา ร้อยละ 4.5 ต่อปี ของเงินเดือนมูลฐาน 5.ให้บริษัทจ่ายเบี้ยขยัน ให้กับพนักงาน ที่มาปฏิบัติงาน สม่ำเสมอไม่ขาดงาน มาสาย หรือลาป่วย เว้นแต่เกิดจากการเจ็บป่วยจากการทำงาน ในอัตราเดือนละ 3,500 บาท 6.ให้บริษัทจ่ายเงินค่าตอบแทนการทำงาน ค่าทำงานล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด และ ค่าอาหารพร้อมค่าเดินทาง ให้กับพนักงาน อัตรา 3 เท่า กรณีเหตุฉุกเฉิน ไฟไหม้ แก็สรั่ว หรือ หน่วยกลั่นมีปัญหา สำหรับพนักงานระดับบังคับบัญชา ที่ไม่มีสิทธิได้รับค่าทำงานล่วงเวลา มาทำงานในกรณีเหตุฉุกเฉินในอัตรา 8000 บาท 7.ให้บริษัทกำหนดหลักการจ่ายเงิน ตามแผน ESP 8.ให้บริษัทจ่ายเงินได้พิเศษ อัตราจำนวนเงินไม่น้อยกว่า 1 เท่าของเงินเดือนมูลฐาน พร้อมเงินบวกเพิ่มพิเศษ 1.5 แสนบาท 9.ให้บริษัท จัดของที่ระลึกสำหรับ รางวัลอายุงาน 10. ให้บริษัท ยกเลิกการจ้างงาน คนงานเหมาค่าแรง คนงานรับเหมาช่วง โดยให้รับเข้าเป็นพนักงานประจำ ของบริษัท ในหน่วยงานดังนี้ หน่วยงานแผนก ซ่อมบำรุง ที่เป็นลูกจ้างสัญญาจ้าง ชั่วคราว พนักงานห้องแล็ปพนักงานแผนก คอมพิวเตอร์ ผู้ช่วยเจ้าหน้าที่ดับเพลิง และเจ้าหน้าที่ประจำห้อง อุปกรณ์ความปลอดภัยส่วนบุคคล 11.ให้บริษัท จ่ายเงินค่าเดินทาง ค่าที่พัก และเบี้ยเลี้ยง ในกรณี ที่ถูกสั่งให้ไปทำงาน ของบริษัท นอกสถานที่ ค่าเดินทางอัตรา 12 บาท / กิโลเมตร ค่าที่พัก จ่ายตามจริง แต่ไม่เกิน 2500 บาท / คืน เบี้ยเลี้ยงวันละ 250 บาท 12.ให้บริษัทยกเลิก ระบบการสอบ Web Cat โดยให้นำการ สอบความรู้ ระบบ KU มาใช้แบบเดิม ในการปรับเลื่อนตำแหน่ง 13.ให้บริษัทปรับอัตราการขึ้นเดือนประจำปี ตามระดับผลงาน ผลงานพอใจ 7 % ผลงานดี 8 % ผลงานดีมาก 9 % 14.ให้บริษัทปรับอัตราตัวคูณ สำหรับเงินตามแผนรางวัลอายุงานในอัตรา 0.5 ทุกระดับของรางวัลอายุงานที่มีสิทธิเบิกได้ 15.ให้บริษัท ปรับเพิ่มวันลาหยุดพักผ่อนประจำปี เมื่อ ทำงานครบ 20 ปีบวกเพิ่มหลังปีที่ 20 ได้ปีละ 1 วันแต่ไม่เกิน 25 วันต่อปี 16.ข้อเรียกร้องให้มีผลบังคับเฉพาะพนักงานที่ลงลายมือชื่อยื่นข้อเรียกร้องเท่านั้น อนึ่งโรงกลั่นน้ำมันเอสโซ่ศรีราชา ตั้งอยู่เลขที่ 118 ม.2 ต.ทุ่งสุขลา อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี 20230 ส่วนสำนักงานใหญ่ ตั้งอยู่เลขที่ 3195 / 17-19 อาคารเอสโซ่ ทาวเวอร์ ถ.พระราม 4 แขวงคลองตัน เขตคลองเตย กทม.10110 โดยดำเนินธุรกิจ การกลั่นน้ำมัน และจัดจำหน่าย สินค้า ปิโตรเลี่ยม ครบวงจร ภายใต้สัญลักษณ์ ESSO และ Mobil -1 ทุนจดทะเบียน 17,110,007,246.71 บาท ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติอเมริกา ยักษ์ใหญ่อันดับหนึ่งของพลังงานระดับโลก ภายใต้ บริษัท เอ็กซอนโมบิล ที่มีผลกำไร ติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลกมาตลอด มีจำนวน พนักงานทั้งหมด จำนวน 700 คน ประจำโรงกลั่นน้ำมันศรีราชา จำนวน 370 คน ที่เหลือ ประจำสำนักงานใหญ่ กรุงเทพฯ แยกเป็นพนักงานระดับปฏิบัติการประมาณ 230 คน ที่เหลือเป็นพนักงานระดับบังคับบัญชา บริษัทได้ดำเนินการธุรกิจด้านน้ำมัน ในประเทศไทย มายาวนาน มีกำลังการผลิตการกลั่นน้ำมันดิบ 177,000 บาร์เรล ต่อวัน ซึ่งขณะนี้ได้มีการขยายการลงทุนมูลค่าเพิ่มอีก ประมาณ 15,000 ล้านบาท บริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ เมื่อปี 2551 โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นสูงสุดคือ บ.เอ็กซอน โมบิล อินเตอร์เนชั่นแนล 65.43% กระทรวงการคลัง 7.33 % และบริษัท ต่างชาติ 7.20 % ที่เหลือเป็นนักลงทุนรายย่อย ในตลาดหลักทรัพย์ ประมาณ 20.04 % ผลประกอบการในปี 2552 มีกำไรสุทธิ 4,450,564 ล้านบาท ซึ่งได้รับการรับรอง จากผู้สอบบัญชี เมื่อ 26 ก.พ.2553 หรือ สามารถดูได้ที่ www.esso.co.th ตารางเปรียบเทียบจำนวนพนักงาน กำลังการผลิต ผลกำไร ของบริษัทน้ำมันในประเทศไทย ปี 2553
โดยทางพนักงานได้แจ้งต่อประชาชน สื่อมวลชน ผู้ใช้แรงงาน นักวิชาการ นักศึกษา ผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ ทุกท่านว่า พนักงานได้มีความพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะให้มีการเจรจา ข้อเรียกร้องขึ้น กับตัวแทนฝ่ายบริษัท เพื่อที่จะหาข้อยุติ ในการที่จะทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ให้เกิดขึ้น โดยได้มีความพยายาม ในการนัดประชุมเจรจา ขึ้น ในวันพุธ ที่ 9 ก.พ. 2554 ที่สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดชลบุรี แต่ตัวแทน นายจ้างได้แจ้งหนังสือ มาขอยุติการเจรจา และยืนยันคำตอบเดิม ที่จะไม่ให้อะไรกับพนักงานเลย สักข้อเดียว แม้แต่รองเท้าเซพตี้ ที่ใส่ทำงานปี ละ 1 คู่ และชุดทำงานปีละ 3 ชุด และจะไม่ไปเจรจากับตัวแทนพนักงานในวันดังกล่าว พนักงานซึ่งยื่นข้อเรียกร้องดังกล่าว ยังให้เหตุผลว่า การใช้สิทธิ ในการยื่นข้อเรียกร้อง ก็เป็นไปตามกรอบของกฎหมาย อันพึงเป็นสิ่งที่กฎหมายแรงงานภายในประเทศไทยให้ให้สิทธิกับลูกจ้างที่ทำงานสามารถพึงกระทำได้ ดังนั้นพนักงาน จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องแจ้งเป็นข้อพิพาทแรงงาน เพื่อให้เป็นไปตามของกลไกของกฎหมายแรงงาน ซึ่งไม่ได้เป็นความต้องการของคนงาน ในเรื่องที่จะให้เกิดเป็นข้อพิพาท แต่เมื่อ ถึงทางตัน ก็มีความจำเป็นที่ต้องอาศัยกลไกดังกล่าว พนักงาน จึงขอแจ้งให้ให้ทราบว่าพวกพนักงานจำนวน 259 คน ที่อยู่ในข้อพิพาทแรงงาน ยังมีความทุ่มเท และมีความรับผิดชอบ ในการที่จะผลิตน้ำมัน และผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่มีคุณภาพอย่างดีเหมือนเดิมสู่ตลาดต่อไป แม้ว่าจะไม่ได้รับการดูแลในเรื่องค่าตอบแทนและสวัสดิการที่เหมาะสมและเป็นธรรม เหมือนบริษัทน้ำมันอื่น ที่ได้รับค่าตอบแทนในการทำงาน พนักงานที่ยื่นข้อเรียกร้องจึงมีความจำเป็นต้องแจ้งข้อเท็จจริง เพื่อให้พี่น้องประชาชน และผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ เอสโซ่ และ โมบิล วัน ทุกท่านทราบและมีความมั่นใจในผลิตภัณฑ์ เอสโซ่ และ โมบิล วัน ต่อไป สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ลึก(ไม่)ลับ กับ กุหลาบพันธุ์ไม้มหัศจรรย์ = ความนิยมที่ไม่(เคย)จางหาย แทน “ความรัก” Posted: 10 Feb 2011 08:16 AM PST เรื่องราวของ "กุหลาบ” ดอกไม้ที่คนกว่าครึ่งโลก ยกย่องให้เป็นสัญลักษณ์แทนคำว่า “รัก” คนหนุ่มสาวนิยมมอบให้กันในวันวาเลนไทน์ ซึ่งตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ของทุกปี
นิทรรศการ “กุหลาบกับความรัก” โดยอุทยานการเรียนรู้ TK park (ที่มาของภาพ: อุทยานการเรียนรู้ TK park) จีระ ดวงพัตรา เจ้าของสวน “จีระโรส” อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่ ผู้เชี่ยวชาญการปลูกกุหลาบมากว่า 50 ปี ในเทศกาลวาเลนไทน์ที่มาถึงนี้ ทางอุทยานการเรียนรู้ TK park ได้จัด นิทรรศการ “กุหลาบกับความรัก” ขึ้น ณ บริเวณลานสานฝัน ชั้น 8 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ โดยนิทรรศการดังกล่าวได้รวบรวมองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับกุหลาบ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้แบบบูรณาการทั้งด้านประวัติศาสตร์,เกษตรกรรม,วิทยาศาสตร์,ศิลปะ ฯลฯ เกิดมิติใหม่ที่ทำให้รู้จักกับกุหลาบนอกเหนือจากจะความสวยงามแล้ว ยังเผยนัยยะอื่นๆ ที่ซ่อนอยู่ เปลี่ยนเป็นเรื่องราวที่เด็ก เยาวชน และผู้ปกครอง สามารถเรียนรู้ร่วมกันได้อย่างสนุกและเพลิดเพลิน นิทรรศการนี้ได้จัดแสดงเนื้อหาเกี่ยวกับกุหลาบไว้หลากหลาย โดยย้อนกลับไปกว่าพันปี “กุหลาบ” ได้ถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการปลูกเพื่อประดับตกแต่งสถานที่ การนำมาใช้เป็นเครื่องประทินความงาม หรือนำมาสกัดเป็นน้ำหอม รวมไปถึงการปรากฏอยู่ในนิทานปรัมปรา เทพนิยาย วรรณคดีหลากหลายภูมิภาคทั่วโลก นอกจากนี้กุหลาบยังได้ความนิยมจากผู้คนทั่วโลกส่งมอบดอกกุหลาบแทนความรัก เพราะถือว่ากุหลาบเป็นไม้ดอกที่มีอายุคู่กับมนุษยชาติมาเป็นเวลายาวนานราว 5,000 ปี นายจีระ ดวงพัตรา เจ้าของสวน “จีระโรส” อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการปลูกกุหลาบมายาวนานกว่า 50 ปี เล่าถึงวิวัฒนาการของดอกไม้ที่คนกว่าครึ่งโลกยกย่องให้เป็นสัญลักษณ์แห่งความรักว่า มีหลักฐานกล่าวไว้ว่า กุหลาบมีต้นกำเนิดที่เขาคอเคซัสในเปอร์เซีย และเรียกว่า “คุล” ในภาษาเปอร์เซียแปลว่า ดอกไม้กุหลาบ หรือสีแดง จึงอาจเป็นไปได้ว่าสีกุหลาบในสมัยก่อนนั้นคือสีแดงเข้มถึงแดงอ่อน จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ย้อนไปกว่า 1,200 ปีก่อนคริสตกาลของชาวเปอร์เซียบันทึกไว้ว่า กุหลาบเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องประทินผิว ยา รวมไปถึงส่วนประกอบอาหาร ภายหลังมีการนำเข้าไปปลูกในอินเดีย เพราะในภาษาฮินดูมีคำว่า “คุล” แปลว่า “ดอกไม้” และคำว่า “คุลาพ” ซึ่งไทยออกเสียงเป็น “กุหลาบ” นั่นเอง ส่วนคำว่า “Rose” ในภาษาอังกฤษนั้นมาจากคำว่า “Rhodon” ที่แปลว่า กุหลาบในภาษากรีก กุหลาบเป็นไม้ดอกที่อยู่ในสกุล Rose วงศ์ Rosaceae ซึ่งค้นพบแล้ว 125 ชนิด โดยมีถึง 95 ชนิดที่มีต้นกำเนิดอยู่ในเอเชีย 18 ชนิด มีถิ่นกำเนิดในอเมริกา และที่เหลือพบในยุโรป และตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปแอฟริกา และด้วยรูปร่างลักษณะที่หลากหลายของกุหลาบ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกัน สมาคมกุหลาบโลก (The World Federation of Rose Society)ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ได้จำแนกกุหลาบในโลกไว้ 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ 1.กุหลาบป่า หมายถึง กุหลาบที่มีมาตั้งแต่ดั้งเดิมย้อนกลับไปนับล้านปี จากหลักฐานการขุดค้นทางบรรพชีวินวิทยา มีการขุดพบฟอสซิลใบกุหลาบครั้งแรกที่รัฐโอเรกอน และรัฐโคโลราโด ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่สถาบันสมิธโซเนียน ประเทศสหรัฐอเมริกา ถึงแม้ว่าหน้าตาจะไม่เหมือนกับดอกกุหลาบในยุคปัจจุบันนัก แต่ก็ได้รับการพิสูจน์และเป็นเครื่องยืนยันอย่างหนึ่งว่า กุหลาบเป็นไม้ดอกที่อยู่คู่โลกมานับร้อยล้านปี 2. กุหลาบสมัยเก่า (Old Fashioned Roses) หมายถึงกุหลาบในยุคก่อนที่มีการนำมาผสมพันธุ์โดยนักพันธุศาสตร์ ส่วนใหญ่เป็นกุหลาบก่อนศตวรรษที่ 20 คุณสมบัติเด่น คือ มีกลิ่นหอมชัดเจน และ 3. กุหลาบนิยมสมัยใหม่ (Modern Roses) หมายถึงกุหลาบที่พัฒนาพันธุ์ขึ้นในศตวรรษที่ 20 และ21 เพื่อให้ดอกมีขนาดใหญ่สวยงามขึ้น ดอกมีสีสันให้เลือกมากขึ้น หรือ พัฒนาให้พันธุ์มีความแข็งแรงมากขึ้นในการเพาะเลี้ยง ซึ่งทำให้เป็นที่นิยมของท้องตลาด โดยสังเกตได้จากท้ายชื่อของกุหลาบมักกำกับด้วยตัวอักษร HT ย่อมาจาก Hybrid Tea หมายถึง กุหลาบประเภทดอกใหญ่ และมักได้รับการตั้งชื่อตามคนดังในแวดวงต่าง ๆ กุหลาบสมัยเก่าที่ผสมใหม่เพื่อให้ได้ดอกใหญ่ และกลายเป็นกุหลาบนิยมสมัยใหม่ต้นแรกของโลกชื่อ ลา ฟรองซ์ (La France) เกิดในประเทศฝรั่งเศสในปี ค.ศ.1867 ดอกมีสีชมพูอ่อน กลิ่นหอมแรง ในหนึ่งดอกมีกลีบดอกได้มากถึง 60 กลีบ ดอกโน้มตัวลงเล็กน้อยจากก้านดอก และมีชื่อไทยว่า“เดือนฉาย”เป็นกุหลาบที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงนำมาปลูกที่เมืองไทย “ ปัจจุบันในต่างประเทศให้ความสำคัญกับการพัฒนาพันธุ์กุหลาบเป็นอย่างมาก และมีการจัดประกวดเพื่อพัฒนาพันธุ์กุหลาบทุกปี เช่น กุหลาบที่ชนะเลิศในอเมริกาจะมีคำกำกับเป็นสัญลักษณ์ว่า AARS ย่อมาจาก All American Rose Selections ส่วนประเทศทางยุโรปมักใช้คำว่า Gold Medal และ Trophy ขณะที่ในประเทศไทย ขาดการสนับสนุนเรื่องนี้จากภาครัฐ ทำให้การพัฒนาพันธุ์กุหลาบของไทยมีความล้าหลังต่างประเทศในทุก ๆด้านมากว่า 40-50 ปี นอกจากนี้ ได้มีการพัฒนากุหลาบใหม่ออกมาเรียกว่า Modern Shrub Rose หรือ The Old Fashioned Modern Roses เป็นกุหลาบที่ผสมพันธุ์ระหว่างกุหลาบสมัยเก่าและกุหลาบสมัยใหม่ โดยชาวอังกฤษ ชื่อ เดวิด ออสติน ได้ตั้งชื่อว่า “กุหลาบอังกฤษ( English Rose)” เป็นกุหลาบที่มีพุ่มใหญ่ กำลังเป็นที่นิยมกันทั่วโลก เพราะเลี้ยงง่ายกว่า แข็งแรง โตเร็ว ปลูกได้ทั่วโลก และต้านทานโรคได้ดี มีคุณสมบัติพิเศษคือ ดอกมีกลิ่นหอมที่แรงมาก ออกดอกตลอดปี และมีสีสันให้เลือกมาก ลักษณะดอกจะเป็นทรงป้อมคล้ายถ้วย กลีบดอกซ้อนหนาหลายชั้น บางพันธุ์มีมากกว่าร้อยกลีบในดอกเดียวกัน ลักษณะทรงพุ่มจะเป็นกึ่งเลื้อยบางพันธุ์สามารถทำเป็นได้ทั้งชนิดพุ่มใหญ่ (Shrub) และชนิดเลื้อย (Climber) ปัจจุบันร้านค้าและร้านจำหน่ายดอกไม้ในกรุงเทพฯ นิยมนำกลุ่มกุหลาบอังกฤษไปจำหน่าย เพราะได้รับความนิยม บางรายสามารถจำหน่ายได้ถึงต้นละ 3,500 บาท แม้อากาศร้อนในบ้านเราก็เลี้ยงได้ง่าย แต่ดอกอาจใหญ่สู้เมืองหนาวไม่ได้” นายจีระ กล่าว การปลูกกุหลาบในประเทศ นายจีระ ผู้คลุกคลีมานานกว่า 50 ปี ยอมรับว่า ปกติกุหลาบเป็นไม้ดอกที่เลี้ยงยาก ต้องการความเอาใจใส่พิเศษ และผู้เลี้ยงต้องมีประสบการณ์ โดยเฉพาะพื้นที่ที่เหมาะสมกับการปลูกกุหลาบตัดดอก หากไม่ปลูกในโรงเรือนก็จะต้องปลูกบนพื้นที่สูงเหนือจากระดับน้ำทะเล 1,000 เมตรขึ้นไป จึงจะได้ผลผลิตที่มีคุณภาพดีกว่าการปลูกในพื้นที่ราบ แม้จะให้ผลผลิตในปริมาณมาก แต่ไม่ได้คุณภาพ และได้ราคาต่ำ ปัจจุบันแม้จะมีการปลูกกันอย่างแพร่หลายกระจายอยู่ทั่วประเทศกว่า 5,500 ไร่ แต่ที่มีการปลูกกุหลาบตัดดอกมากที่สุดน่าจะเป็นจังหวัดเชียงใหม่ โดยในปีนี้มีผลผลิตมากกว่าล้านต้น รองมาเป็น อ.พบพระ จ.ตาก นอกจากนี้ยังมีที่จังหวัดเชียงราย ,นครปฐม ,สมุทรสาคร ,ราชบุรี และกาญจนบุรี “คาดว่าเทศกาลวาเลนไทน์ปีนี้ จะมีกุหลาบเพียงพอต่อความต้องการ นอกจากกุหลาบในประเทศแล้ว ยังมีกุหลาบจากคุนหมิงของจีนเข้ามาตีตลาด แต่ไม่น่าเป็นห่วง เพราะเชื่อว่า กุหลาบของไทยยังคงได้รับความนิยมเหมือนเช่นทุกปีที่ผ่านมา เพราะมีคุณภาพที่ดีและสดกว่า ขณะที่ความต้องการกุหลาบจากต่างประเทศก็ยังมีมากเช่นกัน แต่มีราคาแพงกว่ามาก โดยเฉพาะกุหลาบสีแดงจนเกือบดำ ซึ่งกุหลาบชนิดนี้ต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูงที่ไทยยังไม่สามารถผลิตได้” นายจีระ ยังได้กล่าวฝากทิ้งท้ายว่า ประเทศไทยมีศักยภาพในการปลูกกุหลาบอยู่แล้ว ทั้งด้านค่าแรงและปัจจัยพื้นฐาน แต่ยังขาดองค์ความรู้เกี่ยวกับการปลูกกุหลาบ และเทคโนโลยี โดยเฉพาะการปลูกกุหลาบตัดดอกต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูงเข้าช่วยแต่มีราคาแพง กรณีการผสมพันธุ์กุหลาบนั้นในต่างประเทศมีความล้ำหน้ากว่าไทยมาก เช่น กุหลาบไร้หนาม ยกตัวอย่างประเทศอิสราเอล แม้จะเป็นประเทศในแถบทะเลทราย แต่สามารถผลิตกุหลาบที่มีคุณภาพส่งออกไปจำหน่ายยังยุโรปสร้างรายได้เข้าประเทศ ดังนั้น หากได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐในด้านทักษะเพิ่มเติม และเรื่องของเทคโนโลยีการให้ปุ๋ย นอกจากจะช่วยสร้างอาชีพให้กับคนไทยเพิ่มขึ้นแล้ว ยังยกระดับกลุ่มอุตสาหกรรมไม้ดอกไม้ประดับของไทยให้เข้มแข็ง และสามารถพัฒนาคุณภาพกุหลาบของไทยออกไปแข่งขันกับต่างประเทศมากขึ้น เป็นที่ยอมรับว่า ในวันวาเลนไทน์ของทุกปี “กุหลาบ” ยังคงเป็นหนึ่งในสินค้ายอดฮิตที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ส่งผลให้ราคาดอกกุหลาบในช่วงดังกล่าวปรับเพิ่มสูงขึ้นกว่าปกติประมาณ 3 เท่า คาดว่าจะสร้างเม็ดเงินสะพัดให้แก่ร้านขายดอกกุหลาบเฉพาะในกรุงเทพฯ ได้ประมาณ 240 ล้านบาท ขณะที่โพลหอการค้าไทย ได้คาดการณ์ว่า เทศกาลวาเลนไทน์ปีนี้ จะมีเม็ดเงินสะพัดสูงถึง 2,655 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.38% จากปีก่อน แม้ราคาดอกกุหลาบในปีนี้จะเพิ่มสูงขึ้นมาเพียงใด แต่ความต้องการซื้อดอกกุหลาบในช่วงวันวาเลนไทน์ของผู้บริโภค ยังคงเป็นที่นิยมก็เพราะ “กุหลาบ”ถือเป็นสัญลักษณ์ของวันวาเลนไทน์ และแสดงถึง “ความรัก”...นั่นเอง สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
สืบพยานจำเลย คดีผู้ออกแบบเว็บ "นปช.ยูเอสเอ" ศาลนัดพิพากษา 15 มี.ค. Posted: 10 Feb 2011 07:51 AM PST ศาลไต่สวนคดีเว็บไซต์ นปช.ยูเอสเอ จำเลยเผยถูกตำรวจบังคับให้สารภาพ ยันไม่ได้เป็นผู้ดูแลระบบ และไม่ได้โพสต์ข้อความตามฟ้อง ด้านผู้เชี่ยวชาญอินเทอร์เน็ตได้ให้การเป็นพยานจำเลยด้วย โดยศาลนัดพิพากษา 15 มี.ค. นี้ วันนี้ (10 ก.พ. 54) ในการสอบพยานจำเลยคดีฟ้องนายธันย์ฐวุฒิ ทวีวโรดมกุล ผู้ออกแบบเว็บไซต์ นปช.ยูเอสเอ ว่ากระทำผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์มาตรา 14, 15 และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 นายธันย์ฐวุฒิ ทวีวโรดมกุล จำเลย ซึ่งให้การเป็นพยานตัวเองกล่าวว่า เขาเป็นเจ้าของบริษัทออกแบบและสร้างเว็บไซต์ ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่จะอยู่ในธุรกิจโรงแรมและท่องเที่ยว โดยเมื่อเดือนมีนาคม 2553 มีคนติดต่อเข้ามาผ่านหน้าเว็บ redthai.org ที่เขาดูแลอยู่ว่าให้ช่วยทำโลโก้และพื้นหลังของเว็บไซต์ หลังจากนั้นติดต่อกันผ่านทางอีเมล นายธันย์ฐวุฒิได้รับอีเมลเป็นลิงก์ที่เข้าถึงโปรแกรม FTP (File Transfer Protocol) ซึ่งเมื่อกดแล้วพบว่ามีแฟ้มข้อมูลอยู่หนึ่งแฟ้ม เมื่อเข้าไปแล้วก็คลิกต่อไปไม่ได้ หลังจากนั้น จำเลยถูกจับกุมในวันที่ 1 เม.ย. 53 ที่อพาร์ทเมนท์ของเขา โดยตำรวจบอกกับเขาว่าคดีนี้รุนแรงควรรับสารภาพ รวมทั้งเมื่อไปถึงสถานีตำรวจมีตำรวจนายอื่นกล่าวอีกว่า คดีนี้รุนแรงไม่น่าจะหลุด ให้รับสารภาพจะได้มาอยู่กับลูก ยิ่งคดีเสร็จเร็วก็จะได้กลับบ้านเร็ว แต่จำเลยไม่ยอมเซ็นสารภาพ ตำรวจจึงกล่าวกับเขาว่า "ให้มึงไปคิดคืนหนึ่ง ถ้าอยากกลับบ้านก็เซ็นซะ" คืนนั้นเขาและลูกชายวัย 10 ขวบนอนค้างที่สถานีตำรวจ ตอนเช้าเขาตื่นขึ้นเพราะมีคนเดินเข้ามาในห้องบอกกับเขาว่า เขาไม่รักในหลวง เขาเป็นบุคคลอันตราย จากนั้นก็เริ่มการสอบสวนต่อโดยตำรวจบอกเขาว่าให้รีบเซ็นเสียจะได้กลับไปอยู่กับลูกเหมือนเดิม ไม่งั้นประชาสงเคราะห์จะมารับตัวลูกไป ในวันที่ 2 เม.ย. 53 เขาจึงเซ็นชื่อว่าเป็นผู้โพสต์ข้อความสองข้อความตามที่ฟ้อง สำหรับอีกข้อความหนึ่งซึ่งคาดว่าเป็นบทความของ ใจ อึ๊งภากรณ์ นั้น ตำรวจกล่าวว่าไม่ต้องเซ็นรับสารภาพเพราะมีวิธีจัดการวิธีอื่น และบอกให้เขาเขียนกำกับเอาไว้ว่า "เฉพาะข้อความนี้ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นคนโพสต์" ทั้งนี้ จำเลยได้กลับคำให้การในชั้นศาลว่า ที่จำเลยรับสารภาพในชั้นสอบสวนนั้นไม่เป็นความจริง จำเลยยืนยันในชั้นศาลว่าไม่ได้เป็นผู้ดูแลระบบ และไม่ได้โพสต์ข้อความตามฟ้อง จากนั้น ในการสืบพยานจำเลยปากที่สอง ดร.จิตร์ทัศน์ ฝักเจริญผล อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เบิกความเป็นพยานผู้เชี่ยวชาญ ศาลให้ ดร.จิตร์ทัศน์อ่านข้อมูลการจราจรที่เป็นหลักฐานในคดีนี้ ดร.จิตรทัศน์อธิบายว่า เอกสารดังกล่าวแสดง Log หรือปูมบันทึกเหตุการณ์ในอินเทอร์เน็ต ซึ่งจะสามารถบอกได้ว่า ในช่วงเวลาหนึ่งๆ มีผู้ใช้คอมพิวเตอร์หมายเลขไอพีหนึ่งเข้าสู่ระบบผ่านโปรแกรม FTP ซึ่งเป็นรูปแบบการให้บริการแบบหนึ่งบนอินเทอร์เน็ตที่ใช้สำหรับโอนย้ายแฟ้มข้อมูล คนทั่วไปก็สามารถใช้โปรแกรมนี้ได้ ศาลถามว่าการจะใช้โปรแกรม FTP ได้นั้นจำเป็นต้องมีรหัสผ่านหรือไม่ ดร.จิตร์ทัศน์กล่าวว่า มีทั้งแบบที่ต้องใช้รหัสผ่านและไม่ต้องใช้รหัสผ่าน ทั้งนี้รูปแบบการใช้งาน FTP นั้น เมื่อใส่ชื่อผู้ใช้เข้าไปแล้วหากเป็นระบบที่ตั้งไว้ว่าต้องใช้รหัสผ่าน ระบบจะส่งข้อมูลกลับมาถามอีกครั้ง แต่ในปูมหรือบันทึกดังกล่าวไม่ได้แสดงผลส่วนนี้ จึงไม่รู้ว่าผู้จัดทำข้อมูลจราจรคอมพิวเตอร์นี้ไม่ได้เก็บเอาไว้ หรือว่าไม่มีการใช้รหัสผ่าน ซึ่งเป็นได้ทั้งสองกรณี ทั้งนี้ ข้อมูลจราจรคอมพิวเตอร์ที่แสดงว่าเข้าสู่เว็บไซต์นปช.ยูเอสเอมีสองส่วน ส่วนแรกแสดงข้อมูลจราจรสามบรรทัด ทนายจำเลยถามว่า เอกสารจราจรคอมพิวเตอร์ดังกล่าวบอกได้หรือไม่ว่าเมื่อเข้าสู่ระบบแล้วไปโพสต์อะไร พยานผู้เชี่ยวชาญให้การว่า จากปูมดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า มีการล็อกอินเข้าไปแต่ไม่ได้ทำอะไร ศาลถามต่อว่าได้แสดงหรือไม่ว่ามีการโอนย้ายข้อมูล พยานผู้เชี่ยวชาญดูข้อมูลจราจรแล้วตอบว่า ไม่มี ข้อมูลการจราจรส่วนที่สองนั้น ดร.จิตร์ทัศน์อธิบายว่า ข้อมูลดังกล่าวแสดงว่าผู้ใช้พยายามโอนไฟล์จากเครื่องตัวเองเข้าสู่ระบบ แต่ไม่รู้ว่าโอนสำเร็จหรือไม่ เพราะถ้าโอนสำเร็จจะต้องมีคำตอบกลับมาว่า 200 OK หรือ 250 OK กรณีนี้ไม่มีการยืนยันกลับมา ทนายจำเลยถามต่อไปว่า หลักฐานภาพจากหน้าเว็บที่ระบุว่า wrtitten by admin นั้น มีความหมายว่าอะไร พยานตอบว่า หมายความว่าข้อความนั้นๆ ถูกโพสต์โดยผู้ใช้ที่ใช้ชื่อบนเว็บว่า admin ซึ่งอาจไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ดูแลระบบ เนื่องจากเว็บไซต์สมัยใหม่อนุญาตให้ผู้ใช้บริการตั้งชื่อตัวเองได้ แต่ส่วนใหญ่จะไม่สามารถตั้งซ้ำได้ การเบิกพยานจำเลยเสร็จสิ้นลงในวันนี้ ศาลนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 15 มีนาคม 2554 สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
พม่าห้ามรถผ่านเข้าพื้นที่กองกำลังว้า – เมืองลา กดดันหลังปัดตั้ง BGF Posted: 10 Feb 2011 07:18 AM PST กองทัพพม่าห้ามรถยนต์ทุกชนิดผ่านสะพานท่าเปิม เส้นทางเข้าสู่พื้นที่กองกำลังว้า UWSA และกองกำลังเมืองลา NDAA กดดันหลังปัดตั้งหน่วยพิทักษ์ชายแดน (BGF) ขณะที่ว้า UWSA สั่งห้ามรถติดทะเบียนพม่าผ่านเข้าพื้นที่ มีรายงานจากแหล่งข่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 3 ก.พ. เป็นต้นมา กองบัญชาการกองทัพภาคสามเหลี่ยมของพม่า มีบก.อยู่ที่เมืองเชียงตุง รัฐฉานภาคตะวันออก ได้มีคำสั่งห้ามรถยนต์ทุกชนิดผ่านสะพานท่าเปิม สะพานข้ามแม่น้ำหลวย อยู่ทางทิศเหนือของเมืองเชียงตุง อันเป็นเส้นทางผ่านอีกทางที่เข้าสู่พื้นที่กองกำลังว้า UWSA และกองกำลังสัมพันธมิตรชาติประชาธิปไตย หรือ กลุ่มหยุดยิงเมืองลา NDAA ก่อนหน้านี้ กองทัพพม่ามีคำสั่งห้ามเฉพาะรถยนต์บรรทุก 6 ล้อ 10 ล้อ ผ่านสะพานท่าเปิม แต่เมื่อวันที่ 3 ก.พ. ได้ห้ามรถยนต์ทุกชนิดผ่านสะพานดังกล่าว ทั้งนี้เชื่อว่า ทางกองทัพพม่าต้องการกดดันกองกำลังว้า UWSA และ กองกำลังหยุดยิงเมืองลา NDAA เนื่องจากทั้งสองกลุ่มปฏิเสธตั้งเป็นหน่วยพิทักษ์ชายแดน (BGF) ตามข้อเสนอของรัฐบาลทหารพม่า มีรายงานด้วยว่า ตลอดช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่พม่าประจำด่านตรวจท่ากองแอ๊ด ท่าข้ามแม่น้ำสาละวิน เส้นทางระหว่างเมืองต้างยาน รัฐฉานภาคเหนือ และพื้นที่ครอบครองว้า UWSA ในภาคตะวันออกรัฐฉาน ได้มีการตรวจบัตรประจำตัวผู้เดินทางผ่านไปมาอย่างเข้มงวด ซึ่งหากพบเห็นผู้ใดถือบัตรประจำตัวพม่าและบัตรเขตปกครองว้าจะไม่ให้ผ่านเด็ดขาด ขณะเดียวกันทหารพม่ายังได้มีคำสั่งห้ามรถยนต์ติดแผ่นป้ายทะเบียนเขตปกครองว้า เข้าเมืองเชียงตุงด้วย ส่วนทางฝ่ายกองกำลังว้า UWSA นับตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมา ได้มีคำสั่งห้ามรถยนต์ทุกชนิดที่ติดแผ่นป้ายทะเบียนพม่าวิ่งผ่านสะพานโขสูง สะพานบนเส้นทางสายเมืองเชียงตุง - เมืองปางซาง เมืองที่ตั้งกองบัญชาการกองกำลังว้า UWSA เช่นเดียวกัน ทั้งนี้ มาตรการเข้มงวดจากทหารทั้งสองฝ่ายเกิดขึ้นหลังจากรัฐบาลทหารพม่ายื่นข้อเสนอกดดันกองกำลังว้า UWSA และ กองกำลังเมืองลา NDAA ซึ่งได้เจรจาหยุดยิงกับรัฐบาลทหารพม่ามาตั้งแต่ปี 2532 ให้แปรสภาพเป็นหน่วยพิทักษ์ชายแดน หรือ BGF (Border Guard Force) แต่หลังจากกองกำลังทั้งสองปฏิเสธ ทางกองทัพพม่าได้พยายามกดดันด้วยวิธีการต่างๆ ทั้งด้านการทหารและการปิดกั้นเส้นทางมาอย่างต่อเนื่อง
ชมภาพ / อ่านข่าวย้อนหลังได้ที่ "คนเครือไท" เป็นศูนย์ข่าวภาคภาษาไทยเครือข่ายสำนักข่าวอิสระไทใหญ่ หรือ สำนักข่าวฉาน (SHAN – Shan Herald Agency for News) มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในรัฐฉาน สหภาพพม่า ตลอดจนตามแนวชายแดนไทย ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับองค์กรการเมือง / การทหารกลุ่มใด สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ shan_th@cm.ksc.co.th หรือ ติดตามอ่านข่าวสารภาคภาษาอังกฤษได้ที่ www.shanland.org ภาคภาษาไทใหญ่ที่ www.mongloi.org และภาคภาษาไทยที่ www.khonkhurtai.org สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
แฟนไทยพรีเมียร์ลีกยังไม่มั่นใจการรักษาความปลอดภัยในฤดูกาลใหม่ Posted: 10 Feb 2011 07:05 AM PST “กรุงเทพโพลล์” เผยสำรวจรับไทยพรีเมียร์ฤดูกาลใหม่ แฟนบอลชี้ภาพรวมยังไม่พัฒนา โดยเฉพาะเรื่องมารยาทแฟนบอลและความปลอดภัย ร้อยละ 79.3 ยังไม่มั่นใจความปลอดภัยในสนาม และแฟนบอลตีกันมีผลต่อการตัดสินใจไม่ไปชมเกม วันนี้ 10 ก.พ. ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ หรือ “กรุงเทพโพลล์” เปิดผลสำรวจเรื่อง “เรื่อง แฟนบอลคิดอย่างไรกับการพัฒนาฟุตบอลสปอนเซอร์ไทยพรีเมียร์ลีก” เนื่องด้วยวันที่ 12 ก.พ. นี้จะเปิดวันเปิดฤดูกาลของฟุตบอลสปอนเซอร์ไทยพรีเมียร์ลีก โดย “กรุงเทพโพลล์” สำรวจความคิดเห็นประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไปในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่ติดตามการแข่งขันในฤดูกาล 2010 ที่ผ่านมา จำนวนทั้งสิ้น 1,136 คน เป็นชายร้อยละ 91.9 และหญิงร้อยละ 8.1 ระหว่างวันที่ 4 – 6 ก.พ.
สำรวจพบไทยพรีเมียร์ลีกทีผ่านมาที่ไม่พัฒนาเลยคือมารยาทแฟนบอล-ความปลอดภัย โดยผลสำรวจ กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 47.4 เห็นว่าภาพรวมของฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2010 ที่ผ่านมามีการพัฒนาค่อนข้างน้อย โดยด้านที่แฟนบอลเห็นว่ามีการพัฒนามากที่สุดอันดับแรกได้แก่ ด้านการประชาสัมพันธ์และการถ่ายทอดสด คิดเป็น ร้อยละ 15.0 รองลงมาคือ โปรแกรมและรูปแบบจัดการแข่งขันของบริษัทไทยพรีเมียร์ลีก ร้อยละ 8.8 และมาตรฐานของสนามฟุตบอล ร้อยละ 8.6 ส่วนด้านที่แฟนบอลเห็นว่ายังไม่พัฒนาเลยอันดับแรกได้แก่ มารยาทของแฟนบอล ร้อยละ 37.9 รองลงมาคือ ระบบรักษาความปลอดภัยในสนามและการควบคุมแฟนบอล ร้อยละ 31.1 และมาตรฐานการตัดสินของผู้ตัดสินและผู้ช่วยผู้ตัดสิน ร้อยละ 11.3 สำหรับการติดตามชมการถ่ายทอดสดฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2011 พบว่า ร้อยละ 81.4 จะติดตาม มีเพียงร้อยละ 18.6 ที่จะไม่ติดตาม
ร้อยละ 79.3 ไม่เชื่อมั่นต่อความปลอดภัยในสนาม ร้อยละ 71.9 บอกมีตีกันมีผลต่อการไม่ไปไปชม เมื่อถามถึงความเชื่อมั่นต่อระบบรักษาความปลอดภัยในสนามฟุตบอลของฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีก 2011 พบว่า แฟนบอลส่วนใหญ่ร้อยละ 79.3 เชื่อมั่นค่อนข้างน้อยถึงไม่เชื่อมั่นเลย เมื่อสอบถามว่าเหตุการณ์แฟนบอลตีกันเมื่อปีที่ผ่านมา มีผลทำให้ไม่อยากไปชมฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีก 2011 ที่สนามหรือไม่ ปรากฏว่าแฟนบอลร้อยละ 71.9 ระบุว่ามีผล มีเพียงร้อยละ 28.1 ที่ระบุว่าไม่มีผล ส่วนความเห็นของแฟนบอลต่อสาเหตุหลักที่ทำให้แฟนบอลตีกันอันดับแรกพบว่า นักเตะไม่มีน้ำใจนักกีฬา ไม่รู้แพ้รู้ชนะ ไม่รับฟังคำตัดสิน ร้อยละ 40.5 รองลงมาคือ การยั่วยุจากกองเชียร์แต่ละฝ่าย ร้อยละ 23.5 และการดื่มสุรา ของมึนเมา ร้อยละ 16.6 ขณะที่สิ่งที่ควรทำเป็นอันดับแรกเพื่อแก้ปัญหาแฟนบอลตีกันได้แก่ จัดหาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในสนามให้เพียงพอ ร้อยละ 22.7 ห้ามแฟนบอลนำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปในสนามแข่งขัน ร้อยละ 19.4 และแยกพื้นที่กองเชียร์ออกจากกันให้ชัดเจน ร้อยละ 17.6
ร้อยละ 58.6 ไม่เชื่อเปิดโต๊ะแล้ววงการฟุตบอลจะพัฒนา ส่วนร้อยละ 41.4 เชื่อว่าช่วยได้ แฟนบอลส่วนใหญ่ร้อยละ 56.5 เห็นว่าการที่นักการเมืองเข้ามามีบทบาทในฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีกจะส่งผลดีต่อการพัฒนาฟุตบอลลีกของไทย โดยให้เหตุผลว่าจะทำให้ฟุตบอลลีกพัฒนาเร็วขึ้น มีเงินทุนสนับสนุนจำนวนมากมาพัฒนาทีมฟุตบอล พัฒนาสนาม และช่วยในเรื่องการประชาสัมพันธ์ให้คนรู้จักฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีกมากขึ้น ส่วนเรื่องการเปิดโต๊ะพนันบอลแบบถูกกฎหมายนั้น แฟนบอลส่วนใหญ่ ร้อยละ 58.6 เชื่อว่าจะไม่ช่วยให้ฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีกพัฒนาได้อย่างรวดเร็วเหมือนกับพรีเมียร์ลีกของอังกฤษ ในขณะที่ร้อยละ 41.4 เชื่อว่าจะช่วยได้ โดยในจำนวนนี้มากกว่า 1 ใน 3 เป็นกลุ่มเยาวชนอายุ 15-25 ปี สำหรับทีมที่แฟนบอลคาดว่าจะคว้าแชมป์ฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2011 อันดับแรกได้แก่ ทีมเมืองทองหนองจอก ยูไนเต็ด ร้อยละ 30.9 รองลงมาคือ ทีมชลบุรีเอฟซี ร้อยละ 27.6 ทีมบุรีรัมย์ พีอีเอ ร้อยละ 18.2 ทีมบางกอกกล๊าสเอฟซี ร้อยละ 7.4 และทีมการท่าเรือ เอฟซี ร้อยละ 7.4 ตามลำดับ ทั้งนี้ เมื่อสอบถามความเห็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ว่าจะสามารถช่วยพัฒนาวงการฟุตบอลไทยให้ดีขึ้นได้หรือไม่ แฟนบอลร้อยละ 45.7 ระบุว่าไม่แน่ใจ ขณะที่ร้อยละ 35.4 เชื่อว่าได้ และร้อยละ 18.9 เชื่อว่าไม่ได้ สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
มาร์คฉะ พธม. ให้ส่วนรวมแค่ 2 ช่องจราจรทำไมให้ไม่ได้ Posted: 10 Feb 2011 06:21 AM PST “อภิสิทธิ์” ยันไม่ต้องการหยุดการชุมนุม แต่สภาพการชุมนุมไม่จำเป็นต้องสร้างความเดือดร้อนให้ผู้ใช้ถนน ย้อนถาม พธม. อยากจะให้บ้านเมืองวุ่นวายหรืออย่างไร ชายแดนตึงเครียด เจ้าหน้าที่ต้องปฏิบัติหน้าที่อยู่แล้ว อย่าให้ต้องกังวลกับปัญหาในเมืองหลวง ศูนย์สื่อทำเนียบรัฐบาล รายงานเมื่อเวลา 13.00 น. วันนี้ (10 ก.พ.) ว่า ที่ ณ อาคารรัฐสภา 1 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับความชัดเจนการขอคืนพื้นที่จากกลุ่มผู้ชุมนุมต่างๆ ภายหลังคณะรัฐมนตรีมีมติประกาศแผนขอคืนพื้นที่ตามหมวด 2 ของพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร 2551 มาแล้ว 2 วัน แต่ยังไม่มีความคืบหน้าว่า ตนไม่ทราบว่าการประกาศเส้นทางอะไรต่างๆ เมื่อดำเนินการไปก็ใช้วิธีการเจรจาซึ่งเป็นไปตามขั้นตอนของแผน ส่วนที่มีการไปปลุกระดมว่าเป็นความพยายามจะไปปราบปรามหรืออะไรนั้น ตนอยากทำความเข้าใจว่าการประกาศ พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงฯไม่ได้เจาะจงเรื่องของการชุมนุมของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง วันที่ประกาศมีการชุมนุมถึง 4 กลุ่ม มีทั้งการประกาศปิดถนนและประกาศยกระดับการชุมนุม ซึ่งรัฐบาลมีหน้าที่ในการดูแลความสงบเรียบร้อย สิ่งที่รัฐบาลเจรจาในขณะนี้ไม่ได้แม้แต่ต้องการให้หยุดการชุมนุม แต่บอกว่าสภาพการชุมนุมที่เป็นอยู่ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนที่ต้องใช้ถนน "ขอที่จะให้เปิดเพียงบางส่วน ถ้ากังวลเรื่องความปลอดภัยก็บริหารจัดการได้ ถ้าบอกว่าไม่ต้องการชุมนุมแล้วมีรถวิ่งผ่านก็ต้องไปชุมนุมที่อื่น แต่ถ้าอยากจะชุมนุมตรงนี้แล้วก็เปิด แล้วก็ทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ก็ไม่มีปัญหาอะไร ผมเพียงแต่จะถามว่าทำเพื่อส่วนรวมเพียงเท่านี้ทำไมทำไม่ได้ และถ้าหากว่ารัฐบาลบอกว่ากลุ่มนี้บอกว่ากลุ่มนี้สามารถปิดถนน 24 ชั่วโมง ปิดทั้งหมดเลย และกลุ่มอื่นๆเขาจะทำบ้างบ้านเมืองก็จะมีปัญหามากขึ้น จะไปเป็นเครื่องมือของคนที่ต้องการให้บ้านเมืองวุ่นวายหรืออย่างไร รัฐบาลก็อดทนอดกลั้นที่จะให้มีการชุมนุมแม้จะมีการวิพากษ์วิจารณ์หยาบคายอย่างไรก็ไม่ได้มีการดำเนินการอะไร และที่เรียกร้องขณะนี้ก็ไม่ได้ให้หยุดวิพากษ์วิจารณ์ แต่ให้เปิดถนนให้คนอื่นเขาใช้ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผลประโยชน์ของรัฐบาลเลย ถ้าทำให้ส่วนรวมเพียงเท่านี้ไม่ได้ก็ต้องตั้งคำถามแล้วว่าเป็นเพราะอะไร" นายอภิสิทธิ์ กล่าว ต่อข้อถามว่า การบังคับใช้กฎหมายหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็อาจจะเกิดการกระทบกระทั่งกัน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ต้องระมัดระวังอยู่แล้ว เพราะแผนปฏิบัติการจะเขียนเอาไว้ว่าการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ต้องไม่เป็นการสร้างเงื่อนไขให้เกิดปัญหาความวุ่นวายเข้ามา "ผมก็อยากจะย้ำอีกครั้งว่าให้ส่วนรวมเพียงแค่ 2 ช่องจราจรทำไมให้ไม่ได้ มีเหตุผลอะไรนอกจากอยากจะให้บ้านเมืองวุ่นวายหรืออย่างไร ถ้ามีความจริงใจอยากจะแก้ปัญหาให้กับประเทศ ในยามที่บริเวณชายแดนก็มีความตึงเครียด เจ้าหน้าที่ต้องไปปฏิบัติหน้าที่อยู่แล้ว อย่าให้เจ้าหน้าที่ต้องมีความกังวลกับปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้นในเมืองหลวงได้หรือไม่ ถ้ารักประเทศชาติบ้านเมือง หวงแหน ต้องสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่เขาสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้เต็มที่ในขณะนี้ 2 ช่องจราจรเท่านั้นเองครับ ไม่ได้เดือดร้อนอะไรเลย และถนนตรงนี้ก็มีเกาะกลาง ฉะนั้นการดูแลรักษาความปลอดภัยก็มีมาตรการเข้ามาดูแลได้"นายกรัฐมนตรี กล่าว ต่อข้อถามว่า คิดว่าจะได้คืนพื้นที่ 2 ช่องจราจรวันไหน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ความจริงถ้าถามพันธมิตรก็ดี เพราะถ้าพันธมิตรบอกว่าให้วันนี้ก็ได้วันนี้ ส่วนถ้าไม่ให้เจ้าหน้าที่เขาก็ต้องดำเนินการ เพราะพันธมิตรบางส่วนก็อยากให้เกิดความรุนแรงขึ้นเพื่อใช้เป็นเงื่อนไข เราก็ไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรง ต่อข้อถามว่า หมายถึงว่าพันธมิตรต้องการให้เป็นรัฐบาลแห่งชาติใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าว บางคนก็ประกาศอย่างนั้น แต่ตอนหลังก็ไม่ทราบเพราะแต่ละคนพูดยังไม่ตรงกัน นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่หลายประเทศออกคำเตือนประชาชนของตนเองไม่ให้เข้าพื้นที่ที่มีการประกาศพื้นที่ความมั่นคงเริ่มกระทบภาพลักษณ์ของประเทศหรือยังว่า แน่นอน เพราะอย่างที่เราพยายามทำกันมาคือช่วงที่ผ่านมาการใช้สิทธิในการชุมนุมก็ต้องมีผลกระทบบ้างซึ่งเรายอมรับได้ เช่น มีการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงมาหลายเดือนก็กระทบ แต่อย่างน้อยก็มีการตกลงกันในระดับหนึ่งว่าจะใช้พื้นที่ตรงไหนเป็นระยะเท่าไหร่ เราก็เพียงขอว่าถ้าใช้กติกากันแบบนี้การใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ การแสดงออกซึ่งการไม่เห็นด้วยการต่อต้านรัฐบาลก็ยังทำได้ ซึ่งจะไม่กระทบภาพรวม ฉะนั้นขณะนี้จึงอยากเรียกร้องให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่เท่านั้นเอง แต่ยังใช้สิทธิของตัวเองได้ ซึ่งจะได้ไม่กระทบในภาพลักษณ์โดยรวมของประเทศ ต่อข้อถามว่า กลุ่มพันธมิตรฯ เคยเรียกร้องอะไรแล้วนายกรัฐมนตรีไม่ให้เขาหรือไม่ จึงผิดหวังจากการเรียกร้อง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็น 3 ข้อที่ตนไม่ให้ เพราะได้ยืนยันมาโดยตลอดว่า 1. ถ้าไม่มีกลไกทวิภาคีอยู่ก็เป็นไปตามความต้องการของกัมพูชา วันนี้คำพูดของสมเด็จฮุนเซนก็ยืนยันชัดเจนว่าสิ่งที่ตนวิเคราะห์ถูกต้อง 2. เรียกร้องให้ถอนตัวจากมรดกโลกในขณะที่มรดกโลกกำลังเป็นเงื่อนไขให้คนเข้ามาวุ่นวายในดินแดนไทย ตนก็ไม่ยอมและกำลังเดินหน้าคัดค้านอยู่ แล้วอยู่ดีๆ ให้ตนไปหยุดคัดค้านแล้วถอนตัวตนก็ไม่ทำเพราะมีหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ของคนไทยและประเทศไทย ส่วนข้อ 3. เสนอให้ขับชุมชนกัมพูชาออกนอกพื้นที่นั้นก็ได้อธิบายในสภาผู้แทนฯ ชัดเจนถึงความละเอียดอ่อนแล้ว และนี่คือสิ่งที่ไม่ให้ สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ปัญหาระหว่างไทยกับกัมพูชา: ผลกระทบต่อความร่วมมือระหว่างประเทศ Posted: 10 Feb 2011 03:57 AM PST ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาที่กำลังดำเนินอยู่นั้น ไม่ได้ส่งผลแค่ต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเท่านั้น หากแต่ยังส่งผลกระทบต่อความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความคลั่งชาติของกลุ่มพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตยที่ปรากฏให้เห็นในสาธารณะนั้นรุนแรง ก้าวร้าว และขาดสติ ข้อเสนอที่น่ากังวลมากคือการที่ผู้นำกลุ่มพันธมิตรเสนอให้มีการบุกเข้าไปยึดพื้นที่ในกัมพูชาจนกว่าจะมีการคืนปราสาทเขาพระวิหารให้กับประเทศไทย ราวกับว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่ก้าวร้าว บ้าคลั่ง และรุกราน แน่นอนว่าความขัดแย้งระหว่างสองประเทศนั้นจะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพียงแค่สองประเทศเท่านั้น หากแต่ยังจะส่งผลกระทบเป็นโดมิโนไปยังประเทศและความร่วมมืออื่นๆ เพราะในกรณีของไทยกับกัมพูชานั้น ทั้งสองเป็นสมาชิกของอาเซียน และโครงการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง หรือจีเอ็มเอส แน่นอนว่าอาเซียนซึ่งเป็นองค์การระหว่างประเทศของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ย่อมได้รับผลกระทบไม่มากก็น้อย เพราะอาเซียนต้องเผชิญกับคำถามในมิติทางความมั่นคงที่ว่า ทำไมอาเซียนถึงไม่มีบทบาทต่อการแก้ไขปัญหาดังกล่าว และอาเซียนควรมีการปรับเปลี่ยน “วิถีอาเซียน” (ASEAN Way) หรือไม่ วิถีอาเซียน คือ แนวทางในการแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศภายในอาเซียน มันเป็นคำที่ใช้เรียกกระบวนการแก้ไขปัญหาตามที่ระบุไว้ใน “สนธิสัญญาไมตรีและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” (Treaty of Amity and Cooperation: TAC) ซึ่งเกิดขึ้นในปี ค.ศ.1976 สนธิสัญญานี้กำหนดหลักการสำคัญๆในการแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศไว้ คือ การเคารพซึ่งความเท่าเทียม อำนาจอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และอัตลักษณ์ของแต่ละชาติ หลักการไม่ถูกแทรกแซงกิจการภายใน การแก้ไขปัญหาด้วยวิธีสันติ และการไม่ใช้กองกำลังทางทหาร วิถีดังกล่าวได้ถูกเรียกรวมกันว่าวิถีอาเซียนและใช้ในการเป็นแนวทางในการจัดการเรื่องราวภายในอาเซียนตลอดมา ในกรณีของความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา สิ่งที่เห็นและมีหลายฝ่ายตั้งคำถาม คือ แล้วอาเซียนมีบทบาทอย่างไร เราจะเห็นได้ว่า ตลอดเวลาที่มีปัญหาระหว่างสองประเทศนั้น อาเซียนมีท่าทีและการพูดถึงปัญหาดังกล่าวน้อยมาก ล่าสุด เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียน ได้แสดงความวิตกกังวลต่อความรุนแรงที่ปะทุขึ้นจากเหตุการณ์ยิงปะทะกันระหว่างสองประเทศเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ โดยเสนอให้สองประเทศหันมาตกลงกันบนโต๊ะเจรจาแบบวิธีการทางการทูตแทนการใช้กองกำลังทหาร ดูเหมือนว่านี่ก็เป็นวิธีการเดียวที่อาเซียนจะทำได้ คือ การแสดงความคิดเห็น เพราะอาเซียนเองนั้นไม่ได้มีกองกำลังในการรักษาสันติภาพเป็นของตนเองแบบที่นาโต (NATO) ของยุโรปมีไว้ใช้จัดการหรือช่วยเหลือเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในยุโรป หรือออกไปช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในที่ต่างๆ ในทางตรงกันข้าม จากข้อจำกัดของอาเซียนในการเข้าไปแทรกแซงกิจการระหว่างประเทศเช่นนี้ ส่งผลให้อาเซียนซึ่งเป็นองค์การระหว่างประเทศที่มีเป้าหมายหนึ่งในการสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นในภูมิภาคนี้ถูกตั้งข้อสังเกตถึงบทบาทที่กำลังเป็นอยู่ และ/หรือบทบาทที่ควรจะเป็นต่อไปในอนาคต ว่าควรมีแนวทางการปรับปรุงวิถีอาเซียนหรือไม่ อย่างไร วิถีอาเซียนยังถูกตั้งคำถามต่อไปอีกว่า ถ้าเช่นนั้นแล้ว การแก้ไขปัญหาระหว่าสองประเทศ และกัมพูชาเสนอให้องค์การสหประชาชาติ หรือยูเอ็น (United Nations: UN) เข้ามาเป็นตัวกลางในการแก้ไขปัญหานั้น ควรเป็นไปเช่นนั้นหรือไม่ เพราะหากพิจารณาแล้ว เราคงต้องตั้งคำถามว่า ถ้านี่เป็นเรื่องความขัดแย้งภายในภูมิภาคหรือบ้านของเรา เราจะยินดีให้คนนอกบ้านเข้ามาแก้ไขปัญหาอย่างนั้นหรือ ข้อเสนอในลักษณะนี้อาจได้รับการสนับสนุน เพราะยูเอ็นถูกเชื่อว่าเป็นกลางและน่าจะให้ความเป็นธรรมได้ แต่หลักการการให้ประเทศคู่ขัดแย้งเจรจาและแก้ไขกันเองก่อนนั้นก็ยังเป็นข้อที่ทำให้ยูเอ็นไม่อาจเข้ามาได้ อาเซียนเองซึ่งเป็นองค์การระหว่างประเทศของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ควรมีบทบาทในการแก้ไขปัญหานี้มากกว่าที่จะปล่อยให้องค์การระหว่างประเทศอื่นๆเข้ามามิใช่หรือ เพราะเราควรคิด ถกเถียง และเปิดเวทีระหว่างประเทศเพื่อนำไปสู่แนวทางว่าในกรณีเช่นนี้แล้ว เราจะส่งเสริมหรือพัฒนากลไกของอาเซียนที่มีอยู่แล้วให้มีประสิทธิภาพ มีอำนาจ และสามารถเข้ามาจัดการเรื่องราวในภูมิภาคได้อย่างไม่ต้องโดนตราหน้าจากประเทศในภูมิภาคกันเองว่า “อย่ามาแส่” หรือจะมีการตัดลด เพิ่มเติมกลไกที่ดี มีประสิทธิภาพได้อย่างไร อาจเป็นที่เข้าใจได้ว่าประเด็นเรื่องการไม่ต้องการให้เกิดการแทรกแซงกิจการภายในประเทศนั้น เกิดขึ้นเพราะรัฐหลายรัฐในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่งเป็นรัฐชาติสมัยใหม่มาได้ไม่นาน เพราะรัฐชาติหลายรัฐในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นเพิ่งเกิดขึ้นอันเป็นผลพวงจากสงครามโลกครั้งที่สอง มันไม่ได้มีวิวัฒนาการการต่อสู้ แย่งชิง ร่วมมือกันมายาวนานเฉกเช่นเดียวกับรัฐชาติสมัยใหม่ที่เกิดขึ้นในยุโรปที่ผ่านการต่อสู้แย่งชินดินแดน การสร้างเมือง การทำสงครามระหว่างกัน จนมาถึงสร้างความร่วมมือและบูรณาการทางเศรษฐกิจและการเมือง จนจินตนาการของเส้นเขตแดนได้เลือนหายไปจนเกือบหมดสิ้น ในขณะที่รัฐชาติสมัยใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังอยู่ในช่วงที่หวงแหนสิ่งที่เพิ่งได้มา ซึ่งนั่นก็คือ เส้นเขตแดน และอธิปไตย สิ่งที่พอจะทำได้ในปัจจุบัน คือ การรอคอยว่าเมื่อใดที่มือที่กุมกำความหวงแหนเหล่านั้นจะค่อยๆคลาย และมองว่าเส้นเขตแดนเป็นเพียงสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น เป็นจินตนาการร่วมกันของคนในรัฐ และเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่สำคัญของนักการเมืองที่หยิบขึ้นมาใช้ได้เพื่อปลุกความเป็นชาตินิยม ล่าสุด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอินโดนีเซีย นายมาร์ตี นาตาเลกาวา (Marty Natalegawa) ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นประธานของอาเซียน ได้เสนอว่าจะเป็นตัวกลางในการไกล่เกลี่ยปัญหา ความหวังของอาเซียนจึงได้บังเกิดขึ้นในฐานะที่อาเซียนได้ทำอะไรเสียที เพราะในเมื่ออาเซียนเป็นองค์การของภูมิภาค เราก็ควรคาดหวังอย่างมากให้อาเซียนมีบทบาทในการแก้ไขปัญหาภูมิภาค เพื่อใช้อาเซียนให้เป็นประโยชน์ มิใช่เป็นเพียงองค์การระหว่างประเทศที่ตั้งขึ้นมาเพื่อเป้าหมายทางเศรษฐกิจ และทำอะไรอย่างอื่นไม่ได้ แต่เราควรเสนอให้อาเซียนมีบทบาทในการเข้ามาจัดการ ดูแล และเสนอทางแก้ไขต่อปัญหาในภูมิภาคได้ และแม้ไม่มีอะไรจะรับประกันถึงความสามารถในการแก้ไขปัญหาของอาเซียน แต่อย่างน้อยเราก็ได้ใช้เครื่องมือที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์ ไม่ใช่ละทิ้งสิ่งที่มีอยู่แล้วไปใช้กลไกอื่น ความหวังต่อองค์การระหว่างประเทศให้ทำหน้าที่จึงยังพอมีให้เห็น และแม้อาจกล่าวโต้เถียงอีกว่า แล้วเมื่ออาเซียนออกมาแล้ว แล้วหากไทยและกัมพูชาไม่แยแสต่อความเห็น ข้อเรียกร้องของอาเซียน มันก็ทำให้เราคิดต่อไปอีกว่า ท้ายที่สุดแล้วเรามีวัฒนธรรมในการยอมรับและปฏิบัติกฎหมายมากพอหรือไม่ เพราะนอกจากจะไม่สนใจกฎหมายในประเทศอยู่บ่อยครั้งแล้ว ไฉนเลยกฎหมายระหว่างประเทศจะมาบังคับประเทศเราได้ เพราะหากมันไม่ช่วยให้เราได้สิ่งที่เราต้องการ เด็กเอาแต่ใจตัวเองอย่างเราก็จะขอประกาศกระทืบเท้า รุกราน เกรี้ยวกราด และร้องขออย่างไร้สติต่อไป ชาตินิยมของเราก็ทำให้ระบบระหว่างประเทศปั่นป่วน สับสน และไร้ซึ่งทางออก เพราะเมื่อทางออกได้มีมาแล้ว ก็ไม่มีคนฟัง เราไม่เอา เราไม่ยอม หากจะกล่าวสรุปต่อบทบาทของอาเซียน เราจะเห็นได้ว่า อาเซียนแม้จะเป็นองค์การระหว่างประเทศที่ทุกประเทศคาดหวังให้เป็นตัวกลางในการประสานความร่วมมือในมิติต่างๆ แต่อาเซียนเองก็ยังมีกลไกการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่ยังไม่มีประสิทธิภาพ เพราะยังไม่สามารถเข้าไปแทรกแซง แสดงความเห็น หรือใช้กองกำลังในการจัดการแก้ไขปัญหา บรรเทา เยียวยา หรือให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่ได้ แม้อาจโต้เถียงว่า เพราะอาเซียนมิได้มีกองกำลังเป็นของตนเอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า อาเซียนจะมีกองกำลังที่ไว้บรรเทาทุกข์ไม่ได้ บางทีเราอาจจะต้องดูตัวแบบจากสหภาพยุโรปในการมีกองกำลังไว้เป็นของตนเอง เพียงแต่เปลี่ยนร่างแปลงรูปและบทบาทของกองกำลังไม่ได้ให้มีอำนาจในการรุกรานหรือไปทำร้ายใคร แต่มีไว้เพื่อรักษาความสงบสุข ไว้ให้ความช่วยเหลือแก่พื้นที่ต่างๆ เพราะหากแม้เราไม่มีความขัดแย้งถึงขั้นเลือดตกยางออกอันเกิดจากความขัดแย้งระหว่างประเทศ แต่เราก็ยังอาจใช้ประโยชน์ในการช่วยเหลือบรรเทาทุกข์อันเกิดจากภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในโลกที่กำลังมีสภาพอากาศที่แปรปรวน หรือใช้ส่งไปให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่เพื่อนร่วมโลกที่กำลังประสบปัญหาในพื้นที่ต่างๆ โดยอาจเสนอว่ามิใช่เพื่อส่งไปร่วมรบ หากแต่ส่งไปเพื่อช่วยบรรเทา รักษา เยียวยา ก่อสร้าง ขนส่งอาหาร ยา และขอใช้ที่สำคัญ ซึ่งอาหารจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็มีมาก มิตรไมตรีของพลเมืองอาเซียนที่จะเป็นเป็นกองกำลังด้านมนุษยธรรมก็เป็นที่ประทับใจ เป็นมิตร และห่วงใยผู้คนที่ตกทุกข์ได้ยากเป็นแน่ นอกจากนั้น อาเซียนเองก็มิใช่ความร่วมมือเพียงความร่วมมือเดียวที่ควรพิจารณา บนภาคพื้นทวีปของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เองนั้นยังมีอีกหนึ่งความร่วมมือที่ควรได้รับความสนใจ คือ โครงการจีเอ็มเอส (The Greater Mekong Subregion Economic Cooperation: GMS) โครงการจีเอ็มเอสเป็นโครงการที่อยู่ภายใต้การดูแลของธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย หรือเอดีบี (Asian Development Bank: ADB) โครงการจีเอ็มเอสถือกำเนิดขึ้นในปี ค.ศ.1992 หนึ่งปีหลังความวุ่นวายในลุ่มแม่น้ำโขงซึ่งได้แก่ปัญหาในอินโดจีนได้สิ้นสุดลง โครงการดังกล่าวมีเป้าหมายในการสนับสนุนความร่วมมือระหว่างประเทศ เสริมสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้เกิดขึ้นกับประเทศสมาชิก ปัจจุบันมีมณฑลกวางสีและมณฑลยูนนาน พม่า ไทย ลาว เวียดนาม และกัมพูชาเป็นสมาชิก โครงการจีเอ็มเอสในปัจจุบันมีโครงการย่อยๆรวมสิบเอ็ดโครงการที่มีเป้าหมายในการสนับสนุนให้เกิดความเจริญร่วมกัน อาทิ การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจ (Economic Corridors) โทรคมนาคม พลังงาน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การเกษตร เป็นต้น ระเบียงเศรษฐกิจดูเหมือนจะเป็นโครงการที่ได้รับความสนใจและได้รับการตอบสนองจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชนจากประเทศสมาชิกมากที่สุด โดยพิจารณาจากความกระตือรือร้นในการทำการศึกษาแนวทาง ผลกระทบ และความคืบหน้าของโครงการ รวมไปถึงงบประมาณที่แต่ละประเทศสนับสนุน โครงการระเบียงเศรษฐกิจประกอบไปด้วยระเบียงเศรษฐกิจจำนวนสามเส้นทางที่สำคัญ คือ ระเบียงเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ (North-South Economic Corridor: NSEC) ระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor: EWEC) และระเบียงเศรษฐกิจตอนใต้ (Southern Economic Corridor: SEC) ระเบียงเศรษฐกิจที่ไทยและกัมพูชามีส่วนร่วมโดยตรง คือ ระเบียงเศรษฐกิจตอนใต้ เส้นทางนี้เชื่อมโยงกรุงเทพมหานครไปยังกัมพูชาและเวียดนาม เป็นเส้นทางการขนส่งสินค้าเส้นหนึ่งที่สำคัญ เพราะเป็นการเชื่อมต่อเส้นทางการขนส่งสินค้าจากเขตอุตสาหกรรมในชลบุรีและระยองให้ส่งไปยังท่าเรือในเวียดนาม อีกทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งในการขนส่งสินค้าจากจีนตอนใต้ให้ผ่านมายังพม่าหรือลาวและเข้าสู่ประเทศไทย ก่อนจะลงมายังเส้นทางดังกล่าว อีกทั้งยังมีความร่วมมือระหว่างไทยกับกัมพูชาในประเด็นการสื่อสาร พลังงาน และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อีกมาก ความร่วมมือในกรอบมิติต่างๆนี้สะท้อนอยู่ในงานของ พวงทอง ภวัครพันธุ์ ที่มีชื่อว่า “สงคราม การค้า และชาตินิยมในความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา” (2552, หน้า 93-131) บทความนี้จึงจะไม่แจกแจงรายละเอียดดังกล่าวแต่ขอให้ผู้อ่านไปตามอ่านรายละเอียดได้ที่งานของพวงทอง งานของพวงทองสะท้อนให้เห็นภาพความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยประเด็นที่สำคัญคือการที่ไทยยังมองว่าตัวเองเป็น “พี่” ของกัมพูชาที่เป็น “น้อง” มโนทัศน์ “บ้านพี่เมืองน้อง” จึงเป็นเรื่องของการมองใครใหญ่กว่าใคร ไม่ได้มองว่าเขาและเราเป็น “เพื่อนบ้าน” กัน พวงทองชี้เอาไว้อย่างน่าสนใจว่า เราสำคัญตัวว่าเรามีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของกัมพูชา โดยไม่ได้ตระหนักเลยว่าแท้ที่จริงแล้วประเทศจีน ญี่ปุ่น และเวียดนามต่างหากที่มีบทบาทกับกัมพูชามาก ความร่วมมือในกรอบจีเอ็มเอสจะได้รับผลกระทบอันเกิดจากความขัดแย้งระหว่างสองประเทศนี้อย่างแน่นอน เพราะมันเป็นเรื่องของทั้งการเมืองและการค้าระหว่างสองประเทศ อีกทั้งยังส่งผลต่อบรรยากาศที่ไม่ดีในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศระดับภูมิภาค ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องการแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติ แต่เป็นปัญหาอันเกิดจาก “ชาตินิยม” ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองภายในประเทศ ชาตินิยมที่ถูกใช้จากจุดศูนย์กลางของประเทศ ได้กลายเป็นเครื่องมือในการทำลายผู้คนที่อาศัยในพื้นที่ที่ถูกเรียกว่า “ชายแดน” เส้นเขตแดนที่ถูกสร้างจากส่วนกลาง ได้ทำลายและทำร้ายสิ่งที่เรียกว่า “คนชายแดน” ปัญหาความขัดแย้งระหว่างเมืองหลวงได้ส่งผลให้บรรยากาศในภูมิภาคอึมครึม ก้าวต่อไปไม่ได้ และอาจถอยหลัง เพียงเพราะผู้คนบางกลุ่มตกอยู่ในห้วงที่ถูกทำให้เชื่อว่า “การเสียดินแดนแม้เพียงตารางนิ้วเดียวนั้นยอมไม่ได้” จนกลายเป็นปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ และความชะงักงันของภูมิภาคที่ทุกส่วนหันมาจับจ้องบทบาทของไทยที่เชื่อว่าตนเองเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ เป็นผู้นำ และศูนย์กลางของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ว่าจะมีบทบาทอย่างไร มีจุดยืน หรือแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างประเทศที่มีสติ เป็นอารยะ และมีวัฒนธรรมของรัฐชาติที่เจริญและพัฒนาสืบทอดมายาวนานแบบที่รัฐไทยเชื่อหรือไม่ ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ก็เป็นเพียงมุมมองของผู้ศึกษาด้านการเมืองระหว่างประเทศ ผู้คาดหวังให้คนไทยและพลเมืองอาเซียนตระหนักถึงการใช้องค์การระหว่างประเทศให้เป็นประโยชน์ เรามีอาเซียน เราเป็นพลเมืองของอาเซียนแล้ว ไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ก็ตาม คุณจะเห็นความสำคัญของมันหรือไม่ก็ตาม แต่อาเซียนมันเกิดขึ้นแล้ว มันมีตัวตนแล้ว และมันกำลังจะส่งผลต่อชีวิตของผู้คนในรัฐต่างๆไม่มากก็น้อย ไม่ทางตรงก็ทางอ้อมเป็นแน่ แต่เราควรตระหนักว่าเรามีอาเซียนและควรใช้อาเซียนให้เป็นประโยชน์ นอกจากนี้ ผู้เขียนมิใช่ผู้ต่อต้านชาตินิยม ชาตินิยมเป็นสิ่งที่ดีและมีประโยชน์ในบางเรื่อง แต่เราควรตระหนักว่า เรากำลังใช้มันในแง่ใด หรือใครกำลังใช้มันเพื่ออะไร หากเราใช้เพื่อสร้างความมั่นคง ความรักชาติ และพยายามส่งเสริมให้คนอุทิศตนทำงานให้กับชาติบ้านเมืองก็คงเป็นสิ่งดี แต่หากชาตินิยมได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง เราในฐานะผู้ถูกพยายามทำให้เชื่อ ก็ควรระมัดระวัง พิจารณาตามหลักวิชาการ กฎหมาย และบรรทัดฐานที่ประเทศต่างๆมีใช้ร่วมกัน มิใช่ใช้อารมณ์และ “สามัญสำนึก” จนกระทั่งไม่พิจาณาประเด็นอื่น หรือปฏิเสธบรรทัดฐานที่ไทยมีร่วมกับประเทศอื่น จนเหมือนเราเป็นอันธพาล ผู้หลงคิดและถูกทำให้เชื่อว่าเรายิ่งใหญ่ สำคัญ และต้องเป็นผู้ได้เสมอ จนทำให้บ้านเมืองอื่น และระบบระหว่างประเทศเดือดร้อนกันไปตามๆกัน และที่สำคัญ ขอให้คิดเสมอว่า เส้นเขตแดนที่กำลังทะเลาะกัน มันถูกขีดขึ้นโดยคนอื่น มันมาทีหลัง มันเป็นจินตนาการและสิ่งสร้างในฝันที่ดูเหมือนจะสวยงาม ดังที่ เกษียร เตชะพีระ เคยกล่าวไว้ว่า ชาตินิยมจะมองเห็นก็ต่อเมื่อหลับตาลง เพราะแท้ที่จริงแล้วเส้นเขตแดน มันพาดผ่านทอดทับหมู่บ้าน ผู้คน กลุ่มชน และครอบครัวที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นั้นๆมานานแล้ว มันแบ่งแยกเราเขาที่พูดภาษาเดียวกัน เคยเป็นครอบครัวเดียวกัน เคยไปมาหาสู่ซื้อขายสินค้า พบปะสังสรรค์ มันอาจมีความสำคัญกับรัฐชาติสมัยใหม่ แต่ไม่ได้มีความสำคัญมากมายกับชีวิตผู้คนที่เขาอยู่ตรงนั้นมานานแล้ว ดังนั้น อย่าให้สิ่งที่มันเป็นเพียงจินตนาการที่มีประโยชน์ไม่มากมาทำลายชีวิตผู้คน การทำมาหากิน การได้ใช้ชีวิตปกติ ครอบครัว และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเลย สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ผู้ป่วยชาวพม่าพึ่งสภาทนายฯ-หลังใบอนุญาตทำงานไม่หมดอายุ แต่ยังถูกคุมตัว Posted: 10 Feb 2011 02:45 AM PST เผย “ชาลี” ผู้ป่วยชาวพม่าซึ่งประสบอุบัติเหตุและถูกนายจ้างลอยแพ ล่าสุดเจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงานตรวจฐานข้อมูลพบใบอนุญาตทำงานไม่หมดอายุ แต่ล่าสุดยังคงถูกควบคุมตัวในข้อหาเข้าเมืองผิดกฎหมาย ด้านนักสิทธิมนุษยชนขอพึ่งสภาทนายความให้ความช่วยเหลือด้านกฎหมาย ให้ได้ปล่อยตัว "ชาลี" แรงงานชาวพม่า ผู้ป่วยหลังประสบอุบัติเหตุระหว่างทำงานก่อสร้างเมื่อวันที่ 9 ม.ค. 54 ซึ่งเมื่อวันที่ 31 ม.ค. ถูกโรงพยาลแจ้งตำรวจจับ ถูกควบคุมตัวที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และส่งไปรักษาที่ รพ.ตำรวจ โดยถูกโซ่ล่ามไว้นั้น ล่าสุดได้รับการประสานให้ปลดโซ่แล้ว ล่าสุดเมื่อ 10 ก.พ. นายชาลียังคงถูกควบคุมตัวที่โรงพยาบาลตำรวจในข้อหาเข้าเมืองผิดกฎหมาย แม้ว่าจะมีการชี้แจงจากเจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงานแล้วว่าใบอนุญาตทำงานของเขาไม่หมดอายุ (ที่มาของภาพ: มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา)
วันนี้ (10 ก.พ.) เวลา 10.00 น ตัวแทนสภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยจากการทำงานและสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย (WEPT) และมูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (มสพ.) ได้ยื่นหนังสือต่อนายปั้น วรรณพินิจ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม เพื่อหารือกรณี นายชาลี ดีอยู่ แรงงานข้ามชาติที่เกิดอุบัติเหตุหรือบาดเจ็บจากการทำงาน แต่ยังไม่ได้รับสิทธิประโยชน์จากกองทุนเงินทดแทน และหารือกรณีการประสานงานโดยสำนักงานประกันสังคมจังหวัดที่ไม่รัดกุมส่งผลให้นายชาลี ต้องถูกแจ้งจับ เนื่องจากไม่มีการประสานงานกับโรงพยาบาลเพื่อยืนยันสถานะภาพใบอนุญาตทำงาน โดยทางมูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา เปิดเผยด้วยว่า ขณะนี้นายชาลี ยังคงถูกควบคุมไว้ในห้องควบคุมตัวโรงพยาบาลตำรวจ ในข้อหาเข้าเมืองผิดกฎหมายเพื่อรอการผลักดันกลับ แม้กรรมการบริหารแรงงานต่างด้าวได้ชี้แจงแล้วว่า ใบอนุญาตทำงานยังไม่หมดอายุ นายชาลีจึงไม่มีความผิด ดังนั้นการจับกุมและควบคุมตัวนายชาลีโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นการละเมิดเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญอย่างร้ายแรง ถึงแม้ความจริงจะปรากฏชัดเจนเช่นนี้แล้ว แค่นายชาลียังไม่ได้รับการปล่อยตัว ดังนั้นมูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (มสพ.) ซึ่งได้รับมอบอำนาจจากนายชาลี จึงได้ขอความช่วยเหลือจากสภาทนายความ เพื่อดำเนินการขอให้เจ้าหน้าที่ยกเลิกการควบคุมตัวนายชาลีทันที และหากไม่เป็นผล สภาทนายความก็พร้อมจะดำเนินการทางกฎหมายต่อผู้ที่รับผิดชอบเพื่อให้เป็นบรรทัดฐานต่อไป โดยหวังว่าจะป้องกันแรงงานข้ามชาติเหยื่ออุบัติเหตุ ไม่ให้ถูกนายจ้างทอดทิ้ง ถูกจับและส่งกลับโดยไม่ได้รับการเหลียวแลซ้ำอีก ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายชาลี ดีอยู่ อายุ 33 ปี ประสบอุบัติเหตุขณะทำงานเมื่อ 9 ม.ค. ที่ผ่านมา จนบาดเจ็บสาหัส กระดูกสะโพกขวาหัก นอกจากนี้ยังต้องผ่าตัดเอาลำไส้ใหญ่ออกมาแขวนไว้นอกช่องท้อง แต่เมื่อไม่มีเงินจ่ายค่ารักษาพยาบาลกลับถูกเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลของรัฐในจังหวัดปทุมธานีที่แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจมาควบคุมตัวไปจากโรงพยาบาลดังกล่าวเมื่อวันที่ 31 ม.ค. โดยอ้างว่าเป็นแรงงานผิดกฎหมาย แม้นายชาลีจะได้แจ้งว่าตนได้ขึ้นทะเบียนแรงงานข้ามชาติแล้วแต่เมื่อประสบอุบัติเหตุเอกสารประจำตัวได้สูญหายทั้งหมด ทั้งถูกนายจ้างทอดทิ้ง ต่อมานายชาลีได้ถูกส่งตัวไปควบคุมไว้ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เพื่อรอการผลักดันกลับประเทศพม่า ทั้งๆ ที่อาการบาดเจ็บยังต้องรับการรักษาอย่างต่อเนื่อง แต่จากการร้องขอโดย มสพ. ทำให้ สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองส่งตัวนายชาลีไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลตำรวจ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องที่ที่ดูแลผู้ต้องขังที่เข้าที่โรงพยาบาลดังกล่าว ได้นำนายชาลีไปควบคุมตัวไว้ในห้องคนไข้ที่เป็นห้องขังทั้งยังได้ล่ามโซ่ขานายชาลีไว้กับเตียงคนไข้อีกด้วย จนองค์กรสิทธิมนุษยชนเรียกร้องต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) นายชาลีจึงได้รับการปลดโซ่เมื่อวันที่ 4 ก.พ. โดยนายชาลีได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดีจากแพทย์และพยาบาลโรงพยาบาลตำรวจจนมีอาการดีขึ้นตามลำดับ อย่างไรก็ตาม มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (มสพ.) แสดงความกังวลว่า ถึงแม้จะมีข้อมูลชัดเจนจากกระทรวงแรงงานว่า นายชาลีได้รับอนุญาตจากทางราชการให้ทำงานและใบอนุญาตทำงานยังไม่หมดอายุ แต่นายชาลีก็ยังคงถูกควบคุมตัวไว้ในสถานะผู้ถูกกักตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 โดยถูกขังไว้ในห้องผู้ป่วยอายัด ซึ่งเป็นการขัดต่อหลักเสรีภาพและกฎหมายทั้งเป็นอุปสรรคต่อการเข้าเยี่ยมและประสานงานเพื่อให้การช่วยเหลือทางกฎหมายแก่นายชาลีด้วย ทั้งนี้เมื่อวันที่ 8 ก.พ. ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่จากกระทรวงแรงงานได้เข้าเยี่ยมนายชาลี และได้แจ้งแก่ มสพ.ว่า ได้ตรวจสอบแล้วพบว่าใบอนุญาตทำงานของนายชาลียังไม่หมดอายุ และจะประสานกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเพื่อให้ถอนอายัดตัวนายชาลี ซึ่งจะทำให้นายชาลีสามารถรับรักษาตัวต่อไปในฐานะผู้ป่วยปกติ แต่จนบัดนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยังไม่ดำเนินการแต่อย่างใด โดยทาง มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (มสพ.) เห็นว่าการเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมและควบควบคุมตัวนายชาลีด้วยข้อหาเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายเพราะเข้าใจผิด โดยไม่มีการตรวจสอบหรือสืบสวนสอบสวนความจริงให้ถ่องแท้เสียก่อน โดยการจับและควบคุมนายชาลีไว้ตั้งแต่ 31 ม.ค. ถึงปัจจุบันเพื่อรอผลักดันกลับประเทศพม่านั้น เป็นการจับและควบคุมตัวโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นการละเมิดเสรีภาพซึ่งได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 32 จึงได้ร้องเรียนขอให้สภาทนายความให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่นายชาลีเพื่อให้ได้รับการปล่อยตัวต่อไป สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ศอ.รส.ออกประกาศ 2 ฉบับขับพันธมิตรฯ พ้นพื้นที่รอบทำเนียบ Posted: 10 Feb 2011 01:26 AM PST เผยประกาศ ศอ.รส. 2 ฉบับ ห้ามบุคคล กลุ่มบุคคล ยานพาหนะ เข้า-ออก ทำเนียบรัฐบาลและรัฐสภา และกินพื้นที่ถนนหลายสายซึ่งเป็นพื้นที่ชุมนุมของพันธมิตรฯ (10 ก.พ. 54) - มีรายงานว่า พล.ต.อ.วิเชียร์ พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย หรือ ศอ.รส.ได้ลงนามในประกาศ 2 ฉบับ ลงวันที่ 9 ก.พ.2554 ได้แก่ “ประกาศ ฉบับที่ 1/2554 เรื่องห้ามบุคคลเข้าหรือให้ออกจากพื้นที่ อาคาร หรือสถานที่ที่กำหนด” และ ประกาศ ฉบับที่ 2/2554 เรื่อง ห้ามการใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ” โดยบริเวณที่ประกาศห้ามของ ศอ.รส. เป็นพื้นที่การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยประกาศของ ศอ.รส. ทั้ง 2 ฉบับ มีรายละเอียดดังนี้ 000
ประกาศ ฉบับที่ 1/2554 ตามที่ได้มีการประกาศให้เขตพื้นที่เขตพระนคร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตดุสิต เขตปทุมวัน เขตวังทองหลาง เขตวัฒนา และเขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร เป็นพื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ระหว่างวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2554 ถึงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2554 และมีข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 ลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2554 ซึ่งได้มอบอำนาจให้ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากผู้อำนวยการรักษาความ มั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการ กำหนดเงื่อนไขในการปฏิบัติตามข้อกำหนด หรือเงื่อนไขในการปฏิบัติของพนักงาน เจ้าหน้าที่ตามที่เห็นสมควรนั้น เพื่อประโยชน์ในการป้องกัน ปราบปราม ระงับ ยับยั้ง และแก้ไขหรือบรรเทาเหตุการณ์ในพื้นที่ตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปด้วยความเรียบ ร้อยและเกิดประสิทธิภาพ สามารถป้องกันและควบคุมไม่ให้สถานการณ์ขยายลุกลามจนเกิดความรุนแรงเกิดผล เสียหายต่อเศรษฐกิจ กระทบต่อความมั่นคงในราชอาณาจักร รวมทั้งการบริการราชการแผ่นดินของรัฐ อาศัยอำนาจตามความในข้อ 2 และวรรคสามของข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 18 แห้งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อยจึงออกประกาศกำหนดดังนี้ ข้อ1 ห้ามบุคคลหรือกลุ่มบุคคล เว้นแต่ผู้ที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ เข้าหรือให้ออกจากบริเวณพื้นที่ และอาคารทำเนียบรัฐบาลและรัฐสภา รวมถึงบริเวณพื้นที่ดังต่อไปนี้ ก. ถนนพิษณุโลก ตั้งแต่แยกพาณิชยการพระนคร (ด้านถนนพระราม 5) ถึงแยกสวนมิสกวัน ข. ถนนนครปฐม ตั้งแต่สะพานชมัยมรุเชษฐ์ ถึงสะพานอรทัย ค. ถนนพระราม 5 ตั้งแต่สะพานชมัยมรุเชษฐ์ ถึงสะพานอรทัย ง. ถนนลูกหลวง ตั้งแต่สะพานมัฆวานรังสรรค์ ถึงสะพานเทวกรรมรังรักษ์ จ. ถนนกรุงเกษม ตั้งแต่แยกมัฆวาน ถึงสะพานเทวกรรมรังรักษ์ ฉ. ถนนราชดำเนินช่องทางคู่ขนานด้านทำเนียบรัฐบาลตั้งแต่แยกส่วนมิสกวันถึงแยกมัฆวาน ข้อ 2.ให้ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ชั้นสัญญาบัตร หรือเทียบเท่า เป็นผูดำเนินการตามประกาศนี้
ประกาศ ณ วันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2554
พล.ต.อ. วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี
ประกาศ ฉบับที่ 2/2554 ตามที่ได้มีการประกาศให้เขตพื้นที่เขตพระนคร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตดุสิต เขตปทุมวัน เขตวังทองหลาง เขตวัฒนา และเขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร เป็นพื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ระหว่างวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2554 ถึงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2554 และมีข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 ลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2553 ซึ่งได้มอบอำนาจให้ ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือผู้อำนวยศูนย์อำนวยการกำหนดเงื่อนไขเวลาในการปฏิบัติตามข้อกำหนดหรือ เงื่อนไขในการปฏิบัติของพนักงาน เจ้าหน้าที่ตามที่เห็นสมควรนั้น เพื่อประโยชน์ในการป้องกัน ปราบปราม ระงับ ยับยั้ง และแก้ไขหรือบรรเทาเหตุการณ์ในพื้นที่ตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปด้วยความเรียบ ร้อยและเกิดประสิทธิภาพ สามารถป้องกันและควบคุมไม่ให้สถานการณ์ขยายลุกลามจนเกิดความรุนแรงเกิดผล เสียหายต่อเศรษฐกิจกระทบต่อความมั่นคงในราชอาณาจักร รวมทั้งการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐ อาศัยอำนาจตามความในข้อ 4.และวรรคสามของข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 18 แห่งราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อยจึงออกประกาศกำหนดดังนี้ ข้อ 1.ห้ามการใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ในเส้นทางต่อไปนี้ ก.ถนนพิชัยตั้งแต่แยกขัตติยานี ถึง สามแยกถนนราชวิถีตัดถนนพิชัย ข.ถนนราชวิถีตั้งแต่แยกการเรือน ถึง แยกราชวิถี ค.ถนนอู่ทองในตั้งแต่แยกอู่ทองใน ถึง แยกพระบรมรูปทรงม้า รัชกาลที่ 5 ข้อ 2.ให้ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรัษาความสงบเรียบร้อยหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ชั้นสัญญาบัตร หรือเทียบเท่าเป็นผู้ดำเนินการตามประกาศนี้ ข้อ 3.ประกาศกำหนดนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2554
พล.ต.อ. วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
กลุ่มสันติภาพรณรงค์ร้องเพลงชาติถอยหลังต้านแนวคิดคลั่งสงคราม Posted: 09 Feb 2011 07:23 PM PST กลุ่มไม่เอาสงครามฯ รณรงค์ต้านสงครามไทย-กัมพูชาต่อเนื่องที่สวนสันติภาพ พร้อมร้องเพลงชาติถอยหลัง เพื่อสะท้อนความเสื่อมของชาติที่เกิดจากรัฐบาลนำชาติเข้าสู่ภาวะสงคราม เมื่อเวลา 17.00 น. เมื่อวานนี้ (9 ก.พ. 54) ที่บริเวณหน้าสวนสันติภาพ ถนนราชวิถี กลุ่มนักกิจกรรมอิสระที่เรียกตัวเองว่า "กลุ่มไม่เอาสงครามต้องการสันติภาพ" อันประกอบด้วยกลุ่มนักรณรงค์อิสระ กลุ่มเยาวชนหนุ่มสาว นักศึกษา และคนวัยทำงานที่ไม่นิยมความรุนแรง จำนวนประมาณ30-40 คน ได้จัดกิจกรรมต่อต้านสงครามไทย-กัมพูชาต่อเนื่องจากกิจกรรมครั้งก่อนที่จัดที่บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา กิจกรรมเริ่มต้นด้วยการติดโปสเตอร์แสดงการคัดค้านสงคราม ชูป้ายที่มีข้อความประท้วงที่สมาชิกแต่ละคนจัดเตรียมกันมาเอง และปูผืนผ้าสีขาวให้ประชาชนทั่วไปลงชื่อร่วมต่อต้านสงคราม พร้อมกับปราศรัยโดยใช้เครื่องขยายเสียงพกพา โดยสมาชิกในกลุ่มหลายคนผลัดกันยืนพูดบนเก้าอี้ไม้สีขาว มีการแสดงดนตรีโดยกิติเดช บัวศรี และดำ บุญมี ศิลปินอิสระ ร้องเพลงที่มีเนื้อหาใฝ่สันติภาพ ต่อจากนั้น กลุ่มประกายไฟการละครได้ร่วมแสดงละครเสียดสีกรณีพิพาทที่ชายแดนไทย-กัมพูชาด้วย ขณะที่กลุ่มคนหนุ่มสาวแจกใบปลิวต่อต้านสงครามเรียกร้องสันติภาพให้แก่ประชาชนทั่วไปที่เดินผ่านไปมาตลอดช่วงเวลาของกิจกรรม จากนั้น น.ส.จิตรา คชเดช นักกิจกรรมด้านสหภาพแรงงานได้ชักชวนให้สมาชิกร่วมกันจุดเทียนเพื่อสันติภาพ และอ่านแถลงการณ์ที่ร่างขึ้นมาด้วยฉันทามติของกลุ่มฯ ผ่านทางหน้ากิจกรรมใน Facebook สุดท้ายมีการร้องเพลงชาติถอยหลัง โดยผู้จัดกิจกรรมให้เหตุผลว่า เพื่อแสดงออกในเชิงสัญลักษณ์ต่อต้านการปลุกปั่นกระแสคลั่งชาติสร้างสถานการณ์ให้ประเทศเข้าสู่สภาวะสงคราม ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นการทำให้บ้านเมืองถอยหลังอีกด้วย สมาชิกในกลุ่มทั้งหมดได้เดินเรียงแถวเป็นขบวนต่อกันพร้อมทั้งชูป้ายประท้วงเดินบนทางเท้าไปยังอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แล้วแยกย้ายจากกันไปอย่างสงบในเวลาประมาณ 19.00น. เศษ อนึ่ง มีนักกิจกรรมนักเคลื่อนไหวทางสังคม อาทิเช่น พันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ กิตติชัย งามชัยพิสิฐ พิภพ อุดมอิทธิพงศ์ และสมบัติ บุญงามอนงค์ มาร่วมรณรงค์ในฐานะมวลชนของกิจกรรมครั้งนี้ โดยไม่ได้มีบทบาทเป็นแกนนำแต่อย่างใด สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
You are subscribed to email updates from ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์ To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น