ประชาไท | Prachatai3.info |
- สุรพศ ทวีศักดิ์: พระเกษมกับปัญหาระบบการปกครองสงฆ์
- เสื้อแดงชุมนุมค้านนายทหารเอี่ยวสลายชุมนุมได้เลื่อนขั้น
- สมาคมไทยมุสลิม-พุทธ-จีนเดินหน้าทำแผนกิจกรรมเน้นไม่ขัดทุกศาสนา
- ถกชะตากรรมประชาชน(ธรรมดา) ภายใต้กฎหมายพิเศษ
- ผู้นำจีนวางกระเช้าที่อนุสาวรีย์วีรชนเนื่องในวันก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน
- คำประกาศ "112 ในมิติทางวัฒนธรรม"
- นิวเคลียร์: สิ่งที่ปีศาจใช้หลอกลวงประชาชน
- เปรมศักดิ์ เพียยุระ: ปลดแอกผู้ป่วยประกันสังคม 10 ล้านคนดีกว่าหากยังชุ่ยกว่าบัตรทอง
- กลุ่มสนับสนุนรัฐบาลซีเรียจู่โจมทูตสหรัฐฯ
- มาเลเซียประเดิมเลิกกฎหมายมั่นคง 2 ฉบับ-แต่เลื่อนแก้ไอเอสเอไปปีหน้า
- "สุเทพ" ชี้การตรวจสอบ 165 ศพที่ระยองเป็นเรื่องดิสเครดิต
- “มิตร ใจอินทร์” ประกาศรณรงค์เลิก ม.112 ในมิติวัฒนธรรม
สุรพศ ทวีศักดิ์: พระเกษมกับปัญหาระบบการปกครองสงฆ์ Posted: 01 Oct 2011 10:27 AM PDT ในบทความชื่อ “เมื่อพระอ้างพระไตรปิฎก ผู้หญิงไม่ควรเป็นผู้นำประเทศ” ผมวิจารณ์การอ้างพระไตรปิฎกแบบพระเกษมว่า ไม่จำแนกแยกแยะข้อความในพระไตรปิฎกว่าส่วนไหนคือข้อความที่พูดถึงหลักการทั่วไปที่ใช้ได้กับทุกยุคสมัย ส่วนไหนที่เป็นข้อความที่พูดถึงหรือ “พูดถูก” ตามค่านิยมของบริบททางสังคมวัฒนธรรมสมัยพุทธกาล แล้วไปหยิบเอาข้อความที่ถูกตามค่านิยมในบริบททางสังคมวัฒนธรรมสมัยพุทธกาลมาเป็นมาตรฐานตัดสินถูก-ผิดในปัจจุบันนั้น เป็นการอ้างพระไตรปิฎกแบบอีเดียต (หมายถึงมั่ว ไม่รู้จักคิด) ต่อมาผมได้ดูคลิปอธิบายตัวเองของพระเกษม สรุปได้ 2 ประเด็นหลักๆ คือ 1) ประเด็นอ้างพระไตรปิฎกว่าผู้หญิงไม่ควรเป็นผู้นำประเทศ พระเกษมอธิบายว่ามีคนมาถามจึงนำข้อความในพระไตรปิฎกมาแสดงให้ดู ไม่ได้ประสงค์จะคัดค้านโดยตรงเรื่องที่บ้านเรามีผู้หญิงเป็นนายกฯ แต่พระเกษมยังยืนยันว่า การที่ผู้หญิงเป็นผู้นำนั้นถือว่าไม่ถูกตาม “พระธรรมวินัย” (พระเกษมใช้คำนี้ คงหมายถึงข้อความในพระไตรปิฎกที่อ้าง) พร้อมกับติงว่า ในพรรคเพื่อไทยนั้นมีผู้ชายตั้งมากมาย ทำไมจึงดันผู้หญิงขึ้นมาเป็นผู้นำ แสดงให้เห็นว่าพระเกษมเชื่อว่าทุกข้อความในพระไตรปิฎกคือสัจธรรมที่ใช้ได้กับทุกยุคสมัย ที่พระเกษมเชื่อเช่นนั้น เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เนื่องจากพระเกษมเป็นพระป่าลูกศิษย์หลวงปู่หล้า การศึกษาพุทธศาสนาของท่านจึงเป็นการศึกษาตามจารีตของพระป่าคือ ศึกษาจากคำสอนของครูบาอาจารย์ และปฏิบัติตามรูปแบบของครูที่ประยุกต์มาจากคัมภีร์ ส่วนการศึกษาพระไตรปิฎกน่าจะเป็นความสนใจส่วนตัวของพระเกษม และคงเป็นการศึกษาด้วยตนเองเพื่อถอดความหมายมาสู่การปฏิบัติ การศึกษาแบบนี้เน้นความศรัทธาในพระไตรปิฎกเป็นหลัก เพื่อให้เกิดความมั่นใจในการปฏิบัติธรรมว่า ถูกต้องตามที่พระพุทธเจ้าสอน (ต่างจากการศึกษาพระไตรปิฎกอย่างเป็นวิชาการที่ต้องเรียนรู้หลักการตีความ การวิเคราะห์ วิจารณ์ไปด้วย) ฉะนั้น โดยวิธีการศึกษาพระไตรปิฎกดังกล่าว จึงทำให้พระเกษมเชื่อว่าทุกข้อความในพระไตรปิฎกคือสัจธรรมที่เป็น “อกาลิโก” และทำให้พูดออกมาว่า ผู้หญิงไม่ควรเป็นผู้นำเพราะไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย (ข้อความที่ปรากฏในพระไตรปิฎก) ข้อบกพร่องในการอ้างพระไตรปิฎก “แบบพระเกษม” (ไม่ใช่พระเกษมรูปเดียวที่อ้างแบบนี้) ที่ขาดความเข้าใจบริบทของข้อความในพระไตรปิฎก และบริบทสังคมปัจจุบัน เป็นการสะท้อนปัญหาของ “วิธีวิทยา” (methodology) ในการศึกษาพระไตรปิฎก ที่สังคมสงฆ์ หรือระบบการศึกษาของสงฆ์น่าจะใช้เป็นกรณีศึกษาเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาทำนองนี้อีก 2) ประเด็นพฤติกรรมไม่เหมาะสม พระเกษมอธิบายว่าเป็นเจตนาของตนที่ต้องการแสดงออกเช่นนั้นเพื่อมุ่งประโยชน์คือ “การเปิดศาสนา” (คำของพระเกษม) หมายถึง ต้องการแสดงพฤติกรรมเช่นนั้นเพื่อกระตุกให้คนหันมาสนใจ แล้วจะได้อธิบายออกไปว่าคำสอนที่ถูกต้องในพระไตรปิฎกคืออะไร ที่พระสงฆ์ปฏิบัติกันอยู่ เช่น สร้างวัตถุมงคลหาเงิน บูชารูปเคารพ สะสมเงินทอง มีบัญชีเงินฝากส่วนตัว มีรถยนต์ส่วนตัวราคาแพงๆ ฯลฯ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับพระธรรมวินัยในพระไตรปิฎกทั้งสิ้น เราอาจเข้าใจได้ว่า เจตนาของพระเกษมเป็นสิ่งที่ดี แต่วิธีการของท่าน (เช่นถีบเก้าอี้ ฯลฯ) ขัดแย้งกับความรู้สึกของชาวพุทธ และขัดแย้งกับพระไตรปิฎกที่ท่านอ้างเสียเอง คือในวินัยปิฎกจะมีเนื้อหาส่วนที่บัญญัติเกี่ยวกับ “อาจาระ” (ความประพฤติ/มารยาท) ที่ถือเป็น “สมณสารูป” (ความประพฤติ/มารยาทอันสมควรกับความเป็นผู้สงบ) อย่างที่เรียกว่า การสำรวมกาย วาจา การแสดงออกของพระเกษมจึงขัดกับเนื้อหาส่วนนี้ ส่วนเรื่องตบหน้าพระพุทธรูป เผาพระพุทธรูป ฝังวัตถุมงคล ก็อาจขัดกับความรู้สึกของชาวพุทธทั่วๆ ไป แต่ไม่ขัดวินัยสงฆ์โดยตรง เพราะวินัยสงฆ์ไม่ได้มีข้อห้ามเรื่องนี้ เนื่องจากสมัยพุทธกาลยังไม่มีสิ่งดังกล่าว ว่าที่จริงวิธีกระตุกให้คนสนใจธรรมะโดยการเผาพระพุทธรูปคงไม่ใช่พระเกษมทำเป็นคนแรก พระภิกษุในพุทธศาสนานิกายเซ็นก็เคยทำแบบนี้ ถ้าฟังจากคำอธิบายของพระเกษมเองก็ดูเหมือนว่าท่านจะทำแบบพระเซ็น แต่ก็นั่นแหละครับ การแสดงธรรมแบบพระเซ็น ก็เป็นการแสดงธรรมภายใต้ “วัฒนธรรมแบบเซ็น” ที่สังคมเขามองว่าเป็น “ศิลปะ” ของการแสดงธรรมอีกแบบหนึ่ง แต่การแสดง “ธรรมะถีบเก้าอี้” ภายใต้วัฒนธรรมเถรวาท มันยากที่จะให้คนมองว่าเป็นศิลปะ (จะว่าไป บน “แผ่นดินธรรม” อย่างบ้านเราก็มีธรรมะหลายเวอร์ชั่นอยู่ เช่น ธรรมะฆ่าเวลา ธรรมะโฆษณา ธรรมะสวัสดี ธรรมะถีบเก้าอี้ ธรรมะปี้แก้กรรม ฯลฯ) จะอย่างไรก็ตาม ความผิดเรื่องพฤติกรรมไม่เหมาะสมของพระเกษม เป็นเรื่องที่ต้องจัดการตามวินัยสงฆ์เท่านั้น (ยกเว้นการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่ป่าสงวนโดยไม่ได้รับอนุญาต ถ้าผิดกฎหมายก็ต้องดำเนินการทางกฎหมาย แต่ต้องแยกเป็นคนละเรื่องกับพฤติกรรมไม่สำรวม) ผมจึงแปลกใจที่มีกลุ่มบุคคลไปแจ้งความเอาผิดทางกฎหมายเรื่องพฤติกรรมไม่สำรวม โดยอ้างว่าเป็นการทำลายพุทธศาสนา แถมมีคำสั่งจากเจ้าคณะจังหวัดเพชรบูรณ์ให้พระเกษมสึก มีมติจากคณะสงฆ์จังหวัดเพชรบูรณ์ให้ขับพระเกษมออกนอกพื้นที่ โดยการออกคำสั่งและลงมตินั้นไม่ได้เปิดโอกาสให้พระเกษมไปชี้แจงใดๆ การให้สึกนั้นถือเป็นการลงโทษสูงสุดของพระ (เป็นโทษประหารจากชีวิตความเป็นพระเทียบเท่ากับโทษประหารชีวิตในทางโลก) ในรูปแบบวิธีการดำเนินการทางวินัยสงฆ์นั้น การจะลงโทษเช่นนี้ต้องมีโจทย์ จำเลย มีกระบวนการไต่สวนข้อเท็จจริงจนสรุปได้แน่ชัดว่าผิดวินัยสงฆ์ข้อไหน อย่างไร จึงจะตัดสินลงโทษได้ (เหมือนกับในทางกฎหมายการที่ศาลจะตัดสินประหารชีวิตใครจะต้องนำเขาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมที่ถูกต้องทุกขั้นตอนก่อน) ฉะนั้น การมีคำสั่งให้สึก หรือขับไล่พระเกษมออกนอกพื้นที่ โดยไม่เปิดโอกาสให้เจ้าตัวไปชี้แจงก่อน จึงสะท้อน “ความไร้มาตรฐาน” ของระบบปกครองสงฆ์ที่น่ากังวลยิ่งกว่าพฤติกรรมไม่สำรวมของพระเกษมเสียอีก ที่น่ากังวล เพราะว่าความไร้มาตรฐานเช่นนี้จะทำให้พระสงฆ์ปกครองกันเองไม่ได้ เพราะไม่ใช่พระเกษมเท่านั้นที่จะไม่ปฏิบัติตามคำสั่งและมติข้างต้น พระรูปอื่นๆ ที่ถูกดำเนินการเช่นนี้ก็อาจดื้อแพ่งได้ เพราะวิธีที่ไร้มาตรฐานเช่นนั้นอธิบายไม่ได้ว่า ชอบธรรมหรือยุติธรรมอย่างไร ทำไมจึงควรเคารพ หรือต้องปฏิบัติตาม ผมไม่ได้เห็นดีเห็นงานกับวิธีแสดง “ธรรมะถีบเก้าอี้” ของพระเกษมนะครับ แต่เห็นว่าไม่ยุติธรรมต่อพระเกษม (หรือพระรูปไหนก็ตามที่ทำแบบเดียวกันนี้) ที่จะเอาผิดทางกฎหมาย ให้สึก หรือขับออกจากพื้นที่ องค์กรปกครองสงฆ์ และชาวพุทธที่ออกมาเอาผิดเรื่องนี้ ควรกล้าเผชิญกับคำถามท้าทายของพระเกษม และให้ท่านได้ไปชี้แจงตามกระบวนการทางวินัยสงฆ์ก่อนจะตัดสินลงโทษใดๆ ทั้งนี้เพื่อรักษา “มาตรฐานการดำเนินการความยุติธรรมทางวินัยสงฆ์” เอาไว้เป็นหลักให้สังคมสงฆ์สามารถปกครองกันเองได้อย่างเข้มแข็ง เป็นที่น่าเชื่อถือของสังคมต่อไป พฤติกรรมที่ผิดวินัยสงฆ์ คณะสงฆ์ต้องเชื่อมั่นว่าสามารถจัดการตามกรรมวิธีทางวินัยสงฆ์ได้ ไม่จำเป็นต้องใช้กฎหมายหรืออำนาจรัฐมาเป็นเครื่องมือ (ยกเว้นเรื่องที่พระทำผิดกฎหมายก็ต้องว่ากันตามนั้น) ไปๆ มาๆ ปรากฏการณ์ “ธรรมะถีบเก้าอี้” เลยทำให้สังคมได้เห็นว่า ปัญหาที่น่ากังวลกว่าพฤติกรรมไม่สำรวมของพระเกษม คือปัญหา “ความไร้มาตรฐาน” ของระบบการปกครองสงฆ์นั่นเอง!
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
เสื้อแดงชุมนุมค้านนายทหารเอี่ยวสลายชุมนุมได้เลื่อนขั้น Posted: 01 Oct 2011 10:14 AM PDT คนเสื้อแดงกลุ่มย่อยเปิดเวที "เสรีราษฎร" ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เพื่อคัดค้านกรณีนายทหารที่เกี่ยวข้องกับเหตุสลายชุมนุมเมษา-พฤษภา 53 ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง
(ที่มาของภาพ: Bus Tewarit) เมื่อช่วงหัวค่ำวานนี้ (1 ต.ค.) ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย คนเสื้อแดงกลุ่มย่อยจัดเวที "เสรีราษฎร" เพื่อปราศรัยเพื่อคัดค้านกรณีที่มีนายทหารที่เกี่ยวข้องกับการสลายการชุมนุมปี 2553 ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง โดยมีคนเสื้อแดงประมาณหนึ่งพันคนร่วมชุมนุม โดยนางพะเยาว์ อัคฮาด มารดาของ น.ส.กมนเกด อัคฮาด ผู้ช่วยพยาบาลที่ถูกยิงเสียชีวิตในวัดปทุมวนาราม ได้ขึ้นปราศรัยด้วย สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
สมาคมไทยมุสลิม-พุทธ-จีนเดินหน้าทำแผนกิจกรรมเน้นไม่ขัดทุกศาสนา Posted: 01 Oct 2011 07:09 AM PDT ประชุมก่อตั้งสมาคมไทยมุสลิม พุทธ จีนจังหวัดปัตตานี หวังทำกิจกรรมร่วมกันได้ โดยไม่ขัดกับหลักการศาสนาของแต่ละฝ่าย เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 1 ตุลาคม 2554 ที่ห้องประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดปัตตานี มีการประชุมก่อตั้งสมาคมไทยมุสลิม พุทธ จีนจังหวัดปัตตานี มีตัวแทนภาคต่างๆ เข้าร่วมประมาณ 30 คน โดยมีนายเศรษฐ อัลยุฟรี นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปัตตานี เป็นประธานในที่ประชุม ที่ประชุมมีการหารือในเรื่องการจัดทำแผนปฏิบัติงานของสมาคม ซึ่งที่ประชุมมีมติในการจัดตั้งคณะอนุกรรมการจำนวน 9 คน ประกอบด้วยตัวแทนฝ่ายมุสลิม พุทธ และจีน ฝ่ายละ 3 คน ไปกำหนดแผนการปฏิบัติงานร่วมกัน แล้นำมาเสนอในที่ประชุมคณะกรรมการสมาคมไทยมุสลิม พุทธ จีนจังหวัดปัตตานี ครั้งต่อไปในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2554 นอกจากนี้ยังมอบหมายให้กรรมการแต่ละฝ่ายไปขยายเครือข่ายในกลุ่มของตัวเองเพื่อนำเชื่อมต่อกับสมาคมไทยมุสลิม พุทธ จีนจังหวัดปัตตานีต่อไป ขณะเดียวกันที่ประชุมยังได้รวบรวมเอกสารประวัติส่วนตัวของกรรมการสมาคมทั้ง 21 คนด้วย เพื่อประกอบการยื่นขอจดทะเบียนจัดตั้งสมาคมไทยมุสลิม พุทธ จีนจังหวัดปัตตานี หลังจากที่ได้ยื่นเอกสารขอจัดตั้งสมาคมต่อผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานีไปแล้วก่อนหน้านี้ เนื่องจากได้รับแจ้งว่า ต้องส่งประวัติของผู้ที่เป็นกรรมการสมาคมประกอบการขอจัดตั้งสมาคมด้วย ส่วนวาระอื่นๆ ได้แก่การหารือเรื่องการจัดทำแผนประชาสัมพันธ์และการออกแบป้ายสมาคมไทยมุสลิม พุทธ จีนจังหวัดปัตตานี นายเศรษฐ เปิดเผยว่า หลังจากยื่นเอกสารประวัติของคณะกรรมการแล้ว คาดว่าจะสามารถจดทะเบียนจัดตั้งสมาคมไทยมุสลิม พุทธ จีนจังหวัดปัตตานี ได้ภายใน 1 เดือน สำหรับกิจกรรมของสมาคมจะเน้นกิจกรรมการที่สามารถทำรวมกันได้ โดยไม่ขัดกับหลักการศาสนาของแต่ละฝ่าย หรือเป็นกิจกรรมที่ไม่สร้างเงื่อนไขที่ไปก่อปัญหาให้ฝ่ายอื่น
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
ถกชะตากรรมประชาชน(ธรรมดา) ภายใต้กฎหมายพิเศษ Posted: 01 Oct 2011 06:59 AM PDT ชะตากรรมประชาชนภายใต้กฎหมายพิเศษน่าเป็นห่วง การเมืองนำการทหารล้มเหลว เมื่อประชาชนมอบชีวิตให้ทหารดูแล แต่ทหารชั้นผู้น้อยเข้าใจยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาไม่ตรงกับผู้บังคับบัญชา กฎหมายพิเศษแม้จำเป็นต่อการสร้างความมั่นคงของรัฐ แต่ล้มเหลวในการอำนวยความเป็นธรรมและสร้างความมั่นคงแก่ประชาชน ทั้งยังเอื้อต่อการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างรุนแรง แม้ว่ารัฐบาล “ปู 1” แถลงผลงานรัฐบาลครบรอบ 1 เดือนว่า รัฐจะเร่งสร้างสันติสุขสู่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยนายกรัฐมนตรีมอบหมายให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.)ยกร่างโครงสร้างการทำงานใหม่ โดยใช้ชื่อว่าศูนย์บูรณาการแก้ไขปัญหาและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศบ.กช.) แต่ทว่าการปฏิบัติงานของรัฐไทยยังคงเดิม เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถคุ้มครองความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ความรุนแรงและการสูญเสียยังคงเกิดขึ้นทุกวี่วัน แม้มีกฎหมายพิเศษที่ให้อำนาจและสิทธิอย่างเบ็ดเสร็จแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยเฉพาะหน่วยงานด้านความมั่นคงอย่างมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นสิทธิพิเศษในการตรวจล้อม จับกุม คุมขัง สอบสวนและตรวจหาพยานหลักฐานนอกเหนือที่กฎหมายปกติให้ไว้ ก็ตามที ตลอดระยะ 7 ปีที่ผ่านมา รัฐไทยมีมาตรการทางการทหารที่เข้มข้นโดดเด่น (ปิดล้อม ตรวจค้น จับกุม คุมขัง ฯลฯ) แต่เหตุการณ์ความรุนแรงยังคงดำรงอยู่อย่างต่อเนื่อง ยังคงรักษา “คุณภาพ” ของความรุนแรงและการก่อเหตุสะเทือนขวัญสังคมนานับประการ เช่น การยิงชุดคุ้มครองครู การตัดคอ ลอบสังหารเจ้าหน้าที่ ฆ่าพยาบาลสามพัน คาร์บอม Third bomb ฯลฯ ประหนึ่งว่า การอัดกำลังทหารลงพื้นที่ดูจะไร้ผล เช่นเดียวการคงไว้ซึ่งกฎหมายพิเศษ ที่ไม่สามารถประกันความปลอดภัยในพื้นที่ฯ ได้เช่นกัน แม้กระแสสังคมช่วงที่ผ่านมา จะร้องขอให้รัฐบายกเลิกการบังคับใช้กฎหมายพิเศษ และใช้กฎหมายปกติ (ประมวลกฎหมายอาญา) เฉกเช่นเดียวกับประชาชนในภาคอื่นๆ ของประเทศ เพื่อให้เกิดความเสมอภาคและลดอคติที่ว่า รัฐไทยเลือกปฏิบัติเพียงความแตกต่างทางชาติพันธ์ เพราะท้ายที่สุด ผู้ต้องสงสัยตามกฎหมายพิเศษก็ต้องเปลี่ยนสถานะเป็นผู้ต้องหาตามกฎหมายปกติ และกระบวนการพิจารณาคดีก็ต้องเป็นไปตามกฎหมายปกติ เช่นกัน แต่กลับไม่มีเสียงตอบรับจากรัฐไทยอยู่ดี เพราะรัฐเชื่อมั่นมาโดยตลอดว่า ตนเดินมาถูกทางแล้ว ซึ่งสวนทางกับความเห็นของประชาชน (บางส่วน) ที่มองว่า “ชีวิตของตนเองยังเอาไม่รอด แล้วยังจะอาสาแบกชะตากรรมของประชาชนได้อย่างไร กฎหมายพิเศษไม่สามารถคุ้มครองความปลอดภัยและความผาสุกของเราได้ ตรงกันข้าม มันสร้างรอยแผลให้คนบริสุทธิ์.... เพราะที่ผ่านมาสะท้อนให้เราเห็นว่า ใครก็ตาม ที่เคลื่อนไหวหรือทำกิจกรรมทางสังคมเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม คนนั้นมักจะโดนหมายเรียก..... ถูกเชิญตัวไปสอบสวนเพราะหวาดระแวงว่า น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างสถานการณ์ เพียงเพราะคนนั้น ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนในพื้นที่สีแดง พื้นที่ที่เจ้าหน้าที่รัฐอ้างว่า เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์แห่งสงครามสู้รบระหว่างรัฐไทยและขบวนการต่อสู้เพื่ออิสรภาพแห่งปาตานีหรือที่รู้จักกันในกลุ่ม BRN.............” นั่นคือเสียงหนึ่งจากการพูดคุยในวง INSouth Public ภายใต้กิจกรรมโรงเรียนประชาธิปไตยจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อ 30 ก.ย. ที่ผ่านมา สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
ผู้นำจีนวางกระเช้าที่อนุสาวรีย์วีรชนเนื่องในวันก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน Posted: 01 Oct 2011 06:04 AM PDT ผู้นำจีนกล่าวสุนทรพจน์เนื่องในวันชาติ ชี้ประเทศเผชิญสถานการณ์เศรษฐกิจที่ล่อแหลม พร้อมรับประกันจะปฏิรูปประเทศให้ลงลึกยิ่งขึ้น และสร้างหลักประกันด้านสิทธิและประชาธิปไตยของประชาชน สื่อจีนเผยทัวร์จีนมณฑลยูนนานแห่เที่ยวเกาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ช่วงหยุดยาววันชาติโดยเฉพาะไทย พม่า เวียดนาม เนื่องจากชายหาดมีเสน่ห์ดึงดูดใจ ราคาไม่แพง ใช้เวลาเดินทางไม่นาน ที่มาของภาพ: ซีอาร์ไอ เว็บไซต์ของสถานีวิทยุสากลแห่งประเทศจีน หรือซีอาร์ไอ รายงานว่า วันนี้ (วันที่ 1 ตุลาคม) เป็นวันครบรอบ 62 ปี แห่งการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน ในตอนเช้า ผู้นำจีน เช่นนายหู จิ่นเทา นายอู๋ ปังกว๋อ และนายเวิน เจียเป่า ร่วมกับผู้แทนจากวงการต่างๆ ในกรุงปักกิ่งมอบกระเช้าดอกไม้ที่อนุสาวรีย์วีรชนจีน อนุสาวรีย์วีรชนจีนก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 22 เมษายน ปี 1958 เพื่อระลึกถึงวีรชนที่เสียชีวิตจากสงครามเพื่อความเป็นเอกราชของประชาชาติ จีน การปลดแอกประชาชน และการปฏิวัติประชาชน ที่มาของภาพ: ซีอาร์ไอ ขณะที่เมื่อคืนวานนี้ จีนจัดงานเลี้ยงที่กรุงปักกิ่ง เพื่อเฉลิมฉลองการครบรอบ 62 ปี แห่งการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์และรัฐบาลจีน เช่น นายหู จิ่นเทา นายอู๋ ปังกว๋อ และนายเวิน เจียเป่า รวมถึงบุคคลทั้งภายในประเทศและต่างประเทศรวมกว่า 1,000 คนเข้าร่วมงานครั้งนี้ นายเวิน เจียเป่า กล่าวคำปราศรัยในงานว่า ปีนี้เป็นปีครบรอบ 90 ปีแห่งการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีน และเป็นปีแรกในการปฏิบัติแผนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมระยะ 5 ปีฉบับที่ 12 ซึ่งขณะนี้ เรากำลังเผชิญกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจโลกที่มีความล่อแหลมและสลับซับซ้อนมาก ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จีนต้องส่งเสริมการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ให้การพัฒนามีความรอบด้าน ประสานกันและสร้างความยั่งยืนมากขึ้น และนำผลสำเร็จจากการพัฒนามาเพิ่มความผาสุขให้แก่ประชาชน และบำเพ็ญสุขแก่คนรุ่นหลัง ต้องให้หลักประกันและปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น ผลักดันการปฏิรูปและเปิดประเทศให้ลงลึกยิ่งขึ้น ยืนหยัดในความยุติธรรม และความเป็นธรรมของสังคม สร้างหลักประกันต่อสิทธิประชาธิปไตยของประชาชน คลี่คลายความขัดแย้งทางสังคมชนิดต่างๆ อย่างเหมาะสม ทำให้เกิดความสมานฉันท์ และความเป็นระเบียบมากขึ้น นอกจากนี้ ต้องใช้ความพยายามอย่างไม่ลดละ เพื่อสร้างประเทศสังคมนิยมที่มีความทันสมัย มีความเข้มแข็ง ประชาธิปไตย อารยธรรม และความสมานฉันท์
ซีอาร์ไอ ยังรายงานด้วยว่าในช่วงวันชาติจีนซึ่งเป็นวันหยุดยาว ชาวจีนในมณฑลยูนนานนิยมเดินทางมาท่องเที่ยวตามหมู่เกาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งไทย เวียดนาม และพม่า เนื่องจากชายหาดมีเสน่ห์ดึงดูดใจนักท่องเที่ยว มีค่าใช้จ่ายที่ไม่สูงมาก ใช้เวลาไม่นานในการเดินทาง และประเทศเหล่านี้อำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวเช่นไม่ต้องขอวีซ่าล่วงหน้า สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
คำประกาศ "112 ในมิติทางวัฒนธรรม" Posted: 01 Oct 2011 04:21 AM PDT เมื่อเวลา 08.00 น. วันนี้ (1 ต.ค.) ภายหลัง “ปฏิบัติการอดอาหารท้วงประเทียด 112 ชั่วโมง” (112 Hunger Strike) ของนายมิตร ใจอินทร์และกลุ่มเพื่อนศิลปินซึ่งสิ้นสุดในเวลา 04.00 น. นายมิตรและกลุ่มศิลปินได้แถลงคำประกาศ “112 ในมิติทางวัฒนธรรม” โดยผู้อ่านแถลงการณ์คือนายทัศนัย เศรษฐเสรี อาจารย์คณะวิจิตรศิลป์ สาขาสื่อศิลปะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยชี้ให้เห็นว่าปัญหาของประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 “เป็นปัญหาที่กินความกว้างขว้างมากในระดับชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะต่อจินตนาการของการดำเนินชีวิต กิจกรรม และนิยามความหมายของวัฒนธรรมไทยที่เป็นปัญหาในมิติที่ซับซ้อน ปัญหามาตรา 112 ในมิติทางวัฒนธรรมนี้ไม่เพียงสร้างความหวาดกลัวต่อเสรีภาพในการแสดงความคิด เห็นสาธารณะที่มักถูกใช้เป็นข้อกล่าวหาในเรื่อง “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” แต่มันได้สร้างความหวาดกลัวต่อการดำรงชีวิตที่เป็นปกติสามัญภายใต้ขนบความ เป็นพลเมืองไทยที่ไม่มีสิทธิเสรีภาพในแทบทุกด้านอีกด้วย” “ดังนี้แล้วเมื่อผลกระทบของมาตรา 112 มีใจความที่กว้างขวางในระดับวัฒนธรรม และชีวิตประจำวัน ดังนั้นการรณรงค์เรียกร้องให้เกิดการแก้ไขจนถึงการล้มเลิกกฎหมายมาตรานี้จึง จำเป็นต้องเกิดจากกิจกรรมในพื้นที่ของวัฒนธรรมและพื้นที่ของชีวิตเป็นคู่ ขนานกันไปกับการถกเถียงในมิติทางนิติศาสตร์ จุดประสงค์สำคัญในการอดข้าวของมิตร ใจอินทร์ คือการทำให้พื้นที่ของชีวิตสามัญ ชีวิตที่ทุกคนเดินเหินไปมาในกิจกรรมของชีวิตที่แตกต่างหลากหลายคือเวทีแห่ง การรณรงค์เรียกร้องสิทธิเสรีภาพในรูปแบบต่างๆ และเป็นเวทีที่แท้จริงในการไต่สวนความอยุติธรรมทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม ชาติพันธุ์ เพศสภาพ และอื่นๆ อย่างกว้างขวาง ด้วยเครื่องมือที่ทุกคนมีเป็นต้นทุนอยู่แล้วในกระเป๋าของตัวเอง” สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
นิวเคลียร์: สิ่งที่ปีศาจใช้หลอกลวงประชาชน Posted: 01 Oct 2011 03:50 AM PDT บทความโดย "โสภณ พรโชคชัย" หนุนสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในประเทศไทย นิวเคลียร์ เป็นสิ่งที่คนไทยส่วนหนึ่งเกลียดและกลัวมาก แต่นี่คือคาถาที่ปีศาจร้ายของไทยใช้หลอกลวงถ่วงไม่ให้ประเทศไทยเจริญ ด้วยการใช้ความห่วงใยในสวัสดิภาพมาหลอก เป็นไปได้ว่า หากมีพลังงานนิวเคลียร์ที่ถูกและปลอดภัยมาใช้ ประเทศไทยจะเจริญกว่านี้ คนไทยจะลืมตาอ้าปากได้มากกว่านี้ คนไทยจะฉลาดขึ้นและปกครองได้ยากกว่านี้ ท่านทราบหรือไม่ ในยุโรป อเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลี และอีกหลาย ๆ ประเทศที่คนไทยใฝ่ฝันอยากไปเที่ยวนั้น ต่างมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์กันทั้งนั้น และมีเป็นจำนวนมากเสียด้วย เช่น ฝรั่งเศส ประเทศที่มีคนไปเที่ยวมากที่สุดในโลกถึงประมาณ 80 ล้านคนต่อปี มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ถึง 58 แห่ง อังกฤษมี 19 แห่ง สวิตเซอร์แลนด์แดนสวรรค์ที่หลายคนใฝ่ฝันจะไปเยือนก็มี 5 แห่ง แม้แต่เมืองโลซานที่ในหลวงเคยประทับ ก็เคยมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ยุโรปมีรวมทั้งหมด 187 แห่ง และมีแผนจะเพิ่มอีก 19 แห่งในเร็ววันนี้ ในประเทศเยอรมนีที่มีประชาชน (บางส่วน) ออกมาประท้วงให้ปิดโรงไฟฟ้า และนักการเมือง (บางคน) ก็ออกมารับลูกต่อเหมือนกับการเล่น ‘ปาหี่’ นั้น ก็มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์อยู่ถึง 9 แห่ง ถ้าเยอรมนีไม่มีโรงไฟฟ้า พลังงานหลักที่จะนำมาใช้ก็ไม่ใช่อื่นไกล ก็คือไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ของประเทศเพื่อนบ้านนั่นเอง ที่คิดจะใช้ไฟฟ้าจากแหล่งทางเลือกอื่นยังผลิตได้ไม่มากนัก เมื่อเร็ว ๆ นี้มีการประท้วงของชาวเยอรมันต่อโรงไฟฟ้าใกล้ชายแดนฝรั่งเศส นี่ก็คงเป็นปาหี่อีกฉากหนึ่ง เพราะหากสามารถปิดโรงไฟฟ้าดังกล่าวได้ โรงไฟฟ้าฝรั่งเศสตามแนวชายแดนเยอรมนีก็ยังมีอีกมาก เยอรมนีก็คงไม่รอดอยู่ดีหากเกิดระเบิดขึ้น โปรดดู: http://www.howtosurvive2012.com/htm_night/placs_01.htm คงต้องแนะนำท่านที่กลัวโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มาก ๆ ว่า ท่านต้องไม่ไปเที่ยวเกาหลีใต้ จีน เชค ญี่ปุ่น ไต้หวัน เบลเยียม ฝรั่งเศส ฟินแลนด์ เยอรมนี รัสเซีย สวิตเซอร์แลนด์ สวีเดน สเปน สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฯลฯ เพราะเขามีโรงไฟฟ้ากันทั้งนั้น (โปรดดูแผนที่ประกอบ) คนที่ ‘ขี้กลัว’ พึงสังวรว่า หากท่านกำลังถ่ายรูปกับหิมะบนภูเขาในสวิตเซอร์แลนด์อยู่ แล้วโรงไฟฟ้าโรงใดโรงหนึ่งในจำนวนเกือบ 200 แห่งในยุโรป เกิดระเบิดขึ้น ท่านอาจจะประสบภัยได้เช่นกัน เฉพาะในญี่ปุ่นและเกาหลีที่คนไทยชอบไปเที่ยว ก็มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ถึง 54 และ 20 แห่งตามลำดับ หลายท่านยัง ‘ฝันร้าย’ กับการระเบิดของโรงไฟฟ้าเชอร์โนบิลเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2529 ปีนั้นผมได้รับทุนจากองค์การสหประชาชาติไปเรียนอยู่ที่เบลเยียมในขณะนั้น หลายคนหวาดหวั่นเป็นอย่างมาก แต่โชคดีที่ลมไม่พัดผ่านไปแถวยุโรปตะวันตก แต่พัดขึ้นเหนือไป ฝุ่นกัมมันตภาพรังสีเลยไม่เป็นอันตรายกับผม และเร็ว ๆ นี้ เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2554 ก็เกิดระเบิดที่โรงไฟฟ้าฟูกูชิมา หนึ่งวันหลังจากผมกลับจากญี่ปุ่น (รอดอีกแล้ว) เลยทำให้หลายคนหวั่นเกรงต่อโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ สิ่งที่หลายคนไม่ทราบก็คือ การระเบิดของโรงไฟฟ้าฟูกูชิมานั้น เกิดขึ้นจากความประมาทโดยแท้ ไม่ได้เกิดขึ้นจากสึนามิแต่อย่างใด แม้ไม่มีสึนามิ โรงไฟฟ้านี้ก็จะต้องระเบิดวันนี้วันพรุ่งอยู่แล้ว มีรายงานข่าวกล่าวว่า “บจก.เทปโก ยอมรับแล้ว แจ้งผลเท็จกรณีผลตรวจโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ . . . รับว่าไม่ได้ตรวจสอบอุปกรณ์ 33 ชิ้น ซึ่งมีอายุการใช้งานนาน ส่วนแผงจ่ายไฟฟ้าวาล์วควบคุมอุณหภูมิ ไม่ได้รับการตรวจเช็คสภาพนาน 11 ปี . . . 2 มี.ค. (ก่อนระเบิด) อุปกรณ์โรงไฟฟ้า ไม่ได้รับการตรวจเช็คสภาพและซ่อมบำรุงที่เหมาะสม . . . ส่งผลให้เครื่องปั่นไฟระบบหล่อเย็นไม่ทำงาน . . . เมื่อ 9 ปีก่อน . . . ปิดเงียบการรั่วไหลของกัมมันตรังสีหลังแผ่นดินไหวเมื่อ 3 ปีก่อน . . .” บางท่านอาจไม่ทราบว่าในบริเวณใกล้ ๆ กันก็มีโรงไฟฟ้าอีก 3 โรง แต่ไม่มีโรงใดเสียหายเพราะแผ่นดินไหวเนื่องจากมีการตรวจสอบที่ดีอยู่เสมอ ความจริงในอีกแง่หนึ่งก็คือ ไฟฟ้าจากนิวเคลียร์นั้นมีราคาถูกและก่อมลภาวะน้อยที่สุด เพราะหากไม่เช่นนั้นประชาชนในยุโรป สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น คงมีข่าวเป็นมะเร็ง หรือโรคร้ายตายกันมากมาย แต่ในทางตรงกันข้าม ประชากรในประเทศเหล่านี้กลับมีอายุขัยสูงกว่าประเทศไทยแทบทั้งสิ้น บางคนที่ต่อต้านบอกว่า ถ้ามีโรงไฟฟ้าในไทยจริง ก็ควรไปตั้งอยู่ที่หลังบ้านของพวกสนับสนุนโรงไฟฟ้า ผมจึงขออนุญาตนำภาพโรงไฟฟ้าในยุโรปที่ตั้งอยู่ใกล้เคียงบ้านเรือน โดยชาวบ้านสามารถอยู่ร่วมกับโรงไฟฟ้าได้อย่างเป็นปกติสุข
บางท่านอาจไม่ทราบว่า ในเร็ววันนี้เวียดนามก็จะมี 2 โรง ห่างเพียง 500 กิโลเมตรจากประเทศไทย (ระยะทางราว ๆ กรุงเทพมหานคร-ขอนแก่น หรือ กรุงเทพมหานคร-ระนอง) จีนในบริเวณมณฑลทางใต้ก็มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แล้ว รวมทั้งที่กำลังก่อสร้างและกำลังวางแผนไว้อีกหลายแห่งโดยเฉพาะในพื้นที่ใกล้ชายแดนเวียดนาม รวมทั้งเกาะไหหลำ ถ้าโรงไฟฟ้าในประเทศใกล้ ๆ เหล่านี้ระเบิด ประเทศไทยก็คงไม่รอด ยิ่งถ้าพม่า เขมร และลาว มีโรงไฟฟ้าแล้ว ไทยจะยังไม่ ‘ตาสว่าง’ ลืมตาดูความเป็นจริงของโลก ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว บางท่านยังอาจกล่าวว่า ถึงอย่างไรก็ไม่ไว้ใจคนไทยว่าจะดูแลโรงไฟฟ้าได้ดีเช่นในยุโรปและสหรัฐอเมริกาอยู่ดี ถ้าจะให้คนไทยเหล่านี้มีความเชื่อมั่นมากขึ้น ก็อาจว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญการดูแลโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จากประเทศที่เจริญแล้วมาดูแลก็ยังได้ แม้จะเป็นการ ‘ตบหน้า’ ผู้เชี่ยวชาญไทยในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตามในกรณีประเทศจีน เขาไม่ยืมจมูกฝรั่งหายใจ เขาพัฒนาการดูแลและพัฒนาโรงไฟฟ้าด้วยเทคโนโลยีที่ศึกษามาจากต่างประเทศเองอย่างต่อเนื่อง โดยสรุปแล้ว โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ไม่ได้น่ากลัวเช่นที่เราถูกหลอกฝังหัวไว้แต่อย่างใด ดูได้จากคนญี่ปุ่น คนยุโรปและสหรัฐอเมริกาทั้งผอง ยังอยู่สุขสบายดี ไม่มีโรคภัยเพราะนิวเคลียร์แต่อย่างใด ถ้าไม่มีพลังงานนิวเคลียร์ ป่านนี้ประเทศเหล่านี้คงยากไร้ลงในพริบตา แต่ถ้าเรากลัวกันจริง ๆ เราควรจะไปตั้งโรงไฟฟ้าห่างไกลผู้คน หรือเวนคืนที่ดินโดยจ่ายให้สูงกว่าราคาตลาดสัก 20% ให้ชาวบ้านได้กำไรมากกว่าขายในตลาดเปิด และมีการประกันชีวิตให้กับผู้คนแถวนั้นว่า หากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิด ทางราชการยินดีจ่ายให้ศพละ 100 ล้านบาท เป็นต้น ถ้าตายด้วยนิวเคลียร์แล้วได้ 100 ล้าน ผมเองก็ยอม จะได้เอาเงินไว้ให้ญาติมิตร แล้วทำไมคนไทยจึงถูกหลอนให้กลัวนิวเคลียร์ ถ้าคิดให้ดี มีความเป็นไปได้ที่มีคนกลุ่มหนึ่งไม่อยากให้ประเทศไทยเจริญ อาจกลัวว่าจะทำให้ปกครองยากขึ้น หากคนไทยเจริญ รวยและฉลาดขึ้น อยากให้อยู่อย่างดักดานอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ บางคนอาจเป็นเจ้าทฤษฎีการพลังงานทางด้านอื่นที่ล้วนแต่แพงกว่าพลังงานนิวเคลียร์ทั้งสิ้น หากพลังงานนิวเคลียร์ได้รับการนำมาใช้ พวกเขาก็คงหมดโอกาสทำมาหากิน คล้ายกับเมื่อมีสะพาน กิจการผูกขาดแพขนานยนต์ ก็รายได้ตก หรือเมื่อมีกระเช้าลอยฟ้าพาคนเฒ่าคนแก่ขึ้นไปดูธรรมชาติได้ กิจการแบกหามคนขึ้นเขาของคนส่วนน้อยบางกลุ่ม ก็คงฝืดเคืองลงนั่นเอง อย่าให้ปีศาจมาใช้ความกลัวมาหลอนเรา คิดให้ดีก่อนที่จะปฏิเสธนิวเคลียร์
อ้างอิง: Anti-nuclear 'die in' on Franco-German border. http://www.nuclearpowerdaily.com/reports/Anti-nuclear_die_in_on_Franco-German_border_999.html Asia's Nuclear Energy Growth. http://www.world-nuclear.org/info/inf47.html Chernobyl disaster. http://en.wikipedia.org/wiki/Chernobyl_disaster Fukushima Daiichi nuclear disaster. http://en.wikipedia.org/wiki/Fukushima_Daiichi_nuclear_disaster Nuclear Power in China. http://www.world-nuclear.org/info/inf63.html Nuclear power plants in Europe. http://www.euronuclear.org/1-information/maps.htm Vietnam's first nuclear power plants to be protected by 15m dike. http://www.lookatvietnam.com/2011/03/vietnams-first-nuclear-power-plants-to-be-protected-by-15m-dike.html สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
เปรมศักดิ์ เพียยุระ: ปลดแอกผู้ป่วยประกันสังคม 10 ล้านคนดีกว่าหากยังชุ่ยกว่าบัตรทอง Posted: 01 Oct 2011 03:29 AM PDT 30 บาทรักษาทุกโรคคัมแบ็คคุยจัดเต็ ต้องยอมรับว่านโยบายด้ ล่าสุดรัฐมนตรีสาธารณสุขของรั เชื่อว่าประชาชนต้องการสิ่งที่ ครับ ก็น่ายินดีหากเป็นไปตามนโยบายที โดยเฉพาะการมีข้อยกเว้นยุบยั สุดท้ายคนป่วยก็ยังบ่นกันว่า เวลาจำเป็นต้องไปโรงพยาบาล ไม่ต่างจากไปโรงฆ่าสัตว์ให้ได้ คนที่ใช้บัตรทอง 30 บาทรักษาทุกโรคที่ว่านี้มีทั่ ที่น่าเห็นใจที่สุดผมว่าคงเป็ เอาง่ายๆว่าค่าใช้จ่ายในการรั ครับ ฟังไม่ผิดหรอก คนที่โดนหักเงินทุกเดือน ได้ค่ารักษาน้อยกว่าคนที่รั เอาหละหากโดนหักทืุกเดือน แล้วได้ค่ารักษาพยาบาลต่อหัวต่
ผลวิจัยพบบัตรทอง30บาทดีกว่าจ่ เมื่อไวๆ นี้เอง นพ.พงศธร พอกเพิ่มดี นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ จึงเกิดคำถามว่าทำไมผู้ประกั นพ.พงศธร เปิดเผยผลวิจัยว่า งานวิจัยนี้เริ่มตั้งแต่เดื 1.สิทธิประโยชน์ 2.การบริหารจัดการ 3.กรณีศึกษา และ 4.ผลการรักษาทั้งสองระบบแตกต่ ขณะนี้มี ข้อมูลเปรียบเทียบสิทธิประโยชน์ -กรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน ประกันสังคมให้สิทธิไม่เกิน 2 ครั้งต่อปี บัตรทองไม่จำกัดจำนวนครั้ง -กรณีโรคไตวายเฉียบพลัน ประกันสังคมคุ้มครองไม่เกิน 60 วัน บัตรทองคุ้มครองไม่จำกัดเวลา -กรณีรักษาตัวแบบพักฟื้นและบริ -กรณีทันตกรรม ประกันสังคมไม่เกิน 2 ครั้งต่อปี บัตรทองไม่จำกัดจำนวนครั้ง -และยังมีอุปกรณ์และอวัยวะเที -กรณีการบริการแพทย์ -สำหรับกรณีผ่าตัดสมองเป็ -นอกจากนี้ กรณีเจ็บป่วย ผู้ประกันตนต้องส่งเงินสมทบติ นพ.พงศธรกล่าวว่า กฎหมายประกันสังคมเกิดขึ้นตั้ โดยขอเรียกร้องให้ผู้ประกันตนทั
โรงพยาบาลได้ทีขอขึ้นค่ารักษาต่ ไม่รู้ว่าเพราะมีผลวิจั โดย ศ.นพ.เหลือพร ปุณณกันต์ กรรมการการแพทย์ของประกันสังคม และอนุกรรมการพัฒนาระบบบริ เนื่องจากอัตราที่ สปส. จ่ายให้แก่สถานพยาบาลหัวละ 2,108 บาทต่อปีได้ไม่เพียงพอ ทำให้ประสบภาวะขาดทุน จึงได้ถอนตัว ในปี 2553 มีผู้ประกันตนกว่า 9.6 ล้านคน และมีค่ารักษาพยาบาลผู้ป่ ผลการศึกษาพบว่า ปีหน้า 2555 จะมีผู้ประกันตนเพิ่มเป็น 10.4 ล้านคน ทางสถานพยาบาลจึงจะเสนอให้ สปส. ปรับอัตราเหมาจ่ายรายหัวค่ารั ได้แก่ โรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุ
เก็บจากผู้ประกันตนกว่า10ล้ ก่อนหน้านี้นายปราโมทย์ โชติมงคล ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน เปิดเผยภายหลังการเชิญผู้แทนหน่ โดยมาตรา 30 ระบุถึงการได้รั
บัตรทองมั่นใจดีกว่าประกันสังคม การที่ผู้ตรวจการแผ่นดิ นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือบัตรทอง 30 บาท เป็นระบบที่มีการวางการบริหารจั นอกจากนี้ เลขาธิการ สปสช.ยังกล่าวยืนยันว่า ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ามี
มุมมองของคนใช้บริการประกันสั ก็นี่แหละครับเลยมีความเคลื่ คุณสารี ยังกล่าวว่า โดยกฎหมายยังได้กำหนดในมาตรา 66 ให้ตราพระราชกฤษฎีกาภายใน 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ พ.ร.บ.ฉบับนี้ใช้บังคับคือ วันที่ 18 พฤศจิกายน 2545 แต่หากไม่สามารถดำเนินการได้ทั้
ทางออกของผู้ป่วยประกันสังคม หากทำดีกว่าบัตรทองไม่ได้ก็ยุ เรื่องนี้ผมว่ามีทางออกง่ายๆเพี อันไหนที่เป็นจุดด้อยกว่าตามที่ หนทางหนึ่งที่ผมอยากเสนอก็คือ อยากให้มีโรงพยาบาลหรื หากมีโรงพยาบาลที่เป็ ผมว่าปฏิรูปใหญ่ซักยกนะครับเรื่ แต่หากเก็บเงินคนตั้ง10ล้
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
กลุ่มสนับสนุนรัฐบาลซีเรียจู่โจมทูตสหรัฐฯ Posted: 01 Oct 2011 03:08 AM PDT กลุ่มสนับสนุนรับบาลอัสซาดในซีเรีย บุกจู่โจมคณะทูตสหรัฐฯ ขว้างปาไข่และมาเขือเทศใส่ ขณะที่เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ กำลังพบปะกับนักการเมืองผู้เรียกร้องให้เลิกปราบผู้ชุมนุม ขณะเดียวกันมีการต่อสู้ดุเดือดระหว่างฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายติดอาวุธที่เชื่อว่าเป็นทหารย้ายข้างในเมืองอัล-รัสทาน สำนักข่าวอัลจาซีร่ารายงานเมื่ มาร์ก โทเนอร์ รักษาการโฆษกการต่ คณะทูตสหรัฐฯ ได้เข้าพบปะกับฮัสซาน อับดุล-อาซิม นักการเมืองสายกลางผู้เรียกร้ อับดุล-อาซิม กล่าวว่า ฟอร์ดอยู่ในสำนักงานของเขาในกรุ "ผู้ประท้วงใช้ความรุนแรง พวกเขาพยายามโจมตีเจ้าหน้าที่ โทเนอร์กล่าวอีกว่าเจ้าหน้าที่ สหรัฐฯ ประณามการจู่โจมของฝ่ายหนุนรั ในวันเดียวกัน ฮิลลารี่ คลินตัน รมต.ต่างประเทศของสหรัฐฯ ก็ออกมาประณามการโจมตีเอกอั โดยฮิลลารี่กล่าวว่าเอกอั ขณะที่เจย์ คาร์นี่ย์ โฆษกของทำเนียบขาวกล่าวว่านี่ ทหารรัฐบาลปะทะกับทหารย้ายข้ ในวันที่ 29 ก.ย. ฝ่ายนักกิจกรรมออกมาประณามเจ้ มีนักข่าวพลเมืองในพื้นที่เมื ขณะที่ในการชุมนุมเมื่อวันที่ 30 ก.ย. มีผู้ชุมนุมหลายพันคนแสดงการสนั ทางด้านฝ่ายรัฐบาลซีเรียกล่าวผ่ มีทหารย้ายข้างรายหนึ่งที่ปฏิบั นักกิจกรรมบอกว่ามีทหารย้ายข้ นักกิจกรรมในซีเรียอ้างอีกว่ามี เอเลียส ฮันนา นายพลปลดเกษียณของเลบานอนและนั นอกจากนี้การปะทะกันอย่างต่อเนื ที่มา Fresh Syrian protests turn violent, Aljazeera, 30-09-2011 Assad loyalists target US diplomat in Syria, Aljazeera, 29-09-2011 US condemns attack on envoy in Syria, Aljazeera, 30-09-2011
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
มาเลเซียประเดิมเลิกกฎหมายมั่นคง 2 ฉบับ-แต่เลื่อนแก้ไอเอสเอไปปีหน้า Posted: 01 Oct 2011 03:02 AM PDT สัปดาห์หน้ารัฐสภามาเลเซียจะเริ่มหารือยกเลิกกฎหมายความมั่นคง 2 ฉบับในเรื่องการจำกัดสิทธิ์ผู้ต้องสงสัยคดีอาชญากรรม ส่วนกฎหมายความมั่นคงภายในหรือไอเอสเอจะเริ่มดำเนินการปีหน้า สำนักข่าวแห่งชาติ รายงานวันนี้ (1 ต.ค.) ว่า มาเลเซียเล็งปฏิรูปกฏมายความมั่นคงครั้งสำคัญ ตามที่นายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัก เคยลั่นวาจาไว้เมื่อเดือนก่อน หวังนำพาประเทศไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยยุคใหม่ ล่าสุด นายกรัฐมนตรีนาจิบ ออกมายืนยันอีกครั้งเมื่อวานนี้ว่าในสัปดาห์หน้ารัฐสภามาเลเซีย จะเริ่มหารือยกเลิกกฎหมายความมั่นคง 2 ฉบับแรกซึ่งเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิ์ผู้ต้องสงสัยคดีอาชญากรรม แต่สำหรับกฎหมายความมั่นคงภายใน หรือ ไอเอสเอ ซึ่งหลายฝ่ายจับตากันมากนั้น นายกรัฐมนตรีนาจิบ คาดว่าการปฏิรูปกฏหมายฉบับนี้น่าจะเริ่มดำเนินการได้ช่วงเดือนมีนาคม ปีหน้า ทั้งนี้ ไอเอสเอ เป็นกฎหมายความมั่นคงที่เข้มงวดมาก มีใช้มาตั้งแต่ยุคอาณานิคม กฏหมายนี้อนุญาตให้ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยก่อการร้ายและกลุ่มต่อต้านรัฐบาล ได้นานแบบไม่มีกำหนดโดยไม่จำเป็นต้องไต่สวน สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
"สุเทพ" ชี้การตรวจสอบ 165 ศพที่ระยองเป็นเรื่องดิสเครดิต Posted: 01 Oct 2011 02:34 AM PDT ยืนยันสมัยดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีไม่ได้ดำเนินการอย่างที่กล่าวหา ยันจะต่อสู้ความจริงไม่เกรงกลัวใดๆ ส่วนชูวิทย์รับคำสั่งศาลยึดทรัพย์ พร้อมขอโอกาสทำงาน เล็งแฉโครงการทุจริตวงเงิน 8 พันล้าน สำนักข่าวแห่งชาติ รายงานวานนี้ (30 ก.ย.) ว่านายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจเตรียมตรวจสอบ 165 ศพ ที่พบในจังหวัดระยอง ภายในสัปดาห์หน้าเพื่อพิสูจน์ว่า เป็นศพของกลุ่ม นปช.หรือไม่ ว่า เรื่องนี้เป็นความพยายามสร้างให้เป็นประเด็น เพื่อลดความน่าเชื่อถือของตนเอง โดยยืนยันว่าในสมัยที่ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ตนเองไม่ได้ดำเนินการอย่างที่มีการกล่าวหา ทั้งนี้ คงต้องพิสูจน์กันต่อไป โดยจะต่อสู้ความจริงและไม่เกรงกลัวใดๆ ด้านนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย เปิดแถลงข่าวที่พรรครักประเทศไทย โดยระบุว่า พร้อมรับคำสั่งศาลสั่งยึดทรัพย์ พร้อมขอโอกาสทำงานเพื่อประชาชน ทั้งนี้ในสัปดาห์หน้าตนเองเตรียมเปิดเผยโครงการทุจริตที่มีวงเงินกว่า 8,070 ล้านบาท ซึ่งมีลักษณะคดีคล้ายการทุจริตโครงการรถและเรือดับเพลิงของ กทม. สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
“มิตร ใจอินทร์” ประกาศรณรงค์เลิก ม.112 ในมิติวัฒนธรรม Posted: 01 Oct 2011 12:51 AM PDT สิ้นสุดการอดอาหาร 112 ชั่วโมงของ “มิตร ใจอินทร์” แล้ว พร้อมอ่านแถลงการณ์ระบุกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนอกจากผลกระทบด้านกฎหมายแล้วยังมีผลต่อวัฒนธรรมระดับการใช้ชีวิตประจำวัน-ต่อจินตนาการของการดำเนินชีวิต การแก้ไข-เลิกกฎหมายดังกล่าวต้องเกิดจากกิจกรรมในพื้นที่ของวัฒนธรรมและพื้นที่ของชีวิตคู่ขนานกับมิติทางนิติศาสตร์ มิตร ใจอินทร์ กับอาหารมื้อแรก หลังปฏิบัติการอดอาหารรณรงค์แก้ไขกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพครบ 112 ชั่วโมง เมื่อ 04.00 น. วันนี้ (1 ต.ค.) ตามที่มีการจัดเทศกาลศิลปะ madiFESTO 2011 จัดโดยสาขาวิชาสื่อศิลปะและการออกแบบสื่อ คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 26 ก.ย. ที่ผ่านมา ที่หอนิทรรศการศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ด้าน ถ.นิมมานเหมินทร์ โดยหนึ่งในกิจกรรมที่ร่วมแสดงผลงานคือ "ปฏิบัติการอดอาหารท้วงประเทียด 112 ชั่วโมง” (112 Hunger Strike) ของนายมิตร ใจอินทร์และเพื่อนศิลปิน ที่อดอาหารและดื่มเพียงแต่น้ำเป็นเวลา 112 ชั่วโมงตั้งแต่เวลา 12.00 น. ของวันที่ 26 ก.ย. เพื่อรณรงค์ให้มีการยกเลิกหรือแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หรือกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนั้น ล่าสุดเมื่อเวลา 04.00 น. วันนี้ (1 ต.ค.) ที่หอนิทรรศการศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ “ปฏิบัติการอดอาหารท้วงประเทียด 112 ชั่วโมง” (112 Hunger Strike) ของนายมิตร ใจอินทร์และกลุ่มเพื่อนศิลปินดำเนินต่อมาจนครบ 112 ชั่วโมงตามที่วางแผนเอาไว้ โดยหลังครบกำหนดอดอาหาร นายมิตรได้รับประทานอาหารมื้อแรก โดยได้มีกลุ่มศิลปิน เพื่อน และญาติของนายมิตร และผู้ที่ทราบข่าวการอดอาหารของนายมิตร ได้เดินทางมาให้กำลังใจพร้อมนำอาหารมาร่วมรับประทานกับนายมิตรด้วย โดยในจำนวนนี้มีนายธนาพล อิ๋วสกุล บรรณาธิการวารสารฟ้าเดียวกัน เดินทางมาให้กำลังใจนายมิตรด้วย ตั้งแต่เมื่อคืนวันที่ 30 ก.ย. ที่ผ่านมา นอกจากนี้นางเพ็ญสุภา สุขคตะ ใจอินทร์ หรือเพ็ญ ภัคตะ นักเขียนและนักวิชาการท้องถิ่น ก็ได้มาพบกับนายมิตรด้วย โดยนางเพ็ญสุภาเปิดเผยว่า ก่อนที่สามีจะอดอาหาร ได้เตรียมร่างกายมาเป็นเวลา 3 เดือน โดยลดมื้ออาหารเหลือเพียง 2 มื้อ และลดปริมาณอาหารที่จะรับประทานลงทีละน้อยๆ ก่อนเริ่มปฏิบัติการอดอาหาร 112 ชั่วโมงดังกล่าว และในเวลา 8.00 น. นายมิตรและกลุ่มศิลปินได้แถลงคำประกาศ “112 ในมิติทางวัฒนธรรม” โดยก่อนอ่านคำประกาศ นายมิตรกล่าวถึงปฏิบัติการอดอาหารที่ทำร่วมกับศิลปินรุ่นใหม่ครั้งนี้ถือเป็นการเปิดพื้นที่วิจารณ์ในทุกมิติ รวมถึงพื้นที่ทางศิลปวัฒนธรรมด้วย แต่ก็พบปัญหาเดียวที่วัฒนธรรมไม่สามารถจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไปได้ โดยเฉพาะไม่สามารถมีชีวิตอยู่กับสามัญชน เพราะกฎหมายอาญามาตรา 112 นั่นเอง ที่กดขี่ ข่มเหง ไม่ให้เราคิด ไม่ให้เราพูดตามสิทธิเสรีภาพที่เราควรมีในฐานะประชาชน เราก็เลยเรียกร้องให้มีการล้มเลิก หรือถ้าไม่ได้ก็ให้มีแก้ไข ชื่อนิทรรศการชิ้นนี้ที่มีศิลปินร่วมงานประมาณ 100 กว่าคนมาร่วมกันนี้เรียกว่า "FALL" นั่นก็คือการล้มเลิกนั่นเอง หลังจากนั้น นายทัศนัย เศรษฐเสรี อาจารย์คณะวิจิตรศิลป์ สาขาสื่อศิลปะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้อ่านคำประกาศของปฏิบัติการครั้งนี้ที่ชื่อว่า “112 ในมิติวัฒนธรรม” โดยชี้ให้เห็นว่าปัญหาของประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 “เป็นปัญหาที่กินความกว้างขว้างมากในระดับชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะต่อจินตนาการของการดำเนินชีวิต กิจกรรม และนิยามความหมายของวัฒนธรรมไทยที่เป็นปัญหาในมิติที่ซับซ้อน ปัญหามาตรา 112 ในมิติทางวัฒนธรรมนี้ไม่เพียงสร้างความหวาดกลัวต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นสาธารณะที่มักถูกใช้เป็นข้อกล่าวหาในเรื่อง “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” แต่มันได้สร้างความหวาดกลัวต่อการดำรงชีวิตที่เป็นปกติสามัญภายใต้ขนบความเป็นพลเมืองไทยที่ไม่มีสิทธิเสรีภาพในแทบทุกด้านอีกด้วย” “ดังนี้แล้วเมื่อผลกระทบของมาตรา 112 มีใจความที่กว้างขวางในระดับวัฒนธรรม และชีวิตประจำวัน ดังนั้นการรณรงค์เรียกร้องให้เกิดการแก้ไขจนถึงการล้มเลิกกฎหมายมาตรานี้จึงจำเป็นต้องเกิดจากกิจกรรมในพื้นที่ของวัฒนธรรมและพื้นที่ของชีวิตเป็นคู่ขนานกันไปกับการถกเถียงในมิติทางนิติศาสตร์ จุดประสงค์สำคัญในการอดข้าวของมิตร ใจอินทร์ คือการทำให้พื้นที่ของชีวิตสามัญ ชีวิตที่ทุกคนเดินเหินไปมาในกิจกรรมของชีวิตที่แตกต่างหลากหลายคือเวทีแห่งการรณรงค์เรียกร้องสิทธิเสรีภาพในรูปแบบต่างๆ และเป็นเวทีที่แท้จริงในการไต่สวนความอยุติธรรมทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม ชาติพันธุ์ เพศสภาพ และอื่นๆ อย่างกว้างขวาง ด้วยเครื่องมือที่ทุกคนมีเป็นต้นทุนอยู่แล้วในกระเป๋าของตัวเอง” สำหรับรายละเอียดของแถลงการณ์มีดังนี้ 000 112 ในมิติทางวัฒนธรรม ปัญหาของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หรือที่รู้จักกันในนาม “กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” มิได้มีเพียงการถูกนำไปใช้ในการกล่าวหา หรือการเปิดโอกาสให้เกิดการกล่าวหา การกระทำที่หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และทำให้เกิดการปิดกั้นการแสดงออกทางความคิดเห็นที่เป็นสุจริตในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับราชการแผ่นดิน หรือพระมหากษัตริย์ในฐานะที่เป็นองค์กรเอกชนตามรัฐธรรมนูญเท่านั้น เนื้อหาทางกฎหมายในมิติทางนิติศาสตร์ทำให้เกิดการปิดกั้นอิสรภาพของชีวิตทางวัฒนธรรมในวงเขตที่กว้างขวาง หากวัฒนธรรมหมายถึงวิถีชีวิตแล้ว วิถีชีวิตแบบไทยๆ ก็ถูกทำให้อยู่ภายใต้กรอบกำหนด และกรอบกำหนดดังกล่าวนี้เองที่ทำให้การมีชีวิตไปตามยถากรรมเป็นสิ่งปกติ และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีสิทธิเสรีภาพอะไร หรือหากชีวิตจะต้องมีสิทธิเสรีภาพต้องเป็นไปตามกฎหมายซึ่งถูกเขียนขึ้น โดยมีผลบังคับใช้ในสองมิติ 1. มิติความหมายของคำว่า “เสรีภาพ” ที่กฎหมายนั้นๆ อนุญาตให้มี 2. มิติของกรอบความเข้าใจชีวิตทางวัฒนธรรม ภายใต้ขนบแบบไทยๆ ชุดหนึ่ง ดังนั้นแล้วทั้งสิทธิเสรีภาพตามที่กฎหมายอนุญาตให้มีและขนบความเป็นวัฒนธรรมไทย มีสิ่งที่เชื่อมโยงกันคือการไม่เปิดโอกาสให้เกิดข้อถกเถียงต่อคำว่า “สิทธิ และเสรีภาพ” ในมิติแรกมีปัญหามากมายตามที่ทราบกันบ้างแล้วจากประเด็นปัญหาและข้อถกเถียงต่างๆ ในทางนิติศาสตร์ แต่ในมิติที่สองคือมิติทางวัฒนธรรมนี้ ส่งผลกระทบอย่างมหาศาลในระดับชีวิตประจำวัน และผลกระทบนี้กินความอย่างกว้างขวางและลึกซึ้งมากต่อความหมายของสิทธิและเสรีภาพในการดำรงชีวิต ซึ่งอาจจะไม่เกี่ยวกับปัญหาของข้อกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพโดยตรง แต่มันได้สร้างกรอบหรือจินตนากรรมต่อภาพของวิถีชีวิตตามยถากรรมที่ทำให้ประชาชนไม่สามารถมองเห็นถึงสาระสำคัญของคำว่าอิสรภาพและเสรีภาพ หรือไม่สามารถที่จะตั้งคำถามต่อข้อจำกัดของอิสรภาพและเสรีภาพที่ส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากผลพวงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จากข้อกำหนดทางกฎหมายในมาตรา 112 และมาตราอื่นในกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกันได้เลย ดังนั้นปัญหาของประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จึงส่งผลกระทบที่ซับซ้อนในหลายมิติ และประเด็นข้อถกเถียงที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายมาตรานี้และมาตราที่เกี่ยวข้อง จึงเกิดจากการเคลื่อนไหวของคนในหลายๆ กลุ่มซึ่งเป็นผลพวงของปัญหาในชีวิตทางวัฒนธรรมที่หลากหลายที่ไม่เห็นว่าปัญหาในระดับประจำวันของตนเป็นสิ่งที่แก้ไขได้ และดำเนินไปตามยถากรรม หากแต่เกิดขึ้นจากการถูกทำให้เชื่อว่าตนเองไม่มีสิทธิเสรีภาพที่จะพูดถึงปัญหาเหล่านั้นได้ สิ่งเหล่านี้ได้สร้างภาพให้สังคมไทยเป็นสังคมที่ไม่มีปัญหา เป็นลักษณะของสังคมที่ปิดเงียบ ในขณะที่ปัญหาในระดับชีวิตประจำวันยังคงรุมเร้าผู้คนและทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น และยังไม่ได้รับการเหลียวแล การเป็นสังคมปิดเงียบจึงสร้างภาวะความหวาดกลัวที่จะพูดถึงยถากรรมที่ทุกคนกำลังประเชิญหน้าอยู่ ในอดีต หน้าที่ของหลักปรัชญากฎหมายไทยคือการวางกรอบให้พลเมืองปฏิบัติตามสิ่งที่พระมหากษัตริย์ ชนชั้นนำ และผู้นำของรัฐในสมัยต่างๆ ต้องการ แทบไม่มีกฎหมายที่เกิดขึ้นจากพลเมืองของรัฐเองที่ใช้เป็นกรอบข้อตกลงในการอยู่ร่วมกันในสังคมสมัยใหม่เลย ชีวิตของพลเมืองไทยถูกปล่อยไว้ในจินตนาการที่ต้องเผชิญยถากรรมแต่เพียงลำพัง แต่เมื่อใดก็ตามที่การใช้ชีวิตตามยถากรรมซึ่งยากแค้นแสนลำเค็ญอยู่แล้ว มีเรื่องที่ละเมิดกรอบการจัดวางชีวิตที่เป็นระเบียบเรียบร้อยตามหลักปรัชญากฎหมายไทย พลเมืองคนนั้นๆ กลุ่มนั้นๆ ก็จะถูกจัดการจากประมวลกฎหมายมาตราต่างๆ ตามลักษณะของกฎหมายที่มีระดับต่างกัน ตั้งแต่รัฐธรรมนูญ กฎหมายอาญา พระราชบัญญัติ เทศบัญญัติ ระเบียบ ฯลฯ พลเมืองของรัฐไทยจึงมีชีวิตไปตามยถากรรมและอยู่ภายใต้จินตนาการเรื่องสิทธิเสรีภาพตามแต่กรอบกฎหมาย และผู้เขียนกฎหมายจะเห็นสมควร ในยุคที่รัฐ ทุนและระบบตลาด ซึ่งในภายหลังมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้นในโลกโลกาภิวัตน์ ชีวิตตามยถากรรมแต่เดิมที่ถูกอธิบายตามหลักผู้มีวาสนาบารมีและผู้เกิดมาบุญน้อย โดยมีพุทธศาสนาที่ถูกใช้รับรองความไม่เสมอภาคแต่กำเนิดเพื่อตอกย้ำภาพชีวิตของพลเมืองที่ต้องเผชิญปัญหามากมายแต่เพียงลำพัง ยังคงทำหน้าที่สำคัญอยู่ และยิ่งไปกว่านั้นในโลกสมัยใหม่พลเมืองต้องเผชิญกับปัญหาชีวิตประจำวันในมิติทางเศรษฐกิจ ซึ่งสร้างช่องว่างที่ห่างออกจากกันเรื่อยๆ ระหว่างผู้ไม่มีจะกิน และผู้ที่ร่ำรวยเกินกว่าปกติมากนัก นอกจากภาพของชีวิตที่ต้องได้รับความช่วยเหลือให้พออยู่ไปวันๆ แบบบอนไซ คือไม่ตายแต่เลี้ยงไม่โต ยิ่งไปกว่านั้นความเชื่อเรื่องยถากรรมในอดีตถูกอธิบายใหม่ด้วยปรัชญาเศรษฐกิจที่ให้พลเมืองรู้จักประมาณตน ไม่ควรคิดอะไรมาก และไม่ควรคิดถึงสิทธิที่จะลืมตาอ้าปากได้อย่างมีอิสรภาพ ในขณะที่ชีวิตของพลเมืองถูกผูกเข้ากับพันธนาการของข้อเท็จจริงทางเศรษฐกิจในการดำรงชีพที่เต็มไปด้วยหนี้สิน และบุญคุณต่างๆ นานาโดยทั้งหมดต้องก้มหน้ารับกรรมไปกันเอง แต่เมื่อสังคมมีความรู้ที่มากขึ้น และเริ่มตั้งคำถามว่าทำไมชีวิตจึงเต็มไปด้วยปัญหาที่เชื่อมโยงกันในหลายมิตินี้ และเริ่มเรียกร้องเพียงสิทธิที่จะพูด ตั้งคำถามและวิจารณ์ ซึ่งจะนำไปสู่ข้อเรียกร้องการมีชีวิตที่เป็นธรรมมากยิ่งขึ้น ก็ต้องเผชิญกับกรอบที่ถูกกำหนดไว้ในประมวลกฎหมายภายใต้ขนบชุดหนึ่งที่พลเมืองไทยควรหุบปากและสํารวมเจียมตัวอีก ดังนั้นปัญหาของประมวลกฎหมายมาตรา 112 จึงเป็นปัญหาที่กินความกว้างขว้างมากในระดับชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะต่อจินตนาการของการดำเนินชีวิต กิจกรรม และนิยามความหมายของวัฒนธรรมไทยที่เป็นปัญหาในมิติที่ซับซ้อน ปัญหามาตรา 112 ในมิติทางวัฒนธรรมนี้ไม่เพียงสร้างความหวาดกลัวต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นสาธารณะที่มักถูกใช้เป็นข้อกล่าวหาในเรื่อง “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” แต่มันได้สร้างความหวาดกลัวต่อการดำรงชีวิตที่เป็นปกติสามัญภายใต้ขนบความเป็นพลเมืองไทยที่ไม่มีสิทธิเสรีภาพในแทบทุกด้านอีกด้วย ดังนี้แล้วเมื่อผลกระทบของมาตรา 112 มีใจความที่กว้างขวางในระดับวัฒนธรรม และชีวิตประจำวัน ดังนั้นการรณรงค์เรียกร้องให้เกิดการแก้ไขจนถึงการล้มเลิกกฎหมายมาตรานี้จึงจำเป็นต้องเกิดจากกิจกรรมในพื้นที่ของวัฒนธรรมและพื้นที่ของชีวิตเป็นคู่ขนานกันไปกับการถกเถียงในมิติทางนิติศาสตร์ จุดประสงค์สำคัญในการอดข้าวของมิตร ใจอินทร์ คือการทำให้พื้นที่ของชีวิตสามัญ ชีวิตที่ทุกคนเดินเหินไปมาในกิจกรรมของชีวิตที่แตกต่างหลากหลายคือเวทีแห่งการรณรงค์เรียกร้องสิทธิเสรีภาพในรูปแบบต่างๆ และเป็นเวทีที่แท้จริงในการไต่สวนความอยุติธรรมทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม ชาติพันธุ์ เพศสภาพ และอื่นๆ อย่างกว้างขวาง ด้วยเครื่องมือที่ทุกคนมีเป็นต้นทุนอยู่แล้วในกระเป๋าของตัวเอง
มิตร ใจอินทร์ และผองเพื่อนศิลปินอิสระ สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
You are subscribed to email updates from ประชาไท To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น