โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

จาตุรนต์ แนะ ศปภ.ต้องให้ข้อมูลประชาชน

Posted: 24 Oct 2011 01:36 PM PDT

 "หลักของการเตือนภัยก็คือต้องให้ภาพว่าถ้าสถานการณ์เลวร้ายที่สุดอาจเป็นอย่างไร ทุกฝ่ายควรเตรียมตัวอย่างไร ซึ่งถ้าไม่เกิดก็ไม่เป็นไร แต่ต้องเตรียม"

 

ตั้งแต่นครสวรรค์ลงมาถุงทรายช่วยได้กรณีป้องกันน้ำท่วมเล็กๆน้อยๆ ที่ใช้สู้กับน้ำที่มาเป็นผืนใหญ่ไม่ปรากฏว่าสู้กับน้ำได้เลย จุดใดที่จะต้องรับมือกับน้ำที่มาเป็นหน้ากระดานจึงไม่อาจหวังว่าจะสู้ได้  มีแต่ต้องเตรียมรับผลเมื่อกระสอบหรือพนังกั้นสู้ไม่ไหวแล้วจะทำอย่างไร

การจะให้น้ำลดเร็วๆเป็นเรื่องใหญ่ สำคัญและยากมาก ต้องวางแผนอย่างเป็นระบบโดยผู้เชี่ยวชาญที่ต้องปรึกษากันและต้องอาศัยความร่วมมือหลายฝ่าย และยังต้องมีเครื่องมือมาก ที่ขณะนี้ยังไม่มีเช่นเครื่องสูบน้ำ ถุงทรายจำนวนมาก หากไม่ทำจริงจังจะมีคนจำนวนมากต้องอยู่กับน้ำต่อไปอีกเป็นเดือนๆ

การที่น้ำก้อนใหญ่กำลังจะมาถึงกทม.ในช่วงเวลาเดียวกับน้ำทะเลจะหนุนสูงสุด ยิ่งกว่าตอนน้ำท่วมอยุธยา หยุดราชการอย่างเดียวไม่พอแล้ว มาช่วยกันคิดครับ

เมื่อนึกถึงภาพวันที่ 26-29 ต.ค.แล้วการที่เราสู้กับน้ำอยู่ตามคันคลองต่างๆหรือประตูน้ำบางแห่งเป็นเรื่องจิ๊บจ้อยมาก ผู้ที่เกี่ยวข้องจำนวนมากต้องคิดกันใหม่ ให้เข้าใจว่ากำลังสู้กับอะไร และจะเตรียมการอย่างไร จะให้ประชาชนเตรียมตัวอย่างไร

ช่วงนี้มีคำถามเข้ามา ผมจะขอตอบรวมๆไปเลยนะครับ

การจะให้น้ำลดเร็วๆเป็นเรื่องใหญ่ สำคัญและยากมาก ต้องวางแผนอย่างเป็นระบบโดยผู้เชี่ยวชาญที่ต้องปรึกษากันและต้องอาศัยความร่วมมือหลายฝ่าย และยังต้องมีเครื่องเครื่องมือมากที่ขณะนี้ยังไม่มีเช่นเครื่องสูบน้ำ ถุงทรายจำนวนมาก หากไม่ทำจริงจังจะมีคนจำนวนมากต้องอยู่กับน้ำต่อไปอีกเป็นเดือนๆ

ไม่มีใครปล่อยน้ำเข้ากทม. ไม่มีใครตั้งใจให้น้ำท่วมกทม. ที่ท่วมคือเอาไม่อยู่ แต่ที่ระบายผ่านทางคลองผ่านกทม.ไม่ทำให้ท่วม  กลับจะช่วยให้ท่วมน้อยลง
 
 
เมื่อน้ำก้อนใหญ่ลงมา ที่กั้นๆกันอยู่อาจเอาไม่อยู่เลยเหมือนที่เอาไม่อยู่มาตลอดทาง ขณะที่น้ำทะเลหนุนสูงสุดจะทำให้เวลาน้ำขึ้น น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาจะสูงกว่าวันนี้อีกมาก

ใน 1-2 วันมานี้พนังกั้นน้ำริมเจ้าพระยาหลายแห่งก็เริ่มมีอาการเอาไม่อยู่บ้างแล้ว เมื่อน้ำเจ้าพระยาสูงกว่านี้อีกมากจะเป็นอย่างไร ใครจะรับประกันว่า เอาอยู่

ที่ผมเสนอความเห็นอยู่นี้เป็นความเห็นในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่ห่วงใยประชาชนด้วยกันทั้งในจังหวัดต่างๆที่อยู่ในเส้นทางและในกทมรวมทั้งกทม.ชั้นใน

ส่วนที่เสนอความเห็นให้ศปภ.ได้เสนอไปพอสมควรแล้วและพรุ่งนี้จะพยายามเสนออีกครั้ง แต่ผมจะรอศปภ.เข้าใจเรื่องนี้ไม่ได้  คิดว่าควรสื่อกับประชาชน

ผมคิดว่าศปภ.และกทม.ยังไม่เข้าใจหลักการแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการเตือนภัยและชี้แจงเพื่อการเตรียมความพร้อมของประชาชน ทำให้การชี้แจงที่ผ่านมายังสับสน

ศปภ.เน้นเรื่องการกลัวประชาชนตื่นตระหนกซึ่งเป็นการหลงประเด็น ที่จริงคือประชาชนเขาต้องการรู้ว่าอาจจะเกิดอะไรจะตองเตรียมตัวอย่างไรเมื่อไร

ผมพูดอย่างนี้แล้วศปภ.บางคนอาจจะโกรธผมก็ขอให้โกรธไป แต่ถ้ายังอยากฟังคำแนะนำจากผมก็ขอให้บอกมา ยินดีจะไปให้คำแนะนำอีก แต่ศปภ.ต้องปรับความคิดด่วน

ขอให้ข้อมูลว่าการระบายน้ำผ่านคลองต่างๆของกรุงเทพฯทำได้น้อยกว่าเป้ามาก ส่วนการระบายไปทางตะวันออกที่หวังกันนั้น ถึงเมื่อเช้านี้น้ำยังไม่ไปฉะเชิงเทราและสมุทรปราการ ไม่มีน้ำให้สูบลงแม่น้ำบางปะกงและทะเล

ขอถามศปภ.ว่าแล้วน้ำก้อนใหญ่จะหายไปเองได้อย่างไร และจะไม่ลงมาหากรุงเทพฯซึ่งเป็นที่ต่ำหรือ

หลักของการเตือนภัยก็คือต้องให้ภาพว่าถ้าสถานการณ์เลวร้ายที่สุดอาจเป็นอย่างไร ทุกฝ่ายควรเตรียมตัวอย่างไร ซึ่งถ้าไม่เกิดก็ไม่เป็นไร แต่ต้องเตรียม

การเตรียมรับสึนามิเขาต้องมีไว้ตลอด คนจึงรู้สึกปลอดภัยไม่ใช่ตระหนกเพราะมีแผน พอเกิดแผ่นดินไหวในทะเล  บางที่เขาให้อพยพคนขึ้นที่สูงทันที แต่เมื่อไม่มีผลกระทบก็กลับบ้าน ที่เขาเดือดร้อนที่ต้องอพยพกันโกลาหลเขาก็ไม่โกรธ

ต้องตั้งโจทย์ใหม่ว่า ถ้ากรุงเทพฯเป็นแบบนครสวรรค์บวกบางบัวทอง จะเตรียมรับกันอย่างไร มีแผนรับมืออย่างไรและประชาชนจะเตรียมตัวอย่างไร ไม่ใช่บอกแต่ว่ากรุงเทพฯจะไม่เป็นไร

ข่าวว่าศปภ.มีแผนเตรียมรับกรณีน้ำท่วมกทม.ทุกด้านแล้ว ถ้ามีควรจัดชี้แจงให้ประชาชนทราบ ไม่ต้องกลัวว่าชี้แจงแล้วคนจะตระหนก คนเขากลัวว่าจะไม่มีแผน

บางคนว่าผู้รับผิดชอบยังมีความเห็นต่างกันในเรื่องน้ำจะท่วมกทม.มากน้อยแค่ไหน ฝ่ายที่คิดว่าคงไม่หนักจึงไม่อยากเตือนให้น่ากลัวเกินไปซึ่งเป็นการหลงประเด็น

ที่ถูกคือเมื่อเห็นว่าน้ำท่วมรุนแรงมาตลอดทางและมีบางฝ่ายเห็นว่าอาจรุนแรงมาก จะต้องเตือนให้เห็น worst case scenario และเตรียมรับมือ

ผมไม่ได้บอกว่าศปภ.ไม่พูดความจริง แต่ศปภ.ไม่เข้าใจหลักว่าด้วยการเตือนภัยกับการชี้แจงเพื่อให้ประชาชนเตรียมตัว 

ที่มา:เ

 

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

"ปลอดประสพ" จำลองสถานการณ์น้ำท่วมร้ายแรง "อย่าโกรธที่ผมพูดความจริง"?

Posted: 24 Oct 2011 01:20 PM PDT


“ปลอดประสพ สุรัสวดี”
 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ให้สัมภาษณ์ “ประชาชาติธุรกิจออนไลน์” ช่วงเย็นวันอาทิตย์ที่ 23 ต.ค. ที่ผ่านมา ในบรรยากาศที่สถานที่ต่างๆ ทั่วเมืองกรุงกำลังเร่งก่ออิฐเทปูน วางกระสอบทรายกั้นน้ำ อุดท่อไม่ให้เข้าอาคารพาณิชย์ ที่อยู่อาศัยและสถานที่สำคัญของประเทศ ความตื่นตระหนก อาหารน้ำดื่มหายไปจากชั้นสินค้า คนกรุงฯบางส่วนหนีย้ายไปจังหวัดอื่น สิ่งเหล่านี้ทาบทับกับกระแสน้ำหลากที่คืบมาในระดับความเร็ว 5 กิโลเมตรต่อวัน
"ปลอดประสพ" ผู้ถูกตำหนิและวิพากษ์วิจารณ์มากมายหลังจากออกมาแถลงให้ประชาชนในพื้นที่ทางเหนือและตะวันออกของกทม.อพยพโดยเร่งด่วน ด้วยประเด็นที่ถูกสังคมกร่นตำหนิว่า "โอเวอร์"? ผ่านจากถ้อยแถลงของเขามาเกือบ 2 สัปดาห์ สถานการณ์น้ำบริเวณพื้นที่ทางเหนือและตะวันออกของกทม.ก็ดูจะเขยิบความน่าหวาดระแวงอย่างเป็นระยะ
 
อย่างไรก็ตามเขายังยืนยันว่า ต้องการอธิบายให้ประชาชนเห็นสภาพกรณีตัวอย่าง หากสถานการณ์น้ำท่วมในกทม.เลวร้ายที่สุดจะเป็นอย่างไร?
 
ขอย้ำว่าเป็นการให้ "ภาพจำลองสถานการณ์" ในอนาคตหาก "เลวร้าย" แบบขีดสุดจะเป็นอย่างไร ซึ่งในต่างประเทศจะมีรูปแบบของการคาดการณ์สถานการณ์ล่วงหน้าในกรณีหากเลวร้ายสุดเพื่อเตรียมรับมือถึงสิ่งซึ่งอาจเกิดหรือไม่ก็ได้ เจ้าตัวถึงกับเอ่ยว่าอย่ามาโกรธผมที่ผมพูดความจริง(ที่อาจเกิดหรือไม่เกิด) ใครได้ยินได้ฟังจะ "เข้าใจ" หรือ "หมั่นไส้" ยิ่งขึ้น เชิญติดตามโดยพลัน...
 
@@@น้ำกลุ่มก้อนใหญ่ที่สุดผ่านไปหรือยัง?
 
น้ำทั้งหมดประมาณ 2 หมื่นล้านลูกบาศก์เมตร(ลบ.ม.) ออกไปแล้วประมาณ 1 หมื่นช่วงเดือนครึ่งที่ผ่านมา ขณะนี้ที่เหลือพัวพันกับเราประมาณ 1 หมื่นล้านลบ.ม โดย 3 พันเศษๆ เกือบ 4 พันล้าน ลบ.ม.ยู่ที่ จ.นครสวรรค์ ที่กำลังไหลลงมา แต่ส่วนที่พัวพันสู้รบกับเราอยู่ตอนนี้คือประมาณ 6,000-7,000ล้านลบ.ม.  ยังกระจายอยู่ที่ จ.ชัยนาท จ.อยุธยา จ.ปทุมธานี รังสิต ถ้าจะแยกเป็นหน่วยเล็กๆ เช่น อยู่รังสิต 500-600 ล้านลบ.ม. อยู่อยุธยา 2,000 ล้านลบ.ม. อยู่ปทุม 200-300 ล้านลบ.ม. ทั้งหมดจะไหลลงที่ต่ำ คือลงทะเล ลงได้ 3 ทางคือ 1) ทางตะวันตก ที่กำลังท่วม จ.สิงห์บุรี จ.ปทุมธานี จ.นนทบุรี บางใหญ่ บางบัวทอง บางกรวย และกำลังจะเข้ามหาวิทยาลัยมหิดลศาลายา อยู่รอมร่อ ตอนนี้มาถึงคลองมหาสวัสดิ์แล้ว และน้ำอาจจะลงไปเยี่ยม คุณเฉลิม(ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง) ที่บางบอน เป็นน้ำทุ่ง ผสมแม่น้ำเจ้าพระยา ตัวเลขหลักร้อยล้าน ลบ.ม. บุกเหมือนกองทัพความเร็ว 5 กิโลเมตรต่อ 1 วันเป็นการคืบบนแผ่นดิน 2) ทางตะวันออก เรียงตั้งแต่คลองระพีพัฒน์ รังสิต ขณะนี้น้ำอยู่แถวๆ คลอง 6 วา กำลังผลักดันให้น้ำลงทางตะวันออก ตอนนี้ก็ยังผันน้ำได้ผลอยู่ ซึ่งในอดีตไหลลงทางตะวันออกโดยธรรมชาติ แต่ปัจจุบันถูกบล็อคด้วยสิ่งก่อสร้าง เช่น ถนน ร้านค้า โรงงาน คลอง ประตูน้ำ ทำให้น้ำระบายลงยาก 

และ 3) น้ำส่วนที่ปริมาณน้อยที่สุดหากเทียบกับ 2 ส่วนแรก แต่อันตรายที่สุด ในแง่การไหลมาสู่คนกรุงเทพฯ ลงมาตรงๆ อย่างกรุงเทพฯ สมัยยังเป็น “บางกอก” น้ำก็ไหลลงทางนี้ แต่ขณะนี้มาเจอแรงต้านของเราแถวๆ รังสิต ซึ่งยื้อยุดกันอยู่แถวๆ สถานีสูบน้ำวชิราลงกรณ์ แถวหลักหก และเขื่อนในโครงการพระราชดำริเป็นแนวยาว น้ำตรงนั้นเป็นน้ำที่มาจากนวนคร ผ่านมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ผ่านเมืองเอก ซึ่ง หมู่บ้านแถวเมืองเอกน้ำท่วมสูงบางจุดประมาณ 1 เมตรกว่า บางจุดก็สูงท่วมอกคน ผมยังไม่รู้ว่าจะข้ามเขื่อนมาหรือไม่ ถ้าข้ามมาได้ถนนพหลโยธินก็จะกลายเป็นทางน้ำ ส่วนคลองประปาก็จะเป็นทางน้ำเช่นกัน เราทำเขื่อนกั้นไว้เยอะทำขึ้นไปสูง ถ้าแตกโพ๊ะก็วิ่งกันหัวปักหัวปำเที่ยวนี้ละครับ

@@@ การระบายน้ำที่ยังกระจายอยู่ 6,000-7,000 ล้านลบ.ม. และที่กำลังรอเวลาลงมาอีก 3,000-4,000 ล้านลบ.ม. จะเป็นอย่างไร?
 
น้ำไหลลงมามากกว่าระบายออก ทำให้มากองที่ภาคกลางเป็น “สนามรบ” คือตั้งแต่อยุธยา ถึงกรุงเทพฯ การระบายทำได้น้อยกว่า โดยระบายออก ไม่เกิน 500 ล้าน ลบ.ม. ต่อ 1 วัน ทั้งฝั่งตะวันออก ตะวันตก แปลว่าน้ำจะขัง 20-30 วัน อย่างเบาะๆ ส่วนนิคมอุตสาหกรรม ก็ต้องกู้อาจจะใช้เวลา 3-6 เดือน  
                
@@@ ศักยภาพในการระบายน้ำ?
 
ศักยภาพในการระบายออก เดิมเฉพาะฝั่งตะวันออกอย่างเดียวก็ประมาณ 10 ล้าน ลบ.ม.ต่อวันทั้งที่มีเครื่องสูบน้ำ 99 เครื่อง แต่ปัจจุบันได้ถึง 30 ล้านลบ.ม.แล้วก็ได้ระบายออกทางแม่น้ำบางปะกงอีก 20 ล้านลบ.ม. รวมแล้วฝั่งตะวันออกได้ 50 ล้าน ส่วนฝั่งตะวันตกได้ประมาณ 20 ล้านลบ.ม. ไม่เกิน 70 ล้านลบ.ม. ส่วนแม่น้ำเจ้าพระยาระบายได้ประมาณ 400 ล้านลบ.ม. 
 
 
@@@ ฝั่งตะวันตกยังมีปัญหาการระบายน้ำหรือไม่?
 
ยังมีปัญหาอยู่ เพราะเราไม่ได้ลงทุนสร้างคลองระบายน้ำเหมือนฝั่งตะวันออก
               
 
@@@ ช่วงไหนวิกฤติที่สุด จะเกิดปรากฎการณ์อะไร?
                

จากวันนี้(23ต.ค.) ไปถึงวันที่ 29 ต.ค. มีน้ำขึ้นน้ำลงของแม่น้ำเจ้าพระยา เพราะน้ำขึ้นพอดีในเวลาที่ข้าศึก(น้ำทุ่ง)โจมตีพอดี เมื่อน้ำสูงก็ระบายไม่ออก แต่ที่ท่วมบางใหญ่ บางบัวทองนั่นไม่ใช่น้ำทะเลแต่เป็นกองทัพน้ำทุ่งฝั่งซ้าย(ตะวันตก)บุกลูกเดียว เมื่อมีทั้งน้ำทะเลหนุนพร้อมกับน้ำทุ่งไหลลงมา น้ำก็ยกตัวขึ้นสูง วิธีระบายก็ต้องสูบออกตอนนี้ถ้าจะฝ่าน้ำทะเลต้องดันออก แต่เนื่องจากน้ำทะเลมีผลเฉพาะแม่น้ำเจ้าพระยา ก็จะปรากฏน้ำขึ้นที่ปากน้ำเยอะ แต่ขึ้นที่นนทบุรีน้อย ฉะนั้น เวลาน้ำทะเลขึ้น ต้องบอกว่าขึ้นสูงสุดที่ไหน ที่ปากน้ำ หรือที่กองทัพเรือ หรือที่สะพานพุทธ มันทำให้การระบายตามธรรมชาติเป็นไปอย่างลำบาก แล้วช่วงนี้ลมใต้เริ่มแรง พัดน้ำฝั่งตะวันออก สู่ตะวันตกของอ่าวไทย แล้วน้ำทะเลจึงไหลตามเข็มนาฬิกา ทำให้น้ำทะเลสูงกว่าปกติประมาณ 30 เซนติเมตร ฉะนั้น ไหนจะน้ำขึ้นโดยพระจันทร์ ก็ยังมาเจอน้ำขึ้นโดยลมอีก

@@@ ภาพที่จะเกิดขึ้นในกรุงเทพฯ จะเป็นอย่างไร?
 
ถ้าน้ำที่เป็นกองทัพตรงกลาง(ระหว่างตะวันออก ตะวันตก) ไหลจากรังสิตเข้ากรุงเทพฯ และถ้าเขื่อนในโครงการพระราชดำริแตกนะ ถ้าเกิดกรณีแย่สุดคือ พื้นที่สูงๆ ในกรุงเทพฯ ก็คงท่วมตาตุ่มหรือบั้นเอว ส่วนที่ต่ำในกทม. ก็ท่วมถึงคอ หรือท่วมมิดหัว ยกตัวอย่างเช่น ลานพระบรมรูปทรงม้า เป็นพื้นที่สูงก็ถึงหัวเข่า ส่วนที่ต่ำก็เช่น มหาวิทยาลัยรามคำแหง ก็ท่วมถึงศรีษะ แต่ขอย้ำว่า ในกรณีที่น้ำบุกเข้ามาในกทม.แล้วเขื่อนแตก จึงจะท่วมขนาดนั้นขอพูดให้ชัด
                
 
@@@ ภาพเก่าๆ เช่น พ.ศ. 2485 น้ำท่วม  จะกลับมาอีกหรือไม่?
 
ถ้าน้ำบุกเข้ามาแล้วเขื่อนแตก ก็เป็นอย่างงั้นอยู่แล้ว จะได้เห็นภาพเดิมซึ่งผมเตรียมจะถ่ายรูปเก็บไว้เป็นประวัติศาสตร์ให้ลูกหลานผมดู คิดไว้แล้วว่าจะไปยืนถ่ายตรงไหน แต่ถ้าเขื่อนไม่แตกเราก็ได้ถ่ายรูปแถวรังสิตบางเขนอย่างทุกวันนี้
              
 
@@@ เตรียมการป้องกันสถานที่สำคัญที่อยู่ริมน้ำเจ้าพระยา เช่น พระบรมมหาราชวัง และโรงพยายาลศิริราช อย่างไร?
 
อย่างพระบรมมหาราชวัง มีรั้วรอบขอบชิดอยู่แล้ว รักษาได้แน่ 100%  เช่นเดียวกับที่โรงพยาบาลศิริราช ป้องกันได้ เพราะสถานที่แข็งแรงและไม่ใช่สถานที่ใหญ่ ก็รักษาได้ทำคันเสริมได้

 

@@@ มีปัญหาน้ำจากเขื่อนอีกหรือไม่?
 
ลืมไปได้เลยเพราะอีกนานกว่าน้ำจะลงมาจากเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิตต์ ไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาคือน้ำจากนครสวรรค์ น้ำจากชัยนาท บางไทร ซึ่งยังไหลมาทุกวัน  เป็นกองทัพเสริมทุกวัน ส่วนเรื่องมีคนกล่าวหาว่าผมเป็นคนสั่งให้เปิดน้ำน้ำเขื่อนมาก่อนหน้านี้นั้นเป็นไปไม่ได้ ข้อแรกคือ ผมเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ แต่คนที่จะสั่งเปิดน้ำปิดน้ำของเขื่อนภูมิพลกับสิริกิตต์ คือ รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กับบอร์ดการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และข้อที่สองคือ เขาจะเปิดหรือปิดหรือไม่ที่ผ่านมา มันเป็นเรื่องในเดือนมกราคม แต่ผมเพิ่งเป็น รัฐมนตรี 2 เดือน ขณะที่การตัดสินใจปิดหรือเปิด เกิดเมื่อ 7-8 เดือนที่แล้ว ท่านธีระ(รมว.เกษตรฯ) ต้องอธิบาย ไม่ใช่มาถามปลอดประสพ แล้วจู่ๆ มาเป็นชื่อผม เป็นการโกหกหน้าด้านๆ จงใจสร้างข่าวทำลายผม ใครที่ทำกับผมอย่างนี้ขอให้บ้านมันน้ำท่วม โทษฐานกล่าวหาผมทั้งที่ผมไม่เกี่ยวข้อง
 
แล้วผมเป็นคนสั่งปิดน้ำเขื่อนภูมิพลกับเขื่อนสิริกิตต์ เมื่อวันที่ 21 ต.ค. ต่อหน้านายกรัฐมนตรีเพราะท่านนั่งข้างผมแล้วให้ผมโทร ผมก็บอกประธานบอร์ดการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ ก็คือปลัดกระทรวงผม ให้ปิดน้ำจากเขื่อน ส่วนที่เขาเปิดปิดเขื่อนให้เดือดร้อนนั่นมันเมื่อ 6-7 เดือนที่แล้ว ผมยังไม่ได้เป็นรัฐมนตรี ตอนนั้นผมเป็นรองหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านครับ
โกรธผมทำไมครับ ผมพูดความจริงแล้วโกรธผมทำไมครับ
 
 
@@@ ปัญหา “ความจริง” ที่ผ่านมาคืออะไร?
 
เวลาผมบอกว่าต้องให้ความจริง ผมหมายถึงกรมชลประทาน ภายใต้คุณธีระ วงศ์สมุทร ต้องบอกความจริงให้กับประชาชน และบอกความจริงกับเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลที่อยู่ใน ศปภ. ปัญหาที่ผ่านมา อาจจะเป็นปัญหาความร่วมมือ ปัญหาความไม่เข้าใจ ปัญหาความไม่รู้หรือไม่ยอมรับ และปัญหาจุดยืนของกรมชลประทาน ไม่เคยพูดเรื่องน้ำท่วมทุ่ง ที่กรมชลฯ บอกว่าควบคุมได้ก็พูดถึงถึงแต่น้ำแม่น้ำ ลำน้ำ ประตูน้ำ ถ้าเขาไม่พูดก็ต้องให้คนอื่นพูดอย่าปฏิเสธข้อมูลคนอื่นทำให้ขาดข้อมูล ผมเคยเป็น ผอ.ศูนย์เตือนภัยฯ และกระทรวงวิทยาศาสตร์เองก็มีคนเก่งเกี่ยวกับน้ำหลายคนทั้งน้ำแม่น้ำและน้ำทุ่ง โดยเฉพาะน้ำทุ่งที่คราวนี้มี 80-90% ที่เราต้องจับตา การคำนวณน้ำทั้งหมด 20,000 ล้านลบ.ม. เป็นการคำนวณของกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ โดยใช้เครื่องมือภาพถ่ายดาวเทียม ขณะที่กรมชล ใช้เครื่องมือวัดน้ำในแม่น้ำ ก็เลยไม่เคยยอมรับตัวเลข 20,000 ล้านลบ.ม.ฉะนั้น ถ้าเขาไม่มีเครื่องมือหรือข้อมูลทั้งหมด ก็ไม่ควรปฏิเสธข้อมูคนอื่น อย่างน้อย ถ้าขาดข้อมูลอะไร ก็ให้คนอื่นที่มีข้อมูลชี้แจงร่วมกันก็ยังดีกว่าบอกว่าควบคุมได้  
                
@@@ ตอนนี้ทำอะไรได้บ้าง?
 
“ทำใจ” แล้วก็ทำกับข้าวเก็บไว้กิน ดูทีวี ทำใจให้สบาย เก็บของขึ้นที่สูง ถ้าน้ำสูงมากก็ย้ายไปอยู่บ้านญาติ ผมเห็นใจคนกทม. และเห็นใจตัวเองด้วยบ้านผมก็ท่วมด้วย ผมอยู่บ้านคนเดียวแล้ว เพราะลูกเมียและหลานไปต่างจังหวัด แต่ต้องคิดให้สนุกคิดให้ชีวิตตัวเองมีค่า คืนนี้ผมอาจจะนอนบนเรือแอร์เย็นฉ่ำ ท่วมมาเลยผมไม่ทุกข์...เขาห้ามโกรธพระพาย อย่าไปสู้กับพระพาย พระพิรุณ พระสมุทร เขาไม่ให้สู้กับท่าน ผมไม่สู้ โบราณเขาสอนกันมานับพันปี ปัดโธ่! วาตภัย อุทกภัย หนีลูกเดียว...
                
@@@ น้ำจะถูกระบายลงคลองแสนแสบมีความเป็นไปได้หรือไม่?
 
คลองแสนแสบถูกใช้น้อยไปหน่อย ที่จริงสามารถเปิดน้ำจากฝั่งตะวันออกผ่านคลองแสนแสบไปลงเจ้าพระยาไปมากกว่านี้ แต่คุณชาย(ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร) คงไม่กล้า แกกลัวไง เห็นไหม คลองเปรม คลองแสนแสบ คลองบางลำพู คลองผดุงกรุงเกษมที่ต่อจากคลองแสนแสบ ก็โล่ง ทั้งที่ความจริงยังปล่อยน้ำได้อีก แต่คงเพราะกำลังจะเลือกตั้งผู้ว่ากทม. ก็เลยไม่กล้าระบาย กลัวพลาด เราก็เข้าใจ เพราะน่าหวาดเสียวในการใช้  แต่เป็นผู้นำต้องใจกล้า ขอฝากไปบอกคุณชาย ว่า คลอง เขาสะกดว่า ค-ล-อ-ง แปลว่า ที่ระบายน้ำ ไม่ใช่ถนน ถ้าคลองไม่ใช่ที่ระบายน้ำแล้วจะมีไว้ทำไม ก็เรียกถนนแสนแสบไปเสียเลย ผมเดาว่าเขากลัวน้ำท่วมกรุงเทพฯ แล้วจะเสียคะแนน
                
@@@ จะเจรจากับ กทม. ให้ระบายน้ำลงคลองหรือไม่?
 
ผมไม่ได้มีหน้าที่เจรจา ผมเป็นฝ่ายปฏิบัติการ ถ้าเขาสั่งให้ผมลุยเมื่อไหร่ก็ลุย 

 

 

ที่มา:ประชาชาติธุรกิจ /"ปลอดประสพ"ยังจัดหนัก!! จำลองสถานการณ์น้ำท่วมกทม.ขั้นสูงสุด "อย่ามาโกรธผมที่ผมพูดความจริง"?

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เชิญดาวน์โหลดโปสเตอร์คู่มือ"การเตรียมตัวเพื่อเป็นผู้ประสบภัยที่ดี"เพื่อรับมือกับอุทกภัย

Posted: 24 Oct 2011 11:43 AM PDT

ปัจจุบันมวลน้ำกว่า 1.1หมื่นล้านลูกบาศก์เมตรจากภาคเหนือของประเทศทุ่มโถมเข้าใส่กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงอันศักดิ์สิทธิ์ จุดศูนย์กลางระบบการปกครอง จุดศูนย์กลางเศรษฐกิจ เป็นทั้งที่อยู่อาศัยของคนที่รวยที่สุดและคนที่จนที่สุดในประเทศไทย

เหตุแห่งปัญหาพักไว้ยังไม่ต้องรีบหาคำตอบในยามที่อุทกภัยพุ่งเข้าประทะ การรักษาชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วน ปริพัฒน์ สินม นิสิตหลักสูตรนานาชาติ คณะสถาปัตย์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ใช้จิตใจของเขาและความรู้ที่เขามีจัดทำโปสเตอร์"การเตรียมตัวเพื่อเป็นผู้ประสบภัยที่ดี" ขึ้นเผยแพร่เพื่อลดความเสียหายจากอุทกภัยร้ายแรงที่เกิดขึ้นในประเทศไทยช่วงปลายปี 2554 นี้

 

เชิญดาวน์โหลดต้นฉบับสมบูรณ์ได้ที่:โปสเตอร์คู่มือการเตรียมตัวเพื่อเป็นผู้ประสบภัยที่ดี 



 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

Consensus: ประชาธิปไตยทางตรงในขบวนการยึดครองวอลสตรีท (ซับไทย)

Posted: 24 Oct 2011 11:12 AM PDT

สารคดี "Consensus" (ฉันทามติ) หรือ "Consensus (Direct Democracy @ Occupy Wall Street)" เป็นสารคดีความยาว 8 นาที ที่ผลิตโดย Meerkat Media Collective นำเสนอกระบวนการประชาธิปไตยทางตรงผ่านกระบวนการ "ฉันทามติ" ระหว่างการเคลื่อนไหวของขบวนการยึดครองวอลสตรีท (Occupy Wall Street) โดยทีมข่าวต่างประเทศของประชาไท ได้แปลคำบรรยายเป็นภาษาไทยประกอบ มีรายละเอียดดังนี้

สารคดีผลิตโดย: Meerkat Media Collective
วิธีอ่านคำบรรยายภาษาไทย: ขณะเล่นวิดีโอให้กดปุ่ม cc บริเวณมุมล่างขวาของจอวิดีโอ

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

หมอเผย การเสพย์ติดสื่อโป๊เปลือยทำให้ผู้ชายแย่เรื่องบนเตียง

Posted: 24 Oct 2011 10:52 AM PDT

23 ต.ค. 2554 - เว็บไซต์ข่าวต่างประเทศรายงานโดยอ้างผลวิจัยจากประเทศตะวันตกว่า กลุ่มคนที่เสพย์ติดการดูสื่อโป้เปลือยทางอินเตอร์เน็ตอาจทพให้เกิดการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้

มาร์เนีย โรบินสัน ผู้เขียนหนังสือ "Cupid's Poisoned Arrow" บอกว่ามีชายหนุ่มวัยเจริญพันธุ์จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ กำลังเสพย์ติดการชมสื่อโป๊เปลือยทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งทำให้พวกเขาไม่สามารถเกิดอารมณ์ทางเพศกับคู่นอนที่เป็นคนจริงได้

"มีชายหนุ่มจำนวนมากจากหลากหลายวัฒนธรรม จากต่างระดับการศึกษา ศาสนา ทัศนคติ ค่านิยม การกินอาหาร การเสพย์กัญชา และบุคลิกภาพ พวกเขาเหล่านี้ต้องการความช่วยเหลืออย่างมาก พวกเขาเหล่านี้มีอยู่สองอย่างที่เหมือนกัน คือการเสพย์สื่อโป๊เปลือยทางอินเตอร์เน็ตอย่างหนัก และมีความต้องการเสพย์แบบที่สุดโต่งมากขึ้นเรื่อยๆ" มาร์เนีย กล่าวในบทความที่โพสท์ทางเว็บไซต์ Psychology Today

เธอบอกอีกว่า ชายส่วนมากแปลกใจที่พบว่าการใช้สื่อโป๊เปลือยกลายเป็นปัจจัยหนึ่งของปัญหาการร่วมเพศจริง

"พวกเขาแปลกใจที่การเสพย์สื่อโป้เปลือยอย่างหนักส่งผลทางลบกับพวกเขา ไม่มีใครบอกมาก่อนว่ามันอาจกระทบต่อพวกเขาได้ และมนุษย์เราก็สามารถช่วยตัวเองได้โดยไม่จำเป็นต้องมีสื่อโป๊เปลือย เป็นเรื่องที่แทบจะถูกละเลยโดยสิ้นเชิงในการศึกษาค้นคว้าเรื่องการเสพย์ติดของผู้เสพย์สื่อโป้เปลือย" มาร์เนียกล่าว

มาร์เนียเปิดเผยว่ากรณีศึกษาจำนวนมากเคยพบแพทย์ ได้รับการทดสอบหลายอย่าง แต่ก็ยังได้รับการสรุปว่า "ปกติ" ในทางกายภาพ

การวินิจฉัยขั้นสุดท้ายโดยปกติแล้วคือ "การวัดความวิตกกังวลในเชิงปฏิบัติ" เธอกล่าว

มาร์เนียอ้างถึงการสำรวจของแพทย์ด้านอวัยวะเพศชาวอิตาเลียน ที่เคยศึกษาเรื่องการเชื่อมโยงกันระหว่างการแข็งตัวของอวัยวะเพศกับการเสพย์สื่อโป๊เปลือย

โดยคาร์โล ฟอร์เรสต้า หัวหน้าสมาคมบุรุษเวชวิทยาและการแพทย์เรื่องเพศ ศาตราจารย์จากมหาวิทยาลัยปาดัว ระบุว่าร้อยละ 70 ของชายหนุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือเรื่องสมรรถภาพทางเพศยอมรับว่าพวกเขาเสพย์สื่อโป้เปลือยอย่างเป็นนิสัย

พวกเขาใช้เวลาฟื้นฟู 6-12 สัปดาห์ และในกลุ่มที่รับการฟื้นฟูนั้น "แสดงผลก้าวหน้าไปในทางเดียวกันอย่างน่าประหลาดใจ" เธอกล่าว

'การกระตุ้นเร้ามากเกินไป' ในสื่อโป้เปลือย

มาร์เนีย บอกว่าผลการวิจัยแสดงออกมาในเชิงกายภาพ ไม่ใช่ในเชิงจิตใจ

เธอบอกว่าจากการวิจัยเรื่องพฤติกรรมเสพย์ติดล่าสุดพบว่าการสูญเสียแรงขับทางเพศและสมรรถภาพทางเพศเกิดขึ้นจากการที่ผู้เสพย์ เสพย์สื่อโป้เปลือยอย่างหนักจนเกิดความเฉื่อยชาต่อสมองด้านที่ตอบสนองอารมณ์พึงพอใจ

"การพยายามก้าวข้ามขีดจำกัดเรื่องเพศตามธรรมชาติ โดยอาศัยการกระตุ้นเร้าอย่างเข้มข้น ทำให้ผู้เสพย์ลดการตอบสนองต่อสารสื่อประสาทที่เรียกว่าโดปามีน" มารืเนียกล่าว

โดปามีนเป็นสารสื่อประสาทที่เป็นแรงเสริมให้เกิด "ความต้องการ" และการเสพย์ติด รวมถึงแรงขับการแสวงหาการตอบสนอง

"ถ้อยความ รูปภาพ และวิดิโอที่กระตุ้นเร้าทางเพศมีอยู่มาก่อนหน้านี้แล้ว แต่อินเตอร์เน็ตสามารถทำให้โดปามีนหลั่งจนถึงระดับขีดสุดอย่างไม่จบไม่สิ้น ผู้เสพย์สื่อโป้เปลือยในทุกวันนี้สามารถทำให้สารดังกล่าวหลั่งออกมาได้เรื่อยๆ โดยการเปิดชมสิ่งโป้เปลือยพร้อมกันหลายวินโดว์ ค้นหาอย่างไม่รู้จบ เร่งไปสู่ช่วงที่เร่าร้อนที่สุด เปลี่ยนไปพูดคุยเซ็กส์แชทแบบสดๆ อ่านนิยายโป้ได้ตลอดศก เติมไฟให้กับเซลส์ประสาทด้วยวิดิโอและแคมทูแคม (การสื่อผ่านกล้องวิดิโอของเครื่องคอมพิวเตอร์) หรือไม่ก็ยกระดับไปหารูปแบบที่สุดโต่ง และชวนให้วิตกกังวล" มาร์เนียกล่าว

"ทุกอย่างฟรีหมด เข้าถึงก็ง่าย ปรากฏให้ใช้ภายในไม่กี่วินาที ตลอด 24 ชั่วโมง ตลอด 7 วันในหนึ่งสัปดาห์ 'การกระตุ้นเร้ามากเกินไป' จึงกลายเป็นผลลัพธ์ที่เกิดกับสมอง เรื่องนี้มีความเป็นไปได้จริงในทุกวันนี้" เธอกล่าวเสริม

การเลิกเสพย์เป็นเรื่องที่ท้าทายมาก จากการที่จะทำให้ผู้เลิกมีความอยากทางเพศลดลงชั่วคราวอย่างเห็นได้ชัด และผู้ชายบางคนอาจมีอาการลงแดงด้วย

อาการลงแดงดังกล่าวนี้รวมถึงอาการนอนไม่หลับ, ฉุนเฉียวง่าย, ตื่นตระหนก, สิ้นหวัง, ปัญหาในการใช้สมาธิ และแม้กระทั่งอาการแบบโรคหวัด

มาร์เนียกล่าวว่า สมองต้องการโอกาสในการ "รีบูต" หรือกลับไปสู่การตอบสนองต่อสารโดปามีนอย่างเป็นปกติ

ที่มา:
Cyber porn making men bad in bed, GMA News, 23-10-2011

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ประยุทธ์ จันทร์โอชา

Posted: 24 Oct 2011 10:16 AM PDT

เราสู้กับภัยพิบัติและสู้กับน้ำ ไม่ได้สู้กับคน ไม่ได้สู้กับผู้ร้ายหรือโจรที่ไหน ดังนั้น เราไม่ต้องการกฎหมายอะไรมาก เพราะน้ำไม่ฟังกฎหมายอยู่แล้ว ผมจะเอาอำนาจไปทำอะไร

"ประยุทธ์" ชี้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินไม่จำเป็น เพราะน้ำไม่ฟังกฎหมายอยู่แล้ว

Who is this man? ตามหาชายนิรนามเก็บกล้องช่างภาพอิตาลี กุญแจไขปริศนาฆาตกรรม19พฤษภา53

Posted: 24 Oct 2011 09:52 AM PDT

 ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร นี่เป็นโอกาสที่จะช่วยให้เกิดความยุติธรรมต่อฟาบิโอ โปเลนกี (Fabio Polenghi - ช่างภาพอิตาเลียน)ผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์สลายการชุมนุม พฤษภา 2553

 

พี่สาวผู้มุ่งมั่นของ ฟาบิโอ โปเลนกี (Fabio Polenghi - ช่างภาพอิตาเลียนซึ่งเสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมปี 53) ได้เปิดเพจ "Who is this man?" ( https://www.facebook.com/pages/Who-is-this-man/240714019314299) ขึ้น เพื่อตามหาชายในภาพ ซึ่งได้เก็บกล้องของน้องชายเธอไปหลังจากที่เขาถูกยิง 

โดยเธอเชื่อว่าชายคนนี้สามารถให้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันที่ 19 พ.ค. 53 ซึ่งมีความสำคัญต่อการสืบสวนในคดีของฟาบิโอได้

เธอและครอบครัวจึงต้องการติดต่อกับชายในภาพ เพื่อขอข้อมูล หรืออย่างน้อย "ภาพในเมมโมรีการ์ด" จากกล้องของฟาบลิโอ ซึ่งมีความหมายต่อเธอและกรณีนี้อย่างมาก

หากคุณเป็นคนในภาพ หรือทราบช่องทางติดต่อชายคนนี้ ได้โปรดแจ้งไปยังพี่สาวของฟาบิโอ โดยส่งข้อความผ่านทางเพจนี้https://www.facebook.com/pages/Who-is-this-man/240714019314299 หรือส่งอีเมลไปที่ info@fabiopolenghi.org โดยไม่จำเป็นต้องระบุชื่อจริง

ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร นี่เป็นโอกาสที่จะช่วยให้เกิดความยุติธรรมสำหรับผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์

ได้มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า ดูจากภาพแล้วชายผู้นี้น่าจะเป็นคนช่วยชีวิตช่างภาพอิตาเลียน หากดูจากหมวกที่ใส่ และเสื้อที่เหมือนเสื้อเกราะ พบว่าเหมือนๆพวกนักข่าวต่างประเทศชอบใส่เวลานั้น ดังนั้นชายผู้นี้อาจจะเป็นนักข่าว หรือช่างภาพ (ไม่นักข่าวช่างภาพไทยก็อาจเป็นชาวเอเชีย อาจเป็นญี่ปุ่น มาเลย์ ฟิลิปปินส์ อะไรยังงั้นไหม?)

http://farm7.static.flickr.com/6211/6277078900_367144f812.jpg

 

เป็นไปได้ไหมว่าชายผู้นี้อาจจะเป็นนาย MASAYUKI ZAITO ช่างภาพของสำนักข่าว NEWSCLIP เข้าไปช่วยช่างภาพอิตาเลียน เมื่อพิจารณาจากสารคดีของบีบีซีที่เคยสัมภาษณ์เขาไว้(ดูตั้งแต่นาทีที่ 9.13-9.45) พบว่ามีเค้าหน้าใกล้เคียงกัน

อย่างไรก็ตามแอดมินของเพจWho is this man?(พี่สาวของนัำกข่าวอิตาเลียนผู้เสียชีวิต)แจ้งว่านาย Masayuki Zaito ไม่ใช่ชายนิรนามที่กำลังประกาศตามหา เพราะเป็นที่แน่ชัดว่าแม้นายMasayuki Zaitoจะอยู่ในเหตุการณ์ แต่เป็นคนละคนกับชายในภาพที่ตามหา เนื่องจากในเหตุการณ์ดังกล่าวMasayuki Zaitoใส่หมวกสีเหลือง ไม่ใช่หมวกสีเทาดำดังคนในภาพที่กำลังตามหา ดูในคลิปข่าวต่อไปนี้ในนาทีที่0.05 

 

 

ที่มา:Who is this man? ตามหาชายนิรนามเก็บกล้องช่างภาพอิตาลี กุญแจไขปริศนาฆาตกรรม19พฤษภา53   เว็บไซต์ไทยอีนิวส์

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

24 ต.ค. - น้ำเจ้าพระยาเอ่อท่วม ถ.จรัญสนิทวงศ์

Posted: 24 Oct 2011 09:22 AM PDT

ช่วงหัวค่ำวันนี้ (24 ต.ค. 54) ระดับน้ำเจ้าพระยาด้านใกล้กับเชิงสะพานซังฮี้ได้เพิ่มสูงขึ้นและทะลักมาตามคลองที่ติดต่อกับแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้เกิดน้ำท่วมตั้งแต่ปากซอยจรัลสนิทวงศ์ 74 ถึง 82 โดยระดับน้ำที่ถนนจรัญสนิทวงศ์อยู่ที่ 80 ซม. ถึง 1.20 ม. และมีกระแสน้ำไหลเชี่ยว และรถเล็กไม่สามารถสัญจรได้

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

การประปาแนะควรสำรองน้ำเต็มที่ ชี้วิกฤตนี้รุนแรงกว่าที่คิด

Posted: 24 Oct 2011 07:01 AM PDT

ผู้ว่าการการประปานครหลวงแนะให้ประชาชนสำรองน้ำประปาเต็มที่ ระบุวิกฤตน้ำท่วมรุนแรงกว่าที่คาด อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าขณะนี้การประปายังผลิตน้ำได้ปกติและได้มาตรฐาน

 

นายเจริญ ภัสระ ผู้ว่าการการประปานครหลวง(กปน.) กล่าวว่า ขอให้ประชาชนสำรองเก็บน้ำประปาไว้ให้เต็มที่ เพราะวิกฤตน้ำท่วมในครั้งนี้ มีความรุนแรงมากกว่าที่คนส่วนใหญ่คาดคิด อย่างไรก็ตามขณะนี้การประปายังสามารถผลิตน้ำได้ตามปกติและยันว่ามีคุณภาพดีตามมาตรฐานองค์การอนามัยโลก สามารถใช้และบริโภคได้อย่างปลอดภัย

"กปน.ยืนยันว่าพูดแต่ความจริง เนื่องจากเรื่องคุณภาพน้ำ เป็นสิ่งสำคัญต่อคุณภาพชีวิตของผู้บริโภคน้ำประปากว่า 10 ล้านคน หากเมื่อใดที่ กปน. ไม่สามารถจะผลิตน้ำประปาให้ได้ตามมาตรฐานก็จะบอกความจริงให้ประชาชนได้ทราบโดยจะไม่มีการปิดบังแต่อย่างใด" นายเจริญกล่าว

อย่างไรก็ตามในวันที่ 24 ต.ค. เครือข่ายผู้นำชุมชนจากชุมชนต่างๆ ในบริเวณใกล้เคียงแนวคลองประปา อาทิ ชุมชนหลักสี่ บางซื่อ ฯลฯ ได้มาขอพบผู้บริหารของการประปาเพื่อขอทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกรณีน้ำท่วมคลองประปา โดยมีนายยงยุทธ์ อภัยจิรรัตน์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ กปน. ให้การต้อนรับและชี้แจงสร้างความเข้าใจว่า น้ำที่ไหลล้นจากคลองประปานั้น เป็นน้ำที่ท่วมล้นมาจากคลองบางหลวงเชียงราก ผ่านแนวกั้นน้ำของคลองประปาเข้ามาจนกลายเป็นพื้นน้ำแผ่นเดียวกันแล้ว

ที่ผ่านมาแม้ กปน.จะได้สร้างแนวคันกั้นน้ำไว้ในระดับสูงกว่า ปี 2538 ที่เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่มาแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถต้านทานได้ จึงเป็นเหตุสุดวิสัย น้ำดังกล่าวได้เอ่อล้นจากคลองประปาจนไปท่วมบ้านเรือนประชาชน 2 ฝั่งคลอง ซึ่งขณะนี้ ทั้ง กปน. และ กทม. ได้เร่งแก้ไขให้แล้ว สามารถแก้ปัญหาได้ดีในช่วงแนวคลองประปาตั้งแต่คลองบางเขนเป็นต้นไปจนถึงสามเสน และบริเวณหน้าโรงงานผลิตน้ำบางเขน แม้ยังมีน้ำรั่วซึมออกมาจากคลองอยู่บ้าง แต่ก็สามารถระบายลงคลองได้ โดยไม่มีการท่วมขัง

ส่วนแนวคลองทางด้านเหนือนั้นยังแก้ไขได้ไม่สมบูรณ์ ซึ่งผู้นำชุมชนต่างรับทราบและจะได้สร้างความเข้าใจให้กับประชาชนในชุมชนต่อไป

ที่มา: เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ปิดถนนจรัญสนิทวงศ์ย่านบางพลัด หลังน้ำเจ้าพระยาเอ่อท่วม

Posted: 24 Oct 2011 06:00 AM PDT

เจ้าหน้าที่ได้ปิดกั้นถนนจรัญสนิทวงศ์ทั้งขาเข้าและขาออกตั้งแต่ปากซอย 74 ถึง 82 แล้ว หลังระดับน้ำเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้นและทะลักมาตามคลอง โดยระดับน้ำที่ถนนจรัญสนิทวงศ์อยู่ที่ 80 ซม. ถึง 1.20 ม. มีกระแสน้ำไหลเชี่ยว รถเล็กไม่สามารถสัญจรได้

ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อเวลา 19.40 น. (24 ต.ค. 54) ว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้ปิดกั้นถนนจรัญสนิทวงศ์ทั้งขาเข้าและขาออกตั้งแต่ปากซอยจรัญสนิทวงศ์ 74 ถึง 82 แล้ว หลังระดับน้ำเจ้าพระยาได้เพิ่มสูงขึ้นและทะลักมาตามคลองที่ติดต่อกับแม่น้ำเจ้าพระยา โดยระดับน้ำที่ถนนจรัญสนิทวงศ์ขณะนี้อยู่ที่ 80 ซม. ถึง 1.20 ม. และมีกระแสน้ำไหลเชี่ยว และรถเล็กไม่สามารถสัญจรได้

โดยหน่วยงานที่เข้ามาจัดการเรื่องคันกั้นน้ำขณะนี้คือกองทัพเรือ และพนักงานดับเพลิง ส่วนประชาชนที่จะเข้าไปบริเวณที่พักอาศัยในซอยที่มีน้ำท่วมดังกล่าว สามารถมาขึ้นรถหกล้อได้ที่สถานีดับเพลิงบางอ้อ

ในส่วนของสภาพการจราจรนั้น ขณะนี้รถที่มาจากสะพานพระราม 7 เมื่อเข้าถนนจรัญสนิทวงศ์ต้องกลับรถ หรือเลี่ยงไปใช้ถนนเลียบทางรถไฟตัดใหม่เพื่อทะลุมายังสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ข้อเสนอนิติราษฎร์(ดีวีดี)ไปถึงต่างจังหวัด

Posted: 24 Oct 2011 04:49 AM PDT

มีผู้รวบรวมข้อเสนอของกลุ่มนิติราษฎร์ในแต่ละโอกาสบรรจุเป็นแผ่นดีวีดีจำหน่าย โดยพบตามเวทีคนเสื้อแดงในต่างจังหวัด

แผ่นดีวีดีข้อเสนอของกลุ่มนิติราษฎร์ในโอกาสต่างๆ ซึ่งมีผู้รวบรวมและทำสำเนาจำหน่ายในรูปแบบดีวีดี

24 ต.ค. 54 - ผู้อ่านประชาไทที่ จ.ลำพูน ส่งภาพถ่ายแผงขายดีวีดีแห่งหนึ่ง ซึ่งขายอยู่ในงานชุมนุมของคนเสื้อแดงใกล้ย่านนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ อ.เมือง จ.ลำพูน เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา โดยหนึ่งในดีวีดีที่ถูกวางจำหน่าย คือดีวีดีบันทึกข้อเสนอของนักวิชาการนิติศาสตร์กลุ่ม "นิติราษฎร์" ที่เพิ่งมีข้อเสนอให้ลบล้างผลพวงจากการทำรัฐประหาร

สำหรับแผ่นดีวีดีดังกล่าว เป็นการรวมข้อเสนอของกลุ่มนิติราษฎร์ในโอกาสต่างๆ ทั้งจากวงเสวนา การแถลงข่าว และการพูดในรายการโทรทัศน์ มีความยาวรวมกว่า 6 ชั่วโมงเศษ

แม้จะไม่มีโอกาสเข้ามาฟังการเสวนาตามสถาบันการศึกษาในกรุงเทพฯ แต่ประชาชนในต่างจังหวัดจะใช้วิธีติดตามวงเสวนาต่างๆ ผ่านการซื้อแผ่นดีวีดีบันทึกการเสวนาทางวิชาการ และนำมาเปิดกับเครื่องเล่นดีวีดีที่บ้าน

ก่อนหน้าที่จะมีดีวีดีรวมข้อเสนอทางวิชาการของกลุ่มนิติราษฎร์จำหน่ายในต่างจังหวัดนั้น ดีวีดีการอภิปรายของสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นักวิชาการทางประวัติศาสตร์ก็เป็นที่นิยมเช่นกัน

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

"ประยุทธ์" ชี้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินไม่จำเป็น เพราะน้ำไม่ฟังกฎหมายอยู่แล้ว

Posted: 24 Oct 2011 02:47 AM PDT

ผบ.ทบ. เผยตอนนี้สั่งการให้กองทัพป้องกันไม่ให้น้ำเข้าหลายพื้นที่และให้ระบายน้ำให้ทันเวลา  แนะอย่าตื่นตระหนก กทม. มีอยู่ 50 เขต มีเขตเสี่ยงภัย 27 เขต ส่วน พ.ร.ก.ฉุกเฉินไม่มีความจำเป็นเพราะมี ม.31 พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแล้ว ย้ำสู้กับน้ำไม่ได้สู้กับคน ไม่ต้องการกฎหมายอะไรมาก น้ำไม่ฟังกฎหมายอยู่แล้ว

มติชนออนไลน์ รายงานว่า เมื่อเวลา 10.00 น. ที่กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม. 2 รอ.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) แถลงว่า พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งการให้กองทัพช่วยเหลือประชาชนทุกเรื่องทั้งการป้องกันในหลายพื้นที่ เพื่อไม่ให้น้ำส่วนใหญ่เข้ามาในพื้นที่ กทม. และให้ระบายน้ำให้ทันเวลา อย่าตื่นตระหนกคงไม่ทุกเขต เพราะ กทม.มีอยู่ 50 เขต แต่มีเขตเสี่ยงภัย 27 เขต ที่เราวางแผนล่วงหน้าเพราะป้องกันความสับสนว่าเมื่อเกิดน้ำท่วมในบางพื้นที่ จะทำอย่างไรต่อไป

"ส่วนจะต้องใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินหรือไม่นั้น เท่าที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมพิจารณา ถือว่ายังไม่มีความจำเป็น พ.ร.ก.มันจำเป็นในเรื่องกฎหมายที่จะต้องมีความขัดแย้งกันมากๆ และมีการใช้อาวุธ แต่นี่มันไม่ใช่ ตอนนี้เรามี ศปภ. ตามมาตรา 31 ของ พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เราสู้กับภัยพิบัติและสู้กับน้ำ ไม่ได้สู้กับคน ไม่ได้สู้กับผู้ร้ายหรือโจรที่ไหน ดังนั้น เราไม่ต้องการกฎหมายอะไรมาก เพราะน้ำไม่ฟังกฎหมายอยู่แล้ว ผมจะเอาอำนาจไปทำอะไร"

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

'กระจกเงา'เสนอแนวทางรับมือน้ำท่วม

Posted: 24 Oct 2011 12:02 AM PDT

มูลนิธิกระจกเงา โดยสมบัติ บุญงามอนงค์ เสนอรัฐบาล ให้ประชาชนพื้นที่เสี่ยงเตรียมอพยพ วอนผู้ประกอบหอพักงดเก็บค่าเช่าล่วงหน้า สุภิญญาแนะนอกจาก รพ.แล้ว ต้องรักษาจุดยุทธศาสตร์ด้านสื่อสารด้วย

(24 ต.ค.54) เว็บไซต์มติชนออนไลน์ รายงานว่า ที่ศูนย์ประชาสัมพันธ์ช่วยเหลือผู้ประสบภัย (ศปภ.) นายสมบัติ บุญงามอนงค์ ประธานมูลนิธิกระจกเงา แถลงข้อเสนอแนะแนวทางต่อรัฐบาลในการเตรียมรับมือกับสถานการณ์ภัยพิบัติน้ำท่วมว่า ขอให้ประชาชนที่อยู่พื้นที่เสี่ยงเตรียมความพร้อมในการอพยพ เก็บของขึ้นที่สูง และควรออกจากพื้นที่ โดยทำการตัดกระแสไฟให้เรียบร้อย แต่หากบุคคลใดมีความประสงค์จะเข้าไปอาศัยในพื้นที่น้ำท่วมนั้น ควรเตรียมอาหารและน้ำดื่ม เข้าไปอย่างน้ำ 1-2 อาทิตย์ ให้เพียงพอแก่การบริโภค และขอให้ภาคเอกชนจัดเตรียมสถานที่สำหรับฝากรถ เพราะไม่ควรนำรถไปจอดไว้ในทางด่วน หรือสะพาน เนื่องจากจะทำให้เป็นอุปสรรคต่อการขนส่ง และลดขีดความสามารถในการเข้าช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย

นายสมบัติกล่าวอีกว่า ขอให้ผู้ประสบภัยพิบัติน้ำท่วม เข้าพักอาศัยกับญาติ เพื่อนสนิท เพื่อช่วยลดปัญหาความแออัดที่ศูนย์พักพิง ขอให้ผู้ประกอบการหอพัก คอนโดฯ งดเว้นการจัดเก็บค่าเช่าล่วงหน้ารายเดือน สำหรับบริษัทเอกชน ห้างร้าน หากมีพนักงานที่ประสบอุทกภัยน้ำท่วม ควรประกาศให้เป็นวันหยุด และขอเรียกร้องให้ทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กรมการปกครอง และกรมการปกครองส่วนท้องถิ่น จัดทำโครงการโฮมสเตย์ เพื่อให้ผู้ประสบภัยเดินทางไปพักอาศัยในต่างจังหวัดได้ ซึ่งทางมูลนิธิกระจกเงา ที่สำนักงานจังหวัดเชียงราย ได้เปิดรับผู้ประสบภัยจำนวน 50 คน เข้าพักอาศัย ในโครงการท่องเที่ยวชาวเผ่า เพื่อให้ผู้ประสบอุทกภัยได้เรียนรู้วิถีชีวิตของชาวเขา อย่างไรก็ตาม ขอให้มีการควบคุมราคาสินค้า ต้องจัดการกับผู้ประกอบการที่ฉวยโอกาสในการขึ้นราคาสินค้า

ด้าน สุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการ กสทช. แสดงความเห็นผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวว่า "การลดความตื่นตระหนกคือการทำให้ประชาชนรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง ชัดเจน ทั่วถึง รัฐควรใช้เทคโนโลยีสื่อสารให้เป็นประโยชน์สูงสุด รัฐบาลควรมียุทธศาสตร์การสื่อสารเสมือนช่วงหาเสียงเลือกตั้ง สั้น กระชับ ชัดเจน ตอกย้ำ เข้าถึงประชาชนทุกจุด ให้เตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติ"

"หวังว่า ศปภ.จะร่วมมือ กทม.ใช้ช่องทางการสื่อสารที่มีอยู่ให้ข้อมูลชัดเจนกับ ปชช.อย่างเต็มที่ก่อนที่สถานีโทรทัศน์ระดับชาติในกรุงจะทยอยจมน้ำ นอกจากจุดอ่อนไหวเช่นโรงพยาบาลที่ต้องดูแลสูงสุดแล้ว ภาครัฐและเอกชนคงต้องประสานงานเฝ้าระวัง จุดยุทธศาสตร์การสื่อสารทั้งสถานีโทรทัศน์/โทรคมนาคม" (อ้างอิง 1,2,3,4)

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

บก.'อ่าน': ตำแหน่งแห่งที่ของ'คนทำหนังสือ' ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

Posted: 23 Oct 2011 07:55 PM PDT

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (22 ต.ค.) เนื่องในวาระการเปิดร้านหนังสือ Book Re:public และโครงการ Cafe Democracy ที่จังหวัดเชียงใหม่ เวลา 18.00 น. มีการจัดวงเสวนาสาธารณะในหัวข้อ "ยังจะทำ/เขียน/อ่าน/ขาย หนังสืออยู่อีกหรือ?" โดยมีวิทยากร ประกอบด้วย ไอดา อรุณวงศ์ บรรณาธิการวารสารอ่าน วรพจน์ พันพงศ์ นักเขียนหนังสือ/สารคดี และ เสาวนีย์ เมฆานุพักตร์ เจ้าของร้านหนังสือ 'เล่า' โดยได้แลกเปลี่ยนแรงบันดาลใจในการทำหนังสือท่ามกลางบริบททางสังคมและการเมืองปัจจุบัน จากมุมมองของคนที่เกี่ยวข้องในด้านต่างๆ 

ในการเสวนาดังกล่าว ไอดา บรรณาธิการวารสาร 'อ่าน' ได้อภิปรายประเด็นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นในสังคมไทย และนัยสำคัญของการแก้ไข พ.ร.บ. จดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ. 2550 ที่มติครม. เพิ่งมีมติเห็นชอบไปเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา โดยมีบทบัญญัติให้อำนาจแก่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในการจัดการกับสิ่งพิมพ์ที่เข้าข่ายหมิ่นเบื้องสูง, ละเมิด 'ความมั่นคงของชาติ' และ 'ศีลธรรมอันดี' 

ประชาไทขอนำเสนอบทอภิปรายดังกล่าวแก่ผู้อ่าน ดังนี้ 

Book Republic forum

(จากซ้าย) ไอดา อรุณวงศ์, เสาวนีย์ เมฆานุพักตร์ และวรพจน์ พันพงศ์
ภาพจาก เฟซบุ๊ก Book Re:public 

'ไอดา อรุณวงศ์' 

 

“การอ่านหนังสือจึงยังคงเป็นกิจกรรมของคนมีการศึกษาและมีโอกาสทางสังคมจำนวนหนึ่ง
ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่สามารถมีเสียงดังในสังคมนี้ได้โดยไม่ต้องลงแรง
เลือดตาแทบกระเด็นหรือถูกสไนเปอร์ยิงหัวเป็นว่าเล่น”

000

แม้จะได้รับการติดต่อจากคณะผู้จัดงานล่วงหน้าเป็นระยะเวลาพอสมควร แต่เอาเข้าจริงก็เพิ่งจะมานั่งคิดและเตรียมการพูดเมื่อไม่กี่วันนี้เอง ซึ่งอาจจะเป็นข่าวร้ายสำหรับผู้ฟังอยู่สักนิดตรงที่ว่า มันเป็นช่วงเวลาที่กำลังทบทวนอย่างหนักจริงๆ ว่า “ยังจะทำหนังสืออยู่อีกหรือ” หรืออันที่จริงถ้าจะให้ตรงกว่านั้นก็คือ “ยังจะทำต่อไปอีกทำไม” และคำตอบที่ได้ก็ออกจะชวนหม่นหมองและเป็นการมองโลกในแง่ร้ายอยู่สักนิด เพราะมันจะกลายเป็นคำตอบจากอารมณ์เก็บกดของ 1) คนทำหนังสือปัญญาชน 2) เพศหญิง (ไม่มีลูกมีผัว) 3) แห่งเจเนอเรชั่นลูกหลง 4) ที่ดำรงอยู่ในประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

ถ้าจะให้ขยายความนิยามต่างๆ ข้างต้น ก็คงต้องพูดกันยืดยาวเกินไป และจำนวนหนึ่งก็เป็นเรื่องที่ต้องเก็บและกดไว้ต่อไปอย่างลูกผู้หญิงของประเทศนี้ ที่ต้องคำนึงถึง “ขบวน” และถ้อยคำอะไรทั้งหลายที่ใหญ่โตกว่าคำที่ “เอาท์” ไปจากสังคมไทยแล้วโดยที่ยังไม่เคยได้ “อิน” อย่างคำว่า “สิทธิสตรี” ในวันนี้ และด้วยภาวะอารมณ์ที่ใกล้จะเป็นหญิงเสียสติเต็มที จึงไม่มีอะไรจะพูดถึงประเด็นนี้นอกจากการบอกตรงๆ กับปัญญาชนเพศชายจำนวนหนึ่งของประเทศนี้ว่า FUCK YOU และ FUCK OFF

ส่วนนิยามที่ว่าเป็นเจเนอเรชั่นลูกหลงนั้น ก็ควรจะเลิกฟูมฟายขยายความเสียที มันก็แค่เป็นคนรุ่นที่เกิดหลังรุ่น 14 และ 6 ตุลาไม่ทันพอที่จะมาเกทับกันทางประวัติศาสตร์ได้ แต่ก็ดันทันพอที่จะไปทะเล่อทะล่ารับเอาสปิริตบางอย่างของปัญญาชนรุ่นนั้นมาไว้ แล้วก็ได้แต่นั่งมองคนรุ่นนั้นใน “วัยวิกฤติ” ของพวกเขาอย่างตาสว่างกระจ่างใจ เพราะพวกเขาไม่เพียงไม่เยาว์ ไม่เขลา และไม่ทึ่ง อีกต่อไป แต่พวกเขายังเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ฉลาด และปวารณาตัวเพื่อกู้ชาติ รักพระพุทธทาสศาสนา และมั่นใจว่าคนไทยปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์กันเกินกว่าหนึ่งล้านคนแน่นอนอีกด้วย 

ในเมื่อไม่มีอะไรจะพูดในเรื่องเพศและวัย หรือเพศสถานะและเจเนอเรชั่นแล้ว ก็เหลือสองเรื่องให้อภิปราย คือเรื่องตำแหน่งแห่งที่และบริบท นั่นคือการทำหนังสือปัญญาชนในประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข 

ตอนที่เริ่มทำวารสารอ่านใหม่ๆ เคยมีนักข่าวถามว่าคิดอย่างไรกับปัญหาที่ว่าคนไทยอ่านหนังสือโดยเฉลี่ยเพียงปีละ 8 บรรทัดหรืออะไรทำนองนั้น ก็ตอบเขาไปว่าไม่รู้สึกว่าวารสารฉบับนี้จะต้องมาทำหน้าที่ส่งเสริมการอ่านให้คนไทยอ่านหนังสือให้เยอะขึ้น เพราะปัญหาไม่ได้อยู่ที่คนที่ไม่อ่านหนังสือ แต่อยู่ที่คนที่อ่านมากกว่า ว่าพวกเขาอ่านกันอย่างไร เพราะเราไม่ควรลืมว่าประชากรส่วนใหญ่ของประเทศนี้อยู่ในภาวะที่ขาดแคลนสวัสดิการพื้นฐานของชีวิตมานานหลายทศวรรษ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการศึกษา รายได้ขั้นต่ำ สิทธิในการรักษาพยาบาล แม้ในช่วงหลังมานี้จะมีความพยายามของฝ่ายการเมืองที่จะทำนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้อยู่บ้าง แต่ภาวะนี้ที่สะสมมานานก็ทำให้คนไทยจำนวนมหาศาลขาดโอกาสเหล่านั้นไปแล้ว และไม่น่าแปลกใจที่การอ่านหนังสือจะกลายเป็นกิจกรรมที่ฟุ่มเฟือยเกินไปสำหรับพวกเขา

การอ่านหนังสือจึงยังคงเป็นกิจกรรมของคนมีการศึกษาและมีโอกาสทางสังคมจำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่สามารถมีเสียงดังในสังคมนี้ได้โดยไม่ต้องลงแรงเลือดตาแทบกระเด็นหรือถูกสไนเปอร์ยิงหัวเป็นว่าเล่น คนกลุ่มนี้ โดยเหตุที่อยู่ในโลกของการสื่อสารแบบคนมีการศึกษา จึงมักเชื่อมั่นในการเรียนรู้ผ่านโลกของการอ่าน ไม่ว่าจะอ่านหนังสือที่เป็นเล่มหรืออ่านผ่านโลกไซเบอร์ ยิ่งอ่านภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมันได้ ยิ่งรู้สึกว่ารู้จักโลกมากขึ้นไปกันใหญ่ ซึ่งอันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องผิดนัก ช่วยไม่ได้ ก็อย่างที่นักเขียนบางคนของประเทศนี้เคยบอกไว้ – คนเรามันเกิดมาไม่เท่ากัน สอดคล้องกันกับที่เจ้านายบางคนเคยยกสาธกอธิบายว่า ดูแต่นิ้วมือทั้งห้าของเราก็หาได้เท่ากันไม่ ซึ่งทั้งครูภาษาไทยและนักสื่อสารมวลชนของไทยก็นิยมอ้างใช้กันต่อๆ มา โดยที่ไม่ยักฉุกคิดว่า จริงอยู่ นิ้วมือของคนอาจไม่สามารถยาวเพิ่มขึ้นได้ เกิดมาเป็นแบบไหนก็อยู่ไปแบบนั้น แต่มนุษย์เราสามารถขยับสถานะหรือตำแหน่งแห่งที่ของตัวเองได้ หากได้รับโอกาสทางสังคมการเมืองที่เท่าเทียมกันมิใช่หรือ ไม่ต้องพูดถึงว่านี่ออกจะเป็นการสอบตกวิชาการใช้เหตุผลขั้นพื้นฐาน ก็มันธุระอะไรเล่าที่จะเอาสิทธิทางการเมืองไปเทียบเคียงกับความสั้นยาวของนิ้วมือนิ้วตีน

คนกลุ่มนี้แหละ ที่วารสารอ่านมองว่าเป็นกลุ่มที่เป็นปัญหาหรือเป็นกลุ่มเป้าหมาย คนกลุ่มที่พูดอะไรก็เสียงดัง พูดอะไรก็ขลัง พูดอะไรก็ดูจะเป็นความจริงอันไม่อาจโต้แย้งได้ นั่นคือกลุ่มคน “นิ้วกลาง” ที่มีอภิสิทธิ์มากพอที่จะได้เป็นคนอ่านหนังสือ (และบางทีก็เป็นคนเขียนด้วย)

ส่วนคนกลุ่มที่ไม่ใช่กลุ่มคนที่เป็นปัญหาในสายตาของวารสารอ่าน คือคนกลุ่มที่ต้องเผชิญปัญหาในชีวิตมากมายอยู่แล้วจนไม่มีเวลาจะมาอ่านหรือมาหัดอ่านหนังสือ หากว่าหลังเสร็จการงานอันอ่อนล้าแล้วพวกเขาจะหันหน้าเข้าหาหนังสืออย่างศาลาคนเศร้า ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือน่าวิตกกังวลอันใด หนังสือเหล่านั้นอาจจะมีอะไรให้น่า “ถอดรหัส” “รื้อสร้าง” อยู่เหมือนกันก็ได้ แต่มันไม่เป็นปัญหาเท่าหนังสือที่เอาเข้าจริงแล้วอุดมไปด้วยมายาคติเสียยิ่งกว่า อันได้แก่บรรดาหนังสือของคนที่ไม่อ่านศาลาคนเศร้า คนกลุ่มที่เรามักเรียกว่าเป็นผู้มีการศึกษา หรือในหลายกรณีเราก็เรียกว่าเป็นปัญญาชน

แล้วเหตุการณ์ทางการเมืองในรอบสี่ห้าปีที่ผ่านมา ก็ยิ่งเป็นบทพิสูจน์ที่ดีว่า คนกลุ่มไหนที่ยิ่งอ่านหนังสือยิ่งไร้กึ๋น ยิ่งอ่านหนังสือที่ดูก้าวหน้ายิ่งดูจะล้าหลัง เห็นคนเป็นคนไม่เท่ากัน ถ้าไม่เห็นเป็นนิ้วมือก็เห็นเป็นควาย และต้องเป็นควายสีแดงเท่านั้นด้วย

ประชาชนที่ออกมาตายตามราชดำเนินและตรงราชประสงค์ ไม่ได้เรียนรู้ประชาธิปไตยจากหนังสือรัฐศาสตร์ ไม่ได้เรียนรู้เรื่องสิทธิและเสรีภาพจากนักปรัชญา ไม่ได้เรียนรู้เรื่องปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกันจากตำรามานุษยวิทยา ไม่ได้เรียนรู้เรื่องแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์จากขี้ปากนักมนุษยศาสตร์และวรรณคดีหน้าไหน ไม่ได้เรียนรู้เรื่องหัวใจและจิตวิญญาณจากนักเทศน์และศิลปินคนใด พวกเขาเรียนรู้จากการยอมเอาตัวและหัวใจเข้าแลก ซึ่งเป็นวิธีวิทยาที่โง่เกินไปสำหรับปัญญาชนหลังตู้หนังสือ

เท่าที่พล่ามมาก็คงพอจะทำให้ท่านทั้งหลายสังเคราะห์ออกมาได้ว่า เบื้องลึกของการยังฝืนทนเป็นคนทำวารสารอ่านและสำนักพิมพ์อ่านต่อไป ก็เนื่องมาจากความสัมพันธ์แบบ love-hate กับคนอ่านหนังสือทั้งหลาย ซึ่งรวมถึงตัวเองด้วย มีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อชดใช้บาปกำเนิดทางชนชั้นพอๆ กับชดใช้บาปกำเนิดของการเกิดเป็นลูกหลานนังอีฟ

คิดว่าคงไม่เป็นการเข้าข้างตัวเองเกินไปแน่นอนถ้าจะบอกว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้คนไทยยิ่งอ่านยิ่งไร้กึ๋น (ซึ่งกึ๋นในที่นี้หมายถึงทั้งความสามารถในการเกิดพุทธิปัญญาหรือ enlighten หรือตาสว่าง และรวมถึงในความหมายของความกล้าหาญ) ก็เพราะสิ่งที่เรียกว่าวิจารณญาณหรือ critical mind ไม่อาจเกิดขึ้นได้ภายใต้สภาพอย่างที่เป็นอยู่ สภาพที่สังคมตกอยู่ภายใต้อำนาจทางกฎหมายและทางวัฒนธรรมที่ยังเชื่อว่าคนเราไม่เท่ากัน ดังนั้นคนบางกลุ่มจึงมีอภิสิทธิ์และอาญาสิทธิ์เหนือคนส่วนใหญ่ได้ถึงขนาดที่ไม่อนุญาตแม้แต่ที่จะให้มีการตั้งคำถามหรือวิพากษ์วิจารณ์ต่ออภิสิทธิ์และอาญาสิทธิ์นั้น โดยลืมไปว่า การบอกว่า “คนเราเท่ากัน” นั้น ไม่ใช่จะเป็นการลดทอนหรือดึงอะไรให้ต่ำลงมาแต่อย่างใด การเห็นคนเป็นคน เห็นคนเป็นคนเท่าๆ กันต่างหาก คือการให้เกียรติและเคารพต่อกันในฐานะมนุษย์อย่างที่สุดแล้ว

ตัวอย่างล่าสุดของความเข้าใจผิดเช่นนี้ คือการผลักดันให้มีการแก้ไข พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ครั้งล่าสุด ที่ให้เพิ่มโทษทางปกครองยุบยิบแยกย่อยอีกมากมาย มากำกับให้คนทำหนังสือทั้งหลายจงอยู่ในโอวาท แค่ไม่ได้ส่งหนังสือปกละสองเล่มให้หอสมุดแห่งชาติก็อาจถูกปรับได้ถึงหนึ่งหมื่นบาท (นี่ใจคอไม่คิดจะช่วยสนับสนุนซื้อหนังสือเข้าหอสมุดเองบ้างหรืออย่างไร)

รวมถึงการเพิ่มโทษทางอาญาในกรณีที่เขาอธิบายเหตุผลในทางหลักการว่า “สมควรกำหนดให้มีมาตรการบังคับในการควบคุมสิ่งพิมพ์หรือหนังสือพิมพ์ที่มีผลกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร หรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน” ซึ่งผลก็คือการเพิ่มมาตรา 18/1 ที่ว่า “ให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมีอำนาจออกคำสั่งห้ามพิมพ์ เผยแพร่ สั่งเข้าหรือนำเข้าเพื่อเผยแพร่ในราชอาณาจักร ซึ่งหนังสือพิมพ์ใดๆ ที่เป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ หรือกระทบต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร หรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน” และ “ห้ามมิให้นำข้อความที่มีลักษณะที่เป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาทหรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ หรือข้อความที่กระทบต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร หรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนมาแสดงไว้ด้วย” หากฝ่าฝืน “ให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมีอำนาจริบและทำลาย”

อันที่จริงเนื้อหานี้ก็มีอยู่ใน พ.ร.บ.ฉบับนี้มาแต่เดิมอยู่แล้วและน่าอนาถเกินพออยู่แล้ว เพียงแต่ว่าของเดิมนั้นมีบังคับอยู่เฉพาะในหมวดของสิ่งพิมพ์ ซึ่งหมายถึง สมุด กระดาษ หนังสือ หรือวัสดุใดๆ ที่พิมพ์ขึ้นเป็นหลายสำเนา แต่ที่เพิ่มมานี้เป็นการเพิ่มมาในหมวดหนังสือพิมพ์ ซึ่งโดยนิยามนั้นหมายถึงสิ่งพิมพ์ที่ออกตามวาระทั้งหลายอันได้แก่นิตยสารและวารสารด้วย ไม่อยากจะคิดเลยว่าเขานึกหน้าวารสารฉบับไหนอยู่บ้างตอนที่เพิ่มมาตรานี้เข้ามา รวมทั้งเพิ่มโทษทางอาญาให้หนักกว่าเดิมด้วย

มีแต่คนที่ไม่เชื่อในการใช้เหตุใช้ผลและใช้วิจารณญาณเท่านั้นแหละ ที่จะใช้อำนาจมาบังคับการใช้เหตุใช้ผลและใช้วิจารณญาณของคนอื่น และมีแต่อำนาจที่กำลังหวั่นไหวและวิตกจริตต่อความศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองอย่างหนักแล้วเท่านั้นแหละ ที่จะมาเที่ยว ริบ ทำลาย จำคุกใครต่อใคร แค่เพราะหมึกบนกระดาษไม่กี่แผ่น

อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเมื่อเทียบกับกฎหมายที่ใหญ่กว่านั้นอย่างรัฐธรรมนูญของประเทศนี้ที่มีมากกว่าหนึ่งมาตราที่สามารถเอาประชาชนมือเปล่าขังคุกอย่างไม่มีทางสู้ เพราะถูกกล่าวหาว่าหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาทหรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

ทั้งหมดที่ว่ามานั่นน่ะ เอาเข้าจริงมันก็คือการพูด การเขียน การแสดงความเห็น เท่านั้นเอง ไม่ใช่ว่าจับอาวุธขึ้นมาจะไปทำอะไรใคร หรือสั่งการให้ใครไปฆ่าใครด้วยซ้ำ ทำไมมันถึงกลายเป็นความผิดฉกรรจ์ไปได้ แล้วคนที่จะมาตัดสินว่าอะไรเข้าข่ายหรือไม่เข้าข่ายนี่ก็ต้องเป็นพวกที่อ่านหนังสือตำรับตำรามามากมายเสียเหลือเกินอีกนั่นแหละ ถึงได้มั่นใจในความสามารถในการแยกแยะของตัวเองได้พอที่จะไม่ละอายแก่ใจทุกครั้งที่ตัดสินไม่ให้ประกันหรือตัดสินโทษประชาชนที่อยู่ในประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย

ต้องขอยืมลีลาคุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ มาใช้ ว่า วิจารณ์ ไม่ใช่หมิ่น เข้าใจไหม วิจารณ์ ไม่ใช่อาฆาตมาดร้าย เข้าใจไหม วิจารณ์ ไม่ใช่หมิ่น เข้าใจไหม วิจารณ์ ไม่ใช่อาฆาตมาดร้าย เข้าใจไหม วิจารณ์ ไม่ใช่หมิ่น เข้าใจไหม วิจารณ์ ไม่ใช่ อาฆาตมาดร้าย เข้าใจไหม วิจารณ์ ไม่ใช่หมิ่น เข้าใจไหม วิจารณ์ ไม่ใช่อาฆาตมาดร้าย เข้าใจไหม วิจารณ์ ไม่ใช่หมิ่น เข้าใจไหม วิจารณ์ ไม่ใช่อาฆาตมาดร้าย เข้าใจไหม วิจารณ์ ไม่ใช่หมิ่น เข้าใจไหม วิจารณ์ ไม่ใช่อาฆาตมาดร้าย เข้าใจไหม การวิจารณ์ไม่ใช่อย่างเดียวกันกับการหมิ่นและการอาฆาตมาดร้ายโว้ย ได้ยินไหม 

คงเพราะอย่างนี้นี่เอง สี่ห้าปีมานี้เขาถึงได้พร่ำพูดให้เราจำขึ้นใจ ว่าเราอยู่ในประเทศที่ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ทั้งที่แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เห็นต้องมาขยายความกันถึงขนาดนี้ เพิ่มคำขยายขึ้นมาให้น้ำหนักมันอยู่ที่วลีต่อท้าย จนเดี๋ยวนี้ถ้าแค่พูดไม่ครบก็จะแทบกลายเป็นการหมิ่นไปได้แล้ว ทำไมประเทศอังกฤษหรือญี่ปุ่นไม่เห็นต้องพูดแบบนี้มั่ง รู้ตัวหรือเปล่าว่ายิ่งทำแบบนี้ยิ่งสะท้อนความหวั่นไหว ว่ากลัวคนจะไม่รู้ว่าตำแหน่งแห่งที่ของอะไรอยู่ตรงไหน เพราะไม่งั้นถ้าจะต้องขยายความกันอย่างนี้ ก็ควรเรียกไปเลยว่าเป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานฝ่ายบริหาร มีประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นประธานฝ่ายนิติบัญญัติ และมีประธานอะไรอีกดีล่ะที่เป็นประธานฝ่ายตุลาการ ทำไมไม่เอาแบบนั้นไปเลยล่ะ อย่างน้อยก็จะได้เฉลี่ยความไหวหวั่นให้เนียนขึ้นอีกหน่อย 

ประชาชนใน พ.ศ. นี้จึงน่าสงสารเสียยิ่งกว่าประชาชนใน พ.ศ. 2475 ที่เคยถูกกล่าวหาว่าโง่ขนาดไม่รู้ว่ารัฐธรรมนูญคืออะไร เพราะประชาชนใน พ.ศ. นี้เรียกชื่อระบอบการปกครองของประเทศก็ยังไม่ถูก 

อันที่จริงก็ดีเหมือนกันที่เราถูกบีบให้ต้องเรียกมันให้เต็ม ก็ดี มันจะได้ตอกย้ำ จะได้ไม่ลืมว่าเรากำลังเผชิญอยู่กับปัญหาแบบไหน การเรียกเพียงสั้นๆ ว่าประชาธิปไตยจะทำให้เราประเมินสถานการณ์ผิดไป และเกิดสิ่งที่เรียกว่า false hope ได้ พอๆ กับที่ต้องบอกตัวเองว่า การที่ผู้หญิงบ้านๆ คนหนึ่งมาเป็นบรรณาธิการหนังสือปัญญาชน จะเท่ากับการได้มี “a room of one's own” ก็หาไม่ เพราะเอาเข้าจริงแล้วก็ยังไม่ต่างอะไรจาก mad woman in the attic เหมือนเดิม

และอย่าประหลาดใจ ถ้าวันดีคืนดีคนทำวารสารอ่านและสำนักพิมพ์อ่าน จะลุกขึ้นมาประกาศเลิกทำหนังสือ ไม่ต้องอ่าน ไม่ต้องวิจารณ์อะไรกันอีก เผชิญหน้ากับชะตากรรมของการต้อง “ไหลพรากทางตา” กันอย่างเดียวต่อไป 

แต่อย่ามาถามก็แล้วกันว่ามันจะไหลด้วยความซาบซึ้งหรือความคับแค้นใจ
เพราะถึงวันนั้นเหตุผลก็คงหมดความหมาย และสายเกินไปเสียแล้ว

 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ม.ธรรมศาสตร์ รังสิตฯ เตรียมย้ายประชาชนไปสนามกีฬาหัวหมาก

Posted: 23 Oct 2011 07:53 PM PDT

ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต จำเป็นต้องเคลื่อนย้ายผู้ประสบอุทกภัยซึ่งอยู่ที่อาคารยิมเนเซี่ยม สถานที่พักพิงภายในมหาวิทยาลัยไปยังสนามกีฬาราชมังคลากีฬาสถาน หลังน้ำท่วมสูง 1.5 เมตร

วันนี้ (24 ต.ค.) มติชนออนไลน์ รายงานว่า รศ.กำพล รุจิวิชชญ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต กล่าวผ่านรายการ Nation Channel เช้านี้ว่าเตรียม อพยพประชาชนกว่า 4 พันคนจากศูนย์อพยพ ม.ธรรมศาสตร์รังสิต ไปยังราชมังคลากีฬาสถาน หัวหมาก เนื่องจากขณะนี้ที่มธ.รังสิต ข้างหน้าน้ำท่วมสูง 1.50 เมตร และท่วมเข้ามาถึงชั้น 1 ในอาคารศูนย์ยิมเนเซี่ยมซึ่งใช้เป็นสถานที่พักพิง ทำให้ความสะดวกเรื่องน้ำ เรื่องไฟฟ้า ทำได้ลำบาก และอยากขออาสาสมัครด่วนจำนวน 300-400 คน ไปช่วยที่ราชมังคลากีฬาสถานด้วย ทั้งนี้เมื่อคืนที่ผ่านมาน้ำได้เข้าท่วมใน ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิตซึ่งเป็นที่พักพิง และทำให้ระบบไฟฟ้าใช้งานไม่ได้ ทำให้ระบบปรับอากาศภายในทำงานไม่ได้เช่นกัน ทำให้มีปัญหาเรื่องอากาศ และต้องใช้เครื่องปั่นไฟสำรอง

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น