โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

ส.ศิวรักษ์:มารวิชัย ถ้อยคำจากกัลยาณมิตรถึง นพ.วิชัย โชควิวัฒณ์

Posted: 07 Oct 2011 11:34 AM PDT

หมายเหตุ: สืบเนื่องจากข้อท้วงติงเรื่องการนำเสนอข้อเท็จจริงเพียงบางส่วนของข่าว  "ส.ศิวรักษ์ ให้กำลังใจหมอวิชัย อ้างคำอาจารย์ป๋วยด่าสื่อ(บางฉบับ) เลวกว่าเดรัจฉาน รับใช้นักการเมือง"   ทางประชาไทจึงได้ขอนำเสนอคำปาฐกถาฉบับเต็มเพื่อความครบถ้วนของเนื้อหา
 
.................................................................................................................................
ข้าพเจ้ากับวิชัย เป็นกัลยาณมิตรกัน ก็กัลยาณมิตรนั้น ท่านเปรียบว่าเป็น ปรโต โฆษะ คือเสียงแห่งมโนธรรมสำนึกจากภายนอก ที่คอยเตือนสติเรา กล่าวคือกัลยาณมิตรย่อมพูดในสิ่ง ซึ่งบางครั้งเราก็ไม่อยากรับฟัง แต่เมื่อฟังแล้วนำไปใคร่ครวญดู อาจเป็นคุณประโยชน์ ที่ทำให้เกิดความสำนึก ในทางตรึกตรอง เพื่อสำรวจตรวจตราตนเอง ว่าตนบกพร่องไปในทางใดบ้าง เพื่อแก้ไขปรับปรุงตนให้ดีขึ้น ยิ่งเจริญจิตสิกขา จนถึงขึ้นโยนิโสมนสิการ ย่อมช่วยให้ลดความเห็นแก่ตัวได้มาก จนอาจดำเนินชีวิตไป เพื่อเกื้อกูลแก่สรรพสัตว์ ยิ่งกว่าเพื่อประโยชน์ของตน และญาติมิตรของตนเท่านั้น
ฉะนั้นคำพูดของข้าพเจ้า ณ ที่นี้  จึงเป็นถ้อยคำของกัลยาณมิตร ที่มอบให้วิชัยโดยเฉพาะ หากคนอื่นใดจะรับฟังได้แค่ไหนก็สุดแท้
 
ในที่นี้ จะว่าข้าพเจ้าเป็นคนที่รู้จักชอบพอกับวิชัยมานานกว่าใครๆ หมดก็เห็นจะได้ อย่างน้อยวิชัยก็รู้จักข้าพเจ้าหรืองานหนังสือของข้าพเจ้าแต่ก่อนเราพบปะกัน ณ สำนักกลางนักเรียน คริสเตียน ในปี พ.ศ. 2509 นั้นแล้ว และตั้งแต่นั้นต่อมา ก็เป็นมิตรสหายกันเรื่อยมา จนเป็นกัลยาณมิตรของกันและกัน แม้เราจะต่างวัยกัน แต่เราก็เรียนจากกันและกัน โดยที่ข้าพเจ้าก็ได้รับอุปการคุณจากเยาวมิตร มาตลอด โดยเฉพาะก็วิชัย และเพื่อน ๆ ร่วมอาชีพของเขาในแวดวงการแพทย์ ซึ่งช่วยดูแลทุกข์สุขให้ข้าพเจ้า ทั้งทางร่างกายและอื่นๆ เป็นเหตุให้ข้าพเจ้าสำนึกในบุญคุณของพวกเขาทุกคน ยิ่งตอนนี้ข้าพเจ้าเป็นชายชรา ซึ่งมีพยาธิรบกวนอยู่เนืองๆ ย่อมต้องพึ่งหมอเป็นพิเศษ
 
นั่นเป็นอารัมภบท ซึ่งเป็นมธุรสวาจา ต่อแต่นี้ไป จะเป็นคำพูดตรง ๆ จัง ๆ อย่างไม่เกรงใจ เป็นข้อ ๆ ไปดังต่อไปนี้
1)    เท่าที่ข้าพเจ้ารู้จักวิชัยตลอดมา แต่เมื่อเขาแรกเข้ามหาวิทยาลัยจนบัดนี้ เห็นว่าเขาเป็นคนจริง ที่อุทิศตนเพื่อความถูกต้อง ดีงาม มาโดยตลอด อย่างไม่เคยเปลี่ยนจุดยืน กล้าคิด กล้าพูด และ กล้าทำอะไร ๆ นอกกระแสหลัก ทั้งยังมีความสามารถในการโยงใยให้ใคร ๆ มาร่วมงานด้วยได้มาก หากพวกที่ยืนหยัดอยู่ในกระแสหลัก ย่อมถือว่าวิชัยเป็นศัตรูเอาเลย แม้คนพวกนี้อาจจะไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรก็ได้ โดยที่คนพวกนี้มักไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะก็การเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้าง ที่ท้าทายการรวบอำนาจไว้อย่างรวมศูนย์  ที่ไม่มีการตรวจสอบอย่างเปิดเผยและโปร่งใส เพราะฉะนั้นวิชัยจึงต้องกระทบกับอำนาจในกระแสหลักมาเป็นระลอก ๆ จนเกือบตลอดชีวิต เคราะห์ดีที่ยังเอาตัวรอดมาได้จนบัดนี้  โดยเราต้องไม่ลืมว่าท่านที่มีความสามารถยิ่งกว่าวิชัย และมีคุณธรรมยิ่งกว่าวิชัย ได้โดนพวกกระแสหลักเอาชนะมาเป็นระลอก ๆ ตลอดมา เช่น นายปรีดี พนมยงค์ นายกุหลาย สายประดิษฐ์ และนายป๋วย อึ๊งภากรณ์ เป็นต้น แม้สตรีอย่างท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค็ ก็ไม่ได้รับการเหลียวแลจากผู้ที่มีอำนาจเช่นกัน
 
เราจะเชื่อเรื่องเคราะห์และโชคหรือไม่ก็สุดแท้ แต่ขอให้ฟังคำของจูเลียส ซีซาร์ ซึ่งนับว่ายิ่งใหญ่กว่าใคร ๆ ในทางตะวันตก ซีซาร์กล่าวว่า ความสำเร็จที่สำคัญโดยเฉพาะ ในยามสงครามนั้น ขึ้นอยู่กับโชค เมื่ออ้างฝรั่งแล้วก็ต้องอ้างญี่ปุ่นบ้าง เทรเวอร์  เลกเกต ซึ่งเป็นพุทธศาสนิกชนชาวอังกฤษและเป็นผู้สอนคาราเต้ที่มีชื่อเสียงที่สุดในลอนดอน เล่าว่าเพื่อนญี่ปุ่นเคยพาเขาเข้าไปยังสโมสรของคนรวยญี่ปุ่นในกรุงโตเกียว ซึ่งรับสมาชิกเฉพาะมหาเศรษฐีเท่านั้น เทรเวอร์ถามเพื่อนญี่ปุ่นว่าความสำเร็จของเขาและพวกมหาเศรษฐีนั้นขึ้นอยู่กับอะไร เพื่อนคนนั้นตอบว่าโชค

แน่นอนทุกคนฉลาด ทุกคนขยัน แทบทุกคนมีอัจฉริยภาพพิเศษ แต่ถ้าโชคไม่เข้าข้างแล้ว ไม่มีทางได้รับความสำเร็จได้เลย อย่างน้อยก็ในทางโลกๆ โดยที่พวกนี้จะใช้สัมมาชีพหรือมิจฉาชีพ นั่นเป็นอีกประเด็นหนึ่ง ถ้าทำใจได้เช่นนี้แล้ว ก็คงมองไปที่ทักษิณ ชินวัตร และยิ่งลักษณ์ ได้ว่าตอนนี้โชคยังเข้าข้างเขาอยู่ เฉกเช่นหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ ที่รับใช้บุคคลทั้งสองนี้ก็เช่นกัน แต่ว่าสักวันหนึ่งโชคอาจไม่เข้าข้างเขาก็ได้ และเมื่อถึงเวลานั้นแล้วก็ขออย่าให้เราไปสมน้ำหน้าเขากันเอาเลย กล่าวคือโชคจะวิวัฒน์ไปทางไหน ก็ขอให้ดูนามสกุลของวิชัย เอาไว้ดี ๆ  โดยเราต้องไม่ลืมว่า ซีซาร์เองก็ถูกฆ่าตายในวัยฉกรรจ์ โดยเยาวมิตรที่สนิทกับเขาเป็นอย่างยิ่ง แล้วทักษิณจะโดนชะตากรรม เช่นนั้นบ้างไหม ใครจะไปรู้
 

ขอกลับมาที่วิชัย ว่าที่แล้วๆ มาโชคเข้าข้างเขามากน้อยแค่ไหน ก็สุดแท้ แต่กุศลจรรยาของเขาเองก็เป็นปัจจัยซึ่งสำคัญเหนืออื่นใด
 
เมื่อชมแล้วก็ต้องติ คือวิชัยประกอบกิจการด้วยกุศลเจตนาเป็นที่ตั้งนั้น ข้าพเจ้าไม่เคยสงสัย แต่ใคร่ขอเตือนว่าวิชัยรับงานการกุศลมาทำมากเกินไป ทั้ง ๆ ที่วิชัยสามารถในการบริหารงาน แต่งานนั้นๆ ย่อมจะแหวกออกไปจากกระแสหลักได้ยาก ทั้ง ๆ ที่พวกเราท้าทายกระแสหลัก แล้วเราจะแหวกว่ายไปให้พ้นวงวัฎฎะนี้ได้อย่างไร ถ้าเราไม่มีเวลาให้อย่างเพียงพอ และไม่มีเวลาพินิจพิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง โดยหาจะเพื่อนร่วมงานที่มีเวลาและสามารถอย่างเป็นพิเศษได้อย่างไร หาไม่ก็ได้แต่ทำงานไปกันวัน ๆ อย่างลงร่อง โดยจะพูดให้วิชัยโกรธก็ได้ว่าหน่วยงานต่างๆ ที่เขารับเป็นผู้บริหารนั้น  มีอะไรที่วิเศษมหัศจรรย์อันควรอวดได้ว่าแหวกว่ายไปพ้นสถาบันหลักต่างๆ
 
การที่วิชัยรับงานมาทำมากเกินไป อาจะเป็นเพราะหาใครไม่ได้ หรือเพราะความมีน้ำใจของวิชัย ประกอบไปกับความเกรงใจแบบไทย ๆ แต่นี่ไม่เป็นข้อดีสำหรับวิชัย เพราะการรับงานมาทำมากเกินไป จะทำให้วิเศษพิสดารออกไปกระไรได้ ทั้งยังเป็นการเปลืองตัว เปลืองเวลา และเปลืองความคิดไปมิใช่น้อย มนุษย์เราควรมีเวลาพัก มีเวลาฟัง มีเวลาตรึกตรอง และมีเวลาภาวนา เพื่อรู้จักศักยภาพที่แท้ของตนเอง และของผู้อื่น เพื่อสามารถนฤมิตรสิ่งซึ่งประเสริฐให้ได้อย่างดีที่สุดเท่าที่เรามีศักยภาพ
 
บัดนี้วิชัยก็เข้าเขตปัจฉิมวัยแล้ว หวังว่าคำเตือนจากกัลยาณมิตร ผู้ชราคนนี้ คงมีประโยชน์ ยิ่งกว่าคำบริภาษที่ท้าทายวิชัยในบัดนี้  โดยเฉพาะก็จากพวกสื่อมวลชนที่ทำตัวเป็นสื่อมวลสัตว์ (วลีนี้เป็นของป๋วย อึ๊งภากรณ์ ไม่ใช่ของ ส.ศิวรักษ์) ถ้าเรารู้จักวางท่าที่ที่ถูกต้องในการรับฟังคำด่า น่าจะเป็นคุณยิ่งกว่าเป็นโทษ
 
2) ใช่แต่วิชัยจะรับงานมาทำมากเท่านั้นก็หาไม่ หากแวดวงที่วิชัยเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ก็มักเป็นแวดวงของแหล่งทุนและแหล่งที่มีอำจาจอย่างแอบแฝงหรือหาไม่อีกด้วย ไม่ว่าจะ สสส. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) ไม่ใช่เป็น ส.ศ.ษ ฯลฯ 
 
นอกเหนือจากการเป็นกรรมการอยู่ภายใต้ ความอุปถัมภ์หรือ ความเป็นผู้นำของ นายอานันท์ ปันยารชุน และนายแพทย์ประเวศ วะสี โดยเราต้องตราไว้ด้วยว่าทั้งสองท่านนี้เป็นบุคคลสาธารณะ ซึ่งมีคนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ และเป็นเป้าให้โจมตีอยู่มิใช่น้อย การเข้าไปข้องแวะและร่วมงานกับบุคคลเช่นนี้ สมควรมากน้อยเพียงใด หรือไม่ ก็ขอให้เจ้าตัวตอบตัวเองก็แล้วกัน
 
คณะกรรมการที่อ้างว่ามีความอิสระต่าง ๆ หากรับเงินมาจากรัฐบาล หรืออะไรก็สุดแท้ ถ้าการดำเนินงานนั้นๆ มีข้อบกพร่อง หรือไม่ชัดเจน ไม่โปร่งใส ให้ตรวจสอบไม่ได้ โดยมหาชน คนที่เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย แม้จะมีความสุจริตเพียงใด ก็จำต้องรับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์จากคนวงนอก ยิ่งเปิดกว้างในการรับฟังได้เท่าไร จะเป็นคุณประโยชน์เท่านั้น
 
3)   สิ่งซึ่งวิชัยต้องตราไว้อีกประการหนึ่งก็คือวิชัยเป็นหมอ เป็นนายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน พวกหมอรู้กันบ้างไหม ว่าคนในสังคมไทยเขาเอือมระอาพวกคุณกันจนกระทั่งรายการโทรทัศน์ ก็เอาไปโฆษณาชวนเชื่อให้เยาวชนร้องกันว่าอยากเป็นหมอ เพราะหมอในเมืองไทยนั้น นอกจากจะชำนาญในการรักษาโรคทางร่างกายแล้วยังสามารถเยียวยารักษาโรคทางธุรกิจสังคมได้อีกด้วย นอกเหนือไปจากการบริหารจัดการต่างๆ  โดยที่องคาพยพของสถาบันต่างๆ ที่แพทย์พวกนี้เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยล้วนก็เป็นไปในทางเผด็จการ  ในทางรวมศูนย์อำนาจ อย่างไม่โปร่งใสแทบทั้งนั้น ไม่ว่าจะการเป็นอธิการบดีหรือนายกสภามหาวิทยาลัย โดยที่สถาบันนั้น ๆ รับใช้คนรวยและคนมีอำนาจแทบทั้งสิ้น และมิใยต้องเอ๋ยถึงว่าระบบทุนนิยมและอำนาจนิยมครอบงำพวกเขากันแค่ไหน เขาเข้าใจโครงสร้างทางสังคมอันอยุติธรรมบ้างไหม มิใยต้องเอ่ยถึงว่าเขาเข้าใจแค่ไหน ถึงการทำงานอย่างเป็นองค์รวม แทนที่จะเป็นไปอย่างเสี่ยงๆ ยิ่งจะให้เข้าถึง ความงาม ความดี และความจริงด้วยแล้ว อย่าให้เอ่ยถึงเลย
 
แม้วิชัยจะต่างไปจากหมอในกระแสหลักเป็นจำนวนมาก หากวิชัยไปเกี่ยวข้องกับกิจกรรมอย่างมากมายของพวกแพทย์ ซึ่งมีความหวังดีหรือที่มือถือสากปากถือศีลก็สุดแท้ วิชัยก็ต้องได้รับวิบากกรรม ร่วมกับพวกหมอทั้งหลายเหล่านั้นอยู่เองเป็นธรรมดา  โดยอาจกล่าวด้วยได้ว่า หมอจำนวนมิใช่น้อยที่มีบทบาทจำเพาะในทางการแพทย์ โดยมุ่งเพียงเยียวยารักษาโรค อย่างไม่ไปเกี่ยวข้องกับกิจการต่าง ๆ ทางสังคม และไม่ได้หวังความร่ำรวยส่วนตัวหรือเข้าไปข้องแวะกับคนมีอำนาจ หมอพวกนี้มักไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง หากอุทิศตนเพื่อวิชาชีพโดยเฉพาะ อันเราควรก้มหัวให้เขาเหล่านี้อันอย่างงามๆ
 
หมอฉันใด ครูก็ฉันนั้น พระพุทธเจ้าทรงเป็นทั้งครูและหมอ เราควรเดินตามรอยพระพุทธบาท ยิ่งหมอที่มีความเป็นครู รวมอยู่ในตัวคน ๆ เดียวหายากยิ่งขึ้นด้วยแล้ว เราจึงต้องการยิ่งนัก สำหรับหมอและครูที่อ่อนน้อมถ่อมตน ที่เห็นว่าทุกๆ คนสำคัญ โดยไม่สยบยอมกับอำนาจหรือเงินตรา
 
ถ้าในช่วงปัจฉิมวัยเช่นนี้ วิชัยและเพื่อนๆ ของเขาในวงการแพทย์ จะหันมาอุทิศตน เพื่อก่อให้เกิดครูและแพทย์เช่นนี้ได้ จะเป็นมรดกชิ้นสุดท้ายที่ควรแก่การฝากเอาไว้อย่างยิ่ง ดังที่วิชัย กับเยาวมิตรของเขาได้เริ่มมาอย่างน่าทึ่งกับชมรมแพทย์ชนบท และแพทย์ที่อุทิศตนเพื่อสังคม ที่มีมาเป็นระลอกๆ นั้น ควรแก่การก้มหัวให้อย่างยิ่ง เฉกเช่นหมอสงวน นิตยารัมภ์พงศ์ ที่ตายจากไปแล้วเป็นต้น และถ้าเป็นไปได้ หมอของเราต้องเป็นอิสรภาพจากการครอบงำจากการแพทย์แผนฝรั่ง เราไม่ต้องปฎิเสธการแพทย์ตะวันตก แต่อย่าให้การแพทย์แผนนั้นครอบงำเรามากเกินไป มิใยต้องเอ่ยถึงบรรษัทยาข้ามชาติที่ครอบงำในทางเภสัชกรรมและในทางสาธารณสุขของเราด้วย
 
เมื่อไรเราเริ่มเห็นคุณค่าของอายุรเวช ไม่แต่ของไทยเรา แต่รวมถึงอายุรเวชของเพื่อนบ้าน ตั้งแต่ พม่า ลาว เขมร ลังกา และอินเดีย ตลอดจนจีนและธิเบต หากจีนนั้นต้องระวังความเป็นอภิมหาอำนาจของเขาไว้ด้วย ดังที่เราแทบไม่เคยสังวรกันมาเอาเลยกับความเป็นอภิมหาอำนาจของสหรัฐอเมริกา
 
ถ้าวิชัยกับเยาวมิตรที่เคยร่วมขบวนการแพทย์ชนบทมา จะเริ่มขบวนการแพทย์ที่มีความเป็นพุทธ นี่จะเป็นสิ่งที่วิเศษมหัศจรรย์จริง ๆ พุทธในที่นี้หมายถึงความตื่น ยิ่งกว่าการมุ่งไปที่ลัทธิศาสนา การแพทย์ที่ตื่นจากโลภ โกรธหลงมากเท่าไร ก็จะมีบทบาทร่วมกับขบวนการของราษฎรในทางปลุกมโนธรรมสำนึกให้สังคมไทยได้ตื่นขึ้นจากการครอบงำ และอาการอันมอมเมาต่างๆ จากกึ่งจริง กึ่งเท็จ กึ่งดิบกึ่งดี ที่เต็มไปอย่างเต็มที่ในสังคมไทยกระแสหลักในบัดนี้
 
4)   ที่จริงข้าพเจ้าควรจะยุติปัจฉิมกถาไว้แต่เพียงนี้ หากยังต้องขอกล่าวแถมท้าย ว่าผู้ที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับวิชัยในบัดนี้ ที่เป็นสื่อมวลชนกระแสหลักนั้น ถ้าใช้คำของนายป๋วย อึ๊งภากรณ์ ก็คือพวกนี้เป็นสื่อมวลสัตว์ แต่ถ้าเป็นเพียงสัตว์เดรัจฉานก็ไม่เลวร้ายอะไรมากนัก อย่างเก่งก็เป็นดัง Animals Farm ตามที่ยอช ออเวล พรรณนาเอาไว้ แต่สัตว์ที่ใช้สื่อเพื่อรับใช้อำนาจนิยมและทุนนิยมนั้นเลวร้ายยิ่งนัก ดัง คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้รับความสำเร็จมาแล้วในอีหรอบนี้ โดยรัฐบาลไทยได้ยกย่องเฒ่าสารพัดพิษ ให้เป็นปูชนียบุคคลในระดับโลกเอาเลย สยามรัฐ ในสมัยคึกฤทธิ์มีความเลวร้ายเพียงใด  มติชน และ ข่าวสด ภายใต้การนำของ ขรรค์ชัย บุนปาน ก็มีความเลวร้ายฉันนั้น   

พร้อมกันนั้น ก็ขอให้ตราไว้ด้วยว่า ราษฎรตาดำๆ นั้น รู้เท่าทันสื่อมวลชนกระแสหลักยิ่งขึ้นทุกทีแล้ว แม้พวกไพร่ตาแดงๆ เป็นจำนวนมากยังไม่รู้เท่าทันความกระร่อนของทักษิณ ชินวัตรก็ตาม แต่ถ้าพวกเราหันหน้าเข้าหากัน กับคนตาดำๆ และตาแดงๆ หรือตาสีเหลืองๆ  หากเปิดกว้างเข้าหากัน เราก็น่าจะช่วยกันและกันให้ตื่นขึ้นจากการครอบงำต่างๆ  ได้หวังว่าวิชัยและเยาวมิตรของเขา จะรวมอยู่กับพหุชนในขบวนการที่เอาชนะ การครอบงำ การมอมเมาต่างๆ โดยจะใช้คำว่า มารวิชัยก็ได้ และถ้าถึงตอนนั้น โชคก็จะวิวัฒน์ ไปในทางที่เป็นคุณงาม ความดีอย่างแท้จริง

 
 
 
 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

"ฟ้าหญิง" เผยพระราชกระแสในหลวงให้จัดงาน 84 พรรษาแบบเรียบง่าย

Posted: 07 Oct 2011 10:40 AM PDT

เผยทรงได้รับหนังสือจากราชเลขา เผยรับสั่งพระเจ้าอยู่หัว ให้งานเฉลิมฉลองพระชนมายุ ครบ 84 ปีนั้นให้จัดแบบเรียบง่าย เพราะประชาชนกำลังเดือดร้อน

เมื่อบ่าย วันที่ 7 ต.ค. ที่โรงเรียนบ้านจันทเขลม ต.จันทเขลม อ.เขาคิชฌกูฎ จังหวัดจันทบุรี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในกิจกรรมของมูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรี นครินทราบรมราชชนนี หรือหน่วยแพทย์ พอ.สว.และหน่วยแพทย์พระราชทานสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ที่ออกให้บริการตรวจรักษาแก่ราษฎรในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี

โอกาสนี้เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ฯ หลังจากเสด็จเยี่ยมหน่วยแพทย์ พอ.สว.แล้ว ทรงประทานโอวาท พร้อมทั้งมีพระดำรัสเป็นห่วงราษฎรที่ประสบภัย น้ำท่วมขอหน่วยแพทย์ พอ.สว.ร่วมกับมูลนิธิจุฬาภรณ์จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ช่วยเหลือราษฎรอีก ครั้ง อย่างเร่งด่วนเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของราษฎรผู้ประสบภัย

 " ...ข้าพเจ้ามีความเป็นห่วงผู้ประสบภัยน้ำท่วม และขอร้องว่า  เราชาว พอ.สว. แสดงสปิริต ว่า ช่วยพี่น้องประชาชนคนไทย โดยที่ว่าข้าพเจ้า จะนำหน่วยแพทย์ จากโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ และขอหน่วยแพทย์จากโรงพยาบาลศิริราช และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ มาช่วยกัน อาจจะเป็นการออกหน่วยแพทย์เต็มวัน ครึ่งวัน อาจจะอยู่จังหวัดหนึ่ง อีกครึ่งวันอยู่อีกจังหวัดหนึ่ง  ซึ่งจะเป็นจังหวัดไหน ข้าพเจ้าจะขอไปดูความเร่งด่วนของการช่วยเหลือ ทุกคน ให้ทำถวายเป็นพระราชกุศลแด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ตอนนี้อีกไม่กี่เดือน ก็จะถึงวันเฉลิมที่ท่านจะครบ 84 ปีแล้ว พระองค์ท่านทรงตรากตรำ ทำงานเพื่อประชาชนคนไทยมาเป็นเวลา 60 กว่าปี  ตอนนี้ท่านประชวร พระชรา แม้ว่าอาการจะดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ด้วยพระชนมายุ 84 ปี ท่านจึงไม่สามารถที่จะตรากตรำออกพื้นที่ได้

แต่ว่าไม่ใช่ไม่ทรงสนพระทัย ทรงเรียกกรมชลประทาน มาเสมอๆ และพระราชทานคำแนะนำเกี่ยวกับการสร้างเขื่อน เกี่ยวกับการเก็บน้ำ  เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ทรงทำตลอดเวลา

เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ฯ ทรงมีรับสั่งด้วยว่า ข้าพเจ้าได้รับหนังสือ จากราชเลขา เมื่อวานนี้ มีรับสั่งว่า ที่จะทำการเฉลิมฉลองพระชนมายุ ครบ 84 ปีนั้น ให้จัดแบบเรียบง่าย เพราะประชาชนกำลังเดือดร้อน อันนี้คือพระราชกระแส

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง กสทช.ทั้ง 11 คนแล้ว

Posted: 07 Oct 2011 09:57 AM PDT

7 ต.ค. 54 - เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์รายงานว่ามีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะกรรมการกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) ทั้งหมด 11 คนแล้ว และขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนของการรอลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา

อนึ่ง กสทช.ทั้ง 11 คน ประกอบด้วย 1. พล.อ.อ.ธเรศ ปุณศรี ประธานสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (องค์กรมหาชน) 2. พล.ท.พีระพงษ์ มานะกิจ  ที่ปรึกษาสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม 3. พ.อ.เศรษฐพงศ์ มะลิสุวรรณ นายทหารฝ่ายกิจการโทรคมนาคม กระทรวงกลาโหม 4. พ.อ.นที ศุกลรัตน์ อดีต กรรมการ กทช. 5. นายสุทธิพล ทวีชัยการ อดีตเลขาธิการ คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)

6. พ.ต.อ.ทวีศักดิ์ งามสง่า อดีตผู้กำกับ สภ.สีชมพู จ.ขอนแก่น 7. นายธวัชชัย จิตรภาษ์นันท์ ผอ.ศูนย์คอมพิวเตอร์ และอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 8. นายประเสริฐ ศีลพิพัฒน์ กรรมการสถาบันพระปกเกล้า 9. น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ 10. นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ผอ.สถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม สำนักงาน กสทช. และ 11. พล.อ.สุกิจ ขมะสุนทร ที่ปรึกษาพิเศษ กองบัญชาการกองทัพไทย

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

กสทช. กับภารกิจอันใหญ่หลวง

Posted: 07 Oct 2011 09:49 AM PDT

ขอแสดงความยินดีกับคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ทั้ง 11 ท่านในการเข้าสู่การทำงานให้กับประเทศชาติ ซึ่งทั้ง 11 ท่านเป็นผู้เสียสละมาทำงานให้กับประเทศชาติ ซึ่งงานของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ที่รอท่านอยู่เป็นงานที่หนักหนาสาหัญ เพราะปัญหาที่สะสมมานานทั้งในด้านกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม ซึ่งจะขอฝากประเด็นต่างๆที่เกี่ยวข้องให้ทั้ง 11 ท่านในฐานะคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ให้ท่านช่วยดูแล แก้ไขปัญหา และพัฒนา ให้กับประเทศชาติ

ประเด็นแรก อยู่ในส่วนของกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ ตั้งแต่ประกาศใช้รัฐธรรมนูญปี 2540 ทำให้เกิดปรากฏการณ์ใหม่ขึ้นในประเทศไทยคือ วิทยุชุมชน เคเบิ้ลทีวี และโทรทัศน์ดาวเทียม

ขอเริ่มต้นที่กิจการกระจายเสียง ปัจจุบัน วิทยุชุมชนได้ก้าวเข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมากในฐานะสื่อชุมชนและสื่อมวลชน ที่สามารถเข้าถึงประชาชนได้อย่างกว้างขวาง และมีจำนวนไม่น้อยกว่า 10,000 สถานีทั่วประเทศ การทับซ้อนของสัญญาณวิทยุกระจายเสียง คุณภาพของสัญญาณ พื้นที่ในการส่งสัญญาณ การกำหนดเรื่องราวต่างๆนี้ จะต้องมีกฏระเบียบ และบทลงโทษที่ชัดเจน สิ่งสำคัญคือ จะทำอย่างไรให้วิทยุชุมชนนั้นเป็นสื่อของชุมชนเพื่อชุมชนอย่างแท้จริง

ต่อด้วยเรื่องของกิจการโทรทัศน์ การเกิดขึ้นของเคเบิ้ลทีวี และโทรทัศน์ดาวเทียม ยังไม่รวมไปถึงทีวีออนไลน์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ในปัจจุบันหน่วยงานของรัฐได้โดดเข้ามาเปิดสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมของหน่วยงานเอง ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กรมประชาสัมพันธ์ ยังไม่รวมของเอกชน ในปัจจุบันมีเป็นสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมจำนวนมาก เคเบิ้ลทีวีในจังหวัดต่างๆและทีวีออนไลน์ แต่ผลกระทบที่ชัดเจนของปัญหาในด้านกิจการโทรทัศน์  คือ รายการที่มีเนื้อหาหลอกลวงประชาชนให้ซื้อสินค้าและบริการ จะควบคุมดูแลและลงโทษอย่างไร

ในการจัดทำแผนแม่บทกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ อยากให้แยกการทำงานออกจากกันให้ให้ชัดเจนมากขึ้นในส่วนของกิจการกระจายเสียง และกิจการโทรทัศน์ เพราะในรายละเอียดมีความแตกต่างกันค่อนข้างชัดเจน แล้วอย่าลืมว่าจะต้องส่งเสริมสิทธิเสรีภาพในการนำเสนอข่าวสาร และความรับผิดชอบต่อการนำเสนอข่าวสาร ของกิจการกระจายเสียง และกิจการโทรทัศน์

ประเด็นที่สอง อยู่ในส่วนของกิจการโทรคมนาคม ซึ่งเรื่องนี้คงจะหนีไม่พ้นในเรื่องของ 3G ซึ่งจะทำอย่างไรให้โครงข่าย 3G เกิดขึ้นอย่างถูกต้องตามกฏหมาย อยากให้มองไปที่อนาคตว่าการใช้งานด้านอินเตอร์เน็ตไร้สายจะเพิ่มมากขึ้น จพวางแผนให้การใช้งานสามารถครอบคลุมได้ทั่วประเทศ ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงและสามารถใช้งานอินเตอร์เน็ตได้อย่างเท่าเทียมกัน การใช้งานดาวเทียมของประเทศไทยจะทำอย่างไร จะทำอย่างไรให้การแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรมในกิจการโทรคมนาคม ซึ่งในการวางแผนแม่บทด้านกิจการโทรคมนาคม ขอให้ดูแลในด้านการคุ้มครองผู้บริโภคโดยการให้บริการของบริษัทนั้นมีความเป็นธรรมกับผู้ใช้งาน ว่าจะด้านคุณภาพและราคาที่เหมาะสม ไม่หลอกลวงประชาชนผู้ใช้บริการ

ซึ่งงานทั้งหมดที่ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) จะต้องดูแลนั้นจำเป็นจะต้องมีบุคลากรที่มีความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม เพียงพอต่อการทำงาน การบริหารทรัพยากรบุคคลที่ทำให้การทำงานนั้นสามารถเดินไปข้างหน้า

สุดท้ายในการจัดทำแผนแม่บททั้งกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม จะต้องให้ประชาชนและประเทศชาติได้รับผลประโยชน์สูงสุด และเกิดเสรีในการแข่งขัน ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญปี 2550 ในมาตรา 47 ที่ว่า คลื่นความถี่ที่ใช้ในการส่งวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และโทรคมนาคมเป็นทรัพยากรสื่อสารของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะ เพราะคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ทั้ง 11 ท่าน ได้เกิดขึ้นตามรัฐธรรมนูญมาตรานี้เช่นกัน

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

"จรัล ดิษฐาอภิชัย" รับทราบข้อหาฝืน พ.ร.บ.มั่นคง

Posted: 07 Oct 2011 09:20 AM PDT

'จรัล ดิษฐาอภิชัย' เดินทางเข้ามอบตัว คดีฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ช่วงเสื้อแดงชุมนุม ที่ สน.ลุมพินี เบื้องต้นให้การปฏิเสธ ก่อนได้รับการปล่อยตัว

7 ต.ค. 54 - เนชั่นทันข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 7 ต.ค. ที่สน.ลุมพินี นายจรัล ดิษฐาอภิชัย แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) พร้อมนายคารม พลพรกลาง ทนายความ เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา ร่วมกันฝ่าฝืนประกาศของผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย ฉบับที่ 5 ลงวันที่ 3 เมษายน 2553 โดยไม่ออกจากพื้นที่ที่กำหนด ตาม พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 ภายหลังนายจรัลหลบหนีออกนอกประเทศไปในระหว่างการชุมนุมของกลุ่มนปช.เมื่อช่วงเดือน พ.ค.ปี 2553 ที่ผ่านมา

โดยการเดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาของนายจรัลในวันนี้ มีกลุ่มคนเสื้อแดงประมาณ 10 คน เดินทางมารอมอบดอกไม้ให้กำลังใจ ไม่คึกคักเหมือนเมื่อวันที่ 4 ต.ค.ที่นางดารุณี หรือเจ๊ดา กฤตบุญญาลัย แกนนำเสื้อแดงอีกคนเข้ามารับทราบข้อหล่าวหา จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำตัวนายจรัล เข้าไปสอบปากคำในห้องประชุมชั้น 2 ของสน. โดยมี พ.ต.อ.ศรัณยู ชำนาญราช รอง ผบก.น.5 พ.ต.อ.ชนิน วชิรปาณีกูล ผกก.สน.ลุมพินี พ.ต.ท.อัครวัฒน์ พุ่มไพศาลชัย รอง ผกก.สส.สน.ลุมพินี ร่วมทำการสอบปากคำ

นายจรัล กล่าวว่าว่า วันนี้มาพบพนักงานสอบเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาดังกล่าวตามหมายเรียกเพื่อต่อสู้คดี และตนขอให้การปฏิเสธ เนื่องจากในวันที่ 3 เม.ย.53 ที่มีการออกประกาศมานั้น กลุ่มนปช.ยังชุมนุมที่สะพานผ่านฟ้าและราชประสงค์ด้วยความสงบปราศจากอาวุธ และยังไม่มีเหตุการณ์รุนแรงอะไร ที่ผ่านมาตนได้หลบหนีไปอยู่ประเทศต่างๆมามากมายเป็นเวลานาน ตอนนี้คิดถึงประเทศ ครอบครัว เพื่อนฝูงและประชาชนที่ร่วมกันต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมานาน 4-5 ปี อีกทั้งรัฐบาลก็มีเจตนาดีที่จะดำเนินคดีด้วยความยุติธรรม ไม่ 2 มาตรฐานเหมือนเมื่อก่อน ตนจึงรู้สึกเชื่อมั่นและมั่นใจ จึงเดินทางกลับมารับทราบข้อกล่าวหา

ต่อมาเวลา 11.00 น.หลังสอบปากคำนานประมาณ 1 ชั่วโมง นายจรัล พร้อมนายคารม ได้เดินทางกลับ โดย พ.ต.ท.อัครวัฒน์ พุ่มไพศาลชัย รอง ผกก.สส.สน.ลุกพินี กล่าวว่า ทางนายจรัล ได้ขอให้พนักงานสอบสวนสอบปากคำพยานเพิ่มเติม ซึ่งหลังจากนี้ทางพนักงานสอบสวนจะนัดหมายผ่านทนายความให้นายจรัล นำพยานมาสอบปากคำอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะทำสำนวนให้เสร็จเรียบร้อยและดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

6 ตุลา ประวัติศาสตร์อิหลักอิเหลื่อ และความพ่ายแพ้ทางประวัติศาสตร์ของอนุรักษ์นิยม

Posted: 07 Oct 2011 07:50 AM PDT

6 ตุลา คดีลึกลับ ตราบาปหลอกหลอนฆาตกร

“คำถามที่ว่า ใครก่อเหตุการณ์ 6 ตุลา ยังตอบไม่ได้อย่างเป็นทางการ เวลาที่ตอบไม่ได้อย่างเป็นทางการไม่ใช่ว่าประชาชนไม่รู้ รู้แต่ไม่ตอบ เพราะคดี 6 ตุลาเป็นคดีลึกลับเหมือนประวัติศาสตร์สมัยรัตนโกสินทร์นั้นแหละ

“ไม่ว่าจะตอบได้หรือไม่ได้ ผลมันเหมือนกันหมด เหมือนกับคดีสวรรคตนั่นแหละ คือมันส่งผลกระทบต่อผู้ก่อเหตุ ลบไม่ออก มันเป็นอีกหนึ่งคดีที่หลอกหลอนฆาตกรเรื่อยไป ไม่ว่ายังไงก็ตาม มันก็ติดตัวแปะตัวเขาไป”

 

ผู้ก่อเหตุ 6 ตุลา คือผู้แพ้ทางประวัติศาสตร์

“พอมาถึงวันนี้ 35 ปี ผมขอสรุปว่า ผู้ก่อเหตุการณ์ 6 ตุลา เป็นผู้แพ้ทางประวัติศาสตร์ แพ้ในที่นี้หมายถึงความชอบธรรม เขาไม่สามารถอ้างความชอบธรรมในฐานะผู้ก่อเหตุการณ์ 6 ตุลาได้อีก วีรกรรมการฆ่า 6 ตุลาไม่ใช่วีกรรมเพื่อชาติอีกต่อไป หรือไม่สามารถจะอ้างได้อีกต่อไป ว่าเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจ เป็นวีรกรรมที่ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์

“ในทางตรงกันข้าม ผู้ก่อเหตุต้องแก้ต่าง ต้องแก้ตัว ต้องซ่อนพฤติกรรมว่าไม่ได้เกี่ยวข้อง ผู้ที่คิดว่าเป็นผู้ชนะไม่ได้ฉลอง กลายเป็นผู้แพ้ฉลอง”

 

ชนชั้นนำไทยสรุปบทเรียน 6 ตุลา ด้วยการฆ่ามากขึ้น

“เมื่อเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาแล้ว เราประชาชนเรียกร้องขออย่าให้มีการฆ่าอย่างนี้อีก ขอให้สรุปบทเรียนอย่ามีการฆ่า ชนชั้นนำไทยแทนที่จะสรุปบทเรียนว่าเลิกฆ่าเถอะ ชนชั้นนำไทยสรุปบทเรียนโดยการฆ่าเพิ่มมากขึ้นทุกที พฤษภาทมิฬก็ฆ่าคนมากกว่า 6 ตุลา พอถึงพฤษภา 53 ก็ฆ่ามากกว่าพฤษภา 35”

 

ฆ่ามารไม่บาป คนดีเลือกฝ่ายผิดก็ฆ่าได้

“ทำไมศาสนาพุทธบอกว่าการเข่นฆ่าเป็นบาป ทำไมจึงมีการฆ่ากันอยู่เรื่อยๆ ในสังคมไทย คำตอบคือ การเข่นฆ่าสังหารทำได้ เหมือนกับการสังหารยักษ์มาร สังหารคนชั่ว ไม่บาป เวลาที่พระนารายณ์มาปราบนนทุ พระนารายณ์ฆ่านนทุบาปไหม ? ไม่บาป นนทุเป็นคนสร้างความเดือดร้อนให้เทวดา เพราะนนทุไปขอนิ้วเพชรไปชี้คนโน้นคนนี้ตาย เพราะฉะนั้นพระนารายณ์ก็อวตารมาปราบ ฆ่านนทุตาย ก็ไม่บาป

“แต่เราเคยถามไหม เวลานนทุได้รับความเดือดร้อน ถูกดึงผมถูกเขกหัว ทำไมพระนารายณ์ไม่ลงมาช่วย คำตอบคือ ไม่ใช่เรื่องของพระนารายณ์ พระนารายณ์เดือดร้อนเมื่อเทวดาถูกฆ่าเท่านั้น นนทุจะถูกเขกหัวฟาดหัวช่างหัวมัน เพราะนนทุเป็นแค่ยักษ์ล้างเท้า ถ้านนทุเกิดสะเออะเผยอมาชี้เทวดาตาย อันนั้นจึงผิด ต้องฆ่า การฆ่านนทุไม่บาป

“คนดีที่เลือกฝ่ายผิดก็ฆ่าได้ อย่างกุมภกรรณเป็นยักษ์ที่ดี แต่คุณเลือกฝ่ายผิดคุณก็ถูกฆ่าได้ ยักษ์ที่ไม่ต้องดี ทรยศหักหลังด้วยซ้ำไปอย่างพิเภก เลือกข้างถูกก็สามารถจะดำรงชีวิตอยู่ได้ นี่คือตรรกะของชนชั้นนำที่ นี่คือคำอธิบายว่า ทำไมจึงเกิดการฆ่าประชาชนได้เสมอ ตราบใดก็ตามที่ชีวิตประชาชนมีค่าเท่ายักษ์นนทุ

 

6 ตุลา ประวัติศาสตร์อิหลักอิเหลื่อ ไม่เข้ากับโครงเรื่องประวัติศาสตร์ไทย

“6 ตุลาเป็นประวัติศาสตร์อิหลักอิเหลื่อ ถ้าเราอธิบาย 6 ตุลาตามโครงสร้างนี้ เราต้องอธิบายว่าพระนารายณ์อวตารมาฆ่าประชาชน โครงเรื่องพระนารายณ์อวตารมาฆ่าประชาชนเข้าเรื่องไม่ได้กับโครงเรื่องประวัติศาสตร์ไทย ดังนั้นไม่อธิบายจะดีกว่า”

“ประวัติศาสตร์ 6 ตุลา สะท้อนความเป็นจริงอันน่าตระหนกน่ากลัวว่า ประวัติศาสตร์ทางการนั้น คือวิชาว่าด้วยการตกแต่งอดีตให้งดงาม ทำไมต้องตกแต่งให้งดงาม เพื่อกลบเกลื่อนความจริงที่ไม่งดงามเอาไว้เบื้องหลัง พระเอกในประวัติศาสตร์จริงๆ แล้วมักจะเป็นผู้ร้ายในความเป็นจริง ไปตกแต่งประวัติศาสตร์ให้ตัวเองเป็นพระเอกอยู่เสมอ เมื่อตัวเองเป็นพระเอกก็ตกแต่งให้ครอบครัว ญาติโกโหติกา บรรพบุรุษของตัวเองเป็นพระเอกไปหมด ทั้งที่ความจริงแล้ว ทั้งหมดเป็นผู้ร้ายหมดเลย”

- - - - -

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

'ขวัญชัย' เดินหน้า 'กลุ่มแดงรักเจ้า'

Posted: 07 Oct 2011 07:44 AM PDT

'ขวัญชัย' เดินหน้า 'กลุ่มแดงรักเจ้า' ลั่น แยกเดิน นปช. วอน อย่าเอาไข่ไปกะเทาะหิน มีแต่แพ้ นัดแกนนำคนเสื้อแดงภาคอีสานประมาณ 20 จังหวัดหารือร่วมก่อนจะประกาศตั้งกลุ่ม เตรียมจัดงานระดมทุนเย็นวันที่ 8 ต.ค. นี้

7 ต.ค. 54 - เว็บไซต์คมชัดลึกรายงานว่านายขวัญชัย ไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดร ยืนยันว่า จะเดินหน้าตั้งกลุ่มแดงรักเจ้าแน่นอน โดยเบื้องต้นในวันที่ 7 ต.ค.54 แกนนำคนเสื้อแดงภาคอีสานประมาณ 20 จังหวัด จะหารือร่วมกันก่อนที่จะประกาศตั้งกลุ่มแดงรักเจ้าขึ้น จากนั้น จะมีการจัดงานระดมทุนในช่วงเย็นของวันที่ 8 ต.ค.54ด้วย ซึ่งขณะนี้ได้ขายโต๊ะจีนไปแล้วประมาณ 1,400 โต๊ะ

อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า เขาไม่ได้ต้องการนำสถาบันมาหาประโยชน์ทางการเมืองอย่างที่หลายฝ่ายกล่าวหา แต่ต้องการแสดงให้เห็นถึงความเทิดทูนสถาบัน และลดความแตกแยกในสังคม รวมทั้งยังเป็นการลดความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน เพื่อให้ประเทศเดินไปข้างหน้าได้อีกด้วย เพราะรู้สึกทนไม่ได้ที่มีคนมาชี้หน้าด่าว่า คนเสื้อแดงเป็นพวกล้มเจ้า พวกเผาบ้านเผาเมือง

“ที่ผ่านมา ชมรมคนรักอุดรเติบโตมาได้ ด้วยเงินของประชาชน ไม่ใช่เงินของนักการเมือง และยังเกิดมาก่อนที่จะมีกลุ่มนปช. (กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ)ด้วย อีกทั้งยังเป็นกำลังหลักในการชุมนุมของคนเสื้อแดงในช่วงที่ผ่านมา แต่วันนี้ แกนนำคนเสื้อแดงหลายคนได้ดีมีตำแหน่ง เป็นส.ส.และข้าราชการเมืองร่วม 30 คน ผมจึงต้องการสร้างคนเสื้อแดงในภาคอีสานให้แข็งแกร่ง เพราะไม่อยากเดินตามรอยกลุ่มนปช.ที่ขีดเส้นไว้ให้"

นายขวัญชัย กล่าวว่า  ที่ผ่านมาทำกิจกรรมอะไร ก็ไม่มีใครให้ราคาเขา ไม่มีใครทำข่าวให้เหมือนกลุ่มนปช. เขามีทุกอย่าง มีเอเชียอัพเดท ส่วนข่าวเขาออกให้ก็แค่นิดเดียว ทั้งนี้ เขาต่อสู้มา 5 ปีอย่างโดดเดี่ยว รถ 2 คันที่ใช้ในการชุมนุมก็ถูกยึดจนเป็นหนี้ ไม่ได้เป็นส.ส.เหมือนพวกเขา แต่เขาก็มีมวลชนที่เขาศรัทธา

"เงินของชมรมคนรักอุดร เป็นเงินของชาวบ้าน รีดเลือดเอากับปู จนชมรมคนรักอุดรแข็งแกร่งได้จนถึงทุกวันนี้ ไม่เหมือนเงินของกลุ่มนปก.ในขณะนั้นที่ใช้เงินของนายเนวิน (ชิดชอบ) ส่วนกลุ่มนปช.ใช้เงินใครนั้น ก็รู้ ๆ กันอยู่ ความจริงผมก็ผิดเอง ที่พาคนอีสานไปร่วมกับกลุ่มนปช. จนทำให้เขาเป็นซุปเปอร์สตาร์ไป” นายขวัญชัย กล่าว

นายขวัญชัย กล่าวว่า ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมกลุ่มนปช.ต้องมาตั้งหมู่บ้านคนเสื้อแดง ทั้ง ๆ ที่เป็นลูกน้องเขา และเคยสร้างปัญหาให้มาก่อน เขาพยายามเงียบมาตลอด เพราะถูกขอร้องว่า อย่าพูด กลัวจะแตกแยก จึงได้แต่อดทนมาตลอด แต่ไม่เข้าใจว่า ทำไมกลุ่มนปช.ถึงทำอย่างนี้

ทั้งนี้ ล่าสุด มีการไปแจกใบปลิวที่จ.อุดรธานีว่า นายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มนปช. จะมาปราศรัยใหญ่เพื่อเปิดหมู่บ้านคนเสื้อแดงในวันที่ 24 ต.ค.ด้วย

"หากจะต้องแยกกันเดิน ก็ไม่มีปัญหา เพราะเชื่อว่า แนวทางที่ผมทำ จะสามารถพาพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับบ้านได้อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม คงต้องเช็คเรตติ้งกันก่อนว่าการจัดงานในวันที่ 8 ต.ค.นั้นจะเป็นอย่างไรกัน"

เขายังระบุว่า ความจริงแกนนำนปช.อย่างนายจตุพร ควรจะเบา ๆ ลงบ้าง ลดลาวาศอกลงบ้าง อย่าพูดอะไรเลยเถิด เพราะแม้แต่พ.ต.ท.ทักษิณ เอง ก็ยังยอมถอยมาตั้ง 2 ปี

"ที่ผ่านมาเราเอาไข่ไปกระเทาะหิน สู้แล้วก็แพ้ ดังนั้น อยากขอร้องนางธิดา (ถาวรเศรษฐ์) ด้วยว่า อย่าเอาวิชาคอมมิวนิสต์มาใส่สมองของประชาชน” นายขวัญชัยกล่าว

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เตือนพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม กทม. 13 เขต นายกแถลงเร่งระบายน้ำลงทะเล

Posted: 07 Oct 2011 07:27 AM PDT

สำนักการระบายน้ำเตือนพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม กทม. 13 เขต นายกออกทีวีแถลงเร่งระบายน้ำลงทะเล ออกราชกิจจานุเบกษากระชับอำนาจออกระเบียบสำนักนายกว่าด้วยการบริหารจัดการแก้ปัญหาอุทกภัยดินโคลนถล่ม ด้านเทศบาลปากเกร็ด ประกาศหากไม่สามารถรับมือน้ำท่วมได้ จะจุดพลุสี 5 ครั้ง ให้ ปชช. ในพื้นที่เตรียมอพยพ คมนาคมสั่งปิดถนนสายเอเชียกว่า 10 กิโลเมตร

เตือนพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม กทม. 13 เขต

7 ต.ค. 54 - สำนักข่าวไทยรายงานว่าข้อมูลจากสำนักการระบายน้ำ ระบุว่านับถึงเวลานี้มีบ้านเรือนของประชาชนมากกว่า 1,200 ครัวเรือน ใน 27 ชุมชน ครอบคลุมพื้นที่ 13 เขต ที่ตั้งอยู่นอกแนวคันกั้นน้ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา คลองบางกอกน้อย และคลองมหาสวัสดิ์ สุ่มเสี่ยงที่จะจมบาดาล โดยได้แบ่งพื้นที่อันตรายออกเป็น 6 กลุ่มด้วยกัน คือ กลุ่มวิภาวดี มี 1 เขต คือ เขตบางซื่อ กลุ่มรัตนโกสินทร์ มี 3 เขต เป็นเขตดุสิต เขตพระนคร และเขตสัมพันธวงศ์

กลุ่มเจ้าพระยา มี 3 เขต เป็นเขตบางคอแหลม เขตยานนาวา และเขตคลองเตย กลุ่มกรุงธนบุรี มี 4 เขต คือ เขตบางพลัด เขตบางกอกน้อย เขตธนบุรี และเขตคลองสาน กลุ่มตากสิน มี 1 เขต คือเขตราษฎร์บูรณะ ส่วนกลุ่มมหาสวัสดิ์ มี 1 เขต คือ เขตทวีวัฒนา
 
นอกจาก 13 เขตเสี่ยงริมเจ้าพระยาแล้ว ยังมีจุดเสี่ยงพื้นที่ด้านฝั่งตะวันออกที่อาจได้รับผลกระทบหากน้ำจาก จ.ปทุมธานี ไหลทะลักเข้ามา คือ มีนบุรี หนองจอก ลาดกระบัง คลองสามวาบางส่วนที่ติดคลอง และสายไหมด้านเหนือ

ส่วนเทศบาลปากเกร็ดประกาศว่าหากไม่สามารถรับมือน้ำท่วมได้ จะจุดพลุสี 5 ครั้ง ให้ ปชช. ในพื้นที่เตรียมอพยพ

นายกรัฐมนตรีแถลงออกทีวีรับสถานการณ์วิกฤติที่สุดสั่งเร่งระบายน้ำลงสู่ทะเลมวลน้ำก้อนใหญ่จะมาถึงหวั่นเขื่อนเจ้าพระยารับไม่ไหว

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยอมรับผ่านสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ว่าสถานการณ์น้ำท่วมในขณะนี้ กำลังก้าวสู่ขั้นวิกฤติรุนแรงที่สุดในรอบหลายสิบปี ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ซึ่งเสียชีวิตแล้ว กว่า 250 ราย มี 28 จังหวัด ได้รับผลกระทบ และกำลังจะเข้าสู่กรุงเทพมหานคร โดยภาระเร่งด่วนในเวลานี้ของรัฐบาล จะต้องพยายามเร่งระบายน้ำก้อนแรกลงสู่ทะเลโดยเร็วที่สุด และป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯ โดยให้กองทัพเรือ ระดมเรือทั้งหมดที่มี มาใช้ในการดันน้ำ รวมถึงเอกชน และ กทม. ในการระบายน้ำทางอุโมงค์ ก่อนที่มวลน้ำก้อนใหญ่จะมาสมทบอีกในเร็วๆ นี้ แต่เป็นห่วงเรื่องสภาพอากาศที่มีมรสุม และอาจทำให้มีฝนตกซ้ำเติมสถานการณ์อีก ซึ่งจะทำให้การทำงานยากลำบากขึ้น และเป็นห่วงว่า เขื่อนเจ้าพระยา จะรับน้ำไม่ไหว

ทั้งนี้นายกรัฐมนตรี กล่าวทิ้งท้ายว่า ได้มีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการรับมือน้ำท่วมที่ดอนเมืองแล้วในการช่วยเร่งแก้ไขปัญหา ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ในเวลานี้จะได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย รวมถึงความตั้งใจจริงและจริงใจของทางรัฐบาล จะแก้ปัญหาได้สำเร็จโดยเร็ว

ออกราชกิจจานุเบกษากระชับอำนาจออกระเบียบสำนักนายกว่าด้วยการบริหารจัดการแก้ปัญหาอุทกภัยดินโคลนถล่ม

มติชนออนไลน์รายงานว่าเมื่อเวลา  ๑๙.๓๐  น.ที่ผ่านมา ราชกิจจานุเบกษา ๗ ตุลาคม ๒๕๕๔  ได้เผยแพร่  ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารจัดการแก้ปัญหาอุทกภัย ดินโคลนถล่มและภัยแล้ง  พ.ศ. ๒๕๕๔

ระเบียบดังกล่าว ระบุว่า  เพื่อให้มีการบูรณาการการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาอุทกภัย ดินโคลนถล่มและภัยแล้ง ให้เป็นไปอย่างมีเอกภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ต่อประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย สมควรให้มีคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ปัญหาอุทกภัย ดินโคลนถล่มและภัยแล้ง เป็นกลไกในการดำเนินการดังกล่าว และให้มีสำนักงานคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ปัญหาอุทกภัย ดินโคลนถล่มและภัยแล้ง ทำหน้าที่รับผิดชอบงานธุรการของคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ปัญหาอุทกภัย ดินโคลนถล่ม  และภัยแล้ง

ระเบียบฉบับนี้ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๑ (๘) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี จึงออกระเบียบไว้ ดังต่อไปนี้

ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า “ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารจัดการแก้ปัญหาอุทกภัย ดินโคลนถล่มและภัยแล้ง พ.ศ. ๒๕๕๔”

ข้อ ๒ ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

ข้อ ๓ ในระเบียบนี้

“คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการบริหารจัดการแก้ปัญหาอุทกภัย ดินโคลนถล่มและภัยแล้ง

“สำนักงาน” หมายความว่า สำนักงานคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ปัญหาอุทกภัย ดินโคลนถล่มและภัยแล้ง

“เลขาธิการ” หมายความว่า เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ปัญหาอุทกภัยดินโคลนถล่มและภัยแล้ง

ข้อ ๔ ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า “คณะกรรมการบริหารจัดการแก้ปัญหาอุทกภัยดินโคลนถล่มและภัยแล้ง” ประกอบด้วย

(๑) นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นประธานกรรมการ
(๒) ผู้ทรงคุณวุฒิที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้ง เป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการ
(๓) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นรองประธานกรรมการ คนที่ ๑
(๔) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นรองประธานกรรมการ คนที่ ๒
(๕) ผู้ทรงคุณวุฒิที่ประธานกรรมการเห็นสมควรแต่งตั้ง เป็นรองประธานกรรมการ คนที่ ๓
(๖) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เป็นกรรมการ
(๗) เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นกรรมการ
(๘) ปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นกรรมการ
(๙) ผู้บัญชาการทหารบก เป็นกรรมการ
(๑๐) ผู้ทรงคุณวุฒิตามจำนวนที่ประธานกรรมการเห็นสมควรแต่งตั้ง เป็นกรรมการ
(๑๑) เลขาธิการ เป็นกรรมการและเลขานุการ
(๑๒) ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อธิบดีกรมชลประทาน และอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการกรรมการตาม (๕) และ (๑๐) มีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละสองปี

องค์ประชุมและการประชุมของคณะกรรมการให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง

ข้อ ๕ ให้มีคณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้

(๑) จัดทำแผนแม่บทการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาอุทกภัย ดินโคลนถล่มและภัยแล้ง

(๒) จัดทำข้อสั่งการให้นายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีแล้วแต่กรณี ในการบูรณาการระบบการแจ้งเตือนภัย ระบบป้องกันภัย ระบบระบายน้ำ และระบบจัดการน้ำ เพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยดินโคลนถล่มและภัยแล้งอย่างเป็นระบบและเป็นเอกภาพ ตามหลักการเตรียมพร้อม การตอบสนองต่อปัญหาการฟื้นฟูและการป้องกัน

(๓) กำหนดแนวทางและมาตรการในการพัฒนาระบบการแจ้งเตือนภัย ระบบป้องกันภัยระบบระบายน้ำและระบบจัดการน้ำ รวมถึงการบูรณาการระบบน้ำในประเทศทั้ง ๒๕ ลุ่มน้ำเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัย ดินโคลนถล่มและภัยแล้ง อย่างเป็นระบบ มีประสิทธิภาพสูง และนำไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม โดยน้อมนำแนวพระราชดำริที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการนำมาเป็นแนวทางและกำหนดมาตรการ

(๔) บูรณาการแผนงานและงบประมาณรายจ่ายด้านการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาอุทกภัยดินโคลนถล่มและภัยแล้งของส่วนราชการ หน่วยงานอื่นของรัฐ และคณะกรรมการอื่นที่เกี่ยวข้อง

(๕) ติดตามประเมินผล และเร่งรัดการดำเนินงานของส่วนราชการ หน่วยงานอื่นของรัฐและคณะกรรมการอื่นที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาอุทกภัย ดินโคลนถล่มและภัยแล้ง

(๖) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ หรือคณะทำงานเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่าง ๆ ตามที่มอบหมาย

(๗) ปฏิบัติงานอื่นใดตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย

ข้อ ๖ ให้จัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ปัญหาอุทกภัย ดินโคลนถล่มและภัยแล้ง ในสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี และให้มีอำนาจหน้าที่ ดังนี้

(๑) รับผิดชอบในงานธุรการ งานวิชาการ และงานการประชุมของคณะกรรมการ
(๒) ศึกษาและจัดทำข้อมูลเกี่ยวกับแนวทาง มาตรการในการบริหารจัดการ และการพัฒนาระบบการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาอุทกภัย ดินโคลนถล่มและภัยแล้งให้มีเอกภาพและประสิทธิภาพ
(๓) ประสานการปฏิบัติตามแนวทาง มาตรการ แผนงานและงบประมาณรายจ่ายกับส่วนราชการและหน่วยงานอื่นของรัฐที่เกี่ยวข้อง
(๔) ยืมตัวบุคคล วัสดุ อุปกรณ์ ครุภัณฑ์ รวมทั้งการขอใช้อสังหาริมทรัพย์ของราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชนและหน่วยงานอื่นของรัฐ เพื่อช่วยการปฏิบัติงานของสำนักงานได้ตามความจำเป็น
(๕) ปฏิบัติงานอื่นใดตามที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการ

ข้อ ๗ ให้นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ เป็นเลขาธิการ บังคับบัญชาเจ้าหน้าที่และลูกจ้างของสำนักงาน และรับผิดชอบในการปฏิบัติงานของสำนักงาน ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี

ข้อ ๘ ภายใต้บังคับแห่งกฎหมาย เพื่อประโยชน์ในการบริหารงานของสำนักงานตามระเบียบนี้ นายกรัฐมนตรีอาจมีคำสั่งให้ข้าราชการ พนักงานราชการหรือลูกจ้างของส่วนราชการอื่นหรือสำนักงานอาจขอให้คณะรัฐมนตรีมีมติให้พนักงานหรือลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานของรัฐไปช่วยปฏิบัติงานในสำนักงานได้ โดยถือว่าเป็นการปฏิบัติราชการหรือปฏิบัติงานตามปกติ โดยจะให้ไปช่วยปฏิบัติงานเต็มเวลา บางเวลาหรือนอกเวลา หรือตามที่มอบหมายก็ได้

ข้อ ๙ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีอาจว่าจ้างนิติบุคคลหรือจ้างผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ความสามารถ มาช่วยงานได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม เพื่อดำเนินการตามระเบียบนี้

ข้อ ๑๐ ค่าใช้จ่ายสำหรับค่าตอบแทนของคณะกรรมการ รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของสำนักงาน ให้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

ข้อ ๑๑ เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติงานของคณะกรรมการตามระเบียบนี้ ให้ถือเป็นหน้าที่ของส่วนราชการและหน่วยงานอื่นของรัฐที่ต้องให้ความร่วมมือและสนับสนุนการปฏิบัติงานของคณะกรรมการ

ข้อ ๑๒ ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามระเบียบนี้

ประกาศ ณ วันที่ ๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๔
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
นายกรัฐมนตรี

ใช้กองดับเพลิงสนามบินดอนเมืองตั้งศูนย์แพทย์ฉุกเฉินส่งต่อผู้ป่วยน้ำท่วม

ท่าอากาศยานดอนเมือง 7 ต.ค.- นพ.ชาตรี เจริญชีวะกุล เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กล่าวหลังประชุมศูนย์บูรณาการดอนเมืองเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา ครั้งแรก โดยมีกรมชลประทาน กรุงเทพมหานคร (กทม.) อาสาสมัครกู้ภัยฉุกเฉิน และ สพฉ.เข้าร่วมประชุม วางแผนแนวทางการส่งต่อผู้ป่วยกรณีฉุกเฉินจากเหตุอุทกภัยน้ำท่วม น้ำหลากในพื้นที่ปริมณฑล ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา โดยใช้สถานที่ของฝ่ายดับเพลิง กองดับเพลิง ท่าอากาศยานดอนเมือง เป็นศูนย์กลาง ระดมรถพยาบาล รถฉุกเฉิน เรือ เฮลิคอปเตอร์ ให้การช่วยเหลือรับส่งต่อผู้ป่วย เบื้องต้นจะมีรถพยาบาลฉุกเฉิน ประจำศูนย์อย่างน้อย 20 คัน เฮลิคอปเตอร์ฉุกเฉิน 2 ลำ จากนั้นเมื่อทำหน้าที่รับส่งต่อผู้ป่วยแล้ว ก็จะมีการวางแผนถึงการส่งต่อรับการรักษาในแต่ละโรงพยาบาล โดยคำนึงถึงความเหมาะสมของอายุ วัย และโรค

ส่วนสาเหตุที่เลือกพื้นที่ดอนเมืองเป็นศูนย์ฯ เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวอยู่สูงกว่าน้ำทะเลถึง 3 เมตร อีกทั้งมีเส้นทาง คมนาคมสะดวก ทั้งทางบก และทางอากาศ นอกจากนี้ ศูนย์ฯ ดังกล่าวมีหน้าที่ลำเลียงเครื่องอุปโภคบริโภคให้เข้าถึงในพื้นที่ยากลำบาก ซึ่งถือว่าเป็นความต้องการพื้นฐานของผู้ประสบภัยใน 24-72 ชั่วโมงแรก ศูนย์ฯ ดังกล่าวมีอายุอย่างน้อย 1 เดือน หรือจนกว่าจะสู่สถานการณ์ปกติ

รพ.พระนครศรีอยุธยา เริ่มทยอยย้ายผู้ป่วยหนักเข้า กทม. 9 ราย

7 ต.ค.- โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา เริ่มทยอยย้ายผู้ป่วยหนักที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ จำนวน 9 ราย เข้ารักษาที่กรุงเทพฯโดยส่งผู้ป่วยเด็ก 4 ราย ที่โรงพยาบาลเด็ก และผู้ใหญ่ 5 ราย ส่งโรงพยาบาลกรุงเทพ และโรงพยาบาลราชวิถี ยังเหลือผู้ป่วยนอนรักษาทั้งหมด 530 ราย ในจำนวนนี้อาการหนัก 56 ราย 

เย็นวันนี้ นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พร้อมด้วย นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ นพ.สุรเชษฐ์ สถิตนิรามัย ผู้ตรวจราชการกะทรวงสาธารณสุข เดินทางไปจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยตรวจเยี่ยมการจัดบริการการแพทย์ที่จุดอพยพผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่บริเวณตรงข้ามศาลากลางจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และติดตามการจัดระบบริการทางการแพทย์ของโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา

นายวิทยา กล่าวว่า ที่จุดอพยพผู้ประสบภัยที่จุดตรงข้ามศาลากลางจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ขณะนี้มีประชาชนมาจาก อ.บางปะหัน มหาราช และพื้นที่ใน อ.พระนครศรีอยุธยา เข้ามาพักอาศัยประมาณ 300 คน กระทรวงสาธารณสุขได้จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่จากโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยามาให้บริการ 1 ทีม และได้รับความร่วมมือจากโรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ ส่งหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ร่วมให้บริการ 1 ทีม มีผู้เจ็บป่วย 75 ราย ส่วนใหญ่เป็นไข้หวัด ปวดเมื่อยจากการขนของหนีน้ำ ในวันพรุ่งนี้กระทรวงสาธารณสุขจะเปิดโรงพยาบาลสนามขนาด10-20 เตียง 1 แห่งให้บริการประจำในจุดอพยพตลอด 24 ชั่วโมง

สำหรับสถานการณ์น้ำในพื้นที่เกาะเมือง แนวโน้มยังไม่น่าไว้วางใจ โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นโรงพยาบาลศูนย์ขนาด 522 เตียง อาจจะกั้นน้ำไม่อยู่ ในวันนี้ได้ตัดสินใจทยอยย้ายผู้ป่วยหนักและต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ซึ่งขณะนี้มีนอนรักษาทั้งหมด 65 ราย โดยเริ่มย้ายจำนวน 9 รายในช่วงเย็น ประกอบด้วยผู้ป่วยเด็ก 4 รายไปที่สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี หรือโรงพยาบาลเด็ก และผู้ใหญ่ 5 รายไปที่โรงพยาบาลกรุงเทพ 1 ราย และที่โรงพยาบาลราชวิถี 4 ราย คงเหลือผู้ป่วยหนัก 56 ราย  และมีผู้ป่วยที่ไม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจนอนรักษาจำนวน 530 ราย

นายวิทยา กล่าวต่อว่า หากสถานการณ์น้ำท่วมรุนแรงขึ้นไปอีก ได้วางแผนบริการทางการแพทย์ โดยจะส่งแพทย์เชี่ยวชาญและเครื่องมือแพทย์ ไปตั้งจุดให้การรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลชุมชน 2 แห่งที่มีศักยภาพ  ซึ่งน้ำไม่ท่วม คือที่โรงพยาบาลบางปะอิน และโรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราช นครหลวง สามารถทำการผ่าตัดและให้บริการอื่น ๆ ได้ เช่นเดียวกับโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา และกระจายไปโรงพยาบาลอื่น ๆ ด้วย แต่จะต้องประเมินสถานการณ์น้ำก่อน

คมนาคมสั่งปิดถนนสายเอเชียกว่า 10 กิโลเมตร

พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในฐานะกำกับดูแลฝ่ายอำนวยการร่วมศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) เปิดเผยว่า บริเวณถนนสายเอเชีย เส้นทางหลักที่จะมุ่งหน้าสู่ภาคเหนือ มีปริมาณน้ำท่วมสูงกว่า 70 เซนติเมตร ในระยะทาง 10 กิโลเมตร ทางกระทรวงคมนาคม จึงประกาศปิดการจราจร และให้ใช้เส้น ทางหลวงหมายเลข 1 พหลโยธิน และทางหลวงหมายเลข 340 บางบัวทอง - สุพรรรณบุรี เพื่อเดินทางแทน ซึ่งในขณะนี้ พบว่าถนนหมายเลข 340 เริ่มมีปริมาณน้ำไหลเข้าท่วมบริเวณริมถนนบ้างแล้ว ซึ่งได้สั่งการให้เฝ้าระวัง และเร่งทำคันดินกั้นน้ำเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำท่วมอย่างเร่งด่วน

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการซ่อมแซมถนนสายเอเชียนั้น ขณะนี้ยังไม่สามารถทำได้ เพราะน้ำยังมีระดับสูงมาก และมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นอีก รวมทั้งวัตถุดิบที่จะนำมาซ่อมถนน โดยเฉพาะทรายและหินนั้นหาซื้อได้ยาก จึงจำเป็นต้องชะลอการซ่อมถนนในจุดดังกล่าว และยอมให้น้ำท่วมถนนต่อไปก่อน 

กทม.ยกเลิกพิธีกรรม "ไล่น้ำ" แก้ต่างความเชื่อโลกออนไลน์

7 ต.ค. - จากการที่กรุงเทพมหานครได้ออกหนังสือขอเชิญผู้อำนวยการสำนักและหัวหน้าสำนักงานคณะกรรมการมาตรฐานการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น (ก.ถ.) ร่วมพิธีไล่น้ำ ความว่า "ด้วยกรุงเทพมหานครได้กำหนดจัดพิธีไล่น้ำ ในวันเสาร์ที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๔ เวลา ๑๔.๓๙ น. ณ ศาลหลักเมือง เพื่อวิงวอนร้องขอพระแม่คงคาช่วยบันดาลให้น้ำท่วมในกรุงเทพมหานครลดลงอย่างรวดเร็ว" นั้น แหล่งข่าวจาก กทม. แจ้งว่า ทางกทม.ได้ส่งข้อความมายังมือถือเจ้าพนักงานถึงกิจกรรมดังกล่าว ว่ามีการยกเลิกไป แต่จากการตรวจสอบพบว่า ยังมีพิธีกรรมนี้อยู่จริง และทำเป็นการภายใน

อย่างไรก็ตาม ข้อความที่ถูกส่งไปยังเจ้าพนักงานว่ามีการยกเลิกนั้น เชื่อว่ามีกระแสที่เป็นที่ฮือฮาถึงพิธีกรรมดังกล่าวในโลกออนไลน์ และส่วนหนึ่งไม่มีผู้ใหญ่มาร่วมงาน เนื่องจากติดภารกิจในการป้องกันน้ำท่วม

ที่มาข่าวเรียบเรียงจาก: สำนักข่าวไทย, สำนักข่าวไอเอ็นเอ็น, มติชนออนไลน์

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

รายงาน: กองทุนพัฒนาไฟฟ้า ฤาจะซ้ำรอยเดิม

Posted: 07 Oct 2011 06:35 AM PDT

ในกระบวนการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าส่วนใหญ่ ล้วนปลดปล่อยมลพิษออกสู่ชั้นบรรยากาศแทบทั้งสิ้น ยิ่งกระบวนการผลิตไฟฟ้าที่ต้องพึ่งพาซากฟอสซิลอย่างถ่านหินด้วยแล้ว ยิ่งเป็นที่ทราบกันดีว่ามลพิษจากก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่เกิดขึ้นจากการผลิตกระแสไฟฟ้านั้นร้ายแรงเพียงใด

ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเรื่องดีที่สังคมจะมีกลไกในการเยียวยาและชดเชยผลกระทบที่เกิดขึ้นแก่ชุมชนโดยรอบโรงไฟฟ้าทั่วประเทศ ทว่ากว่าที่กลไกดังกล่าวจะออกมาในรูปของ “กองทุนพัฒนาไฟฟ้า” ดังที่กำลังมีการคัดเลือกคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ อยู่ในขณะนี้นั้น ภาคประชาชนโดยเฉพาะชาวแม่เมาะที่ได้รับผลกระทบจากโรงไฟฟ้าถ่านหินมาตั้งแต่ปี 2535 ก็ต้องตั้งตาคอยและออกแรงผลักดันเรียกร้องมานานแสนนาน

คุณมะลิวัลย์ นาควิโรจน์ เลขาธิการเครือข่ายสิทธิผู้ป่วยแม่เมาะ กล่าวถึงที่มาของกองทุนพัฒนาไฟฟ้าว่า ผู้ได้รับผลกระทบจากโรงไฟฟ้าแม่เมาะได้เรียกร้องให้ภาครัฐจัดตั้งกองทุนเพื่อเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากโรงไฟฟ้ามาตั้งแต่ปี 2544 ซึ่งคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าว ต่อมาคณะรัฐมนตรีในยุคที่คุณปิยะสวัสดิ์ อัมระนันท์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน จึงมีมติจัดตั้งเป็น“กองทุนพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า” ขึ้นทั่วประเทศเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2550 เพื่อให้ชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้าทั้งหมดได้รับการพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างทั่วถึง

อย่างไรก็ดีคุณมะลิวัลย์ เห็นว่า ผลการดำเนินงานของกองทุนฯ ในพื้นที่จังหวัดลำปางที่ผ่านมา ยังไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ ในการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากโรงไฟฟ้าเท่าใดนัก โดยส่วนใหญ่มีการนำงบประมาณไปใช้ในการก่อสร้างถาวรวัตถุต่างๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับวัตถุประสงค์หลักของกองทุนฯ แต่อย่างใด เช่น การสร้างหลักกิโลเมตรขนาดใหญ่เพื่อประโยชน์ด้านการท่องเที่ยว ในขณะที่ผู้ป่วยจำนวนมากยังต้องออกค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลด้วยเงินส่วนตัว เป็นต้น

ทั้งนี้หากพิจารณาถึงอุปสรรคปัญหาในการดำเนินงานของกองทุนฯ ที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นเรื่องความโปร่งใสในการบริหารจัดการกองทุนฯ การใช้เงินกองทุนไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ การขาดกลไกการตรวจสอบถ่วงดุลที่ดีเพียงพอ ฯลฯ จะพบว่าสาเหตุสำคัญประการหนึ่งมาจากการดำเนินการจัดตั้งกองทุนฯ ที่มีเพียงมติคณะรัฐมนตรีโดยไม่มีกฎหมายเฉพาะมารองรับ

ดังนั้นทางคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จึงได้ดำเนินการร่างระเบียบกองทุนพัฒนาไฟฟ้า เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา 97(3) แห่ง พ.ร.บ.การประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ.2550 โดยมีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นจากหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคประชาชน นักวิชาการ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สภาทนายความ เอ็นจีโอ ฯลฯ ซึ่งข้อคิดเห็นที่ได้นำมาสู่การตกผลึกเป็น “ระเบียบกองทุนพัฒนาไฟฟ้าเพื่อการพัฒนาหรือฟื้นฟูท้องถิ่นที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้า พ.ศ. ๒๕๕๓” ซึ่งได้รับการประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2554

โดยคุณเจตน์ อริยะสมบัติ ประธานชมรมเพื่อนสื่อสาธารณะจังหวัดลำปาง หนึ่งในคณะอนุกรรมการยกร่างระเบียบกองทุนพัฒนาไฟฟ้า กล่าวว่า ระเบียบของกองทุนฉบับใหม่ พยายามวางกรอบอย่างรัดกุมเพื่อให้การดำเนินงานของกองทุนเป็นไปตามวัตถุประสงค์มากที่สุด เช่น การกำหนดให้สัดส่วนตัวแทนภาคประชาชนมีจำนวนไม่น้อยกว่าสองในสามของคณะกรรมการทั้งหมด และต้องไม่เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในนิติกรรมสัญญาที่ทำกับกองทุนฯ

อีกทั้งยังมีการให้อำนาจคณะกรรมการพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า (คพรฟ.) สำหรับการบริหารจัดการกองทุนประเภท ก (ขนาดใหญ่) ให้สามารถแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้าตำบล (คพรต.) เพื่อช่วยให้การดำเนินของงานกองทุนเป็นไปตามความต้องการของประชาชนในพื้นที่มากขึ้น

รวมถึงได้ปรับเปลี่ยนขั้นตอนการเบิกจ่ายเงินให้ผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าจ่ายเงินไปยังบัญชีที่กำกับดูแลโดย สกพ. โดยตรงทุกเดือน จากนั้นให้คณะกรรมการบริหารกองทุนฯ ทำแผนเสนอมายัง สกพ. ทาง สกพ. จึงเบิกจ่ายเงินมายังกองทุนฯ ทุกๆ 3 เดือน จากเดิมที่เคยให้ผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าจ่ายเงินเข้ากองทุนฯ โดยตรง และให้คณะกรรมการฯ สามารถบริหารจัดการกองทุนได้โดยอิสระตามมติที่ประชุม ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาบางประการ เช่น ความโปร่งใสในการบริหารเงินกองทุนฯ และการจ่ายเงินของผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าล้าช้า เป็นต้น

นอกจากนี้ระเบียบกองทุนพัฒนาไฟฟ้าฯ 2553 ยังมีกลไกในการตรวจสอบการบริหารงานของกองทุนฯ ทั้งการตรวจสอบจากภายใน (สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน) และการตรวจสอบจากภายนอก (องค์กรอิสระต่างๆ และภาคประชาชน) แต่เนื่องจากเงินกองทุนฯ มีงบประมาณมหาศาล คุณเจตน์จึงอยากฝากให้ภาคประชาชนให้ความสำคัญกับตัวแทนที่จะเข้าไปเป็นคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ เป็นอย่างมาก

“ประชาชนต้องเลือกคนที่มีจิตสาธารณะเข้ามาเป็นคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ เพราะระเบียบฯ นี้ นอกจากการบริหารกองทุนแล้ว ยังมีอำนาจทั้งการเข้าไปตรวจสอบการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าและสามารถยื่นเรื่องร้องเรียนเพื่อสั่งปิดโรงไฟฟ้าได้อีกด้วย”

ทางด้านคุณกมล ปิ่นทอง ผู้อำนวยการฝ่ายสำนักงานประจำเขต สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน กล่าวว่า กพช. มีมติให้คณะกรรมการกองทุนพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้ายุติการอนุมัติโครงการและการเบิกจ่ายเงินของกองทุนฯ ตั้งแต่วันที่ 15 ธ.ค. 2553 เพื่อรอการสรรหาคณะกรรมการพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้าชุดใหม่ ตามระเบียบกองทุนพัฒนาไฟฟ้าฯ 2553 ซึ่งน่าจะเสร็จสิ้นกระบวนการภายในปี 2554

โดยแนวทางการเบิกจ่ายเงินของกองทุนพัฒนาไฟฟ้าตามระเบียบใหม่นั้น หลังจากการสรรหา คพรฟ. เสร็จสิ้นแล้ว คพรฟ. จะต้องจัดทำโครงการตามวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ เสนอมายัง กกพ. และเมื่อโครงการดังกล่าวผ่านการเห็นชอบจาก กกพ. แล้ว กกพ. จึงจะทำการโอนเงินไปยัง คพรฟ. เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้าต่อไป

อย่างไรก็ดีแม้ว่าขณะนี้จะมีระเบียบของกองทุนพัฒนาไฟฟ้าที่ดูจะมีความรัดกุมยิ่งขึ้น แต่การบริหารงานของคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ ชุดใหม่ที่กำลังจะคลอดออกมานั้น ยังต้องรอการพิสูจน์ว่าจะสามารถบริหารจัดการกองทุนฯ ให้เป็นไปเพื่อประโยชน์และความต้องการของประชาชนในพื้นรอบโรงไฟฟ้ามากน้อยเพียงใด

และผู้ป่วยชาวแม่เมาะที่ยังคงรอคอยการเยียวยาอย่างเป็นธรรมจากโรงไฟฟ้ามานานเกือบสองทศวรรษ จะได้รับการเยียวยาหรือไม่ ฤาจะซ้ำรอยของอีกหลายชีวิตที่ต้องลาจากโลกใบนี้ไป โดยที่ยังไม่ได้รับการเยียวยาจากเงินกองทุนพัฒนาไฟฟ้าแม้แต่บาทเดียว

กว่าจะเป็นกองทุนพัฒนาไฟฟ้า

2544  - กลุ่มผู้ได้รับผลกระทบจากโรงไฟฟ้าแม่เมาะ ได้เรียกร้องให้ภาครัฐจัดตั้งกองทุนเพื่อเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากโรงไฟฟ้า

2546  - เครื่อข่ายสิทธิผู้ป่วยแม่เมาะยื่นฟ้องร้องต่อศาลปกครองให้ กฟผ.จ่ายค่าชดเชยให้กับผู้ได้รับ ผลกระทบทางสุขภาพ ในขณะเดียวกันก็ได้เรียกร้องให้ภาครัฐจริงใจในการจัดตั้งกองทุนเพื่อเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากโรงไฟฟ้า

2548  - กระทรวงพลังงานเสนอให้มีการจัดตั้งกองทุนเพื่อพัฒนาพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า

2550  - ครม.เห็นชอบแนวทางการจัดตั้งกองทุนพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า ตามมติที่ประชุมของ กพช.

2551  - มีการจัดตั้งกองทุนพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า จำนวน 72 กองทุนฯ

2552  - เครือข่ายสิทธิผู้ป่วยแม่เมาะเข้าร้องเรียนต่อ กกพ. ว่าการบริหารจัดการกองทุนพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้าไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์

ก.พ. 2553 - คณะกรรมการบริหารกองทุนฯ หมดวาระการดำรงตำแหน่งและ กพช.มีมติให้คณะกรรมการฯ ชุดดังกล่าว รักษาการไปจนกว่าจะมีคณะกรรมการฯ ชุดใหม่

15 ธ.ค. 2553 - กพช. มีมติให้คณะกรรมการฯ ยุติการอนุมัติโครงการและการเบิกจ่ายเงินของกองทุนพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้าจนกว่าจะมีคณะกรรมการพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า ตามระเบียบกองทุนพัฒนาไฟฟ้าเพื่อการพัฒนาหรือฟื้นฟูท้องถิ่นที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้า พ.ศ. 2553

20 ธ.ค. 2553 - ระเบียบว่าด้วยกองทุนพัฒนาไฟฟ้าเพื่อกำกับการบริหารจัดการด้านการเงินของกองทุนพัฒนาไฟฟ้า ได้รับการประกาศในราชกิจจานุเบกษา  

8 ก.พ. 2554  - ระเบียบกองทุนพัฒนาไฟฟ้าเพื่อการพัฒนาหรือฟื้นฟูท้องถิ่นที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้า พ.ศ. 2553 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยแบ่งเป็น 3 ประเภท รวมทั้งสิ้น 145 กองทุน 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

พม่าคุมเข้มเมืองล่าเสี้ยวรัฐฉานภาคเหนือ หลังถูกคะฉิ่นโจมตี

Posted: 07 Oct 2011 06:06 AM PDT

7 ต.ค. 54 - มีรายงานว่านับตั้งแต่เกิดเหตุทหารกองกำลังคะฉิ่น KIA บุกโจมตีทหารพม่าในพื้นที่รัฐฉานภาคเหนือเมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา ทำให้ทหารพม่าเพิ่มมาตรการตรวจตราในเมืองล่าเสี้ยวเมืองหลวงที่ 3 ของรัฐฉานอย่างเข้มงวด

โดยในตัวเมืองล่าเสี้ยวขณะนี้ได้มีกำลังเจ้าหน้าที่ทหารพม่าคอยเฝ้ารักษาการณ์อยู่ทั่วขณะที่ตามเส้นทางสายหลักระหว่างเมืองหมู่แจ้ – เมืองล่าเสี้ยวมีทหารพม่าเฝ้าเวรยามอยู่เป็นจุดๆ จุดละประมาณ 40 – 60 นายแต่ละจุดอยู่ห่างกันประมาณ 1 กม.

ชาวเมืองล่าเสี้ยวคนหนึ่งเปิดเผยว่าหลังเจ้าหน้าที่ทหารพม่ามีการตรวจตราเข้มงวดในตัวเมืองทำให้ไม่ค่อยมีใครกล้าออกบ้านในช่วงเวลาค่ำคืนทำให้บรรยากาศเมืองล่าเสี้ยวที่เคยคึกคักด้วยผู้คนได้กลายสภาพเป็นเมืองที่เงียบเหงาสุดๆในขณะนี้

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 29 ก.ย. ทหารกองกำลังคะฉิ่น KIA ได้บุกโจมตีทหารพม่าสังกัดกองพันทหารราบเบาที่507 ที่เข้าไปเคลื่อนไหวในพื้นที่เมืองก๊ดขาย รัฐฉานภาคเหนือทำให้ทหารพม่าเสียชีวิต 2 นาย และได้รับบาดเจ็บหลายนาย

มีรายงานด้วยว่าเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ทหารกองกำลังคะฉิ่น KIA กองพลน้อยที่ 4 ได้ซุ่มโจมตีขบวนรถผู้บังคับบัญชาหน่วยตรวจคนเข้าประจำเมืองหมู่แจ้และนายอำเภอกิ่งอำเภอเมืองโกทำให้ผู้บังคับบัญชาหน่วยตรวจคนเข้าเมืองและนายอำเภอเสียชีวิตคาที่พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ผู้ติดตามจำนวนหนึ่ง

ชมภาพ / อ่านข่าวย้อนหลังได้ที่
http://www.khonkhurtai.org/

"คนเครือไท"เป็นศูนย์ข่าวภาคภาษาไทยเครือข่ายสำนักข่าวอิสระไทใหญ่ หรือ สำนักข่าวฉาน(SHAN– Shan Herald Agency for News)มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในรัฐฉาน สหภาพพม่า ตลอดจนตามแนวชายแดนไทย ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับองค์กรการเมือง / การทหารกลุ่มใด สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ shan_th@cm.ksc.co.th หรือ ติดตามอ่านข่าวสารภาคภาษาอังกฤษได้ที่ www.shanland.org ภาคภาษาไทใหญ่ที่ www.mongloi.orgและภาคภาษาไทยที่ www.khonkhurtai.org

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

แรงงานเดินขบวน จี้รัฐขึ้นค่าแรง300-ป.ตรีตามหาเสียง

Posted: 07 Oct 2011 05:02 AM PDT

แรงงานบุกทำเนียบฯร้องยิ่งลักษณ์ขึ้นค่าแรง 300 บ. ปริญญาตรี 15,000 บาท ตามที่หาเสียงไว้ช่วงเลือกตั้ง ขณะที่รมว.พาณิชย์ ให้ความเชื่อมั่นทำตามสัญญา เผยอยู่ระหว่างคุยกับนายจ้าง

 

นายมนัส โกศล ประธานองค์การแรงงานแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยกลุ่มแรงงานแห่งประเทศไทย และสหพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจ กว่า 100 คน ได้เดินมาเข้ายื่นหนังสือเรียกร้องต่อน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผ่านทางกองรับเรื่องราวร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล โดยมีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ เป็นผู้มารับหนังสือแทน ซึ่งหนังสือมีเนื้อหาขอให้พิจารณาปรับค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันทั่วประเทศ รวมทั้งปรับเงินเดือนผู้จบปริญญาตรี15,000 บาท ตามที่พรรคเพื่อไทยได้หาเสียงในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา จะทำให้ผู้ใช้แรงงานพึงพอใจกับนโยบายดังกล่าว แต่รัฐบาลกลับประกาศใช้เฉพาะ 7 จังหวัด คือ กรุงเทพ ปริมณฑล และภูเก็ต ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีคำตอบชัดเจนว่า จะให้กับผู้ใช้แรงงานทั่วประเทศจะได้ขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันทั่วประเทศหรือไม่

ทั้งนี้ องค์การแรงงานแห่งประเทศไทย ประกอบไปด้วย 6 สภา และ 1 สหพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจ ขอแสดงจุดยืนเรียกร้องให้ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันทั่วประเทศ และสนับสนุนผลักดันให้ดำเนินการนโยบายดังกล่าวจนประสบผลสำเร็จ เพื่อความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม

นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริเวณสะพานชมัยมรุเชษฐ์ เครือข่ายนักศึกษา 4 มหาวิทยาลัย ประกอบด้วย กลุ่มสะพานสูง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กลุ่มเสรีนนทรี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กลุ่มลูกชาวบ้าน มหาวิทยาลัยบูรพา และซุ้มเหมราช มหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้ร่วมออกแถลงการณ์เพื่อเรียกร้องรัฐบาลเนื่องในโอกาสวันงานที่มีคุณค่า 7 ต.ค. โดยระบุว่ารัฐบาลต้องปฏิบัติตามนโยบายเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท และการมีงานทำเมื่อจบการศึกษา รัฐบาลต้องรับรองอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ข้อที่ 87 และ 98 บนพื้นฐานของวิสัยทัศน์ ที่ว่าความสงบสุขที่ยืนยาวจะเกิดขึ้นได้ ถ้าผู้ใช้แรงงานได้รับการดูแลที่ดี รัฐบาลต้องควบคุมดูแลกำหนดมาตราการณ์ต่างๆเพื่อให้ราคาสินค้ามีความเป็นธรรม และรัฐบาลต้องปฏิรูปการศึกษาให้มีคุณภาพและฟรี ตั้งแต่เกิดจนจบปริญญาตรีเป็นอย่างน้อย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศด้านหน้าทำเนียบรัฐบาล มวลชนประมาณ 1,000 คน ได้ปิดการจราจรตั้งแต่บริเวณเชิงสะพานชมัยมรุเชษฐ์ จนถึงแยกมิสกวันเกือบทั้งหมด โดยเหลือไว้ให้รถสามารถวิ่งได้เพียง 1 ช่องทางจราจร ส่งผลให้บริเวณดังกล่าวติดขัดตั้งแต่ช่วงเช้า

ด้านนายกิตติรัตน์ ให้คำมั่นว่าจะดูแลเรื่องค่าครองชีพของแรงงานอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ อยากให้ผู้ประกอบการมั่นใจการทำงานของรัฐบาล

นายยงยุทธ เม่นตะเภา เลขาธิการสมาพันธ์แรงงานเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเลคทรอนิคส์ยานยนต์และโลหะแห่งประเทศไทยเปิดเผยว่าสมาพันธ์ร่วมกับสภาองค์กรลูกจ้างแรงงานยานยนต์แห่งประเทศไทย และคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) ออกแถลงการณ์เรื่อง "งานที่มีคุณค่า ค่าจ้างต้อง 300 บาททันที" โดยได้ข้อสรุปร่วมกัน 3 ข้อ ที่อยากฝากไปถึงรัฐบาล คือ 1.การปรับค่าจ้างขั้นต่ำจะต้องปรับให้เท่ากันทุกจังหวัดทั่วประเทศในวันที่ 1 ม.ค.55 เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำในสังคม 2.ยกเลิกการจ้างงานแบบเหมาค่าแรงและการจ้างงานที่ไม่มั่นคงทุกประเภท และ3.รัฐต้องควบคุมราคาสินค้าอุปโภคบริโภคไม่ให้สูงเกินจริง

"ผมไม่เห็นด้วยกับแนวทางที่กระทรวงแรงงาน เตรียมปรับขึ้นค่าจ้างเป็นวันละ 300 บาทนำร่องใน 7 จังหวัด ขณะที่จังหวัดที่เหลือขึ้น 40% เพราะไม่เป็นธรรม และอาจทำให้เกิดปัญหาเคลื่อนย้ายแรงงาน ที่สำคัญรัฐบาลต้องทำตามที่สัญญาไว้กับประชาชนในช่วงหาเสียง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ชนะการเลือกตั้งด้วย" นายยงยุทธกล่าว

ด้านนายพงษ์เทพ ไชยวรรณ ประธานสภาองค์การลูกจ้างแรงงานยานยนต์แห่งประเทศไทย กล่าวว่าแรงงานไม่พอใจผลประชุมคณะกรรมการค่าจ้างกลาง (ไตรภาคี) เมื่อวันที่ 5 ต.ค.ที่ไม่ได้ข้อสรุปในการปรับขึ้นค่าจ้าง 300 บาทต่อวัน และเงินเดือนปริญญาตรี 1.5 หมื่นบาทต่อเดือน ซึ่งไม่ใช่สูตรสำเร็จที่ฝ่ายลูกจ้างคิดขึ้นมา แต่เป็นนโยบายหาเสียงของรัฐบาลที่ส่งผลกระทบให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคปรับสูงขึ้นแล้วทั้งๆ ที่ค่าจ้างยังไม่ได้ปรับขึ้นตามนโยบายนี้เลย

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งมารับหนังสือแทนนายกฯ ชี้แจงว่าวันนี้ นายกฯ เดินทางประชุมร่วมเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมที่ดอนเมือง เพราะน้ำปีนี้มีปริมาณที่สูง กระทบต่อหลายจังหวัด จึงไม่สามารถที่จะมารับหนังสือได้ ทั้งนี้ เข้าใจดีว่าผู้ใช้แรงงานต้องประสบกับปัญหาจากความไม่จริงใจของรัฐบาลที่ผ่านมา จึงเกิดความไม่มั่นใจว่ารัฐบาลชุดนี้จะทำตามสัญญา อย่างไรก็ตาม ขอให้ผู้ใช้แรงงานไว้ใจรัฐบาลชุดนี้ว่า จะทำตามสัญญาอย่างแน่นอน โดยนายกฯ ได้มีการพูดคุยกับทางนายจ้างผู้ประกอบการเพื่อหาข้อยุติร่วมกันอยู่ รับปากว่าจะทำให้ดีที่สุด รวมถึงมีความยินดีที่จะให้เกิดระบบการตรวจสอบทั้งภาคประชาชน ฝ่ายค้าน เพราะเข้าใจว่าทุกท่านหวังดีต่อรัฐบาล และบ้านเมืองในการทำงานเพื่อประชาชนทุกคน

น.พ.สมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่าสัปดาห์หน้ากระทรวงการคลังจะส่งตัวแทนมาหารือเกี่ยวกับมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาท ที่ยังไม่ชัดเจน

 

 

ที่มา: เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์และวอยซ์เลเบอร์
ภาพจาก: วอยซ์เลเบอร์
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

คนงานเอจีซีพบ ครส. นัดแรก รอตั้งกรรมการสอบกรณีเลิกจ้างยังไม่มีกำหนด

Posted: 07 Oct 2011 05:00 AM PDT

7 ต.ค. 54 สืบเนื่องจากกรณีที่คนงานจาก บริษัท เอจีซี อิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) ถูกเลิกจ้าง 61 คน เมื่อเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา และได้ร้องเรียนต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ (ครส.) โดยได้มีการนัดคนงานและนายจ้างนัดแรกเมื่อวันที่ 6 ต.ค. 54 แล้วนั้น ตัวแทนคนงานระบุว่าการนัดให้ข้อมูลนัดแรก มีเพียงตัวแทนฝ่ายคนงานเท่านั้นที่เข้าไปพบ ครส. ส่วนตัวแทนฝ่ายนายจ้างไม่ได้มาให้ข้อมูล โดยให้เหตุผลว่ารอให้ ครส. ตั้งคณะกรรมการสอบก่อนตัวแทนฝ่ายนายจ้างจึงจะไปให้ข้อมูล

ทั้งนี้ตัวแทนคนงานที่ถูกเลิกจ้างกล่าวว่าทาง ครส. เองก็ยังไม่ได้กำหนดวันเวลาว่าจะตั้งคณะกรรมการเสร็จเมื่อไหร่ เพียงแต่บอกว่าจะแจ้งให้คนงานทราบภายหลัง ซึ่งผลกระทบในเรื่องปัญหาปากท้องนั้น ตัวแทนคนงานที่ถูกเลิกจ้างกล่าวว่าคนงานมีความยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง บางส่วนต้องรับจ้างทั่วไป ขายของตามตลาดนัด กอปรกับปัญหาน้ำท่วมใน จ.อยุธยา ยิ่งทำให้คนงานที่ขาดรายได้ลำบากขึ้นไปอีกเท่าตัว

ตัวแทนคนงานที่ถูกเลิกจ้างยังกล่าวต่ออีกว่านอกจากที่มีความหวังให้ ครส. มีคำสั่งชี้ให้นายจ้างรับคนงานกลับเข้าไปทำงานแล้ว คนงานเองก็อยากจะเจรจากับประธานบริษัทที่เป็นคนญี่ปุ่นโดยตรง เพราะในการเจรจาที่ผ่านมาประธานบริษัทฯ ไม่ได้เข้าร่วมเจรจา ซึ่งอาจจะทำให้ไม่ได้ข้อมูลความเดือดร้อนที่เป็นจริงจากคนงาน

อนึ่ง บริษัท เอจีซี อิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นโรงงานผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ส่งออกต่างประเทศรายใหญ่ของไทย ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา โดยเมื่อวันที่ 19 ก.ค. 54 คนงานจำนวน 61 คน ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อนายวิทยา ผิวผ่อง ผู้ว่าฯพระนครศรีอยุธยา เนื่องจากถูกปลดจากงานโดยไม่เป็นธรรม ทั้งนี้ พนักงานที่ถูกไล่ออกทั้ง 61 คน เป็นแกนนำของ 2 สหภาพคือสหภาพแรงงานเอจีซี อิเล็กทรอนิกส์และสหภาพแรงงานเอจีซี อิเล็กทรอนิกส์สัมพันธ์

จากข้อมูลของสหภาพแรงงาน โรงงานแห่งนี้มีพนักงาน 4,500 คน ประมาณ 70%เป็นพนักงานจ้างรายวัน วันละประมาณ 200 บาท กระทั่งเมื่อ วันที่ 12 กรกฎาคม บริษัทแจ้งว่า จำเป็นต้องหยุดการจ้างงานชั่วคราวและใช้มาตรา 75 ตามกฎหมายแรงงานต่อคนงาน 3,200 คน จ่ายค่าแรงให้ 75% ของสัญญาจ้างงาน โดยอ้างมียอดสั่งสินค้าลดลงเหตุการณ์ดังกล่าวทางสหภาพแรงงาน 2 แห่งของบริษัท ไม่เห็นด้วย มีการประท้วงหยุดงานในช่วงบ่ายวันที่ 12 กรกฎาคม จนเป็นสาเหตุให้เจ้าของโรงงานไม่พอใจ และสั่งปลดแกนนำของ 2 สหภาพ ดังกล่าว โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายแรงงาน

จากนั้นในวันที่ 11 ส.ค. 54 นายชาลี ลอยสูง ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) พร้อมด้วยพนักงานของบริษัท เอจีซี อิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด จำนวน 30 คน ได้เดินทางมายื่นหนังสือเรียกร้องขอความเป็นธรรม กรณีบริษัทฯ ประกาศเลิกจ้างกรรมการ สหภาพแรงงาน เอจีซี สัมพันธ์แห่งประเทศไทย และสหภาพแรงงาน เอจีซี เทคโนโลยี ประเทศไทย และสมาชิก รวม 61 คน โดยนายปกรณ์ อมรชีวิน รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) ได้เป็นผู้รับเรื่องซึ่งได้พูดคุยถึงขั้นตอนกระบวนการถูกเลิกจ้างและรับปากว่าจะช่วยดูแลในเรื่องดังกล่าว แต่ทั้งนี้ปัญหาของคนงานยังไม่ได้รับการแก้ไข จึงทำให้คนงานที่ถูกเลิกจ้างต้องยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ (ครส.) ดังที่ได้กล่าวไป
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เผย 83 นักโทษเสื้อแดงยังค้างเรือนจำ – ผุดไอเดียเลี้ยงส้มตำผู้ต้องหา 10 ต.ค.

Posted: 07 Oct 2011 04:44 AM PDT

7 ต.ค.54 เว็บไซต์สำนักกฎหมายราษฎรประสงค์ เปิดเผยข้อมูลตัวเลขนักโทษการเมืองทั่วประเทศรวม 72 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 6 ต.ค.54) ซึ่งเป็นนักโทษจากการชุมนุมทางการเมืองเมื่อเดือนเมษายน-พฤษภาคม ปีที่แล้ว รวมถึงนักโทษคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่ยังถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำต่างๆ โดยในจำนวนนี้เป็นผู้ต้องขังตามมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา หรือที่เรียกันว่า คดีหมิ่นพระบรมเดชานาภพ จำนวน 12 คน

ผู้ต้องขังเป็น เรือนจำพิเศษกรุงเทพ  44  คน เรือนจำคลองเปรม  1  คน ทัณฑสถานหญิงกลาง  3  คน เรือนจำจังหวัดมหาสารคาม  9  คน เรือนจำจังหวัดอุบลราชธานี  4  คน เรือนจำจังหวัดอุดรธานี  5  คน เรือนจำจังหวัดเชียงใหม่  6  คน

ขณะที่ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุม กรณีเม.ย.-พ.ค.53 (ศปช.) ระบุว่า ผู้ต้องขังคดีเกี่ยวเนื่องจากการสลายการชุมนุมปีที่แล้วยังอยู่ในเรือนจำทั่วประเทศ รวมถึงคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพรวม  83 คน โดยมีส่วนที่เพิ่มเติมสำนักกฎหมายราษฎรประสงค์คือ ธนบุรี 1 คน ธัญญบุรี  1 คน  สมุทรปราการ 2 คน นนทบุรี 2 คน บุรีรัมย์ 1 คน นครราชสีมา 1 คน ชัยภูมิ 1 คน ร้อยเอ็ด 1 คน

เมื่อสอบถามถึงสถิติก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ ศปช.ระบุว่า เท่าที่รวบรวมสถิติ ในช่วงเดือน ส.ค.53 มีผู้ต้องขังทั่วประเทศกว่า 170 คน ต่อมาราวเดือน เม.ย.54 เหลือผู้ต้องขังประมาณ 120-130 คน ส่วนใหญ่เป็นคดีฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งที่ผ่านมามีงบประมาณจากกองทุนยุติธรรมในการช่วยเหลือหลักทรัพย์ประกันตัวผู้ต้องขัง แต่ก็ใช้ได้ไม่มากนัก เนื่องจากมีความล่าช้ามาก ในช่วงหลังส่วนใหญ่ที่ได้ประกันตัวก็จากการใช้ตำแหน่ง ส.ส.ในพื้นที่ และบางส่วนก็พ้นกำหนดโทษ

สามารถตรวจสอบรายชื่อเบื้องต้นได้ที่ http://rli.in.th/2011/10/06/%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%82%E0%B8%97%E0%B8%A9%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A1/

ผุดไอเดียใหม่ เลี้ยงส้มตำ-ไก่ย่าง ผู้ต้องขัง ทุกวันที่ 10 เดือน
นอกจากนี้ อานนท์ นำภา ทนายความจากสำนักกฎหมายราษฎรประสงค์ เปิดเผยในเฟซบุ๊คส่วนตัวว่า ในวันที่ 10 ต.ค.นี้ เวลา 10.00 น.จะมีกิจกรรม "เลี้ยงข้าวเพื่อน เตือนความจำ รำลึกวันวาน" เป็นการเลี้ยงข้าวกลางวันผู้ต้องขังในคดีการเมืองทั้งหมดที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ทุกวันที่ 10 ของเดือน หลังจากก่อนหน้านี้มีโครงการซื้อของเยี่ยมผู้ต้องขัง “ของขวัญสีแดงแด่เพือนสีแดง” ทุกวันที่ 19 ของเดือน

“ไอเดียร์นี้ได้มาจากการพูดคุยกับพี่ๆจำเลยหลายๆคนที่เล่าให้ฟังว่า คิดถึงภาพ การไปกินส้มตำ ไก่ย่าง ด้วยกันในม็อบที่ราชประสงค์ "เรากินข้าวกันอยู่ พอทหารมันมา เราก็ทิ้งข้าวแล้ววิ่งไปช่วยพี่น้องเรา...เราจะเลี้ยงข้าวเที่ยงเพื่อนผู้ต้องขัง โดยจะจัดดังนี้ส้มตำ+ไก่ย่าง+น้ำตก+ข้าวเหนียว+เป็ปซี่กระป๋อง (รวมราคาทั้งหมดประมาณ 150 บ.) ผู้สนใจสามารถบริจาคได้ที่ ชื่อบัญชี นายยุทธการ โสภัณนา และ/หรือ นายอานนท์ งามสนิท และ/หรือ นายอานนท์ นำภา
บัญชีออมทรัพย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาสี่แยกศรีวรา เลขบัญชี 140-256597-9” อานนท์ระบุในเฟซบุ๊ค

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

กทม.เตรียมจัด "พิธีไล่น้ำ" หวังให้น้ำลดอย่างรวดเร็ว

Posted: 07 Oct 2011 03:59 AM PDT

สุดฮือฮา! เมื่อรองปลัด กทม. ทำหนังสือเวียนถึงผู้อำนวยการสำนักใน กทม. เชิญร่วม "พิธีไล่น้ำ" เสาร์นี้ที่ศาลหลักเมือง โดยจะมีสวดทั้งพราหมณ์ทั้งพุทธเพื่อวิงวอนร้องขอ "พระแม่คงคา" บันดาลให้น้ำที่ท่วม "ลดลงอย่างรวดเร็ว"!

วันนี้ (7 ต.ค. 54) กรุงเทพมหานคร (สำนักปลัดกรุงเทพมหานคร) โดยนางเพียงใจ วิศรุตรัตน รองปลัดกรุงเทพมหานคร ปฏิบัติราชการแทนปลัดกรุงเทพมหานคร ได้ลงนามใน หนังสือ "ด่วนที่สุด" ที่ กท.0403/1093 ลงวันที่ 7 ต.ค. 54 เรียน ผู้อำนวยการสำนัก และหัวหน้างาน ก.ก. เรื่อง ขอเชิญร่วมพิธีไล่น้ำ โดยในหนังสือมีเนื้อความว่า

"ด้วยกรุงเทพมหานครได้กำหนดจัดพิธีไล่น้ำ ในวันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม 2554 เวลา 14.39 น. ณ ศาลหลักเมือง เพื่อวิงวอนร้องขอพระแม่คงคาช่วยบันดาลให้น้ำที่ท่วมในกรุงเทพมหานครลดลงอย่างรวดเร็ว

จึงขอเรียนเชิญท่านร่วมในพิธีดังกล่าว โดยมีกำหนดการดังนี้
เวลา 14.39 น. - พิธีบวงสรวง (พิธีพราหมณ์)
เวลา 15.09 น. - พิธีเจริญพระพุทธมนต์

โดยพร้อมกัน เวลา 14.00 น. ณ ศาลหลักเมือง การแต่งกาย ชุดผ้าไทย หรือชุดสุภาพ"

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

‘นิว แมนดาลา’ เปิดตัวซีรีส์ ‘ชาติ ศาสน์ กษัตริย์’ (1)

Posted: 07 Oct 2011 02:57 AM PDT

เว็บไซต์นิวแมนดาลา ซึ่งเป็นเว็บไซต์อภิปรายเรื่องสังคม การเมือง วัฒนธรรมในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย เปิดตัววีดีโอซีรีส์ชุดใหม่ในหัวข้อ ‘ชาติ ศาสน์ กษัตริย์’ เปิดพื้นที่พูดคุยในประเด็นสามเสาหลักของประเทศไทย ผ่านมิติทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง โดยมีผู้ร่วมสนทนาเป็นนักวิชาการแถวหน้าทั้งไทยและต่างประเทศ อาทิเช่น ผาสุก พงษ์ไพจิตร, คริส เบเกอร์, แอนดรูว์ วอล์กเกอร์, เดส บอล, ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์

ประชาไท จึงขอนำเสนอวีดีโอดังกล่าวแก่ผู้อ่าน โดยมีคำบรรยายภาษาไทย พร้อมพูดคุยกับ ‘นิโคลัส ฟาร์เรลลี่’ นักวิจัยประจำวิทยาลัยเอเชีย แปซิฟิก มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย และผู้ร่วมก่อตั้งเว็บไซต์ ‘นิวแมนดาลา’ ถึงที่มาของวีดีโอชุดนี้ด้วย

ตอนที่ 1 ของซีรีส์ “ชาติ ศาสน์ กษัตริย์”
(ผู้ชมสามารถเลือกคลิก ‘cc’ เพื่อเปิดคำบรรยายภาษาไทย)

ดร. นิโคลัส ฟาเรลลี่ เล่าถึงที่มาวีดีโอชุดนี้ว่า ซีรีส์ดังกล่าวมีทั้งหมดสามตอน ในแต่ละตอนประกอบไปด้วยการอภิปรายว่าด้วยชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ตามลำดับ โดยมีนักวิชาการทั้งไทยและเทศที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละด้านมาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองและบทวิเคราะห์ที่ตรงไปตรงมา เพื่อที่จะตั้งคำถามต่อ ‘ชาติ ศาสน์ กษัตริย์’ ซึ่งฟาร์เรลลี่มองว่า เป็นหลักการที่ส่งอิทธิพลต่ออุดมการณ์ทางการเมืองอย่างในสังคมไทยกว้างขวาง จึงต้องการจะเปิดประเด็นเพื่อนำไปสู่การถกเถียงในสิ่งที่เราอาจเคยเชื่อกันมาในแบบเดิมๆ

ในตอนที่หนึ่งของซีรีส์ จะเป็นการอภิปรายเรื่อง ‘ชาติ’ โดยมีวิทยากรคือแอนดรูว์ วอล์กเกอร์ นักวิชาการด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา ที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องชนบทไทย, ผาสุก พงษ์ไพจิตร และคริส เบเกอร์ นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์การเมืองไทย และดำเนินรายการโดยนิโคลัส ฟาร์เรลลี โดยในตอนนี้ จะอภิปรายในเรื่องนโยบายเศรษฐกิจไทย และอนาคตของประเทศในภาวะช่วงเปลี่ยนผ่าน

ส่วนในตอนที่สอง เป็นการอภิปรายเรื่อง ‘ศาสนา’ ซึ่งมีวิทยากร เช่น เดส บอล นักวิชาการประจำศูนย์ยุทธศาสตร์และความมั่นคงศึกษา มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย มาพูดคุยในเรื่อง ปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และแนวโน้มของภูมิภาคดังกล่าวในอนาคต

ส่วนในตอนที่สาม ว่าด้วย ‘พระมหากษัตริย์’ ฟาร์เรลลี่กล่าวว่า เป็นหนึ่งในไฮไลท์ของซีรีส์ชุดนี้เลยก็ว่าได้ เพราะจะมีการอภิปรายถึงความเกี่ยวข้องของสถาบันกับการเมือง

“ผมคิดว่าทุกคนคงจะอยากรอชมตอนสุดท้าย ที่จะเน้นการอภิปรายเรื่องวังและการเมืองที่รายล้อมราชวงศ์ มันประกอบไปด้วยการวิเคราะห์ทางวิชาการอย่างเต็มๆ และตรงไปตรงมา ว่าด้วยอนาคตของประเทศไทยและสถาบันกษัตริย์ มันจะคุ้มค่าการรออย่างแน่แท้” ฟาร์เรลลี่กล่าวในอีเมลล์กับผู้สื่อข่าว

ในการจัดทำและนำเสนอวีดีโอซีรีส์ชุดนี้ ฟาร์เรลลี่หวังว่า จะนำมาซึ่งความเข้าใจเกี่ยวกับประเทศไทยที่ดีขึ้น และในฐานะนักวิชาการและสถาบันการศึกษา เขาเห็นว่าเป็นความรับผิดชอบที่จะต้องเปิดพื้นที่และจุดประเด็นการถกเถียงแม้แต่ในเรื่องที่อ่อนไหวมากที่สุด

“สำหรับคนที่ศึกษาเรื่องประเทศไทย มันหมายความว่าเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงในการพูดถึง ‘ชาติ ศาสน์ กษัตริย์’ เช่นเดียวกับเรื่องอื่นๆ ที่เป็นปัจจัยชี้อนาคตของประเทศไทย” ฟาร์เรลลีกล่าว

สำหรับผู้อ่านที่ชมแล้วอยากจะร่วมแสดงความคิดเห็นกับผู้จัดทำ สามารถเข้าไปได้ที่เว็บไซต์นิวแมนดาลา

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น