ประชาไท | Prachatai3.info |
- นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงระบุการปะทะ 13 ก.พ. เผยจุดอ่อนสถานการณ์ชายแดนใต้
- ชีวิตเบื้องหลัง 16 ศพบาเจาะ เผยมูลเหตุจูงใจจับอาวุธสู้
- แม่ทัพ 4 เรียกร้องหันหน้าคุยกันเพื่อสันติภาพ เผยปืนมะรอโซถูกใช้ก่อเหตุ 35 คดี
- 4 ผู้ถูกยิงในเหตุการณ์ ‘พลทหารณรงค์ฤทธิ์’ เบิกความกระสุนจากฝั่งทหาร
- สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 12 - 18 ก.พ. 2556
- ‘คปอ.’ เปิดศูนย์ศึกษา กม.–'เอ็นจีโออีสาน' จัดเวทียกร่าง กม.3 ฉบับ หวังกระจายที่ดินเป็นธรรม
- กสม.เล็งส่งเรื่องราชทัณฑ์ ย้าย 3 ผู้ต้องขัง 112 คดีไม่ถึงที่สุดมาเรือนจำหลักสี่
- ธรณี ฤทธีธรรมรงค์
- อวัตถุศึกษากับอธิป: แนวโน้มกฎหมายสอดส่องอินเทอร์เน็ตในรัสเซีย ไอซ์แลนด์ สหรัฐ ฯลฯ
- แถลงการณ์ข้อห่วงกังวลของชาวปาตานีและเครือข่าย ต่อการโจมตี 13 กุมภาพันธ์
- กระทรวงศึกษาของลาว ระงับขยายวิทยาลัยเพื่อกวดขันคุณภาพการศึกษา
- คดีเหยื่อนายจ้างทารุณ เส้นแบ่งระหว่าง 'ตีแผ่' กับ 'ซ้ำเติม'
- พระชาย วรธัมโม: ทะเบียนสมรสนั้น...สำคัญไฉน?
- 'จอน อึ๊งภากรณ์' จำเลยที่ 1 คดี 'ปีนสภา สนช.' เตรียมขึ้นเบิกความ 19 ก.พ.นี้
- นักข่าว 'บีบีซี' เตรียมผละงาน 24 ชม. ประท้วงการ 'บังคับลาออก'
นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงระบุการปะทะ 13 ก.พ. เผยจุดอ่อนสถานการณ์ชายแดนใต้ Posted: 18 Feb 2013 01:00 PM PST แอนโทนี เดวิส วิเคราะห์ด้านความมั่นคงระบุปฏิบัติการล้มเหลวเมื่อวันที่ 13 ก.พ. ของกลุ่มก่อความไม่สงบในภาคใต้ ถือเป็น 'การพลิกกลับทางยุทธศาสตร์' ผลจากการเติบโตของวงจรการข่าวฝ่ายรัฐ และการไม่มองถึงปฏิกริยาสะท้อนกลับจากปฏิบัติการสร้างความหวาดกลัวของฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบ ขณะเดียวกันการปะทะกันโดยตรงทั้งสองฝ่ายถือเป็นการยกระดับความขัดแย้งและย้ำถึงปัญหาเชิงยุทธศาสตร์ในระยะยาว สำนักข่าวเอเชียไทม์ได้นำเสนอบทวิเคราะห์ของแอนโทนี เดวิส นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงจากหน่วยงาน IHS Jane's เรื่องเหตุการณ์ปะทะที่ อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส โดยมีเนื้อหาระบุว่าเป็นเวลานานเกือบทศวรรษแล้วที่เหตุการณ์ความไม่สงบโดยกลุ่มแบ่งแยกดินแดนทางภาคใต้ของประเทศไทย มักจะเป็นกรณีที่ฝ่ายทหารถูกลอบโจมตี, ลอบทำร้าย และถูกทำให้เสียเกียรติ แต่เหตุการณ์ปะทะในวันที่ 13 ก.พ. ทั้งสองฝ่ายสลับบทบาทกัน โดยที่กลุ่มทหารนาวิกโยธินและกองหนุนจากหน่วยปฏิบัติการพิเศษได้ปฏิบัติการตอบโต้ฝ่ายก่อการซึ่งเป็นการโต้ตอบกลับที่สร้างความเสียหายต่อกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา เหตุดังกล่าวส่งผลให้ฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบเสียชีวิต 16 ราย รวมถึงแกนนำใหญ่ของกลุ่ม และมีอาวุธที่ถูกยึดมาได้ในจำนวนใกล้เคียงกัน ถือเป็นการตีแตกฝ่ายก่อการในทางจิตวิทยาและทางยุทธศาสตร์ในพื้นที่ แต่อย่างไรก็ตาม บทความดังกล่าวระบุว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็กลับย้ำถึงปัญหาเชิงยุทธศาสตร์ในระยะยาวจากการต้องเผชิญหน้ากับปฏิบัติการของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนมลายูมุสลิมที่จะเป็นตัวกำหนดสภาพการณ์ความขัดแย้งในอนาคต โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 13 ก.พ. เริ่มจากการที่ฝ่ายก่อการวางแผนบุกฐานยุทโธปกรณ์ปืนไรเฟิลของหน่วยนาวิกโยธินไทยที่ตำบลบาเระเหนือ อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส โดยที่กลุ่มผู้ก่อเหตุราว 50-60 ราย แต่งกายเลียนแบบทหารสวมชุดเกราะกันกระสุน ซึ่งถือเป็นการโจมตีในสเกลใหญ่ต่อฐานหน่วยความมั่นคงโดยมุ่งไปที่การยึดอาวุธ นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงระบุว่าการโจมตีครั้งล่าสุดมีความคล้ายคลึงกับปฏิบัติการ "มะรือโบ โมเดล" ในปี 2011 และ 2012 ที่ฝ่ายผู้ก่อการแบ่งออกเป็นสามทีม สองทีมโจมตีจะมีทีมหนึ่งออกไปปฏิบัติการหลอกล่อและจากนั้นทีมโจมตีหลักจึงเข้าโจมตีจากอีกด้าน ขณะที่ทีมที่สามจะตัดถนน ล้มต้นไม้ วางตะปูเรือใบและระเบิดแสวงเครื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้กำลังเสริมเข้ามาที่ฐานได้ โดย "มะรือโบ โมเดล" ที่กล่าวถึงนี้อ้างอิงถึงปฏิบัติการจู่โจมที่ตำบลมะรือโบตก อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส เมื่อเย็นวันที่ 19 ม.ค. 2011 ในปฏิบัติการของผู้ก่อการครั้งนั้น กลุ่มผู้ก่อการที่วางกำลังมาอย่างดี 40 ราย เข้าโจมตีฐานปฏิบัติการพระองค์ดำ สังกัด ร้อย ร.15121 ฝ่ายผู้ก่อการได้สังหารทหาร 4 นาย ทำให้บาดเจ็บอีก 6 นาย และได้ยึดอาวุธปืนกลไปราว 50 กระบอก อย่างไรก็ตามในเหตุการณ์ครั้งล่าสุดฝ่ายลาดตระเวณได้วางกำลังแน่นหนาล้อมฝ่ายผู้ก่อการทำให้สถานการณ์ถูกควบคุมไว้ได้ โดย พันเอก ปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษก กอ.รมน. ประจำพื้นที่ภาคใต้กล่าวว่าเขาได้รับรายงานจากชาวบ้านในพื้นที่และอดีตผู้ก่อการที่หนีออกมาเพราะไม่ชอบใช้ความรุนแรง แต่ทางหน่วยงานทหารในพื้นที่บอกว่าข้อมูลปฏิบัติการในครั้งนี้ทราบมาจากเอกสารและภาพสเก็ตซ์ที่ยึดมาได้จากจากกลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่ถูกสังหารในวันที่ 9 ก.พ. "มีความเป็นไปได้ที่ฝ่ายทหารจะได้ข้อมูลมาจากวงในของกลุ่มก่อการซึ่งเป็นข้อมูลหายาก เพราะไม่เพียงแค่นาวิกโยธินจะรู้ถึงแหล่งเกิดเหตุ แต่ยังรู้วันปฏิบัติการด้วย จึงเป็นไปได้ว่ากลุ่มวงในของผู้ก่อการจะเป็นแหล่งข้อมูลในกรณีนี้" บทความระบุว่า ไม่มีใครทราบแน่ชัดว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายเริ่มเปิดฉากยิงก่อน แต่เมื่อมีการต่อสู้เกิดขึ้นแล้วทีมจู่โจมหลักของฝ่ายผู้ก่อการก็ได้บุกผ่านสวนยางพาราไปยังหน้าฐานทัพจนมีการยิงต่อสู้กับนาวิกโยธินและหน่วยรบพิเศษ 'ซีล' ที่หลบอยู่หลังกระสอบทราย ขณะที่กลุ่มที่สองซ่อนอยู่หลังอาคารชั้นเดียวห่างออกไปจากฐานทัพ 100 เมตร ขณะเดียวกัน กองทัพก็ได้เตรียมพร้อมโดยการวางกับดักระเบิด M-18 เคลย์มอร์ ไว้รอบๆ มีกองกำลังอยู่ทั้งภายในและภายนอกฐานทัพ รวมแล้วราวๆ 110 นาย พวกเขาติดกล้องมองกลางคืน (Night-vision Googles) แม้ว่าทางหน้าฐานทัพจะมีแสงส่องอยู่เป็นบางคราวก็ตาม หลังจากที่มีการยิงต่อสู้กันราว 20 นาที ก็เริ่มเกิดการชุลมุน กลุ่มนักรบของฝ่ายก่อการส่วนใหญ่พากันหนีไปกับรถกระบะที่รออยู่สามคัน ทิ้งรถกระบะคันที่เต็มไปด้วยรอยกระสุนและรถจักรยานยนต์อีก 2 คันไว้ ฝ่ายทหารพบอาวุธปืนกลจำพวก M-16 และอาก้า 13 กระบอกตกอยู่รอบฐานทัพ การพลิกกลับทางยุทธศาสตร์ แอนโทนี เดวิสวิเคราะห์ว่าความสูญเสียของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในครั้งนี้ถือเป็นการพลิกกลับทางยุทธศาสตร์ที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่สถานการณ์แบ่งแยกดินแดนเกิดขึ้นในช่วง ม.ค. 2004 ที่ผ่านมา แม้ว่าในเหตุการณ์โจมตีฐานกองกำลังที่ ยะลา กับที่ปัตตานี ในวันที่ 28 เม.ย. 2004 รวมถึงเหตุมัสยิดกรือเซะในวันถัดมาจะมีผู้เสียชีวิต 101 ราย แต่สถานการณ์ในตอนนี้ก็ต่างจากในตอนนั้น มีหลักฐานแน่นหนาว่าผู้นำกลุ่มแบ่งแยกดินแดนจำนวนหนึ่งมองการเสียชีวิตในปี 2004 ว่าเป็นสิ่งที่จะใช้ในการเรียกร้องความเห็นใจจากประชาชนได้ "กลุ่มผู้เสียชีวิตในปี 2004 ไม่มีอาวุธที่มีประสิทธิภาพนัก หลายคนมีแค่มีดมาเชตต์ (Machete) และจากการทำพิธีกรรมทางศาสนาช่วงคืนก่อนหน้าทำให้หลายคนบุกโจมตีเต็มกำลังเนื่องจากคิดว่าพวกเขายิงไม่เข้าหรือไม่มีใครมองเห็น ที่สำคัญคือผู้จัดตั้งการจู่โจมเชิงพิธีกรรมคือ ยูซุฟ ระยาลอง หรือที่รู้จักกันในนาม อุชตาด โซ ไม่ได้ร่วมบุกเข้าโจมตีในปฏิบัติการกันชนแลกกระสุนในครั้งนี้และยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในปัจจุบัน" "เหตุการณ์ที่บาเจาะถือเป็นโชคดีของกองทัพและเป็นภาวะสะดุดของกลุ่มแบ่งแยกดินแดน เป็นความพ่ายแพ้เชิงยุทธศาสตร์ในสงครามยืดเยื้อที่มีทีท่าว่าจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมองจากมุมนี้แล้วอย่างน้อยเหตุการณ์ที่บาเจาะก็แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจในตัวเองมากเกินไปของกลุ่มการเคลื่อนไหวใต้ดินที่วางใจในยุทธศาสตร์ที่ตนตั้งไว้ และรู้สึกว่าสงครามกำลังดำเนินไปตามที่พวกเขาคิด" แอนโทนี เดวิสวิเคราะห์ว่ามีอีกเรื่องที่น่ากล่าวถึงคือเหตุการณ์เมื่อวันที่ 9 มี.ค. 2012 ผู้นำกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่เดียวกันได้ใช้ยุทธการ "มะรือโบ โมเดล" ในการจู่โจมฐานกองกำลังหน่วยนาวิกโยธินอีกแห่งหนึ่งในบาเซาะ โดยสามารถผ่านด่านคุ้นกันและทำให้เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ 11 ราย แต่หน่วยนาวิกโยธินไทยน่าจะเป็นหน่วยที่มีความเชี่ยวชาญที่สุดในพื้นที่และได้เรียนรู้จากการถูกโจมตีในครั้งนี้ การบุกเข้าจู่โจมฐานนาวิกโยธินในพื้นที่เดียวกันถือเป็นความบ้าระห่ำภายใต้สถานการณ์ที่ดีที่สุด "อย่างไรก็ตามหากพิจารณาเหตุการณ์ในวันที่ 13 ก.พ. ในฐานะพลวัตของการต่อสู้แบ่งแยกดินแดนในภาคใต้ เหตุการณ์ที่บาเซาะเป็นการปะทะกันระหว่างกลุ่มที่มีความขัดแย้งสองกลุ่มอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งถือเป็นการยกระดับสถานการณ์ความขัดแย้ง กล่าวสั้นๆ คือ มันเป็นการนองเลือดที่ควรจะเกิดขึ้นในจุดหนึ่งและมีทีท่าจะเกิดขึ้นอีก "มีปรากฏการณ์อย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นช่วงปลาย 2011 คือการที่ฝ่ายผู้ก่อการมีความพยายามยกระดับปฏิบัติการทางทหารด้วยการพัฒนากองกำลังกึ่งประจำการที่มีอาวุธดีๆ มีการฝึกอย่างดี และเริ่มสวมชุดเลียนแบบทหารมากขึ้น กระบวนการนี้รวมถึงการจัดกำลังกองเล็ก 6-7 คน ในชื่อ อาร์เคเค (มาจาก Runda Kumpulan Kecil ในภาษามาเลย์) เอาไปรวมเป็นกองกำลัง 12 คน (regu) และ 36 คน (platong) เป็นทีมระดับมากกว่า 100 คน (kompi) และมักจะปฏิบัติการในพื้นที่ระดับตำบล "พวกเขามักจะออกปฏิบัติการในระดับกองกำลัง 10-20 คน หรือบางครั้งก็ในระดับ 36 คนหรือมากกว่า ในการปฏิบัติการแบบ "มะรือโบ โมเดล" พัฒนาการตรงนี้เป็นไปตามแบบร่างที่เสนอโดยนักยุทธศาสตร์ของขบวนการแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปัตตานี (Barisan Revolusi Nasional หรือ BRN) ที่มีบทบาทนำในการวางกรอบ วางแผน และจัดตั้งขอบข่ายงานด้านการเมืองการทหารสำหรับการปฏิวัติในครั้งนี้" แอนโทนีระบุว่า ตามความเข้าใจของหน่วยข่าวกรองกองทัพไทยนั้นคิดว่าหน่วย BRN เป็นองค์กรที่รับอิทธิพลแนวคิดเรื่อง 'สงครามประชาชน' มาจากทฤษฎีเหมาอิสท์ อย่างไรก็ตามในแง่โมเดลการทหารตามทฤษฎีเหมาแบบคลาสสิกแล้ว การพัฒนาหน่วยรบแบบกองโจรในพื้นที่มาจนถึงการจัดตั้งกองกำลังผู้ก่อการในพื้นที่จะเป็นไปโดยคู่ขนานกับการสร้าง 'อาณาเขตที่ถูกปลดปล่อย' ที่เหล่านี้คือพื้นที่ซึ่งหน่วยผู้ก่อการได้จัดตั้งการควบคุมทางการเมืองต่อประชาชนในพื้นที่ได้ระดับหนึ่งและสามารถสกัดกั้นไม่ให้ติดต่อกับหน่วยงานรัฐได้โดยง่าย ทำให้เกิดพื้นที่สำหรับฝ่ายก่อการขยายตัวและจู่โจมในวงกว้างขึ้นได้ "แต่ในพื้นที่ภาคใต้ของไทย กลุ่มแบ่งแยกดินแดนยังไม่สามารถสร้าง 'อาณาเขตที่ถูกปลดปล่อย' ได้ ตลอด 9 ปีของความขัดแย้งกลุ่มผู้ก่อการดูจะติดอยู่กับภาวะตีบตันในเชิงยุทธศาสตร์ จากความพยายามพัฒนากลุ่มก่อการที่ใหญ่ขึ้น เข้มแข็งขึ้น ขณะเดียวกันก็ให้หน่วยทหารทั่วไปเป็นทีมลับๆ ของ RKK ที่แฝงตัวลงไปอยู่กับชุมชนในพื้นที่หรือในหมู่บ้านที่หน่วยงานรัฐยังสามารถเดินทางลงไปอย่างค่อนข้างสะดวก" แอนโทนีวิเคราะห์ ไม่มีปฏิบัติการปลดปล่อย นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงระบุว่า สถานการณ์เช่นนี้มีอยู่สองสาเหตุ สาเหตุแรกมีหลักอยู่ที่ปัญหาในเชิงปฏิบัติเรื่องการตั้ง 'อาณาเขตที่ถูกปลดปล่อย' ในพื้นที่สู้รบเล็กๆ ของจังหวัดชายแดนที่มีถนนตัดผ่านและมีการวางกองกำลังรักษาความสงบในวงกว้าง สาเหตุที่สองคือ ยุทธวิธีของ BRN ดูเหมือนจะอาศัยโมเดลระดับหมู่บ้านในเชิงอุดมการณ์เพื่อเป็นข้อได้เปรียบในการต่อสู้ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วมีพื้นฐานมาจากปฏิกิริยาต่อการแบ่งแยกดินแดนที่ไม่สำเร็จในช่วงปี 1970s-1980s เมื่อกลุ่มผู้ก่อการกลุ่มอื่นๆ อย่าง ปูโล (PULO) และ BRN Congress พยายามสร้างกลุ่มก่อการในพื้นที่ภูเขาและป่าทางตอนใต้ซึ่งเป็นการตัดขาดตัวเองออกจากกลุ่มประชาชนทั่วไป อย่างไรก็ตามในสถานการณ์ที่ปราศจาก 'อาณาเขตที่ถูกปลดปล่อย' ปฏิบัติการที่ต้องใช้กองกำลังขนาดใหญ่ขึ้นอยู่กับการรวบรวมกำลัง RKK จากหมู่บ้านที่ถูกควบคุมโดย 'คอมมานโด' ซึ่งถูกฝึกมาอย่างดีจากอำเภออื่นๆ ที่สำคัญคือเหตุการณ์ในวันที่ 13 ก.พ. กองกำลังฝ่ายต่อต้านมีมาจากทั้งสามจังหวัดที่เกิดความขัดแย้งคือ ปัตตานี, นราธิวาส และยะลา นักรบส่วนใหญ่มาจากอำเภอบาเจาะ และอำเภอข้างเคียงคือรือเสาะ ขณะเดียวกันก็มีกำลังคนจากอำเภอรามัญ จังหวัดยะลา และจากอำเภอไทรบุรี, อำเภอกะพ้อ จังหวัดปัตตานี จากการรวมตัว วางแผนและกระจายกำลังจำนวนมากในลักษณะนี้เป็นการสร้างความเสี่ยงอย่างมากต่อความปลอดภัยในการปฏิบัติการ นักรบส่วนใหญ่มาจากชุมชนหมู่บ้านที่เสี่ยงต่อการมีสายรัฐบาลแฝงอยู่ พวกเขาต้องเดินทางไปจุดรวมพลซึ่งต้องผ่านจุดตรวจของหน่วยรักษาความสงบจำนวนมากรวมถึงต้องผ่านหมู่บ้านอื่นๆ ด้วย อาวุธและกระสุนต้องหาเอาจากแหล่งซุกซ่อน ลำเลียงและแจกจ่ายก่อนเริ่มปฏิบัติการ แม้ว่าพวกเขาจะมีความเสี่ยงมากขนาดนี้แต่ก็เป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่ความผิดพลาดจากปฏิบัติการไม่ได้เกิดตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ขณะที่กลุ่มแบ่งแยกดินแดนใต้ดินต้องเผชิญกับภาวะตีบตันว่าจะยกระดับสงครามได้อย่างไรโดยไม่ต้องมีพื้นที่ 'อาณาเขตที่ถูกปลดปล่อย' พวกเขายังได้รับผลกระทบจากทิศทางสำคัญของการยกระดับความขัดแย้งจากการที่ฝ่ายกองทัพพยายามควบคุมสถานการณ์ด้วยการทำลายหรือทำให้กลุ่มผู้ก่อการเสียกระบวนในฐานการจัดตั้งระดับหมู่บ้านด้วย ในช่วงปีที่ผ่านมาเราจะได้เห็นการบุกจู่โจมเพิ่มขึ้นจากกองกำลังผสมประกอบด้วยทหาร, ตำรวจ หน่วยลาดตระเวณซึ่งเป็นกองกำลังเสริม และกลุ่มพลเรือนอาสารักษาดินแดน "มีเรื่องที่ไม่ค่อยได้รับการรายงานจากสื่อ คือปฏิบัติการด่วนซึ่งใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงในการจู่โจมแหล่งกบดาน หมู่บ้าน หรือเมือง ที่ต้องสงสัย รวมถึงกระท่อม, ที่พักชั่วคราว และแหล่งซุกซ่อนอาวุธในสวนยางพาราและในป่าที่มักจะอยู่ใกล้กับหมู่บ้าน ปฏิบัติการเหล่านี้มักจะทำให้เกิดการยิงต่อสู้กันและมีการสูญเสียเกิดขึ้น ส่วนมากจะมีการจับกุมและการไต่สวนซึ่งทำให้วงจรการข่าวมีประสิทธิภาพมากขึ้นทีละน้อย" แอนโทนีระบุว่าไม่ว่าข้อมูลรั่วไหลเรื่องการลอบโจมตีที่บาเจาะจะมาจากชาวบ้าน เอกสารที่ยึดได้ หรือเค้นคอเอาจากคนของฝ่ายผู้ก่อการ สิ่งสำคัญก็คือข้อมูลนี้มาจากวงจรการข่าวที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นของฝ่ายรัฐ ในส่วนของฝ่ายผู้ก่อการเองก็มีความพยายามต่อต้านทิศทางแบบนี้ด้วยการเจาะจงเป้าหมายสังหารให้เป็นผู้ที่เป็นหรือต้องสงสัยว่าเป็นผู้ให้ข้อมูลแก่รัฐบาล และการสร้างบรรยากาศความหวาดกลัวในวงกว้าง แต่การที่พวกเขาไม่รับรู้ถึงแรงสะท้อนกลับทางการเมืองและการทหารในช่วงปลาย ทำให้ยุทธวิธีของพวกเขาดูจะยังไม่เพียงพอที่จะพลิกสถานการณ์ "มีความเป็นไปได้ที่การเสียชีวิตในบาเจาะครั้งล่าสุดจะกระตุ้นให้เกิดการเกณฑ์คนเข้าไปอยู่ฝ่ายผู้ก่อการสำเร็จอีกเช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นกับหตุการณ์กรือเซะและตากใบในปี 2004 พวกเขาอาจยุยงให้เกิดการโต้ตอบต่อความรุนแรงอย่างโกรธแค้นในช่วงอีกไม่กี่สัปดาห์ต่อจากนี้ แต่ทั้งหมดนี้จะไม่ได้ให้คำตอบใดๆ ต่อภาวะตีบตันที่เกิดขึ้นในแง่ที่ว่ากลุ่มผู้ก่อการจะนำความขัดแย้งนี้ไปในทิศทางใด "เมื่อไม่มีคำตอบในเรื่องนี้ กลุ่มผู้ก่อการชาวมลายูในประเทศไทยอาจต้องประสบชะตากรรมเดียวกับกลุ่มมุสลิมแบ่งแยกดินแดนในแคว้นแคชเมียร์ แม้ว่าจะมีประชาชนให้การสนับสนุนเป็นจำนวนมากแต่การก่อการจะเริ่มเสื่อมถอยลงจากความผิดพลาดทางยุทธวิธี จากความอ่อนล้าจากภาวะสงครามและจากการดำรงอยู่ของกองกำลังฝ่ายความมั่นคงที่ไร้ความปราณี" นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงทิ้งท้ายในบทความ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ชีวิตเบื้องหลัง 16 ศพบาเจาะ เผยมูลเหตุจูงใจจับอาวุธสู้ Posted: 18 Feb 2013 11:37 AM PST เหตุชายฉกรรจ์กว่า 50 กว่าคน บุกโจมตีฐานทหารนาวิกโยธินที่บ้านยือลอ ต.บาเระเหนือ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส ที่นำมาสู่การเสียชีวิต 16 คน เมื่อกลางดึกวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2556 เรียกความสนใจจากสังคมไทยให้คนสนใจปัญหาชายแดนใต้ได้มากที่สุดเหตุการณ์หนึ่ง อะไรเป็นเหตุจูงใจให้กลุ่มคนเหล่านั้น รวมตัวกันเป็นกลุ่มจับอาวุธขึ้นก่อการในครั้งนี้ ที่ถูกเรียกว่าเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้เพื่อเอกราชของดินแดน โดยผู้เสียชีวิตหลายคนมีหมายจับติดตัวหลายคดี เคยก่อเหตุมาแล้วอย่างโชกโชน ต่อไปนี้เป็นภาพเบื้องหลังชีวิตส่วนหนึ่งที่ฉายผ่านญาติและผู้ใกล้ชิดของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ 3 ราย ได้แก่นายสะบือรี โดตะเซะ นายฮาเซ็ม บือราเฮง และนายมะรอโซ จันทราวดี 0 0 0
สะบือรี โดตะเซะ : ไม่ทันได้เป็นบัณฑิต พ่อแม่ไม่ทันภูมิใจ หากผ่านพ้นวันนั้นไปโดยที่เขาไม่เป็นอันตรายใดๆ สะบือรีก็จะได้เป็นบัณฑิตจากรั้วมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลาในอีกไม่กี่วัน เขายังเหลือสอบวิชาสุดท้ายในสาขาคอมพิวเตอร์ คณะวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการเกษตรเท่านั้น นางสือเมาะห์ มะเกะ อายุ 50 ปี แม่ของนายนายสะบือรี เล่าว่า ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าลูกชายจะเสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ เพราะไม่มีสิ่งบ่งบอกใดๆเลยว่า ลูกชายเป็นสมาชิกขบวนการติดอาวุธ ถ้ารู้มาก่อนก็ต้องห้ามแน่นอน ไม่มีพ่อแม่คนไหนที่อยากให้ลูกของตนเองจบชีวิตแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้โกรธเขาที่ไม่ได้บอก นางสือเมาะห์ บอกว่า ไม่ใช่แค่ตนเองเท่านั้นที่ไม่อยากเชื่อ แม้แต่อาจารย์หรือเพื่อนๆของ "อาแบ" ก็ยังไม่เชื่อ เพราะเขานิสัยดีและเรียนเก่ง เวลากลับบ้านก็ไม่เคยออกไปเที่ยวเตร่ไหน มีแต่ออกไปเล่นฟุตบอลเท่านั้น แม่สั่งห้ามเพราะกลัวไปเสพติดน้ำกระท่อม เขาเชื่อฟังและไม่สูบบุหรี่ อาแบ หรือคำเรียกแทนชื่อของนายสะบือรี หลังจากเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จากโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในพื้นที่เขาก็ใช้เวลาอยู่ที่บ้านน้อยมาก ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ที่บ้านเช่าในตัวเมืองยะลาตั้งแต่เข้าไปเรียนต่อที่โรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิจนจบศาสนาชั้น 7 และสามัญชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 แล้วเข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา นางสือเมาะห์ เล่าอีกว่า ก่อนเกิดเหตุไม่นาน อาแบเคยบอกแม่ว่า อีกไม่วันจะเรียนจบแล้วและมีคนอยากให้ไปทำงานด้วยแล้ว "แม่ไม่ต้องส่งเสียผมอีกต่อไป และผมก็จะส่งเสียน้องให้เรียนสูงๆ เอง แม่ไม่ต้องทำงานหนักอีกต่อไป ไม่ต้องออกไปกรีดยางตอนตี่สามตี่สี่อีก" คนในหมู่บ้านรักอาแบ เพราะนิสัยดี ไม่หยิ่งยโส เวลาเจอใครก็จะทักทาย ในพิธีศพอาแบชาวบ้านหลายคนก็ร้องไห้ไปด้วย ก่อนเสียชีวิตอาแบมาขอเงินจากแม่ บอกว่าจะไปเข้าค่าย แม่ก็ให้เงินไป นั่นคือครั้งสุดท้ายที่ได้คุยกัน แม่รู้ว่าอาแบเสียชีวิตเวลาประมาณ 9 โมงเช้า กว่าจะรับศพกลับมาได้ก็ตกเย็นแล้ว ไม่เห็นบาดแผลที่ศพและมีสภาพเหมือนคนนอนหลับ ซึ่งศพของอาแบชาวบ้านได้ช่วยกันอาบน้ำศพและละหมาดศพอย่างคนปกติทั่วไป อาแบ ทำให้แม่มีกำลังใจมาก เพราะเป็นความหวังของครอบครัว แต่หลังจากอาแบเสียชีวิต สถานการณ์เปลี่ยนไปคนละด้าน ตอนนี้แม่เหมือนคนหมดแรง ไม่มีกำลังใจสู้กินไม่ได้นอนไม่หลับ และความดันโลหิตขึ้นสูง นางสือเมาะห์ เล่าด้วยว่า โชคร้ายยังมีมากกว่านั้น เพราะในวันที่อาแบเสียชีวิต มีเจ้าหน้าที่มาที่บ้าน นายอาสรี พ่อของอาแบเห็นเจ้าหน้าที่ก็วิ่งหนี เจ้าหน้าที่ก็ตามจับคิดว่าเป็นคนร้าย แล้วก็พบว่าพ่อของอาแบเป็นชาวอินโดนีเซีย เข้ามาอยู่อย่างผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวไป "วันตายของลูกแต่พ่อไม่ได้เห็นหน้าศพลูก และไม่ได้ส่งศพของลูกชายไปยังฝังที่กูโบร์ (สุสานมุสลิม) ทั้งๆที่เป็นวาระสุดท้ายที่พ่อจะเจอลูกแท้ๆ มันน่าเสียใจมาก" นางสือเมาะห์ เล่าว่า พ่อของอาแบมาอยู่ที่นี่มากกว่า 20 ปีแล้ว เจอกับแม่ตอนไปทำงานที่มาเลเซีย แล้วตามแม่มาอยู่ที่นี่ ที่แรกเข้ามาอย่างถูกกฎหมาย พอนานเข้าหนังสือเดินทางก็หมดอายุและไม่ได้ต่ออายุ ขณะนี้พ่อถูกควบคุมตัวที่สำนักงานตรวจคนเข้ามาเมือง จังหวัดปัตตานี นางบูงอ ปาระอิน อายุ 75 ปี ซึ่งเป็นเพื่อน บอกว่าเสียดายที่อาแบต้องจบชีวิตอย่างนี้ เป็นเด็กดีในหมู่บ้าน และเป็นที่ชื่นชอบของคนในบ้าน โดยเฉพาะคนเฒ่าคนแก่ ซึ่งคนดีอัลลอฮจะเอาก่อน นางบูงอ ปาระอิน อายุ 75 ปี ผู้สูงอายุในหมู่บ้าน บอกว่า เสียดายที่อาแบต้องจบชีวิตอย่างนี้ เขาเป็นเด็กดีในหมู่บ้าน เป็นที่ชื่นชอบของชาวบ้าน โดยเฉพาะคนเฒ่าคนแก่ แต่คนดีอัลลอฮมักจะไม่ให้มีชีวิตยืนยาว
ฮาเซ็ม บือราเฮง : ผู้นำวัยรุ่นในหมู่บ้าน นางปรัชญา เบ็นเจะมูดอ ภรรยานายฮาเซ็ม มีลูก 3 คน เล่าถึงนิสัยของฮาเซ็มว่า เป็นคนดี ชอบเล่นบอล มีทีมฟุตบอลของตัวเองในหมู่บ้าน ตระเวนเข้าร่วมแข็งขันทั่วทั้ง 3 จังหวัด ช่วงหลบหนี มักจะเตือนเยาวชนในหมู่บ้านไม่ให้ไปเกี่ยวข้องกับเสพยาเสพติด และไม่ให้สวมกางเกงขาสั้นเวลาเล่นฟุตบอล เนื่องจากเผยให้เห็นอวัยวะพึงสงวนตามหลักศาสนาอิสลาม คือตั้งแต่หัวเข่าขึ้นไปสำหรับผู้ชาย ซึ่งวัยรุนในหมู่บ้านก็เชื่อฟัง หลังจากเสียชีวิต เกรงว่าอาจทำให้ยาเสพติดระบาด เพราะไม่มีใครคอยตักเตือนและไม่มีคนที่สามารถควบคุมเยาวชนได้ ฮาเซ็มชอบอ่านคัมภีร์อัลกุรอานเป็นประจำ จึงมีคำภีร์อัลกุรอานติดตัวตลอด สาเหตุที่ฮาเซ็มเข้าร่วมขบวนการ เนื่องจากเขาเป็นคนหนึ่งที่เข้าร่วมชุมนุมที่สถานีตำรวจภูธรตากใบ เมื่อปี 2547 เมื่อกลับมาอยู่บ้านก็ถูกเจ้าหน้าที่รัฐเรียกให้ไปอบรมเป็นเวลา 2 เดือน แต่ฮาเซ็มไม่อยากไป แต่พ่อของเขาอยากให้ไป เพราะกลัวจะมีปัญหาในภายหลัง สุดท้ายฮาเซ็มก็ไปเข้าอบรม เมื่อกลับมาอยู่บ้าน มีเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ปิดล้อมตรวจค้นในหมู่บ้าน และได้ควบคุมตัวชาวบ้านหลาย แต่ฮาเซ็มไม่ได้อยู่บ้านในช่วงนั้น จึงไม่ถูกควบคุมตัวไปด้วย แต่ก็เขาก็มีชื่ออยู่ในกลุ่มเป้าหมายที่เจ้าหน้าที่ต้องการควบคุมตัวอยู่ด้วย ทำให้ฮาเซ็มรู้สึกกลัว จึงหลบหนี จนกระทั่งต่อมาก็มีหมายจับตัวเขาออกมา จากนั้นมีเจ้าหน้าที่มาเยี่ยมที่บ้านเพื่อขอให้ฮาเซ็มออกมามอบตัว แต่ฮาเซ็มไม่ยอมมอบตัว พร้อมกับบอกว่า ไม่เคยเห็นเหตุการณ์ที่แสนจะทรมานเท่าเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่ตากใบ ที่มีการจับมัดมือชาวบ้านแล้วโยนใส่ในรถ ทำให้เขาไม่อยากมอบตัว
มะรอโซ จันทราวดี : ตากใบคือมูลเหตุจับอาวุธสู้ มะรอโซ อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 162 หมู่ที่ 7 ต.บาเจาะ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส เกิดวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2525 ปัจจุบันมีลูก 2 คน คนแรกอายุ 6 ปี คนที่ 2 อายุเพียง 17 เดือน มะรอโซเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และจบวิชาศาสนาชั้น 7 จากโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามแห่งหนึ่งในพื้นที่อำเภอบาเจาะ มะรอโซมีพี่น้อง 6 คน เขาเป็นคนที่ 2 นางรุสนี แมเลาะ อายุ 25 ปี ภรรยาของมะรอโซ เล่าว่า เหตุที่มะรอโซตัดสินใจเข้าร่วมขบวนการจับอาวุธขึ้นมาต่อสู้กับรัฐ เพราะเขาเป็นคนหนึ่งได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2547 ตอนนั้น มะรอโซถูกควบคุมตัวไปพร้อมๆกับชาวบ้านคนอื่นๆ โดยถูกเจ้าหน้าที่มัดมือไพล่หลังแล้วนำตัวขึ้นรถบรรทุก เพื่อนำไปยังค่ายอิงคยุทธบริหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี หลังจากถูกปล่อยตัวกลับบ้านไม่นาน ก็เกิดเหตุระเบิดเจ้าหน้าที่ทหารใกล้ๆ หมู่บ้าน เมื่อปี 2548 มีเจ้าหน้าที่เสียชีวิตหลายนาย เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ตำรวจออกหมายจับมะรอโซ ซึ่งในช่วงแรกๆ เขาอยากออกมามอบตัวด้วย แต่ในช่วงนั้น เพื่อนๆ ของมะรอโซที่ถูกเจ้าหน้าที่จับตัวไปด้วยหลายคนถูกซ้อมทรมาน บางคนถูกจำคุกถึง 5 ปี บางคนศาลชั้นต้นพิพากษาประหารชีวิต รุสนีบอกว่า นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้มะรอโซไม่อยากออกมามอบตัว อีกทั้ง ยิ่งนานวันเข้า ก็ยิ่งมีคดีติดตัวเยอะขึ้น ซึ่งมะรอโซบอกว่า มอบตัวก็ตาย ไม่มอบตัวก็ตาย และยินดีที่จะใช้ชีวิตอย่างหลบๆซ่อนๆ อย่างน้อยก็มีโอกาสกลับบ้าน เจอหน้าตาญาติพี่น้องและคนในครอบครัวมากกว่า ชีวิตรักมะรอโซ ชีวิตที่ต้องหลบๆซ่อนๆ ในช่วงที่ต้องหลบๆซ่อนๆ การพบกันก็ต้องเป็นแบบหลบๆซ่อนๆด้วย เจอกันตามป่าบ้าง ใต้ต้นไม้บ้าง ในบ้านญาติบ้าง มีครั้งหนึ่งที่เขาหลบอยู่ในบ้านญาติ เจ้าหน้าเข้าไปตรวจค้นแต่ไม่เจอ ตอนหลังเจ้าหน้าที่ก็บอว่ามะรอโซมีคาถาอาคมบ้าง ที่ผ่านมา มีเจ้าหน้าที่แวะเวียนมาที่บ้านเป็นประจำ มาขอให้ตนบอกกับมะรอโซให้ออกมามอบตัว บางครั้งเจ้าหน้าที่ก็ขู่ว่า ถ้าไม่ออกมามอบตัวก็จะเตรียมกูโบร์(สุสาน)ไว้ให้ ตนก็เล่าให้มะรอโซฟัง มะรอโซก็ให้บอกเจ้าหน้าที่ว่า ใครๆก็ต้องไปกูโบร์อยู่แล้ว อยู่ที่อัลลอฮที่จะให้ไปช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง เมื่อไม่มีมะรอโซแล้ว ก็รู้สึกว่าตัวเองขาดที่พึ่ง เพราะตอนเขาอยู่ชาวบ้านจะให้ความเคารพและเกรงใจเรา จนบางครั้งมะรอโซก็พูดกับตนว่า เป็นเพราะฉันใช่ไหมที่ทำให้ชาวบ้านเกรงใจเธอ นางรุสนี เล่าด้วยว่า มะรอโซให้ความสำคัญเรื่องการเรียนของลูกๆ เขาพูดเสมอว่า อยากตนสนับสนุนให้ลูกเรียนหนังสือสูงๆ เท่าที่จะส่งเสียได้ เมื่อเดือนธันวาคม 2554 ในช่วงของวันพ่อแห่งชาติ ทางโรงเรียนทำกิจกรรมด้วย ครูให้นักเรียนบอกชื่อของพ่อและแม่ในชั้นเรียน พอถึงคิวลูกของตน ครูก็ข้าม ไม่อยากให้ลูกบอกชื่อพ่อ ทั้งๆ ดูจากอาการของลูกแล้ว เหมือนลูกอยากจะบอกชื่อพ่อชื่อแม่ให้เพื่อนๆ ฟัง ตนก็เอาเรื่องนี้ไปเล่าให้มะรอโซฟัง มะรอโซก็บอกว่า ขอให้ครูสอนหนังสือลูกของเขาเหมือนกับสอนลูกคนอื่นๆ ไม่ต้องดูแลเป็นพิเศษอะไร เขาบอกว่า ครูสอนไม่ต้องกลัว ให้ครูสอนเหมือนสอนนักเรียนตามปกติ ซึ่งครูบางคนก็เป็นครูไทยพุทธและเป็นครูที่เคยสอนเขาด้วย ตนก็เอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ครูฟัง นางรุสนี เล่าว่า เวลาประมาณ 04.00 น. ของคืนที่เกิดเหตุ มีเจ้าหน้าที่ทหารคนหนึ่งโทรมา ซึ่งแปลกใจมากทำไมเจ้าหน้าที่โทรศัพท์มาตอนนั้น เมื่อรับสาย เจ้าหน้าที่ก็เล่าว่าเกิดเหตุการณ์โจมตีฐานทหาร คิดว่ามะรอโซน่าจะเสียชีวิตในที่เกิดเหตุแต่ยังไม่ชัดเจน ขอให้ตนเช็คข่าวเองด้วย ตนจึงโทรไปหามะรอโซแต่ไม่รับสาย จากนั้นตนเปิดดูข่าวในโทรทัศน์ซึ่งเสนอข่าวเหตุการณ์ดังกล่าว แต่ยังไม่สามารถระบุรายชื่อผู้เสียชีวิตได้ จนกระทั่ง 06.00 น. ทหารคนเดิมจึงโทรมายืนยัน ส่วนนางเจ๊ะมะ เล่าว่า มะรอโซกลับมาที่บ้านครั้งสุดท้ายช่วงค่ำของวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2556 เห็นสีหน้ามะรอโซแปลกกว่าปกติ เขาเงียบไม่พูดอะไรมาก ตนคิดในใจน่าจะถึงเวลาของเขาแล้ว ก่อนที่เขาจะจากไปเขาเข้าไปในบ้านญาติๆที่อยู่ใกล้ๆกัน แล้วจับมือให้สลามทุกคน และขอให้ทุกคนให้อภัยซึ่งกันและกัน นามสกุล "จันทราวดี" "บ้านเขาสร้างเสร็จแล้ว และมีการทำพิธีละหมาดฮายัดขึ้นบ้านใหม่พร้อมๆ กับวันที่นำศพของเขากลับมายังบ้านหลังใหม่" นอกจากนี้ มะรอโซยังส่งเสียน้องชายที่กำลังศึกษาอยู่ที่ประเทศซูดานด้วย นางเจ๊ะมะ เล่าว่า มะรอโซชอบช่วยเหลือสังคม เวลาชาวบ้านขอความช่วยเหลืออะไรเขาไม่เคยปฏิเสธ เขาช่วยชาวบ้านด้วยความบริสุทธิ์ใจเสมอ ลักษณะพิเศษของมะรอโซ คือสามารถเป็นตัวกลางในการประสานงานให้คนที่ทะเลาะกลับคืนดีได้ จึงทำให้เขาเป็นคนที่ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างสูง และชาวบ้านเชื่อฟังในสิ่งที่เขาพูด ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ทำไมมะรอโซ จึงมีนามสกุล "จันทราวดี" นางเจ๊ะมะ เล่าว่า ที่มาของนามสกุลนี้ว่า มาจากปู่ของเขาที่เป็นคนอำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้แต่งงานกับย่า ซึ่งเป็นคนนราธิวาส ทั้งคู่อาศัยอยู่ที่อำเภอท่าศาลา โดยปู่เป็นกำนันในสมัยนั้น จนกระทั่งได้ลูก ซึ่งเป็นพ่อของมะรอโซ เมื่อปู่เสียชีวิตขณะที่พ่อของมะรอโซมีอายุเพียง 14 ปี ย่าก็พาลูกกลับมาอยู่ที่อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส ด้วยเหตุนี้ทำให้มะรอโซ มีนามสกุลจันทรวดี ซึ่งเป็นนามสกุลดังในอำเภอท่าศาลาและหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช นางเจ๊ะมะ เจ๊ะนิ อายุ 53 ปี แม่ของมะรอโซ เล่าว่า มะรอโซเป็นคนขยันทำหากิน แม้ตอนที่ต้องอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆ เขายังรับจ้างกรีดยางพาราของชาวบ้านถึง 3 เจ้า เพื่อส่งเงินมาสร้างบ้านของตัวเอง เพื่อให้ลูกเมียได้อยู่อาศัยเป็นส่วนตัว แทนที่จะอาศัยอยู่กับครอบครัวแม่ยาย "บ้านเขาสร้างเสร็จแล้ว และมีการทำพิธีละหมาดฮายัดขึ้นบ้านใหม่พร้อมๆ กับวันที่นำศพของเขากลับมายังบ้านหลังใหม่" นอกจากนี้ มะรอโซยังส่งเสียน้องชายที่กำลังศึกษาอยู่ที่ประเทศซูดานด้วย นางเจ๊ะมะ เล่าว่า มะรอโซชอบช่วยเหลือสังคม เวลาชาวบ้านขอความช่วยเหลืออะไรเขาไม่เคยปฏิเสธ เขาช่วยชาวบ้านด้วยความบริสุทธิ์ใจเสมอ ลักษณะพิเศษของมะรอโซ คือสามารถเป็นตัวกลางในการประสานงานให้คนที่ทะเลาะกลับคืนดีได้ จึงทำให้เขาเป็นคนที่ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างสูง และชาวบ้านเชื่อฟังในสิ่งที่เขาพูด ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ทำไมมะรอโซ จึงมีนามสกุล "จันทราวดี" นางเจ๊ะมะ เล่าว่า ที่มาของนามสกุลนี้ว่า มาจากปู่ของเขาที่เป็นคนอำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้แต่งงานกับย่า ซึ่งเป็นคนนราธิวาส ทั้งคู่อาศัยอยู่ที่อำเภอท่าศาลา โดยปู่เป็นกำนันในสมัยนั้น จนกระทั่งได้ลูก ซึ่งเป็นพ่อของมะรอโซ เมื่อปู่เสียชีวิตขณะที่พ่อของมะรอโซมีอายุเพียง 14 ปี ย่าก็พาลูกกลับมาอยู่ที่อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส ด้วยเหตุนี้ทำให้มะรอโซ มีนามสกุลจันทรวดี ซึ่งเป็นนามสกุลดังในอำเภอท่าศาลาและหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
แม่ทัพ 4 เรียกร้องหันหน้าคุยกันเพื่อสันติภาพ เผยปืนมะรอโซถูกใช้ก่อเหตุ 35 คดี Posted: 18 Feb 2013 11:15 AM PST แม่ทัพภาค 4 แถลง เหตุโจมตีฐานทหารบาเจาะ เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องป้องกันตัว หน่วยความมั่นคงเปิดแผนยุทธการ 4563 บุกเขาบูโดไล่ล่ากลุ่มโจมตีฐาน ล่าสุดเชิญตัวผู้ต้องสงสัย 10 คน เมื่อเวลา 13. 00 น.วันที่ 18 ธันวามคม 2556 ที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) ต.เขาตูม อ.ยะรัง จ.ปัตตานี พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเรื่องการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า ได้บูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่าง กอ.รมน.ภาค 4 สน. ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศอ.บต.) และกระทรวงทบวงกรมต่างๆ ในการแก้ปัญหาตามยุทธศาสตร์พระราชทาน คือ เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา เพื่อให้งานเป็นไปตามแนวทางเดียวกัน โดยได้ดำเนินยุทธศาสตร์หลักๆ 5 ด้าน คือ การรักษาความปลอดภัย การแก้ไขปัญหาภัยแทรกซ้อน การพัฒนาคุณภาพชีวิต และโครงสร้างพื้นฐาน การสร้างความเป็นธรรม การดำเนินการในเรื่องสิทธิมนุษยชน และที่สำคัญคือ การสร้างสภาวะแวดล้อมที่จะให้พวกเราออกจากความขัดแย้ง โดยกำลังตำรวจ ทหารที่ลงมาในพื้นที่ขณะนี้ ก็มาเพื่อควบคุมสถานการณ์ ป้องปรามไม่ให้เหตุร้ายขยายตัว สิ่งที่ดำเนินการคือการสร้างความเข้าใจเพื่อเป็นพื้นฐานในการสื่อสารซึ่งกันและกัน พล.ท.อุดมชัย กล่าวว่า มีหลายฝ่ายมองว่า เจ้าหน้าที่กระทำเกินกว่าเหตุ แต่ตนมองว่าเหตุการณ์คนร้าย 50 คนบุกโจมตีจมตีฐานทหารบ้านยือลอ ต.บาเระเหนือ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส ถ้าไม่โต้ตอบ เหตุการณ์แบบนี้ก็น่าจะเกิดซ้ำอีกเช่นอดีตที่ผ่านมา เป็นการกระทำที่โหดเหี้ยม ที่ทางอิสลามก็ได้สอนคนทั้งโลกว่า การทำร้ายศพนั้นผิดหลักศาสนา แต่ก็ยังมีกลุ่มคนเหล่านี้ที่อ้างตัวว่าเป็นนักรบญีฮาดกระทำเช่นนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวเจ้าหน้าที่จึงจำเป็นต้องป้องกันตัว กรณีเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดปัตตานี วันที่ 16-17 กุมภาพันธ์ 2556 ที่ผ่นมา โดยทั่วไปในพื้นที่ก็ยังมีลักษณะของสงคราม ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน ยังไม่สามารถยุติเหตุการณ์ได้ ก็ยังคงเกิดเหตุโจมตีกัน ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่จะใช้การมีส่วนร่วมในการเข้าปิดล้อมตรวจค้น มีการเชิญผู้นำศาสนา ผู้นำชุมชนเข้าร่วม ซึ่งหลายเหตุการณ์ก็ออกมาเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย ถ้าหลักฐานไม่เพียงพอก็มีการปล่อยตัวไป สรุปได้ว่า พื้นที่ยังคงมีเงื่อนไขในการต่อสู้กันอยู่ ก็ยังมีความเชื่อมโยง แต่ทางรัฐเลือกที่จะใช้หลักของกฎหมาย หลักของสิทธิมนุษยชนในการดำเนินการ พล.ท.อุดมชัย กล่าวอีกว่า สำหรับการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรพระราชบัญญัติการรักษาความไม่สงบภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 (พ.ร.บ.ความมั่นคง) หากศึกษาให้ดี พ.ร.บ.นี้จะนำไปสู่ มาตรา 21 คือ การให้อภัยกัน ซึ่งอยากให้ศึกษาแนวทาง ตนเองประเมินสถานการณ์ล่าสุดว่า ในเมื่อรัฐยึดถือแนวทางสิทธิมนุษยชน ส่วนฝ่ายตรงข้ามต้องการสร้างสงคราม ให้คล้ายว่าเป็นสงครามศาสนา แม้แต่การทำร้ายผู้บริสุทธิ์ก็ยังทำ ตนมองว่าคงจะมาถึงจุดสุดท้ายของสงครามมากกว่า ฉะนั้น กลุ่มคนเหล่านี้จะพยายามใช้ความรุนแรงเพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่า กลุ่มเค้ายังคงมีอยู่ แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ในพื้นที่เกิดความเบื่อหน่ายกับสถานการณ์แล้ว "กรณีกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติภาพนั้น ตนอยากจะบอกว่า เวลาเราจะพูดคุยกับใคร ถ้าเรามีอำนาจเราก็จะสามารถต่อรองได้ แต่เหตุการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตนมองว่ารัฐบาลได้ดำเนินการแก้ไขมายาวนาน เราได้เปรียบในเรื่องงานมวลชน เดิมฝ่ายตรงข้ามอาจจะได้เปรียบ แต่เมื่อความจริงใจ และความตั้งใจในการแก้ปัญหาของภาครัฐ จึงทำให้ฝ่ายตรงข้ามเสียเปรียบ การพูดคุยไม่ใช่การเจรจา เพราะจะเจรจาไม่ได้ แต่กระบวนการรัฐศาสตร์เปิดเอาไว้ในสภาวะเกื้อกูล ให้ออกจากความขัดแย้งได้ สามารถกระทำควบคู่ไปกับนโยบายภาครัฐ ในการพัฒนาพื้นที่ได้ เมื่อถามตนว่าการเจรจาทำหรือไม่ ก็คงจะตอบว่าไม่ได้ทำ แต่ทำกระบวนการสร้างสภาวะเกื้อกูลให้สามารถออกจากความขัดแย้งนั้น มีการทำอยู่ในทุกระดับ รวมทั้งการเยียวยา" แม่ทัพภาค 4 กล่าว ภายหลังการแถลงข่าว พล.ต.ต.สุชาติ ธีระสวัสดิ์รองผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศชต.)เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบคนร้ายที่เสียชีวิต พบว่า คนร้ายมีหมายจับของทางการอย่างน้อย 12 คน และจากการตรวจสอบขยายผลอาวุธปืนที่ยึดได้นั้น มีหลักฐานยืนยันที่ตรงกันว่า มีการใช้ก่อเหตุความไม่สงบในพื้นที่จำนวนหลายคดี โดยอาวุธปืนส่วนใหญ่ที่ยึดได้จากกลุ่มคนร้ายจะเป็นอาวุธปืนของทางราชการ เป็นของเจ้าหน้าที่ที่ถูกคนร้ายก่อเหตุ และขโมยไป "โดยเฉพาะอาวุธปืนของ นายมะรอโซ จันทรวดี แกนนำคนสำคัญที่เสียชีวิตในการเหตุดังกล่าว พบว่า มีการใช้ก่อเหตุมากถึง 35 คดี ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็เร่งขยายผลในการตรวจสอบหลักฐานอย่างอื่น เพื่อติดตามจับกุมตัวคนร้ายที่เหลือ และยังหลบหนีอยู่ในขณะนี้" วันเดียวกัน หน่วยความมั่นคงได้เปิดใช้แผนยุทธการ 4563 เพื่อเร่งตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายเขตรอยต่อ อ.ไม่แก่น อ.สายบุรี อ.กะพ้อ จ.ปัตตานี กับ อ.รามัน จ.ยะลา และ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส เพื่อกดดันและจับกุมกลุ่มก่อเหตุโจมตีฐานทหารที่บ้านยือลอ โดยปรับแผนการปฏิบัติให้มีการกระชับพื้นที่เป้าหมาย เขตรอยต่อให้แคบลง เพื่อง่ายต่อการเข้ากดดัน จับกุม โดยมีหน่วยกำลังประจำพื้นที่ทั้งทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง เข้ามาช่วยเหลือในการตั้งจุดตรวจ จุดสกัด และการลาดตระเวนควบคู่ไปกับการกดดันไล่ล่ากลุ่มคนร้ายที่หลบหนีอยู่ตามป่าเขา โดยเฉพาะบนเทือกเขาบูโด ซึ่งได้รับรายงานว่าบางส่วนลงมากบดานอยู่ในบ้านของสมาชิกแนวร่วม แผนยุทธการ 4563 สามารถเชิญตัวผู้ต้องสงสัยส่งไปควบคุมตัวภายใต้กฎอัยการศึก ที่กรมทหารพรานที่ 41 ต.วังพญา อ.รามัน จ.ยะลา จนขณะนี้รวมแล้วกว่า 10 ราย และได้ทำการเก็บลายนิ้วมือ ดีเอ็นเอ ไว้เทียบเคียงกับวัตถุพยานที่พบจากที่เกิดเหตุ โดยคาดว่าจะสามารถรู้ผลได้ในช่วงอาทิตย์นี้ ส่วนผู้ที่ถูกควบคุมตัวส่วนใหญ่ พบว่าเป็นผู้ที่มีภูมิลำเลาอยู่ในพื้นที่ อ.ไม้แก่น อ.กะพ้อ จ.ปัตตานี อ.บาเจาะ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส รวมทั้ง อ.รามัน จ.ยะลา และผลการซักถามพบว่า บางรายมีความเชื่อมโยง และเป็นแนวร่วมกลุ่มก่อความไม่สงบ แต่ยังไม่เป็นที่เปิดเผยข้อมูล ผลการซักถาม ว่าจะมีผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์โจมตีฐานปฏิบัติการณ์หมวดปืนเล็กที่ 2 ฉก.นราธิวาส 32 ด้วยหรือไม่
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
4 ผู้ถูกยิงในเหตุการณ์ ‘พลทหารณรงค์ฤทธิ์’ เบิกความกระสุนจากฝั่งทหาร Posted: 18 Feb 2013 09:05 AM PST ไต่สวนการตายพลทหาร ณรงค์ฤทธิ์ สาละ ซึ่งถูกยิงเสียชีวิต 28 เม.ย.53 ในเหตุการณ์ระงับการปะทะทหารกับ นปช. ที่ ถ.วิภาวดีฯ 4 พยานผู้ถูกยิงในเหตุการณ์แวดล้อม เบิกความกระสุนที่ตนถูกยิงมาจากฝั่งทหาร นัดไต่สวนต่อ 21 ก.พ.นี้ 15 ก.พ.56 ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 811 ศาลอาญา รัชดา ศาลนัดไต่สวนชันสูตรพลิกศพ คดีหมายเลขดำที่ อช.4/2555 ซึ่งพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษ ฝ่ายคดีอาญา 5 สำนักงานอัยการสูงสุด เป็นโจทก์ร้องขอให้ศาลไต่สวนการเสียชีวิตของพลทหาร ณรงค์ฤทธิ์ สาละ (ได้รับเลื่อนยศเป็น ร้อยตรี หลังเสียชีวิต) ขณะกำลังปฏิบัติหน้าที่ชุดลาดตระเวนเคลื่อนที่เร็ว เพื่อระงับเหตุการณ์การปะทะกันของตำรวจ ทหาร กับผู้ชุมนุม แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ที่บริเวณอนุสรณ์สถานแห่งชาติ เขตบางเขน ถนนวิภาวดีรังสิต เมื่อวันที่ 28 เม.ย.53 ในนัดนี้มีผู้ถูกยิงด้วยกระสุนได้รับบาดเจ็บในเหตุการณ์ 4 รายเข้าเบิกความ ประกอบด้วย น.ส.ระจิตร จันทะมั่น อายุ 37 ปี คนงานโรงงานย่านอุดมสุข ถูกยิงที่หน้าแข้งขวา นายวสุรัตน์ ประมวล อายุ 41 ปี ลูกจ้างประจำ ผู้ช่วยช่าง สำนักงานระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร นายพร้อม ดาทอง อายุ 31 ปี ถูกยิงที่มือ และ นายวิชาญ วางตาล อายุ 62 ปี อาชีพขับรถแท็กซี่ ถูกยิงที่หน้าอกขวา และไหล่ขวา ทั้งนี้ การไต่สวนชันสูตรพลิกศพของ ร.ต.ณรงค์ฤทธิ์ จะมีขึ้นอีกในวันที่ 21,22 ก.พ. , 14, 15, 21, 22 มี.ค., 9, 10, 11, 18, 19 เม.ย.56 ระจิตร จันทะมั่น เบิกความว่า พยานเข้ามาทำงานในโรงงานย่านอุดมสุข ก่อนเกิดเหตุประมาณ 2 ปี เป็นพนักงานเขียนใบเสร็จรับเงิน โดยคนรักของพยานมักติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับการชุมนุมของกลุ่ม นปช. แล้วจึงชักชวนมาดูการชุมนุมที่ราชประสงค์และผ่านฟ้า พยานจึงได้เข้าร่วมชุมนุม 10 กว่าวันก่อนเกิดเหตุ ในวันเกิดเหตุ 28 เมษา 53 พยานอยู่ที่ราชประสงค์ก่อน ตอน 10 โมงเช้า มีการประกาศว่ามีกลุ่มผู้ชุมนุมที่บริเวณตลาดไทถูกทหารทำร้าย จึงมี นปช.จากตลาดไท ชวนกันไปเยี่ยมผู้ที่ถูกทหารทำร้าย โดยมีการจัดรถยนต์หลายคันไปเยี่ยม พยานจึงร่วมเดินทางไปด้วย จุดเกิดเหตุคือ ถนนวิภาวดีรังสิต ฝั่งขาออก มุ่งหน้าไปตลาดไท โดยในตอนแรกมีเฮลิคอปเตอร์บินสำรวจผู้ชุมนุม จากนั้นพยานได้รับแจ้งจากผู้ชุมนุมที่เดินทางไปก่อนหน้าว่าไม่สามารถไปต่อได้แล้ว เนื่องจากมีทหารสกัด พยานจึงลงจากรถตรงบริเวณปั๊มแก๊สร้างและหยุดพักบริเวณนั้น โดยพวกที่ร่วมชุมนุมก็ได้เข้าไปด้วย พยานเห็นทหารนำลวดหนามกันไว้และถือโล่ด้วย ถนนวิภาวดีฯ ฝั่งขาเข้าก็มีทหารยืนอยู่ด้วย สำหรับทหารที่อยู่อีกฝั่งถนนไม่ได้สังเกตว่าถือปืนอยู่หรือไม่ ผู้ชุมนุมส่วนหนึ่งที่มาด้วยกันตัดสินใจอยู่บริเวณปั๊มไม่เคลื่อนต่อ แต่พยานและผู้ร่วมชุมนุมส่วนหนึ่งพยายามเดินไปด้านหน้าโดยหมอบไปด้วย เมื่อเดินไปสักพักก็มีทหารยิงมาตลอดเพื่อสกัดกั้นไม่ให้เคลื่อนไปด้านหน้า โดยยิงสวนมาเป็นชุด พยานยืนยันว่าเห็นทหารใช้อาวุธปืนยิงโดยเป็นลักษณะของการยิงสกัดไม่ให้ผู้ชุมนุมเคลื่อนที่ แต่ไม่ทราบว่าทหารใช้อาวุธปืนชนิดใด พยานพยายามเดินต่อไปข้างหน้าจนกระทั่งห่างจากปั๊มประมาณ 100 เมตร ก็ถูกยิงที่ขาขวาบริเวณหน้าแข้ง ไม่ทราบว่าใครยิงแต่รู้ว่ายิงมาจากฝั่งทหาร เพราะขณะนั้นพยานหันหน้าไปทางแนวทหาร และกระสุนมาตามแนวนั้ นอกจากนี้พยานยังเห็นผู้ชายถูกกระสุนยิงที่ท้อง มีเลือดไหลและมีรอยไหม้ แต่ไม่ทะลุ เข้าใจว่าเป็นกระสุนยาง ระจิตร เบิกความต่อว่า ขณะที่ถูกยิงนั้นมีฝนตกหนัก ผู้ชุมนุมที่เห็นเหตุการณ์พยายามเรียกให้ผู้ขับจักรยานยนต์ผ่านทางเข้ามารับตัวพยานไปโรงพยาบาล แต่ไม่สามารถเข้ามาได้เนื่องจากเจ้าหน้าที่ไม่ยอมให้เข้า แต่ในที่สุดก็สามารถนำตัวพยานส่งรถพยาบาลของ รพ.ภูมิพล ได้ในเวลาเกือบ 1 ทุ่ม เนื่องจากต้องใช้เวลาในการโทรติดต่อนานมาก แพทย์ได้เอ็กซเรย์และพาเข้าห้องผ่าตัดเอากระสุนออก และได้นำหัวกระสุนมาให้พยานดูด้วย ลักษณะเป็นลูกตะกั่วกลมๆ น่าจะเป็นกระสุนลูกซองลูกปราย พยานพยายามขอกระสุนจากแพทย์เพื่อนำไปแจ้งความ แต่แพทย์แจ้งว่าอยู่ในเหตุการณ์แบบนี้ให้ไม่ได้ หลังเกิดเหตุ น.ส.ระจิตร ได้รับการช่วยเหลือจากบ้านราชวิถี สำนักพระราชวัง และองค์กรอื่นๆ รวมแล้วประมาณ 70,000 บาท และเคยให้การกับพนักงานสอบสวน สน.พญาไท พนักงานสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษเกี่ยวกับคดีนี้ด้วย แต่พยานไม่ได้เห็นเหตุการณ์ วสุรัตน์ ประมวล ลูกจ้างประจำของสำนักงานระบายน้ำ กรุงเทพฯ เบิกความว่า พยานถูกยิงวันที่ 28 เม.ย.53 เวลาประมาณ 15.00 น. ก่อนถูกยิงตั้งใจจะไปซื้อที่อยู่อาศัยที่รังสิต จึงขับจักรยานยนตร์มุ่งหน้าไปทางถนนวิภาวดีรังสิต ขาออก เมื่อถึงบริเวณอนุสรณ์สถานแห่งชาติ ในประมาณ 15.00 น. พบว่ามีการเดินขบวนของ นปช. แต่ก็ยังสามารถสัญจรได้อยู่ เมื่อเห็นกลุ่มทหารตั้งแนวสกัดชุมนุมเสื้อแดงที่จะมุ่งหน้าไปทางรังสิต พยานได้หยุดตรงปั๊มแก็สและได้ยินเสียงปืนดังขึ้นโดยไม่ทราบทิศทาง ทำให้ขบวนรถของ นปช. ไม่สามารถเดินทางต่อไปได้ พยานลงไปหลบที่ปั๊มแก็สเนื่องจากเกรงว่าจะไม่ปลอดภัยและย้ายไปหลบที่ปากทางเข้าหมู่บ้านแห่งหนึ่งต่อ ระหว่างนั้นได้ยินเสียงปืนเป็นระยะหลายนัดต่อเนื่อง มาจากฝั่งทหาร หลังจากนั้นพยานรู้สึกว่าลำตัวเหมือนโดนของแข็งกระทบจนหงายหลังล้มลง และพยายามยืนขึ้นแต่ไม่สามารถยืนได้ มีเลือดไหลออกมาบริเวณหัวเข่าจึงดึงกางเกงดูและพบว่าถูกยิง ขณะถูกยิงนั้นกำลังเดินเรียบไปทางประตูเหล็ก วิถีกระสุนน่าจะมาจากฝั่งด้านหน้าที่มีทหารที่อยู่ห่างไปประมาณ 100-150 เมตรโดยทหารถือปืนยาวที่มีลักษณะแบนทุกคน พยานถูกยิงเวลาประมาณ 15.00 น. ขณะนั้นฝนยังไม่ตกแต่ลมกรรโชกแรง วสุรัตน์เบิกความต่อว่า เห็นทหารถือปืนอยู่ด้านหน้า แต่ไม่ได้เห็นตอนยิง รู้ตัวอีกทีก็ล้มแล้ว อย่างไรก็ตาม เหตุที่รู้ว่ากระสุนมาจากทางทหารเนื่องจากตัวพยานกระเด็นไปด้านหลัง หลังถูกยิงพยานไม่เห็นกลุ่มผู้ชุมนุมมีอาวุธ นอกจากนี้แพทย์โรงพยาบาลภูมิพลที่เขาเข้ารักษาตัวให้ความเห็นเมื่อเดือนที่ผ่านมาว่า กระสุนที่ยิงเป็นกระสุนลูกปราย สำหรับผู้ตายกรณีนี้พยานไม่เห็นขณะถูกยิง และไม่ทราบหรือรู้ว่าเขาตาย แต่ทราบข่าวในวันรุ่งขึ้น นอกจากนี้พยานยังได้รับการเยียวยาจาก สำนักพระราชวังเป็นเงิน 6,000 บาท จากกระทรวงพัฒนาสังคมฯ 60,000 บาท และได้แจ้งความไว้กับ สน.ดอนเมืองแล้ว ส่วนพยานที่ได้รับบาดเจ็บในเหตุการณ์อีก 2 ปากคือ นายพร้อม ดาทอง อายุ 31 ปี และนายวิชาญ วางตาล อายุ 62 ปี นั้น ข่าวสดออนไลน์ รายงานว่า นายพร้อม ดาทอง เบิกความสรุปว่า วันที่ 28 เม.ย.53 เวลาประมาณ 11.00 น. เดินทางไปสนามกีฬาธูปะเตมีย์ อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี เพื่อดูสนามสอบนายทหารชั้นสัญญาบัตร จากนั้นขับขี่รถจักรยานยนต์กลับบ้านโดยใช้เส้นทาง ถ.วิภาวดี รังสิต ขาออก เมื่อมาถึงอนุสรณ์สถานเห็นกลุ่มเสื้อแดงชุมนุมอยู่จำนวนมาก จึงจอดรถจักรยานยนต์ดู สักพักคนเสื้อแดงทยอยถอยหลังและได้ยินเสียงปืน และเห็นปลอกกระสุนปืนลูกซองหล่นอยู่หน้าผู้ชุมนุมเสื้อแดง มีหนึ่งในผู้ชุมนุมบอกว่า เป็นกระสุนยาง ต่อมามีผู้ชุมนุมล้มลงและมีเลือดไหลบริเวณท้อง ได้เข้าไปช่วยเหลือลากมาหลบกระสุนบริเวณตอม่อ ส่วนพยานถูกยิงข้อมือซ้ายทะลุ ช่วงหลบกระสุนเห็นทหารถือปืนออกจากข้างทาง แต่ไม่รู้ว่าใครยิง หลังเกิดเหตุได้เงินเยียวยาจากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ประมาณ 700,000 บาท จึงไม่คิดดำเนินคดีทางอาญาและแพ่งกับผู้ก่อเหตุ ส่วนนายวิชาญ วางตาล เบิกความว่า วันเกิดเหตุเวลา 14.00 น. ขับรถแท็กซี่จากบ้านย่านคูคตไปที่อู่ย่านรัชดาฯ ใช้เส้นทาง ถ.วิภาวดีฯ เลนคู่ขนาน ขาเข้า ผ่านอนุสรณ์สถาน เจอกลุ่มเสื้อแดงเต็มช่องทางทั้งขาเข้า-ขาออก จึงลงจากรถมาดูเหตุการณ์เห็นคนเสื้อแดงปาก้อนหิน หนังสติ๊ก ไม้ ใส่กลุ่มทหาร บางคนโยนผักผลไม้มาจากโทลล์เวย์ จากนั้นทหารยิงปืนรัวเป็นชุด ขณะที่ฟ้ามืดครึ้ม ฝนตกหนักด้วย จึงวิ่งไปหลบหลังเสาโทลล์เวย์โดยหน้าอกซ้ายแนบเสาไว้ฝั่งเดียว หันหน้าไปทางทหาร มีกระสุนยิงมาโดนหน้าอกขวา และไหล่ขวา เข้าใจว่ากระสุนจากกลุ่มทหาร นายวิชาญ วางตาล เบิกความอีกว่า หลังถูกยิงตนล้มลงมีคนช่วยนำส่งรถพยาบาล แพทย์วินิจฉัยว่ากระสุนทะลุปอด ส่วนกระสุนที่เข้าไหล่ขวาทำให้กระดูกแตกและฝังในใกล้เส้นประสาท แพทย์ไม่สามารถผ่าตัดออกมาได้ หากผ่าตัดอาจทำให้แขนใช้การไม่ได้ ไม่เห็นเหตุการณ์พลทหารณรงค์ฤทธิ์ถูกยิง คดีนี้หากหาคนยิงได้ก็ไม่คิดดำเนินคดีอาญาและแพ่งกับผู้ก่อเหตุ เนื่องจากได้รับเงินเยียวยาสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รวมกันเกือบ 7 แสนบาท และคดีล่วงเลยมานานกว่า 2 ปีแล้ว นายวิชาญ ได้เปิดเผยกับผู้สื่อภายหลังการเบิกความด้วยว่า เขาไม่ได้ร่วมชุมนุมกับ นปช. แต่กลับถูกยิงด้วย หลังถูกยิงไม่สามารถทำงานได้ถึง 3 เดือน และปัจจุบันก็ยังทำงานไม่สะดวกเนื่องจากกระสุนที่ฝังอยู่ที่หัวไหล่ยังขัดอยู่ นอกจากนี้ หลังการเบิกความ น.ส.ระจิตร และนายวสุรัตน์ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวด้วยว่า ทั้งคู่ยังไม่ได้รับเงินเยียวยาจากรัฐบาลนี้ ทั้งๆ ที่พยายามติดตามความคืบหน้าหลายครั้งแล้ว ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 12 - 18 ก.พ. 2556 Posted: 18 Feb 2013 08:25 AM PST ศาลสั่งให้แกนนำสหภาพจีเอ็ม 13 คน ออกนอกพื้นที่บริษัท จี้ ก.แรงงานแจงเร่งแก้พ.ร.บ.ประกันสังคม เพิ่มสิทธิผู้ประกันตน ห่วงรื้อทั้งฉบับใช้เวลานาน ผู้ประกันตนเดือดร้อน จี้ ก.แรงงานแจงเร่งแก้พ.ร.บ.ประกันสังคม เพิ่มสิทธิผู้ประกันตน ห่วงรื้อทั้งฉบับใช้เวลานาน ผู้ประกันตนเดือดร้อน ก.แรงงานเตรียมถกคกก.ระดับชาติ เล็งขยายความคุ้มครองสู่กลุ่มแรงงานนอกระบบ สหภาพการท่าเรือขู่หยุดงานล่วงเวลา 15 ก.พ. ความต้องการแรงงานเดือน ม.ค. วูบ 19% ทั้งหมวดพนักงานขาย ธุรการ และช่างฝีมือ รมว.แรงงานเผยลูกจ้างตกงานจากการปรับค่าแรง 300 บาทแล้ว 495 คน บริษัท GM ไม่สนสหภาพฯ เดินหน้าเปิดเดินเครื่องผลิตรถยนต์ เบรกหนังสือสั่งการจ่ายโบนัส "กฤษฎีกา"ชี้ไม่มีผลทางกฎหมาย เร่งแก้ กม.เพิ่มสิทธิ์ให้แก่ผู้ประกันตน "อภิสิทธิ์" แนะรัฐบาลเร่งหามาตรการแก้ปัญหาผลกระทบค่าแรง 300 บาท "เผดิมชัย"ปัดโรงงานโอ่งราชบุรีปิดตัว ไม่เกี่ยวขึ้นค่าจ้าง 300 บาท ผ.อ.การท่าเรือยื่นใบลาออกแล้ว หลังโดนสหภาพฯท่าเรือประท้วงขับไล่
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
‘คปอ.’ เปิดศูนย์ศึกษา กม.–'เอ็นจีโออีสาน' จัดเวทียกร่าง กม.3 ฉบับ หวังกระจายที่ดินเป็นธรรม Posted: 18 Feb 2013 07:45 AM PST ภาคประชาชนอีสาน ระดมความคิด ยกร่างกฎหมายภาษีที่ดินอัตราก้าวหน้า-ธนาคารที่ดิน-สิทธิการจัดการที่ดินและทรัพยากร หวังการกระจายการถือครองที่ดินที่เป็นธรรม ด้าน คปอ.เปิดศูนย์ศึกษาและพัฒนานักกฎหมายเพื่อสิทธิมนุษยชน องค์กรภาคประชาชน ภาคอีสาน อาทิ คณะกรรมการองค์กรชาวบ้านแก้ไขที่ดินภาคอีสาน (คอปอ.) กลุ่มคัดค้านเหมืองแร่โปแตชอุดรธานี คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนภาคอีสาน (กป.อพช.อีสาน) สำนักงานปฏิรูปเพื่อสังคมไทยที่เป็นธรรม (สปร.) สมัชชาคนจน (สคจ.) และขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) ร่วมกับ วิทยาลัยการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม จัดเวทีสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง 'ภาคประชาชนกับข้อเสนอประกอบการยกร่างกฎหมาย 3 ฉบับ เพื่อการกระจายการถือครองที่ดินที่เป็นธรรม' เมื่อวันที่ 16 – 17 ก.พ.56 ที่ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม (ขามเรียง) สืบเนื่องจากปัญหาความเหลื่อมล้ำในการถือครองที่ดินในในสังคมไทย จากการศึกษาของมูลนิธิสถาบันที่ดิน พบว่า ที่ดินที่มีการครอบครองโดยประชาชนทั่วไป 120 ล้านไร่ มากกว่าร้อยละ 90 ของที่ดินกระจุกตัวในมือคนเพียงร้อยละ 10 หรือประมาณ 6 ล้านคน ขณะที่ประมาณร้อยละ 10 ของที่ดิน ถือครองโดยคนจำนวนร้อยละ 90 ปัญหาดังกล่าวข้างต้น มีความพยายามแก้ไขของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลักดันข้อเสนอในการปฏิรูปที่ดินโดยประชาชน ตั้งแต่ สมัยสหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทย (สทช.) เมื่อปี พ.ศ. 2517 มาจนจนถึงการต่อสู้ของสมัชชาคนจน เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย และ ขปส.อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน สังคมไทยยังไม่มีมาตรการทางกฎหมายเพื่อนำไปสู่การกระจายการถือครองที่ดิน ดังนั้น ขบวนการประชาชน องค์กรประชาสังคม นักวิชาการ จึงได้จัดกิจกรรมระดมความคิดเห็นจากเครือข่ายทั่วประเทศ เพื่อรณรงค์ ผลักดันร่างกฎหมาย 3 ฉบับ ประกอบด้วย พ.ร.บ.ภาษีที่ดินอัตราก้าวหน้า พ.ร.บ.ธนาคารที่ดิน และ พ.ร.บ.สิทธิการจัดการที่ดินและทรัพยากร โดยก่อนหน้านี้ในภาคเหนือได้มีการจัดเวทีเช่นเดียวกันนี้ไปแล้ว นายแพทย์นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวในการปาฐกถาพิเศษเรื่อง 'ความไม่เป็นธรรมในกระบวนการยุติธรรม' ในวันที่ 2 ของการสัมมนา ถึงเหตุที่ไทยคนจนมากมายว่า เป็นเพราะปัญหาเรื่องการแย่งชิงทรัพยากร เป็นความจริงที่ข่มขืน และเป็นความจริงที่ต้องมาร่วมกันคิด ร่วมกันต่อสู้ในความไม่เป็นธรรม ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ถือเป็นความไม่เท่ากัน ระหว่างคนจนเรื่องคนรวย เปิดศูนย์ศึกษาและพัฒนานักกฎหมายเพื่อสิทธิมนุษยชน จากนั้น นายแพทย์นิรันดร์ ร่วมกับ รศ.สีดา สอนศรี คณบดีวิทยาลัยการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยสารคาม เป็นประธานพิธีเปิดศูนย์ศึกษาและพัฒนากฎหมายเพื่อสิทธิมนุษยชน (ศกส.) โดยการดำเนินงานของ เครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน (คปอ.) ด้านนายสมนึก ตุ้มสุภาพ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาและพัฒนากฎหมายเพื่อสิทธิมนุษยชน กล่าวถึงที่มาของการเปิดตัวศูนย์ดังกล่าวว่า มาจากสภาพปัญหาคดีความที่เกิดขึ้น โดยส่วนมากจะเป็นผลสืบเนื่องมาจากความขัดแย้งในสิทธิการเข้าถึงทรัพยากรของประชาชนและชุมชน ซึ่งคดีส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนจนที่ถูกข้อพิพาทในเรื่องที่ดินทำกิน และนักกฎหมายด้านสิทธิมนุษยชนได้เข้าไปให้ความช่วยเหลือด้านคดีความที่เกิดขึ้น ผู้อำนวยการศูนย์ฯ เล่าต่อไปว่า จากสถิติที่ชาวบ้านถูกฟ้องร้องดำเนินคดีเป็นจำนวนมาก และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มปริมาณมากขึ้น จึงได้เกิดการรวมตัวของนักกฎหมายเพื่อจัดตั้งศูนย์ฯ ขึ้นมา นอกจากจะเป็นการให้ความช่วยเหลือด้านกฎหมายให้กับผู้ถูกละเมิดสิทธิ์แล้ว ในการนี้ยังจะเป็นการส่งเสริมศักยภาพผู้นำ รวมทั้งประชาชนทั่วไป ให้มีความรู้ในการเข้ามาร่วมกันศึกษา วิเคราะห์ ให้เกิดความเข้าใจถึงปัญหาคดีความและความไม่ยุติธรรมในกระบวนการยุติธรรม "เมื่อชาวบ้านเหล่านั้นได้เข้ามาร่วมศึกษาจนเกิดกระบวนการความเข้าใจแล้ว ยังสามารถพัฒนาคุณภาพไปสู่การเป็นอาสาสมัครของเครือข่ายด้านสิทธิมนุษยชน และร่วมกันรณรงค์เพื่อนำไปสู่การผลักดันนโยบายด้านสิทธิมนุษยชนสู่สาธารณะ ให้เกิดความเป็นธรรมโดยทั่วถึงกันต่อไป" นายสมนึกกล่าว นายสมนึก กล่าวด้วยว่า ในส่วนของที่ปรึกษานั้น จะประกอบไปด้วย ดร.อลงกรณ์ อรรคแสง อาจารย์ประจำวิทยาลัยการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม นายสมภพ โชติวงษ์ ทนายความ และ ดร.สมชัย ภัทรธนานันท์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม โดยจะมีนายปราโมทย์ ผลภิญโญ เป็นผู้ประสานงาน มีทีมทนายประจำศูนย์ฯ อาทิ ทนายวิบูลย์ บุญภัทรรักษา ทนายถนอมศักดิ์ ระวาดชัย ทนายไสว มาลัย เป็นต้น สำหรับสถานที่เปิดศูนย์นั้นจะเป็นในส่วนของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน ตั้งอยู่ที่บ้านน้ำพุปางวัว ต.คอนสาร อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
กสม.เล็งส่งเรื่องราชทัณฑ์ ย้าย 3 ผู้ต้องขัง 112 คดีไม่ถึงที่สุดมาเรือนจำหลักสี่ Posted: 18 Feb 2013 06:27 AM PST
18 ก.พ.56 ที่ประชุมคณะอนุกรรมการด้านสิทธิพลเมือง สิทธิทางการเมือง คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งมี นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนเป็นประธาน ได้เชิญตัวแทนจากกรมราชทัณฑ์ คือ นายกิตติพัฒน์ เดชะพหุล ผู้ตรวจราชการกรมราชทัณฑ์ รักษาการ ผอ.ทัณฑปฏิบัติ เพื่อสอบถามเรื่องการย้ายผู้ต้องขังในคดีความผิดเกี่ยวกับการหมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ไปยังเรือนจำชั่วคราวหลักสี่ รวมทั้งขอทราบผลความคืบหน้าในการพักโทษ การขอพระราชทานอภัยโทษของนักโทษกลุ่มนี้ หลังจากทางญาติผู้ต้องขังได้เข้าร้องเรียนเรื่องดังกล่าวว่าได้รับการเลือกปฏิบัติ เนื่องจากเห็นว่าผู้ต้องขังเหล่านี้ก็จัดเป็นนักโทษการเมืองด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ ในการประชุมมีอดีตผู้ต้องขังและกลุ่มญาติผู้ต้องขังเข้าร่วมด้วย อาทิ นายสุชาติ นาคบางไทร อดีตผู้ต้องขัง ม.112, นายสุรภักดิ์ อดีตผู้ต้องขัง ม.112, นายเอกชัย ผู้ต้องหาคดี 112 ที่ได้รับการประกันตัว ตัวแทนจากกรมราชทัณฑ์ ระบุว่า อำนาจในการย้ายนักโทษไปเรือนจำชั่วคราวหลักสี่นั้นเป็นอำนาจของอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ซึ่งที่ผ่านมาได้ย้ายผู้ต้องขังคดีการเมือง เหตุสืบเนื่องจากการสลายการชุมนุมเมื่อปี 2553 จากเรือนจำจังหวัดต่างๆ มารวมกันที่เรือนจำหลักสี่แล้ว แต่ยังคงเหลือผู้ต้องขังคดีมาตรา 112 อีกราว 6 คน ที่อยู่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และทัณฑสถานหญิงกลาง เนื่องจากข้อเสนอของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่า นักโทษคดี 112 เป็นนักโทษการเมืองจึงไม่มีการย้ายไปเรือนจำหลักสี่ ต่อมาวันที่ 23 ม.ค.55 ทางกรมราชทัณฑ์ได้ทำหนังสือสอบถามไปยัง คอป.ในเรื่องนี้อีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบแต่อย่างใด ตัวแทนจากราชทัณฑ์ระบุด้วยว่า หากทางคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติสรุปความคิดเห็นในเรื่องนี้ส่งให้ทางราชทัณฑ์ ก็จะมีการพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ในเบื้องต้นคาดว่าผู้ที่จะสามารถย้ายไปเรือนจำชั่วคราวหลักสี่ได้จะต้องเป็นผู้ต้องขังที่โทษยังไม่ถึงที่สุด ได้แก่ นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ซึ่งถูกตัดสินจำคุก 11 ปี ไปเมื่อเดือนที่ผ่านมา คดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์ , นายยุทธภูมิ (สงวนนามสกุล) ผู้ต้องขังที่ถูกพี่ชายแจ้งจับ คดีอยู่ในชั้นศาลและสืบพยานนัดแรกในเดือนส.ค.นี้, นางสาวดารณี ชาญเชิงศิลปกุล ผู้ต้องขังหญิงที่ถูกศาลพิพากษาจำคุก 15 ปี ตั้งแต่ปี 2554 ส่วนที่เหลืออีก 3 ราย คือ นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ จำคุก 12 ปี 6 เดือน , นายธันย์ฐวุฒิ (สงวนนามสกลุ) จำคุก 13 ปี และนายวันชัย (สงวนนามสกุล) จำคุก 15 ปี นั้นถือเป็นนักโทษเด็ดขาดที่คดีถึงที่สุดแล้ว และทั้งสามอยู่ระหว่างขอพระราชทานอภัยโทษ นายกิตติพัฒน์ ให้ข้อมูลด้วยว่าผู้ต้องโทษตามมาตรา 112 บางส่วนอยู่ระหว่างการทูลเกล้าถวายฎีกาเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษ โดยที่คำขอของนายสุรชัยเรื่องอยู่ระหว่างการพิจารณาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ส่วนอีก 2 ราย ขณะนี้เรื่องอยู่ที่สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี นายจอน อึ๊งภากรณ์ และนายศราวุฒิ ประทุมราช อนุกรรมการฯ ได้สอบถามประเด็นสิทธิของผู้ต้องหาที่จะได้รับการประกันตัวว่า หากยังมีการคุมขังผู้ต้องหาโดยไม่ให้ประกันตัวในระหว่างการพิจารณาคดี ก็ควรที่จะมีการแยกขังผู้ต้องหาในสถานที่ต่างหาก ไม่ใช่เรือนจำเสมือนเป็นนักโทษ ซึ่งผู้แทนจากกรมราชทัณฑ์ยอมรับว่า การคุมขังผู้ต้องหาระหว่างการพิจารณานั้น อาจใช้เวลานานถึง 3 ปี กว่าศาลจะมีคำพิพากษา จึงมีแนวความคิดที่จะเอาคนออกจากคุกก่อนกำหนด ในรายของนักโทษที่มีความผิดเพียงเล็กน้อย เมื่อรับโทษครบเงื่อนไขที่สามารถพักโทษได้ กรมราชทัณฑ์ได้ดำเนินการคืนตัวสู่สังคมก่อนครบกำหนดโทษปีละประมาณ 40,000 คน คาดว่าในวันที่ 16 เมษายนนี้ จะได้ปล่อยตัวออกก่อนอีกจำนวนหนึ่ง แต่ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของสังคมโดยส่วนรวมด้วย นายสุชาติ นายสุรภักดิ์ และผู้ร่วมประชุมได้เล่าประสบการณ์ตรงที่ได้พบในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และกรณีการให้ผู้ต้องหา/ผู้ถูกคุมขังทายชื่อให้ถูกต้องจึงจะอนุญาตให้เยี่ยมนางสาวดารณี ได้ตามเงื่อนไขของทัณฑสถานหญิงกลางและเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ของราชทัณฑ์ปฏิบัติต่อนักโทษในฐานะมนุษย์ด้วย นอกจากนี้ผู้ร่วมประชุมที่เป็นญาติผู้ต้องหามาตรา 112ได้เรียกร้องต่อคณะอนุกรรมการด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองให้พิจารณาการนิรโทษกรรมผู้ต้องหาคดีการเมืองทั้งหมด ซึ่ง นพ.นิรันดร์ได้สรุปผลการประชุมในวันนี้ว่า คณะอนุกรรมการด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองจะมีหนังสือสรุปความเห็นของที่ประชุม เพื่อแจ้งอธิบดีกรมราชทัณฑ์ให้พิจารณาย้ายผู้ต้องหาในคดีตามมาตรา 112 ทั้ง 3 ราย คือ นายสมยศ นายยุทธภูมิและนางสาวดารณี ไปเรือนจำชั่วคราวหลักสี่ รวมทั้งประเด็นสิทธิในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยทั้งหมดในเรือนจำที่ได้รับงบประมาณต่อหัวเพียงคนละ 133 บาทต่อคนต่อปี ครอบคลุมเพียง 180,000 คน ทั้งที่มีผู้ต้องขังและนักโทษอยู่ถึง 245,000 คนและเงื่อนไขการเข้าเยี่ยมนักโทษหญิงที่น่าจะเป็นการละเมิดสิทธิของผู้ต้องหา และในปีนี้ คณะอนุกรรมการฯ จะจัดทำรายงานผลศึกษาปัญหานักโทษทางการเมืองในประเทศไทย ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
Posted: 18 Feb 2013 05:44 AM PST |
อวัตถุศึกษากับอธิป: แนวโน้มกฎหมายสอดส่องอินเทอร์เน็ตในรัสเซีย ไอซ์แลนด์ สหรัฐ ฯลฯ Posted: 18 Feb 2013 05:43 AM PST ประมวลข่าวสารลิขสิทธิ์กับ 'อธิป จิตตฤกษ์' นำเสนอเรื่องกม.สอดส่องเน็ตที่อาจเริ่มนำมาใช้ในหลายประเทศ, ม.ฮาร์วาร์ดคาดอุตสาหกรรมการศึกษาจะถูกสั่นคลอนโดยสื่อออนไลน์, การเคลื่อนไหวทางสังคมที่ผสานโลกออนไลน์-ออฟไลน์
Immaterial Property Research Center ตั้งขึ้นในวันที่ 18 มกราคม หรือ "วันเสรีภาพอินเทอร์เน็ต" เพื่อเป็นศูนย์ข่าว ศูนย์ข้อมูล และศูนย์วิจัยด้านความสัมพันธ์ระหว่างระบบทรัพย์สินที่ไม่เป็นวัตถุ (หรือที่เป็นที่รู้จักทั่วไปว่าทรัพย์สินทางปัญญา) ต่างๆ อย่างสัมพันธ์กับระบบกฎหมาย ระบบเศรษฐกิจ และระบบการเมืองในโลก ทางศูนย์ฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่างานของศูนย์ฯ จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของระบบทรัพย์สินที่ไม่เป็นวัตถุที่เอื้อให้เกิดเสรีภาพในเชิงบวกไปจนถึงความเท่าเทียมกันของผู้คนในโลก
11-02-2013 รายงานจากกลุ่มอุตสาหกรรมดนตรีอังกฤษเล่นกับสถิติเพื่อที่จะชี้ว่าพวก "โหลดเพลง" แบบเถื่อนมีการจับจ่ายกับงานดนตรีถูกต้องตามลิขสิทธิ์มากกว่าพวกที่ไม่ทำสำเนาเถื่อนรายงานชี้ว่าผู้ที่โหลดเพลงอย่างถูกต้องตามกฎหมายมียอดการจับจ่าย 33.43 ปอนด์ต่อปี ในขณะที่พวกโหลดเพลงแบบเถื่อนในภาพรวมมียอดการจับจ่าย 26.64 ปอนด์ต่อปี อย่างไรก็ดี ในบรรดานักโหลดเพลงเถื่อน สามารถแยกได้เป็นนักโหลดเพลงที่ไม่เคยจ่ายเงินสักปอนด์เดียวซื้องานดนตรีในปีๆ หนึ่ง ซึ่งเป็นคนกลุ่มเล็กกว่านักโหลดเพลงเถื่อนที่ยังซื้องานดนตรีถูกต้องตามลิขสิทธิ์ด้วย พวกนี้มีประมาณเกินครึ่งของนักโหลดเพลงเถื่อนทั้งหมด และคนกลุ่มนี้มีมียอดการจับจ่าย 48.26 ปอนด์ต่อปี ซึ่งมากกว่าคนที่ไม่ดาวน์โหลดเพลงแบบเถื่อนเลยด้วยซ้ำ กล่าวโดยสรุปคือนักโหลดเพลงเถื่อนที่จ่ายเงินซื้องานดนตรีก็เป็นผู้บริโภคงานดนตรีที่จริงจังกว่าคนที่ไม่โหลดเพลงเถื่อนเลยนั่นเอง News Source: http://torrentfreak.com/music-pirates-are-cheapskates-some-of-them-130210/ , http://www.techdirt.com/articles/20130210/15563721940/lies-damn-lies-statistics-how-bpi-cherry-picks-its-averages-to-pretend-file-sharers-spend-less.shtml
กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐฯ ยืนยันว่าการตรวจค้นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของเจ้าหน้าที่รัฐไม่ถือว่าเป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญนอกจากนี้ทางกระทรวงฯ ยังยืนยันอีกว่าการตรวจค้นที่ว่านี้สามารถทำได้ในรัศมี 100 ไมล์จากชายแดนได้โดยไม่ต้องใช้หมายค้น นี่หมายความว่า ณ เมืองดีทรอยต์ (ที่ห่างจากชายแดนสหรัฐ/แคนาดาไม่ถึง 100 ไมล์) เจ้าหน้าที่สามารถจะทำการค้นคอมพิวเตอร์ แทบเล็ต มือถือ ฯลฯ ได้โดยไม่ต้องใช้หมายค้นใดๆ ทั้งสิ้น News Source: http://www.techdirt.com/articles/20130208/17415621927/homeland-security-not-searching-your-laptop-doesnt-benefit-your-civil-liberties-so-we-can-do-it.shtml
12-02-2013 แคลิฟอร์เนียออกกฎหมายว่า Private Policy ของพวกบริการต่างๆ ต้องเขียนด้วยถ้อยคำกระชับและยาวไม่เกิน 100 คำอย่างไรก็ดีการบังคับให้เขียน Private Policy ของบริการตั้งๆ ให้สั้นๆ แบบนี้ก็ดูจะไม่ใช่การแก้ไขปัญหา Private Policy ยาวเกินไป ผู้ใช้บริการไม่อ่านดังที่เป็นอยู่อย่างเดียว แต่จะเปิดช่องว่างให้ Private Policy ใช้ถ้อยคำกว้างๆ ที่จะทำให้มีปัญหาได้ภายหลังเช่นเดียวกัน และที่ตลกที่สุดคือกฎหมายนี่มีความยาว 336 คำ News Source: http://www.techdirt.com/articles/20130209/02174421930/proposed-law-privacy-policies-must-be-less-than-100-words-says-336-word-bill.shtml
13-02-2013 รัฐบาลสหรัฐหนุนศาลสูงให้ยืนคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีแชร์ไฟล์ หรือยืนยันว่าว่าค่าเสียหาย 9,250 ต่อการโหลดและแชร์เพลงๆ หนึ่งนี่เป็นมูลค่าที่ถูกต้องแล้ว ไม่ได้ละเมิดรัฐธรรมนูญดังที่ทนายฝ่ายจำเลยกล่าวอ้างอนึ่ง คดี RIAA vs. Thomas นี่เป็นคดีแชร์ไฟล์คดีแรกในอเมริกา (และน่าจะในโลก) ที่เรื่องได้ดำเนินไปถึงศาลสูง การฟ้องร้องคดีแชร์ไฟล์ส่วนใหญ่ (ที่มักจะเป็นการแชร์เพลงหรือหนัง) จะไปจบที่การที่จำเลยจ่ายค่ายอมความ ดังนี้มาตรฐานค่าเสียหายการแชร์ไฟล์ของคดีนี้จึงสำคัญเพราะจะเป็นมาตรฐานต่อไป คดีนี้ดำเนินมากกว่าครึ่งทศวรรษแล้ว และคนที่โดนฟ้องทั้งหมดก็มีราว 35,000 รายด้วยกัน และ Thomas ก็แทบจะเป็นคนเดียวที่สู้คดีมาถึงระดับนี้ และการต่อสู้ในช่วงหลังๆ ก็จะเป็นเรื่องของค่าเสียหายที่เหมาะสมแก่การแชร์เพลงซึ่งปริมาณค่าเสียหายก็แกว่งไปมาตลอดการพิจารณาคดี News Source: http://torrentfreak.com/u-s-govt-harsh-punishments-needed-to-deter-music-pirates-130212/, http://www.techdirt.com/articles/20130212/17460521956/obama-administration-once-again-says-222000-sharing-24-songs-is-perfectly-reasonable.shtml , http://www.digitalmusicnews.com/permalink/2013/20130211government
ประธานของนิตยสาร Heart ชี้ว่า e-reader ขนาดเล็กเช่น iPad Mini และ Nook ทำให้ยอดการสมัครสมาชิกอ่าน e-Magazine ในหมู่ผู้หญิงสูงขึ้นNews Source: http://paidcontent.org/2013/02/12/women-finally-embracing-online-magazine-thanks-to-7-inch-screens-hearst-president/
14-02-2013 กลุ่มต่อต้านการละเมิดลิขสิทธิ์ฟินแลนด์ทำการ "ก็อปปี้" โค้ดของเว็บ The Pirate Bay ในการรณรงค์ต่อต้านละเมิดลิขสิทธิ์ซึ่งทาง The Pirate Bay ก็ยืนยันว่าจะฟ้องเช่นกัน ทั้งนี้กลุ่มต้อต้านการละเมิดลิขสิทธิ์ของฟินแลนด์นาม CIAPC นี้ก็เป็นกลุ่มเดียวกับกลุ่มที่ให้ตำรวจบุกเข้ายึดแล็ปท็อปลายหมีพูห์ของเด็กวัย 9 ขวบซึ่งเป็นข่าวไปทั่วโลก และการ "ก็อปปี้" เว็บ The Pirate Bay นี้ก็เกิดขึ้นในภาวะที่ศาลฟินแลนด์สั่งให้บรรดา ISP บล็อคเว็บ The Pirate Bay แล้วด้วย ซึ่งไม่กี่วันที่ผ่านมาศาลอุทธรณ์ก็เพิ่งยืนคำตัดสินศาลชั้นต้นให้การบล็อคดำรงต่อไป News Source: http://torrentfreak.com/anti-piracy-group-rips-off-pirate-bay-website-faces-lawsuit-130213/, http://www.digitalmusicnews.com/permalink/2013/20130211piratebay
Clay Christensen ศาสตราจารย์ด้านธุรกิจของ Harvard ทำนายว่าอุตสาหกรรมการศึกษาจะถูกสั่นคลอนอย่างจริงจังโดยสื่อการศึกษาออนไลน์ต่างๆในเวลาไม่เกิน 5 ปีแน่นอนทั้งนี้ Christensen ทำนายเพิ่มอีกว่าระบบมหาวิทยาลัยที่ยังเหลือรอดอยู่หลังจากการเปลี่ยนแปลง จะเริ่มเปลี่ยนไปเป็นหลักสูตรแบบผสม โดยบางวิชาให้นักศึกษาไปเรียนกับบรรดาแหล่งการศึกษาออนไลน์ต่างๆ และบางวิชาทางมหาวิทยาลัยก็สอนเอง ซึ่งขณะนี้ทาง Harvard Business School ก็เลิกสอนบัญชีแล้วเนื่องจากมีผู้ให้บริการหลักสูตรออนไลน์ที่ดีเยี่ยมมากๆ แบบที่ทาง Harvard Business School สู้ไม่ได้ News Source: http://gigaom.com/2013/02/13/clay-christensen-first-the-media-gets-disrupted-then-comes-the-education-industry/
15-02-2013 เนเธอร์แลนด์ยืนยันว่าฐานข้อมูลและงานอันไม่มีความเป็นต้นแบบต่างๆ ไม่มีลิขสิทธิ์ ส่วนยุโรปในภาครวมว่าฐานข้อมูลมีลิขสิทธิ์ที่น่าสังเกตคือฐานข้อมูลนั้นไม่นับว่ามีลิขสิทธิ์ในอเมริกา แต่กลับมีลิขสิทธิ์ในยุโรป อย่างไรก็ดีในขณะเดียวกันในยุโรปการซื้อขาย "โปรแกรมมือสอง" ก็ไม่ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ แต่การกระทำเดียวกับกลับมีแนวโน้มว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ในสายตาของศาลอเมริกัน News Source: http://www.techdirt.com/articles/20130213/02492421960/dutch-government-realizes-that-non-original-works-dont-deserve-copyright.shtml , http://www.techdirt.com/articles/20130211/08050521945/europes-database-right-could-throttle-open-data-moves-there.shtml
รัสเซียให้กฏหมายอินเทอร์เน็ตใหม่ระงับการแสดงความเห็นผู้วิจารณ์รัฐบาลอนึ่ง กฏหมายนี้ผ่านขึ้นมาภายใต้เจตจำนงว่าจะเป็นกฎหมายคุ้มครองเด็กจากบรรดาข้อมูลอันตรายบนอินเทอร์เน็ต และมันก็มีกลไกที่จะทำให้รัฐสามารถบล็อคเว็บไซต์ต่างๆ ได้โดยสะดวกไม่ว่าจะเกี่ยวอะไรกับเด็กหรือไม่ ซึ่งดูจะไม่ใช่การเซ็นเซอร์การแสดงออกทางการเมืองแรกในโลกที่อ้าง "การคุ้มครองเด็ก" News Source: http://www.techdirt.com/articles/20130211/02523121943/russia-uses-new-internet-censorship-bill-to-silence-prominent-reporters-who-criticized-government.shtml
แคนาดาหยุดการพิจารณากฎหมายสอดส่องอินเทอร์เน็ต C-30 ส่วนอเมริกานำกฎหมายสอดส่องอินเทอร์เน็ต CISPA กลับมาพิจารณาNews Source: http://www.techdirt.com/articles/20130213/10591421965/another-victory-public-speaking-up-canada-drops-digital-spying-bill-now.shtml, https://www.eff.org/deeplinks/2013/02/cispa-privacy-invading-cybersecurity-spying-bill-back-congress
Rick Falkvinge เตรียมออกหนังสือเกี่ยวกับแนวทางการขับเคลื่อนปฏิบัติการเคลื่อนไหวทางสังคมออนไลน์และออฟไลน์ประสานกันหนังสือเล่มนี้ชื่อว่า Swarmwise และ Falkvinge ใช้คอนเซ็ปต์ Swarm เพื่อสื่อถึงกระบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมแบบที่เป็นเครือข่ายหลวมๆ ที่มีจุดร่วมและวิธีการร่วมกัน แชร์ข้อมูลในทุกระดับร่วมกัน ประสานงานกันอย่างรวดเร็วผ่านอินเทอร์เน็ต และแบ่งงานมหาศาลของ "องค์กร" ทำแบบอาสาสมัคร ทั้งนี้ Swarm ต่างจากองค์กรทางการเมืองแบบเก่าที่มีลำดับชั้นในองค์กรและการดำเนินการตามระเบียบที่เคร่งครัด มีลำดับชั้นการเปิดเผยข้อมูลกับคนระดับต่างๆ ไม่เท่ากันทำให้เกิดความไม่โปร่งใส และต่างจากการรวมตัวอย่าง Anonymous และ Occupy ที่ไม่มีทั้งเป้าหมายและวิธีการร่วมกันที่ชัดเจน สามารถอ่านบทแรกของหนังสือเล่มนี้ได้ในเว็บไซต์ของ Falkvinge (ตามลิงค์ด้านล่าง) News Source: http://falkvinge.net/2013/02/14/swarmwise-the-tactical-manual-to-changing-the-world-chapter-one/
16-02-2013 ผู้ดูแลมรดกของ Arthur Conan Doyle ถูกนักวิชาการที่ต้องการตีพิมพ์ "แฟนฟิค" Sherlock Holmes ฟ้องเพื่อให้ศาลพิสูจน์ว่า Sherlock Holmes เป็นทรัพย์สินทางปัญญาสาธารณะทั้งนี้ ทางผู้ดูแลมรดกนั้นเรียกร้องค่าลิขสิทธิ์จากนักวิชาการดังกล่าวในการทำหนังสือรวมเรื่องสั้นต่างๆ ที่ใช้ตัวละคร Sherlock Holmes และไปล็อบบี้พวกสำนักพิมพ์ว่าถ้าไม่จ่ายค่าลิขสิทธิ์จะฟ้อง ส่งผลให้สำนักพิมพ์ไม่ยอมพิมพ์ News Source: http://www.techdirt.com/articles/20130215/15093722002/arthur-conan-doyle-estate-sued-to-show-that-sherlock-holmes-is-public-domain.shtml, http://free-sherlock.com/2013/02/14/free-sherlock/
รายงานเพื่อการอนุรักษ์งานบันทึกเสียงแห่งชาติของสหรัฐรายงานว่า งานบันทึกเสียงในหอจดหมายเหตุจำนวนกว่า 6 ล้านชิ้นกำลังเน่าเปื่อยผุพังไปขณะนี้ เนื่องจากกฎหมายไม่อนุญาตให้ห้องสมุดทำสำเนางานบันทึกเสียงอันมีลิขสิทธิ์แม้ว่าจะทำไปเพื่อเหตุผลในการเก็บรักษาก็ตามรายงานชี้เพิ่มอีกว่า "งานบันทึกเสียงจำนวนมากก่อนปี 1972 จะเน่าเปื่อยผุพันก่อนปี 2067 อันเป็นปีที่งานเหล่านี้จะกลายเป็นทรัพย์สินทางปัญญาสาธารณะ" News Source: http://www.digitalmusicnews.com/permalink/2013/20130215archives
17-02-2013 หนังโป๊ "ล้อเลียน" The Fifty Shades of Grey ถูกฟ้องโดยสตูดิโอที่เตรียมจะทำหนังเรื่องนี้Universal Studios LLC และ Fifty Shades Ltd ผู้ร่วมกันสร้างหนังจากหนังสือชื่อดัง The Fifty Shades of Grey ฟ้อง Smash Pictures Inc. ที่ทำหนังโป๊ Fifty Shades of Grey: A XXX Adaptation ออกมา ฐานละเมิดลิขสิทธิ์และเครื่องหมายการค้า ทั้งนี้ในแง่การละเมิดลิขสิทธิ์หนังโป๊ดังกล่าวอาจได้คุ้มครองการละเมิดลิขสิทธิ์ในฐานะ "การล้อเลียน" ในฐานะที่เป็นคำวิจารณ์ทางการเมืองอันได้รับการคุ้มครองใต้รัฐธรรมนูญ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของศาล News Source: http://www.jdsupra.com/legalnews/need-a-last-minute-valentines-day-gift-13269/
ศาลออสเตรเลียตัดสินว่ายีนส์นั้นนำมาจดสิทธิบัตรได้ (ถ้าแยกออกมาจากร่างกายมนุษย์แล้ว)ทั้งนี้ศาลสูงสุดของอเมริกาก็กำลังจะตัดสินว่ายีนส์ตัวเดียวกันนี้สามารถนำมาจดสิทธิบัตรได้หรือไม่เช่นกัน News Source: http://www.techdirt.com/articles/20130215/03274221993/australian-court-says-genes-are-patentable.shtml
ไอซ์แลนด์จะสร้างระบบเซ็นเซอร์ระดับเดียวกับจีนเพื่อแบนสื่อลามกบนอินเทอร์เน็ตทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ไอซ์แลนด์ก็ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่สนับสนุนอินเทอร์เน็ตเสรีมาโดยตลอด และวิธีการป้องกันสื่อลามกแบบนี้โดยทั่วไปก็มักจะไม่ได้ผล เพราะคนก็จะหาทางอื่นในการเข้าถึงได้อยู่ดี และการสร้างเครื่องมือแบบนี้ให้กับรัฐก็ดูจะสร้างความเสี่ยงให้กับเสรีภาพบนอินเทอร์เน็ตอย่างไม่จำเป็น News Source: http://www.techdirt.com/articles/20130214/02240921968/iceland-going-protecting-free-speech-online-to-setting-up-their-own-great-firewall.shtml
ศาลอเมริกายกฟ้องกรณีฐานข้อมูลกฎหมายละเมิดลิขสิทธิ์ "คำฟ้อง"กล่าวคือศาลกำลังยืนยันว่าการใช้คำฟ้องที่ปรากฎแก่สาธารณะนั้นแม้ว่าจะเป็นการใช้ในเชิงพาณิชย์อย่างการเอามาใส่ฐานข้อมูลที่เก็บค่าใช้บริการ ก็ยังไม่ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธ์ของเหล่าทนายผู้เขียนคำฟ้องเหล่านี้ News Source: http://www.techdirt.com/articles/20130212/11063821953/judge-dumps-lawsuit-claiming-copyright-infringement-over-legal-filings.shtml ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
แถลงการณ์ข้อห่วงกังวลของชาวปาตานีและเครือข่าย ต่อการโจมตี 13 กุมภาพันธ์ Posted: 18 Feb 2013 03:21 AM PST มูลนิธิศักยภาพชุมชนและเครือข่ายภาคประชาสังคม ออกแถลงการณ์ ข้อห่วงกังวลของชาวปาตานีและเครือข่าย ต่อการโจมตี ฉก 32 นราธิวาส เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2556เรียกร้องสองฝ่ายยุติความรุนแรง แถลงการณ์ดังกล่าวแสดงความเสียใจและเห็นใจต่อครอบครัวผู้สูญเสียโดยได้แสดงความกังวลต่อความรุนแรงที่เกิดขึ้น และเรีัยกร้องต่อเจ้าหน้ารัฐและผู้ก่อความไม่สงบ 4 ประการได้แก้ เรียกร้องให้ทั้งฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบและฝ่ายเจ้าหน้าที่ยุติความรุนแรง ตั้งคณะสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เร่งดำเนินการการสอบสวนผู้ที่ถูกจับกุม 3 คนและนำตัวส่งศาลโดยเร็ว ไม่ต้องรอ 30 วันเพื่อหลีกเลี่ยงการล่วงละเมิดในขบวนการสอบสวน และเพื่อลดเงื่อนไขความรุนแรงจากอีกฝ่าย และขอให้รัฐทบทวนนโยบายและปฏิบัติการทั้งหมดใหม่อย่างรอบคอบ เพื่อทำให้เกิดความสงบเรียบร้อยและนำทางไปสู่สันติภาพในปาตานี
รายละเอียดแถลงการณ์มีดังนี้
แถลงการณ์ ข้อห่วงกังวลของชาวปาตานีและเครือข่ายต่อการโจมตี ฉก. ๓๒ นราธิวาสเมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖การบุกโจมตี ฉก ๓๒ นราธิวาส เมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ นำมาซึ่งการสูญเสียชีวิตของนักรบประชาชน ๑๖ ชีวิตและถูกจับกุมอีก ๓ คน เครือข่ายองค์กรภาคประชาชนที่สนับสนุนสันติภาพของพี่น้องชาวปาตานีสลดใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขอแสดงความเสียใจและเห็นใจต่อครอบครัวผู้สูญเสียและขอแสดงความกังวลต่อความรุนแรงในปาตานีดังต่อไปนี้ ๑ การตั้งใจบุกโจมตี ฉก ๓๒ นราธิวาสของนักรบประชาชนครั้งนี้เป็นการสะท้อนถึงความคับแค้นใจของชาวปาตานีต่อการดำเนินนโยบายของรัฐไทยต่อปาตานี จึงขอให้รัฐไทยได้ทบทวนนโยบายและปฏิบัติการทั้งหมดใหม่อย่างรอบคอบ เพื่อทำให้เกิดความสงบเรียบร้อยและนำทางไปสู่สันติภาพในปาตานี ๒ ขอให้ทั้งสองฝ่ายยุติความรุนแรงโดยทันที และให้มีการจัดตั้งคณะสำรวจข้อเท็จจริงที่เป็นที่ยอมรับได้ของทั้งสองฝ่ายเพื่อจัดทำรายงานข้อเท็จจริงและเสนอทางออกต่อรัฐบาลและสาธารณะให้เข้าใจสถานการณ์ที่แท้จริง ๓ ขอให้รัฐเร่งดำเนินการการสอบสวนผู้ที่ถูกจับกุม ๓ คนและนำตัวส่งศาลโดยเร็ว ไม่ต้องรอ ๓๐ วันทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการล่วงละเมิดในขบวนการสอบสวน และเพื่อลดเงื่อนไขความรุนแรงจากอีกฝ่าย ๔ เรียกร้องให้รัฐบาลไทยมีท่าทีที่ชัดเจนต่อการสร้างสันติภาพในปาตานี มูลนิธิศักยภาพชุมชน สถาบันเยาวชนเพื่อสันติภาพและการพัฒนา สหพันธ์นิสิตนักศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ สมาคมสตรีจังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อสันติภาพ ( Deep Peace ) สมาพันธ์นิสิตนักศึกษามุสลิมแห่งประเทศไทย เครือข่ายอาสาสมัครผู้ช่วยทนายความ จังหวัดชายแดนใต้ สำนักสื่อวาร์ตานี ( Wartani ) เครือข่ายบัณฑิตอาสา จังหวัดชายแดนภาคใต้
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
กระทรวงศึกษาของลาว ระงับขยายวิทยาลัยเพื่อกวดขันคุณภาพการศึกษา Posted: 18 Feb 2013 03:00 AM PST ตั้งแต่บัดนี้จนถึงปี 2015 กระทรวงศึกษาธิการและกีฬาของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวจะไม่อนุญาตให้มีการขยายวิทยาลัยขึ้นเพิ่มอีก และไม่อนุญาตให้บรรดาวิทยาลัยใดๆ เพิ่มหลักสูตรการเรียนใหม่โดยเด็ดขาด เพื่อจะได้กวดขันปรับปรุงคุณภาพของวิทยาลัยทั้งของภาครัฐและเอกชน หลังจากเห็นว่าการศึกษาลาวยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง ขณะเดียวกัน รัฐบาลก็ได้น้นย้ำให้กระทรวงศึกษาเร่งปรับปรุงคุณภาพมหาวิทยาลัยของรัฐ 5 แห่ง ตามแผนปฏิรูปการศึกษาแห่งชาติระยะที่ 2 เพื่อยกคุณภาพให้เทียบเท่าภูมิภาคและสากลทีละก้าว ท่าน ดร. กองสี แสงมณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการและกีฬา ได้ให้สัมภาษณ์ต่อนักข่าวหนังสือพิมพ์ลาวพัดทะนา ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ณ กระทรวงศึกษาธิการและกีฬา เกี่ยวกับการปฏิรูปการศึกษาแห่งชาติระยะที่ 2 (2011-2015) โดยเฉพาะการปฏิรูปการศึกษาขั้นสูง และแผนปฏรุปการอาชีวศึกษาว่า ตั้งแต่บัดนี้ จนถึงปี 2015 กระทรวงศึกษาจะไม่อนุญาตให้มีการขยายวิทยาลัยเพิ่ม และไม่อนุญาตให้บรรดามหาวิทยาลัย และวิทยาลัยใดๆ ในทั่วประเทศเพิ่มหลักสูตรการศึกษาขึ้นใหม่ เนื่องจากว่ากระทรวงศึกษาจะได้ตรวจตราควบคุมคุณภาพของบรรดามหาวิทยาลัยและวิทยาลัยเหล่านี้ ตามมาตรฐานที่กระทรวงศึกษาวางเป้าหมายไว้ว่า บรรดาวิทยาลัยโรงเรียนเทคนิกวิชาชีพ หรือวิชาชีพแบบผสมของรัฐและเอกชนในระยะปฏิรูป ไม่อนุญาตให้เปิดการสอนหลักสูตรใหม่ทั้งภาคปกติและระบบต่อเนื่องถึงปริญญาตรีหรือสูงกว่านั้นเพื่อปรับปรุงคุณภาพ ซึ่งจะอนุญาตให้เปิดการสอนตั้งแต่ระดับชั้นสูงลงมาเท่านั้น สถาบันใดหากได้รับอนุญาตให้เปิดการสอนระดับปริญญาตรีหรือระดับสูงกว่านั้นที่มีนักศึกษากำลังเรียนอยู่ ก็จะอนุญาตให้ทำการเรียนการสอนไปจนสำเร็จหลักสูตรการศึกษา ในระยะเวลาที่ให้สถาบันระดับวิทยาลัยทั้งภาครัฐและเอกชนระงับการเปิดสอนหลักสูตรใหม่นั้นก็จะมอบหมายให้กรมวิชาการและศูนย์ที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงและองค์การ และสถาบันการศึกษาทั้งภาครัฐและเอกชนตรวจตราและประเมินความพร้อมด้านต่างๆ ของแต่ละสถาบัน โดยอิงตามข้อตกลงของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและกีฬา ฉบับเลขที่ 941/สสก.สปค. ลงวันที่ 8 เมษายน 2011 ว่าด้วยการอนุญาตให้ใช้มาตรฐานอาชีวศึกษา ถ้าสถาบันใดไม่ได้มาตรฐานตามการประกันคุณภาพที่กระทรวงศึกษาธิการและกีฬากำหนดไว้ ให้เร่งปรับปรุงแก้ไขในระยะการปรับปรุงนี้ ถ้าสถาบันใดมิได้มีการปรับปรุงแก้ไข ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี หรือมิได้พัฒนาสถาบันของตนให้เป็นไปตามมาตรฐานประกันคุรภาพการศึกษาแห่งชาติ ก็จะไม่พิจารณาให้ทำการเรียนการสอนอีกต่อไป หรือยกเลิกใบอนุญาตทันที แม้ว่าจะเปิดการเรียนในระดับใดก็ตาม ส่วนมหาวิทยาลัยของรัฐให้เร่งปรับปรุงและพัฒนา มหาวิทยาลัยแห่งชาติ มหาวิทยาลัยจำปาสัก มหาวิทยาลัยสุพานุวง มหาวิทยาลัยสะหวันนะเขต ที่ขึ้นกับกระทรวงศึกษาธิการและกีฬา และมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์สุขภาพที่ขึ้นกับกระทรวงสาธารณสุขให้ได้มาตรฐานและมีคุณภาพดีขึ้น อนุญาตให้มหาวิทยาลัยเหล่านี้เปิดการเรียนการสอนหลักสูตรระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก พร้อมทั้งหลักสูตรเฉพาะทางเชี่ยวชาญขั้น I และเชี่ยวชาญขั้น II ในบางสาขาวิชาตามเงื่อนไข และความพร้อมของแต่ละมหาวิทยาลัย พร้อมทั้งสามารถรองรับการเข้าเรียนระบบต่อเนื่องของพนักงานรัฐ เอกชน นักศึกษาที่เรียนจบจากวิทยาลัยของรัฐและเอกชนจากภายในและต่างประเทศ เข้าเรียนต่อในสาขาที่จบหลักสูตรมาก่อนแล้ว แปลและเรียบเรียงจาก www.vientianemai.net เกร็ดความรู้เพิ่มเติม ปัจจุบันประเทศลาวได้ขยายสถาบันการศึกษาขั้นสูงเพิ่มเติมเพื่อรองรับการศึกษาของประชาชนและการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ต้องการผู้เชี่ยวชาญและแรงงานมีการศึกษาในภาคการผลิตและบริการมากขึ้น แต่มาตรฐานการศึกษายังอยู่ในระดับต่ำ พบว่ามีการใช้เส้นสายและสินบนในการรับบุคคลเข้าศึกษาต่อในสถาบันการศึกษาชั้นสูง ทำให้บุคลากรที่จบมาไม่ได้มาตรฐาน ไม่มีความรู้ความสามารถเพียงพอจะปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพ มหาวิทยาลัยของรัฐในลาว มีทั้งหมด 5 แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยแห่งชาติ มหาวิทยาลัยจำปาสัก มหาวิทยาลัยสุพานุวง มหาวิทยาลัยสะหวันนะเขต ที่ขึ้นกับกระทรวงศึกษาธิการและกีฬา และมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์สุขภาพที่ขึ้นกับกระทรวงสาธารณสุข รองรับประชากรนักเรียนได้ไม่เพียงพอ ทำให้อัตราการแข่งขันเข้าเรียนต่อสูง และเปิดช่องให้มีสถาบันการศึกษาเอกชน โดยนายทุนไทย ญี่ปุ่น จีนและเวียดนาม เข้ามาเปิดการเรียนการสอนจำนวนมาก และไม่สามารถกวดขันมาตรฐานการศึกษาได้ดีพอ
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
คดีเหยื่อนายจ้างทารุณ เส้นแบ่งระหว่าง 'ตีแผ่' กับ 'ซ้ำเติม' Posted: 18 Feb 2013 01:08 AM PST ข่าวเด็กหญิงกะเหรี่ยงวัย 12 ปี ถูกทารุณและเลี้ยงดูเยี่ยงทาสจากนายจ้างสองสามีภรรยานานถึง 5 ปี ได้สร้างความหดหู่ให้แก่ผู้คนทั้งสังคมไทย ภาพพังผืดและแผลเป็นทั่วตัวของเด็กน้อยจากการถูกน้ำร้อนราด ถูกส่งต่อผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์อย่างรวดเร็ว พร้อมกับถ้อยคำประณาม สาปแช่งนายจ้าง จนสื่อมวลชนกระแสหลักทั้งโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ ต่างให้ความสำคัญกับข่าวนี้ ให้เวลาและพื้นที่ข่าว นำเสนอภาพบาดแผลทั่วร่างของเด็กหญิงเคราะห์ร้ายอย่างละเอียด เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงความโหดร้ายของนายจ้าง การนำเสนอเหตุการณ์นี้เป็นข่าวใหญ่ระดับชาติ ได้สร้างความตื่นตัวให้แก่หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องในจังหวัดกำแพงเพชร ออกมาให้ความสำคัญ ร่วมจัดการแก้ปัญหานี้ ตั้งแต่การผ่าตัดรักษาบาดแผลตามร่างกาย ฟื้นฟูสภาพจิตใจ รวมทั้งคำสัญญาจากเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมที่จะดำเนินคดีกับนายจ้างสองสามีภรรยาด้วยข้อหาร้ายแรงจนถึงที่สุด ทว่า ความพยายามของเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ตั้งแต่ ตำรวจ หมอ หรือแม้แต่เจ้าหน้าที่บ้านพักเด็ก และครอบครัว จ.กำแพงเพชร ในการตีแผ่ความโหดร้ายของนายจ้างผ่านการแถลงข่าวกับสื่อมวลชน กลับสร้างความหมิ่นเหม่ต่อการละเมิดสิทธิ ความเป็นส่วนตัว และเกียรติภูมิของเด็กคนนั้น แม้มีความตั้งใจดีในการปกปิดชื่อ และใบหน้าของเด็กขณะนำตัวเด็กมาแถลงข่าว การพาเด็กหญิงวัย 12 ปีที่ได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรงยาวนานถึง 5 ปี ออกมาถอดเสื้อผ้า จนเหลือแค่กางเกงชั้นใน โชว์บาดแผลให้ผู้สื่อข่าวถ่ายภาพหลายต่อหลายครั้ง แม้ตัวเด็กจะถูกปิดบังใบหน้าด้วยหมวกก็ตาม ก่อให้เกิดเสียงวิจารณ์ถึงความเหมาะสมในการปฏิบัติต่อเด็กที่ตกเป็นเหยื่อ และผลกระทบทางจิตใจของเด็ก จนล่าสุดมีข่าวออกมาจากนักจิตวิทยาที่ดูแลเด็กคนนี้ว่า ตัวเด็กเริ่มเบื่อหน่ายกับการต้องเปิดแผลให้ผู้มาเยือนคณะต่างๆ ได้ชม
นอกจากนี้ ใน ข้อ 19 ของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก หรือ Convention on the Rights of the Child (CRC) แห่งสหประชาชาติ ที่ประเทศไทยได้ให้การรับรองทั้ง 42 ข้อ ตั้งแต่ กุมภาพันธ์ 2535 ได้ระบุว่า รัฐควรคุ้มครองเด็กให้มีความปลอดภัยจากความรุนแรง การล่วงละเมิดทุกประเภท และการถูกทอดทิ้ง ส่วน ข้อ 39 ของอนุสัญญาฯ ชี้ว่า เด็กที่ถูกทำร้าย หรือ ถูกทอดทิ้งควรมีสิทธิที่จะได้รับการฟื้นฟูจิตใจเพื่อให้เกิดการเคารพตนเอง และคืนสู่สังคมได้
ในส่วนของสื่อมวลชนนั้น การปิดบังหน้าตา และชื่อของเด็กที่ตกเป็นเหยื่อในการรายงานข่าวนั้น เป็นการเริ่มต้นที่ดีในการคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของเด็ก แต่ยังไม่ครอบคลุมถึงการดูแลผลกระทบทางจิตใจของเด็กที่ต้องอยู่ท่ามกลางผู้ใหญ่แปลกหน้ามากมาย องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน และองค์กรพัฒนาด้านเด็กในประเทศ และต่างประเทศ เช่น แพลน อินเตอร์เนชันแนล ควรหาร่วมมือกันพัฒนาแนวทางการนำเสนอข่าวที่เกี่ยวกับเด็กที่เหมาะสมและสอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
พระชาย วรธัมโม: ทะเบียนสมรสนั้น...สำคัญไฉน? Posted: 18 Feb 2013 12:42 AM PST ขณะนี้กำลังมีการร่างกฎหมายการจดทะเบียนสมรสสำหรับคู่รักเพศเดียวกันขึ้นมาเพื่อนำเข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภารอวาระการโหวตคะแนนเสียงเพื่อออกเป็นกฎหมาย ภาษาทางการเรียกกฎหมายฉบับนี้ว่า 'พระราชบัญญัติการจดทะเบียนคู่ชีวิต' เนื้อหาไม่ได้มีอะไรใหม่เพียงแต่เป็นการนำกฎหมายการจดทะเบียนสมรสชายหญิงที่มีอยู่เดิมมาปรับใช้กับคู่สมรสชายกับชาย หญิงกับหญิง เป็นการเพิ่มชุดกฎหมายขึ้นเพื่อรองรับการใช้ชีวิตของคู่รักเพศเดียวกันให้มีสิทธิเช่นเดียวกับคู่รักต่างเพศ นั่นเป็นประเด็นทางวัตถุภายนอกอันเป็นประเด็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่พลเมืองทุกคนควรได้รับ แต่ผู้เขียนมองเห็นประเด็นอื่นๆ ที่อาจเป็นประโยชน์มากกว่านั้น
การมีกฎหมายฉบับนี้ออกมาสนับสนุนอย่างน้อยน่าจะทำให้คนที่รักเพศเดียวกันมองเห็นมากขึ้นว่าตนเองไม่ใช่ตัวตลกของสังคมแต่เป็นบุคคลที่มีสิทธิตามกฎหมาย แต่กฎหมายฉบับนี้ก็อาจจะช่วยเหลือคนรักเพศเดียวกันที่มีคู่รักเท่านั้น หากเป็นคนรักเพศเดียวกันที่เป็นโสดก็อาจจะช่วยแค่ความรู้สึกว่าการเป็นคนรักเพศเดียวกันก็พอจะมีตัวตนในกฎหมายไทยอยู่บ้าง และดูเหมือนคนรักเพศเดียวกันที่เป็นโสดยังไม่มีกฎหมายตัวใดมาช่วยเหลือหรือสนับสนุนการดำเนินชีวิตแบบโสดๆ ของตน ความมั่นใจตัวเองในทางโลกสนับสนุนให้คนๆ นั้นมีชีวิตอยู่ฉันใด ความมั่นใจในทางธรรมก็สนับสนุนให้คนๆ นั้นมีชีวิตในโลกทางธรรมที่เจริญเติบโตยิ่งขึ้นไปฉันนั้น เราไม่ควรมองว่าความมั่นใจในตัวเองของบุคคลไม่มีความสำคัญ ความมั่นใจในตัวเองเป็นคุณธรรมที่สนับสนุนให้บุคคลประสบความสำเร็จในทุกๆ เรื่อง
แท้จริงแล้วความรู้สึกว่าเป็นกรรมเกิดจากสังคมขาดความเข้าใจที่ดีและขาดระบบการสนับสนุนด้านสาธารณะให้กับคนที่เกิดมาแตกต่าง คนที่เกิดมาแตกต่างจึงไม่ได้รับความสะดวกสบายในการดำเนินชีวิตแล้วพลอยคิดไปว่าเป็นกรรม หากคนที่แตกต่างในสังคมได้รับการสนับสนุนได้รับความสะดวกสบายในการดำเนินชีวิต หรือได้รับความเข้าใจที่ดีจากสังคมรอบข้าง ความรู้สึกว่าเป็นกรรมนั้นก็จะหายไป
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
'จอน อึ๊งภากรณ์' จำเลยที่ 1 คดี 'ปีนสภา สนช.' เตรียมขึ้นเบิกความ 19 ก.พ.นี้ Posted: 18 Feb 2013 12:38 AM PST ศาลอาญานัดสืบพยานจำเลยนัดแรก ในคดีที่นักเคลื่อนไหว 10 คนเป็นจำเลยจากการปีนรั้วรั ศาลอาญานัดสืบพยานจำเลยนัดแรก ในคดีที่นักเคลื่อนไหว 10 คนเป็นจำเลยจากการปีนรั้วรั ทั้งนี้ นับแต่วันที่ 19 กุมภาพันธ์ ถึง 14 มีนาคม 2556 ทุกวัน เว้นวันจันทร์ เป็นกำหนดการสืบพยานจำเลย ซึ่งคดีนี้มีจำเลยทั้งหมด 10 คน ส่วนใหญ่เป็นนักเคลื่ เหตุคดีนี้เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2550 ประชาชนประมาณหนึ่งพันคนชุมนุ ประเด็นท้าทายสำหรับการสื ร่างกฎหมายที่ผู้ชุมนุมคัดค้าน ได้แก่ ร่างกฎหมายการรักษาความมั่ คดีดังกล่าวศาลรับฟ้องเมื่อวั ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
นักข่าว 'บีบีซี' เตรียมผละงาน 24 ชม. ประท้วงการ 'บังคับลาออก' Posted: 17 Feb 2013 08:29 PM PST สหภาพผู้สื่อข่าวแห่งชาติระบุว่า บีบีซีมีแผนจะปลดพนักงานอีกราว 2,000 ตำแหน่ง โดยที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2547 ได้ปลดแล้วราว 7,000 ตำแหน่ง และแผนกที่คาดว่าจะถูกกระทบได้แก่ บีบีซี สก็อตแลนด์, ไฟว์ ไลฟ์, ดิ เอเชียน เน็ตเวิร์ค และ เวิร์ลด์ เซอร์วิซ 18 ก.พ. 56 - ผู้สื่อข่าวบีบีซีเริ่มผละงาน 24 ชั่วโมง เมื่อเวลาเที่ยงคืนของวันจันทร์ตามเวลาของอังกฤษ เพื่อประท้วงนโยบายการบังคับลาออกของบีบีซี คาดว่าอาจส่งผลกระทบต่อรายการโทรทัศน์และวิทยุบางส่วน ผู้สื่อข่าวบีบีซีที่ผละงาน ซึ่งเป็นสมาชิกของสหภาพผู้สื่อข่าวแห่งชาติ (National Union of Journalists - NUJ) เตรียมตั้งแถวประท้วงบริเวณหน้าสำนักงานบีบีซีในเมืองต่างๆ ของอังกฤษ เช่น ลอนดอน คาร์ดิฟฟ์ กลาสโกลว์ และเบอร์มิงแฮม สหภาพผู้สื่อข่าวแห่งชาติระบุว่า ตำแหน่งงานที่จะถูกปลด ได้แก่แผนกบีบีซี สก็อตแลนด์, ไฟว์ ไลฟ์, ดิ เอเชียน เน็ตเวิร์ค และ เวิร์ลด์ เซอร์วิซ มิเชล สตานิสตรีต เลขาธิการของสหภาพฯ กล่าวว่า สมาชิกของสหภาพที่อยู่ในบีบีซี ทำการประท้วงเพื่อปกป้องงานและงานวารสารศาสตร์ที่มีคุณภาพในที่ทำงาน และกล่าวว่า พวกเขาไม่พอใจในการตัดสินใจของผู้บริหารของบีบีซี ซึ่งบีบให้นักข่าวต้องลาออก และทำให้คุณภาพของรายการและงานข่าวต้องลดลง ด้านตัวแทนของบีบีซี ระบุว่า ผิดหวังที่สหภาพฯ ได้เลือกกระทำการเช่นนี้ และชี้ว่าบีบีซีกำลังเร่งดำเนินการเพื่อรับพนักงานกลับเข้าทำงานใหม่หากสามารถทำได้ และจะทำงานร่วมกับสหภาพเพื่อให้สมาชิกได้รับการสนับสนุนด้านการกลับเข้าทำงานใหม่ที่เหมาะสม ก่อนหน้านี้ สหภาพผู้สื่อข่าวแห่งชาติได้ขอบีบีซีให้ขยายเวลาการลดตำแหน่งงานไปอีกหกเดือน เพื่อให้สามารถมีเวลาเจรจากับผู้อำนวยการคนใหม่ของบีบีซี ข้อมูลจากสหภาพฯ ระบุว่า ตั้งแต่ปี 2547 บีบีซีได้ปลดพนักงานแล้วราว 7,000 ตำแหน่ง และในอนาคตมีแผนจะปลดอีกราว 2,000 ตามแผนการลดงบประมาณของบริษัท ที่มา: เรียบเรียงจาก BBC journalists stage 24-hour strike over compulsory redundancies ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
You are subscribed to email updates from ประชาไท To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น