ประชาไท | Prachatai3.info |
- ใช้ พ.ร.บ.คอมฯ 2550 ป้องกันปัญหาเยาวชนตั้งครรภ์
- ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์: ชาตินิยม vs ประชาธิปไตย vs ราชาธิปไตย
- ป.ป.ช.ชี้มูล “ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์” ยื่นบัญชีทรัพย์สินฯ เท็จ
- นปช. รุกจี้ปล่อยเสื้อแดงอีก คณิตชี้ปล่อย 8 นปช. ก้าวแรกความถูกต้อง
- ขบวนการประชาชนฯ จวก ครม.ไม่เห็นหัวคนจน พร้อมจี้ปัญหาปากมูลต้องยุติในรัฐบาลนี้
- “กัดดาฟี” ยังไม่ลงจากอำนาจ ลั่นพร้อมพลีชีพ
- ผบ.ทบ.เชื่อการชุมนุมในไทยไม่ลามเหมือนอียิปต์-ลิเบีย
- พม่าล้มเลิกพิธีตั้งกิ่งอำเภอใหม่ "เมืองทา" หลังถูกกลุ่มต่อต้านยิงถล่ม
- นักข่าวพลเมือง: ฟันธงหน่วยงานรัฐไร้น้ำยาทำเอสอีเอโปแตซ ย้ำต้องแก้กฎหมายก่อน
- ขยายประกันสังคมสู่แรงงานนอกระบบที่จะได้ผลจริง...ต้องถูกและดี
- กวีประชาไท: เดินทางต่อไป
- ชำนาญ จันทร์เรือง: ยกเลิกการบริหารราชการส่วนภูมิภาค
- หนุ่มใหญ่ถูกยิงดับเหตุกินป๊อบคอร์นเสียงดังในโรงหนัง
- หนุ่มใหญ่ถูกยิงดับเหตุกินป๊อบคอร์นเสียงดังในโรงหนัง
- "สมศักดิ์" แนะรัฐบาลเอาที่พิพาท 4.6 ตร.กม. มาแจกประชาชนเป็นที่ทำกิน
ใช้ พ.ร.บ.คอมฯ 2550 ป้องกันปัญหาเยาวชนตั้งครรภ์ Posted: 23 Feb 2011 05:07 AM PST กระทรวงไอซีที รับมอบนโยบายรัฐบาลแก้ปัญหาเยาวชนตั้งครรภ์ไม่พร้อม และป้องกันการกระทำผิดฯ ย้ำแจ้งเบาะแสมายังสายด่วน 1212 ตาม พ.ร.บ.คอมฯ 2550 วันที่ 23 ก.พ. น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกุล ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ ไอซีที เปิดเผยภายหลังการประชุมงานรับมอบนโยบายการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ป้องกัน และแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนตั้งครรภ์ไม่พร้อม ว่า รัฐบาลได้ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาเด็กและเยาวชนตั้งครรภ์ไม่พร้อม ที่ได้กลายเป็นปัญหาสังคมที่จำเป็นต้องมีการป้องกันและแก้ไข ดังนั้น ในการประชุมครั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จึงได้มอบนโยบายการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ป้องกันและแก้ไขปัญหาเด็กและ เยาวชนตั้งครรภ์ไม่พร้อม ให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 7 หน่วยงาน คือ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เพื่อบูรณาการความร่วมมือในการแก้ปัญหาดังกล่าวร่วมกัน กระทรวงไอซี ที เป็นหน่วยงานหนึ่งที่ได้รับมอบภารกิจครั้งนี้ โดยนายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำให้กระทรวงฯ ปฏิบัติภารกิจในด้านการป้องกัน เนื่องจากปัจจุบันความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารทำให้เด็ก และเยาวชนได้รับการกระตุ้นจากสื่อลามกอนาจารทุกรูปแบบได้ง่ายโดยเฉพาะผ่าน ทางสื่ออินเทอร์เน็ตที่เข้าถึงได้อย่างไร้ขีดจำกัด ซึ่งภายหลังรับมอบนโยบายจากนายกรัฐมนตรีแล้ว ก็จะมีการรายงานต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีที เพื่อใช้กำหนดเป็นนโยบายและมอบให้แก่หน่วยงานต่างๆ ในสังกัดกระทรวงไอซีทีนำไปดำเนินการ ที่ปรึกษา รมว. ไอซีที กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา กระทรวงไอซีทีได้ดำเนินนโยบายในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยว กับคอมพิวเตอร์ ผ่านโครงการต่างๆ หลายโครงการ ซึ่งสอดรับกับนโยบายฯ ที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ โดยโครงการสำคัญโครงการหนึ่งก็คือ โครงการความร่วมมือระหว่างกระทรวงยุติธรรม กระทรวงวัฒนธรรม และกระทรวงไอซีที ในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางเทคโนโลยี ซึ่งเป็นการบูรณาการความร่วมมือของ 3 กระทรวง ในการสร้างเครือข่ายเฝ้าระวัง รวมถึงป้องกันการกระทำผิดฯ และแจ้งเบาะแสมายังสายด่วน 1212 เพื่อ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของกระทรวงฯ ที่ได้รับแต่งตั้งจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีที ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ได้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ซึ่งการเฝ้าระวังและป้องปรามการเผยแพร่ สื่อ ลามกอนาจารนั้น ก็เป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญของโครงการนี้เช่นกัน ส่วนการดำเนินงานที่ผ่านมา กระทรวงฯ ได้มีการประสานความร่วมมือกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต หรือ ไอเอสพี ในประเทศเพื่อปิดกั้นสื่อลามกต่างๆ อย่างต่อเนื่อง แต่ยังติดปัญหาในการประสานงานกับไอเอสพี จากต่างประเทศอยู่บ้าง นอก จากนี้ กระทรวงไอซีที ยังดำเนินการพัฒนาโปรแกรม ไอซีที เฮ้าส์คีปเปอร์ มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยในการปิดกั้นการเข้าถึงเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสม ซึ่งสามารถขอรับโปรแกรมดังกล่าวได้ฟรีที่สำนักงานปลัดกระทรวงฯ พร้อมกันนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีที ยังมีนโยบายที่จะจัดค่ายเยาวชนในลักษณะไอซีทีซัมเมอร์แคมป์ (ICT Summer Camp) เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้เรียนรู้การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อ สารอย่างเท่าทัน รวมถึงจะมีการร่วมมือกับ 4 หน่วย งาน คือ กระทรวงไอซีที กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงแรงงาน และกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อวางแผนการศึกษาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และพัฒนาหลักสูตรที่มุ่งให้ผู้เรียนมีความรู้เท่าทันความก้าวหน้า และรู้จักการเข้าถึงเทคโนโลยีอย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการใช้คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต รวมถึงสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ อย่างถูกต้อง นางสาว มัลลิกา กล่าวอีกว่า นโยบายบรอดแบนด์แห่งชาติ ก็เป็นอีกนโยบายของกระทรวงฯ ที่สอดรับกับนโยบายการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ป้องกันและแก้ไขปัญหาเด็กและ เยาวชนตั้งครรภ์ไม่พร้อม เนื่องจากต้นเหตุของปัญหาคือการขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องเพศ ศึกษาในเด็กและเยาวชนที่เป็นกลุ่มเสี่ยง ดังนั้น การขยายโอกาสทางการศึกษาผ่านโครงข่ายบรอดแบนด์แห่งชาติ ซึ่งมีเป้าหมายที่จะขยายออกไปให้ครอบคลุมพื้นที่ 80% ของประเทศภายในปี 2558 จึง เป็นการกระจายความรู้ที่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเด็กและเยาวชนกลุ่ม เสี่ยงในพื้นที่ต่างๆ ได้เป็นอย่างดี โดยกระทรวงฯ จะได้ร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องดำเนินนโยบายในการกระจายรู้ ควบ คู่ไปกับนโยบายในการป้องกัน เพื่อให้นโยบายการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ป้องกันและแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชน ตั้งครรภ์ไม่พร้อมของรัฐบาลบรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ ที่มาข่าว: ไทยรัฐออนไลน์ สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์: ชาตินิยม vs ประชาธิปไตย vs ราชาธิปไตย Posted: 23 Feb 2011 03:15 AM PST ชาตินิยมบ่มิสม ทศวรรษ 1990 คือทศวรรษแห่งโลกาภิวัตน์ที่คนจำนวนมากเชื่อว่าโลกได้มาถึงขั้นตอนใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม พูดง่ายๆ คือองค์กรและจิตสำนึกแบบครอบโลกจะครอบงำจนพลังท้องถิ่นและจารีตประเพณีมีความหมายเปลี่ยนจากที่เคยเป็นมา แต่จากนั้นก็เกิดการตอบโต้โลกาภิวัตน์หลายรูปแบบตั้งแต่อิสลามแบบมูลฐานนิยมจนถึงขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อสังคมแนวใหม่ข้ามชาติหลายลักษณะ พลังของโลกาภิวัตน์มีแน่ แต่ก็พูดไม่ได้ว่าท้องถิ่นและจารีตประเพณีดั้งเดิมจะปิดฉากไปอย่างรวดเร็ว ในประเทศไทยเองก็เกิดปรากฎการณ์คล้ายกันนั่นคือทศวรรษ 2530 เป็นทศวรรษแห่งจินตการถึงการเปลี่ยนแปลงสู่ความทันสมัยที่รวดเร็วและครอบคลุมทุกปริมณฑลชนิดไม่เคยมีมาก่อน มีความคิดใหม่ๆ อย่างการเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า การเปิดเสรีการเงิน ความโปร่งใส การปรับโครงสร้างองค์กรฯลฯ หรือโดยรวมคือความเชื่อว่าชาติหรือชาตินิยมจะไม่มีความหมายอีกต่อไป คนอย่างชัยอนันต์หรือสนธิเป็นศาสดาของโลกานุวัตรในทศวรรษ 2530 แบบเดียวกับเป็นศาสดาของพันธมิตรในทศวรรษปัจจุบัน อย่างไรก็ดี ทศวรรษ 2540 เป็นทศวรรษของการหักเลี้ยวของสังคมไทยสู่ความคิดแบบประเพณีนิยมและพลังท้องถิ่นในรูปการฟื้นชีพของชาตินิยมที่กลายเป็นกระแสการเมืองวัฒนธรรมสำคัญมาอีกนาน คงไม่ลืมว่าในปี 2544 ยุทธวิธีที่พรรคไทยรักไทยใช้โจมตีพรรคประชาธิปัตย์คือการกล่าวหาว่าขายชาติจากกรณีไอเอ็มเอฟและบรรษัทบริหารสินทรัพย์ ต่อมาพันธมิตรและพรรคประชาธิปัตย์ก็ใช้ข้อหาเดียวกันโจมตีทักษิณในกรณีเทมาเส็กจนนำไปสู่รัฐประหาร 2549 จากนั้นเขาพระวิหารก็กลายเป็นชนวนล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งสองชุดในปี 2551 เช่นเดียวกับการขับไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์ในปี 2553 รวมทั้งการโหมโฆษณาความคิดเศรษฐกิจพอเพียงที่ไม่มีใครจำได้แล้วในตอนนี้ การลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของคุณบรรหารและพลเอกชวลิตก็เกี่ยวข้องกับประเด็นชาตินิยมด้วยเช่นเดียวกัน ชาตินิยมเป็นไพ่ซึ่งชนชั้นนำทุกฝ่ายใช้ปลุกระดมมวลชนต่อต้านฝ่ายตรงข้ามโดยตลอด ในช่วงปลายทศวรรษ 2540 ชาตินิยมไม่ได้เป็นแค่พลังในการล้มรัฐบาล แต่ยังเป็นฐานของการเปลี่ยนระบอบการเมืองถอยหลังไปสู่สภาวะประชาธิปไตยภายใต้อำนาจเหนือกฎหมาย และเมื่อถึงตอนนี้คือเป็นฐานของการก่อสงคราม แต่ชาตินิยมเคยทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมายอะไรหรือไม่? คำตอบคือมี แต่ในขอบเขตที่น้อยมาก ตัวอย่างแรกคือการตื่นตูมลัทธิชาตินิยมใหม่ในหมู่ปัญญาชนและเศรษฐีตกยากในช่วง 2540 ไม่มีพลังพอทำให้เศรษฐกิจไทยเปลี่ยนเป็นชาตินิยมใหม่ตรงไหน คนยากจนส่วนใหญ่ไม่สนใจความทุกข์ของเศรษฐีพอๆ กับที่ผู้มั่งมีเหล่านี้ก็ไม่ได้คิดถึงการเปลี่ยนเศรษฐกิจสังคมอย่างจริงจัง ชาตินิยมใหม่เป็นคำขวัญกลวงๆ เพื่อปลอบประโลมใจคนไทยที่ล้มเหลวในโลกยุคโลกาภิวัตน์ซึ่งแท้จริงแล้วไม่มีใครผูกพันกับชาติแบบเดิมอีกต่อไป จึงมีคนที่ต้องการความเปลี่ยนแปลงสู่ชาตินิยมใหม่น้อยมากเมื่อเทียบกับพวกที่ต้องการชาติเพื่อปกป้องสถานะบางอย่างของตัวเอง คำโจมตีของไทยรักไทยต่อประชาธิปัตย์เดินไปอีหรอบเดียวกัน นั่นคือการขายชาติเมื่อยกประเทศให้ไอเอ็มเอฟของฝ่ายหลังถูกแทนที่ด้วยมาตรการดึงดูดอภิมหาเศรษฐีข้ามโลกผ่านตลาดทุนหรือการค้าของฝ่ายแรก คำอธิบายเรื่องนี้ใช้ได้กับเศรษฐกิจพอเพียงด้วยเพราะรัฐบาลที่พูดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงมากที่สุดกลับหมกมุ่นกับการลงนามในเขตการค้าเสรีมากที่สุดเหมือนกัน ชาตินิยมมุขแป้ก? คนในทศวรรษ 2550 ตื่นเต้นกับสถานการณ์ไทยเขมรเพราะหลายคนไม่รู้หรือจำไม่ได้ว่าความขัดแย้งตามแนวชายแดนแบบนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เฉพาะที่ลุกลามถึงขั้นเป็นสงครามเต็มรูปแบบนั้นก็มีสงครามร่มเกล้าเมื่อสองทศวรรษก่อนซึ่งปลุกพลังชาตินิยมได้กว้างขวางจริงๆ ขณะที่พันธมิตรรอบนี้มุขแป้ก ซ้ำความพยายามสร้างสถานการณ์หลายอย่างทั้งที่เป็นข่าวและไม่เป็น ก็ไม่ได้ผลมากอย่างที่ควรจะเป็น ม็อบพันธมิตรรอบนี้กวาดทีมงานพันธมิตรตกเวทีประวัติศาสตร์หลังจากกวาดพรรคการเมืองใหม่ไปแล้วอย่างไม่ผิดความคาดหมายของใครหลายคน ปรากฎการณ์พันธมิตรมุขแป้กและกระแสการโจมตีว่า “คลั่งชาติ” เป็นเรื่องที่ทั้งสำคัญและน่าสนใจ เพราะน้อยครั้งมากที่จะเกิดขบวนการมวลชนที่หยิบยืมวาทกรรมแบบซ้ายๆ อย่าง “ล้าหลังคลั่งชาติ” ไปโจมตีมวลชนอีกฝ่ายอย่างกว้างขวางในลักษณะนี้ ครั้งสุดท้ายของการพูดถึงชาติในแง่ลบขนาดนี้คือเมื่อไร? 2518-2519 ในยุคสมัยที่คนมีความเชื่อเรื่องสากลนิยมของคอมมูนิสม์และสังคมนิยม? วาทกรรมคลั่งชาติเกิดใหม่อย่างย้อนแย้งในบริบทที่ชาตินิยมครอบงำสังคมไทยระดับใช้ล้มใครก็ชนะต่อเนื่องมากว่าสิบปี นี่ไม่ใช่เพราะความคิดใหม่มีอิทธิพลกว่าชาตินิยม แต่เพราะการเมืองภายในของไทยทำให้ยุคของการคิดเรื่องชาติที่เป็นเอกภาพเป็นอดีตที่ไม่มีวันเหมือนเดิม การปลุกระดมสงครามและวาทกรรมคลั่งชาติเป็นผลจากการต่อสู้ทางการเมืองภายในประเทศที่ลุกลามจนคนมีความเห็นแตกต่างกันเรื่องระหว่างประเทศ ท่าทีของคนต่างกลุ่มต่อสงครามสัมพันธ์กับว่าสงครามทำโดยฝ่ายไหนมากกว่าจะเป็นทัศนวิสัยต่อสงครามจริงๆ เรื่องแบบนี้มีไม่บ่อย ยิ่งความเห็นต่างในเวลาสงครามนั้นยิ่งมีน้อยแสนน้อย สงครามร่มเกล้าเกิดขึ้นโดยไม่มีใครค้านสักแอะ บทบาทของไทยทั้งลับและเปิดเผยในอินโดจีนนั้นไม่มีใครตั้งคำถามแม้จนวันนี้ สังคมไทยจินตนาการเรื่องชาติไม่เหมือนเดิม แต่ที่สำคัญกว่าคือจินตนาการนี้เป็นอาการแห่งการสั่นคลอนของความคิดความเชื่อที่เป็นฐานของความเป็นชาติ / ชาตินิยม ชาตินิยมในฐานะอุดมการณ์ทำงานบนความคิดความเชื่อหลายอย่าง แต่ละสังคมมีองค์ประกอบที่แตกต่างกัน ฮั่นนิยมสำคัญต่อชาตินิยมจีน เผ่าเป็นฐานของชาตินิยมตุรกี ศาสนาสำคัญกับชาตินิยมบางที่แต่ไม่สำคัญเลยกับที่อื่นๆ ขณะที่ชาตินิยมไทยพูดถึงสามสถาบันหลักซึ่งในที่สุดแล้วมีสถาบันเดียวเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ วาทกรรมคลั่งชาติในระยะไกลเป็นอาการว่าหมุดหมายซึ่งผูกโยงความเป็นชาติไม่มีประสิทธิภาพแบบที่เคยเป็นมา ทุกวันนี้มีคนพูดกันมากขึ้นเรื่องสังคมไทยเปลี่ยนไป คนอยู่กันด้วยความเกลียดชังมากขึ้น ฯลฯ แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมจริงๆ คือวิธีคิดที่คนมีต่อสถาบันต่างๆ และความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับตัวสถาบัน ปีศาจแห่งประวัติศาสตร์นิพนธ์ 2535 ปลุกความตายและการสูญเสียในปี 2553 ให้ออกลูกเป็นการรื้อฟื้น 2519 หรือย้อนไปไกลกว่านั้น ความเปลี่ยนแปลงที่ทั้งเห็นและไม่เห็นในทุกพื้นที่คือปฏิกริยาตอบโต้การยกระดับความรุนแรงจากรัฐประหารเป็นการล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งด้วยเหตุผลหลุดโลกสู่การสลายการชุมนุม การปราบปราม และการปกครองประเทศด้วยกฎหมายพิเศษเป็นเวลากว่าครึ่งปี ฟังดูเหมือนชาตินิยมสั่นคลอนเพราะคนรับไม่ได้กับความโหดเหี้ยมที่ชนชั้นนำกระทำต่อคนมือเปล่า ข่าวร้ายคือสังคมไทยไม่ได้รักสันติและเกลียดความรุนแรงขนาดนั้น เพราะในปี 2547 เมื่อรัฐบาลทักษิณใช้ทหารสลายการชุมนุมของคนมลายูมุสลิมที่ตากใบจนมีคนตายขณะถูกจับกุม 85 ราย คะแนนนิยมรัฐบาลกลับเพิ่มอย่างเห็นได้ชัด ฝ่ายค้านอย่างประชาธิปัตย์ถึงขั้นไม่วิจารณ์กรณีนี้อีกนาน ความตายของมลายูมุสลิมทำให้กระแสชาตินิยมไทยเข้มแข็งขึ้น ไม่ใช่อ่อนแองลง การฆ่าไม่ใช่ปัญหาสำหรับชาตินิยมไทย คนไทยไม่เคยมีปัญหากับการฆ่าคนด้วยกันที่แตกต่างทางศีลธรรม ศาสนา หรือเชื้อชาติ การประหารชีวิตและการประชาทัณฑ์เป็นวัฒนธรรมของประเทศนี้พอๆ กับการใช้กำลังสลายการชุมนุม แต่การฆ่าปี 2553 สร้างปัญหาเพราะไปฆ่าคนซึ่งคนจำนวนไม่น้อยเห็นว่าเป็นพี่น้องร่วมอุดมการเดียวกันโดยไม่มีใครเรียกร้องให้รัฐหยุดใช้กำลังแม้แต่ครั้งเดียว การเมืองภายในทำให้เราเข้าสู่ยุคที่การใช้ชาติเป็นเครื่องมือในการปกครองทำได้ไม่มากและไม่ง่าย รัฐประหาร 2549 และกระบวนการหลังจากนั้นประสบความสำเร็จในการบ่อนเซาะฐานของความเป็นชาติมากกว่าขบวนการต้านระบบใดๆ เคยทำมา นี่ไม่ได้เท่ากับว่าความเป็นชาติหรือชาตินิยมจะหมดสภาพ แต่ยาขนานเก่าปลุกใครไม่ได้เท่าเดิม ซ้ำหากเพิ่มปริมาณก็อาจเป็นเหตุให้ผู้ใช้หมดสติ หรือสังคมดื้อยาเป็นการถาวร ชาตินิยมสู่อนาคต ชาตินิยมไม่ได้มีสูตรเดียว ชาตินิยมเป็นฐานของภราดรภาพได้พอๆ กับการกดขี่มนุษย์ ชาตินิยมสำคัญต่อการเรียกร้องเอกราชและประชาธิปไตยเท่ากับที่สำคัญต่อกลุ่มคลั่งศาสนา ฟัสซิสต์ เผด็จการทหาร หรือกษัตริย์นิยม ปัญหาจึงมีอยู่ที่จะสร้างชาตินิยมบนความเป็นชาติที่มีความหมายกับคนส่วนใหญ่ได้อย่างไร? ชาติควรมีความหมายตายตัวหรือไม่? การคิดถึงชาติที่ยึดโยงกับคุณสมบัติบางอย่างที่เปลี่ยนไม่ได้นั้นเป็นต้นตอของการกดขี่ ความรุนแรง และสงครามหลายกรณี ชาติไม่ควรถูกนิยามอย่างแคบๆ ว่าหมายถึงอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ เผ่า ลัทธิ ศาสนา วัฒนธรรม หรือสถาบันประเพณีแบบใดแบบหนึ่ง เพราะเมื่อไรที่เริ่มนิยามแบบนี้ก็เท่ากับเปิดช่องให้ชาติฆ่าคนที่มีอัตลักษณ์ผิดจากนิยามนี้ได้ทันที ความเป็นชาติคือการคิดถึงประโยชน์ร่วมของทุกคนและทุกกลุ่มในชุมชนชาติทั้งหมด นั่นหมายถึงชาติต้องเปิดกว้างและวางอยู่บนการเจรจาต่อรองของทุกชนชั้น ทุกค่านิยม ทุกอัตลักษณ์ และทุกแหล่งอำนาจในสังคม ชาติไม่ใช่การสืบทอดมรดกจากอดีต แต่ชาติเป็นเรื่องของปัจจุบันและอนาคต ความขัดแย้งและความเกลียดชังจึงเป็นฐานของความเป็นชาติเท่ากับการอยู่ร่วมและการต่อรองซึ่งกันและกัน ประเด็นสำคัญคือต้องไม่อนุญาติให้คนกลุ่มไหนหรือสถาบันใดอ้างว่าตัวเองคือตัวแทนของความเป็นชาติทั้งหมด เสรีภาพและประชาธิปไตยจึงสำคัญต่องความเป็นชาติ ไม่ใช่อำนาจนิยมหรือการครอบงำความคิดจิตใจ ชาตินิยมในสังคมไทยผูกพันกับราชาธิปไตย ประเด็นคือราชาธิปไตยเป็นการปกครองที่เป็นอดึตไปแล้วแต่กลับทิ้งอุดมการและผู้นิยมความคิดนี้ครอบงำความเป็นชาติจนปัจจุบัน ในแง่นี้ปัญหาอันเนื่องจากความเป็นชาติหลายอย่างจึงเป็นปัญหาที่ไม่ควรเกิดแต่ในความเป็นจริงแล้วเกิดเพราะมรดกชาตินิยมสมัยราชาธิปไตย ทุกวันนี้คนมีสติทุกคนก็รู้ว่าความขัดแย้งกับเพื่อนบ้านอย่างเขมรส่วนหนึ่งเกิดขึ้นเพราะวิธีจดจำผ่านเรื่องเล่าที่กดเขมรและเจ้าเขมรเป็นเบี้ยล่างไทยไม่รู้จบ ประวัติศาสตร์ราชสำนักวาดภาพเขมรเป็นชาติเจ้าเล่ห์ คบไม่ได้ เคยเป็นส่วนหนึ่งของไทย เขมรไม่ใช่ลูกหลานของขอมที่สร้างนครวัด ฯลฯ รวมทั้งดูถูกว่าเป็นเมืองขึ้นฝรั่งจนเทียบไม่ได้กับไทยที่เป็นเอกราชหลายร้อยปี โรคละเมอว่าพระวิหารเป็นของไทยเป็นผลของการสะกดจิตตัวเองด้วยคาถาประวัติศาสตร์แบบนี้จนอย่างไรก็ยอมรับการสูญเสียพระวิหารตามกติกากฎหมายระหว่างประเทศไม่ได้ ปมเสียดินแดนแบบนี้เข้าใจได้และเคยเกิดขึ้นสมัย ร.ศ.112 แต่ไม่ควรเป็นเหตุให้เกิดความขัดแย้งในยุคสมัยของเรา แน่นอนว่าปัจจัยภายในเขมรเกี่ยวแน่กับสถานการณ์นี้ ผู้นำเขมรเป็นนักชาตินิยมที่มีผลประโยชน์ทางการเมืองในเรื่องพระวิหารไม่ต่างกับไทย และการจงใจให้ความสำคัญกับข้อพิพาทเขตแดนกับไทยมากกว่าข้อพิพาทเรื่องเดียวกันกับเวียดนามก็เป็นผลของการเมืองภายในเขมรเองจนเห็นได้ชัด แต่นี่ไม่ได้แปลว่าไทยไม่ใช่ส่วนหนึ่งในการสร้างปัญหาในเวลานี้ หนึ่งในเรื่องที่ต้องทำเพื่อหยุดความขัดแย้งที่ไม่จำเป็นคือเลิกคิดถึงความเป็นชาติใต้กรอบราชาธิปไตย สลัดปมเสียดินแดนในอดีตแล้วแทนที่ด้วยคิดถึงการอยู่ร่วมกับเพื่อนบ้านตามกติกาอารยประเทศ หยุดได้แล้วกับการเขียนประวัติศาสตร์โดยโลกทัศน์ศตวรรษที่แล้วของชนชั้นนำไม่กี่คน มีวิธีเขียนประวัติศาสตร์หรือวิสัยทัศน์สู่อนาคตเยอะแยะให้เลือกทำได้ เขียนถึงความเจ็บปวดที่เราและเขาเผชิญจากระบอบอาณานิคมในอดีต เขียนถึงอนาคตของการพัฒนาภูมิภาคร่วมกัน ขอโทษในเรื่องที่ควรขอโทษอย่างเขมรแดงและสงครามอินโดจีน คิดถึงความร่วมมือทางการศึกษาและวัฒนธรรมที่ทั้งรัฐบาลสองฝ่ายทำร่วมกันหลายปีก่อนจะที่ถูกขัดจังหวะด้วยเรื่องเหลวไหลอย่างปมอดีตของชนชั้นนำกับความต้องการสร้างสถานการณ์การเมืองแบบปี 2549 โดยคนกลุ่มเดิมที่มีปริมาณลดลง ทั้งหมดนี้ฟังเหมือนเป็นไปไม่ได้ แต่จริงๆ แล้วเป็นไปได้ถ้าเข้าใจว่าชาตินิยมกับราชาธิปไตยไม่ใช่ผัวเมียที่ต้องอยู่กันไปไม่รู้จบ การแต่งงานแบบนี้เป็นผลผลิตทางประวัติศาสตร์ที่ถึงเวลาก็เลิกกันได้ กระบวนการสร้างความเป็นชาติหมายถึงการสร้างความเหมือนเพื่อยึดโยงคนทั้งหมด อัตลักษณ์นี้ไม่จำเป็นต้องมีแบบเดียวและไม่เปลี่ยนแปลง ยิ่งในสถานการณ์ที่ตัวเชื่อมเดิมทำหน้าที่ไม่ได้ ยิ่งจำเป็นต้องคิดถึงอัตลักษณ์ใหม่อีกทวีคูณ หาไม่ก็ไม่มีโอกาสเห็นชาติในฐานะเครื่องมือปกครองอีกเลย วาทกรรมคลั่งชาติเป็นสัญลักษณ์ว่าสังคมไทยกำลังออกเดินสู่เส้นทางของการคิดถึงชาติอีกแบบ โอกาสในการสร้างชาติที่คนอยู่ร่วมกันบนความคิดเรื่องภราดรภาพ รัฐธรรมนูญ เสรีภาพ สิทธิมนุษยชน ประชาธิปไตย มีมากพอๆ กับชาติใหม่ที่เป็นชาตินิยมคลั่งเชื้อชาติเหมือนอย่างที่เป็นมา อิสรภาพจากอดีตคือประตูสู่อนาคตที่สมควรเป็นของทุกคน หมายเหตุ: บทความนี้ปรับปรุงจากคำอภิปรายเรื่อง “ชาตินิยมสู่อนาคต?” ในการสัมมนาหัวข้อ “ประชาธิปไตยบนขอบพรมแดน” วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2554 โดยสถาบันศึกษาการพัฒนาประชาธิปไตย ร่วมกับคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
ป.ป.ช.ชี้มูล “ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์” ยื่นบัญชีทรัพย์สินฯ เท็จ Posted: 23 Feb 2011 03:11 AM PST 23 ก.พ. 54 - จากกรณีที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา ยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบการแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของ น.ส.ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย หลังเข้าชี้แจงต่อ คตส. ว่าเงินจำนวน 100 ล้านบาท กู้ยืมจากนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ เพื่อทำธุรกิจ จากตรวจสอบบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินไม่พบรายการแสดงหนี้สิน ถึงแม้จะยื่นแสดงรายการเงินกู้ยืมจากนายบรรณพจน์ เพิ่มเติม โดยอ้างเหตุว่าเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน ถือว่าฟังไม่ขึ้น คณะกรรมการ ป.ป.ช.จึงมีมติว่า น.ส.ชินณิชา จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สิน หนี้สิน อันเป็นเท็จ หรือปกปิด จึงให้เสนอเรื่องให้ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัย ให้พ้นจากตำแหน่ง และห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 5 ปี นับแต่วันที่ศาลวินิจฉัย สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
นปช. รุกจี้ปล่อยเสื้อแดงอีก คณิตชี้ปล่อย 8 นปช. ก้าวแรกความถูกต้อง Posted: 23 Feb 2011 03:07 AM PST นปช. รุกจี้ปล่อยเสื้อแดงอีก 100 กว่าคน “จตุพร” เผยรอสัญญาณพา “กี้-แรมโบ้-พายัพ” มอบตัวสู้คดี ลั่น 7 แกนนำขึ้นเวทีปราศรัยได้ศาลไมได้ห้าม คณิตชี้ปล่อย 8 นปช. ก้าวแรกความถูกต้อง เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 23 ก.พ. ที่อิมพีเรียล เวิลด์ ลาดพร้าว ชั้น 5 กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) แถลงข่าวโดยมีแกนนำคนสำคัญร่วมแถลงข่าวอย่างพร้อมเพียง ทั้งนางธิดา โตจิราการ รักษาการประธานนปช. นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำนปช. และนายวรวุฒิ วิชัยดิษฐ์ รักษาการโฆษกนปช. ส่วนแกนนำที่ถูกปล่อยตัวชั่วคราว เมื่อวันที่ 22 ก.พ. 2 คนคือ น.พ.เหวง โตจิราการ และนายก่อแก้ว พิกุลทอง ร่วมอยู่บริเวณนี้ แต่ไม่ได้ร่วมแถลงข่าวด้วย โดยบรรยากาศการแถลงข่าวในครั้งนี้คึกคักว่าทุกครั้งที่ผ่านมา หลังจากศาลมีคำสั่งปล่อยตัวชั่วคราวแกนนำ 7 คน และแนวร่วมอีก 1 คน หลังจากถูกจำคุกมากว่า 9 เดือน โดยคนเสื้อแดงที่มาฟังการแถลงข่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส จำนวนมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา จนทำให้ชั้น 5 ของอิมพีเรียล ลาดพร้าวแน่นขนัดไปด้วยคนเสื้อแดง นายวรวุฒิ แถลงว่า เป็นความยินดีหลังจากแกนนำได้รับการปล่อยตัว แต่คนเสื้อแดงจะต้องสู้ต่อไปเพราะพี่น้องคนเสื้อแดงทั่วประเทศยังไม่ได้รับ การปล่อยตัว และไม่ได้รับความเป็นธรรม เราจึงจะต่อสู้ต่อไปเพื่อความเป็นธรรมของคนเสื้อแดงและทำให้ประเทศไทยมี ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง โดยในวันที่ 27 ก.พ.นี้ เวลา 10.00 น. ทางแกนนำนปช.ทั้งหมด รวมถึงอีก 7 คนที่ได้รับการปล่อยตัวจะไปทำบุญบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้เสียชีวิตที่วัด ปทุมวนาราม ส่วนวันที่ 12 มี.ค. ที่เป็นวันครบรอบ 1 ปี เคลื่อนพลทั้งแผ่นดิน จะมีจัดกิจกรรมรำลึกกันที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถ.ราชดำเนิน โดยจะมีแกนนำที่ได้รับการปล่อยตัวไปขึ้นเวทีปราศรัยครบทุกคน ส่วนวันที่ 26 มี.ค.จะมีการจัดคอนเสิร์ตรับขวัญแกนนำที่ได้รับการปล่อยตัวที่โบนันซ่าเขา ใหญ่ นางธิดา แถลงว่า การชุมนุมในวันที่ 12 มี.ค. จะมีทั้งความสนุกสนานและการต่อสู้ และต้องอย่าลืมว่านอกจากแกนนำที่ได้รับการปล่อยตัวแล้ว ยังมีคนที่ถูกจับกุมตัวอีก 100 กว่าคน ยังไม่ได้รับความเป็นธรรม คนเสื้อแดงเท่าเทียมกันทุกคน ฉะนั้นจึงจะรณรงค์ให้ปล่อยตัวคนเสื้อแดงที่ถูกคุมขังทุกคน โดยในวันที่ 12 มี.ค.จะเป็นการเคลื่อนไหวเพื่อให้รัฐบาลปล่อยตัวคนเสื้อแดงทั้งหมด ส่วนการปล่อยตัวแกนนำคนเสื้อแดงถือว่าเป็นรุ่งอรุณของประชาธิปไตย แต่ต้องดูว่าต่อไปจะสว่างไสว หรือถูกถีบลงไป การเรียกร้องของคนเสื้อแดงจึงจะไม่ใช่เฉพาะคนที่ถูกจับกุม แต่จะเป็นการเรียกร้อง ทวงถามความยุติธรรมให้กับผู้เสียชีวิต และผู้บาดเจ็บที่ไมได้รับการเยียวยาใดๆ จากผู้ที่กระทำคือรัฐบาล จึงจะเป็นหัวข้อหลักของการต่อสู้ของคนเสื้อแดง นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มในการรัฐประหาร ที่เป็นรัฐประหารแนวใหม่เนื่องมาจากปัญหาทางการเมือง และปัญหาเศรษฐกิจที่รัฐบาลไม่สามารถแก้ไขได้ และสงครามกับประเทศเพื่อนบ้านที่ยังมีอยู่ก็เป็นหัวข้อหลักในการต่อสู้ของคน เสื้อแดงเช่นกัน ด้านนายจตุพร แถลงว่า ตอนนี้รัฐบาลไทยกำลังสร้างข่าวในอินเตอร์เน็ตว่าตนได้ไปเจรจา เพื่อให้จับนายสุรชัย แซ่ด่าน แกนนำแดงสยาม เพื่อแลกกับการปล่อยตัวแกนนำนปช.นั้นไม่เป็นความจริง เพราะตนไม่มีอำนาจอะไร และไม่ชั่วชาติอย่างนั้น และในคืนที่นายสุรชัยถูกจับ ตนก็นอนไม่หลับเพราะเป็นห่วงทั้งนายสุรชัย และห่วงว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อการประกันตัวแกนนำคนอื่นๆ และยังตั้งข้อสังเกตว่านายสุรชัยโดนออกหมายจับมานาน แต่ทำไมเพิ่งจะถูกจับในวันก่อนการไต่สวน และนอกจากนี้ยังขอให้คนที่อยู่ในโลกไซเบอร์ช่วยกันดูด้วย และยังมีคนไปตั้งกระทู้ว่านายจตุพร พูดว่านักศึกษาเป็นขอทาน ทั้งที่ไม่เคยพูด เพราะตนพูดว่าไปขอทานเศษเสี้ยวความยุติธรรมเท่านั้น ส่วนที่แกนนำที่ถูกปล่อยตัวไปที่บ้านของพล.ต.สนั่น ขจรประสาสน์ เพราะเป็นสัญญาลูกผู้ชายตอนที่อยู่ในคุกว่าจะไปบ้านของพล.ต.สนั่นหลังจากถูก ปล่อยตัว นายจตุพร แถลงต่อว่า การชุมนุมในวันที่ 12 มี.ค.นี้ จะงดการดาวกระจายไปในสถานที่ต่างๆ และจะรวม กันที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเท่านั้น แต่ในต่างจังหวัดคือ อุดรธานี ขอนแก่น อุบลราชธานี มหาสารคาม และเรือนจำคลองเปรมนั้น ต่อไปจะมีการกำหนดเพื่อจะมีการเคลื่อนไหวไปที่ศาลของทุกจังหวัดเพื่อขอเศษ เสี้ยวความยุติธรรมให้คนที่ถูกคุมขัง และนอกจากนี้ยังมีข้อมูลว่าช่วงที่มีคนจะเผาศาลากลางนั้นมีอส.ไปห้าม แต่ถูกทหารใช้ปืนจ่อหัวอส.ไม่ให้ขัดขวางคนที่จะมาเผา ซึ่งสอดคล้องกับการเผาเซ็นทรัล เวิลด์ และเรื่องนี้จะใช้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลด้วย นายจตุพร แถลงต่อว่า เรื่องสัญชาติของนายอภิสิทธิ์ วันนี้ให้คนมาเบี่ยงแบนประเด็นว่านายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ต้มตุ๋นคนพ.ต.ท.ทักษิณ และพ.ต.ท.ทักษิณ มาหลอกลวงคนเสื้อแดง นั้นไม่ใช่ แต่นายอภิสิทธิ์ยังไม่เคยตอบว่าสละสัญชาติไปหรือยัง อย่าเฉไฉว่าเป็นอย่างอื่น ตนไม่ได้ถามว่านายอภิสิทธิ์ มีสัญชาติไทยหรือไม่ แต่ถามว่าสละสัญชาติอังกฤษไปหรือยัง นายจตุพร แถลงต่อด้วยว่า ส่วนแกนนำคนเสื้อแดงคนอื่นๆ ที่หลบหนีอยู่เช่น นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง นายอดิศร เพียงเกษ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ นายอารีย์ ไกรนรา ฯลฯ นั้นได้พูดคุยกันเบื้องต้นกับทางแกนนำว่า ถ้าคนเสื้อแดงในเรือนจำได้รับการปล่อยตัวทั้งหมด ก็จะเป็นคิวของพี่น้องเราเหล่านั้น เพื่อมาร่วมกันต่อสู้ต่อไป ให้พี่น้องเหล่านั้นมามอบตัว และหวังว่าจะได้รับการประกันตัว และคาดว่าน่าจะได้กลับมาก่อนวันที่ 26 มี.ค.ที่เป็นคอนเสิร์ตรับขวัญ คณิตชี้ปล่อย 8 นปช. ก้าวแรกความถูกต้อง ด้านประธาน คอป. เผย การปล่อยตัวแกนนำ นปช. เป็นก้าวแรกของความถูกต้อง และจะเป็นก้าวต่อไปของการปรองดอง ขณะที่ ประธาน กสม. ชี้ ต้องรอดูว่าแกนนำจะสามารถพิสูจน์ความจริงได้หรือไม่ ศ.ดร.คณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ หรือ คอป. กล่าวกับสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ถึงกรณีการปล่อยตัวแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ว่าการปล่อยตัวแกนนำดังกล่าวนั้น เป็นก้าวแรกของที่จะสร้างความถูกต้องให้เกิดขึ้นในสังคม ซึ่งจะเป็นก้าวต่อไปของการปรองดอง แต่การให้ความเป็นธรรม ต้องไม่ใช่กับเฉพาะแกนนำเท่านั้น ต้องเป็นกับประชาชนทุกคน โดยประเด็นของความปรองดองที่แท้จริงนั้น จะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าหากไม่เอาความจริงมานำเสนอต่อสาธารณชน และไม่นำผู้ที่กระทำผิด มารับการลงโทษตามกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรม ซึ่งจะมีแนวโน้มของการปรองดองในสังคมได้หรือไม่นั้น ต้องขึ้นอยู่กับการร่วมมือของทุกฝ่าย ทางด้านศาสตราจารย์ อมรา พงศาพิชญ์ ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ หรือ กสม. กล่าวว่า จากนี้ไปคงต้องรอดูว่าทางแกนนำที่ถูกปล่อยตัว จะสามารถพิสูจน์ความจริงที่ได้บอกไว้และจะปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดหรือไม่ ซึ่งหากว่าไม่เห็นพ้องต้องกัน และไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงนั้น ก็ไม่สามารถที่จะเกิดความปรองดองในสังคมได้ ชวนชี้ปล่อย 7 แกนนำแดงเป็นดุลยพินิจของศาล นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ศาลได้มีคำสั่งให้ประกันตัว 7 แกนนำนปช. และอีก 1 เครือข่ายคนเสื้่อแดง ว่า ตนเชื่อในดุลยพินิจของศาลและไม่ขอวิพากษ์วิจารณ์อะไร ทั้งนี้ที่ผ่านมาองค์กรศาลได้ถูกวิจารณ์ถึงความสองมาตรฐานมาโดยตลอด ซึ่งโดยส่วนตมมีความเชื่อมั่นในตัวองค์กรศาลเว่าป็นสถาบันที่มีความน่าเชื่อ ผู้สื่อข่าวถามว่า ภายในหลังการปล่อยตัวแกนนำนปช.แล้ว แกนนำนปช.ทั้งหมดได้ประกาศว่าจะเข้าร่วมการชุมนุมในวันที่ 12 มี.ค.นี้ นายชวน กล่าวว่า หากยึดถือเงื่อนของศาลที่ให้ประกันตัวก็คงไม่มีปัญหา เมื่อถามว่า กังวลเหรือไม่ที่จะเกิดความวุ่ยวายเกิดขึ้นมาอีก นายชวน กล่าวปฎิเสธที่จะตอบคำถาม พร้อมระบุว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องรัฐบาลที่จะเข้ามาดูแล ชัยบอกศาลให้ประกันเเกนนำ นปช.เป็นเรื่องดี ด้านนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีการปล่อยตัวชั่วคราว แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ว่า ถือเป็นเรื่องที่ดี ที่แต่ละฝ่ายจะได้ออกมาแสดงความคิดเห็น และเชื่อว่า สถานการณ์บ้านเมืองจะดีขึ้น ขณะที่ หลายฝ่ายเป็นห่วงว่าจะมีการชุมนุมในช่วงเดือนเมษายนอีกครั้ง ส่วนตัวเห็นว่า ตราบใดที่กฎหมายยังให้เสรีภาพ ทุกคนก็มีสิทธิ์ จะแสดงความคิดเห็น เว้นแต่จะมีกฎกติกาใหม่ขึ้นมา ทั้งนี้ ทราบว่า ในสัปดาห์หน้า รัฐบาลจะเสนอร่างพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. ... เข้าสู่การพิจารณาของสภา ซึ่งเชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหา หากฝ่ายค้านจะยื่นญัตติ อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในปลายเดือนนี้ แต่ในเรื่องของกรอบเวลา คงต้องมีการเรียกทั้ง 2 ฝ่าย มาหารือ เพื่อหามติที่ตรงกันอีกครั้ง นอกจากนี้ นายชัย ยังกล่าวด้วยว่า ปัญหาน้ำมันปาล์มในขณะนี้ จะไม่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาลและในสัปดาห์หน้าปัญหาดังกล่าว ก็จะได้รับการแก้ไขและหมดไป ที่มาข่าวเรียบเรียงจาก: โพสต์ทูเดย์, เนชั่นทันข่าว, ข่าวสด, สำนักข่าวไอเอ็นเอ็น สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
ขบวนการประชาชนฯ จวก ครม.ไม่เห็นหัวคนจน พร้อมจี้ปัญหาปากมูลต้องยุติในรัฐบาลนี้ Posted: 23 Feb 2011 02:39 AM PST สืบเนื่องจาก กรณีที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีการนำปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) หรือพีมูฟ (P Move) เข้าสู่การพิจารณา ในวันที่ 22 ก.พ.ที่ผ่านมา 4 เรื่อง คือ 1.กรณีเขื่อนปากมูน ให้มีการเปิดเขื่อน 5 ปี และมีการฟื้นฟูเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ 2.กรณีที่อยู่อาศัยของคนไร้บ้าน ให้มีการอนุมัติงบประมาณ 52.7 ล้านบาท เพื่อแก้ปัญหา 3.กรณีโครงการนำร่องธนาคารที่ดินภาคเหนือ ให้อนุมัติงบประมาณ 167 ล้านบาท และ 4.กรณีการดำเนินการจัดให้มีโฉนดชุมชน แต่มีเพียงกรณีที่เกี่ยวกับการอนุมัติงบประมาณเท่านั้นที่ผ่านการเห็นชอบ ส่วนกรณีปัญหาเขื่อนปากมูลจะนำเข้ามาพิจารณาในคณะรัฐมนตรีอีกครั้งภายในเวลา 2 สัปดาห์ จี้การแก้ปัญหาเขื่อนปากมูล ต้องยุติในรัฐบาลนี้ วานนี้ (23 ก.พ.54) ขปส.ออกแถลงการณ์ ระบุถึง สาเหตุที่ทำให้ ครม.ชะลอการตัดสินใจในการการแก้ไขปัญหาเขื่อนปากมูล และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวไปทำข้อมูลเสนอมาประกอบการพิจารณา เนื่องมาจากข้ออ้างว่าหากเปิดเขื่อนปากมูลแล้วจะทำให้น้ำในแม่น้ำมูนแห้ง แต่ที่ผ่านมาคณะอนุกรรมการที่รัฐบาลแต่งตั้งขึ้นเพื่อแก้ปัญหา 2 คณะ ได้ศึกษาข้อมูล ทั้งด้านการเกษตรและการชลประทานจนยุติแล้ว แถลงการณ์ ระบุด้วยว่าอุปสรรคที่สำคัญในขณะนี้คือ ความไม่รู้ของรัฐมนตรีบางท่าน ดังนั้น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะต้องใช้ความเป็นผู้นำ โดยนำข้อมูลจากงานวิชาการและผลการดำเนินงานของอนุกรรมการที่รัฐบาลตั้งขึ้นมาใช้ตัดสินให้ได้ข้อยุติ “พวกเรามิอาจยอมให้ความไม่รู้ของรัฐมนตรีบางคน มาเป็นอุปสรรคต่อการหาข้อยุติเพื่อแก้ไขปัญหาเขื่อนปากมูล และพวกเราจำเป็นต้องผลักดันให้การแก้ไขปัญหาเขื่อนปากมูล ได้รับการแก้ไขในรัฐบาลชุดปัจจุบัน” แถลงการณ์ระบุ จวก ครม. ไม่เห็นหัวคนจน นางสาวนพพรรณ พรหมศรี ที่ปรึกษาเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย (คปท.) ซึ่งร่วมชุมนุมกับขบวนพีมูฟ กล่าวว่า ผลการพิจารณาเรื่องที่นำเข้า ครม.ทั้ง 4 เรื่อง ไม่ได้เป็นไปตามข้อสรุปที่ตกลงกันไว้และไม่สามารถนำไปสู่แนวทางการปฏิบัติได้และบางเรื่องยังถอยหลังเข้าคลอง เช่นกรณีโครงการนำร่องธนาคารที่ดิน 5 หมู่บ้าน ครม.ยังมีความเห็นในประเด็นเดิมที่นำเข้า ครม.เมื่อวันที่ 14 ธ.ค.2553 ซึ่งอ้างว่าต้องหาความชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกำหนดหลักเกณฑ์ในการจัดซื้อที่ดินหรือเจ้าภาพหลักที่ต้องดูแลเรื่องนี้ แต่ความจริงรายละเอียดที่เสนอต่อ ครม.นั้นมีรายละเอียดชัดเจนในประเด็นพร้อมแล้ว นางสาวนพพรรณ พรหมศรี กล่าวเสริมว่า รัฐบาลไม่ได้รู้สึกรู้สา ไม่ได้เห็นคนด้อยโอกาสอยู่ในสายตา และพิสูจน์ถึงความไม่จริงใจในการแก้ปัญหา ทำให้เราผิดหวัง เพราะเป็นครั้งแรกที่ได้ทำความเข้าใจระดับหน่วยงาน ซึ่งประกอบด้วยข้าราชการ รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และภาคประชาชน แต่เมื่อนำเข้าสู่ ครม. คณะผู้บริหารสูงสุดไม่ได้มีมติตามนั้น นั่นคือการไม่เคารพต่อกระบวนการตัดสินใจทั้งหมดที่ผ่านมา ซึ่งเราจะเจรจากับรัฐบาล และจะผลักดันให้นำเรื่องนี้เข้า ครม. อีกครั้ง รวมถึงเรื่องที่อื่นๆ ที่กำลังรอเจรจาในกรณีเร่งด่วนอีก 24 กรณี แจงความสำคัญ “โครงการบ้านมั่นคง” ต่อ “คนไร้บ้าน” ส่วนกรณีบ้านมั่นคงของคนไร้บ้าน นางสาวนพพรรณกล่าวว่า ครม.เห็นชอบหลักการสนับสนุนงบประมาณ จากงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2554 งบกลาง รายการเงินสำรองเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินงานตามโครงการ “บ้านมั่นคงคนไร้บ้าน” แก่สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์กรมหาชน) ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ส่วนรายละรายละเอียดงบประมาณให้ไปทำข้อตกลงกับสำนักงบประมาณโดยใช้หลักเกณฑ์บ้านมั่นคง ด้าน นายธเนศ มโนทัย ตัวแทนคนไร้บ้าน กล่าวถึงเหตุผลของการดำเนินโครงการบ้านมั่นคงคนไร้บ้านว่า เพราะคนไร้บ้านมีระดับเศรษฐกิจต่ำกว่าพี่น้องชุมชนแออัดมาก ไม่มีรายได้ประจำ บางวันต้องอาศัยขอข้าววัด และสถานสงเคราะห์ ในขณะที่เกณฑ์ตามบ้านมั่นคง ต้องกู้เงินซื้อที่ดินพร้อมบ้าน คนไร้บ้านไม่มีโอกาสกู้เงินมาซื้อที่หรือปลูกบ้าน ไม่มีหลักทรัพย์ ไม่มีหลักเกณฑ์ตามบ้านมั่นคง ติดตามความคืบหน้าที่ดินกระทรวงทรัพย์ฯ วันเดียวกันนี้ (23 ก.พ.53) แกนนำพีมูฟจำนวน 20 คน นำโดยนายเหมราช ลบหนองบัว เครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน ได้เดินทางไปยังกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อติดตามข้อเรียกร้องซึ่งมีการเสนอไปเมื่อวันที่ 21 ก.พ.ที่ผ่านมา ในกรณีที่กระทรวงทรัพย์ไม่ตอบสนองเรื่องการอนุมัติพื้นที่โฉนดชุมชน จำนวน 17 พื้นที่ ที่อยู่ภายใต้กระทรวงทรัพย์ จากจำนวน 35 พื้นที่นำร่องที่ ปจช.รับรองไว้ และเรื่องคดีความ กับแนวทางการแก้ไขปัญหา รวมทั้งประเด็นอื่นๆ ผลสรุปจากการติดตาม ทางกระทรวงทรัพย์ได้แจ้งว่าจะมีการประชุมระดับกระทรวงเพื่อพิจารณาพื้นที่โฉนดชุมชนที่อยู่ภายใต้กระทรวงทรัพย์ในวันนี้ (24 ก.พ.54) และจะนำสรุปผลการประชุมนำเรียนรัฐมนตรีนายสุวิทย์ คุณกิตติ เพื่อให้ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลต่อไป ส่วนทางพีมูฟได้ยื่นข้อเรียกร้องให้มีการเจรจาระหว่างรัฐมนตรีกระทรวงทรัพย์ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กับทางพีมูฟในวันที่ 25 ก.พ.2554 ตามกรณีแนวทางการแก้ไขปัญหา 3 เรื่องข้างต้น
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
“กัดดาฟี” ยังไม่ลงจากอำนาจ ลั่นพร้อมพลีชีพ Posted: 23 Feb 2011 02:29 AM PST ผู้นำลิเบียประกาศไม่ลงจากอำนาจ จวกฝ่ายต่อต้านเป็นพวกติดยาและเชื่อฟังผู้นำอิสลาม พร้อมปฏิเสธยังไม่ได้สั่งใช้กำลังแม้กระสุนเพียงนัดเดียว พร้อมเรียกร้องให้ผู้สนับสนุนเข้าโจมตีฝ่ายประท้วง และ “ปัดกวาดลิเบีย” ทีละบ้าน ด้าน “รัฐมนตรีมหาดไทย” ประกาศลาออกจากตำแหน่ง และขอเข้าร่วมกับ “การปฏิวัติ 17 กุมภา” ผู้นำลิเบีย มูฮัมมาร์ กัดดาฟี ประกาศว่าจะต่อสู้และตายเหมือนอย่าง “ผู้พลีชีพ” พร้อมเรียกร้องให้ผู้สนับสนุนยึดคืนถนนมาจากกลุ่มต่อต้าน นับเป็นการปราศรัยอย่างโกรธเกรี้ยวของเขาครั้งแรกทางโทรทัศน์ เมื่อคืนวานนี้ (22 ก.พ.) สถานีโทรทัศน์ของรัฐบาลลิเบียถ่ายทอดเทปการกล่าวสุนทรพจน์ของนายกัดดาฟี บนแท่นโพเดียม โดยสถานที่ซึ่งเขาเลือกใช้ปราศรัย อยู่หน้าทางเข้าของอาคารเก่าซึ่งเคยเป็นที่พักของเขาในกรุงตริโปลี ซึ่งเคยถูกถล่มจากการโจมตีทางอากาศของสหรัฐอเมริกาในทศวรรษที่ 1980 ซึ่งอาคารดังกล่าวไม่มีการซ่อมแซม เพื่อเป็นอนุสรณ์ท้าทายสหรัฐอเมริกา เขาปราศรัยว่า “ผมเป็นนักสู้ นักปฏิวัติมาตั้งแต่อยู่ในกระโจม ... ผมจะตายในฐานะ “ผู้พลีชีพ” ในที่สุด” “มูฮัมมาร์ กัดดาฟี คือผู้นำการปฏิวัติ ผมจะไม่เป็นประธานาธิบดีที่ยอมลาออก ... นี่คือประเทศของข้าพเจ้า มูฮัมมาร์จะไม่ใช่ประธานาธิบดีที่ออกจากตำแหน่ง” “ผมยังไม่ได้สั่งให้ใช้กำลัง ยังไม่ได้สั่งแม้แต่ให้ลั่นกระสุนเพียงนัดเดียว ... เมื่อไหร่ที่ผมสั่งทุกอย่างจะลุกไหม้เป็นไฟ” เขายังเรียกร้องต่อผู้สนับสนุนให้กลับมายึดคืนท้องถนนเพื่อโจมตีกลุ่มผู้ประท้วงเขา “บรรดาชายหญิงผู้รักกัดดาฟี ... จงออกมาจากบ้านของเธอให้เต็มท้องถนน” เขากล่าว “ออกจากบ้านของท่านและเข้าโจมตีพวกมันถึงรัง … โดยเริ่มตั้งแต่วันพรุ่งนี้ แถวปิดล้อมของตำรวจจะถูกยกเลิก จะออกจากบ้านไปสู้กับพวกมัน” กัดดาฟี ยังกล่าวว่า “การชุมนุมโดยสงบเป็นสิ่งหนึ่ง แต่พวกกบฏติดอาวุธเป็นอีกเรื่อง” “จากคืนนี้ถึงวันพรุ่งนี้ คนหนุ่มทั้งหมดจงตั้งคณะกรรมการท้องถิ่นเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับประชาชน” เขากล่าว บอกกับพวกเขาให้ผูกข้อมือด้วยสีเขียวเป็นสัญลักษณ์ “ประชาชนชาวลิเบียและการปฏิวัติประชาชนลิเบียจะควบคุมลิเบีย” จากการปราศรัยของกัดดาฟี ดูเหมือนจะเป็นการบันทึกเทปแล้วนำมาออกอากาศ และมีการเผยแพร่ภาพผู้ประท้วงหลายร้อยคนในจัตุรัสเขียวที่กรุงตริโปลีด้วย ในเวลาที่มีการปราศรัย กล้องยังแพนไปยังอนุสาวรีย์หอคอยสีทองซึ่งอยู่หน้าอาคารที่กัดดาฟีใช้ปราศรัย โดยอนุสาวรีย์ดังกล่าวเป็นรูปกำปั้นบดขยี้เครื่องบินขับไล่ติดธงชาติอเมริกา ในเทปการปราศรัยที่มีการเผยแพร่ ยังแสดงให้เห็นภาพที่กัดดาฟีปราศรัยอย่างโดดเดียว เบื้องหลังเป็นโถงที่ชำรุดทรุดโทรม ไม่มีผู้ฟังอยู่เบื้องหน้าเขา กัดดาฟีตะโกนอยู่ตลอดถ้อยแถลง เขาเรียกตัวเองว่า “นักรบ” ประกาศว่า “ลิเบียต้องการความรุ่งเรือง ลิเบียต้องการอยู่ในส่วนยอด เป็นส่วนยอดของโลก” โดยในการปราศรัยเขายังเรียกร้องให้ประชาชนไล่จับ “หนุ่มติดยา” และจับคนเหล่านั้นเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เขาเรียกร้องให้ประชาชน “ปัดกวาดลิเบีย ทีละบ้าน ทีละบ้าน” จนกว่าผู้ประท้วงบนท้องถนนจะยอมแพ้ เขาเตือนด้วยว่าความไร้เสถียรภาพในลิเบีย “จะกลายเป็นฐานของกลุ่มอัล-เคด้า” เขายังยกตัวอย่างการโจมตีรัฐสภาของรัสเซีย และการบดขยี้ในจีนที่จัตุรัสเทียน อัน เหมิน เมื่อปี 2531 ว่านานาชาติก็ไม่ได้เข้าแทรกแซง เขากล่าวด้วยว่าจะทำเช่นนี้ที่เมืองเดอร์นา และ เบย์ดา ของลิเบีย เขากล่าวเสนอด้วยว่าจะใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันพุธ แต่สิ่งเหล่านี้ควรมีการเจรจา ไม่ใช่ร่วมมือกับศัตรู เขายังประณามการลุกฮือของพวกอิสลามนิยมว่าต้องการสร้างอัฟกานิสถานแห่งใหม่ และเตือนว่าพวกที่อยู่ที่เมืองเบย์ดา และเดอร์นา ได้เตรียมตั้งรัฐอิสลามแล้ว และพยายามจะยึดเบงกาซี เขากล่าวด้วยว่า คนหนุ่มสาวในประเทศที่ติดยา ช่างไม่รู้อะไรเลย พวกเขาได้แต่เดินตามผู้นำอิสลาม และผู้นำอิสลามเหล่านั้นจะต้องถูกลงโทษประหารชีวิตตามกฎหมายลิเบีย โดยไม่กี่ชั่วโมงภายหลังการกล่าวสุนทรพจน์ของกัดดาฟี รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยของลิเบีย นายพลอับดุล ฟาตา ยูนิส ได้ประกาศลาออกและสนับสนุน “การปฏิวัติ 17 กุมภาพันธ์” โดยวิดีโอที่ “อัลจาซีร่า” ได้รับ นายพลยูนิสนั่งที่โต๊ะและอ่านแถลงการณ์พร้อมเรียกร้องให้กองทัพลิเบียร่วมกับประชาชน และร่วมกับ “ขอเรียกร้องที่ชอบธรรม” ของประชาชน แปลและเรียบเรียงจาก สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
ผบ.ทบ.เชื่อการชุมนุมในไทยไม่ลามเหมือนอียิปต์-ลิเบีย Posted: 23 Feb 2011 02:24 AM PST “ประยุทธ์” เชื่อ การชุมนุมในประเทศไทยไม่ลามเหมือน อียิปต์ ลิเบีย บาห์เรน เหตุมีสถาบันพระมหากษัตริย์ยึุดเหนียว ยันทหารไม่มีสี ใครคิดทำร้ายสถาบัน ต้องมีอันเป็นไป ส่วนการอนุญาตให้ประกันตัว 7 แกนนำเสื้อแดง เป็นเรื่องของศาล 23 ก.พ. 54 - พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาให้ปล่อยตัวนักโทษ 8 แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ว่า เป็นเรื่องของศาล เป็นกระบวนการศาลยุติธรรม เมื่อพิจารณาแล้วว่าเหมาะสมท่านก็ปล่อยไม่เกี่ยวกับตน ตนเคารพศาล ทหารจะไม่ไปพูดจาอะไรต่างๆ ว่า จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยไม่ได้ เพราะศาลเป็นกลาง ก็แล้วแต่ท่าน ที่มาข่าว: ASTV ผู้จัดการออนไลน์ สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
พม่าล้มเลิกพิธีตั้งกิ่งอำเภอใหม่ "เมืองทา" หลังถูกกลุ่มต่อต้านยิงถล่ม Posted: 23 Feb 2011 02:19 AM PST พม่าเลื่อนพิธีเปิดตั้งกิ่งอำเภอใหม่ "เมืองทา" ตรงข้ามอ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่ ไม่มีกำหนด หลังถูกกลุ่มติดอาวุธไม่ทราบฝ่ายบุกถล่มฐานที่มั่นทำทหารเจ็บหลายราย มีรายงานจากแหล่งข่าวว่า พิธีเปิดตั้งกิ่งอำเภอใหม่ "เมืองทา" ของทางการพม่า อยู่ห่างจากชายแดนไทยด้านตรงข้ามอำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ ประมาณ 44 กม. ที่มีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 22 ก.พ. ได้ถูกล้มเลิกและเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด สาเหตุเนื่องจากก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 18 ก.พ. ได้มีกองกำลังไม่ทราบฝ่ายใช้อาวุธปืนหนักยิงถล่มใส่ฐานของทหารพม่าที่เมืองทา เป็นเหตุให้มีทหารได้รับบาดเจ็บหลายราย แหล่งข่าวเผยว่า ทางการพม่ายังไม่มีการเปิดเผยว่าจะทำพิธีเปิดการตั้งกิ่งอำเภอใหม่อีกเมื่อใด ขณะที่ยังไม่มีการเปิดเผยเช่นกันว่า กองกำลังที่ลงมือยิงถล่มใส่ฐานทหารพม่าเป็นกองกำลังกลุ่มใด ขณะที่กองกำลังว้า UWSA ที่เคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่ได้ปฏิเสธไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และในส่วนของกองกำลังไทใหญ่ SSA กลุ่มพล.ท.เจ้ายอดศึก ก็ระบุ การตั้งกิ่งอำเภอเมืองทา ไม่ส่งผลกระทบต่อกลุ่มตน ซึ่งไม่มีเหตุผลที่ทางกลุ่มจะโจมตี เมื่อไม่นานนี้ ทางการพม่าได้ประกาศจะตั้ง "เมืองทา" อยู่ตรงข้ามบ้านหลักแต่ง ต.เปียงหลวง อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่ เป็นกิ่งอำเภอใหม่ ของจังหวัดเมืองสาด และจะใช้เป็นที่ตั้งกองบัญชาควบคุมยุทธการแห่งใหม่ โดยทางการได้มีการเกณฑ์ราษฎรในอำเภอเมืองโต๋นเข้าไปอยู่ ทั้งมีการเสนอผู้เข้าไปอยู่ใหม่สามารถประกอบธุรกิจได้อย่างเสรีใน 6 ปี ซึ่งเรื่องนี้หลายคนเข้าใจว่า อาจรวมถึงธุรกิจปลูกฝิ่นและสิ่งผิดกฏหมายอื่นๆ เพื่อใช้เป็นทุนสนับสนุนสร้างเมืองใหม่ อย่างไรก็ตาม นักสังเกตุการณ์ชายแดนเชื่อว่า การที่พม่าตั้งเมืองทา เป็นกิ่งอำเภอและใช้เป็นที่ตั้งบก.ควบคุมยุทธการของกองทัพแห่งใหม่ น่าจะเป็นแผนตัดกำลังทหารกองทัพสหรัฐว้า UWSA ที่เคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่ อีกทั้งกองทัพพม่าอาจใช้เป็นศูนย์รวมกำลังพลที่หากเกิดการสู้รบกับทหารกอง กำลังว้า UWSA หรือ ทหารกองกำลังไทใหญ่ SSA ที่เคลื่อนไหวตามแนวชายแดนไทย จะสามารถเรียกกำลังเสริมได้ทันที ชมภาพ / อ่านข่าวย้อนหลังได้ที่ "คนเครือไท" เป็นศูนย์ข่าวภาคภาษาไทยเครือข่ายสำนักข่าวอิสระไทใหญ่ หรือ สำนักข่าวฉาน (SHAN – Shan Herald Agency for News) มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในรัฐฉาน สหภาพพม่า ตลอดจนตามแนวชายแดนไทย ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับองค์กรการเมือง / การทหารกลุ่มใด สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ shan_th@cm.ksc.co.th หรือ ติดตามอ่านข่าวสารภาคภาษาอังกฤษได้ที่ www.shanland.org ภาคภาษาไทใหญ่ที่ www.mongloi.org และภาคภาษาไทยที่ www.khonkhurtai.org สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
นักข่าวพลเมือง: ฟันธงหน่วยงานรัฐไร้น้ำยาทำเอสอีเอโปแตซ ย้ำต้องแก้กฎหมายก่อน Posted: 23 Feb 2011 02:15 AM PST วานนี้ (22 กุมภาพันธ์) เวลา 09.00 น. ณ ห้องบรรยาย 2 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น คณะอนุกรรมการสิทธิชุมชน ภายใต้ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้จัดประชุมเพื่อดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง เรื่องการศึกษาและประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (SEA) โครงการพัฒนาเหมืองแร่โปแตซ โดยทำการเชิญ หน่วยงาน/องค์กร ภาครัฐและเอกชน ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำ SEA อาทิเช่น กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี ,บริษัทเอเชียแปซิฟิค โปแตซ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (APPC) ,สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ,สำนักงานสิ่งแวดล้อม ภาค 9 และภาค 11 ,กลุ่มชาวบ้านในพื้นที่เหมืองแร่โปแตซ ขอนแก่น และมหาสารคาม ตลอดจน นักพัฒนา นักวิชาการ ประชาชนทั่วไปที่มีความสนใจต่อสถานการณ์พัฒนาเหมืองแร่โปแตซ ภาคอีสาน บรรยากาศภายในเวที นั้น ได้มีการบรรยายให้ความรู้ ซักถาม แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ ประเด็น การทำ SEA โครงการเหมืองแร่โปแตซในภาคอีสาน โดย APPC ซึ่งเป็นบริษัทที่พยามผลักดัน โครงการเหมืองแร่โปแตซจังหวัดอุดรธานี ได้ส่งนายวิสุทธิ์ จิราธิยุต กรรมผู้จัดการบริษัท มาชี้แจง และให้ข้อมูลในการดำการผลักดันโครงการเหมืองฯ แต่ก็ถูกตั้งคำถาม และข้อคิดเห็นแลกเปลี่ยนจาก อนุกรรมาธิการฯ นักวิชาการ และกลุ่มชาวบ้าน ถึงกระบวนการผลักดันโครงการเหมืองฯที่มีข้อกังขา และขาดความชอบธรรม แต่เป็นที่น่าสังเกตและเกิดข้อกังขาจากบรรดาผู้เข้าร่วมเวทีกรณี ที่ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ หรือ กพร. ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องหลักต่อการทำ SEA ไม่ได้ส่งตัวแทนเข้ามาร่วม นายปริญญา นุตาลัย นักวิชาการ และอดีตกรรมการผู้ชำนาญการการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านเหมืองแร่ ได้แสดงความคิดเห็นต่อ การทำ SEA ในเวที ครั้งนี้ว่า “สิ่งสำคัญที่เป็นปัญหาของประเทศไทยในการที่จะทำ SEA นั้น ต้องกลับดูที่กฎหมายบ้านเรามันมีปัญหา เพราะที่ผ่านมาการออกกฎหมายมักจะออกมาว่าทรัพยากร ดิน น้ำ ป่า แร่ เป็นของรัฐ ประชาชนไม่เกี่ยว ยกตัวอย่างการแก้ไขกฎหมายแร่ เมื่อ ปี 45 ที่มีการออกกฎหมายให้สามารถซอนไซไปเอาสินทรัพย์ใต้ดินตั้งแต่ 100 เมตรขึ้นไป มันเป็นปัญหา มันต้องพูดคุยกันให้ชัดเจน ถกเถียงกันให้ตกว่าทรัพยากรเป็นของใคร แล้วต้องกลับไปแก้ไขที่ข้อกฎหมาย ถ้าไม่แก้กฎหมายแร่ก็จะเกิดประเด็นไปทุกอย่อมหญ้า” นายปริญญายังได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “การทำ SEA นั้น เท่าที่ดูแล้วหน่วยงานรัฐของเรา ยังไม่มีความพร้อม ทั้ง เครื่องมือ บุคคล และเทคโนโลยี ยิ่งมีระยะเวลาในการทำเพียงแค่ 10 เดือน คงจะไม่เกิดประโยชน์อะไร กพร. ไม่ควรทำเพราะ การทำ SEA เป็นเรื่องใหญ่ และถ้าจะทำ SEA นั้น สิ่งสำคัญคือ การมีส่วนร่วมของประชาชนที่สมบูรณ์แบบ แค่ กรณี การรังวัดปักหมุด กพร. ก็ ทำผิดหลักการมีส่วนร่วมแล้ว ชาวบ้านสามารถฟ้องคดีได้” ทางด้านนายแพทย์นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ รรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้กล่าวถึงบทบาทของคณะกรรมการสิทฺธิฯ ต่อการทำ SEA โครงการพัฒนาเหมืองแร่โปแตซ ในครั้งนี้ ว่า “การที่คณะกรรมการสิทธิ และอนุสิทธิชุมชน ลงมาจัดเวทีในวันนี้ มีความต้องการที่จะตรวจสอบ การทำ SEA โครงการเหมืองแร่โปแตซ ภาคอีสานว่ามีความถูกต้องชอบธรรมหรือไม่ เพราะว่าได้รับเรื่องร้องเรียนไป โดยเฉพาะพื้นที่โครงการเหมืองแร่โปแตซ จังหวัดอุดรฯ นั้น กรณีที่ กพร. ลงมาปักหมุดก็เกิดปัญหา เนื่องจากหน่วยงานภาครัฐไม่สามารถสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนได้ จึงไม่อยากให้เกิดความขัดแย้งลุกลามบานปลายไปมากกว่านี้ และการมาในครั้งนี้ก็ลงมาเพื่อสร้างความเข้าใจให้กับบริษัทเอกชนที่จะทำเหมืองโปแตซให้เกิดการรับรู้ในการสร้างการมีส่วนร่วมให้กับประชาชน ที่มีสิทธิในการร่วมตรวจสอบ ร่วมตัดสินใจ” นายแพทย์ นิรันดร์ กล่าว
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
ขยายประกันสังคมสู่แรงงานนอกระบบที่จะได้ผลจริง...ต้องถูกและดี Posted: 23 Feb 2011 02:08 AM PST 23 ก.พ. 54 - ดร.วิโรจน์ ณ ระนอง ผู้อำนวยการวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขและการเกษตร สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ระบุว่าข้อจำกัดของแรงงานนอกระบบส่วนใหญ่คือ นอกจากจะมีรายได้ค่อนข้างต่ำแล้ว ยังมีความไม่แน่นอนของอาชีพและรายได้ด้วย ดังนั้นการสร้างรูปแบบสวัสดิการพื้นฐานของรัฐให้คนกลุ่มนี้ ซึ่งจะต้องเป็นโครงการที่สามารถจูงใจให้พวกเขาสมัครเข้าร่วมต้องเป็น “สวัสดิการที่ดี ราคาถูก และให้สิ่งที่แรงงานนอกระบบต้องการจริงๆ” สำหรับแนวคิดการขยายประกันสังคมไปสู่แรงงานนอกระบบนั้น ทีดีอาร์ไอได้ทำงานวิจัย เรื่อง แนวทางการขยายความคุ้มโครงโดยรัฐร่วมจ่ายในประกันสังคมมาตรา 40 แห่ง พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 เพื่อศึกษาสวัสดิการที่แรงงานนอกระบบต้องการ ศึกษาดูความสามารถในการจ่ายเท่าไหร่ และศึกษาดูว่าจะจัดสวัสดิการอย่างไรถึงจะให้ยั่งยืนได้ โดยนำสวัสดิการ 5 ด้าน คือ การชดเชยรายได้กรณีเจ็บป่วย ทุพพลภาพ เสียชีวิต บำนาญ และคลอดบุตร มาให้แรงงานนอกระบบเรียงลำดับความสำคัญ (ไม่รวมอีกสองข้อที่ประกันสังคมทั่วไปมี คือ ไม่มีเงินช่วยเหลือเมื่อว่างงาน และไม่มีการสงเคราะห์บุตร) แล้วนำมาจัดเป็น 6 ชุดสิทธิประโยชน์ และนำไปให้กลุ่มตัวอย่างแรงงานนอกระบบระบุความสามารถในการจ่ายเพื่อให้ได้ชุดสิทธิประโยชน์นั้น จากนั้นประเมินว่าแต่ละชุดสิทธิประโยชน์นั้นจะต้องการเงินสมทบเท่าไหร่ถึงจะอยู่ได้ในระยะยาว
ตารางชุดสิทธิประโยชน์ตาง ๆ
การศึกษาทำการสำรวจความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่างแรงงานนอกระบบ อาทิ กลุ่มแท็กซี่ กลุ่มเกษตรกร กลุ่มรับงานไปทำที่บ้าน ฯลฯ จำนวน 3,093 คน เป็นชาย 1,525 คน หญิง 1,568 คน ผลการสำรวจพบว่า กลุ่มตัวอย่างทั้งชายและหญิงมีแนวโน้มในการให้ความสำคัญกับลำดับของสิทธิประโยชน์ไปในทิศทางเดียวกัน โดยให้ความสำคัญกับการชดเชยรายได้เมื่อต้องนอนโรงพยาบาล 2-3 วันขึ้นไปมากที่สุด รองลงมาคือต้องการเงินบำนาญเมื่อสูงอายุ ลำดับต่อมาคือ เงินเลี้ยงชีพกรณีทุพพลภาพ เงินทดแทนกรณีเสียชีวิต และการช่วยเหลือกรณีคลอดบุตร ในด้านความสามารถในการจ่ายเบี้ยประกัน/เงินสมทบ พบว่า คนส่วนใหญ่จ่ายได้ระหว่าง 50-100 บาทต่อเดือน ถ้าเป็นไปได้ในกลุ่มเกษตรกรขอจ่ายที่ 50 บาทต่อเดือน ส่วนกลุ่มแท็กซี่ในเมืองและแรงงานนอกระบบในจังหวัดใหญ่ส่วนใหญ่บอกว่าจ่ายได้ที่ 100 บาทต่อเดือน นอกจากนี้ยังมีคนอีกจำนวนหนึ่ง (แต่ไม่ถึงครึ่งของคนที่สำรวจ) ระบุว่าหากสวัสดิการเพิ่มขึ้นก็ยินดีจ่ายเพิ่มแต่ไม่เกินเดือนละ 200-300 บาท “แต่ถ้าเป้าหมายของรัฐคือสร้างระบบสวัสดิการมาความคุ้มครองให้กับคนที่ยังไม่มีสวัสดิการ ก็ควรเลือกระบบที่สามารถจูงใจให้กลุ่มเป้าหมายสมัครเข้ามาร่วมให้มากที่สุด ..เพราะถ้าระบบไม่จูงใจให้คนเข้าร่วม แต่เมื่อคนกลุ่มนี้เดือดร้อน รัฐก็ต้องเข้ามาดูแลอยู่ดี” ดร.วิโรจน์ กล่าวว่า ด้วยสมมติฐานดังกล่าวเมื่อต้องการให้คนเข้ามาร่วมมาก ๆ ก็ควรเก็บเบี้ยประกันในอัตราน้อย ๆ เช่น เดือนละไม่เกิน 50-100 บาท และก็ต้องมาดูว่าถ้ามีเงิน 100 บาทต่อเดือนจะเพียงพอสำหรับสิทธิประโยชน์ขนาดไหน ซึ่งจากงานวิจัยพบว่า ในบรรดาชุดสิทธิประโยชน์ที่ให้กลุ่มแรงงานนอกระบบเลือกนั้น เงินสมทบเดือนละ 100 บาทเพียงพอสำหรับการจัดทำสิทธิประโยชน์ชุดที่ค่อนข้างดี (เช่น มีบำนาญให้เดือนละ 1,000 บาท สำหรับคนที่มีอายุมากกว่า 60 ปีที่จ่ายเงินสมทบมาแล้ว 100 เดือน และสามารถจ่ายชดเชยให้ผู้ที่ทุพพลภาพเดือนละ 2,000 บาทตั้งแต่ปีแรก โดยไม่ต้องจ่ายเป็นขยักแบบในโครงการประชาวิวัฒน์) ในด้านความยั่งยืนของโครงการนั้น การศึกษาพบว่า อาศัยการจ่ายเบี้ยสมทบเดือนละ 100 บาท โครงการจะสามารถอยู่ได้ไปอย่างน้อย 30 ปี ทั้งนี้มีเงื่อนไขข้อเดียวคือสัดส่วนของแรงงานนอกระบบที่เข้าร่วมโครงการจะต้องเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก็ไม่ยากเลยถ้าโครงการมีชุดสิทธิประโยชน์ที่จูงใจ ทั้งนี้ แม้กระทั่งการคำนวณที่มีข้อสมมุติว่า แรงงานนอกระบบจะเข้าร่วมโครงการถึงร้อยละ 90 ในปีที่ 10 ซึ่งหมายความว่า อย่างน้อยแรงงานนอกระบบถึงร้อยละ 90 จะได้รับบำนาญในปีที่ 19 เป็นต้นไป ก็พบว่ากองทุนจะยังคงมีเงินเพิ่มขึ้นในระหว่างปีที่ 20-30 ที่ศึกษาไปถึง จึงเชื่อว่าโครงการนี้จะอยู่รอดได้ในระยะยาว ดร.วิโรจน์ อธิบายว่า สาเหตุที่ผลการศึกษาดูต่างจากที่เสนอในโครงการประชาวิวัฒน์ (ที่ให้ผลประโยชน์ต่ำกว่ามากและไม่มีบำนาญให้) ก็เพราะงานวิจัยนี้ใช้แนวคิดแบบประกันสังคมจริงๆ ซึ่งเป็นแนวคิดแบบเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข ไม่ใช่การคำนวณแบบบริษัทประกัน หรือคำนวณแบบบัญชีรายบุคคล นอกจากนี้ การศึกษานี้คำนวณโดยใช้ความเสี่ยงเฉลี่ยของประชากร (ซึ่งจะตรงกับความเป็นจริงในกรณีที่มีคนเข้าร่วมโครงการจำนวนมาก) ขณะที่สำนักงานประกันสังคมใช้ความเสี่ยงสูงสุดในอดีตมาเป็นฐานคำนวณ ภายใต้แนวคิดที่ต้องการสร้างระบบสวัสดิการเพื่อคุ้มครองคนที่ตกหล่นในสังคม ความต้องการแท้จริงของตัวแรงงานนอกระบบ และการคำนวณอย่างยุติธรรมบนความเป็นไปได้ในเรื่องค่าใช้จ่ายดำเนินการ ทำให้ได้ชุดสวัสดิการสิทธิประโยชน์ที่ได้รับสัมพันธ์กับความสามารถในการจ่ายซึ่งเชื่อว่าจะทำให้คนส่วนใหญ่สนใจเข้ามาร่วม “วิธีคิดง่าย ๆ จากผลการศึกษาก็คือ เงิน 100 บาทนั้นเพียงพอสำหรับ 5 สิทธิประโยชน์ที่เขาต้องการซึ่งรวมถึงเงินบำนาญอย่างน้อยเดือนละ 1,000 บาท แต่ถ้าจะให้ดีรัฐบาลควรร่วมจ่ายสมทบด้วย ถ้าแบ่งกันจ่ายแบบ 50:50 ก็น่าจะทำให้กลุ่มคนที่ตกหล่นซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนจนสามารถเข้าถึงสวัสดิการที่ดีในราคาถูก และจูงใจให้สมัครเข้ามาร่วมเป็นจำนวนมาก” สำหรับประเด็นที่ว่าการช่วยจ่ายเงินสมทบให้แรงงานนอกระบบจะทำให้คนเหล่านี้ได้เปรียบแรงงานในระบบนั้น ดร.วิโรจน์ กล่าวว่าปัจจุบันเงินอุดหนุนที่รัฐให้แรงงานในระบบไม่ได้น้อยกว่าที่ให้กับแรงงานนอกระบบอย่างที่คนมักจะเข้าใจ ทั้งนี้ แรงงานในระบบได้รับการอุดหนุนจากรัฐจากที่รัฐจ่ายสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมร้อยละ2.75 ของเงินเดือนที่ไม่เกิน 15,000 บาท (หรือไม่เกินคนละ 4,950 บาทต่อปี) ซึ่งควรสังเกตด้วยว่าการสมทบแบบนี้คนรายได้น้อยก็จะได้รับสมทบจากรัฐน้อยกว่าคนรายได้มาก สำหรับแรงงานนอกระบบนั้น สิ่งที่รัฐจ่ายให้คือโครงการบัตรทองการรักษาฟรี ซึ่งปัจจุบันมีงบเฉลี่ยต่อหัวอยู่ที่ 2,500 บาทต่อคนต่อปี ส่วนเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 500 บาท/คน/เดือนก็เป็นสิทธิที่จะได้รับต่อเมื่ออายุ 60 ปีแล้วเท่านั้น จากแนวคิดและรูปแบบสวัสดิการดังกล่าว งานวิจัยเสนอว่าในการขยายประกันสังคมไปสู่แรงงานนอกระบบแบบสมัครใจนี้ รัฐควรรับภาระจ่ายสมทบร้อยละ 50 ของค่าใช้จ่ายของโครงการที่ให้ชุดสิทธิประโยชน์พื้นฐาน (รัฐกับประชาชนจ่ายฝ่ายละ 50 บาทต่อเดือน) ซึ่งกรณีนี้จะต้องแก้กฎหมายประกันสังคมให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ในระยะยาวกองทุนนี้ถูกออกแบบมาให้อยู่ได้ด้วยตัวเองในระยะยาว แต่ในช่วงเริ่มแรก กองทุนคงต้องพึ่งกองทุนประสังคมใหญ่อยู่บ้าง ทั้งในด้านบุคลากร เครื่องมือ และฐานข้อมูล สำหรับการขยายประกันแรงงานนอกระบบในมาตรการประชาวิวัฒน์ของรัฐบาลนั้น ดร.วิโรจน์ กล่าวด้วยว่า ชุดสิทธิประโยชน์ยังน้อยเกินไปเมื่อเทียบกับเบี้ยประกันที่จ่าย ไม่ว่าจะเป็น ชุด 100 บาทต่อเดือน (ผู้ประกันตนจ่าย 70 บาท รัฐสมทบ 30 บาท) หรือ 150 บาทต่อเดือน (ผู้ประกันตน 100 บาท รัฐสมทบ 50 บาท) และชุดสิทธิประโยชน์นี้ยังละเลยเรื่องบำนาญซึ่งแรงงานนอกระบบให้ความสำคัญ โดยแยกออกไปให้กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ดำเนินการต่างหาก ซึ่งจะทำให้เกิดความยุ่งยากในการเข้าร่วมและการจ่าย อันอาจทำให้กลุ่มเป้าหมายไม่สนใจจะเข้าร่วมได้ และคงทำให้มีคนเข้าร่วมไม่มากเท่าที่ควร “อย่าลืมว่า ถึงแม้จะมีคนเข้าร่วมจำนวนสักหนึ่งล้านคน จากกลุ่มแรงงานนอกระบบกลุ่มที่รัฐบาลเน้น คือ กลุ่ม หาบเร่แผงลอย แท็กซี่ มอเตอร์ไซด์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่เข้าถึงง่ายและคนเห็นชัดเจน แต่หนึ่งล้านคนก็ยังนับว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับกลุ่มแรงงานนอกระบบในภาพรวม 23-24 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในภาคเกษตรและกลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้าน ซึ่งมองหาตัวตนได้ยากกว่า แต่ที่คิดว่าเป็นไปได้มากกว่าคือ จำนวนคนที่เข้าร่วมจะน้อยกว่าหนึ่งล้านคนแบบมองไม่เห็นฝุ่น”
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
Posted: 23 Feb 2011 01:59 AM PST สูดลมหายใจแห่งอิสรภาพให้เต็มอิ่ม สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
ชำนาญ จันทร์เรือง: ยกเลิกการบริหารราชการส่วนภูมิภาค Posted: 23 Feb 2011 01:56 AM PST ผู้อ่านที่เป็นชาวเมืองหลวงเห็นหัวข้อบทความนี้อาจจะมองข้ามผ่านเลยไปเพราะไม่รู้สึกถึงผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของตนเอง และคุ้นเคยต่อการบริหาราชการแผ่นดินที่มีเพียงการบริหารราชการส่วนกลางและราชการส่วนท้องถิ่นโดยไม่มีราชการส่วนภูมิภาคมาตลอดระยะเวลาหลายสิบปีมาแล้ว แต่ในทางกลับกันกระแสของการรณรงค์เพื่อยกเลิกการบริหารราชการส่วนภูมิภาคในต่างจังหวัดกลับคึกคักเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่จังหวัดเชียงใหม่ถึงกับมีการยกร่างระเบียบบริหารราชการเชียงใหม่มหานครขึ้นมาโดยเครือข่ายบ้านชุ่มเมืองเย็น ซึ่งเป็นการยกร่างกฎหมายที่ให้มีการบริหาราชการส่วนท้องถิ่นเต็มพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่โดยยกเลิกการบริหารราชการส่วนภูมิภาคไปเลย โดยมีแผนการเสนอร่างกฎหมายดังกล่าวในปี ๒๕๕๕ ซึ่งหลายๆพรรคการเมืองเริ่มให้ความสนใจนำไปเป็นนโยบายในการหาเสียงบ้างแล้ว การณรงค์ให้ยกเลิกการบริหารราชการส่วนภูมิภาคในต่างจังหวัดนั้นเป็นไปด้วยความคึกคักเป็นอย่างยิ่งในบางจังหวัด เช่น ที่อำนาจเจริญถึงกับมีการขึ้นคัตเอาท์เพื่อขอจัดการตนเองเลยก็มี เหตุผลของการรณรงค์ในเรื่องนี้นั้นด้วยเหตุเนื่องเพราะแต่ละพื้นที่ได้เห็นถึงสภาพปัญหาของการรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลางและแบ่งอำนาจเพียงเล็กน้อยไปสู่ส่วนภูมิภาค ทำให้ปัญหาต่างๆไม่ได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงทีในพื้นที่ ปัญหาเล็กๆน้อยๆถูกโยนเข้าไปสู่ส่วนกลาง โดยตัวแทนของส่วนภูมิภาคในพื้นที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้เลย มิหนำซ้ำกลับเป็นการเพิ่มขั้นตอนของการอนุมัติอนุญาตต่างๆของภาคธุรกิจอุตสาหกรรมให้มากขึ้นไปอีกแทนที่จะสามารถติดต่อได้โดยตรงกับการบริหารราชการส่วนกลางที่มีอำนาจโดยตรง ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจในเบื้องต้นเสียก่อนว่าการบริหารราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่นที่พูดถึงนั้นของไทยเราหมายความถึงอะไร การบริหารราชการส่วนกลาง หมายถึงกระทรวง ทบวง กรมต่างๆที่มีรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงทั้งหลายเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดในแต่ละกระทรวง ซึ่งรวมถึงสำนักนายกรัฐมนตรีที่มีฐานะเป็นกระทรวงๆหนึ่งแต่ไม่เรียกว่ากระทรวงเท่านั้นเอง และมีนายกรัฐมนตรีในฐานะรัฐมนตรีเป็นเจ้ากระทรวงและมีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีทำหน้าที่เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการ การบริหาราชการส่วนภูมิภาค หมายถึงจังหวัดและอำเภอซึ่งเป็นการแบ่งอำนาจของราชการส่วนกลางบางส่วนลงไปในพื้นที่ โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดในจังหวัดและมีนายอำเภอซึ่งสังกัดกรมการปกครองเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดในอำเภอ ซึ่งทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอมีอำนาจเฉพาะเพียงที่ได้รับมอบหมายจากส่วนกลางและตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ.๒๔๕๗ และที่สำคัญทั้งจังหวัดและอำเภอไม่มีงบประมาณเป็นของตนเองแต่อย่างใด ต้องอาศัยการจัดสรรจากราชการส่วนกลางลงไปในพื้นที่
การบริหารราชการส่วนท้องถิ่น การบริหารราชการส่วนท้องถิ่นเป็นการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินตามหลักการกระจายอำนาจปกครอง ซึ่งมีลักษณะสำคัญ คือ มีการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นนิติบุคคลแยกอิสระออกจากการบริหารราชการส่วนกลาง ทำให้มีสิทธิและอำนาจในการทำนิติกรรมและสัญญาต่างๆ ตลอดจนเป็นเจ้าของหรือถือครองกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินต่างๆ เพื่อประโยชน์ต่อการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและประชาชนในท้องถิ่น โดยมีเจ้าหน้าที่ ทรัพย์สิน งบประมาณและรายได้เป็นของท้องถิ่นเอง มีการเลือกตั้งสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นทั้งหมดหรือบางส่วน เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครอง ซึ่งของไทยเรามี ๒ รูปแบบ คือ รูปแบบทั่วไปได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล กับรูปแบบพิเศษ คือ กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา เหตุใดจึงต้องมีการรณรงค์ให้ยกเลิกการบริหารราชการส่วนภูมิภาค การบริหารราชการส่วนภูมิภาคนั้นเป็นการนำหลักการของการแบ่งอำนาจมาใช้ในการบริหารราชการแผ่นดิน โดยหลักการแบ่งอำนาจการปกครองนั้นอันที่จริงแล้วเป็นส่วนหนึ่งของหลักการรวมอำนาจปกครอง เพียงแต่ขยายไปยังราชการส่วนภูมิภาค โดยมีหลักการสำคัญ คือ 1) ใช้เจ้าหน้าที่ที่ได้รับการแต่งตั้งจากส่วนกลาง 2) บริหารโดยใช้งบประมาณจากส่วนกลางเป็นผู้อนุมัติ 3) บริหารงานภายใต้นโยบายและวัตถุประสงค์ของรัฐบาลกลาง ซึ่งผู้ที่เห็นด้วยกับการบริหารราชการส่วนภูมิภาคมักจะให้เหตุผลว่ามีข้อดีคือ 1) เป็นจุดเริ่มต้นของการกระจายอำนาจ 2) การดำเนินงานเป็นไปด้วยความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น 3) ทำให้มีการประสานงานระหว่างการบริหารราชส่วนกลางส่วนกับส่วนท้องถิ่นได้ดี ยิ่งขึ้น 4) เหมาะสำหรับสังคมที่ประชาชนยังมีสำนึกในการปกครองตนเองต่ำ แต่ผู้ที่ไม่เห็นด้วยก็ให้เหตุผลว่ามีข้อเสีย คือ 1) เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาทางด้านการเมืองและการปกครองเพราะแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลยังไม่ไว้วางใจประชาชนในท้องถิ่น 2) เกิดความล่าช้า เพราะเป็นการเพิ่มขั้นตอน 3) ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมต่อท้องถิ่น เพราะถูกบริหารจัดการจากเจ้าหน้าที่ที่มาจากที่อื่น ยิ่งในยุคปัจจุบันที่มี “แก๊งค์แต่งตั้ง”เกิดขึ้น ในบางจังหวัดปีเดียวมีการย้ายผู้ว่าราชการจังหวัดตั้ง ๒-๓ หน ผู้ที่อยากให้ยกเลิกการบริหารราชการส่วนภูมิภาคให้เหตุผลโต้แย้งข้อดีของการแบ่งอำนาจว่าในเรื่องของการเป็นจุดเริ่มต้นของการกระจายอำนาจนั้นก็อาจจะเป็นจริงหากเป็นในยุคสมัยเริ่มแรกในรัชกาลที่ ๕ หรือว่าร้อยกว่าปีมาแล้ว แต่จวบจนบัดนี้ยังไปไม่ถึงไหนเลย ทั้งๆที่ฝรั่งเศสที่เราไปลอกแบบเขานั้นจังหวัดกลายเป็นบริหารราชการส่วนท้องถิ่นตั้งแต่ปี ๑๙๘๒ แล้ว ในส่วนของเหตุผลที่ว่าการดำเนินงานเป็นไปด้วยความรวดเร็วมากยิ่งขึ้นนั้นได้รับการคัดค้านอย่างแข็งขันจากภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมเป็นอย่างยิ่ง เพราะแทนที่จะเร็วกลับช้าหนักเข้าไปอีกเพราะเป็นการเพิ่มขั้นตอนขึ้นมาอย่างไม่จำเป็น ถ้าเป็นสมัยก่อนที่การเดินทางลำบากยากเข็ญจากเชียงใหม่ไปกรุงเทพต้องล่องเรือกันเป็นเดือนๆล่ะก็ไม่ว่ากัน แต่ปัจจุบันติดต่อสื่อสารกันได้เพียงชั่วกระพริบตาเท่านั้นไปได้ทัวโลกแล้ว ข้อดีที่ว่าทำให้มีการประสานงานระหว่างการบริหารราชการส่วนกลางส่วนกับส่วนท้องถิ่นได้ดียิ่งขึ้นนั้นยิ่งน่าขำเพราะทุกวันนี้การบริหารราชการต่างๆแม้กระทั่งการให้ความเห็นชอบข้อบัญญัติท้องถิ่นต่างๆถูกแช่แข็งอยู่ที่จังหวัดเสียเป็นอันมาก ส่วนเหตุผลที่ว่าเหมาะสำหรับสังคมที่ประชาชนยังมีสำนึกในการปกครองตนเองต่ำนั้น สำหรับไทยเราเมื่อก่อนอาจจะใช่แต่เดี๋ยวนี้ในพ่อค้าแม่ค้าในตลาดเขาไม่คุยกันเรื่องละครน้ำเน่ากันแล้วล่ะครับ เดี๋ยวนี้เขาคุยกันในเรื่องการเมืองกันอย่างออกรสชาติ ไม่เชื่อลองเข้าไปคุยกับแม่ค้าในตลาดดูสิครับ เผลอๆได้ข้อมูลเชิงลึกที่ไม่ปรากฏตามสื่อกระแสหลักเสียด้วยซ้ำไป สำหรับข้อกังวลที่ว่าเดี๋ยวก็ได้นักเลงมาครองเมืองหรอกนั้นมันจะแตกต่างจากปัจจุบันตรงไหนเพราะการแต่งตั้งก็มาจากนักเลงกันเสียเกือบทั้งนั้น แต่ข้อแตกต่างคือเราสามารถดุด่าว่ากล่าวผู้ที่เราเลือกตั้งเข้าไปได้ ถึงเทอมก็ต้องไปเพราะมีการดำรงตำแหน่งเป็นวาระ และผมก็ไม่เห็นว่าผู้ว่า กทม.คนไหนเป็นนักเลงสักคน มีแต่อดีตรัฐมนตรีหรือนักการเมืองระดับชาติทั้งนั้นที่มาลงสนาม ในเรื่องของการซื้อเสียงขายเสียงนั้นก็คงไม่แตกต่างกับระดับชาติเท่าใดนัก แต่ข้อแตกต่างของการซื้อเสียงในระดับท้องถิ่นนั้นไม่ได้หมายความว่าคนจ่ายมากจะได้รับการเลือกตั้งเสมอไป เพราะในเขตเลือกตั้งท้องถิ่นนั้นเราเห็นๆกันอยู่ว่าใครเป็นอย่างไร ลูกเต้าเหล่าใคร พ่อแม่มันมีความประพฤติอย่างไร ฯลฯ ถึงเวลาแล้วล่ะครับที่เราจะต้องปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินเสียใหม่ให้เหมือนดั่งนานาอารยประเทศทั้งหลาย อย่ามัวแต่ท่องคาถาว่า “เรายังไม่พร้อมๆ”เลย เพราะที่ว่า ”ไม่พร้อมๆ”นั้นใครไม่พร้อมกันแน่ แต่ที่แน่ๆประชาชนนั้นพร้อมแล้ว ไม่เชื่อลองสำรวจประชามติกันไหมล่ะครับ
หมายเหตุ เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ 23 กุมภาพันธ์ 2554
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
หนุ่มใหญ่ถูกยิงดับเหตุกินป๊อบคอร์นเสียงดังในโรงหนัง Posted: 23 Feb 2011 01:47 AM PST เว็บไซต์ เทเลกราฟ รายงานว่าชายคนหนึ่ง ถูกยิงจนถึงแก่ความตายขณะที่กำลังกินป๊อบคอร์นด้วยเสียงอันดังระหว่างชมการภาพยนตร์เรื่อง “แบล็ก สวอน” เหตุเกิดที่ประเทศลัตเวีย เหตุเกิดขึ้นเมื่อวันเย็นวันเสาร์ที่ผ่านมาในโรงหนังใจกลางกรุงริกา ประเทศลัตเวีย ในช่วงเวลาที่ภาพยนตร์กำลังขึ้นไตเติ้ลเครดิตท้ายภาพยนต์เรื่อง แบล็ก สวอน เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการจับกุมชายวัย 27 ปี ซึ่งต้องสงสัยว่าเป็นผู้ก่อเหตุยิงชายวัย 42 ปี พยานรายหนึ่งกล่าวว่าเหตุเกิดขึ้นเพราะชายวัย 42 เคี้ยวป๊อปคอร์นเสียงอันดัง แบล็ก สวอน เป็นภาพยนตร์ระทึกเชิงจิตวิทยาเกี่ยวกับนักแสดงบัลเลต์ที่ต้องพบกับด้านมืดของตัวเองด้วยความกดดันจากการแสดงและคู่ต่อสู้ นำแสดงโดย นาตาลี พอร์ตแมน โดยภาพยนตร์ดังกล่าวได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ ซึ่งจะมีการประกาศรางวัลในวันที่ 27 ก.พ. ที่จะถึงนี้ สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
หนุ่มใหญ่ถูกยิงดับเหตุกินป๊อบคอร์นเสียงดังในโรงหนัง Posted: 23 Feb 2011 01:46 AM PST เว็บไซต์ เทเลกราฟ รายงานว่าชายคนหนึ่ง ถูกยิงจนถึงแก่ความตายขณะที่กำลังกินป๊อบคอร์นด้วยเสียงอันดังระหว่างชมการภาพยนตร์เรื่อง “แบล็ก สวอน” เหตุเกิดที่ประเทศลัตเวีย เหตุเกิดขึ้นเมื่อวันเย็นวันเสาร์ที่ผ่านมาในโรงหนังใจกลางกรุงริกา ประเทศลัตเวีย ในช่วงเวลาที่ภาพยนตร์กำลังขึ้นไตเติ้ลเครดิตท้ายภาพยนต์เรื่อง แบล็ก สวอน เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการจับกุมชายวัย 27 ปี ซึ่งต้องสงสัยว่าเป็นผู้ก่อเหตุยิงชายวัย 42 ปี พยานรายหนึ่งกล่าวว่าเหตุเกิดขึ้นเพราะชายวัย 42 เคี้ยวป๊อปคอร์นเสียงอันดัง แบล็ก สวอน เป็นภาพยนตร์ระทึกเชิงจิตวิทยาเกี่ยวกับนักแสดงบัลเลต์ที่ต้องพบกับด้านมืดของตัวเองด้วยความกดดันจากการแสดงและคู่ต่อสู้ นำแสดงโดย นาตาลี พอร์ตแมน โดยภาพยนตร์ดังกล่าวได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ ซึ่งจะมีการประกาศรางวัลในวันที่ 27 ก.พ. ที่จะถึงนี้ สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |
"สมศักดิ์" แนะรัฐบาลเอาที่พิพาท 4.6 ตร.กม. มาแจกประชาชนเป็นที่ทำกิน Posted: 22 Feb 2011 05:34 PM PST "สมศักดิ์ โกศัยสุข" ชี้ผู้นำจีน ญี่ปุ่น เกาหลีไม่พูดภาษาอังกฤษเพราะต้องการสร้างแนวคิดชาตินิยม วอน ปชช. อย่าคลั่งไคล้รูปลักษณ์ เอาคนเหมาะสมเข้าไปบริหารประเทศ ลั่นถ้าเลือกตั้งครั้งหน้าถ้าพี่น้องยอมไม่รับเงิน จะได้สิ่งที่ดีขึ้น ชี้ ส.ส. เหมือนลิงปีนมะพร้าว ถ้าไม่ดีต้องกระตุกโซ่ให้ลงมา เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ รายงานเมื่อคืนวานนี้ (22 ก.พ. 54) ว่า บนเวทีปราศรัยการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ นายสมศักดิ์ โกศัยสุข หัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ กล่าวว่า ปาล์มส่วนใหญ่ของประเทศไทยปลูกที่ภาคใต้ เมื่อ พ.ศ.2552 พื้นที่ปลูกปาล์มของไทยมี 2 ล้าน 7แสนไร่ ปัจจุบันมีพื้นที่ 3 ล้าน 2 แสนไร่ แสดงว่ามีการปลูกเพิ่มขึ้น ผลผลิตปี 52 ได้ 8 ล้านตัน ต่อมาปี 53 ผลิตได้ 9 ล้านกว่าตัน ประชาชนคนไทยทั้งประเทศมี 65 ล้านคน เฉลี่ยกินได้อย่างเหลือเฟือคนละ 140 กิโลกรัม อย่างไรก็ดี วันนี้รัฐบาลแก้ปัญหาแบบลูบหน้าปะจมูก เอาเงินภาษีประชาชนไปควบคุมราคา ซึ่งที่จริงน่าจะเอาเงินตรงนี้ไปให้คนปลูกปาล์มมากกว่า เพราะถูกเอาเปรียบ ประชาชนตัดปาล์มจากสวนขาย 5-7 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อเอามาทำน้ำมันขายได้กิโลละ 47 ถ้าจะให้ยุติธรรม ประชาชนตัดปาล์มมาขายต้องได้ กิโลละ 17 บาท การแก้ปัญหาของรัฐบาลสุดท้ายพี่น้องจะจนเหมือนเดิม หัดสงสารตัวเองบ้าง อย่าปล่อยให้คนพวกนี้หลอกอีกต่อไปเลย “รัฐบาลชุดนี้บริหารประเทศมีแต่วิกฤติ จนกรุงเทพออกโพลเผย คะแนนเต็ม 10 ได้ 1.91 ปัญหายาเสพติดเพิ่ม วันนี้ชาวนาก็เดินปิดถนนอยู่ วันก่อนเกษตรกรภาคกลางก็มาเรียกร้องเรื่องหนี้สิน สมัชชาคนจนก็เรียกร้องที่ลานพระบรมรูปทรงม้า คนตกงานกว่า 3,000 คน ชุมนุมอยู่ที่หน้ากระทรวงแรงงาน” นายสมศักดิ์ กล่าวถึงคำพูดนายชวน หลีกภัย ที่พูดว่า น้ำมันปาล์มแพง ก็ให้กินอาหารประเภท ต้ม นึ่ง ตนก็พูดได้นอกจากต้ม นึ่ง แล้วยังมี ปิ้ง ย่าง หมก เผา ทั้งนี้หากเป็นชาวบ้านพูดก็พอเข้าใจได้ แต่นี่พูดในฐานะรัฐบาลก็ฟังกันลำบาก ปัญหาน้ำมันปาล์มมีขบวนการชัดเจนต้องการทำให้ขึ้นราคา พอมีปัญหาก็ทำขึงขังโวยวายต้องตรวจสอบ ทั้งที่ตัวเองนั่นแหละคือปัญหา คนที่พูดจะตรวจสอบนั่นแหละทำให้น้ำมันปาล์มแพง วันนี้ของทุกอย่างขึ้นราคา พอพูดว่า ข้าว พืชผลขึ้นราคา หลายคนคงคิดว่าเกตรกรรวยอีกแล้ว แต่จริงๆแล้วเกษตรกรไม่ได้รับผลประโยชน์ ยิ่งทำยิ่งเป็นหนี้ กลไกรัฐบาลไม่ได้มีการตรวจสอบ สวมตอกันไปสวมตอกันมา อย่างกรณีเอ็มโอยู 43 พรรคประชาธิปัตย์ไปทำไว้ ยุคทักษิณ ก็มาสวมตอ กลับมายุคประชาธิปัตย์อีกก็เดินหน้า โดยมีเป้าหมายคือผลประโยชน์เฉพาะตัวนักการเมือง ดังนั้น ความทุกข์ยากจึงเกิดอย่างรุนแรง ของทุกอย่างแพงเกินกว่าเหตุ การแก้ไขโดยเอาเงินภาษีเข้าไปหนุนเป็นการแก้แบบหมาหางด้วน เรามีหลักการแก้ปัญหาเรื่องง่ายๆ ใช้หลักเศรษกิจพอเพียง แต่พวกนี้ไม่เคยเอาไปใช้ ทั้งนี้น้ำมันปาล์มตลาดโลก กิโลละ 37 บาท บ้านเรากิโลละ 50 ซื้อจริง 70 บาท ทั้งที่ไทยเป็นประเทศที่ปลูกปาล์มมากที่สุดในแถบนี้ ไทยของแพงอันดับ 2 ของเอาเซียตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนประเทศที่แพงที่สุดคือ สิงคโปร แต่สิงคโปร มีรายได้สูงกว่าประเทศไทยต่อหัว 10 เท่า ล้มเหลวอย่างนี้แล้วยังอวดดีทำเก่ง ดีแต่พวกลิเกหลงโรง ควรไปเล่นที่โรงลิเก คนที่มีความรู้ไม่ใช่แค่พูดภาษาอังกฤษเก่ง คนบ้าประเทศอังกฤษก็พูดภาษาอังกฤษได้แถมบางทีอาจเก่งกว่าด้วย ผู้นำประเทศ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี เขาไม่เคยพูดอังกฤษ เพราะเขาต้องการสร้างชาตินิยม นอกจากนี้ยังชักชวนให้ชาวโลกพูดภาษาเขาด้วย นายสมศักดิ์ กล่าวว่าไม่ว่ายุคไหนในอดีตที่ผ่านไทยไม่เคยเสียเปรียบเขมร จนกระทั่งมาถึงยุคอภิสิทธิ์แพ้เขมรทุกเรื่อง บอกจะเจรจาทวิภาคี ไม่ทันเกมเขมร ฮุนเซน ไปแจ้งยูเอ็น ซึ่งยูเอ็นก็บอกตกลงให้ อินโดนีเซีย ไปเป็นพี่เลี้ยง ทำอย่านี้มันก็สามฝ่ายเข้ามาแล้ว ไม่ใช่ทวิภาคี ส่วนสัญญาจะให้หยุดยิงถาวร เมื่อเขมรยึดพื้นที่เราอยู่ตกลงใช้กำลังผลักไปไม่ได้ก็ให้เขมรมันอยู่ต่อไป เรื่อยๆ รัฐบาลบอกว่าจะจัดที่ทำกินให้คนไทย หากเอาที่ชายตลอดแนวชายแดน 4.6 ตารางกิโลเมตร มาแจกจ่ายให้ประชาชนจะทำให้คนอีกจำนวนมากมีที่ทำกิน “พี่น้อง อย่าหลงไหล คลั่งไคล้ในรูปลักษณ์ ขอให้เอาคนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเข้าไปบริหารประเทศ คือ ไม่โกง ซื่อสัตย์ เสียสละ ทำเพื่อส่วนรวม ปฏิบัติตามคำที่ถวายสัตย์ เลือกตั้งครั้งหน้า พี่น้องยอมไม่รับเงินสักครั้ง แล้วจะได้สิ่งที่ดีขึ้น ส.ส.ที่เราเลือกเข้าไป คนพวกนี้เหมือนลิงปีนต้นมะพร้าว ซึ่งเราต้องมีเชือกคล้องคอมันแล้วถือเชือกไว้ตลอดเวลา ถ้าลิงมันไม่ดีก็ต้องกระตุกคอให้มันลงมาแล้วเปลี่ยนลิง อย่าปล่อยให้มันปริดลูกอ่อน เยี่ยวใส่หัวเจ้าของ” นายสมศักดิ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า เราพร้อมเป็นคนส่วนน้อยถ้าโพลมันถูก แต่เราพร้อมที่จะตายอย่างขุนเขา ดีกว่าอยู่แบบขอทาน โกงกินผลประโยชน์ อยู่แบบเหยีบให้หญ้าตายไม่เป็นประโยชน์กับบ้านเมือง ตายไปก็ไม่มีทางได้ขึ้นสวรรค์ และอยู่ในชาตินี้แหละจะตกนรกหมกไหม้เพราะจิตใจไม่บริสุทธิ์ เรากำลังต่อสู้กับอำนาจรัฐที่ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ประชาชน เราสู้เพื่อไห้เกิดการเปลี่ยนแปลง ให้ได้คนมีคุณธรรมมาบริหารบ้านเมือง ในสถานการเช่นนี้พี่น้องต้องเดินหน้าต่อสู้ คุมสถานการณ์ให้ได้ เหมือนช่วง 193 วัน อย่าใจร้อน ขอให้มุ่งมั่นทำเพื่อประโยชน์ประเทศชาติ แล้วจะได้สังคมที่ดีในวันหน้า สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
You are subscribed to email updates from ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์ To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น