โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

‘คนสะเอียบ’ ร้อง กสม.ตรวจสอบ ‘เขื่อนแก่งเสือเต้น’ ละเมิดสิทธิชุมชน-รัฐธรรมนูญ

Posted: 14 Feb 2013 12:15 PM PST

คณะกรรมการคัดค้านเขื่อน ต.สะเอียบ อ.สอง จ.แพร่ บุกยื่นหนังสือกรรมการสิทธิฯ จี้ตรวจสอบการละเมิดสิทธิชุมชน และการละเมิดรัฐธรรมนูญ กรณี 'เขื่อนแก่งเสือเต้น-เขื่อนยมบน-เขื่อนยมล่าง'

 
 
14 ก.พ.56เมื่อเวลา 09.30 น.ที่ห้องประชุม โรงแรมฮอริเดย์การ์เดน จ.เชียงใหม่ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) จัดสัมมนา โครงการเครือข่ายในการเฝ้าระวังการละเมิดสิทธิมนุษยชน และการส่งเสริมคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของเครือข่าย เรื่อง นโยบายการจัดการน้ำที่ส่งผลกระทบต่อชุมชน จากนั้นตัวแทนชาวบ้าน ต.สะเอียบได้เข้ายื่นหนังสือต่อนายแพทย์นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชน ให้ กสม.ตรวจสอบการละเมิดสิทธิ  กรณีโครงการเขื่อนแก่งเสือเต้น โครงการเขื่อนยมบน โครงการเขื่อนยมล่าง ต.สะเอียบ อ.สอง จ.แพร่
 
นายแพทย์นิรันดร์ แสดงความเห็นต่อโครงการเขื่อนดังกล่าวว่า ทางกรรมการสิทธิฯ จะดำเนินการต่อไปในการตรวจสอบการละเมิดสิทธิตามที่ชาวบ้าน ต.สะเอียบร้องเรียน และยังกล่าวว่า กรรมการสิทธิมนุษยชน รับเงินเดือนซึ่งเป็นภาษีของพี่น้องประชาชน ต้องทำงานแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน เป็นภารกิจและอำนาจหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายตามรัฐธรรมนูญ
 
 
ดร.วสันต์ จอมภักดี อาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ วิทยากรหลักในการสัมมนากล่าวถึงการจัดการแม่น้ำ คู คลองของภาคเหนือว่า ที่ผ่านมามีความผิดพลาด การถมริมฝั่งน้ำปิงในเมืองเชียงใหม่ ทำให้แม่น้ำแคบ ระบบนิเวศเปลี่ยนไป เป็นความไม่เข้าใจของหน่วยงานราชการเอง ที่มุ่งเน้นการพัฒนา เน้นความเจริญ ทำให้ระบบนิเวศเสียหาย
 
"เราไม่ควรเร่งพัฒนาจนลืมภูมิปัญญาชาวบ้าน บรรพบุรุษของเรา พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ของพวกเราอยู่กันมาได้มีระบบการจัดการน้ำมาตั้งแต่บรรพบุรุษ บันทึกไว้ในตำรามังรายศาสตร์ แต่ระยะหลังเราให้พวกด็อกเตอร์มาจัดการน้ำ ระบบพังหมด แล้วลูกหลานเราจะอยู่กันได้อย่างไร งบเงินกู้ 3.5 แสนล้านจะทำให้ระบบนิเวศน์แม่น้ำพังหมด แถมยังเป็นภาระให้ลูกหลานเราเป็นหนี้สาธารณะไปอีกนานแสนนาน" ดร.วสันต์ กล่าว
 
 
ด้านนายประสิทธิพร กาฬอ่อนศรี ประธานกลุ่มราษฎรรักษ์ป่า ต.สะเอียบกล่าวว่า เงินกู้ 3.5 แสนล้าน ได้หมกเม็ดแผนการทำลายป่าไว้อย่างมหาศาล อาทิ เขื่อนแก่งเสือเต้นจะทำลายป่า 41,7501 ไร่ เขื่อนแม่วงก์ จ.นครสวรรค์ จะทำลายป่าอีก 13,000 ไร่ นอกจากนี้ ในแผนการจัดการน้ำยังมีเขื่อนที่จะต้องสร้างทั้งหมด 22 เขื่อน ป่าไม้และชุมชนจะต้องถูกกระทบอย่างมากแน่นอน อีกทั้งยังให้ต่างชาติมาประมูลงานอีก การมีส่วนร่วมของชาวบ้านและชุมชนก็ยังไม่มี
 
"รัฐบาล และ กบอ.เดินหน้ากู้เงินมาทำลายป่าอย่างนี้ละเมิดสิทธิหรือไม่" นายประสิทธิพรตั้งคำถาม
 
นายสมมิ่ง เหมืองร้อง ประธานคณะกรรมการคัดค้านเขื่อน 4 หมู่บ้าน ต.สะเอียบ อ.สอง จ.แพร่ กล่าวว่า ตนเองและคณะกรรมการคัดค้านเขื่อนได้มายื่นหนังสือต่อนายแพทย์นิรันดร์ เพื่อให้กรรมการสิทธิฯ ได้ตรวจสอบการละเมิดสิทธิกรณีโครงการเขื่อนแก่งเสือเต้น โครงการเขื่อนยมบน โครงการเขื่อนยมล่าง เพราะรัฐบาล กบอ.ไม่เคยมาชี้แจงข้อมูล ข้อเท็จจริง แต่อย่างใด กลับนำโครงการเหล่านี้ไปบรรจุในแผนการจัดการน้ำ 3.5 แสนล้าน ข้ามขั้นตอนต่างๆ มากมาย ถือว่าไม่เป็นธรรมต่อชาวบ้าน จึงขอให้กรรมการสิทธิช่วยตรวจสอบอีกทางหนึ่งด้วย
 

ทั้งนี้หนังสือดังกล่าวมีเนื้อหา ดังนี้

ศูนย์ประสานงานชุมชน ต.สะเอียบ อ.สอง จ.แพร่ 54120

 

14  กุมภาพันธ์  2556

 

เรื่อง      ขอให้ตรวจสอบการละเมิดสิทธิ์ การละเมิดสิทธิชุมชน และการละเมิดรัฐธรรมนูญ กรณี โครงการเขื่อนแก่งเสือเต้น เขื่อนยมบน เขื่อนยมล่าง (เขื่อนแม่น้ำยม) จ.แพร่

 

เรียน      คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ นายแพทย์นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ

 

            จากการที่รัฐบาลได้เร่ขายแผนการจัดการน้ำ 3.5 แสนล้าน ให้กับ 6 กลุ่มบริษัทข้ามชาติ ซึ่งในแผนการจัดการน้ำดังกล่าว ได้หมกเม็ดการทำลายป่าไว้ในนั้นด้วย อาทิ แผนการสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น จ.แพร่ จะทำลายป่า 41,750 ไร่ แผนการสร้างเขื่อนยมบน และเขื่อนยมล่าง (เขื่อนแม่น้ำยม) จ.แพร่ ซึ่งก็คือเขื่อนแก่งเสือเต้นแยกออกเป็น 2 เขื่อน ก็จะทำลายป่าไม่น้อยไปกว่าเขื่อนแก่งเสือเต้น

            แผนการจัดการน้ำดังกล่าว ได้หมกเม็ดการทำลายป่าไว้อย่างมหาศาล อันจะนำไปสู่ปัญหาอุทกภัย และภัยพิบัติ ตามมาอย่างรุนแรงขึ้น ดั่งเป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่าปัจจุบันปัญหาโลกร้อนคุกคามโลกอย่างต่อเนื่อง จึงควรยุติการทำลายป่าซึ่งเหลืออยู่น้อยมากแล้ว

            คณะกรรมการคัดค้านเขื่อน 4 หมู่บ้าน ต.สะเอียบ อ.สอง จ.แพร่ ได้ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร และผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ แล้วในวันที่ 1 กุมภาพันธุ์ 2556 ที่ผ่านมาเรียกร้องให้ รัฐบาล และ 6 กลุ่มบริษัทข้ามชาติ ได้ตระหนักถึงปัญหาการทำลายป่าและปัญหาโลกร้อนที่จะเกิดขึ้น โดยกลุ่มราษฎรรักป่าขอเสนอให้รัฐบาลและ 6 กลุ่มบริษัทข้ามชาติ ได้ยุติแผนการทำลายป่า ยกเลิกแผนการสร้างเขื่อน อาทิ เขื่อนแก่งเสือเต้น จ.แพร่ เขื่อนยมบน และเขื่อนยมล่าง (เขื่อนแม่น้ำยม) จ.แพร่

            คณะกรรมการคัดค้านเขื่อน 4 หมู่บ้าน ขอเสนอเหตุผลที่ไม่สมควรสร้างเขื่อน และขอเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง โดยไม่ต้องสร้างเขื่อน ดังต่อไปนี้

เหตุผล 8 ประการที่ไม่สมควรสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น

            1. ผลการศึกษาของ องค์การอาหารและการเกษตรโลก (FAO.) ด้วยเหตุผลเรื่องการป้องกันน้ำท่วม เขื่อนแก่งเสือเต้น สามารถ เยียวยาปัญหาน้ำท่วมได้ เพียง 8 เปอร์เซ็นต์

            2. ผลการศึกษาของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย (TDRI.) ด้วยเหตุผลทาง เศรษฐศาสตร์ ได้ข้อสรุปว่า เขื่อนแก่งเสือเต้นไม่คุ้มทุน

            3. ผลการศึกษาของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ด้วยเหตุผลทางนิเวศวิทยา ที่มีข้อสรุปว่าหากสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นจะกระทบต่อระบบนิเวศน์ของอุทยานแห่งชาติแม่ยมเป็นอย่างมาก หากเก็บผืนป่าที่จะถูกน้ำท่วมไว้จะมีมูลค่าต่อระบบนิเวศน์ และชุมชนอย่างมาก

            4. การศึกษาของ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด้วยเหตุผลทางด้าน ป่าไม้ สัตว์ป่า ที่มีข้อสรุปว่า พื้นที่ที่จะสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น เป็นทั้งอุทยานแห่งชาติที่มีความอุดมสมบูรณ์ อีกทั้งยังเป็นแหล่งป่าสักทองธรรมชาติ ผืนเดียวที่เหลืออยู่ ดังนั้น ควรเก็บรักษาไว้ เพื่ออนาคตของประชาชนไทยทั้งประเทศ

            5. ผลการศึกษาของมูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่า และพรรณพืชแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ด้วยเหตุผลในการจัดการน้ำ ยังมีทางออก และทางเลือกอื่น ๆ อีกหลายวิธีการ ที่แก้ไขปัญหาน้ำท่วมได้ โดยไม่ต้องสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น

            6. ผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยนเรศวร ได้เสนอ 19 แผนงานการจัดการน้ำแบบบูรณาการ ซึ่งสามารถแก้ไขปัญหาทั้งน้ำแล้ง น้ำท่วม ได้อย่างเป็นระบบทั้งลุ่มน้ำยม โดยไม่ต้องสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น

            7. ผลการศึกษาของกรมทรัพยากรธรณี ได้ชี้ชักว่า บริเวณที่จะสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น ตั้งอยู่แนวรอยเลื่อนของเปลือกโลก คือ รอยเลื่อนแม่ยม ซึ่งยังมีการเคลื่อนตัวอยู่ตลอดเวลา  เป็นการเสี่ยงอย่างมากที่จะสร้างเขื่อนใกล้กับรอยเลื่อนของเปลือกโลก เสมือนหนึ่งเป็นการวางระเบิดบนหลังคาบ้านของคนเมืองแพร่

            8. ผลการศึกษาของโครงการพัฒนายุทธศาสตร์ทางเลือกนโยบายการจัดการลุ่มน้ำยม (SEA) ชี้ให้เห็นว่ามีทางเลือกมากมายในการจัดการน้ำ ในลุ่มน้ำยม โดยไม่ต้องสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น เช่น การทำทางเบี่ยงน้ำเลี่ยงเมือง การทำแก้มลิง การพัฒนาอ่างเก็บน้ำขนาดเล็ก เป็นต้น

แนวทางแก้ไขปัญหา น้ำท่วม น้ำแล้ง ลุ่มน้ำยม 12 ข้อ

1.ฟื้นฟูป่าต้นน้ำ รักษาป่าที่เหลืออยู่ ป้องกันการบุกรุกป่า ให้ป่าซับน้ำไว้เป็นเขื่อนถาวร  ยั้งยืน และทำหน้าที่เก็บคาร์บอลช่วยลดโลกร้อน รวมทั้งฟอกอากาศให้ออกซิเจนแก่มวลมนุษยชาติ

2.รักษาและพัฒนาป่าชุมชน ทุกชุมชนควรมีป่าชุมชน ไว้ใช้สอย เก็บเห็ด ผัก หน่อไม้ สมุนไพร เป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตของชุมชน รักษาป่าอนุรักษ์ โดยเฉพาะป่าอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ต้องรักษาไว้อย่างเข้มงวด ห้ามมิให้พัฒนาโครงการขนาดใหญ่ที่กระทบต่อป่าและสัตว์ป่า เช่น โครงการเขื่อนแก่งเสือเต้น เขื่อนยมบน เขื่อนยมล่าง ที่ผ่าใจกลางอุทยานแห่งชาติแม่ยม

3.ปลูกต้นไม้เพิ่ม โดยเฉพาะในเมือง สร้างพื้นที่สีเขียวให้กับครอบครัว ชุมชน หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด ภาค และ ประเทศชาติ ทุกคน ทุกชุมชน ช่วยกันทำได้ ช่วยลดโลกร้อนได้อีกด้วย ยุติการตัดถางป่าเพื่อปลูกต้นไม้สร้างภาพไปวันๆ ซึ่งไม่เกิดประโยชน์ ควรปล่อยให้ป่าได้ฟื้นสภาพเอง จะมีความหลากหลายทางพันธุกรรมมากกว่า

4.พัฒนาระบบภาษีเพื่อสิ่งแวดล้อม ชุมชนไหนรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อตัวเองและเพื่อชุมชนอื่น ควรได้รับการสนับสนุน ชุมชนใดไม่มีศักยภาพในการรักษาและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ควรให้การสนับสนุน เป็นชุมชนพี่น้องหนุนช่วยกัน

5.ฟื้นฟูระบบเหมืองฝาย พัฒนาฝายดักตะกอน ฝายชะลอน้ำ ฝายกักเก็บน้ำ ให้ทั่วทุกพื้นที่ที่มีศักยภาพ

6.เพิ่มพื้นที่กักเก็บน้ำตามลำน้ำสาขา พัฒนาอ่างเก็บน้ำขนาดกลาง ขนาดเล็ก ทั้ง 77 ลำน้ำสาขา ของแม่น้ำยม ซึ่งจะกักเก็บน้ำได้มากกว่าเขื่อนแก่งเสือเต้นถึง 3 เท่า

7.ทำแหล่งรับน้ำหลากไว้ทุกชุมชน โดยกรมทรัพยากรน้ำได้สำรวจไว้แล้ว 395 แหล่ง ทั่วทั้งเขตลุ่มน้ำยม เก็บน้ำได้มากกว่า 1,500 ล้าน ลูกบาศก์เมตร มากกว่าเขื่อนแก่งเสือเต้น ซึ่งเก็บน้ำได้เพียง 1,175 ล้าน ลูกบาศก์เมตร แต่ใช้งบเพียง 4,000 กว่าล้านบาท น้อยกว่าเขื่อนแก่งเสือเต้นถึง 3 เท่า

8.พัฒนาโครงการ หนึ่งหมู่บ้านหนึ่งแหล่งน้ำ หนึ่งตำบลหนึ่งแหล่งน้ำ ทั่วทั้งลุ่มน้ำยม

9.สนับสนุนการจัดการน้ำระดับครัวเรือน และระดับชุมชนโดยใช้ภูมิปัญญาชาวบ้าน ได้แก่ ฝายต้นน้ำ ฝายทดน้ำ ฝายกักเก็บน้ำ ขุดบ่อ หรือ สระน้ำในไร่นา รวมทั้งอนุรักษ์ และฟื้นฟูระบบเหมืองฝายที่เป็นภูมิปัญญาของชาวบ้านในแต่ละท้องถิ่น จะสร้างประโยชน์ให้กับชาวบ้าน และชุมชน อย่างเป็นจริง และใช้งบประมาณน้อยกว่าการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่

10.กระจายอำนาจ งบประมาณ ให้กับชุมชนท้องถิ่น ในการวางแผนระบบการจัดการน้ำโดยชุมชน รวมทั้งสนับสนุนงบประมาณในการฟื้นฟูป่าต้นน้ำและระบบการจัดการน้ำของชุมชนท้องถิ่น รวมทั้งให้สิทธิและอำนาจการจัดการน้ำแก่ชุมชนท้องถิ่น โดยมีกฎหมายรองรับ

11.ทบทวนนโยบายการส่งเสริมปลูกพืชเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในฤดูแล้ง เพื่อลดปริมาณการใช้น้ำ ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกพืชอายุสั้น และเลือกปลูกพันธุ์พืชที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ เพื่อลดการบุกรุกพื้นที่ป่า และลดปริมาณการใช้น้ำในการทำเกษตรนอกฤดู

12.ส่งเสริมระบบการใช้ที่ดินให้สอดคล้องกับภูมิสังคม สนับสนุนโฉนดชุมชน สร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับชุมชน ยุติการขับไล่ชุมชนออกจากป่า สนับสนุนชุมชนที่อยู่กับป่า ให้รักษาป่า รักษาต้นน้ำ รวมทั้งจัดการผังเมืองให้สอดคล้องกับธรรมชาติและภูมิสังคม

 

            จึงเรียนมาเพื่อพิจารณา ขอให้ตรวจสอบการละเมิดสิทธิ์ และการละเมิดสิทธิชุมชน การละเมิดรัฐธรรมนูญ กรณี โครงการเขื่อนแก่งเสือเต้น เขื่อนยมบน เขื่อนยมล่าง (เขื่อนแม่น้ำยม) จ.แพร่

 

ขอแสดงความนับถือ

 

(นายสมมิ่ง  เหมืองร้อง)

ประธานคณะกรรมการคัดค้านเขื่อน 4 หมู่บ้าน (บ้านดอนชัยสักทอง)

 

(นายวิชัย  รักษาพล)                     (นายเจริญ  บัวแดง)                      (นายสิทธิพร  ดอกคำ)

 ประธานคณะกรรมการคัดค้านเขื่อน บ้านดอนชัย บ้านดอนแก้ว บ้านแม่เต้น

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

"พงศพัศ" เสนอ 7 นโยบายจราจรไร้รอยต่อ "สุขุมพันธ์" ชูแก้จราจรครบวงจร "สั้น-กลาง-ยาว"

Posted: 14 Feb 2013 12:15 PM PST

"สุขุมพันธ์ บริพัตร" งัดเพลงหาเสียงแปลงมาจาก "กังนัมสไตล์" "สุหฤท สยามวาลา" ชู 5 ข้อ "กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่ผู้หญิงมีความสุข" "เสรีพิศุทธิ์" หยั่งเสียงจัดระเบียบทางเท้า ด้าน "โสภณ พรโชคชัย" ขอประชันวิสัยทัศน์ออนไลน์ หลังไม่ได้ขึ้นดีเบตที่จุฬา

"สุขุมพันธุ์" ชูแก้นโยบายจรจาครบวงจร สั้น กลาง ยาว - โชว์เพลงหาเสียงแปลงจาก "กังนัมสไตล์"

บรรยากาศหาเสียงการเลือกตั้งผู้ว่าราชการ กทม. เมื่อวานนี้ (14 ก.พ.) นั้น ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้สมัครหมายเลข 16 ได้โพสต์อัลบั้มภาพ "ภารกิจการลงพื้นที่หาเสียง วันที่ 14 ก.พ. 2556" ลงในเฟซบุคของตน ระบุข้อความว่า "ประชันวิสัยทัศน์ผู้ว่าฯกทม. ที่มรภ.สวนสุนันทา ชูนโยบายแก้ปัญหาการจราจรแบบครบวงจร แก้ปัญหาระยะสั้น กลาง ยาว เน้นต้องพัฒนาและส่งเสริมการใช้ขนส่งมวลชนสาธารณะเพิ่มจาก 40% เป็น 60% จึงจะบรรเทาปัญหาการจราจรได้ จากนั้นไปลงพื้นที่บ้านเด็กตาบอด ผู้พิการซ้ำซ้อน รามอินทรา 34 และนำเสนอนโยบายเปิดโรงเรียนกทม.ให้เด็กพิการที่ช่วยเหลือตัวเองได้ เรียนร่วมกับเด็กปกติ ช่วงบ่ายไปร่วมประชันวิสัยทัศน์ ผู้ว่าฯกรุงเทพมหานคร ที่ modernnine TV รายการพิเศษ "เกาะติดศึกชิงผู้ว่าฯ กทม" ใครพลาดชมอ่านสรุปได้ในนี้ครับ http://storify.com/Sukhumbhandp/story-9 ช่วงค่ำพบปะพี่น้องและปราศรัย ณ ตลาดปัฐวิกรณ์ ซ.นวมินทร์ 72 เขตบึงกุ่ม และที่สุเหร่าแดง ซ.46 ถ.เสรีไทย เขตคันนายาว ขอบคุณทุกการต้อนรับครับ"

โดยหนังสือพิมพ์คมชัดลึกรายงานด้วยว่าในระหว่างการเยี่ยมโรงเรียนบ้านเด็กรามอินทรา ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ได้เต้นท่าควบม้า และเปิดเพลงหาเสียงของพรรคที่ใช้ทำนองเพลง "กังนัมสไตล์" ด้วย

 

"พงศพัศ" เสนอนโยบายจราจรไร้รอยต่อ 7 ข้อ

ขณะเดียวกัน พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครหมายเลข 9 ได้โพสต์นโยบายจราจร 7 ข้อติดต่อกันในเฟซบุคของตน โดยระบุว่า "สู่เป้าหมายการลดเวลาเดินทางลง 30% ในชั่วโมงเร่งด่วน คืนเวลาให้ภาคธุรกิจและครอบครัว ผมขออาสาเป็นผู้เชื่อมประสานและแก้ไข วางยุทธศาสตร์ สร้างอนาคตกรุงเทพฯร่วมกับรัฐบาลเพื่อผลักดันโครงการต่างๆ ซึ่งจะทยอยนำเสนอทุกท่าน โปรดติดตามครับ"

"โครงข่ายจราจรไร้รอยต่อ เรื่องที่ 1 ประสานกับรัฐบาล เพื่อผลักดันโครงการเชื่อมโยงโครงข่ายระบบขนส่งมวลชน - พัฒนาส่วนต่อขยายรถไฟฟ้า BTS กับรถไฟฟ้าสายสีเขียวของรัฐบาลตลอดแนวถนนราชพฤกษ์ช่วงบางหว้า รวมทั้งจุดเชื่อมต่อที่สถานีแบริ่งไปยังบางปู สมุทรปราการ ระยะทาง 11 กม.

- รถไฟฟ้าขนาดเบา(Monorail/Light Rail) รอบศูนย์กลางคมนาคมพหลโยธิน บางซื่อ ถึง Energy Complex ระยะทาง 7 กม.
- รถไฟฟ้าขนาดเบา(Monorail/Light Rail) ช่วงวัชรพลถึงพระราม9 ระยะทาง 15.5 กม. ส่งผู้โดยสารเข้าสู่เส้นทางรถไฟฟ้าสายหลัก
- นำเสนอรัฐบาลปรับโครงสร้างทางด่วนเส้นทาง งามวงศ์วาน - เกษตรศาสตร์ - ประเสริฐมนูกิจ ระยะทาง 12.5 กม. เป็นรถไฟฟ้าขนาดเบา เชื่อมต่อ รถไฟฟ้า สีแดง เขียว ชมพู และม่วง

นโยบายจราจรไร้รอยต่อ เรื่องที่ 2 ประสานงานกับรัฐบาลผลักดันตั๋วร่วม 1 ใบ ใช้ได้ทุกที่ สร้างมาตรฐานกลางของระบบบัตรโดยสารร่วม เพื่อความสะดวกในทุกเส้นทางด้วยตั๋วเพียงใบเดียว

นโยบายจราจรไร้รอยต่อ เรื่องที่ 3 เชื่อมโยงโครงข่ายระบบขนส่งมวลชน บูรณาการเพื่อยกระดับคุณภาพบริการของรถประจำทาง
- เสนอให้มีรถประจำทางฟรี สำหรับผู้มีรายได้น้อย
- ติดตั้งป้ายรถโดยสารดิจิตอลบอกเวลา เชื่อมโยงสัญญาณ GPS และระบบจราจรแจ้งเตือนระยะเวลาการเดินทางให้แก่ผู้โดยสาร
- พัฒนาระบบให้ข้อมูลการเดินรถผ่านป้ายรถโดยสารดิจิตอลบอกเวลา และ Smartphone Application
- พัฒนาจุดเชื่อมต่อการเดินทางผู้โดยสารหลายรูปแบบ ทั้งรถไฟฟ้า รถไฟ เรือ รถประจำทาง ให้ประชาชนสามารถเดินทางถึงจุดหมายได้หลากหลายช่องทาง
- สนับสนุนระบบ Feeder เชื่อมต่อรถไฟฟ้า

นโยบายจราจรไร้รอยต่อ เรื่องที่ 4 เชื่อมโยงและเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจราจรให้เกิดความคล่องตัวมากขึ้น ด้วยการจัดตั้งศูนย์จราจรกรุงเทพมหานคร
- ประสานงานเชื่อมสัญญาณภาพจากกล้อง CCTV ทุกจุดบนถนน เข้าสู่ศูนย์บริหารจราจร
- ประสานงานตำรวจจราจร สนข. โรงพยาบาล หน่วยกู้ภัย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยบนท้องถนน เตรียมพร้อมดูแลพื้นที่เกิดเหตุ ลดเวลา และปัญหาจราจรติดขัดจากอุบัติเหตุ
- ประสานงานกับรัฐบาล บริหารจราจรด้วยระบบ ITS (Intelligent Traffic System) ควบคุมสัญญาณจราจรให้สัมพันธ์กับจำนวนรถยนต์บริเวณทางแยกจากศูนย์กลาง 
- รายงานสภาพจราจรผ่านอุปกรณ์มือถือ จัดทำระบบรายการข้อมูลจราจร เหตุฉุกเฉิน และจุดเกิดเหตุบนท้องถนนผ่าน Smartphone ให้ประชาชนได้รับข้อมูลจราจรแบบ Real time

นโยบายจราจรไร้รอยต่อ เรื่องที่ 5 เติมเต็มระบบเสริมที่หลากหลาย รับ-ส่งคนกรุงเทพฯให้เข้าถึงรถไฟฟ้าอย่างสะดวก
- จัดให้มีรถแท็กซี่ จักรยานยนต์รับจ้าง สามล้อเครื่อง รถตู้ รถสองแถวประจำทาง พร้อมรับ-ส่งผู้โดยสารจากบ้านสู่รถไฟฟ้าหรือจากรถไฟฟ้าไปยังปลายทางได้อย่างสะดวกโดยไม่จำเป็นต้องใช้รถส่วนตัว
- ประสานงานเอกชนปรับปรุงและจัดการจุดจอดรถ Taxi รถตู้ ให้เป็นระเบียบและเพียงพอกับความต้องการของประชาชน

นโยบายจราจรไร้รอยต่อ เรื่องที่ 6 รวมพลังคนกรุงเทพฯ แก้ปัญหารถติดด้วยน้ำใจ และวินัยจราจร
- จัดอบรมอาสาสมัครจราจร เพื่อช่วยดูแลการจราจรในช่วงเวลาเร่งด่วน
- ทำงานร่วมกับตำรวจจราจร กวดขันวินัยจราจร ลดปัญหาจราจรและลดอุบัติเหตุบนท้องถนน
- ให้เทศกิจสนับสนุนอำนวยความสะดวกช่วยดูแลระเบียบวินัยจราจร
- ดูแลให้ประชาชนสัญจรบนทางเท้าได้อย่างปลอดภัย
- สร้างวินัยจราจร ตรวจตราผู้กระทำผิดด้วยระบบกล้อง CCTV ระบบตรวจจับความเร็วอัตโนมัติ และระบบตรวจผู้ฝ่าฝืนวินัยจราจร เช่น จอดรถในที่ห้ามจอด ฝ่าไฟแดง อื่นๆ

นโยบายจราจรไร้รอยต่อ เรื่องที่ 7 ฟื้นฟูรถรางท่องเที่ยว เสริมเสน่ห์ให้ย่านประวัติศาสตร์ พัฒนาระบบรถรางในพื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ (Tram Way) 12 สถานี ความยาว 7 กม. เชื่อมโยงการเดินทางสู่รถไฟฟ้า 3 สาย ได้แก่ สีส้ม สีม่วง และสีน้ำเงิน

 

"สุหฤท" ชู 5 ข้อ "กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่ผู้หญิงมีความสุข" "เสรีพิศุทธิ์" หยั่งเสียงจัดระเบียบทางเท้า

ขณะเดียวกัน นายสุหฤท สยามวาลา ผู้สมัครหมายเลข 17 ได้โพสต์แสดงนโนบาย "กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่ผู้หญิงมีความสุข" 5 ข้อ โดยระบุว่า "หนึ่งในนโยบายที่อยากนำเสนอคือ กรุงเทพฯเป็นเมืองที่ผู้หญิงมีความสุขครับ

สุข 1 ความปลอดภัย แสงสว่าง มีบริการสำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะเช่น lady taxi
สุข 2 มีที่บริหารออกกำลังกายคลายเครียดมากๆหลังเลิกกิจกรรมประจำวัน
สุข 3 จัดตลาดนัดผู้หญิงให้ช้อปปิ้งของดีจากทางบ้านในราคาที่ถูก shopping street หมุนเวียน
สุข 4 เมืองแห่งแฟชั่น วันนี้เรามีคนที่ทำเสื้อสวยๆ ดีขายเต็ม facebook ทำไมไม่นำมารวมกัน ส่งเสริมดีไซน์เนอร์ท้องถิ่น
สุข 5 ผู้ชายไม่เจ้าชู้

ตามอำนาจการบริหารราชการแผ่นดินผมทำได้แน่ๆ ทุกข้อครับยกเว้นข้อ 5 อย่างเดียวครับ เชื่อแบบเดิม เลือกแบบเดิม ได้กรุงเทพฯแบบเดิม สุหฤท สยามวาลา"

ด้าน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ เตมียาเวส ผู้สมัครหมายเลข 11 ได้โพสต์สเตตัสในเฟซบุคของตน แสดงความเห็นเรื่องการขายของบนทางเท้าว่า "ผมเข้าใจมากครับ คนขายก็อยากขาย อยากมีรายได้เลี้ยงตัวเองและครอบครัว คนเดินทางเท้าเองก็อยากเดินสบายไม่เกะกะ ผมเชื่อว่าถ้าเราจัดระเบียบดีๆ ให้คนขายได้มีที่ขายที่เป็นที่เป็นทางหรือจัดโซนให้ชิดด้านใดด้านหนึ่ง ก็จะเป็นระเบียบมากขึ้น แล้วน้องๆ คิดยังไงกันบ้างครับ" @sereepisuth"

 

"โสภณ พรโชคชัย" ขอประชันวิสัยทัศน์ออนไลน์ หลังไม่ได้ขึ้นดีเบตที่จุฬา

ขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 14 ก.พ. ที่ผ่านมา นายโสภณ พรโชคชัย ผู้สมัครหมายเลข 4 ได้เผยแพร่บทความ "ลองดูวิสัยทัศน์พัฒนาเมืองของผม" หลังจากที่ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 13 ก.พ. ศูนย์ติดตามประชาธิปไตยไทยฯ ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ จัดเสวนาสาธารณะ ประชันวิสัยทัศน์ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร 2556 (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง) อย่างไรก็ตามผู้จัดงานไม่ได้เชิญนายโสภณขึ้นแสดงวิสัยทัศน์ ทำให้ต่อมา นายโสภณซึ่งไปฟังการประชันวิสัยทัศน์ด้วย ได้เขียนบทความเพื่อแสดงวิสัยทัศน์ดังกล่าว โดยมีรายละเอียดดังนี้

"เมื่อวานนี้ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดงานเสวนาประชันวิสัยทัศน์ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. ในด้านผังเมือง บริหารมหานครและการใช้ทางเท้า ผมไม่ได้รับเชิญ ผมจึงติดต่อไปแต่เขาว่ามีหลายคนแล้วและอนุญาตให้ผมไปฟังเผื่อแสดงความเห็นด้วย แต่เมื่อผมไปถึงคนล้นห้องแทบไม่มีที่ยืนจึงต้องเดินทางกลับในภายหลัง ในฐานะที่ผมรู้เรื่องเมืองเป็นอย่างดี จบ ดร.ด้านนี้ และทำงานเกี่ยวข้องมาโดยตลอด ผมจึงขอแสดงวิสัยทัศน์ที่แตกต่างตรงนี้ครับ 

ลองเปรียบเทียบที่ผมตอบกับที่ท่านอื่นตอบ (http://prachatai.com/journal/2013/02/45274) ว่าต่างกันอย่างไรนะครับ

คำถาม: มีแนวทางจัดการเมืองอย่างไร ระหว่างเขตเศรษฐกิจ เมืองเก่า สถานบันเทิง ฯลฯ

เราต้องส่งเสริมและอำนวยความสะดวกต่อเขตเศรษฐกิจเพราะเป็นเขตที่สร้างรายได้และภาษีมาเลี้ยงดูประชาชนทั้งกรุงเทพมหานครและทั้งประเทศ ดังนั้นการอำนวยความสะดวกให้ประกอบการค้าเชื่อมโยงกับทั่วโลกได้จึงเป็นสิ่งสำคัญ รูปธรรมก็คือระบบขนส่งมวลชน เป็นต้น 

ส่วนเขตเมืองเก่าเป็นเขตอนุรักษ์ความเป็นไทย สถาบันหลัก และรักษารากเหง้าทางวัฒนธรรม ผมเสนอการพัฒนาเกาะรัตนโกสินทร์เป็นไนท์บาซาร์ที่ใหญ่และดีที่สุดในโลก เนื่องจากกลางวันร้อนจัด แต่ไม่ใช่เพียงเพื่อส่งเสริมวิสาหกิจขนาดย่อม ยังมุ่งส่งเสริมการแสดงออกของเด็ก เยาวชน ศิลปิน ผู้สูงอายุ เป็นต้น

ส่วนสถานบันเทิง ผมจะจัดโซนหรือบริเวณพิเศษให้อยู่ร่วมกัน โดยในบริเวณนี้มีการตรวจตราอาวุธและยาเสพติดอย่างเข้มงวด สถาบันบันเทิงต่าง ๆ จะย้ายเข้ามาอยู่แทบทั้งหมด เพราะไม่ต้องเสียค่าคุ้มครองเช่นที่เป็นอยู่ การรบกวนเพื่อนบ้าน ชุมชนและภาพบาดตาต่าง ๆ ก็จะหมดไป

คำถาม : ในทางกฎหมาย อำนาจของ กทม. มีจำกัด เช่น รถเมล์ เป็นของคมนาคม ถนนบางสายเป็นของกรมทางหลวง ฯลฯ ท่านคิดว่าจำเป็นหรือไม่ ที่จะดึงอำนาจการบริหารจัดการมาจากรัฐบาลกลาง มีแนวทางอย่างไร ด้วยวิธีการใด

บางท่านบอกว่าให้แก้ไขกฎหมายเพื่อให้ผู้ว่าฯ มีอำนาจมากขึ้น แต่การแก้ไขกฎหมายคงไม่ใช่หน้าที่ที่ทำได้สำเร็จของผู้ว่าฯ  ผู้ว่าฯ ควรบริหารเรื่องใหญ่น้อยให้สำเร็จ ซึ่งจะทำให้หน่วยงานต่าง ๆ เชื่อมั่นและให้ความร่วมมือให้การทำงานไปในทิศทางเดียวกัน ที่สำคัญต้องประสานต่อเนื่อง ไม่ถือตัวว่าได้รับเลือกตั้งมา 

ตัวอย่างหนึ่งก็คือรถประจำทาง ซึ่งทางราชการบริหารขาดทุนมาโดยตลอด ในขณะที่รถร่วมฯ ที่ทางราชการได้ค่าธรรมเนียม กลับมีกำไร  แต่รถร่วมฯ บางสายก็มีคุณภาพต่ำ ดังนั้นประเด็นจึงอยู่ที่การจัดการและการทำงานที่โปร่งใส ซึ่งหากผู้ว่าฯ กทม. ทำได้ ก็ย่อมสามารถแสวงหาความร่วมมือกับทุกภาคส่วนได้

คำถาม: มีแนวทางในการสร้างความสมดุลในการใช้พื้นผิวทางเท้า ระหว่างหาบเร่แผงลอยกับคนเดินทางอย่างไร

ปัจจุบันนี้ทางเท้ามีไว้ขายของ ถนนมีไว้เดินเสียแล้ว การขายของบนทางเท้าต้องเสียเงินแพง บางบริเวณสูงถึง 100-200 บาทต่อตารางเมตรต่อวัน เทียบได้กับการเช่าพื้นที่ห้างสรรพสินค้าหรูๆ เยี่ยงพารากอน หรือเอ็มโพเรียม แต่เงินไม่รู้ไปที่ไหน ถ้าผมเป็นผู้ว่าฯ จะลดค่าเช่าลงครึ่งหนึ่ง เพื่อผู้เช่าจะสามารถขายสินค้าและบริการในราคาที่ถูกลงต่อผู้ซื้อ แล้วนำเงินมาพัฒนาท้องถิ่น เก็บกวาดให้ดี ไม่ใช่ปล่อยระเกะกะกะเช่นทุกวันนี้  แต่ถึงที่สุดต้องจัดบริเวณค้าขายให้ดี พร้อมกับการสร้างนิสัยการซื้อ-ขายสินค้าที่ไม่รบกวนสังคม

คำถาม: การมีส่วนร่วมคน กทม. มีอย่างจำกัด ในการออกบัญญัติ กทม.ทำได้ยาก ต้องเข้าชื่อไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่ง ถอดถอนผู้บริหารท้องถิ่น ต้องใช้เสียงถอดถอด 3 ใน 4 ของผู้มาใช้สิทธิ ประมาณ 2 ล้าน คำถามคือ ท่านมีท่าทีเชิงนโยบายที่จะขยายการมีส่วนร่วมในเรื่องนี้อย่างไร

สิ่งแรกที่ผมจะทำก็คือการถ่ายทอดสดการทำงานของผู้ว่าฯ ยกเว้นเวลาอยู่บ้านหรือนั่งล้วงแคะแกะเกาในห้องทำงานส่วนตัว แต่การเจรจาพบปะกับผู้มาเยี่ยมเยียนใด ต้องเปิดเผยได้ยินกันโดยตลอด รวมทั้งจัดที่นั่งให้ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลมานั่งสังเกตการณ์ทำงานหน้าห้องผู้ว่าฯ เพราะไม่มีวาระซ่อนเร้น  นี่เป็นการมีส่วนร่วมขั้นแรก ส่วนที่สำคัญก็คือการให้ภาคประชาชนได้ตรวจสอบการทำงานของทั้งผู้ว่าฯ และข้าราชการ กทม. แต่ไม่ใช่การเล่นปาหี่ ภาคประชาชนนี้จะต้องมาจากการเลือกตั้งในแต่ละลำดับชั้น ไม่ใช่กลุ่มองค์กรที่อุปโลกน์กันขึ้นมา เมื่อมีการตรวจสอบจากประชาชนใกล้ชิด ก็ย่อมโปร่งใส เพราะ "ผีย่อมกลัวแสงสว่าง"

คำถาม: เรื่องการจราจร 

การสร้างจุดจอดแท็กซี่ที่ผ่านมาน่าจะมีปัญหา ใช้งบประมาณไปมากมาย อาจไม่คุ้มค่า ไม่รู้เงินเข้ากระเป๋าใคร  ควรสร้างจุดจอดวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างมากกว่าสร้างเพิงอยู่บนทางเท้า และควรประกันชีวิตมอเตอร์ไซค์รับจ้างและผู้โดยสาร รวมทั้งการตรวจสอบให้ดี เพื่อไม่ให้มีการรีดไถ

ในการแก้ปัญหาจราจร เฉพาะหน้าต้องทำบัสเลนเฉพาะช่วงเช้าเย็น ใครฝ่าฝืนจับปรับหนัก แต่ไม่ทำบีอาร์ทีที่ใช้ช่องทางจราจร 2 ช่องตลอด 24 ชั่วโมงซึ่งไม่มีประโยชน์ อนาคตเมื่อสร้างรถไฟฟ้าแล้วจะต้องเลิกบีอาร์ที ส่วนที่มีรถไฟฟ้าแล้วก็สร้างรถไฟฟ้ามวลเข้าเข้าถึงพื้นที่ปิดล้อม รวมทั้งการส่งเสริมให้มีจักรยานยนต์ไฟฟ้าคันแรก และการใช้จักรยานเช่า 40,000 คัน 1,000 จุดเพื่อให้คนใจกลางเมืองขี่ไปทำงาน

คำถาม: กทม.ใช้งบมากแก้ปัญหาปากท้องให้กทม. ซึ่งส่วนหนึ่งเอามาจากงบรวมทั้งประเทศ แล้วจังหวัดอื่นที่ประชาชนยากจนกว่าเขาจะคิดอย่างไร มีความเห็นต่อเรื่องนี้อย่างไร 

การพัฒนาใด ๆ นั้น ผู้ใช้ต้องเป็นผู้จ่าย ไม่ใช่ไปขอเงินหลวง ไม่ใช่ไปกู้เงินตะพึดตะพือ จะได้ไม่เอาเปรียบคนจน เมืองพิเศษ เช่น กทม. หรือพัทยา ต้องมีนโยบายเป็นสากล คือ นอกจากบริหารด้วยเงินตัวเองแล้ว ยังมีเงินสนับสนุนชาติ ไม่ใช่ยังไปขอเงินงบประมาณแผ่นดิน เช่นทุกวันนี้ 20% ของงบ กทม. มาจากเงินภาษีประชาชนทั่วประเทศ

คำถาม: ผู้สมัครแต่ละท่านมีนโยบายอย่างไรในการสนับสนุนการอ่านของคนกรุงเทพฯ ทำอย่างไรให้ประชาชนได้อ่านหนังสือที่มีคุณภาพ

ก่อนอื่นต้องส่งเสริมให้มีหนังสือที่มีคุณค่า และอ่านสนุก พร้อมกับเผยแพร่ผ่านสื่อต่าง ๆ โดยเฉพาะสถานีวิทยุและโทรทัศน์ของ โดยเริ่มต้นที่สถานีของ กทม. ก่อน  การกระตุ้นต่อเนื่องที่ไม่ใช่แบบ "ไฟไหม้ฟาง" เป็นสิ่งจำเป็น

คำถาม: เขตปทุมวันส่วนใหญ่เป็นที่ดินทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ถ้ามีการไล่รื้อ เมื่อเป็นผู้ว่าฯ จะดูแลชุมชุนอย่างไรให้อยู่คู่เมืองใหญ่ / จะมีแนวทางจัดการปัญหาขยะอย่างไร เพราะขยะไม่มาเก็บหลายวัน 

ต้องเจรจากับทรัพย์สินฯ สร้างแนวคิดการพัฒนาแบบ Land Sharing คือแบ่งส่วนหนึ่งให้ประชาชนอยู่อาศัย อีกส่วนหนึ่งให้ทรัพย์สินฯ ไปพัฒนาทางธุรกิจตามที่ต้องการ มีกรณีตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว เช่นที่ถนนพระรามที่ 4 เป็นต้น

ส่วนเรื่องขยะนั้น นหัวใจในการบริหารขยะอยู่ที่การลดปริมาณขยะ การแยกขยะ และการกำจัดขยะที่ไม่ก่อให้เกิดมลพิษโดยใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใสเพื่อให้เกิดความผาสุกในกรุงเทพมหานคร รวมทั้งการสร้างรายได้จากขยะ

คำถาม: พัฒนาอย่างไรให้ประชาชนกรุงเทพฯ พร้อมเข้าสู่ AEC ตามทันสิงคโปร์

ผมไปสำรวจนครต่าง ๆ มาทั่วอาเซียน ไปเป็นทำงานให้กับกระทรวงการคลังกัมพูชา เวียดนาม และอินโดนีเซีย รวมทั้งองค์การสหประชาชาติและธนาคารโลก พบว่าหากเปิด AEC ไทยจะได้รับความสนใจในการลงทุนมากที่สุด เราต้องทำสัญญาและธุรกรรมต่าง ๆ ให้เป็นธรรม เพื่อความมั่นใจของนักลงทุนและคุ้มครองประโยชน์ของคนไทย ควรให้ผู้ประกอบการได้ "ติดอาวุธ" ทางปัญญาเพื่อแข่งขันกับต่างชาติได้

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'ทอมสัน รอยเตอร์' เล็งปลดพนง.2,500 ตำแหน่งทั่วโลก

Posted: 14 Feb 2013 10:38 AM PST

 

บริษัท ทอมสัน รอยเตอร์ ผู้ให้บริการข้อมูลทางการเงินและรายงานข่าว เตรียมปลดพนักงาน 2,500 ตำแหน่งทั่วโลกในปีนี้ ซึ่งเป็นความพยายามลดค่าใช้จ่ายครั้งใหญ่ที่สุด โดยจิม สมิธ ซีอีโอของบริษัท แถลงเมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า บริษัทเตรียมจะปรับลดตำแหน่งพนักงานในแผนกการเงินและความเสี่ยง ซึ่งทำเงินได้มากกว่าครึ่งของรายได้ทั้งหมด

การปลดพนักงานครั้งนี้ คิดเป็นร้อยละ 4 ของกำลังแรงงานทั่วโลกจำนวน 60,000 ตำแหน่งของบริษัท ทั้งนี้ บริษัทไม่ได้ระบุว่า จะเลิกจ้างในพื้นที่ใด

"นี่ไม่ใช่การตัดสินใจที่ง่าย แต่โครงสร้างค่าใช้จ่ายของเราต้องสนองต่อความต้องการของลูกค้า" สมิธกล่าว ทั้งนี้ บริษัทจะต้องจ่ายค่าชดเชยเลิกจ้างราว 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในไตรมาสนี้

ขณะที่บางตำแหน่งจะถูกตัดออกในการลดจำนวนพนักงานครั้งนี้ มีราว 1,000 ตำแหน่งซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนกบริการนิติบุคคล ที่จะถูกซื้อโดยแนสเด็ก

ทอมสัน รอยเตอร์ รายงานผลกำไรของไตรมาสที่ 4 ปี 2555 เป็นเงิน 372 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หลังขาดทุนครั้งใหญ่ในช่วงเดียวกันของปีก่อน

แผนกการเงินและความเสี่ยง ซึ่งรับผิดชอบต่อรายได้ ร้อยละ 54 ของรายได้ทั้งหมด ต้องต่อสู้ดิ้นรนในช่วงปีหลังๆ มานี้ เนื่องจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ไอคอน (Eikon) ซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายเป็นนายธนาคาร ผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟัน และผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมการเงิน  

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไต่สวนคดี “ลุงคิม” เหยื่อกระสุน 14 พ.ค.53 สิ้นสุด นัดฟังคำสั่ง 27 มี.ค.นี้

Posted: 14 Feb 2013 10:18 AM PST

ไต่สวนการเสียชีวิตนายฐานุทัศน์ เหยื่อกระสุน 14 พ.ค.53 ภรรยาและลูก เบิกความเชื่อถูกทหารยิง แพทย์ตรวจชันสูตรบาดแผลผู้ตายก่อนเสียชีวิต ระบุกระสุนส่งผลให้เป็นอัมพาต จนท.ตรวจหัวกระสุนในร่างผู้ตายระบุเป็นกระสุน .223 ที่ใช้กับ M653 และ M16 เปิดคลิปช่วงเกิดเหตุไม่พบการติด ADAPTER แพทย์รับรองการตายชี้สาเหตุเสียชีวิตจากอาการปอดอักเสบ นัดฟังคำสั่งวันที่ 27 มี.ค.นี้

13 และ 14 ก.พ.56 ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 504 ศาลอาญากรุงเทพใต้นัดไต่สวนชันสูตรพลิกศพ คดีเลขที่ ช.12/2555  ในคดีที่พนักงานอัยการจากสำนักงานอัยการพิเศษ ฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 2 ยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนการเสียชีวิตของ นายฐานุทัศน์ อัศวสิริมั่นคง อายุ 55 ปี ที่ถูกยิงเข้าที่หลังด้านซ้าย กระสุนทะลุไขสันหลังและปอดขวา กระสุนไปฝังที่สะบักขวา บาดเจ็บสาหัสและเป็นอัมพาต เหตุเกิดเมื่อเวลาประมาณ 12.00 - 13.00 น. ของวันที่ 14 พ.ค.53 บริเวณหน้าโรงรับจำนำน่ำเลี้ยง ถนนพระราม 4 บ่อนไก่ ช่วงที่มีการกระชับวงล้อมผู้ชุมนุมเสื้อแดงโดยศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) ภายใต้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หลังจากนั้นนายฐานุทัศน์ ได้เสียชีวิตในเวลาต่อมาเมื่อ 23 ก.พ. 55 เวลา 22.35 น. ที่ รพ.มเหสักข์

โดยในวันที่ 13 ก.พ. มีการสืบพยาน  4 ปาก ประกอบด้วย  นางวรานิษฐ์ อัศวสิริมั่นคง ภรรยาผู้ตาย นายนนท์นริฐ อัศวสิริมั่นคง บุตรชายผู้ตาย(กับนางวรานิษฐ์) ซึ่งทั้งคู่อยู่กับผู้ตายก่อนถูกยิงไม่นาน  นพ.อำนาจ กุสลานันท์ อายุ 68 ปี ข้าราชการบำนาญ แพทย์ที่ปรึกษานิติเวชศาสตร์ รพ.กล้วยน้ำไท และ รพ.มเหสักข์ ปัจจุบันเป็นแพทย์ทีปรึกษาประจำ รพ.ศิริราช ในฐานะผู้ตรวจชันสูตรบาดแผลผู้ตายก่อนเสียชีวิต และ พ.ต.ท.กิตติศักดิ์ ยาคุ้มภัย อายุ 41 ปี รับราชการอยู่กลุ่มงานตรวจอาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืน กองพิสูจน์หลักฐานกลาง

นางวรานิษฐ์ อัศวสิริมั่นคง ภรรยาผู้ตาย เบิกความว่า ในวันเกิดเหตุ เวลาประมาณ 11.00 น. เศษ พยาน สามี ลูกชาย และลูกสาว เดินทางออกจากบ้านที่ชุมชนบ่อนไก่ เพื่อไปห้างโลตัส พระราม 4 จึงพากันไปยืนรอรถโดยสารที่ป้ายรถประจำทาง บริเวณหน้าธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาลุมพินี ในระหว่างที่ยืนรอรถโดยสาร เห็นรถมีน้อยลง พยานหันไปทางด้านขวามือ บริเวณสะพานไทย-เบลเยียม เห็นทหารประมาณ 10 กว่าคน ยืนอยู่บริเวณเชิงสะพาน และถืออาวุธปืนยาว ห่างจากจุดที่พยานยืนอยู่ประมาณ 200 เมตร โดยในขณะนั้นสามี(ผู้ตาย)เดินดูล็อตเตอรี่อยู่หน้าธนาคารไทยพาณิชย์ ห่างจากพยานประมาณ 3 เมตร สักพักได้ยินเสียงดังคล้ายระเบิด 1 ครั้ง ประชาชนที่อยู่ในบริเวณดังกล่าวต่างร้องตะโกนและวิ่งหนี พยานหันกลับไปดูที่สะพานไทย-เบลเยี่ยม เห็นทหารออกมายืนตั้งแถวหน้ากระดาน และถือปืนเล็งมาทาง ถ.พระราม 4 ที่พยานยืนอยู่ เพียงครู่เดียวก็ได้ยินเสียงปืนดังมาจากสะพานไทย - เบลเยียม มีลักษณะยิงเป็นชุดแล้วหยุด สามีจึงบอกให้พยานกับลูกไปหลบที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น แต่พยานกับลูกตกลงกันว่ากลับบ้านเลย

นางวรานิษฐ์ เบิกความด้วยว่า ระหว่างที่วิ่งกลับบ้านนั้นพยานได้โทรศัพท์ติดต่อสามีเป็นระยะ แต่ไม่รับสาย เมื่อไปถึงบ้าน เวลาประมาณ 12.20 น. พี่สาวของสามีโทรศัพท์มาถามว่า อยู่กันครบหรือไม่ เพราะได้ข่าวว่ามีคนในชุมชนถูกยิง พยานจึงตอบไปว่าสามียังไม่กลับ  หลังจากนั้นเวลาประมาณ 13.00 น. รพ.กล้วยน้ำไท โทร.มาแจ้งว่า สามีถูกยิงและเสียเลือดมาก พยานจึงเดินทางไปโรงพยาบาลพร้อมกับลูกๆ โดยแพทย์แจ้งว่าสามีถูกยิงด้วยอาวุธปืนเข้าที่กระดูกสันหลัง ทะลุไปฝังที่ปอดด้านขวา และพบกระสุนฝังอยู่ที่สะบักด้านขวา อาจพิการและเดินไม่ได้ไปตลอดชีวิต ซึ่งแพทย์ได้ทำการผ่าตัดกระสุนที่ปอดออก โดยสามีรักษาตัวอยู่ที่ รพ.กล้วยน้ำไทจนถึงวันที่ 4 มิ.ย. 53 และย้ายไปอยู่ที่ รพ.มเหสักข์  ขณะนั้นแพทย์ต้องระบายเลือดออกจากปอด สามีมีอาการขาอ่อนแรงทั้งสองข้าง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ โดยแพทย์แจ้งว่าเป็นอัมพาตช่วงล่างอย่างถาวร

นางวรานิษฐ์ เบิกความต่อว่า หลังจากนั้นวันที่ 7 ก.ค. 53 จึงพาสามีกลับมารักษาตัวที่บ้าน กระทั่งต้นเดือน ต.ค. 54 สามีมีอาการเจ็บที่กระดูกต้นคอ จึงพาไปรักษาที่ รพ.มเหสักข์ แพทย์จึงทำการผ่าตัดบริเวณต้นคอ เมื่อวันที่ 20 ต.ค. 54 โดยแจ้งว่า สามีกระดูกต้นคอเสื่อม เนื่องจากได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงที่ไขสันหลังจากการถูกยิง ทำให้เป็นอัมพาตทั้งตัว กล้ามเนื้อปอดไม่ทำงาน หายใจเองไม่ได้ ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ หลังผ่าตัดแล้ว จึงนำตัวสามีกลับบ้าน ต่อมาวันที่ 11 พ.ย. 54 สามีมีอาการหายใจติดขัด จึงพาไปที่โรงพยาบาลอีกครั้ง และในวันที่ 5 ธ.ค. 54 แพทย์ต้องทำการเจาะคอ เพื่อใส่เครื่องช่วยหายใจ และรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล จนกระทั้งวันที่ 22 กพ 55 เวลา 22.20 น. จนท.รพ.แจ้งว่าสามีใกล้เสียชีวิตแล้ว ทำให้พยานช็อก และพอได้สติได้โทรไปสอบถาม พยาบาลได้บอกว่าสามีพึ่งหมดลมหายใจไปเมื่อ 2-3 นาที

หลังจากนั้นพยานได้เดินทางไปที่โรงพยาบาลจึงได้พบสามีเสียชีวิตจริง และได้นำศพไปบำเพ็ญกุศลที่วัดหัวลำโพง 24 ก.พ. 55 โดยทางโรงพยาบาลได้ออกใบรับรองการตายระบุสาเหตุเสียชีวิตเนื่องจากปอดอักเสบ แต่พยานเห็นว่าสามีถูกยิงโดยเจ้าหน้าที่และมีกระสุนค้างอยู่ที่ร่างกายจึงไปแจ้งความที่ สน.บางรัก กับ พ.ต.ท.สุรพล ล้วนประเสริฐ และมีการส่งศพไปชันสูตรที่สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ เมื่อวันที่ 28 ก.พ.55 และแพทย์ลงความเห็นว่า ระบบการหายใจและโลหิตล้มเหลวร่วมกับมีหัวกระสุนปืนในร่าง สันนิฐานว่าเสียชีวิตจากมะเร็งลุกลาม  จึงมีการแก้สาเหตุการเสียชีวิตใหม่ในใบมรณะบัตร

นางวรานิษฐ์ เบิกความว่าในวันเกิดเหตุผู้ตายสวมเสื้อยืดคอปกสีเขียว กางเกงสีน้ำเงินเข้ม หลังจากนั้นอัยการได้นำภาพที่มีการถ่ายในมุมสูงมาให้ดู นางวรานิษฐ์ ได้ยืนยันต่อศาลว่าผู้ตายเป็นบุคคลเสื้อเขียวในภาพดังกล่าว

นางวรานิษฐ์  ด้วยว่าไม่พบชายชุดดำหรือผู้ถืออาวุธปืนในที่ๆ พยานและผู้ตายอยู่ และไม่มีใครมาชุมนุม จากการสังเกตว่ารถวิ่งน้อยลงพอมองไปที่ สะพานไทย-เบลเยียม มีทหารยืนอยู่ คิดว่าเหตุที่ผู้ตายถูกยิงเนื่องจากทหารคิดว่าเป็นผู้ชุมนุม ประกอบกับขณะนั้นบริเวณป้ายรถเมล์มีคนอยู่มากด้วย ดังนั้นจึงเชื่อว่าทหารที่มาปฏิบัติหน้าที่สลายการชุมนุมผู้ชุมนุมที่บริเวณ ถ.พระราม 4 เป็นคนยิง

ก่อนหน้านี้ได้เคยฟ้องแพ่ง ที่ศาลแพ่ง รัชดา เรียกค่าเสียหายต่อ ต่อ กระทรวงการคลัง กระทรวงกลาโหมและกองทัพบกเป็นเงิน 1.7 ล้านบาท แต่ขณะนี้อัยการถอนฟ้อง เนื่องจากได้รับการชดใช้ที่ทาง รัฐบาลเยียวยาช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบ ตามเงื่อนไขของ กระทรวงพัฒนาสังคมฯ เป็นเงิน 7 ล้านเศษ โดยมีเงื่อนไขต้องมีการถอนฟ้องดังกล่าว

สำหรับคนที่ช่วยเหลือสามีขณะถูกยิงนั้น ภายหลังทราบว่าเป็นนายเอกสิทธิ์ วงศ์คำมา จากสามีบอกและนายเอกสิทธิ์ได้ไปเยี่ยมที่ รพ.กล้วยน้ำไท หลังจากนั้น อัยการได้นำภาพมุมสูง นางวรานิษฐ์  พิจารณา และยืนยันว่านายเอกสิทธิ์เป็นคนที่สะพายเป้ ในภาพ

ผู้ตายคนสวมเสื้อเขียว ส่วนนายนายเอกสิทธิ์ คนเสื้อคลีมสะพานเป้(ที่มาภาพ m.vanguardia.com.mx)

สำหรับช่วงที่สามีได้รับบาดเจ็บได้ไปแจ้งความที่ สน.ลุมพินี และได้ให้ปากคำเบื้องต้นด้วย วันที่ 26 มิ.ย.53 และมีการแจ้งความอีกทีวันที่ 29 มิ.ย. 53 หลังจากแจ้งความแล้ว ได้ไปทำแผนที่สังเขปและ พนักงานสอบสวนได้ลงไปสถานที่เกิดเหตุพยานได้ให้การกับพนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี และมีการสอบคำให้การสามีที่ รพ.มเหสักข์ ด้วย

นางวรานิษฐ์ เบิกความต่อ ขณะรักษาตัวที่บ้าามีนางสาวอัจฉรา อิงคามระธรและนายอุเชนทร์ เชียงเสน ซึ่งเป็นอาสาสมัครของศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม เม.ย.-พ.ค. 53 (ศปช.) และได้มีการสัมภาษณ์ด้วย ซึ่งอัยการได้นำวิดีโอคลิปดังกล่าวส่งมอบเป็นหลักฐานต่อศาลด้วย

นางวรานิษฐ์ เบิกความเพิ่มเติมว่าอาศัยอยู่บริเวณบ่อนไก่ประมาณ 10 ปี ในวันเกิดเหตุพยานไม่ทราบมาก่อนว่า เจ้าหน้าที่จะปฏิบัติการในพื้นที่ แต่ทราบว่ามีการชุมนุมของ นปช. ที่แยกศาลแดงและราชประสงค์

ก่อนเกิดเหตุผู้ตายมีการรักษาโรคมะเร็งด้วยการผ่าตัด ก.ย.52 และมีการฉายแสงและเคมีบำบัด ม.ค.-เม.ย. 53 โดยมีการรักษาครบมาโดยตลอด แล้วมีการติดตามผลให้หมอตรวจเป็นระยะ พอถูกยิงแล้วพิการเป็นอัมพาต  นั้นให้พยาบาลในชุมชนบ่อนไก่ จากการขออนุเคราะห์ที่ศูนย์อนามัยชุมชนบ่อนไก่ เจาะเลือดแล้วมาส่งให้แพทย์ตรวจที่ รพ.จุฬาฯ ตามกำหนดที่หมอนัดทุกๆ 3 เดือน โดยไม่ได้นำตัวผู้ตายไปตรวจ ผลการตรวจทุกครั้งหมอระบุอยู่ในเกณฑ์ปกติไม่ได้อยู่ในระยะรุกราม

นางวรานิษฐ์ เบิกในตอนท้ายด้วยว่า พยานทราบข่าวการไต่สวนการตายของนายพัน คำกอง โดยมีคำสั่งว่าเป็นการเสียชีวิตจากการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ และมีการการเบิกการใช้กำลังของ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ด้วยเรื่องหลักการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ โดยน.อ.อนุดิษฐ์ ได้มีการตั้งศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์และให้ความช่วยเหลือประชาชน จากนั้นทนายญาติผู้เสียชีวิตได้มีการยื่นเอกสารปากคำของ น.อ.อนุดิษฐ์ ในคดีนายพัน คำกอง ให้ศาลด้วย

วิดีโอคลิปขณะที่ผู้ตายถูกยิงบริเวณหน้าโรงรับจำนำน่ำเลี้ยง ถนนพระราม 4 บ่อนไก่


แผนที่ขณะที่ผู้ตายถูกยิงบริเวณหน้าโรงรับจำนำน่ำเลี้ยง ถนนพระราม 4 บ่อนไก่

View Larger Map

นพ.อำนาจ กุสลานันท์ อายุ 68 ปี ข้าราชการบำนาญ แพทย์ที่ปรึกษานิติเวชศาสตร์ รพ.กล้วยน้ำไท และ รพ.มเหสักข์ ปัจจุบันเป็นแพทย์ทีปรึกษาประจำ รพ.ศิริราช ในฐานะผู้ตรวจชันสูตรบาดแผลผู้ตายก่อนเสียชีวิต ทั้งที่ รพ.กล้วยน้ำไท และ รพ.มเหสักข์ เบิกความว่า ผู้ตายได้เข้ารับการรักษาที่ รพ.กล้วยน้ำไทตั้งแต่วันที่ 14 พ.ค.53 เบิกความว่า ตามผลการชันสูตรบาดแผล พบบาดแผลกระสุนปืนที่บริเวณหลัง ทะลุเข้ากระดูกสันหลังแลประสาทไขสันหลังได้รับบาดเจ็บทำให้อัมพาตที่ขา 2 ข้าง หลังจากผู้ตายได้รับการรักษาที่ รพ.กล้วยน้ำไทเป็นเวลา 22 วัน ได้ย้ายไปรับการรักษาต่อที่ รพ. มเหสักข์ต่อ โดยระยะเวลาที่รักษาที่แน่นอนยังประเมินไม่ได้ ขณะย้ายออกจาก รพ.กล้วยน้ำไท พยานได้ให้ความเห็นไว้ว่าผู้ป่วยได้รับบาดเจ็บเป็นอัมพาตที่ขาทั้ง 2 ข้าง จนไม่สามารถช่วยตัวเองได้

นพ.อำนาจ เบิกความต่อว่าในวันเกิดเหตุช่วงนำตัวนายฐานุทัศน์ ส่ง รพ.กล้วยน้ำไท หากได้รับการรักษาไม่ทันท่วงทีจะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ เนื่องจากกระสุนปืนทะลุเข้าปอด และกระดูกไขสันหลังและประสาทไขสันหลัง พบกระสุนปืนฝังที่สะบักขวา จากบาดแผลกระสุนปืนที่บริเวณหลัง คณะแพทย์ได้ผ่าตัดกระสุนปืนออก และพบบาดแผลกระสุนปืนที่ปอดขวา กระดูไขสันหลังและประสาทไขสันหลังด้วย

หลังจากถูกยิงเป็นอัมพาตที่ขาทั้ง 2 ข้างไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ การนอนนิ่งเป็นเวลานานก็มีโอกาสที่จะเกิดแผลกดทับ และกรณีนี้ผู้ป่วยเกิดแผลกดทับที่บริเวณก้นกบ ซึ่งเมื่อเกิดแผลแล้วสามารถเกิดการติดเชื้อซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้ถึงแก่ความตาย โดยผู้ตายมีการอักเสบติดเชื้อที่บริเวณก้นกบด้วย

สำหรับพยานเป็นหมอมีตำแหน่งเป็นแพทย์ที่ปรึกษานิติเวชศาสตร์ ทั้ง รพ.กล้วยน้ำไทและ รพ.มเหสักข์ กรณีนี้มีหน้าที่เพียงตรวจชันสูตรบาดแผล ส่วนการรักษานั้นเป็นคณะแพทย์ให้การรักษาอีกที โดยบาดแผลที่ชันสูตรนั้นเป็นบาดแผลจากกระสุนปืนเท่านั้น แต่ไม่ได้ตรวจสาเหตุการเสียชีวิต

นพ.อำนาจ เบิกความว่า พยานทราบว่าผู้ตายได้รับการรักษาต่อที่ รพ.มเหสักข์ และเสียชีวิตในเวลาต่อมา จากประวัติการรักษา สาเหตุการตายที่มีการระบุว่าปอดอักเสบ ทั้งนี้สาเหตุสำคัญของการมีอาการปอดอักเสบนั้นมี 2 สาเหตุ คือหนึ่งกระสุตทะลุเข้าปอดหรือสองการที่คนไขนอนนิ่งอยู่เวลานานก็มีผลทำให้เกิดปอดอักเสบได้เช่นกัน

 

นายนนท์นริฐ อัศวสิริมั่นคง อายุ 20 ปี บุตรชายผู้ตาย(กับนางวรานิษฐ์) เบิกความว่าวันที่ 14 พ.ค.53 ตนเอง น้องสาว มารดาและบิดา(ผู้ตาย) ได้ตั้งใจจะเดินทางไปห้างโลตัส พระราม 4 จึงออกจากบ้าน ไปรอรถเมล์ที่บริเวณป้ายรถเมล์ใกล้ร้านเซเว่นอีเลฟเว่นและใกล้โรงรับจำนำ รวมทั้งบริเวณนั้นใกล้ธนาคารไทยพาณิชย์ จากนั้นได้ยินเสียงคลายระเบิดดังขึ้น 1 ครั้ง มารดาพยานได้พาน้องสาวและพยานหลบบริเวณโรงรับจำนำใกล้เคียงนั้นเป็นเวลาประมาณ 10 นาที หลังจากนั้นได้เดินมารวมกับบิดาที่บริเวณป้ายรถเมล์ โดยในจังหวะที่มีเสียงดังนั้นคนที่อยู่บริเวณที่พยานอยู่ได้วิ่งอลหม่าน พยานได้มองไปทางเชิงสะพานไทย-เบลเยียม พบทหารแต่งชุดในเครื่องแบบยืนอยู่ จังหวะนั้นมีเสียงปืนดังขึ้นเป็นระยะจึงได้หลบ ซึ่งเสียงปืนนั้นดังมาจากสะพานไทย-เบลเยียม หลังจากนั้นมารดาของพยานจึงได้บอกให้พยานและน้องสาวกลับบ้าน

นายนนท์นริฐ เบิกความต่อว่า ระหว่างที่เดินทางกลับบ้านนั้น บิดาไม่ได้กลับมาด้วย มารดาพยานได้พยายามโทรศัพท์หาบิดาตลอด แต่ไม่มีใครรับสาย เมื่อถึงบ้านป้าได้โทรศัพท์หามารดาของพยาน ถามด้วยว่าอยู่กันครบหรือไม่ เพราะป้าได้ข่าวว่ามีคนในบ่อนไก่ถูกยิง และหลังจากนั้นทางโรงพยาบาลกล้วยน้ำไท ได้โทรศัพท์มาที่มารดา แจ้งว่าบิดาหรือนายฐานุทัศน์ถูกยิง  พยานได้เดินทางไปที่โรงพยาบาลเมื่อไปถึงได้รับแจ้งว่าบิดาของพยานอาจจะเป็นอัมพาตที่ขา

นายนนท์นริฐ เบิกความด้วยว่าไม่เห็นว่าใครเป็นคนลงมือยิงบิดา ส่วนป้ายรถเมล์ที่พบยานอยู่นั้นห่างจาอสะพานไทย-เบลเยียมประมาณ 200 เมตร ขณะเกิดเหตุบิดาสวมเสื้อโปโลสีเขียว กางเกงสีเทาดำ  คิดว่าเป็นทการยิงบิดาพยานเพราะว่าช่วงนั้นทหารมากระชับพื้นที่จัดการการชุมนุมของกลุ่มผู้ชุมนุมขณะนั้น โดยในที่เกิดเหตุขณะนั้นไม่พบกลุ่มคนแต่งกายชุดดำในกลุ่มประชาชน ก่อนเกิดเหตุบิดาก็ไม่เคยมีศตรูอะไรที่จะมาทำร้ายชีวิต

 

พ.ต.ท.กิตติศักดิ์ ยาคุ้มภัย อายุ 41 ปี รับราชการอยู่กลุ่มงานตรวจอาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืน กองพิสูจน์หลักฐานกลาง เบิกความว่า หัวกระสุนที่ได้จากการผ่าศพผู้ตายซึ่งได้มีการส่งมาให้ตรวจนั้นเป็นกระสุนปืนเล็กกลขนาด .223 (5.56 ม.ม.) ซึ่งสามารถใช้กับปืนเล็กยาว M653 ได้ สำหรับอาวุธปืนเล็กยาว M653 สามารถปรับเปลี่ยนลำกล้องโดยใช้ปืนเล็กกลขนาดเดียวกันได้ เช่น M16 ซึ่ง M16 มีกลากหลาย เช่น M16 A1 หรือ M16 A2 เป็นต้น สำหรับกระสุนซ้อมรบหรือลูกแบงค์(Blank) โดยปกติสากลทั่วไปที่ใช้กันในกรณียิงต่อเนื่องจะต้องใช้ ADAPTER ครอบอยู่บริเวณปลายลำกล้องปืน หน้าที่ของ ADAPTER เพื่อให้มีการคัดปลอกกระสุนออกมาและสามารถบรรจุกระสุนเข้าไปใหม่ ทำให้สามารถยิงได้ต่อเนื่อง

สำหรับลูกแบงค์นั้นเป็นกระสุนที่ไม่มีหัว จะเป็นกระสุนปืนที่มีดินปืนส่งกระสุนบรรจุในตัวกระสุน และปลายกระสุนปืนจะเป็นจีบที่ปิดเอาไว้ ดังนั้นเวลายิงจะมีเสียงดังออกไป ตัว ADAPTER จะครอบปลายลำกล้องปืนเพื่อไม่ให้พลังงานหรือแรงขับเวลายิงแล้วพุ่งออกไปหมด จึงทำให้ลูกเลื่อนของปืนวิ่งถอยหลังและสามารถดึงปลอกกระสุนออกมาเป็นการคัดปลอกกระสุน และเมื่อลูกเลื่อนตีกลับเข้าตำแหน่งเดิมก็จะดันให้ลูกแบงค์เข้าสู่รังเพลิงอีกนัด ดังนั้น ADAPTER จึงทำให้ระบบการทำงานสมดุลครบวงจร

หากไม่มี ADAPTER ก็สามารถยิงลูกแบงค์ได้ แต่จะยิงได้ครั้งละ 1 นัด โดยถ้าต้องการยิงในนัดต่อไปต้องใช้มือดึงคันรั้งลูกเลื่อนถอยหลังก่อน เพื่อทำการคัดปลอกกระสุนออกจากรังเพลิง และเมื่อปล่อยให้ลูกเลื่อนตีกลับไปในตำแหน่งเดิมก็จะเป็นการบรรจุกระสุนนัดต่อไปที่ช่องรังเพลิง

อัยการได้มีการเปิดวิดีโอคลิปในเหตุการณ์เพื่อให้พยานพิจารณาว่ามีการใช้ ADAPTER หรือไม่ โดย พ.ต.ท.กิตติศักดิ์ ยืนยันว่าในวิดีโอคลิปมีเจ้าหน้าที่ทหารถือปืน M16 ที่ไม่ใช้ ADAPTER แต่จากการดูวิดีโอคลิปไม่สามารถบอกได้ว่าใช้กระสุนจริงหรือลูกยางหรือลูกแบงค์

พ.ต.ท.กิตติศักดิ์ เบิกความว่าอาวุธปืนกลขนาด .223 นั้น ถ้าในทางสากลทั่วไปมีระยะหวังผลอยู่ที่ 300-400 เมตร แต่ถ้าเลยจากระยะหวังผลแล้วบางช่วงบางจังหวะก็ยังสามารถทำลายถึงแก่ชีวิตได้เช่นกัน สำหรับกระสุนลูกแบงค์และลูกจางนั้นไม่มีเจตนาทำอันตรายถึงแก่ชีวิต อย่างลูกแบงค์ก็ส่งเสียงสร้างจังหวะในการซ้อม ส่วนกระสุนยางมุ่งเน้นไปที่การปราบการจลาจล

 

สำหรับวันที่ 14 ก.พ. นั้น ศูนย์ข้อมูลผู้ได้รับผลกระทบเหตุสลายชุมนุมเม.ย.-พ.ค.53 (ศปช.) รายงานว่ามีการสืบพยาน 2 ปากสุดท้าย ประกอบด้วย พ.ต.ท.สาธิต ภักดี พนักงานสอบสวน สน.ราษฎร์บูรณะ และ นพ.ปิยะ ปรีดียานนท์ แพทย์ประจำโรงพยาบาลมเหสักข์

พ.ต.ท.สาธิต ภักดี เบิกความว่าเดิมเขารับราชการอยู่ที่ สน.บางรักตั้งแต่ปี 2540- ธ.ค. 2555 มีหน้าที่สืบสวนสอบสวนคดีอาญาที่เกิดขึ้นในพื้นที่บางรัก แล้วจึงได้ย้ายไป สน.ราษฎร์บูรณะ 6 ธ.ค. 55 ซึ่งในช่วงที่ยังรับราชการที่สน.บางรักอยู่นั้น ปลายเดือน ก.พ.55 นางวรานิษฐ์ อัศวสิริมั่นคงได้เข้าแจ้งความที่ สน.บางรัก กับ พ.ต.ท.สุรพล ล้วนประเสริฐ แจ้งความว่า เมื่อวันที่ 14 พ.ค.53 เวลา 12.20-13.06 น. นายฐานุทัศน์ได้ถูกกระสุนปืนจากเจ้าหน้าที่ทหารยิง โดยวันเกิดเหตุ เวลาประมาณเที่ยงเศษ  นายฐานุทัศน์ นางวรานิษฐ์และลูกทั้งสองคนออกจากบ้านเพื่อที่จะไปห้างโลตัส พระราม 4 จึงได้ออกไปรอรถประจำทางที่ป้ายรถหน้าธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาลุมพินี ซึ่งใกล้ๆ กันนั้นมีโรงรับจำนำและร้านเซเว่นเอเลฟเวนอยู่ด้วย พวกเธอรอรถอยู่สักพักไม่เห็นว่ามีรถประจำทางมาเธอจึงชะโงกมองไปทางสะพานไทย-เบลเยี่ยม เห็นมีทหารอยู่บริเวณสะพาน เธอจึงคิดว่าที่รถไม่มาก็เนื่องมาจากมีทหารปิดถนนอยู่  จากนั้นได้มีเสียงปืนดังขึ้น นายฐานุทัศน์จึงให้นางวรานิษฐ์และลูกๆ หลบเข้าเซเว่นเอเลฟเว่น  แต่เธอคิดว่ากลับเข้าบ้านเลยจะดีกว่าจึงได้บอกลูกๆ ให้กลับเข้าบ้านเลย เมื่อกลับถึงบ้านเวลาประมาณ 13.00 น. เศษ ทางโรงพยาบาลกล้วยน้ำไทได้โทรศัพท์มาแจ้งว่านายฐานุทัศน์ถูกยิง หลังจากทำการรักษาที่โรงพยาบาลโรงพยาบาลกล้วยน้ำไทจึงได้ย้ายไปโรงพยาบาลมเหสักข์

นายฐานุทัศน์ได้เสียชีวิตในวันที่ 23 ก.พ.55 เวลา 22.00 น.เศษ ศพของนายฐานุทัศน์ได้ถูกส่งไปที่สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อชันสูตรหาสาเหตุการเสียชีวิต แพทย์ได้ระบุสาเหตุการเสียชีวิตว่าระบบไหลเวียนโลหิตและหายใจล้มเหลว และพบหัวกระสุน พ.ต.ท.สุรพลจึงได้เสนอไปทางบก.น. 6 ทางบก.น.6 ได้มีคำสั่ง 45/55 แต่งตั้งพนักงานสอบสวนเพื่อทำการสืบสวนสอบสวนในคดีนี้ซึ่งมีเขาเป็นหนึ่งในนั้น หัวกระสุนที่พบในศพได้นำส่งกองพิสูจน์หลักฐาน ผลการพิสูจน์พบว่าเป็นหัวกระสุนขนาด .223(5.56 มม.)

พ.ต.ท.สาธิต เบิกความว่าตัวเองเป็นพนักงานสอบสวนคดี ช.34/2553 นายบุญมี เริ่มสุข ซึ่งถูกยิงวันที่ 14 พ.ค.53 เวลา 16.00 น. จึงได้มีการอ้างพยานจากสำนวนการสอบสวนนายบุญมีเข้ามาในคดีของนายฐานุทัศน์ด้วยซึ่งทางพนักงานสอบสวนได้ลงความเห็นในกรณีการเสียชีวิตของนายบุญมีว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ทหาร

พ.ต.ท.สาธิต เบิกความสรุปถึงการสอบสวนคดีนี้ว่า เมื่อวันที่ 12 มี.ค.53 กลุ่ม นปช.ได้มีการชุมนุมที่สะพานผ่านฟ้า ถนนราชดำเนิน เพื่อเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุบสภา วันที่ 3 เม.ย. ได้มีผู้ชุมนุมส่วนหนึ่งแยกไปตั้งเวทีที่แยกราชประสงค์  วันที่ 7 เม.ย.53 นายอภิสิทธิ์ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ได้มีการออกคำสั่งพิเศษที่ 1/53 ตั้งศอฉ. และออกคำสั่งพิเศษที่ 2/53 แต่งตั้งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นผู้อำนวยการ ศอฉ. และ ศอฉ.ได้ออกคำสั่ง 1/2553 ให้หน่วยงานต่างๆ เข้ามาปฏิบัติงานที่ ศอฉ. วันที่ 10 เม.ย.53 ศอฉ. ได้สั่งการเจ้าหน้าที่ทหารให้ขอคืนพื้นที่ ได้เกิดการผลักดันและปะทะกันเกิดขึ้น มีประชาชนถูกยิงบาดเจ็บและเสียชีวิต ส่วนทหารได้ถูกระเบิดเสียชีวิต  14 เม.ย.53 ผู้ชุมนุมได้ย้ายการชุมนุมไปที่แยกราชประสงค์เพียงแห่งเดียว  26 เม.ย. มีคำสั่งเจ้าหน้าที่ตั้งด่านแข็งแรงรอบราชประสงค์

14 พ.ค. เวลา 11.00 น. ศอฉ.ได้มีคำสั่งทางวิทยุ ให้เข้าขอคืนพื้นที่ถนนพระราม 4 ตั้งแต่แยกวิทยุมุ่งไปทางทางด่วนพระราม 4 โดยอยู่ในความรับผิดชอบของกองพันทหารม้าที่ 5 รักษาพระองค์ ซึ่งอยู่ในการบังคับบัญชาของผู้บังคับกองพัน พ.อ.เพชรพนม โพธิ์ชัย โดยเริ่มผลักดันผู้ชุมนุมในช่วงเที่ยง  จากแยกวิทยุไปทางทิศทางด่วนพระราม 4 มาจนถึงปั๊มปตท. หน้าซอยปลูกจิต  ซึ่งในช่วงนั้นยังไม่มีการชุมนุม ร้านค้ายังคงเปิดค้าขายตามปกติ จนช่วงเที่ยงเศษๆ ถึงมีผู้ชุมนุมมาเพิ่มขึ้นบริเวณใต้สะพานลอยหน้าธนาคารไทยพาณิชย์  ทางฝ่ายทหารได้มีการตั้งแถวหน้ากระดาน ใช้ปืนยิงทั้งยิงขึ้นฟ้าและเล็งใส่ผู้ชุมนุม โดยใช้ทั้งปืน M653 และปืนลูกซอง ซึ่งปืน M653 เป็นปืนที่ใช้กระสุนขนาด .223 เป็นปืน M16 รุ่นหนึ่ง ในขณะที่ทหารปฏิบัติการอยู่นั้น

มีพยานนักข่าวชื่อนายอนิรุทธิ์ ชวางกูรเดินตามหลังทหารเพื่อถ่ายวิดีโอ  นายอุเชนทร์ เชียงเสน ซึ่งอาศัยอยู่ที่คอนโดในบริเวณนั้นซึ่งได้ถ่ายภาพเจ้าหน้าที่ทหารขณะกำลังทำการผลักดันผู้ชุมนุม และเขายังได้ไปสัมภาษณ์นายฐานุทัศน์ที่บ้านพร้อมกับ น.ส.อัจฉรา อิงคามระธร  และได้ถ่ายวิดีโอการสัมภาษณ์ไว้ จากการสัมภาษณ์ได้ความว่า ตอนที่นายฐานุทัศน์อยู่ในที่เกิดเหตุนั้น ได้มีเสียงปืนดังขึ้นเขาจึงหันหลังวิ่งหนีจากนั้นเขาก็หน้ามืดไป และได้มีพยานคนหนึ่งเข้าไปช่วยอุ้มนายฐานุทัศน์ไปขึ้นรถตู้เพื่อส่งโรงพยาบาลคือนายเอกสิทธิ์ วงศ์คำมา โดนนายเอกสิทธิ์ได้ให้การว่า ตอน 9.00 น. ได้ไปทำงานตกแต่งบ้านหลังหนึ่งในสาทร ซอย 1  แต่เนื่องจากมีการชุมนุมเจ้าของบ้านจึงให้เขากลับ เขาจึงเดินออกมาจนถึงบ่อนไก่และได้พบนายฐานุทัศน์ถูกยิงเขาจึงได้ช่วย 

จากการตรวจสถานที่เกิดเหตุของ พ.ต.ท.วัชรัศมิ์ เฉลิมสุขสันต์ พบรอยกระสุน 61 รอย มีทิศทางจากแยกวิทยุไปทางทางด่วนพระราม 4 ซึ่งมีรอยที่เกิดจากกระสุนขนาด .223(5.56 ม.ม.) รวมอยู่ด้วย ซึ่งเป็นกระสุนขนาดเดียวกับที่พบในศพของนายฐานุทัศน์ มีรอยกระสุนไม่ทราบขนาดจำนวน 2 รอย มีทิศทางสวนกันคือจากทางด้านทางด่วนพระราม 4 ไปทางแยวิทยุ  จากการตรวจสอบเฉพาะจุดที่นายฐานุทัศน์ถูกยิงพบรอยกระสุน 15 รอย มีรอยกระสุนที่เกิดจากกระสุนขนาด .223 อยู่ด้วย โดยมีทิศทางจากแยกวิทยุไปทิศทางทางด่วนพระราม 4  

พนักงานสอบสวนได้รับปืน M653 จำนวน 40 กระบอกจากทางฝ่ายทหารเพื่อทำการตรวจสอบเปรียบเทียบกับหัวกระสุนของกลางที่พบในศพของนายฐานุทัศน์ ผลการตรวจพบว่าหัวกระสุนของกลางไม่ตรงกับปืนกระบอกใดเลย ส่วนสาเหตุอาจเนื่องมาจาก 1. ปืนที่ฝ่ายทหารนำมาให้ตรวจสอบเป็นปืนที่ทหารเลือกนำมาให้เองหลังเกิดเหตุการณ์เป็นเวลาปีเศษ ซึ่งอาจจะมีการเปลี่ยนลำกล้องไปแล้ว 2. ไม่มีหลักฐานยืนยันได้ว่าปืนที่นำมาส่งตรวจนั้นเป็นปืนกระบิกเดียวกับที่ใช้ในการปฏิบัติการในวันเกิดเหตุ 3. หลังมีการยิงไปแล้วปืนก็ถูกทำความสะอาดไปแล้ว  ทำให้รอยบนหัวกระสุนที่ยิงเปรียบเทียบไม่ตรงกับหัวกระสุนของกลาง

จากการสอบสวนไม่พบว่าในวันเกิดเหตุมีเจ้าหน้าที่ทหารถูกยิงและไม่มีพยานคนใดพบเห็นผู้ชุมนุมมีอาวุธปืน พบเพียงหนังสติ๊ก พลุ ตะไล  และจากการสืบสวนสอบสวนในการเสียชีวิตของนายบุญมี มีการสอบปากคำ พ.อ.เพชรพนม ซึ่งได้ให้การว่าในการปฏิบัติการมีการใช้กระสุนซ้อมรบและกระสุนยางเท่านั้น  แต่คำให้การแย้งกับการตรวจสถานที่เกิดเหตุซึ่งพบร่องรอยกระสุนจริงจากทางด้านแยกวิทยุไปทางด่วนพระราม 4

พ.ต.ท.สาธิต ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนในทั้ง 2 คดี จึงได้นำสำนวนสอบสวนเอกสารพยานหลักฐานจากคดีของนายบุญมีมาไว้ในสำนวนคดีนายฐานุทัศน์ด้วย โดยปกติในการสืบสวนจะมีการประสานงานกับฝ่ายเจ้าหน้าที่ทหารโดยทางผู้บังคับบัญชาในกองบัญชาการตำรวจนครบาลจะทำหนังสือแจ้งกับทางฝ่ายผู้บังคับบัญชาทางฝ่ายทหารเพื่อมาให้ปากคำในการสอบสวน แต่ในการสืบสวนคดีนี้ไม่มีเจ้าหน้าที่ทหารมาให้ปากคำ  และไม่ทราบว่าผู้บังคับบัญชาได้มีการทำหนังสือแจ้งไปหรือไม่

 

พยานปากสุดท้ายของการไต่สวน น.พ. ปิยะ ปรีดียานนท์ เบิกความว่า ได้ทำการรักษานายฐานุทัศน์ราวเดือนพฤศจิกายน 54 ซึ่งมารับการรักษาด้วยมีอาการไข้ ไอ เหนื่อยและซึมลง  ซึ่งจากเวชระเบียนลงประวัติว่าเขาได้ถูกยิงที่ทรวงอก และเข้าโรงพยาบาล 2 ครั้ง ก่อนที่เขาจะได้ทำการรักษา ซึ่งเขาไม่ได้เป็นผู้ตรวจรักษา ซึ่งครั้งแรกประมาณเดือน มิ.ย.53 และอีกครั้งเดือนต.ค. 54  โดยในครั้งแรกเป็นการถูกยิงมีเลือดออกในช่องอก และมีการกดทับเส้นประสาท ทำให้ร่างกายครึ่งร่างเป็นอัมพาต  ซึ่งการเป็นอัมพาตเกิดจากการที่ไขสันหลังช่วงระดับอกได้รับบาดเจ็บ

ครั้งที่ 2 เดือนต.ค. 54 มีอาการปอดอักเสบ และแขน 2 ข้างอ่อนแรง ในการรักษามีการตรวจร่างกายและ X-ray  และเมื่อตรวจเพิ่มพบว่ากระดูกคอมีเลือดออกกดทับไขสันหลังซึ่งอยู่ในระดับคอเพิ่มด้วย แพทย์ได้ทำการรักษาด้วยการผ่าตัดเพื่อเอาเลือดออกที่กดทับออก แต่ผลการรักษายังคงมีอาการอ่อนแรงอยู่ จากนั้นได้กลับบ้านไป 2 สัปดาห์ และกลับมาอีกครั้งด้วยอาการไข้ ไอและเหนื่อย เนื่องจากปอดอักเสบ โดยพบจากการตรวจร่างกายและ  X-RAY ที่ปอด ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนที่ได้ทำการรักษาได้มีการติดเชื้อที่ปอดตลอดการรักษา ซึ่งปอดอักเสบก็คือการที่ปอดมีการติดเชื้อ

ซึ่งก่อนที่นายฐานุทัศน์จะมารักษาครั้งหลังสุดได้มีการรักษาอาการที่โรงพยาบาลกลางก่อนในช่วงวันที่ 12-19 พ.ย. ซึ่งได้มีการใช้เครื่องช่วยหายใจอยู่ก่อนและน้ำในปอดแล้ว จึงถูกพามารักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลมเหสักข์ วันที่รับมานั้นมาด้วยปอดอักเสบ และมีโรคเก่าคือกระดูกคอทับเส้นประสาททำให้แขนขาอ่อนแรง แต่ไม่ทราบว่าเกี่ยวข้องอย่างไรกับการที่ไขสันหลังช่วงอกได้รับบาดเจ็บอย่างไร เนื่องจากไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญและแพทย์ที่ทำการผ่าตัดก็ไม่ได้ลงบันทึกสาเหตุที่มีเลือดออกมากดทับเส้นประสาทที่ไขสันหลังระดับคอไว้ในเวชระเบียนด้วย ซึ่งการที่ไขสันหลังระดับคอมีการกดทับทำให้กล้ามเนื้อที่ช่วยในการหายใจอ่อนแรงเพราะเส้นประสาทไขสันหลังระดับคอเป็นตัวควบคุมกล้ามเนื้อกระบังลม การกดทับทำให้ไม่มีการสั่งงานและทำให้กระบังลมไม่ทำงาน

ก่อนที่นายฐานุทัศน์จะเสียชีวิตได้มีการให้ยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อปอดอักเสบ และใส่เครื่องช่วยหายใจ ซึ่งมีช่วงการติดเชื้อในปอดมีอาการดีขึ้นจึงได้ลองให้หายใจด้วยตนเองไม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ แต่มีอาการเหนื่อยเนื่องจากกล้ามเนื้ออ่อนแรง ซึ่งพิสูจน์จากการที่นายฐานุทัศน์ไม่สามารถหายใจได้เองจากการนำเลือดมาตรวจแล้วพบว่ามีคาร์บอนไดออกไซด์อยู่มาก นอกจากอาการต่างๆ ที่กล่าวมามีเพียงอาการซึมเศร้าด้วยเท่านั้น

สาเหตุการเสียชีวิตของนายฐานุทัศน์คือปอดอักเสบจากการที่กล้ามเนื้ออ่อนแรงซึ่งเกิดจากกระดูกไขสันหลังระดับคอถูกดทับ และพยานเป็นผู้ออกหนังสือรับรองการตายว่าเสียชีวิตจากปอดอักเสบ  และพยานได้อธิบายเพิ่มเติมถึงการที่ผลการชันสูตรลงว่าเสียชีวิตจากระบบไหลเวียนโลหิตและหายใจล้มเหลวว่า   ส่วนระบบไหลเวียนโลหิตล้มเหลว คือหัวใจและหลอดเลือดล้มเหลวจะมีอาการชีพจรลดลงหัวใจล้มเหลว ซึ่งอาจจะเกิดจากโรคหัวใจหรือในอวัยวะอื่นอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นอาการปกติก่อนตาย ปอดอักเสบนั้นเป็นโรคซึ่งหากเป็นมากๆ ก็จะมีภาวะหายใจล้มเหลว ซึ่งผู้ป่วยปอดอักเสบมี 10 % ที่เสียชีวิต เมื่อเสียชีวิตระบบไหลเวียนโลหิตก็ต้องล้มเหลว ในกรณีนี้ปอดอักเสบเป็นเหตุให้ระบบไหลเวียนโลหิตและหายใจล้มเหลวจึงเป็นสาเหตุแท้จริงที่ทำให้นายฐานุทัศน์เสียชีวิต ปอดอักเสบเป็นโรคทั่วไปที่คนอายุมากและภูมิต้านทานต่ำเป็น แต่ในกรณีนี้การเป็นกล้ามเนื้ออ่อนแรงทำให้เป็นปอดอักเสบ

นายฐานุทัศน์มีโรคประจำตัวคือมะเร็งท่อน้ำดีอยู่ก่อนแล้ว ตั้งแต่ มิ.ย. 52 ซึ่งรับการรักษาที่โรงพยาบาลจุฬาฯ ซึ่งจะมีอาการดีซ่าน ทางโรงพยาบาลจึงได้มีการใส่ลวดเพื่อขยายท่อน้ำดีเพื่อบรรเทาอาการ ทางโรงพยาบาลจุฬาฯ ได้ส่งตัวให้โรงพยาบาลมเหสักข์ทำการ X-RAY พบว่ามีเซลล์มะเร็งลงเหลือในตับซึ่งทางโรงพยาบาลจุฬาฯ ก็ได้ทราบผลการ X-RAY นี้ด้วย ซึ่งการลุกลามของมะเร็งนั้นสามารถคาดการณ์ได้ว่าจะมีการลุกลามแน่นอนแต่คาดเดาไม่ได้ว่าเมื่อไหร่ ซึ่งบางรายอยู่ได้เป็นปีหรือหลายปีแล้วแต่สภาพคนไข้ ซึ่งมะเร็งในท่อน้ำดีอาจจะทำให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือดหรือลุกลามไปอวัวะสำคัญอื่นๆ ให้อวัยวะหยุดทำงาน แต่ในรายนี้ไม่ใช่สาเหตุทำให้เสียชีวิตและการตรวจศพแม้จะพบมะเร็งในตับแต่ไม่ได้มีภาวะตับวายจากมะเร็ง ไม่มีอาการดีซ่าน และไม่พบมะเร็งในอวัยวะอื่นๆ

น.พ. ปิยะ เบิกความต่อว่า ในกรณีทั่วไปหากไขสันหลังช่วงอกมีการกดทับก็จะทำให้ร่างกายส่วนต่ำกว่าลงไปเป็นอัมพาต และหากไขสันหลังระดับคอมีการกดทับก็จะทำให้แขนและกล้ามเนื้อกระบังลมอ่อนแรงและยังทำให้ช่วงต่ำลงไปกว่านั้นอ่อนแรงด้วยเช่นกันเนื่องจากสัญญาณจากสมองจะลงไปตามเส้นประสาทไขสันหลัง  แต่การที่ไขสันหลังช่วงอกมีการกดทับก็อาจจะส่งผลต่อกล้ามเนื้อทรวงอกทำให้หายใจลำบากได้เช่นกัน แต่ในกรณีนี้เมื่อดูประวัติการรักษาที่มีการบาดเจ็บที่ไขสันหลังช่วงอกไม่ได้ส่งผลต่อการหายใจเนื่องจากมีการหายใจได้ตามปกติมาตลอดก่อนที่จะมีการกดทับที่ไขสันหลังระดับคอ  น.พ. ปิยะ มีสันนิษฐานว่ามีปัญหาการหายใจตั้งแต่ช่วงที่มีอาการแขน 2 ข้างอ่อนแรงและมีเลือดออกที่คอแล้ว

หลังจากสืบพยานเสร็จสิ้นแล้ว ศาลได้นัดแถลงปิดคดี 1 มี.ค.56 และนัดฟังคำสั่งวันที่ 27 มี.ค.56 นี้

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เซอร์ไพรส์! พ่อพลทหารเหยื่อกระสุน 28 เม.ย.53 ถอนทนาย-ถอนการเป็นผู้ร้องร่วม

Posted: 14 Feb 2013 09:47 AM PST

 

14 ก.พ. 56 ศาลอาญา รัชดาภิเษก เวลา 9.40 น. ศาลนัดไต่สวนชันสูตรพลิกศพ คดีหมายเลขดำที่ อช.4/2555 ซึ่งอัยการร้องขอให้ศาลไต่สวนการเสียชีวิตของพลทหาร ณรงค์ฤทธิ์ สาละ ขณะกำลังปฏิบัติหน้าที่ชุดลาดตระเวนเคลื่อนที่เร็ว เพื่อระงับเหตุการณ์การปะทะกันของตำรวจ-ทหารกับผู้ชุมนุม นปช. ที่บริเวณอนุสรณ์สถานแห่งชาติ เขตบางเขน เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 53

ก่อนการไต่สวน ธวัชชัย สาละ บิดาของผู้เสียชีวิตได้ยื่นคำร้องขอถอนการแต่งตั้งนายเจษฏา จันทร์ดี และ พีระ ลิ้มเจริญ เป็นทนายความ โดยอ้างว่า ไม่รู้จักกับทนายความทั้งสองคนมาก่อน สร้างความประหลาดใจให้กับอัยการ และทนายความทั้ง 2 คนอย่างมาก ซึ่งศาลอนุญาตตามคำร้อง ทั้งนี้ นายเจษฎาและทีมทนายความ เป็นทนายฝั่งผู้เสียหายในกรณีการไต่สวนการตายหลายราย เช่น ฮิโรยูกิ มูราโมโต ช่างภาพญี่ปุ่น,  วสันต์ ภู่ทอง, ทศชัย เมฆงามฟ้า, จรูญ ฉายแม้น, สยาม วัฒนานุกูล ซึ่งทั้งหมดเสียชีวิตในการสลายการชุมนุมวันที่ 10 เม.ย.53 

ธวัชชัย บิดาพลทหารณรงค์ฤทธิ์ให้การว่า ตนเองมีอาชีพทำนา บ้านอยู่ใน อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ จดทะเบียนสมรสกับมารดาของผู้เสียชีวิต โดยผู้เสียชีวิตเป็นบุตรชายคนโต จบการศึกษาชั้น ปวส. สาขาช่างไฟฟ้ากําลังที่ จ.บุรีรัมย์ วันที่ 3 พ.ย. 52 ผู้เสียชีวิตได้รับการคัดเลือกเข้ารับราชการทหารที่ อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ และถูกย้ายมาที่ค่ายสุรสีย์ จ.กาญจนบุรี ในเวลาต่อมา ก่อนหน้านี้ติดต่อกับผู้เสียชีวิตเสมอ แต่ในวันเกิดเหตุไม่ทราบมาก่อนว่า ผู้เสียชีวิตถูกย้ายเข้ามาประจำการอยู่ในกรุงเทพ

ธวัชชัยเบิกความต่อว่า วันที่ 28 เม.ย. 53 เวลาประมาณ 15.00-16.00 น. ขณะที่ตนเองยู่ในบ้านพัก วรรณาพร ชุมเสนา น้องสาวของภรรยาโทรศัพท์มาแจ้งข่าวว่า บุตรชายของตนเองถูกยิงเสียชีวิตที่หน้าอนุสรณ์สถานแห่งชาติ เขตบางเขน กรุงเทพ หลังจากนั้น 2 วันตนและญาติจึงเดินทางมาที่วัดพระศรีมหาธาตุ เขตบางเขน เพื่อมาร่วมงานฌาปนกิจศพของผู้เสียชีวิต โดยในงานฌาปนกิจศพ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. มอบเงินเยียวยาให้กับครอบครัวของตนเองเป็นเงินกว่า 100,000 บาท

นอกจากนี้ครอบครัวของตนเองยังได้รับเงินเยียวยาจาก สุเทพ เทือกสุบรรณ อีก 200,000 บาท และกองพลทหารราบที่ 9 (พล.ร.9) ซึ่งเป็นหน่วยทหารต้นสังกัดของผู้เสียชีวิตยังมอบเงินช่วยเหลือเป็นรายเดือนให้กับตนเองและภรรยารายละ 6,300 บาทไปตลอดชีวิต และยังสัญญาที่จะรับบุตรสาวซึ่งขณะนี้กำลังศึกษาอยู่ใน ม.ราชภัฏสวนสุนันทา คณะพยาบาลศาสตร์ เข้ารับราชการในตำแหน่ง "ร.ต." ด้วย ขณะนี้บุตรสาวของตนเองได้รับทุนการศึกษาเดือนละ 10,000 บาทจาก พล.ร.9 จนกว่าจบการศึกษา

ต่อมาทหารนำศพของบุตรชายของตนเองกลับมาบำเพ็ญกุศลที่วัดแถวบ้านของครอบครัวของตนเองทางเครื่องบิน และมีการพระราชทานเพลิงศพให้กับผู้เสียชีวิต ส่วนตัวไม่ทราบว่าใครเป็นคนสังหารบุตรชายของตนเอง แต่ตนเองไม่คิดติดใจที่จะดำเนินคดีใดๆ ต่อผู้กระทำ

นายชัยพร คำทองทิพย์ เบิกความว่า มีอาชีพรับจ้างทั่วไป บ้านอยู่ใน อ.ยางคำ จ.ขอนแก่น วันที่ 28 เม.ย. 53 ทำงานเป็นช่างเชื่อมโลหะอยู่ในร้านจำหน่ายมุ้งลวดแห่งหนึ่งซึ่งเป็นของญาติ แถว ถ.ปรีดี พนมยงค์ เขตวัฒนา โดยเพิ่งทำงานที่นี่ได้เพียง 7-8 วันเท่านั้น ช่วงเช้าพี่สาวของตนเองโทรศัพท์มาสั่งให้ไปดูแลมารดาซึ่งเข้าร่วมการชุมนุม นปช. ตนจึงซ้อนมอเตอร์ไซด์ของเพื่อนซึ่งทำงานอยู่ในร้านข้างๆ ไปร่วมการชุมนุมที่สี่แยกราชประสงค์ เวลาประมาณ 8.00 น. จากนั้นพยายามเดินตามหามารดา แต่หาไม่พบ แต่พบเพื่อนบ้านของมารดาจึงสอบถาม แต่ก็ไม่มีผู้ใดพบเห็นมารดา เมื่อ นปช. เคลื่อนขบวนออกจากสี่แยกราชประสงค์ ตนเองจึงเข้าร่วมการเดินขบวน โดยอาศัยรถกระบะของผู้ชุมนุมไปด้วย

เวลา 11.00 น. ขบวนผู้ชุมนุมเดินทางมาทาง ถ.วิภาวดีรังสิต ฝั่งขาออก เมื่อนั่งรถกระบะมาถึงปั้มก๊าซแห่งหนึ่งก็ไม่สามารถเดินขบวนต่อไปได้ เนื่องจากตำรวจ-ทหารตั้งบังเกอร์ แผงเหล็ก และรั้วลวดหนามขวางถนนไว้ ตนเองจึงลงจากรถมายืนดูเหตุการณ์อยู่บนฟุตบาทหน้าปั้มก๊าซ ช่วงนั้นสังเกตว่า ตำรวจ-ทหารตั้งบังเกอร์ แผงเหล็ก และรั้วลวดหนามขวางเฉพาะถนนฝั่งขาออกเท่านั้น ส่วนฝั่งขาเข้านั้นไม่มีการตั้งบังเกอร์ขัดขวางแต่อย่างใด และยังสังเกตอีกว่า ตำรวจยืนเรียงแถวอยู่ด้านหน้าของบังเกอร์ โดยมีเพียงโล่-กระบองเท่านั้น แต่ทหารยืนอยู่หลังบังเกอร์โดยมีอาวุธหลายชนิด เช่น ปืนลูกซองยาว และ M16

ต่อมามีการตะโกนด่าทอจากทั้ง 2 ฝ่าย ฝั่งผู้ชุมนุมมีการยิงหนังสติ๊ก และขว้างปาสิ่งของ เช่น ขวดน้ำพลาสติก และก้อนหินใส่ตำรวจ-ทหาร ต่อมาตนก็ได้ยินเสียงปืนมาจากฝั่งตำรวจ-ทหาร และเห็นทหารยิงปืนใส่ผู้ชุมนุม

ผู้ชุมนุมบางคนถูกยิงที่ไหล่ และแขนจนเป็นรอยช้ำ จึงเข้าใจว่าผู้ชุมนุมถูกยิงด้วยกระสุนยาง ต่อมาทหารเริ่มกระจายกำลังเพื่อโอบล้อมผู้ชุมนุม ช่วงนั้นได้ยินเสียงปืนตลอดเวลา บางครั้งได้ยินเป็นชุด บางครั้งได้ยินเป็นครั้งๆ และเห็นทหารอยู่บนสะพานลอย และสะพานขึ้นทางยกระดับดอนเมือง บนสะพานลอยมีแผ่นป้ายโฆษณาปิดอยู่บนรั้ว ตนเองเห็นทหาร 2-3 นาย นอนราบกับพื้น และเล็งปืน M16 มาที่ผู้ชุมนุม

ช่วงบ่ายมีผู้หญิงถูกยิงที่ขาซ้ายจนเลือดไหล ตนจึงรีบวิ่งเข้าไปช่วยเหลือและนำส่งโรงพยาบาล ต่อมามีผู้ชายถูกยิงที่แขนจนเลือดออกบนเกาะกลางถนนจึงวิ่งเข้าไปช่วยเหลือผู้ชายคนนั้นอีก แต่ตนถูกยิงเข้าที่กรามด้านขวา ขณะนั้นรู้สึกชา แต่ไม่มีเลือดไหล เห็นทหารสวมชุดพรางพันผ้าพันคอสีฟ้า และถือปืนลูกซองหลายคนยืนอยู่ฝั่งตำรวจ-ทหาร ซึ่งห่างจากตนเองประมาณ 20 เมตร ในตอนนั้นเสียงดังมาจากทุกทิศทาง และเห็นผู้ชุมนุมซึ่งอยู่ด้านหลังขว้างปาสิ่งของ หลังจากนั้นก็เริ่มมีเลือดไหลออกมาจากบาดแผลที่กรามจึงวิ่งไปหารถมูลนิธิซึ่งจอดอยู่ในบริเวณนั้น รถมูลนิธิจึงพาตนเองไปส่งโรงพยาบาลภูมิพลเพื่อทำการรักษา เมื่อแพทย์ตรวจบาดแผลจึงบอกว่า กระดูกขากรรไกรหัก และไม่สามารถผ่าตัดเอากระสุนออกได้ เนื่องจากกระสุนเหล่านี้อยู่ใกล้กับเส้นประสาท ตนต้องพักรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 6 วัน ก่อนถูกส่งตัวกลับไปรักษาตัวต่อที่บ้านพักใน จ.ขอนแก่น ทุกวันนี้ยังมีกระสุนฝังอยู่กราม 1 นัด และคออีก 1 นัด

เขาระบุด้วยว่า ต่อมาได้รับเงินเยียวยาจากกระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์จำนวน 60,000 บาท และสำนักพระราชวัง 5,000 บาท ส่วนการเสียชีวิตของพลทหาร ณรงค์ฤทธิ์ สาละ นั้นไม่ทราบว่าใครเป็นคนยิงเขา เนื่องจากเวลานั้นตนเองถูกส่งไปรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล

หลังการไต่สวนช่วงเช้าเสร็จสิ้น นายธวัชชัยบิดาผู้ตายได้ขอให้ศาลถอนการเป็น "ผู้ร้องร่วม" ในคดีนี้ที่เขาได้ยื่นคำร้องไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งศาลอนุญาตตามคำร้อง ส่งผลให้เขาเป็นเพียง "พยาน" ในคดีนี้เท่านั้น ไม่ใช่ผู้ร้องร่วมอีกต่อไป

ช่วงบ่ายพยานอีกคนหนึ่งขึ้นเบิกความ คือ นายไพโรจน์ ไชยพรม ให้การว่า ปัจจุบันว่างงาน บ้านอยู่ใน อ.เมืองนครพนม จ.นครพนม ก่อนวันที่ 28 เม.ย. 53 ทำงานเป็นลูกจ้างในร้านข้าวแกงแห่งหนึ่ง แถว ถ.สีลม และเคยเดินทางเข้าร่วมการชุมนุม นปช. หลายครั้งที่สี่แยกราชประสงค์ และ ถ.สีลม วันที่ 28 เม.ย. 53 ได้เข้าร่วมชุมนุมตั้งแต่เช้าโดยขึ้นรถกระบะของผู้ชุมนุมเดินทางไปถนนวิภาวดีรังสิตเพื่อช่วยเหลือผู้ชุมนุมที่ถูกตำรวจ-ทหารสกัดกั้นอยู่ เมื่อถึงที่เกิดเหตุเห็นทหารสกัดกั้นผู้ชุมนุมไม่ให้ผ่าน และมีการปะทะกันของทั้ง 2 ฝ่าย ตนจึงลงจากรถกระบะเพื่อดูการปะทะ เห็นทหารใส่ชุดลายพราง และพันผ้าพันคอ แต่ไม่แน่ใจเป็นสีอะไร และไม่แน่ใจว่ามีตำรวจอยู่ในที่เกิดเหตุหรือไม่ เนื่องจากขณะนั้นเกิดความชุลมุน นอกจากนี้ยังเห็นผู้ชุมนุมขว้างปาก้อนหินใส่ทหาร และเห็นทหารยิงปืนลูกซองใส่ผู้ชุมนุม

ต่อมามีผู้ชุมนุมถูกยิงที่แขนบนเกาะกลางถนนจนเลือดไหลจึงวิ่งเข้าไปช่วยเหลือ แต่ก็ถูกยิงสกัดจากทหาร ขณะนั้นได้ยินเสียงปืนหลายนัดจึงต้องวิ่งไปหลบอยู่หลังเสาตอหม้อของทางยกระดับดอนเมือง ไม่กี่นาทีต่อมาตนก็ถูกยิงที่ขาซ้ายจนล้มลงกับพื้น โดยเป็นการยิงมาจากฝั่งทหาร แต่ไม่เห็นหน้าของผู้ยิง ระหว่างนั้นมีผู้ชุมนุมพยายามจะเข้ามาช่วย แต่ก็ถูกยิงสกัดไว้จนไม่สามารถเข้ามาได้ ตนจึงแข็งใจลุกขึ้น โดยหันหลังให้กับฝั่งทหาร และพยายามวิ่งหลบหนีออกมา แต่ก็ถูกยิงซ้ำจากด้านหลังทะลุท้องจนล้มลงอีกครั้ง ระหว่างนั้นมีผู้ชุมนุมเข้ามาช่วยเหลืออุ้มตนออกจากที่เกิดเหตุก่อนหมดสติ

เขากล่าวว่า เมื่อฟื้นขึ้นมาอีกครั้งในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลภูมิพลนั้นก็ไม่ทราบว่าสลบไปกี่วัน แต่แพทย์ผ่าตัดนำกระสุนออกจากบาดแผลจนเป็นแผลเป็น ปัจจุบันยังคงเจ็บแผลเป็นบางครั้ง แม้จะสามารถเดินได้ แต่ไม่สามารถทำงานหนักได้ ต่อมาได้รับเงินเยียวยาจากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จำนวน 60,000 บาท อย่างไรก็ตาม ยังประสงค์ที่จะดำเนินคดีกับผู้ที่ยิง

พีระ ลิ้มเจริญ ทนายความผู้ร้องร่วมที่ถูกถอนให้สัมภาษณ์ว่า รู้สึกแปลกใจที่ผู้ร้องร่วมยื่นคำร้องขอถอนตนเองและเจษฎาออกจากการเป็นทนายความในครั้งนี้ ที่ผ่านมาไม่เคยทราบมาก่อนว่าจะถูกถอนจากการเป็นทนายความในคดีนี้ แต่ก็ยอมรับว่าไม่เคยพูดคุยกับผู้ร้องร่วมเลย เหตุที่มาเป็นทนายความในคดีนี้เพราะการประสานงานจากมูลนิธิบ้านเลขที่ 111 แต่ที่ผ่านมาผู้ร้องร่วมจะติดต่อผ่าน น.ส.นันณิศา คงจันทร์ ซึ่งเป็นผู้ช่วยทนายความตลอด

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เผยมูลเหตุจับอาวุธสู้ เปิดข้อมูลคดี 16 ศพ บุกฐานทหารบาเจาะ

Posted: 14 Feb 2013 09:34 AM PST

ญาติเผยมูลเหตุผู้ตายจับอาวุธสู้ จับรถต้องสงสัยพบคราบเลือด ค้นหลังฐานทหารพบอุปกรณ์ประกอบระเบิด ใบปลิวว่อนบาเจาะขู่เอาคืน

วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2556 ตำรวจสถานีตำรวจภูธรรือเสาะ จ.นราธิวาส ไล่จับกุมรถกระบะต้องยี่ห้อโตโยต้า ไทเกอร์ แค็บ สีน้ำตาล ทะเบียน บฉ 5999 ปัตตานี ในเขตเทศบาลตำบลรือเสาะ ซึ่งสงสัยว่าจะเป็นรถคันเดียวกับที่มีกลุ่มก่อความไม่สงบใช้ก่อเหตุโจมตีฐานปฏิบัติการทางทหาร กองร้อยปืนเล็กที่ 2 หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินที่ 32 บ้านยือลอ ต.บาเระเหนือ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส เมื่อกลางดึกวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2556 ที่ผ่านมา พร้อมกับควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยที่นั่งมาในรถคันดังกล่าว 3 คน

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่พบคราบเลือดจำนวนหนึ่งติดอยู่ที่ตัวรถ จึงเชิญตัวผู้ต้องสงสัยทั้ง 3 คนมาสอบสวน พร้อมนำรถกระบะมาตรวจพิสูจน์ โดยเก็บคราบลายนิ้วมือแฝง ดีเอ็นเอ และคราบเลือดที่ติดอยู่ข้างประตูรถยนต์กระบะไปตรวจสอบตามหลักวิทยาศาสตร์

นอกจากนี้ ในพื้นที่อำเภอบาเจาะ ได้มีกลุ่มชายฉกรรจ์โปรยใบปลิวที่เขียนข้อความภาษาไทยระบุว่า จะทำการตอบโต้ทุกรูปแบบด้วยกำลังความพร้อมทางอาวุธ กำลังทรัพย์และทุกมวลชน ซึ่งใบปลิวดังกล่าวมีการเผยแพร่ผ่านสื่อสังคมออนไลน์อย่างเว็บไซต์เฟสบุ๊กไปอย่างแพร่หลาย เช่นเดียวกับมีการจัดทำคลิปวิดีโอเกี่ยวกับผู้เสียชีวิตกลุ่มนี้ในเชิงการสรรเสริญสดุดีเผยแพร่ในเว็บไซด์ด้วย

น.อ.สมเกียรติ ผลประยูร ผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธิน กองทัพเรือ ค่ายจุฬาภรณ์ จังหวัดนราธิวาส เปิดเผยว่า ในช่วงมาตรการขอความร่วมมือประชาชน 6 ตำบลในอำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส และอำเภอไม้แก่น จังหวัดปัตตานี ห้ามออกจากบ้านและเคหสถานตั้งแต่เวลา 18.00 น.ของวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ถึง 06.00 น. ของวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2556 เพื่อไล่ล่ากลุ่มก่อเหตุที่เหลือนั้น เจ้าหน้าที่ไม่สามารถควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยเพิ่มเติมในพื้นที่ดังกล่าวแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2556 น.ท.ธรรมนูณ วรรณณา ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาสที่ 32 ได้นำกำลังเข้าตรวจสอบพื้นที่ด้านหลังฐานปฏิบัติการทางทหาร กองร้อยปืนเล็กที่ 2 บ้านยือลอ พบเพียงรอยเลือดซึ่งคาดว่าเป็นของกลุ่มก่อเหตุที่ได้รับบาดเจ็บ และยังพบฐานปฏิบัติการย่อยของกลุ่มก่อเหตุ พร้อมกับถังแก๊ซปิคนิค 2 ถัง กระสุนปืนและอุปกรณ์ประกอบระเบิดจำนวนหนึ่ง

ญาติเผยเหตุไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงจับอาวุธสู้
นายยา นิแม ชาวบ้านชูโว ตำบลบาเระใต้ อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส พ่อของนายปรือกิห์ นิมิง หนึ่งในผู้เสียชีวิตจากเหตุบุกโจมตีฐานปฏิบัติการทหารดังกล่าว กล่าวว่า ไม่ได้ติดใจในการตายของลูกชาย เนื่องจากยอมรับว่าลูกชายคนนี้เป็นคนทำผิดกฎหมายจริงและมีหมายจับติดตัว ซึ่งแล้วแต่รัฐว่าจะจับตัวไปหรือส่งศพกลับมาที่บ้าน ตนก็จะได้พาไปฝังที่กูโบร์

"แต่สิ่งที่ตนไม่ค่อยพอใจคือทำไมรัฐต้องไปข่มขู่คุกคามลูกชายคนอื่นๆของผมด้วย ทั้งที่พวกเขาไม่ได้ทำผิด เป็นคนทำมาหากินและเรียนหนังสือ ทำไมไม่ได้ตามหาคนที่ทำผิด ผมมีลูกชาย 5 คนรวมกับคนที่ตาย ซึ่งเจ้าหน้าที่มาขอให้บอกลูกชายให้มอบตัวตลอด ผมก็เลยไม่บอก"

นายยา เปิดเผยด้วยว่า ลูกชายคนนี้เคยถูกดำเนินคดีชุมนุมที่อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาสเมื่อปี 2547 ซึ่งมีการถอนฟ้องในเวลาต่อมา การตกเป็นผู้ต้องหาในคดีตากใบนั้นทำให้ลูกชายเห็นว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะไม่ได้ไปร่วมชุมนุม เพียงแต่ไปดูเหตุการณ์เท่านั้น แต่ก็ถูกจับดำเนินคดี ซึ่งกลายเป็นชนวนให้ลูกชายคนนี้ ไม่ชอบเจ้าหน้าที่รัฐและหันไปจับอาวุธต่อสู้ ส่วนลูกชายของตนก็ถูกจับโยนใส่รถทหารในเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่ตากใบด้วย แต่หล่นจากรถเนื่องจากคนแน่น ทำให้ไม่ได้รับอันตรายจากเหตุการณ์ดังกล่าว

นางปรัชญา เจะมูดอ ชาวบ้านตันหยง ตำบลบาเระใต้ อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส ภรรยาของหนึ่งผู้เสียชีวิตจากเหตุดังกล่าว กล่าวว่า ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่มาที่บ้านตลอดเพื่อขอให้บอกสามีให้ออกมามอบตัว แต่สามีไม่มอบตัว และต้องอยู่อย่างหลบๆซ่อน จนกระทั่งเสียชีวิตในเหตุการณ์ดังกล่าว

เปิดข้อมูลคดี หมายจับ 16 ศพ
ศูนย์ปฏิบัติการร่วมทางยุทธวิธี กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) เปิดรายละเอียดของผู้เสียชีวิต 16 คน จากเหตุกลุ่มก่อความไม่สงบ 50 บุกเข้าโจมตีฐานปฏิบัติการทางทหาร กองร้อยปืนเล็กที่ 2 หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินที่ 32 บ้านยือลอ พบว่า มี 13 คน ที่มีหมายจับ ทั้ง ป.วิอาญา (ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา) และหมาย ฉฉ. (หมายพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548) โดยนายนายมะรอโซ จันทรวดี แกนนำคนสำคัญในพื้นที่ มีหมายจับรวม 21 หมาย

1.นายมะรอโซ จันทรวดี อายุ 31 ปี ต.บาเจาะ อ.บาเจาะ มีหมายจับ ป.วิอาญา 18 หมาย หมาย ฉฉ. 3 หมาย
2.นายมะไพดี ปูเตะ ต.บาเระใต้ อ.บาเจาะ มีหมาย ฉฉ. 1 หมาย
3.นายฮาเซ็ม บือราเฮง อายุ 36 ปี  ต.บาเระใต้ อ.บาเจาะ มีหมาย ฉฉ. 1 หมาย และเคยหมายจับ ป.วิอาญา 1 หมายแต่ถูกสั่งไม่ฟ้อง
4.นายสะอุดี อาลี อายุ 27 ปี   ต.บาเระใต้ อ.บาเจาะ มีหมาย ฉฉ. 1 หมาย
5.นายปรือกิห์ นิมิง อายุ 28 ปี ต.บาเระใต้ อ.บาเจาะ มีหมายจับ ป.วิอาญา 1 หมาย หมายฉฉ. 1 หมาย
6.นายมะสักรี สะสะ อายุ 44 ปี  ต.บาเระใต้ อ.บาเจาะ มีหมายฉฉ. 1 หมาย
7.นายสะบือรี โดตะเซะ อายุ 22 ปี  ต.ตะโล๊ะหะลอ อ.รามัน จ.ยะลา มีหมายฉฉ.
8.นายซอมือลี สาเระ อายุ 37 ปี ต.กะดุนง อ.สายบุรี จ.ปัตตานี มีหมายจับ ป.วิอาญา 5 หมาย
9.นายอับดุลเลาะห์ โต๊ะมะ อายุ 27 ปี ต.ปะลุกาสาเมาะ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส มีหมายจับ ป.วิอาญา 1 หมาย และหมายฉฉ. 1 หมาย
10.นายมัชลาน มะลี อายุ 29 ปี ต.ปล่องหอย อ.กะพ้อ จ.ปัตตานี มีหมายจับ ป.วิอาญา 3 หมาย
11.นายมะตอเฮ แฉะ อายุ 35 ปี ต.เตราะบอน อ.สายบุรี จ.ปัตตานี มีหมายฉฉ. 1 หมาย หมายจับ ป.วิอาญา 4 หมาย
12.นายมะนัง บือราเฮง อายุ 30 ปี ต.เตราะบอน อ.สายบุรี มีหมายจับ ป.วิอาญา 8 หมาย
13.นายอาสมาล เจะบา ต.แป้น อ.สายบุรี มีหมาย ฉฉ.1 หมาย หมายจับ ป.วิอาญา 4 หมาย
14.นายกาสมัน มะเด็ง อายุ 30 ปี ต.กะดุนง อ.สายบุรี
15.นายอัสรี ลอเซ็ง อายุ 26 ปี ต.ปะลุกาสาเมาะ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส
16.นายอาหะมะ โซะกุนิง อายุ 25 ปี ต.บาเระใต้ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เสวนา 'การนิรโทษกรรมทางการเมือง' เสนอนิรโทษกรรมเพื่อมนุษยธรรม

Posted: 14 Feb 2013 09:15 AM PST

14 ก.พ.56 เวลา 13.00 น. ห้อง PSB 1011 คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทางคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมกับ มูลนิธิคอนราดอเดนาวร์ และมูลนิธิสถาบันประชาธิปไตย ได้จัดเสวนาในหัวข้อ "การนิรโทษกรรมทางการเมือง" โดยมีวิทยากรคือ ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการอิสระ, ผศ.ชาตรี เรืองเดชณรงค์ คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ผศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และดำเนินรายการโดย อ.ดร.มาลินี คุ้มสุภา คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ความหมายของการนิรโทษกรรม การอภัยโทษ และการล้างมลทิน
ผศ.ชาตรี เรืองเดชณรงค์ กล่าวว่าทั้งการนิรโทษกรรม การอภัยโทษ และการล้างมลทิน การออกกฎหมายทั้งสามตัวเป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างหนึ่งที่จะใช้ลดความขัดแย้งในสังคม ในความขัดแย้งมันมีการเดินขบวน มีการจลาจลเกิดขึ้นด้วยอารมณ์ หรือบางครั้งมีการใช้กำลัง ไม่ว่าฝ่ายรัฐหรือฝ่ายประชาชน มันจึงต้องมีเครื่องมือในการลดความขัดแย้งเหล่านี้ ที่ผ่านมาในอดีต ทั้งสามวิธีเคยถูกใช้มาทั้งนั้น

ความหมายของกฎหมายนิรโทษกรรม พูดง่ายๆ ก็คือที่ทำกันไป ลืมมันเถอะ ที่มีการทะเลาะกัน มีการยึดสนามบิน ไปชุมนุมที่ราชประสงค์ ลืมมันได้ไหม ถ้าจะเอาเป็นเอาตายว่าใครผิดใครถูก กระบวนการพิสูจน์ความผิดก็ยังใช้เวลาอีก คนที่อยู่ในคุกแล้วไม่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว นิรโทษกรรมคือการบอกว่าไม่ดำเนินพิจารณาคดี รัฐจะไม่พิสูจน์ความผิดอีก เท่ากับว่าคนที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรม อยู่ระหว่างการพิจารณาคดี ก็เป็นอันว่าเจ๊ากันไป ต้องปล่อยตัวคนที่ถูกคุมขัง และถือว่าคนเหล่านี้ไม่มีความผิด สิทธิ์ต่างๆ เช่น สิทธิในการรับราชการ สิทธิในการเล่นการเมือง ก็ยังคงมีอยู่ โดยถือว่าเขาไม่ได้กระทำความผิดมาก่อนเลย

กรณีถ้าเป็นกฎหมายอภัยโทษ ใช้ในกรณีที่ศาลพิพากษาไปแล้ว แล้วจึงมาอภัยโทษ ถ้าหากได้รับโทษอยู่ในระหว่างการคุมขัง ถ้าได้รับอภัยโทษ ก็ถือว่าคนเหล่านั้นเคยทำผิดและเคยทำโทษ โดยที่สิทธิต่างๆ จะไม่มี ยกเว้นว่าจะไปออกเป็นพระราชบัญญัติล้างมลทินอีกทีหนึ่ง  ส่วนพระราชบัญญัติล้างมลทิน เป็นกฎหมายที่ถือว่าคนที่ได้รับโทษไปแล้ว หรือไม่ได้รับโทษก็ตาม ถ้ามีกฎหมายออกมา ถือว่าสิ่งที่เคยผิดก็ล้างมลทินไปเลย สิทธิต่างๆ ที่เคยมี ก็จะกลับมา

ทั้งสามอันนี้เป็นเครื่องมือเหมือนกัน วัตถุประสงค์ของมันเอามาใช้ลดความขัดแย้ง แต่จะลดได้มากแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับขอบเขตเนื้อหาของมัน การนิรโทษกรรมจะมีขอบเขตเนื้อหาแค่ไหน ไปนิรโทษกรรมในเหตุการณ์ไหน จะรวมการกระทำไหน หรือตัวผู้กระทำความผิดจะแบ่งแยกแยะว่าเป็นใครบ้าง หรือลักษณะของความผิด้วย ว่าจะเฉพาะที่เกี่ยวกับการชุมนุมทางการเมืองหรือเปล่า หรือไปถึงเรื่องอื่นๆ ด้วยหรือไม่ เช่น การคอรัปชั่น

ผลของกฎหมายนิรโทษกรรม ถ้าออกมาก็คือเลิกแล้วต่อกัน ไม่ต้องพิสูจน์ความผิดอีก ผลในทางกฎหมายคือความผิดที่ถือเป็นความผิดอาญาก็ยกเว้นไป ในทางแพ่งก็จะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายกันไม่ได้ หรือการรับผิดในทางปกครองก็จะถูกยกเว้นด้วยเหมือนกัน ถ้าระบุไว้

ข้อถกเถียงว่าการนิรโทษมันควรจะออกเป็นพระราชบัญญัติหรือพระราชกำหนด ถ้าออกเป็น พ.ร.ก.มันมีเงื่อนไขเดียวคือเรื่องของกฎหมายต้องฉุกเฉิน ต้องมีเหตุผลเรื่องความมั่นคง ความปลอดภัยของประเทศ ปัญหาตอนนี้คือจะมีเหตุผลพอไหมที่จะออกเป็น พ.ร.ก. และถ้าออกแล้วไม่เป็นไปตามเงื่อนไขในรัฐธรรมนูญ ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าขัดรัฐธรรมนูญ ก็จะมีผลกระทบและความเสี่ยงทางการเมืองพอสมควร ตนจึงสนับสนุนให้ออกเป็นพ.ร.บ.มากกว่า แต่พ.ร.บ.ก็จะมีห้วงเวลาในการเสนอ จึงมีเรื่องการต่อรอง มีแรงผลักพอสมควรกว่าจะออกมาได้

ภาพรวมของคดีการเมืองและความจำเป็นต้องนิรโทษกรรม
ผศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์
ให้ข้อมูลถึงตัวเลขของนักโทษการเมืองนับจากเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2553 ว่ามีผู้ถูกจับกุม 1,857 คน และถูกดำเนินคดี  1,763 คน ในจำนวนนี้เป็นคดีข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ 1,019 คน ที่เหลือเป็นคดีอาญาอื่นๆ 744 คน เช่น ก่อการร้าย, วางเพลิงเผา, พกอาวุธ, ทำให้เกิดระเบิด, ลักทรัพย์ ฯลฯ  แต่ในขณะนี้ มีผู้ที่ถูกคุมขังอยู่ 20 คนที่เรือนจำหลักสี่ เป็นคดีที่ศาลชั้นต้นตัดสินแล้ว 18 คน ถูกตัดสินจำคุกระหว่าง 6-35 ปี คดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์ ส่วนอีก 2 คนอยู่ในศาลชั้นต้น ในข้อหาเผาเซ็นทรัลเวิร์ด

จากตัวเลขนี้พันกว่าคนที่ถูกฟ้อง เขาได้รับโทษไปแล้ว และจำนวนมากก็มีการยกฟ้อง มีการขังฟรี ขังเกินไป ตนได้เขียนบทความโต้แย้งข้อเสนอที่ให้นิรโทษกรรมคนที่ถูกคดีจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน (ดู พวงทอง ภวัครพันธุ์: ไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมเฉพาะผู้ต้องโทษฝ่าฝืน พรก.ฉุกเฉิน) แต่คนเหล่านี้รับโทษจนเสร็จแล้ว ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน แน่นอนว่าต้องนิรโทษกรรมให้ แต่ก็ยังพอรอกันได้ เพราะคนเหล่านี้ยืนอยู่นอกคุกแล้ว เหตุที่ต้องนิรโทษกรรมให้ เพราะโทษที่มันติดตัวไปอยู่ มันจะส่งผลไปถึงอาชีพการงานในอนาคตของเขา จึงจำเป็นต้องมีการล้มลางมลทินให้คนเหล่านี้

พวงทองกล่าวถึงกรณีตัวอย่างที่ฝ่ายที่ต่อต้านนิรโทษกรรม มักจะอ้างเรื่องการนิรโทษกรรมคือการช่วย "พวกเผาบ้านเผาเมือง" และอ้างว่าเป็นเรื่องที่ "พวกมากลากไป" "กดหมู่เหนือกฎหมาย" แต่ในขณะนี้ เมื่อคดีความเรื่องนี้คลี่คลายออกมา มันชี้ว่าเรื่องนี้มีปัญหามาก เช่น กรณีเซ็นทรัลเวิร์ด จากคำเบิกความของพยานในคดีซึ่งเป็นเลขาธิการสมาคมอาสาสมัครบรรเทาสาธารณภัยแห่งประเทศไทย ข้อหา "เผาบ้านเผาเมือง" อาจเปลี่ยนจากคนเสื้อแดง เป็นชายในชุดพรางกายแทนก็ได้ รวมถึงหลักฐานที่อ่อนมาก แต่ก็ยังมีการส่งฟ้องคดีมาได้ด้วย (ดูในบทความข้างต้น)

หรือกรณีเผาศาลากลางในต่างจังหวัด พบว่าประชาชนจำนวนมากถูกกล่าวหาจากเจ้าหน้าที่ตำรวจและตกเป็นจำเลย เพียงเพราะมีภาพถ่ายอยู่ในเหตุการณ์ชุมนุมเท่านั้น หลายรายศาลยกฟ้อง แต่ติดคุกเป็นปี โดยไม่มีประกันตัวและไม่มีการเยียวยา กรณีคนเสื้อแดงที่ถูกจับกุมคุมขังอื่น ๆ จำนวนมากถูกยัดข้อหาว่ากำลังจะไปร่วมชุมนุม ทั้งๆ ที่ไม่ได้เข้าไปในวันชุมนุม และมีการซ้อมทรมานในระหว่างจับกุม

ผลจากการถูกจับกุม ทำให้ครอบครัวของเขาต้องหาหลักทรัพย์ไปประกัน ด้วยเงินกู้นอกระบบ บางรายสูญเสียทรัพย์สิน เช่น บ้านและที่ดิน แต่ก็ไม่ได้ประกันตัว หรือบางกรณีที่อัยการไม่ส่งฟ้อง แต่ถูกควบคุมตัวหลายเดือน กรณีแบบนี้รัฐไม่จ่ายเงินชดเชยให้ เพราะยังไม่ตกเป็นจำเลย รวมทั้งปัญหาการประกันตัว ในคดีที่ยังไม่เด็ดขาด แม้จำเลยจะได้รับความช่วยเหลือเงินประกันจากกองทุนยุติธรรม แต่ศาลก็ไม่ให้ประกันตัว ฉะนั้นคนเหล่านี้ แม้จะพ้นโทษไปแล้ว ก็สมควรมีกฎหมายนิรโทษกรรมเพื่อลบล้างความผิดของเขาจากประวัติ ในกรณีที่รัฐสมควรจ่ายค่าเยียวยา รัฐก็ต้องเยียวยาชดใช้ให้พวกเขา

พวงทองสรุปว่า สภาพที่กระบวนการยุติธรรมปกติไม่สามารถเป็นที่พึ่งของประชาชนที่ต่อต้านอำนาจอนุรักษ์นิยม ที่ปฏิเสธการเมืองในระบอบการเลือกตั้งได้ ฉะนั้นการเรียกร้องให้นิรโทษกรรม จึงไม่ใช่เรื่องของการช่วยคนผิดให้กลายเป็นถูก ไม่ใช่ "พวกมากลากไป" แต่มันมีปัญหาของความไม่ชอบธรรมในสิ่งที่เกิดขึ้นมาโดยตลอด อีกทั้งแรงจูงใจของการกระทำของคนเสื้อแดงที่มาร่วมชุมนุม เป็นเหตุผลทางการเมือง ไม่ใช่เหตุผลเพื่อก่ออาชญากรรม พวกเขาเข้าร่วมประท้วงเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลในขณะนั้นยุบสภาแล้วเลือกตั้ง  หากจะมีเหตุการณ์ความรุนแรงใด ที่เป็นผลของการบันดาลโทสะในช่วงเวลาวิกฤตนั้น  สังคมต้องคำนึงถึงประเด็นเหล่านี้ด้วย และในทางกลับกัน ต้องมองการใช้ความรุนแรงของรัฐ ที่ต้องการปราบปรามคนเสื้อแดง ในฐานะปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาตอบโต้จากผู้ชุมนุมด้วย

หัวใจการนิรโทษกรรม คือการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ตกทุกข์ได้ยาก
ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์
ตั้งข้อสังเกตว่า ตอนนี้ทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่าเราควรมีนิรโทษกรรม แต่เพราะความเห็นพ้องนี้เองก็เลยขัดแย้งกันทุกคนเลย ฝ่ายหนึ่งบอกควรออกเป็น พ.ร.บ. อีกฝ่ายบอก พ.ร.ก. อีกฝ่ายบอกควรยกโทษให้คดีแบบนี้ด้วย ถึงขนาดที่จะต้องเดินขบวนไปล้อมทำเนียบบ้าง

เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่า คนที่คิดว่าการออกนิรโทษกรรมจะเป็นต้นเหตุหรือทางที่จะนำมาซึ่งความปรองดองในสังคม ตนคิดว่าเป็นความคิดที่ผิด เพราะแม้แต่บอกว่า เอานะเราเลิกแล้วต่อกัน แค่นี้ยังทะเลาะกันเลย เพราะความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคมไทยเวลานี้ ไม่ใช่ความขัดแย้งระหว่างเสื้อสี ไม่ใช่ความขัดแย้งระหว่างคนต่างวัย ไม่ใช่ความขัดแย้งระหว่างประชาธิปัตย์กับคุณทักษิณ มันลึกลงไปกว่านั้นมาก

ทั้งชีวิตไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะได้เห็นสิ่งนี้ คือได้เห็นสิ่งที่เรียกว่า อาญาสิทธิ์ในสังคมไทย ไม่ว่าอาญาสิทธิ์ทางการเมือง อาญาสิทธิ์ทางวัฒนธรรม อาญาสิทธิ์ด้านตุลาการ ถูกตั้งคำถามตัวใหญ่หมด เวลานี้เราบอกว่า เรานับถือจุดนั้นจุดนี้ สถาบันนั้นสถาบันนี้ องค์กรนั้นองค์กรนี้ จะมีเพื่อนคุณบอกว่าไม่นับถือเสมอ ดังนั้นถ้าเราคิดว่าจะออกการนิรโทษกรรมเพียงเพื่อลดความขัดแย้ง ตนคิดว่าไม่เป็นผล เพราะความขัดแย้งมันลึกกว่าจะแก้ได้โดยนิรโทษกรรม

นิธิอธิบายว่า การนิรโทษกรรมคือเครื่องมือของรัฐในการแก้ปัญหาต่างๆ นานา หนึ่งในนั้นคือปัญหาการเมือง และไม่ใช่การเมืองก็มี  Amnesty หรือการให้อภัย เป็นเครื่องมือนี้ใช้กันเป็นปกติในทุกรัฐเลย เช่น ในสหรัฐมีคนลักลอบเข้าเมืองจำนวนมาก มีการวิจัยว่า ถ้าอนุญาตให้คนเหล่านี้คนหนึ่งประกอบอาชีพในสหรัฐจะทำเงินให้ปีละ 5 พันเหรียญ โดยเสียภาษี แต่ถ้าคนๆ นี้ยังเป็นผู้ลักลอบเข้าเมืองอยู่ สหรัฐจะต้องเสียเงินปีละ 3 พันเหรียญเพื่อไล่จับ สิ่งที่สหรัฐเลือกคือ ให้นิรโทษกรรมถ้าคุณมีคุณสมบัติสองสามอย่าง ก็น่าจะให้เป็นคนอเมริกันสักที หรือในเมืองไทยก็มีการให้นิรโทษกรรมแก่ปืนเถื่อน หรือการนิรโทษแก่ผู้ติดยาเสพติด เพราะยังไงมันก็ปราบไม่ได้

กฎหมายนิรโทษกรรมจึงมีขึ้นเพื่อให้มันปฏิบัติได้ (Practicality) น่าจะมีประโยชน์กับส่วนรวมมากกว่า แต่ก็จะมีคนมาบอกว่า แบบนี้คนก็จะไม่เคารพกฎหมาย จึงไม่ควรนิรโทษกรรมเพราะกลัวจะเสียศีลธรรม แต่คนเหล่านี้ไม่เคยถามกลับว่า รัฐบาลที่ออกกฎหมายเหล่านี้มันมีศีลธรรมหรือเปล่า ตนเห็นว่า Practicality เป็นหัวใจของการออกนิรโทษกรรม อะไรที่เรารู้สึกว่าทางนี้ดีกว่า มันจะผิดหลักการอะไรไปบ้าง ก็ต้องยอมรับ เพราะมนุษย์เราอยู่ใต้หลักการส่วนหนึ่ง แล้วก็มีชีวิตที่ดำเนินไปอย่างปกติพอสมควรส่วนหนึ่งด้วย

ในกรณีนี้เมืองไทย เพื่อประนีประนอมจะออกนิรโทษกรรม ให้มาแบ่งกันว่า การกระทำที่เกิดขึ้นในทางการเมือง กับการกระทำที่เป็นอาชญากรรม อะไรทีเป็นการเมืองก็นิรโทษกรรมไป เป็นอาชญากรรมก็ไม่ได้ แต่พอคิดแล้วระหว่างการเมืองกับอาชญากรรมแยกกันลำบากมาก เช่น กรณีเซ็นทรัลเวิร์ดอย่างที่ อ.พวงทองกล่าวไป หรือกรณีมาตรา 112 ช่วงหลังรัฐประหาร ถามว่ามันมีความเข้าใจผิดในหมู่คนจำนวนหนึ่งว่าพระเจ้าอยู่หัวอยู่เบื้องหลังการรัฐประหารหรือไม่ เหตุดังนั้นก็จึงมีคนไม่พอใจรัฐประหาร และไปโจมตีพระเจ้าอยู่หัว ถามว่าอันนี้การเมืองหรืออาชญากรรม หรือในช่วงวิกฤติทางการเมือง ก็มีคนเอากฎหมายฉบับนี้มาใช้ปราบปรามศัตรูทางการเมือง จะแยก 112 กับการเมือง จึงไม่รู้จะแยกกันตรงไหน

นั่นคือเหตุผลสำคัญที่กฎหมายนิรโทษกรรมที่มันออกมายาก เพราะจะออกให้มันมีผลจริงๆ มันกระทบต่อโครงสร้างที่มีมาแต่ก่อน พูดง่ายๆ คืออำนาจอนุรักษ์นิยมทั้งหลาย จะถูกกระทบจากการชี้ว่า ใครควรจะได้รับนิรโทษกรรมบ้าง จะนับคนที่โดน 112 ไหม มันกระทบอำนาจอาญาสิทธิ์มากกว่าเรื่องนิรโทษกรรมทักษิณเสียอีก มันจึงเป็นการตั้งคำถามตัวใหญ่ๆ ต่ออำนาจที่เรียกว่าอาญาสิทธิ์

ตนเห็นว่าหลักการที่จะใช้ในการออกนิรโทษกรรม คือความทุกข์ยากของคน (Human Suffering) ดูกรณีทั้งหมดที่เกิดขึ้น ว่ามันเกิดความทุกข์ยากแก่ใครบ้าง พยายามนิรโทษกรรมแก่คนเหล่านี้ หัวใจสำคัญของการนิรโทษกรรมไม่ใช่เพื่อการปรองดอง แต่เพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ตกทุกข์ได้ยากอยู่

อาจมีคำถามว่า ถ้าตนปล้นแบงค์แล้วถูกจับ ลูกเมียตนก็ทุกข์ยากด้วย ซึ่งไม่ใช่ เพราะต้องพิจารณาภายใต้สภาวะการเมืองอันหนึ่ง ไม่ใช่การก่ออาชญากรรมปกติธรรมดา ไม่ว่าจะต้องคดี 112 ต้องคดีเผาบ้านเผาเมือง ต้องคดีชุมนุม ทั้งหมดเหล่านี้เขาได้รับความทุกข์ยากมากพอแล้ว แม้แต่คนที่หลบหนีอยู่ก็ทุกข์ยาก ซึ่งน่าจะช่วยให้เขาพ้นความทุกข์เสียที เป็นการนิรโทษกรรมเพื่อมนุษยธรรม อันนี้ควรจะเป็นหัวใจของการนิรโทษกรรม ซึ่งไม่ค่อยถูกพูดถึง แต่ไปพูดถึงเรื่องการปรองดอง ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหากับการออกกฎหมายฉบับนี้ด้วยซ้ำ

 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

บริษัท GM ไม่สนสหภาพฯ เดินหน้าเปิดเดินเครื่องผลิตรถยนต์

Posted: 14 Feb 2013 09:06 AM PST

เมื่อวันที่ 14 ก.พ. 56 ที่ผ่านมา ASTV ผู้จัดการออนไลน์รายงานว่าหลังบริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กำหนดระเบียบการปฏิบัติงานของพนักงานสายการผลิต ให้บรรจุวันเสาร์ซึ่งเป็นวันหยุดของพนักงาน และเป็นวันที่ได้โอที ให้เป็นวันทำงานตามปกติ แต่สหภาพแรงงานฯ ไม่เห็นด้วย และไม่สามารถตกลงกันได้
       
จนเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2556 บริษัทฯ ได้มีคำสั่งให้พนักงานสมาชิกสหภาพแรงงานหยุดงาน พร้อมขออำนาจศาลห้าม 13 แกนนำสหภาพฯ เข้ามาในพื้นที่ของบริษัทฯ อย่างเด็ดขาด ทำให้พนักงานในเครื่อสภาพ และพนักงานอื่นๆ ไม่พอใจเป็นอย่างมาก จึงได้ทยอยกันมาสมัครเข้าร่วมอยู่ในสภาพแรงงานเพิ่มขึ้น และพร้อมที่จะเดินหน้าเรียกร้องสิทธิ โดยไม่ขอเข้าไปทำงานนั้น โดยมีการนัดเจรจาโต๊ะกลมกันวันนี้เพื่อหาข้อยุติ
       
ล่าสุดวันนี้ (14 ก.พ.56 ) นายวีโจ้ วาร์จีส ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายประชาสัมพันธ์ สื่อสารผลิตภัณฑ์ บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เผยว่า วันนี้ ทางบริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส ได้เริ่มดำเนินการผลิตที่ศูนย์การผลิต จังหวัดระยอง อีกครั้งในวันนี้ หลังจากเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว มีการนัดหยุดงานของสมาชิกสหภาพฯ โดยนับตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมา จีเอ็ม ได้ประเมินความปลอดภัยและสวัสดิภาพของพนักงานและทรัพย์สินของบริษัท เพื่อเตรียมความพร้อมในการกลับมาเริ่มต้นการผลิตอีกครั้ง
       
ในระหว่างนี้ เจนเนอรัล มอเตอร์ส ยังคงเดินหน้าส่งมอบยานยนต์ให้แก่ผู้แทนจำหน่ายของเราเพื่อรองรับการสั่งจองของลูกค้าตามกำหนดการปกติ โดยทางบริษัทฯ มีความมั่นใจว่าจะสามารถส่งมอบรถให้ตรงตามกรอบเวลาที่วางไว้ และสอดคล้องกับแผนกำหนดการส่งมอบรถของเรา
 
โดยใน วันนี้ พนักงานประมาณ 3,100 คน ได้เข้ามารายงานตัว เพื่อทำงานตามปกติที่ศูนย์การผลิต จังหวัดระยอง บริษัทฯ และพนักงานเริ่มปฏิบัติงานอีกครั้งภายใต้ความปลอดภัยและความมุ่งมั่นในการรักษามาตรฐานคุณภาพสูงสุดของจีเอ็ม ทั้งในด้านผลิตภัณฑ์ การบริการ และการส่งมอบรถให้แก่ลูกค้าตรงตามเวลาที่กำหนด
       
ด้านสหภาพฯ นั้นทางบริษัท หวังว่าจะสามารถเริ่มการเจรจาตามกฎหมายและเป็นไปตามขั้นตอนที่ถูกต้องกับสหภาพฯ ได้อีกครั้งในพรุ่งนี้ คือ วันที่ 15 ก.พ.2556 เพื่อหาข้อตกลงและผลสำเร็จร่วมกันกับสหภาพฯ อย่างมีเหตุผลและเป็นธรรมในทุกประเด็น เนื่องจากวันนี้ที่มีการนัดเจรจากันนั้น ยังไม่สามารถตกลงกันได้
       
ด้านนายสุริยา โพธิ์ชัยเลิศ ประธานสหภาพแรงงานฯ ฯ กล่าวว่า วันนี้บริษัทฯ ได้นำหมายศาล จังหวัดชลบุรี มาปิดไว้บริเวณที่ประท้วงของพนักงาน แต่หมายนี้ไม่มีผู้ใดเซ็นต์รับทราบแต่อย่างใด เพราะมีการขออำนาจศาลให้สั่งไม่ให้แกนนำ สหภาพฯเพิ่ม อีก 2 คน เข้าพื้นที่บริษัทฯ รวมทั้งหมดเป็น 15 คน และเรียกค่าเสียหาย 5 ล้านบาท
       
ถึงแม้ว่าทางบริษัทฯ เปิดโอกาสให้พนักงานที่ต้องการเข้าไปทำงานลงชื่อในวัน วาเลนไทน์ ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ เพราะสมาชิกสหภาพแรงงานยังยืนยันไม่ยอมรับระเบียบปฏิบัติใหม่ จึงไม่มีใครเข้าไปลงชื่อเพื่อทำงาน และยืนยันว่าจะต่อสู้ให้ถึงที่สุด เพราะศาลสั่งเพียง 15 คน ที่ไม่ให้เข้ามาในพื้นที่ของบริษัท ฯ พนักงานคนอื่น ๆ อีกประมาณ 2, 000 คน ก็ยังสามารถผลัดเปลี่ยนกันมาอยู่ในเวลากลางวัน ประมาณ 1,200 คน กลางคืนประมาณ 800 คน
       
ในวันที่ 15 ก.พ. 56 ทางแกนนำทั้ง 15 คน ต้องเดินทางไปศาล แต่บริษัทฯก็ขอ การนัดเจรจากับแกนนำ ทั้งที่รู้ว่าต้องไปศาล เพื่อจะเป็นข้ออ้างตลอดว่าแกนนำสหภาพไม่ยอมยอมมาเจรจา เท่ากับสร้างความกดดันให้แกนนำ และสมาชิกอย่างมาก ถ้าบริษัทฯมีความจริงใจ ยอมรับกติกาต่อกัน ก็จะไม่มีปัญหายืดเยื้อมาถึงทุกวันนี้ ทางบริษัทฯจะเสียหายอย่างมาก ในเรื่องของความเชื่อถือ ถึงแม้ว่าวันนี้ จะเปิดทำงานสายการผลิตเป็นวันแรกก็ตาม แต่ก็ทำได้เพียงกลางวันเท่านั้น กะกลางคืนไม่มีพนักงานทำงาน
 
 
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สื่อมาเลย์พร้อมใจตีข่าว 'BRN โจมตีฐานทหาร'

Posted: 14 Feb 2013 08:51 AM PST

สื่อมาเลย์พร้อมใจตีข่าว กลุ่มก่อความไม่สงบเสียชีวิต 17 คนจากความผิดพลาดในการโจมตีฐานทหารในจังหวัดนราธิวาส โดยพร้อมใจนำเสนอว่า เป็นปฏิบัติการของขบวนการ BRN

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักข่าวในประเทศมาเลเซียเกือบทุกสำนัก ต่างนำเสนอข่าวเหตุการณ์กลุ่มก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยบุกโจมตีฐานทหารในอำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส จนมีผู้เสียชีวิตกว่า 17 คน โดยต่างพาดหัวไปในทำนองเดียวกันว่า "สังหารกลุ่มกบฏตาย 17 คน" ทั้งสำนักข่าวเบอร์รีตาฮารียัน, อูตุซันมาเลเซีย, ซีนารฮารียันและสื่ออื่นๆ อีกหลายสำนัก

ทั้งนี้ เนื้อหาข่าวระบุตรงกันว่า ผู้เสียชีวิตทั้งหมดเป็นสมาชิกของกลุ่มกองกำลังของขบวนการบีอาร์เอ็น (BRN) ตามคำให้สัมภาษณ์ของ น.อ.สมเกียรติ ผลประยูร นายทหารในพื้นที่

ในเนื้อหายังระบุว่า จำนวนกำลังพลของขบวนการบีอาร์เอ็นที่มีอาวุธสงครามครบมือกว่า 50 คน พยายามบุกเข้าโจมตีฐานทหารเรือ แต่เกิดความผิดพลาด เนื่องจากทางกองกำลังทหารเรือรู้ข่าวล่วงหน้าแล้วว่า จะมีการโจมตีฐานทหารในพื้นที่เกิดขึ้น จึงวางแผนจัดกำลังคอมมานโดจำนวน 60 นาย ตั้งรับและพร้อมตอบโต้ จนสามารถสังหารกลุ่มกองกำลังของขบวนการก่อความไม่สงบจำนวน 17 คน ส่วนความสูญเสียฝ่ายเจ้าหน้าที่ทหารยังไม่สามารถรู้ได้

ในเนื้อข่าวยังระบุด้วยว่า ปฏิบัติการดังกล่าวสามารถปลิดชีพ นายมะรอโซ จันทรวดี แกนนำกองกำลังกลุ่มบีอาร์เอ็น ที่มีรางวัลนำจับถึง 2,000,000 บาท

 

ที่มา :
http://www.utusan.com.my/utusan/Luar_Negara/20130214/lu_01/17-pemberontak-Thai-dibunuh
http://www.sinarharian.com.my/global/17-pemberontak-terbunuh-di-narathiwat-1.130827
http://www.bharian.com.my/bharian/articles/PemisahselatanThaimasukperangkap/Article

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เปิดใจนักรณรงค์ความหลากหลายทางเพศ: ทางวิบากสู่ทะเบียนสมรส

Posted: 14 Feb 2013 08:51 AM PST

ในวันวาเลนไทน์ หรือวันแห่งความรัก ซึ่งตรงกับวันที่ 14 ก.พ.ของทุกปี เขตบางรัก มักจัดกิจกรรมจดทะเบียนสมรสหมู่แก่คู่รักชาย-หญิง ในปีนี้ กลุ่มองค์กรรณรงค์ด้านสิทธิทางเพศสภาพหลายแห่ง ซึ่งรวมตัวกันภายใต้ชื่อเครือข่ายความหลากหลายทางเพศ เดินทางมาร่วมแสดงความยินดีกับคู่รักหญิงชาย พร้อมรณรงค์ให้เห็นถึงความสำคัญของการได้มาซึ่งสิทธิในการจดทะเบียนสมรสของผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ ไม่ว่าจะเป็น หญิงรักหญิง ชายรักชาย หรือกลุ่มคนข้ามเพศ

ประวิตร โรจนพฤกษ์ สัมภาษณ์ "ชุมาพร แต่งเกลี้ยง" เจ้าหน้าที่โครงการประชาธิปไตย มูลนิธิศักยภาพชุมชนและนักเคลื่อนไหว กลุ่มอัญจารี ว่าด้วยการจัดกิจกรรมรณรงค์ อุปสรรคที่พบเจอ ตลอดจนก้าวต่อๆ ไปของการเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิ 


ชุมาพร แต่งเกลี้ยง
 


คู่รักหญิงรักหญิง ขอจดทะเบียนสมรส แต่เจ้าหน้าที่ไม่อนุญาต
เนื่องจากตามกฎหมาย ต้องเป็นชายและหญิงเท่านั้น




ประวิตร: ทำไมจึงมาทำกิจกรรมปีนี้เป็นปีแรก
ชุมาพร: นักกิจกรรมมาปีนี้ปีแรก แต่ก่อนหน้านี้เมื่อปีที่แล้ว มีคู่ชีวิตที่เป็นคู่รักเพศเดียวกันได้เดินทางมาขอจดทะเบียนสมรส โดยใส่ชุดเจ้าสาวกับเจ้าสาวมา ซึ่งทั้งคู่แจ้งว่าทราบดีอยู่แล้วว่าไม่สามารถจดทะเบียนสมรสได้ แต่ต้องการบอกว่าเขามีตัวตนอยู่ หลังอ่านข่าว เครือข่ายก็ตระหนักและสนใจในฐานะที่ทำงานด้านสิทธิอยู่ อยากจะผลักดันและสนับสนุนสิทธิของคู่ชีวิต ไม่ว่าคู่เพศเดียวกัน กลุ่มความหลากหลายทางเพศ หรือกลุ่มข้ามเพศ และที่สำคัญ ขณะนี้ เรากำลังผลักดันร่าง พ.ร.บ.คู่ชีวิต ตอนนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนร่างในสภา แต่ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ยังไม่ได้ตอบสนองความต้องการของกลุ่มเครือข่ายความหลากหลายทางเพศ หรือกลุ่มบุคคลโดยตรง อาจจะมีหลายมาตราที่เรารู้สึกไม่เห็นด้วย อย่างเช่น บุตร หรือจะต้องได้รับการตรวจจากหมอก่อน ถึงจะจดทะเบียนได้ เราจึงต้องการเข้ามาเพื่อให้สังคมได้รับรู้และทำความเข้าใจร่วมกัน ว่าความต้องการของเราคืออะไร

ใบจดทะเบียนสมรสไม่ได้มีความหมายมากกว่าความรักก็จริง แต่ว่ามันก็เป็นหลักประกันให้กับคู่ชีวิต ว่าเขาสามารถดูแลกันได้ยามป่วยไข้ แต่ปัจจุบันถ้าหากคู่สมรสหญิง-หญิงป่วยไข้ก็ไม่สามารถดูแลกันได้ เพราะไม่ได้จดทะเบียนสมรส หมอไม่อนุญาตให้อีกคนหนึ่งเซ็นในกรณีสำคัญ ทั้งที่เขามีชีวิตอยู่กันนาน หรือในเรื่องของการประกันชีวิตก็ไม่สามารถประกันชีวิตให้กันได้ ไม่สามารถจะรับบุตรบุญธรรมได้ ตัวนี้ยังมีช่องว่างมีมาก ที่เราต้องผลักดันเคลื่อนไหวต่อไป
 

มองว่าอุปสรรคหลักของการผลักดันเรื่องนี้คืออะไร ทัศนคติของนักการเมือง สังคม หรือกลุ่มไหน
ไม่ได้คิดว่าทัศนคติสังคมผิด เพียงแต่มองว่าข้อมูลข่าวสารยังไปไม่ถึง ดูจากการได้ที่เข้าร่วมทำความเข้าใจกับ ส.ส. หรือผู้รับสมัครเลือกตั้งไม่ว่าสุขุมพันธุ์หรือพงศพัศ เข้ามารับฟังว่าว่าเครือข่ายความหลากหลายทางเพศต้องการนโยบายอะไรบ้าง เห็นได้ว่าหากมีการอธิบายให้ข้อมูลที่ถูกต้อง และจากการที่คนไทยเปิดรับเรื่องเหล่านี้ง่ายอยู่แล้ว เราจะเห็นคาบาเร่ต์ เกย์ กระเทย ทอม ดี้ เดินอยู่ทั่วไป แต่ยังไม่มีกฎหมายรองรับเลย เชื่อว่าหากประชาสัมพันธ์ เชิญชวนให้กับกลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศเข้ามาอธิบายให้ครอบครัว เพื่อนพี่น้องเข้าใจ น่าจะไม่ยาก แต่สิ่งที่ยากคืออยากได้พื้นที่ในการทำความเข้าใจจุดนี้มากกว่า
 

การหาพื้นที่ ปัญหาอยู่ที่ไหน จริงๆ สื่อเสนอเรื่องเพศสภาพ แต่เป็นแบบสเตอริโอไทป์หรือเปล่า
จริงๆ แล้วเรามีปัญหาสองด้าน ด้านแรกคือสื่อไม่ได้เปิดพื้นที่ให้กับกลุ่มเครือข่ายในการเรียกร้องสิทธิได้มากพอ อีกด้านคือ สื่อได้เสนอภาพความเป็นตลกโปกฮา อคติด้านลบไปมาก จนคน อย่างมากที่สุดคือไม่กล้า come out ออกมา หรือแสดงตัว

 


 

มีความเชื่อกันว่าไทยค่อนข้างเปิดเรื่องกระเทย เกย์ หรือความหลากหลายทางเพศสภาพ ตรงนี้สะท้อนความเป็นจริงแค่ไหน ทั้งในระดับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือเอเชียด้วยกัน
อันนี้เป็นส่วนสำคัญมาก ในระดับอาเซียนถือว่าเราก้าวหน้าที่สุดแล้วทั้งในด้านกฎหมายและการยอมรับ มองว่าความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นของเรามันมาพร้อมกับระบบ commercial หรือระบบธุรกิจ มันเปิดออกทางด้านคาบาเร่ย์ การโชว์ คือทุกคนมองว่าเมืองไทยเปิดรับด้านนี้ แต่จริงๆ ปัจจุบันไม่มีกฎหมายสักฉบับเลยที่จะรองรับ ไม่เฉพาะเรื่องคู่ชีวิต สมมติกระเทยคนหนึ่งเข้าไปรับการรักษาพยาบาล เขาไม่มีสิทธิเลือกห้องผู้ป่วยได้ ต้องไปอยู่กับผู้ชาย ไม่ว่าเขาจะแปลงเพศแล้วหรือไม่ สังคมไทยหรือกฎหมายยังยึดเรื่องเพศกำเนิดเป็นหลัก

เพราะฉะนั้นสังคมหรือประชาคมโลกอาจจะเห็นว่าสังคมไทยเปิดรับ แต่การเปิดรับที่แท้จริงจะต้องมีกฎหมายรองรับ เพราะกฎหมายจะเป็นตัวสนับสนุนหรือเป็นมาตรฐาน ที่จะทำให้กลุ่มความหลากหลายทางเพศมีสิทธิและที่ยืนจริงๆ ในสังคม
 

ในอเมริกามีนักการเมืองที่เปิดตัวว่ามีความหลากหลายทางเพศสภาพแล้วลงสมัครรับเลือกตั้ง คิดว่ามีความจำเป็นไหมที่ประเทศไทยจะมีแบบเดียวกัน
ในระบบประชาธิปไตย การผลักดันประเด็นความต้องการของเราต้องผลักดันหลายๆ ส่วน ทั้งกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศในสภา ที่ยังไม่เปิดตัวออกมากล้าเปิดตัวออกมา หมายความว่าสังคมเปิดมากขึ้น แล้วก็กฎหมายเปิดมากขึ้น เขากล้าจะยอมรับตัวเองในสาธารณะ อีกส่วนคือการที่เราสามารถผลักดันประเด็น และสร้างเยาวชนรุ่นใหม่ นักการเมืองรุ่นใหม่ที่จะก้าวเข้ามาผลักดันกฎหมายด้วยตัวของกลุ่มเครือข่ายเอง ประเด็นนี้จะเป็นประเด็นสำคัญในการผลักดันและขับเคลื่อนเพื่อให้การปกครองของเราสอดคล้องกับการแก้ไขปัญหาในรูปแบบประชาธิปไตย
 

ได้วางกรอบเวลาเพื่อการสู้เพื่อสิทธิทางกฎหมายไว้ไหม ตั้งเป้าไว้กี่ปี
จริงๆ อยากจะบอกว่าเป็นเรื่องยากมาก เพราะระบบกฎหมายหรือรัฐสภาของเรา ถ้ากฎหมายฉบับไหนไม่ได้รับความสนใจจากสังคมหรือตัว ส.ส.เอง กฎหมายก็อาจจะถูกดอง แต่เรามองเป็นสามประเด็นมากกว่าในการผลักดันประเด็นร่วมกัน

ประเด็นแรกคือ กฎหมายคู่ชีวิตหรือรับรองคู่ชีวิต สองคือ การไม่เลือกปฏิบัติ ตอนนี้เรากำลังรวมทีมกันไม่เฉพาะเครือข่ายหลากหลายทางเพศ มีเครือข่ายแรงงาน คนพิการ กลุ่มแรงงานข้ามชาติ เด็กที่ยังไม่ได้รับสัญชาติ เป็นกฎหมายเพื่อไม่ให้เกิดการเลือกปฏิบัติตามหลักการที่รับจากยูเอ็น อีกฉบับที่ต้องผลักดันร่วมกันเพราะกฎหมายแต่งงานฉบับเดียวยังไม่เพียงพอ นั่นคือ กฎหมายรับรองอัตลักษณ์บุคคล แม้กระทั่งคนที่จะเลือกว่าจะเป็น นาง นางสาว หรืออื่นๆ ตอนนี้ยังไม่มีสิทธิที่จะเลือก เปลี่ยนได้ ถ้ากฎหมายสามตัวนี้คลอดออกมา หมายความว่ามันสามารถล้อแล้วก็ทำงานร่วมกันได้ การมีกฎหมายคู่ชีวิตเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้เรามีสิทธิหรือมีสิทธิเท่าเทียมคนอื่น แต่การมีกฎหมายรับรองทุกส่วนจะทำให้เรามีสิทธิเท่าเทียมกัน กรอบของเวลา เป็นเรื่องของพลังที่เราผลักไปมากกว่า และต้องขอให้สภาและ ส.ส. ตระหนักถึงความสำคัญของเรา และเร่งผลักดันด้านกฎหมาย แต่อย่างที่บอกไปว่ากฎหมาย ถ้ากฎหมายเข้าไปในสภาแล้วเรายังถูกตีตราเช่นต้องได้รับการตรวจโรคก่อน หรือเช็คก่อนว่าอยู่ร่วมกันมากี่เดือนกี่ปี ตรงนี้ก็ไม่มีความเท่าเทียมตามหลักสิทธิมนุษยชน เพราะฉะนั้นตัวกฎหมายที่เข้าไปในสภาก็ต้องล้อไปหลักสิทธิมนุษยชน
 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประสบการณ์ 'กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ' จากยุโรป

Posted: 14 Feb 2013 06:04 AM PST

สหภาพยุโรป จัดสัมมนาเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์การใช้กฎหมายหมิ่นฯ จากยุโรป โดยมีผู้พิพากษาจากเดนมาร์ก และอัยการจากเสปนที่เคยพิจารณาคดีหมิ่นฯ เข้าร่วม ชี้หลักเสรีภาพการแสดงออกต้องมาก่อนเนื่องจากเป็นรากฐานของเสรีภาพทุกชนิด 

 

หลังจากคำตัดสินลงโทษนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข บ.ก. นิตยสารวอยซ์ ออฟ ทักษิณ และนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิแรงงาน เป็นเวลา 10 ปี เมื่อวันที่ 23 ม.ค. ที่ผ่านมา ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จากการตีพิมพ์บทความสองบทความที่หมิ่นเบื้องสูงในนิตยสาร หนึ่งสัปดาห์ถัดมา สหภาพยุโรป ก็ได้จัดงานสัมมนาเรื่องเสรีภาพการแสดงออก และการปรองดอง เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในประเด็นต่างๆ อาทิ กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เสรีภาพสื่อ และพ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ มีนักวิชาการ นักกฎหมาย ภาคประชาสังคม และสื่อมวลชนทั้งในและต่างประเทศเข้าร่วมราว 100 คน 
 
โดยเมื่อวันที่ 31 ม.ค. 56 มีวงเสวนาในหัวข้อ "กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ - การใช้ ความท้าทาย และนัยสำคัญ" มีผู้พิพากษาจากเดนมาร์ก นายปีเตอร์ มอร์ค ธอมเสน ซึ่งเป็นเคยพิพากษาหลักในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในเดนมาร์ก นายออกุสติน ไฮดัลโก จากสำนักงานอัยการสูงสุดของสเปน เข้าร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์การใช้กฎหมายนี้ในยุโรป รวมถึงจอน อึ๊งภากรณ์ อนุกรรมการสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ 
 
 
นายออกุสติน ไฮดัลโก กล่าวว่า กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ คือการดำรงอยู่ระหว่างการปะทะกันของเสรีภาพการแสดงออก และสิทธิในการเชิดชูและให้การพิทักษ์เป็นพิเศษแด่สถาบันกษัตริย์ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องหาสมดุลที่เหมาะสมระหว่างสองอย่าง 
 
เขากล่าวว่า รัฐธรรมนูญของสเปน นอกจากจะวางรากฐานเรื่องระบอบการปกครองคือรัฐสภาที่มีกษัตริย์ทรงเป็นประมุขแล้ว ยังกำหนดให้เสรีภาพ และความหลากหลายทางการเมือง มีคุณค่าสูงสุดในรัฐสเปน รวมถึงเรื่องเสรีภาพในทางอุดมการณ์ นอกจากนี้ ต้องตีความตามคำประกาศสิทธิมนุษยชนสากล และอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิพลเมืองและการเมืองเรื่องเสรีภาพในการแสดงออกด้วย 
 
อย่างไรก็ตาม ศาลรัฐธรรมนูญของสเปน ก็ได้ระบุไว้ว่า เสรีภาพการแสดงออกก็ไม่ใช่ว่ามีขีดจำกัด โดยตามกฎหมาย ไม่อนุญาตให้มีการดูหมิ่นองค์พระมหากษัตริย์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และการใช้คำพูดที่เหยียดหยาม หากแต่อนุญาตให้ใช้คำพูดที่น่ารำคาญ (annoying) หรือเจ็บช้ำน้ำใจ (hurtful) ได้ ถือว่าไม่ผิดกฎหมาย
 
ทั้งนี้ บทลงโทษตามกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของสเปน กำหนดให้ผู้ที่ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์หรือรัชทายาท ถูกจำคุกระหว่าง 6 เดือนถึง 2 ปี หากเป็นการดูหมิ่นร้ายแรง และ 6 เดือนถึง 12 เดือนหากเป็นการดูหมิ่นที่ไม่ร้ายแรง 
 
อัยการอาวุโสของสเปน กล่าวว่า มาตรา 490 ของประมวลกฎหมายอาญา ระบุด้วยว่า บทลงโทษต่อการดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ จะรุนแรงขึ้น หากว่าพระองค์อยู่ในขณะที่ทรงงานหรือปฏิบัติในหน้าที่ แต่หากมีการดูหมิ่นประมาทต่อองค์กษัตริย์หรือรัชทายาทที่ไม่ได้ทรงปฏิบัติงาน จะลดบทลงโทษเป็นเพียงการปรับเท่านั้น เนื่องจากศาลสูงสุดสเปนเห็นว่ากฎหมายหมิ่นฯ มีไว้เพื่อพิทักษ์เกียรติและศักดิ์ศรีประมุขของรัฐ และเพื่อการรักษาอำนาจและหน้าที่ของรัฐที่เหมาะสม 
 
ไฮดัลโกกล่าวถึงกรณีการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญสเปนในปี 1990 ที่กลายมาเป็นหลักชี้วัดขอบเขตของการกระทำผิดตามกฎหมายหมิ่นฯ และเสรีภาพในการแสดงออก โดยศาลรัฐธรรมนูญได้กลับคำตัดสินของศาลฎีกาเมื่อปี 1987 ที่เอาผิดนักหนังสือพิมพ์ที่เขียนบทความวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์ว่ามีความคล้ายคลึงกับเผด็จการสมัยฟรังโก 
 
ศาลรัฐธรรมนูญระบุในกรณีดังกล่าวว่า สิทธิในการแสดงออกในความคิดและความเชื่อนั้นอยู่เหนือสิทธิในการเชิดชู  โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับความคิดเห็นที่เกี่ยวกับสาธารณะในทางสังคมเรื่องการเมือง และยิ่งหากเป็นบุคคลที่มีหน้าที่สาธารณะ หรือเกี่ยวข้องกับความจำเป็นของสาธารณะ ก็ย่อมมีความเสี่ยงในการถูกกระทบจากความคิดเห็นหรือข้อมูลจากสาธารณะได้ 
 
"นั่นเป็นเพราะว่าเสรีภาพในการแสดงออก เป็นวิธีที่แสดงออกถึงสิทธิขั้นพื้นฐานได้ นั่นคือ เสรีภาพในอุดมการณ์ หรือมาตรา 16 ในรัฐธรรมนูญสเปน และหากว่าไม่มีเสรีภาพทางอุดมการณ์ คุณค่าของระบบกฎหมายซึ่งเป็นพื้นฐานของนิติรัฐในทางสังคมและการเมือง ก็จะไม่มีประสิทธิผลใดๆ" ไฮดัลโกกล่าว
 
เดนมาร์ค: เสรีภาพการแสดงออกถือว่าเป็น "ออกซิเจน" ของสิทธิทั้งหมด 
 
นายปีเตอร์ มอร์ค ธอมเสน ผู้พิพากษาจากเดนมาร์ก กล่าวถึงความคล้ายคลึงของเดนมาร์คและไทย ทั้งการมีพระมหากษัตริย์ที่ทรงเป็นประมุขของรัฐ เป็นประมุขของศาสนา และการที่กฎหมายหมิ่นฯ ถูกบรรจุอยู่ในรัฐธรรมนูญหมวดความมั่นคงของรัฐและการก่อการร้าย นอกจากนี้ ประชาชนเดนมาร์คก็ยังมีความรู้สึกที่เป็น "เอกลักษณ์" ต่อราชินีของตนเอง เช่นเดียวกับคนไทยต่อสถาบันกษัตริย์ของตนเอง 
 
อย่างไรก็ตาม บทลงโทษของกฎหมายหมิ่นฯ กำหนดไว้เป็นการจำคุกสูงสุด 4 ปีเท่านั้น และไม่มีบทลงโทษขั้นต่ำ และปัจจุบันการใช้กฎหมายนี้ในเดนมาร์ค ก็แทบจะไม่มีแล้ว โดยตั้งแต่ปี 1933 เป็นต้นมา เดนมาร์คได้ยกเลิกการเอาผิดคำพูด (statements) ที่หมิ่นประมาท และเอาผิดเพียงการกระทำ (action) ที่มุ่งจะทำให้เกิดภัยต่อกษัตริย์เท่านั้น 
 
เขากล่าวว่า โดยทั่วไปแล้ว ผู้พิพากษาที่ดี ควรใช้สามัญสำนึกในการตัดสินและพิจารณาคดี ว่าตุลาการต้องการที่จะควบคุมการกระทำของพลเมืองแบบใด และควรต้องเข้าใจจุดประสงค์ของกฎหมาย มิใช่ตีความจากที่มาของกฎหมาย และตีความตามตัวอักษรเพียงอย่างเดียวเท่านั้น  
 
ผู้พิพากษาจากเดนมาร์คกล่าวถึงคดีความหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในเดนมาร์คเมื่อเร็วๆ นี้ ที่นักเคลื่อนไหวจากกลุ่มกรีนพีซได้บุกเข้าไประหว่างงานเลี้ยงอาหารค่ำของพระราชินีในปี 2009 เพื่อเรียกร้องให้ผู้นำประเทศต่างๆ ร่วมมือกันแก้ปัญหาเรื่องสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง จากนั้นในปี 2011 นักเคลื่อนไหวทั้งหมด 11 คน ได้ถูกตั้งข้อหาบุกรุก และหมิ่นประมาทพระราชินี 
 
นายธอมเสน ในฐานะที่เป็นหัวหน้าคณะผู้พิพากษาคดีดังกล่าว ชี้ว่า กฎหมายหมิ่นกษัตริย์ในเดนมาร์คมิได้ถูกใช้มานานมากแล้ว เนื่องจากว่าเสรีภาพในการแสดงออกถือเป็นสิทธิหลักในเดนมาร์ค 
 
"มันเป็นเสรีภาพที่เป็นฐานของเสรีภาพอื่นๆ ถือเป็นอ็อกซิเจนของเสรีภาพทั้งมวล และเสรีภาพในการแสดงออกนับเป็นสิ่งสำคัญในการท้าทายความคิดของระเบียบเดิม" เขากล่าว 
 
คณะผู้พิพากษา ได้พิจารณาว่า เนื่องจากการกระทำที่มุ่งประทุษร้ายราชินี ถือว่าเป็นความผิดตามกฎหมายอาญา อย่างไรก็ตาม พบว่าการกระทำของนักเคลื่อนไหวกรีนพีซ มิได้มุ่งก่อภัยอันตรายต่อราชินี เพราะบุกเข้าไปในงานเลี้ยงอาหารค่ำเพื่อต้องการจะส่งข้อความทางการเมืองเท่านั้น แต่มิได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อราชินีแต่อย่างใด อัยการจึงยกฟ้องข้อหาดังกล่าว 
 
เขากล่าวต่อว่า เป็นหน้าที่ของผู้พิพากษาที่จะทำให้ข้อกำกวมทางกฎหมายเป็นเรื่องที่ชัดเจน เนื่องจากเขาได้ยินมาว่า ประชาชนที่นี่ยังสับสนและมีความไม่ชัดเจนว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ตามกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แต่โดยตามหลักการแล้ว ควรจะเป็นหน้าที่ของศาลที่ทำให้สิ่งต่างๆ ชัดเจนกว่านี้ 
 
"มันน่าจะมีการจำกัดความการใช้หรือตีความกฎหมายที่ดีกว่านี้ อย่างบางกรณีที่มีชาวต่างชาติพ่นข้อความที่งี่เง่าลงไปบนพระบรมฉายาลักษณ์พระเจ้าอยู่ห้ว ก็ต้องถามว่าข้อความดังกล่าวเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติได้หรือไม่...ผมคิดว่าไม่ควรไปเอาข้อความดังกล่าวมาคิดอย่างจริงจัง" ธอมเสนกล่าว
 
โดยสรุป เขาเสนอว่า ควรให้ตุลาการค่อยๆ พิจารณาลดจำนวนการดำเนินคดีในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพลงไป และศาลควรจะต้องกำหนดแนวทางที่ชัดเจนออกมา ว่าสิ่งใดถือเป็นอาชญากรรมและอะไรบ้างที่ถือว่าไม่ใช่  
 
จอน อึ๊งภากรณ์ กล่าวว่า ในประเทศไทยนั้น เป็นเรื่องยากที่จะตำหนิสถาบันโดยที่ไม่พูดชมไปด้วยพร้อมกัน เนื่องจากมีบรรยากาศของโฆษณาชวนเชื่อเต็มไปหมดทั้งในโทรทัศน์และวิทยุ นอกจากนี้ ศาลไทยก็ยังถือว่าเป็นผู้ปกป้องสถาบันมาก แต่มิได้มองตนเองว่าเป็นผู้ปกป้องสิทธิมนุษยชนของประชาชนทั่วไป มีการตีความตามตัวอักษร และไม่มีมุมมองที่ก้าวหน้า ทำให้ตีความกฎหมายไปในทางที่แย่ที่สุด 
 
เขากล่าวว่า หลังจากการศึกษาของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ได้สรุปออกมาเป็นข้อเสนอแก้ไขกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพคือ ให้กำหนดบทลงโทษสูงสุดเป็น 7 ปี โดยไม่มีโทษขั้นต่ำ และ หากว่าการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวข้องกับเรื่องประโยชน์สาธารณะและเป็นไปด้วยความตั้งใจที่ดี ก็จะเป็นข้อยกเว้นจากการเอาผิด นอกจากนี้ ยังเสนอให้ผู้มีสิทธิกล่าวหาฟ้องร้องเป็นสำนักพระราชเลขาธิการเท่านั้น 
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีใครชิงการนำ นปช. แต่เพราะถดถอยเอง

Posted: 14 Feb 2013 05:17 AM PST

บทความ "ความขัดแย้งภายในหมู่ประชาชนและหลักการแก้ปัญหา" ของ อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ ได้สะท้อนความกังวลต่อบทบาทการนำของ นปช. ต่อมวลชนเสื้อแดง โดยชี้ว่ามีความพยายามช่วงชิงการนำด้วยการโจมตี บิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อใส่ร้ายป้ายสี นปช.

อ.ธิดา อาจจะคิดว่าเป็นเพราะข่าวสารผิดพลาด และมีความพยายามช่วงชิงการนำ แต่บทบาทการนำได้ถดถอยมาก่อนหน้านี้นานพอสมควร

ความถดถอยในบทบาทการนำ
นับตั้งแต่ปี 2551 หลังจากยึดทำเนียบของ พธม. ที่ได้ผลักดันมวลชนเสื้อแดงออกสู่ท้องถนน นปช. ยุคใหม่ก็ได้แสดงบทบาทการนำแต่นั้นมา นปช. สามารถระดมมาชุมนุมไม่น้อยกว่าห้าแสนคนในปี 2553 ซึ่งเป็นการชุมนุมขนาดใหญ่ที่ยาวนานในประวัติศาสตร์

แค่ภายหลังการปราบปรามการชุมนุมที่ราชประสงค์ ในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 แกนนำของ นปช. ถูกจับกุม ทำให้การเคลื่อนไหวโดย นปช. ขาดหายไป ขณะที่ สมบัติ บุญงามอนงค์และมวลชนเสื้อแดงจำนวนหนึ่ง รวมถึงเสื้อแดงกลุ่มย่อยบางส่วน ยังคงเคลื่อนไหวท้าทาย พรก.ฉุกเฉิน จนถึงจุดสูงสุดในวันที่ 19 ตุลาคม 2553 ที่มาร่วมชุมนุมหลายหมื่นคน

การเคลื่อนไหวส่งผลมวลชนเสื้อแดงและเสื้อแดงกลุ่มย่อยมีประสบการณ์มากขึ้น มีส่วนร่วมมากขึ้น เช่น ในวันที่ 10 ตุลาคม 2553 เสื้อแดงภาคตะวันตก จัดขบวนรถยนต์ประมาณ 30 คัน รวมกับเสื้อแดงใน กทม.และพื้นที่ใกล้เคียง มีรถยนต์ประมาณ 100 คัน เดินทางราชประสงค์ไปยังอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ขณะเดียวกัน นปช. ยังคงไม่มีการเคลื่อนไหว กว่าที่ นปช. จะเคลื่อนไหวก็เป็นช่วงหลังจาก รัฐบาลอภิสิทธิ์ ยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ในเดือนธันวาคม 2553

ถึงแม้ว่า การเคลื่อนไหวในช่วงเวลานี้ จะไม่มีผลต่อการยอมรับการนำของ นปช. แต่เสื้อแดงกลุ่มย่อมมีการยกระดับความสามารถในการเคลื่อนไหว ส่งผลต่อความมั่นใจในการเคลื่อนไหวด้วยตัวเอง

ต่อมา การรณรงค์รวบรวมรายชื่อแก้ไขมาตรา 112 นำโดย ครก.  ขณะที่ พท. ขัดขวางการเคลื่อนไหว ครั้น นปช. ไม่สนับสนุนการเคลื่อนไหวและยังขัดขวาง แต่ไม่แสดงโดยตรงเหมือน พท. เช่น การให้สัมภาษณ์ของ จตุพร พรหมพันธ์ ที่กล่าวโดยนัยว่า มีความพยายามหาข้ออ้างล้มรัฐบาล จากการเคลื่อนไหวแก้ไขมาตรา 112 ซึ่งสร้างความหวั่นไหวให้กับเสื้อแดง แต่การเคลื่อนไหวไม่ได้หยุดลง เสื้อแดงกลุ่มย่อยได้เข้าร่วมอย่างคึกคักในระดับทั่วประเทศสามารถรวบรวมรายชื่อได้ประมาณ 40,000 รายชื่อ

การขัดขวางการแก้ไข มาตรา 112 ของ พท. ได้ทำลายความเชื่อมั่นของเสื้อแดงที่กระตือรือร้นในเรื่องความตั้งใจของ พท. และ นปช. ในการสร้างประชาธิปไตยสมบูรณ์ ขจัดอำนาจของอำมาตยาธิปไตย นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการลดระดับการยอมรับการนำของ นปช. ในเสื้อแดงย่อย

ปริญญาโบนันซ่า
ในบทความของประธาน นปช. ได้พยายามชี้ว่า นปช. ได้ทำดีที่สุด ด้วยการอ้างถึงภารกิจในการแก้รัฐธรรมนูญ โดยอ้างถึง "ปฏิญญาโบนันซ่า" ในเดือนธันวาคม 2555 คือ

1) ให้รัฐสภาโหวดผ่านวาระ 3 เพื่อลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญ

2) ให้รัฐบาลประกาศรับรองเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศเฉพาะกรณีการปราบปรามประชาชนในวันที่ 10 เมษายน – พฤษภาคม 2553

3) การออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับประชาชนในคดีอาญาทั้งหลาย อันเนื่องมาจากความขัดแย้งทางการเมืองทุกสีเสื้อ

ประเด็นการแก้รัฐธรรมนูญ ถึงแม้ว่า นปช. จะอ้างเป็นภารกิจสำคัญ แต่เสื้อแดงรู้ว่า ถ้า พท. ไม่สนับสนุน การผลักดันของ นปช. ก็ไม่มีวันเป็นจริง

ประเด็น การรับรองศาลอาญาระหว่างประเทศ เฉพาะกรณีการปราบปรามประชาชนในวันที่ 10 เมษายน – พฤษภาคม 2553 ในขณะที่ศาลอาญาได้ตัดสินคดีในทิศทางที่เสื้อแดงยอมรับได้ การพิจารณาในทิศทางเป็นไปได้ยากที่ศาลอาญาระหว่างประเทศจะมาแทรกแซง แต่ถ้า นปช. ยังยืนยันในเรื่องนี้ ควรปรับเป็นการให้สัตยาบัน รับรองเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ เพื่อป้องกันการปราบปรามการชุมนุมของประชาชนในอนาคตที่อาจจะเกิดขึ้นมากกว่า

ประเด็น การออกกฎหมายนิรโทษกรรม ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องดีเหมาะสม แต่ในขณะที่ประกาศก็ไม่มีรูปธรรม ไม่มีตัวร่างกฎหมาย และที่สำคัญคือ ช้าเกินไป

การช่วยเหลือนักโทษการเมืองน้อยและช้าเกินไป
การช่วยเหลือนักโทษการเมืองเป็นประเด็นสำคัญมาก เพราะสาเหตุที่พวกเขาต้องถูกจำคุกของบุคคลเหล่านี้สืบเนื่องมาจากการชุมนุมที่นำโดย นปช. จึงเป็นพันธะที่ไม่อาจปฏิเสธแม้แต่น้อย เมื่อ พท. ได้มาเป็นรัฐบาล สภาได้เสนอร่าง พรบ. ปรองดองฉบับเหมาเข่ง ซึ่งไม่สามารถผ่านออกมาได้ และข้อโต้แย้งมากมาย โดยเฉพาะจากฝ่ายเสื้อแดง

ในช่วงการอดอาหารประท้วงเรียกร้องให้ประกันตัวนักโทษการเมือง เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ในคิวอดอาหารของ ดร.สุดา รังกุพันธ์ นายแพทย์เหวง ได้มาเยี่ยม ผมได้ถือโอกาสถามว่า เมื่อไร นปช. จะเสนอร่าง พรบ.นิรโทษกรรมเสื้อแดงในกรณีเผาศาลากลางและ 112 นายแพทย์เหวงตอบว่า ร่างให้เฉพาะคนเหล่านี้ทำไม่ได้ ผมบอกว่า ถ้าผมสามารถร่างได้มาเสนอจะรับไปดำเนินการต่อ นายแพทย์เหวงตอบว่าได้ ถึงแม้ว่า ผมจะไม่สามารถเสนอร่างได้ แต่ข่าวสารได้ไปถึง นปช. แต่กว่าจะมีข้อเสนอกฎหมายนิรโทษกรรมได้ก็ใช้เวลานานประมาณ 10 เดือน ใน "ปฏิญญาโบนันซ่า" เดือนธันวาคม 2555

แต่ที่มาข้อเรียกร้องกฎหมายนิรโทษกรรมนั้นก็ไม่ได้มาจากข้อเสนอของผม แต่เข้าใจว่ามาจากความกดดันของมวลชนเสื้อแดง เมื่อมีการสั่งถอนประกัน ก่อแก้ว พิกุลทอง ซึ่งแกนนำ นปช.คนที่สองที่ต้องเข้าเรือนจำหลักสี่ แกนนำ นปช.ที่มาเยี่ยม ก่อแก้ว ต้องเผชิญคำถามจากกับมวลชนเสื้อแดงที่มาเยี่ยมนักโทษการเมือง ว่าทำไมประกันแต่แกนนำ สิ่งสำคัญที่ก่อให้เกิดความรู้สึกเช่นนี้ เป็นเพราะแกนนำ นปช. ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวจะเยี่ยมนักโทษเหล่านี้แม้แต่ครั้งเดียวตลอดระยะ 2 ปีกว่า ไม่มีการดูแลครอบครัวของบุคคลเหล่านี้แม้แต่น้อย

การรวมตัวของเสื้อแดงในวันที่ 29 ม.ค. นำโดย ดร.สุดา เกิดขึ้นเพราะเสื้อแดงกลุ่มย่อยและมวลชนไม่มีความมั่นใจต่อความมุ่งมั่นของ นปช. ในการผลักดันการนิรโทษกรรม

ถ้าย้อนกลับไปที่การรวบรวมความจริงของเหตุการณ์ พฤษภาคม 2553 คนเสื้อแดงได้ให้ข้อมูลจำนวนมากกับ พท. และ นปช. แต่ นปช. ไม่ได้แสดงตัวเป็นแนวหน้าในการผลักดันและเปิดเผยเรื่องนี้ เพียงแต่ส่งโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ซึ่งทนายผู้นี้ได้เสนอใช้ช่องทางผิดกับอภิสิทธิ์ ผ่านศาลอาญาระหว่างประเทศ

ในการเผยแพร่ความจริงของเหตุการณ์พฤษภาคม 2553 กลุ่มที่มีบทบาทก็เป็นเสื้อแดงกลุ่มย่อย และ ศปช. ในที่สุด ศปช. ที่ดำเนินงานด้วยงบประมาณจำกัดนี้ สามารถรวบรวมและจัดทำเอกสารที่ส่งผลสะเทือนอย่างมาก ในขณะที่ นปช. และ พท. ไม่สามารถทำได้ทั้งที่มีทรัพยากรมากกว่า

การปรับตัวเพื่อฟื้นฟูการนำ
นปช. ยังเป็นองค์กรที่เสื้อแดงให้ความเชื่อถือและยอมรับการนำมาโดยตลอด มีความสามารถนำการเคลื่อนไหวขนาดใหญ่ มีผู้เข้าร่วมมาหลายแสนคนถึงสองครั้ง แต่การนำตกต่ำหลังเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2553

นปช. ควรจะปรับตัวเพื่อฟื้นฟูช่วงชิงการนำกลับให้ยิ่งใหญ่เหมือนเดิม

ประการแรก ต้องมองเสื้อแดงว่ามีพลวัตร มีขีดความสามารถในการเคลื่อนไหวด้วยตัวเองมากขึ้น ดังนั้นการสั่งการโดยหวังว่าจะเชื่อฟังโดยดีเหมือนในอดีตคงไม่มีอีกแล้ว

ประการที่สอง "ต้องเดินแนวทางมวลชน" ควรเลิกทำตัวเป็นอำมาตย์แดง เหินห่างมวลชน ไม่ฟังเสียงมวลชน

ประการที่สาม นปช. ต้องยืนยันในจุดยืนเคียงข้างมวลชนเสื้อแดงมากขึ้น ดูแลเอาใจใส่ผู้ได้รับผลกระทบ ไปพร้อมกับจุดยืนประชาธิปไตยต่อต้านอำมาตย์

ประการที่สี่ ควรสร้างการเชื่อมโยงกับเสื้อแดงกลุ่มย่อยบนพื้นฐานของหลักการประชาธิปไตย ไม่ควรคิดว่าองค์กรเหล่านี้ต้องขึ้นต่อ ตลอดเวลาที่ผ่านมาฝ่าย นปช. ไม่มีประสิทธิภาพในการสร้างองค์กรรวบรวมเสื้อแดงที่กระจัดกระจายให้เป็นเอกภาพระดับสูง ทั้งที่มีปัจจัยเอื้ออำนวยและทรัพยากร เมื่อถึงเวลานี้ควรลดทิฐิส่วนตัวว่า ทุกคนต้องขึ้นต่อแกนนำ นปช.

ถึงแม้ว่าสถานการณ์ปัจจุบันจะเงียบสงบ พท. สามารถรักษาอำนาจมานานพอสมควร แต่ความเงียบสงบนี้อาจจะเป็นทะเลสงบก่อนพายุใหญ่จะมา ดังนั้น เรามีความต้องการองค์กรนำอย่าง นปช. ในสถานการณ์ที่คนเรือนแสนอาจจะต้องออกมาสู่ท้องถนนอีกครั้งหนึ่ง เพราะองค์กรนำไร้ประสิทธิภาพ ยังดีกว่ามวลชนออกมาแบบอนาธิปไตยที่การสูญเสียจะมากมายมหาศาล

 

 

 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กลุ่มหลากหลายทางเพศ รณรงค์ ขอ "ทุกเพศ" ได้จดทะเบียน รับวาเลนไทน์

Posted: 14 Feb 2013 05:06 AM PST

 

(14 ก.พ.56)  กลุ่มเครือข่ายความหลากหลายทางเพศหลายสิบคน เดินทางไปยังอาคารบริษัท กสท.โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ถนนเจริญกรุง เขตบางรัก ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานจดทะเบียนสมรสหมู่ ภายใต้ชื่องาน "รัก ณ บางรัก เคียงคู่ สู่ฝัน ในวันใหม่"  ที่สำนักงานเขตบางรัก ร่วมกับหลายหน่วยงานจัดขึ้น เพื่อรณรงค์การจดทะเบียนสมรสของคนทุกเพศ และร่วมแสดงความยินดีกับคู่หญิงชายที่ได้จดทะเบียนในวันนี้

อัญชนา สุวรรณานนท์ ผู้อำนวยการมูลนิธิอัญจารี กล่าวว่า อยากมีส่วนในการเข้าร่วมการจดทะเบียนหมู่ของเขตบางรัก เพราะยังมีคู่อีกมากมายที่อาจจะยังไม่ได้รับการรับรองตามกฎหมายไทย ซึ่งกำหนดไว้แค่ว่าเฉพาะชายกับหญิงเท่านั้นจึงจะสมรสได้ แต่จริงๆ แล้วคู่ในประเทศไทยมีมากมายไม่ว่าจะอัตลักษณ์แบบไหน ไม่ว่าคนที่รักเพศเดียวกัน คนข้ามเพศ คู่เหล่านี้ตอนนี้ยังไม่สามารถจดทะเบียนสมรสได้ ทำให้ขาดการคุ้มครองจากกฎหมายที่จะกำหนดให้ต่างมีหน้าที่ในการดูแลกันและกัน หรือในเวลามีเหตุวิกฤตในชีวิต อย่างอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วยหนัก โชคร้ายกว่านั้นถึงกับมีการตาย เราไม่สามารถไปจัดการคู่ของเราในฐานะคู่สมรสได้ เราจะเป็นเพียงเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งทำให้หลายคู่ทุกข์ใจอย่างมาก สอง การได้รับสวัสดิการต่างๆ ในฐานะคู่สมรส ซึ่งจะทำให้การใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน สะดวกและมั่นคงมากขึ้น ไม่ว่าประกันสังคม การทำประกันชีวิต การขอกู้เงินร่วม

"คู่สมรสคู่ชายหญิงได้อะไรเราก็อยากได้อย่างนั้นเช่นกัน เราก็ไม่ได้ต่างกันในเนื้อหาของความรัก การเอาใจใส่" อัญชนากล่าว

นพวรรณ พุ่มเงินพวง กลุ่มอัญจารี กล่าวเสริมว่า หวังว่าวันหนึ่ง จะได้สิทธิเท่ากับหญิงชายทั่วไป เราไม่ได้ขอมากกว่า ขอแค่เท่าเทียมกับคนอื่น ทะเบียนสมรสเป็นอันหนึ่งที่พวกเราอยากได้ เพราะทุกคนเกิดแก่เจ็บตายเหมือนกัน เวลาที่เราอยู่กับใครสักคนหนึ่ง ถ้าเขาเห็นเราตายหรือเขาตายต่อหน้าเรา เป็นอะไรที่หดหู่  ชายหญิงถึงไม่ได้แต่งงานกัน แต่มีสิทธิในการจัดการศพที่พึงมี เราก็อยากได้เหมือนกัน ไม่ได้ขออะไรที่เกินเลย พ.ร.บ.คู่ชีวิต จะเป็นการแสดงออกว่าเรามีครอบครัว มีคนที่เราอยากดูแล  มีคนที่เขาอยากดูแลเรา และมีผลทางกฎหมายด้วย

นอกจากนี้ ในการรณรงค์ ยังมีรุ่งทิวา ตังคโนภาส และ ภัลลวี จงตั้งสัจธรรม คู่รักเพศเดียวกัน สวมชุดแต่งงานเดินทางมาขอจดทะเบียนด้วย แต่ไม่สามารถจดได้ เนื่องจากตามกฎหมาย บุคคลที่จะจดทะเบียนสมรสต้องเป็นชายกับหญิงเท่านั้น

รุ่งทิวา ตังคโนภาส กล่าวว่า คบกับคนรักมาเก้าปีย่างปีที่สิบ ใช้ชีวิตคู่กันมานานแล้ว หากได้จดทะเบียน จะทำให้สบายใจด้านทรัพย์สินที่ร่วมกันสร้างมา เพราะจะทำประกันชีวิต ก็ไม่สามารถยกทรัพย์สินให้กันได้ เวลาอีกฝ่ายเจ็บป่วยหรือผ่าตัด หมอก็ไม่ยอมให้ตนเองเซ็น ต้องให้ญาติเป็นคนเซ็นเหมือนเขากลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง นอกจากนี้ หากได้จดทะเบียนก็อยากจะไปทำกิ๊ฟท์ด้วย

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

40 องค์กรกิจกรรม 243 รายชื่อ แถลงค้านการผ่านร่าง พรบ.ม.เกษตรฯ ออกนอกระบบ

Posted: 14 Feb 2013 04:46 AM PST

แนวร่วมนิสิตนักศึกษาคัดค้านการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ และ 40 องค์กรกิจกรรม พร้อมด้วย 243 รายชื่อ นักศึกษา-ประชาชน แถลงค้านการผ่านร่าง พรบ.ม.เกษตรฯ ออกนอกระบบ พร้อมด้วยบุกสภา แก้ผ้า ร้องเลื่อนพิจารณา ร่างฯ ดังกล่าว ด้าน "อธิการมก."ยันม.นอกระบบทำตามขั้นตอน

เมื่อวันที่ 13 ก.พ.ที่ผ่านมา แนวร่วมนิสิตนักศึกษาคัดค้านการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ และ 40 องค์กรกิจกรรม พร้อมด้วย 243 รายชื่อ นิสิต นักศึกษาและ ประชาชน ออกแถลงการณคัดค้านการผ่านร่างพระราชบัญญัตินำมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ออกนอกระบบ ภายใต้สโลแกน "การศึกษาต้องเป็นรัฐสวัสดิการ เด็กไทยต้องมีโอกาสได้เล่าเรียนอย่างเท่าเทียมหยุดแปรรูปการศึกษา หยุดม.นอกระบบ" เนื่องจากในวันดังกล่าว คณะรัฐมนตรีได้ดำเนินการส่งร่างดังกล่าวเพื่อให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเพื่อรับหลักการ ร่างพระราชบัญญัติในวาระแรก

ทั้งนี้แถลงการณ์ฉบับดังกล่าวประกอบด้วยข้อเรียกร้อง 5 ข้อ ดังนี้

1. ขอให้สภาผู้แทนราษฎรเลื่อนการพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พ.ศ. .... ออกไปก่อน  และให้ส่งร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวกลับมาให้ประชาคมมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ทบทวนและมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางในการพัฒนามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

2. ขอให้รัฐบาลทำหนังสือถึงผู้บริหารมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ขอให้เปิดเผยข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการนำมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ออกนอกระบบ ให้เป็นที่รับรู้ต่อนิสิตและประชาคมเกษตรศาสตร์อย่างเต็มที่และทั่วถึง

3. ขอแสดงจุดยืนในการร่วมคัดค้านการนำมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ออกนอกระบบ ร่วมกับแนวร่วมนิสิตคัดค้านการนำมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ออกนอกระบบ และขอแสดงจุดยืนในการคัดค้านการนำมหาวิทยาลัยอื่นๆ ออกนอกระบบราชการ การนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบนั้น ไม่ใช่คำตอบของระบบการศึกษา ไม่ใช่การแก้ไขปัญหาทางการศึกษาแต่อย่างใด กลับเป็นการซ้ำเติมปัญหา และสร้างความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาให้ยิ่งห่างไกลกว่าเดิม ทั้งยังเป็นการเปิดโอกาสให้คณะบุคคลบางกลุ่มเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ในมหาวิทยาลัย โดยขาดระบบในการตรวจสอบถ่วงดุล

4. ขอเสนอให้รัฐบาล โดยกระทรวงศึกษาธิการดำเนินการสรุปบทเรียน ข้อดี-ข้อเสีย และผลกระทบต่อนิสิตนักศึกษา คณาจารย์ บุคลากร พนักงานมหาวิทยาลัยตลอดจนพี่น้องประชาชน ภายหลังจากการที่ได้มีการนำมหาวิทยาลัยหลายแห่งออกนอกระบบ ในยุคเผด็จการคมช. เมื่อปีพ.ศ. 2551  การนำมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ธนบุรี ออกนอกระบบเมื่อ ปีพ.ศ. 2541 และการก่อตั้งมหาวิทยาลัยในกำกับตั้งแต่แรกเริ่ม เช่น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี

5. ขอสนับสนุนให้มหาวิทยาลัยทุกแห่งมีเสรีภาพทางวิชาการ ภายใต้การอุดหนุนงบประมาณจากรัฐบาล ขอให้มีการกำหนดว่า "การศึกษาเป็นสวัสดิการที่รัฐจัดให้ประชาชนเข้าถึงอย่างเทียม ฟรีตั้งแต่อนุบาลถึงปริญญาตรี รวมทั้งระบบการศึกษาทางเลือกอื่นๆ" ไว้ในรัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นการประกันโอกาสทางการศึกษาของประชาชน

ภาพโดย คุณากร เมืองเดช

นศ.บุกสภา แก้ผ้า ร้องเลื่อนพิจารณา 'ร่าง พ.ร.บ.ม.นอกระบบ'

ในวันเดียวกัน เวลาประมาณ 10.30 น. แนวร่วมนิสิตนักศึกษาคัดค้าน ม.นอกระบบ และกลุ่มนักศึกษาอีกกว่า 50 คน จากหลากหลายสถาบัน รวมกลุ่มกันหน้ารัฐสภา เพื่อยื่นหนังสือขอให้สภาผู้แทนราษฎรเลื่อนการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ออกไปอย่างไม่มีกำหนด เพื่อให้มีการทบทวนเนื้อหาของ ร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าว และขอให้นิสิตนักศึกษาของแต่ละสถาบันมีส่วนร่วมในการร่าง พ.ร.บ. ของมหาวิทยาลัยของตน โดยมีนายวัฒนา เซ่งไพเราะ โฆษกประธานสภาผู้แทนราษฎร และนายตวง อันทะไชย ส.ว.สรรหา เป็นผู้มารับหนังสือ ทั้งนี้ นอกจากการยื่นหนังสือแล้ว กลุ่มนักศึกษายังถอดเสื้อผ้าประท้วง โดยมีป้ายข้อความคัดค้าน ม.นอกระบบพันรอบตัวด้วย เพื่อสื่อว่า ม.นอกระบบทำให้ประชาชนหมดเนื้อหมดตัว พร้อมตะโกนว่า "ไม่มีตังค์เรียนแล้ว ค่าเทอมแพง"

ด้านนายอำนวย คลังผา ประธานวิปรัฐบาล สัญญากับผู้ยื่นหนังสือว่าจะขอให้สภาฯ เลื่อนการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว กลุ่มนักศึกษาจึงยุติการชุมนุมที่หน้ารัฐสภา

ภาพขณะยื่นหนังสือค้านการผ่านร่าง พรบ.ดังกล่าว

"อธิการมก."ยันม.นอกระบบทำตามขั้นตอน

ทั้งนี้ คมชัดลึกออนไลน์ รายงานด้วยว่า รศ.วุฒิชัย กปิลกาญจน์ อธิการมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวถึงกรณีนี้ว่า มหาวิทยาลัยได้ดำเนินการทุกอย่างถูกต้องตามกระบวนการจนกระทั่ง ร่าง พรบ.มก. พ.ศ...ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งหาร่าง พรบ.มก.พ.ศ... มีปัญหาจริงสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ก็จะไม่เสนอไปยัง ศธ.เพื่อเสนอเข้าที่ประชุม ครม.แน่นอน อย่างไรก็ตาม กรณีที่แนวร่วมนิสิตนักศึกษาฯ ซึ่งออกมาคัดค้านครั้งนี้ระบุว่า ร่าง พรบ.มก. พ.ศ.. ไม่ผ่านประชาคมนักศึกษา มก.ก่อนนั้น ยืนยันว่ามหาวิทยาลัยดำเนินการทุกขั้นตอนแล้ว และก่อนหน้าที่ประชาคมนักศึกษาเคยขอให้ไปชี้แจงเรื่องดังกล่าว มหาวิทยาลัยก็ได้ไปชี้แจงแล้วเช่นกัน ขณะเดียวกัน ก็ได้รายงานการดำเนินการทุกอย่างต่อสภา มก.รวมถึงนายกสภา มก.รับทราบด้วย จากนี้ก็เป็นขั้นตอนในการพิจารณาร่าง พรบ.มก. พ.ศ...ในที่ประชุมสภาฯ

"นักศึกษาเคยขอให้เราไปชี้แจงก็ได้ชี้แจงไปแล้ว ทุกครั้งที่ผ่านมามหาวิทยาลัยก็ได้พยายามทำความเข้าใจและชี้แจงมาตลอด ซึ่งผมเข้าใจดีว่าการจะทำอะไรก็ตามไม่มีทางที่จะมีคนเห็นด้วย 100% ต้องมีบางส่วนไม่เห็นด้วยแต่ต้องดูด้วยว่าจำนวนคนที่ไม่เห็นด้วยจำนวนเท่าไร แต่ผมก็ยืนยันทำทุกอย่างถูกต้องแล้วถ้าผิดพลาดอะไร สกอ.ก็จะต้องส่งมาแก้ไขแต่แรก ส่วนการที่มีนักศึกษาออกมาคัดค้านก็เข้าใจดี ไม่เป็นไรเพราะทุกคนมีสิทธิ์ที่จะแสดงออก แสดงความคิดเห็นได้"อธิการ มก.กล่าว

 

แถลงการณ์คัดค้านการผ่านร่างพระราชบัญญัตินำมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ออกนอกระบบ

ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2555 เห็นชอบผ่านร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พ.ศ. ....  ซึ่งมีเนื้อหาในการแปรสภาพมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์จากมหาวิทยาลัยของรัฐไปสู่การเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับรัฐ(ออกนอกระบบราชการ) และคณะรัฐมนตรีได้ดำเนินการส่งร่างดังกล่าวเพื่อให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเพื่อรับหลักการวาระแรก ในวันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2556 นั้น

ในนามของแนวร่วมนิสิตนักศึกษาคัดค้านการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ ซึ่งได้ทำการรณรงค์เคลื่อนไหว คัดค้านการแปรสภาพของมหาวิทยาลัยและได้นำเสนอข้อมูลมาต่อรัฐบาลมาแล้วหลายครั้ง ทั้งยังเคยยื่นหนังสือต่อ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีแล้วสองครั้ง จึงมีความเห็น ข้อเสนอและขอแสดงจุดยืนต่อสถานการณ์ดังกล่าว ดังนี้

1.   ขอให้สภาผู้แทนราษฎรเลื่อนการพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พ.ศ. ....ออกไปก่อน  และให้ส่งร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวกลับมาให้ประชาคมมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ทบทวนและมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางในการพัฒนามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

2.   ขอให้รัฐบาลทำหนังสือถึงผู้บริหารมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ขอให้เปิดเผยข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการนำมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ออกนอกระบบ ให้เป็นที่รับรู้ต่อนิสิตและประชาคมเกษตรศาสตร์อย่างเต็มที่และทั่วถึง

3.   ขอแสดงจุดยืนในการร่วมคัดค้านการนำมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ออกนอกระบบ ร่วมกับแนวร่วมนิสิตคัดค้านการนำมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ออกนอกระบบ และขอแสดงจุดยืนในการคัดค้านการนำมหาวิทยาลัยอื่นๆ ออกนอกระบบราชการ การนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบนั้น ไม่ใช่คำตอบของระบบการศึกษา ไม่ใช่การแก้ไขปัญหาทางการศึกษาแต่อย่างใด กลับเป็นการซ้ำเติมปัญหา และสร้างความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาให้ยิ่งห่างไกลกว่าเดิม ทั้งยังเป็นการเปิดโอกาสให้คณะบุคคลบางกลุ่มเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ในมหาวิทยาลัย โดยขาดระบบในการตรวจสอบถ่วงดุล

4.   ขอเสนอให้รัฐบาล โดยกระทรวงศึกษาธิการดำเนินการสรุปบทเรียน ข้อดี-ข้อเสีย และผลกระทบต่อนิสิตนักศึกษา คณาจารย์ บุคลากร พนักงานมหาวิทยาลัยตลอดจนพี่น้องประชาชน ภายหลังจากการที่ได้มีการนำมหาวิทยาลัยหลายแห่งออกนอกระบบ ในยุคเผด็จการคมช. เมื่อปีพ.ศ. 2551  การนำมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ธนบุรี ออกนอกระบบเมื่อ ปีพ.ศ. 2541 และการก่อตั้งมหาวิทยาลัยในกำกับตั้งแต่แรกเริ่ม เช่น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี

5.   ขอสนับสนุนให้มหาวิทยาลัยทุกแห่งมีเสรีภาพทางวิชาการ ภายใต้การอุดหนุนงบประมาณจากรัฐบาล ขอให้มีการกำหนดว่า "การศึกษาเป็นสวัสดิการที่รัฐจัดให้ประชาชนเข้าถึงอย่างเทียม ฟรีตั้งแต่อนุบาลถึงปริญญาตรี รวมทั้งระบบการศึกษาทางเลือกอื่นๆ" ไว้ในรัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นการประกันโอกาสทางการศึกษาของประชาชน

การศึกษาต้องเป็นรัฐสวัสดิการ เด็กไทยต้องมีโอกาสได้เล่าเรียนอย่างเท่าเทียม

หยุดแปรรูปการศึกษา หยุดม.นอกระบบ

ด้วยจิตสมานฉันท์

แนวร่วมนิสิตนักศึกษาคัดค้านการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ

1.         กลุ่ม เม็ดทราย มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

2.         กลุ่มระบายฝัน มหาวิทยาลัยนเรศวร พิษณุโลก

3.         กลุ่มเพื่อนนักกิจกรรม (Friend for Activists Network)

4.         เครือข่ายเยาวชนเพื่อการศึกษาไทย (YNTE)

5.         กลุ่มดาวดิน มหาวิทยาลัยขอนแก่น

6.         กลุ่มแตกหน่อ

7.         กลุ่มสลึง   ม.มหิดล

8.         กลุ่มนกกระจอก มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช

9.         กลุ่มปูกฮัก มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

10.        กลุ่มเพื่อนวันสุข มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี

11.        กลุ่มรั้วแดง  มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา

12.        กลุ่มลูกชาวบ้าน  ม.บูรพา

13.        กลุ่มสะพานสูง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

14.        กลุ่มสำนึกรักบ้านเกิด มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี

15.        กลุ่มเสรีนนทรี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

16.        กลุ่มแสงดาว มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

17.        กลุ่มนักกิจกรรมเชียงราย

18.        ร้านกาแฟ พรรคสามัญชน สาขาฝาง

19.        กลุ่มอนุรักษ์ฯบ้านกรูด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

20.        กลุ่มอาสากลาง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

21.        เครือข่ายนักกิจกรรมภาคเหนือ

22.        เครือข่ายนักศึกษาคัดค้านม.นอกระบบ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

23.        เครือข่ายนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทาไม่เอาม.นอกระบบ

24.        แนวร่วมนักศึกษาธรรมศาสตร์จับตามหาวิทยาลัยนอกระบบ

25.        แนวร่วมนิสิตคัดค้านมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ออกนอกระบบ

26.        ชมรมมหาวิทยาลัย-ชาวบ้านมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

27.        ชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยบูรพา

28.        ซุ้มเหมราช มหาวิทยาลัยรามคำแหง

29.        พรรคบูรพาลมโชย มหาวิทยาลัยบูรพา

30.        ศูนย์ประสานงานเยาวชนเพื่อสังคมประชาธิปไตย (YPD)

31.        สมาคมยังเติร์กส

32.        สมาคมสังคมประชาธิปไตย

33.        สหภาพเยาวชนแรงงาน

34.        สมาคมศึกษาและเคลื่อนไหวปัญหาเศรษฐกิจการเมืองไทย

35.        สมาพันธ์นักเรียนไทยเพื่อการปฏิวัติระบบการศึกษาไทย

36.        องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง (อศ.มร.)

37.        สหพันธ์นักศึกษา 20 จังหวัดอีสาน ม.รามคำแหง

38.        กลุ่มรามอาสา  ม.รามคำแหง

39.        พรรคสานแสนทอง ม.รามคำแหง

40.        กลุ่มกล้าคิด ม.รามคำแหง

 

รายชื่อ นิสิต นักศึกษาและ ประชาชน ที่ร่วมลงชื่อ

1.         niphat kerngklangdon

2.         กนกกิตต์ การีวัฒน์  ลูกชาวบ้าน ม.บูรพา

3.         กนกทิพย์ สุ่มเงิน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

4.         กนกวรรณ มีพรหม

5.         กนกวรรณ ศรีละออง สำนักวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

6.         กรณัฐ ทองสมุทร ม.บูรพา

7.         กรินทร์ กลิ่นขจร คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง

8.         กฤษฎา ปทุมแมน ปธ.ฝ่ายบำเพ็ญประโยชน์ องค์การนิสิต มหาวิทยาลัยบูรพา

9.         กษาปณ์ชาติ หล้าพัฒนกุล

10.        กันต์ แสงทอง

11.        กัมพล วิลัยพร คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

12.        กิตติคุณ สายสังข์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง

13.        กิติศักดิ์  จันทร์ใหม่

14.        เกวลี อุปมา คณะวนศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์บางเขน

15.        ไกรชนม์ พินิจสุวรรณ  ม.เกษตรศาสตร์

16.        ไกรวิชญ์ สุขทองงาม  เชียงราย

17.        ขจรศักดิ์ แมลงภู่ คณะศึกษาศาสตร์ ม.บูรพา

18.        คณิศร กฤษฎาพรรณ  คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

19.        คมกฤช เท่งเจียว

20.        คุณากร  เมืองเดช มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

21.        จรรยาภรณ์ ภูคัง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

22.        จักรพงศ์ เอมโอช รัฐศาสตร์ มศว

23.        จักรี ส่งแสง คณะกรรมการ Stop corruption in the land of Thailand

24.        จารุวรรณ สาทลาลัย จบคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

25.        จิตรา คชเดช นักสหภาพแรงงาน

26.        จินตนา พวงมาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน

27.        จิรกิตติ์ อรุณสวัสดิ์ สังคมวิทยาวิจัยสังคม มธ.

28.        จิรพัทธ์ เบญจศรี

29.        จิรวิชญ์ ฉิมมานุกูล

30.        จิระพงศ์ เกิดขวัญ

31.        จิราพัชร น้อยคงคา  มหาวิทยาลัยบูรพา

32.        จิรายุ เปี่ยมรอด คณะวนศาสตร์  ม.เกษตรศาสตร์

33.        จีรภา สมพงษ์   มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

34.        จุฑาทิพย์ เชี่ยวชาญ กลุ่มลูกชาวบ้าน  ม.บูรพา

35.        เจษฎา จันทรโชติ ม.เกษตรศาสตร์บางเขน

36.        เฉลิมเกียรติ ผาพิมพ์

37.        ชนากานต์ อาทรประชาชิต

38.        ชนาภา เหยือกเงิน วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต

39.        ชวิศ วรสันต์ มหาวิทยาลัยบูรพา

40.        ชาญณรงค์ เหมือนปั้น   วิทยาลัยการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

41.        ชาติชาย แกดำ  กรรมการ YPD

42.        ชาลิสา ธรรมชัย ม บูรพา

43.        ชำม่า คานสกุล พยบ. 2552  ม.บูรพา

44.        ชินกฤช เสือแพร ศิษย์เก่าม.นเรศวร

45.        ชุติพงศ์ พิภพภิญโญ  กลุ่มลูกชาวบ้าน  ม.บูรพา

46.        ชุติพัทธ์ เดือนเพ็ญ นักศึกษา ม.ศิลปากร

47.        ชุติพันธุ์ สมพงษ์ โรงเรียนกันทรอมวิทยาคม

48.        ชุมพล ศรีรวมทรัพย์ อาจารย์พิเศษและนักวิชาการอิสระทางรัฐศาสตร์

49.        ชูเวช เดชดิษฐรักษ์ ในนามกลุ่มสลึง

50.        โชคนิธิ คงชุ่ม

51.        ซาฮารี เจ๊ะหลง จบคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง

52.        ฐปนพัฒน์ อินทร์ธนดล

53.        ฐิติรัช สร้อยสุวรรณ

54.        ณฐพล ใจคำ คณะมนุษยศาสตร์จิตวิทยา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

55.        ณัฎฐิกา เรืองทัพ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

56.        ณัฏฐพงศ์ อนุกูล มหาวิทยาลัยบูรพา

57.        ณัฐชา ฉายเพ็ชร

58.        ณัฐพงษ์ ภูแก้ว

59.        ณัฐพร ฉายเพ็ชร

60.        ณัฐพล ธีระเกษตรสกุล  มหาวิทยาลัยบูรพา

61.        ณัฐวัฒน์ กฤตยานวัช คณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา

62.        ณัฐวุฒิ ไชยนิสงค์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

63.        ณัฐวุฒิ อุปปะ เครือข่ายนักพัฒนาองค์กรพัฒนาเอกชนภาคเหนือตอนล่าง

64.        ดนยา จันทรวงศ์

65.        ดนัย กล่อมผ่อง

66.        ดลยา แสงอากาศ  ชุมชนกระท่อมเพื่อประชาชน

67.        ดวงฤทัย ตรวจนอก มช

68.        ดวงสวรรค์ วงษ์ดนตรี   คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา

69.        ดิลก หาญพล พรรคสามัญชน

70.        เดชดำรงค์ ประชุมสอน  มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

71.        ทิพย์ ภาภรณ์

72.        เทิดพันธุ์ พวงเพ็ชร

73.        เทียมปราชญ์ แก้วไทย ม.วลัยลักษณ์

74.        แทนไท สุวรรณรงค์   นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ สาขาการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

75.        ธนกิจ โคกทอง   บัณฑิตปริญญาโทและอาจารย์พิเศษ มหาวิทยาลัยนเรศวร

76.        ธนดล คงเกษม ดาวดินสมาชิกพรรคสามัญชน

77.        ธนภัทร คำสุข

78.        ธนเวศม์ สัญญานุจิต

79.        ธนสาร จันทร์ดี คณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา

80.        ธรรมนิจ ศุภกิจเจริญ

81.        ธวัช รวยสันเที๊ยะ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา

82.        ธัญญรัตน์ โกมล

83.        ธัญญลักษณ์ เทพพิทักษ์   มหาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแงแสน

84.        ธัญญารัตน์ พื้นพรม นิสิตคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

85.        ธัญเทพ นะตาปา รัฐศาสตร์ บูรพา

86.        ธิดา ธนะกิจรุ่งเรือง ศิษย์เก่า ม.เกษตรศาสตร์ กำแพงแสน         

87.        ธิวัชร์ ดำแก้ว  YPD

88.        นครินทร์ พัันธุมจินดา  ม.เกษตรศาสตร์

89.        นคิน  พูนศรี  ม.รังสิต

90.        นนทรัตน์ สุวรรณพงศ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แนวร่วม นศ.ธรรมศาสตร์จับตามหาวิทยาลัยนอกระบบ

91.        นพชัย เทโพธิ์ ม.เกษตรศาสตร์

92.        นริสรา พรหมพิทักษ์  ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

93.        นฤมนต์ คนรู้  วิทยาลัยกฎหมายและการปกครอง  มหาวิทยาลัยราชภัฎมหาสารคาม

94.        นฤมล กระจ่างดารารัตน์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

95.        นัธธินี เดชะคุณาพงษ์  กลุ่มสะพานสูง ธรรมศาสตร์

96.        นาถ ปานทอง ม บูรพา

97.        นายชัยพัทธ์ ช่วยแดง คณะวนศาสตร์ เกษตรศาสตร์

98.        นายอนุวัฒน์ พรหมมา  นักกิจกรรมทางสังคม พรรคสามัญชน

99.        นิติกร ค้ำชู เครือข่ายนักศึกษาคัดค้านการนำมหาวิทยาลัยขอนแก่นออกนอกระบบ

100.      นิติรัตน์ ทรัพย์สมบูรณ์ กลุ่มเพื่อนประชาชน

101.      นิพัทธา วีระนพรัตน์    นักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปากร

102.      นิพิฐพนธ์ คำยศ  มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

103.      นิภาภรณ์ ชับขุนทด

104.      เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล สมาพันธ์นักเรียนไทยเพื่อการปฏิวัติระบบการศึกษาไทย

105.      บรรจง นะแส สมาคมรักษ์ทะเลไทย

106.      บรรณกร จันทรทิณ

107.      บุญญบุตร สมบูรณ์พันธ์ สภานิสิต มหาวิทยาลัยบูรพา

108.      บุพมาส สันธิราษฎร์ ร้านกาแฟสามัญชน เชียงราย

109.      ปกรณ์  อารีกุล  กลุ่มลูกชาวบ้าน ม.บูรพา

110.      ปณิธาน ผัสสะผล    

111.      ประมวล ดวงนิล  สำนักตีมีดเทวดา สุรินทร์

112.      ประสิทธิ์ ฉายเพ็ชร

113.      ประสิทธิ์ชัย มากพิณ พ่อค้าเสื้อผ้า/กระท่อมเพื่อประชาชน(บางแสน)

114.      ประสิทธิพร กาฬอ่อนศรี  KU 45

115.      ปริวรรต  นิลวิเชียร  ลูกชาวบ้าน ม.บูรพา

116.      ปริวัตร พรหมเวชยานนท์

117.      ปรีชญา ข้าวบ่อ ลชบ.

118.      ปรีชาพล ชูชัยมงคล  นักศึกษาป.โทมหาวิทยาลัยแม่โจ้

119.      ปะการัง งามสำฤทธิ์ มหาวิทยาลัยบูรพา

120.      ปาจารีย์ นกเล็ก มหาวิทยาลัยบูรพา

121.      ปิ่นทอง ธิใจ  โครงการแสงแห่งความหวัง

122.      ปิยะนุช มหาปิยศิลป์

123.      ผลพันธุ์ รัตนภิิรมย์ ม.ทักษิณ

124.      ผ่องพรรณ ตรัยมงคลกูล    อดีตอาจารย์ ม.ก.

125.      พงศ์สุดา กาศยปนันท์

126.      พงษธร จิรกิจธนา  มหาวิทยาลัยบูรพา

127.      พนิดา บุญเทพ สมาชิกกลุ่มเพื่อนนักกิจกรรม (Friend for Activists Network)

128.      พล พลพนาธรรม

129.      พลวัฒน์ มหาสุวรรณนิกขะ   มหาวิยาลัยหอการค้าไทย

130.      พัชรี สุริยะจันทร์หอม

131.      พัดชา กิ่งวงษา   ม.แม่ฟ้าหลวง

132.      พิชญ์ธิดา บุญวิชัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

133.      พิมพ์ชนก พุกสุก ม.บูรพา

134.      พิระพงศ์ วงศ์แสนสี

135.      พิษณุ แก้วเทพ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

136.      พีรวิชญ์ มหายศ

137.      พีระศักดิ์ รินสาร มบูรพา กระท่อม ลูกชาวบ้าน

138.      เพ็ชรอนันต์ แก้วกุล   รัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา

139.      เพ็ญวดี แสงจันทร์

140.      ภรณ์ทิพย์ มั่นคง

141.      ภัทรจาริน ทรัพย์จันทร์   ศึกษาศาสาตร์ฯ เกษตรศาสตร์

142.      ภาคิไนย์ ชมสินทรัพย์มั่น

143.      ภาณุพร หงษ์ทอง นิสิตคณะเกษตรศาสตร์ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยนเรศวร

144.      ภานุกูล เทือกชัยคำ     นักศึกษามหาวิทยาลัยแม่โจ้ครับ

145.      ภานุพงษ์ หอมกลิ่น นักศึกษา ม. แม่โจ้

146.      ภารดี เกียรติภิญโญชัย. ประกอบธุรกิจส่วนตัวจังหวัดนครราชสีมา

147.      ภูวนาท คนชุม  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

148.      มนต์ธน เผือกม่วงศรี มหาวิทยาลัยบูรพา วิทยาเขตบางแสน

149.      มรกต สุวัชรกุล    ม.เกษตรศาสตร์

150.      มุกดา พิชยพาณิชย์

151.      มุกดา พิชยพาณิชย์

152.      โมนา โกตาเมย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

153.      ยายนวลทา กลั่นเรืองแสง  ร้านก๋วยเตี๋ยเรือบุญชนะ

154.      ยุทธนา คล้ายสุบรรณ

155.      ยุทธนา ลุนสำโรง   นักกิจกรรมเพื่อสังคม

156.      รวิวรรณ รักถิ่นกำเนิด นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

157.      รัชชานนท์ เชียรพิมาย ม.บูรพา

158.      รัฐศาสตร์ บาทชารี มหาวิทยาลัยขอนแก่น

159.      ราตรี สกุลเสน

160.      รุ่งวิทยา ไชยดิษฐ์

161.      รุ่งวิทยา ไชยดิษฐ์

162.      ฤทธิชัย บุญส่งศักดิ์

163.      เลิศถาวร สาพะพิพัฒน์พงษ์

164.      เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์

165.      วงศกร สารปรัง สมาชิกพรรคสามัญชน

166.      วชิต รามสูต มนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

167.      วรรณวิศา เกตุใหม่

168.      วรสถิตย์ บัวแดง

169.      วราพร ครามบุตร

170.      วรารัตน์ กิติธรากุล

171.      วสันต์ เสตสิทธิ์

172.      วัชรศักดิ์ จันทร์ทอง    มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน  

173.      วารุณี ภูริสัมบรรณ

174.      วิจาร ขันธุวาร

175.      วิชิต ภูมิอ่อน บัณฑิตคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

176.      วิเชียร ทาหล้า เยาวชนเชียงใหม่มหานคร

177.      วิภาดา กองสินแก้ว นิสิตคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์  มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

178.      วิรัญญา ปทุมซ้าย ม.แม่ฟ้าหลวง

179.      วิไลพร จิตรประสาร   กลุ่มเพื่อนประชาชน

180.      วิศวะ ภุมมา ครูผู้ช่วยโรงเรียนเกาะกูดวิทยาคม (นิสิตเก่าม.เกษตรศาสตร์)

181.      วีรพล โอฬารประโมช

182.      วุฒิ วงศ์ภิรมย์ศานติ์

183.      วุฒิชัย สวิพันธุ์   มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

184.      ศกุนตลา อิทธิสูตร

185.      ศราวุฒิ เรือนคง คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

186.      ศราวุธ โพธ์อยู่

187.      ศโรชิน อาจหาญ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

188.      ศักดิ์รพี รินสาร

189.      ศักรินทร์ เจริญรัตน์ คณะมนุษย์ฯ ม.บูรพา

190.      ศิริพร ฉายเพ็ชร

191.      ศิริวัลย์ จันแดง มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา

192.      ศุภชัย เสียงจันทร์

193.      ศุภณัฐ บุญสด

194.      ศุภโมกข์ ศิลารักษ์

195.      สตกมล บัวสละ นิสิตคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

196.      สนธยา โคตปัญญา

197.      สมฤดี แสงอรุณ นิสิตคณะศึกษาศาสตร์และพัฒนศาสตร์ ม. เกษตรศาสตร์

198.      สมลักษณ์ หุตานุวัตร

199.      สราวุธ กิติมา

200.      สหัสวัต คุ้มคง

201.      สันติ ปาปะกัง

202.      สันติสุข แฮนเซ่น ศิษย์เก่า ม.ราชภัฎสวนสุนันทา

203.      สายชล สิงห์สุวรรณ รร. เทศบาลวัดกลาง จ.ขอนแก่น

204.      สารี อ๋องสมหวัง

205.      สาลินี เจริญศรี   คณะศึกษาศาสตร์ฯ ม.เกษตรศาสตร์

206.      สาลินี ช่วยยก คณะวนศาสตร์

207.      สุจิตรา บัตรรัมย์

208.      สุชาย เจริญภักดิ์

209.      สุดารัตน์ บุญธรรม  (สามัญชนคนธรรมดา)

210.      สุทธิเกียรติ คชโส พรรคสามัญชน สาขาขอนแก่น

211.      สุทิน ด้วงคำฟู

212.      สุทิศา ชูวงค์

213.      สุนิสา  ศรีอุทัย คณะพยาบาลศาสตร์ ม.บูรพา

214.      สุปราณี อินเอี่ยม

215.      สุรัสวดี พงษ์พานิช มหาวิทยาลัยบูรพา

216.      สุรินทร์ ปัทมาสศนุพงศ์

217.      สุวิมล สุภัคเดชาพล  กลุ่มลูกชาวบ้าน ม.บูรพา

218.      แสงจันทร์ ฉายเพ็ชร

219.      โสระสะตี โกตาเมย์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้

220.      หนึ่งฤทัย คชสาร (ประชาชนผู้ผ่านระบบการศึกษาแย่ๆ แพงๆ)

221.      อนนต์ อันติมานนท์

222.      อนันตชัย โพธิขำ  นักศึกษาปริญญาโท สาขาลุ่มน้ำโขงศึกษา ม.ขอนแก่น

223.      อนุชา ตาดี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

224.      อนุชิต ดรลาดพันธุ์ ประธานนิสิตฝ่ายบำเพ็ญประโยชน์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

225.      อนุพงศ์ อินต๊ะวงศ์      ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ชร.

226.      อนุสรณ์ โพธาราม ม.บูรพา

227.      อมร เปี้ยจันทึก

228.      อรชุดา แสงเขียว มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

229.      อรรถกร เหลี่ยมสมบัติ

230.      อรรถพร ขำมะโน พรรคสามัญชน

231.      อรรถวุฒิ มรกฎจินดา    เกษตรศาสตร์กำแพงแสน

232.      อัครวินญ์ เขียนบัณฑิตย์ นักศึกษาปริญญาตรี มหาวิทยาลัยศิลปากร

233.      อังคณา ชื่นจำรัส มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

234.      อัญชัญไพร ไชยานุวงศ์

235.      อัญญาณี สิทธิอาษา

236.      อัมพร สาลิกา

237.      อาชว นากพงศธร

238.      อาทิตย์ นาคมรคา

239.      อาทิตย์ มีไมตรี

240.      อำนวย ชำนาญ ระยอง

241.      อิทธิพล โคตะมี

242.      อิทธิพล สีขาว

243.      อิสระพงศ์ เวียงวงษ์

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เมื่อผู้หญิงทั่วโลกลุกขึ้น 'เต้น' เพื่อเรียกร้องยุติความรุนแรงต่อสตรี

Posted: 14 Feb 2013 04:26 AM PST

ในวันรณรงค์สากลเพื่อยุติความรุนแรงต่อสตรี ผู้หญิงทั่วโลกจากฟิลิปปินส์ อินโดนีเซียถึงซานฟรานซิสโก ได้ลุกขึ้นเต้น เพื่อรณรงค์ "One Billion Rising" บอกโลกว่าผู้หญิงนับล้านจะไม่ยอมทนกับการถูกกระทำอีกต่อไป 

 

14 ก.พ. 56 - ผู้หญิงทั่วโลกได้รณรงค์ยุติความรุนแรงต่อสตรี ด้วยการรวมกลุ่มและลุกขึ้นเต้นในวันวาเลนไทน์เพื่อเรียกร้องให้ยุติความรุนแรงต่อผู้หญิง ภายใต้แคมเปญ One Billion Rising ที่ริเริ่มโดยนักเขียนบทละครและนักเคลื่อนไหวสิทธิสตรี อีฟ เอนส์เลอร์ ซึ่งเขียนบทละครชื่อดัง "The Vagina Monologue" โดยมีกลุ่มผู้หญิงทั่วโลกในหลายประเทศได้เข้าร่วมในการรณรงค์ครั้งนี้ 
 
จากสถิติของสหประชาชาติเผยว่า ผู้หญิง 1 ใน 3 คนเคยประสบความรุนแรงในช่วงชีวิต และกว่าครึ่งของผู้หญิงทั้งหมดเคยถูกทำร้ายร่างกายจากแฟนหรือสามี ในอเมริกา มีสถิติว่า 1 ใน 3 ของผู้หญิงทั้งหมดถูกฆาตกรรมโดยแฟนหรือสามี ส่วนในแอฟริกาใต้ มีสถิติว่าผู้หญิงถูกฆาตกรรมทุกๆ 6 ชั่วโมงโดยแฟนหรือสามี 
 
นอกจากนี้ มีรายงานว่า ราวร้อยละ 40-50 ของสตรีในยุโรป ถูกล่วงละเมิดทางเพศในที่ทำงาน ส่วนในสหรัฐอเมริกา มีเด็กผู้หญิงวัย 12-16 ปี ถึงร้อยละ 83 ถูกล่วงละเมิดทางเพศในโรงเรียน
 
การรณรงค์ One Billion Rising มีแผนจะดำเนินการใน 192 ประเทศที่เป็นสมาชิกสหประชาชาติ โดยที่ผ่านมา มีการรณรงค์แล้วในฮ่องกง ซานฟรานซิสโก อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย และฟิลิปปินส์ 
 
 
 

แคมเปญ One Billion Rising ที่ซานฟรานซิสโก

การเต้นรณรงค์ของเด็กนักเรียนในกรุงเดห์ลี

การเต้นรณรงค์ของกลุ่มคนงานชายฟิลิปปินส์ในฮ่องกง จากองค์กร Migrante 

การเต้นรณรงค์ของคนงานโรงงานหญิง Cavite ในฟิลิปปินส์ 

การเต้นรณรงค์ในบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย

การเต้นรณรงค์ของคนงานหญิงชาวฟิลิปปินส์ในฮ่องกงของกลุ่ม Migrante-HK, Gabriela HK และอื่นๆ
ที่มาภาพ: Rey Asis
 

การรณรงค์ของนักเรียนสตรีในโรงเรียนมัธยม Josefa Jara Martinez ในฟิลิปปินส์
ที่มาภาพ Gabriela-Tatalon

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น