ประชาไท | Prachatai3.info |
- ทหารพม่า – ไทใหญ่ SSPP/SSA เดินหน้ารบกันเดือด
- ส.ศิวรักษ์ เบิกความคดีเอกชัย คนขายซีดีสารคดี ABC นัดพิพากษา 28 มี.ค.
- ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์: แนะนำหนังสือ 'ประวัติศาสตร์ไทย ฉบับสังเขป (เดวิด วัยอาจ)'
- เพียรพร ดีเทศน์: เขื่อนข้ามพรมแดน ทุนข้ามชาติ คำถามถึงธรรมาภิบาลในอุษาคเนย์
ทหารพม่า – ไทใหญ่ SSPP/SSA เดินหน้ารบกันเดือด Posted: 23 Feb 2013 05:41 AM PST ทหารพม่าและทหารกองกำลังไทใหญ่ "เหนือ" SSPP/SSA ยังเดินหน้ารบกันหนักในพื้นที่รัฐฉานภาคเหนือ ฝ่ายทหารพม่าเสริมกำลังเข้าพื้นที่ต่อเนื่อง หวังยึดจุดยุทธศาสตร์สำคัญของ SSPP/SSA คาดการสู้รบสองฝ่ายอาจรุนแรงมากขึ้น มีรายงานว่า ตลอดทั้งวันของวานนี้ (22 ก.พ.) ได้เกิดการสู้รบกันอย่างดุเดือดระหว่างทหารกองทัพพม่าและทหารกองทัพรัฐฉาน (Shan State Army- SSA) ที่มีองค์กรการเมืองในชื่อ "พรรครัฐฉานก้าวหน้า" (Shan State Progress Party-SSPP) หรือ กองกำลังไทใหญ่ "เหนือ" SSPP/SSA ในพื้นที่เมืองต้างยาน รัฐฉานภาคเหนือ การสู้รบสองฝ่ายปะทุขึ้นตั้งแต่ช่วงเช้าถึงช่วงเย็น ก่อนเสียงปืนจะสงบลง จุดสู้รบอยู่ตรงบริเวณดอยลาน จุดยุทธศาสตร์สำคัญอีกแห่งของ SSPP/SSA อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่ทราบผลการสูญเสียจากทั้งสองฝ่าย ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 19-20 ก.พ. ที่ผ่านมา ได้เกิดการสู้รบของทหารทั้งสองฝ่ายตรงบริเวณดอยลาน 2 ระลอก เหตุเนื่องจากทหารกองทัพพม่าส่งกำลังบุกโจมตีเพื่อหวังยึดฐานของ SSPP/SSA ที่ตั้งอยู่บนดอยแห่งนี้ มีรายงานว่า ตลอดช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา กองทัพพม่าได้ส่งกำลังทหารจากกองทัพภาคตะวันออกกลาง "เมืองโขหลำ" เข้าไปในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเมื่อช่วงเที่ยงวันนี้ (23 ก.พ.) มีรายงานจากแหล่งข่าวในพื้นที่ว่า ทหารกองทัพพม่าได้ส่งกำลังทหารเข้าไปเสริมอีกราว 300-400 นาย คาดว่า อาจเกิดการสู้รบกันอย่างหนักขึ้นอีกในเร็วๆ นี้ พ.ต.จายละ โฆษกของ SSPP/SSA เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 20 ก.พ. ที่ผ่านมา พล.ต.อ่องจ่อโซ ผู้บัญชาการกองทัพภาคตะวันออกเฉียงเหนือพม่า (เมืองล่าเสี้ยว) แจ้งแก่กองกำลังไทใหญ่ SSPP/SSA ว่า หากไม่ต้องการให้การสู้รบดำเนินต่อไป ขอให้ทาง SSPP/SSA ถอนกำลังทหารออกจากเนินดังกล่าว ซึ่งทาง SSPP/SSA ได้ตอบปฏิเสธและตอบไปว่า พื้นที่ดังกล่าวทางรัฐบาลพม่าได้อนุญาตให้ SSPP/SSA ใช้เป็นพื้นที่โครงการพัฒนาแล้ว ทั้งนี้ นับตั้งแต่มีการลงนามหยุดยิงสร้างสันติภาพครั้งใหม่ระหว่างรัฐบาลพม่าและกองกำลังไทใหญ่ SSPP/SSA เมื่อ 28 มี.ค. 54 ทหารทั้งสองฝ่ายเกิดการสู้รบกันแล้วไม่ต่ำกว่า 80 ครั้ง ชมภาพ / อ่านข่าวย้อนหลังได้ที่ http://www.khonkhurtai.org/ "คนเครือไท" เป็นศูนย์ข่าวภาคภาษาไทยเครือข่ายสำนักข่าวฉาน (SHAN – Shan Herald Agency for News) สำนักข่าวอิสระของไทยใหญ่ มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในรัฐฉาน สหภาพพม่า และตามแนวชายแดนไทย ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับองค์กรการเมือง / การทหารกลุ่มใด สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ shan_th@cm.ksc.co.th หรือ ติดตามอ่านข่าวสารภาคภาษาอังกฤษได้ที่ www.shanland.org ภาคภาษาไทใหญ่ที่ www.mongloi.org และภาคภาษาไทยที่ www.khonkhurtai.org ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||
ส.ศิวรักษ์ เบิกความคดีเอกชัย คนขายซีดีสารคดี ABC นัดพิพากษา 28 มี.ค. Posted: 22 Feb 2013 09:36 PM PST
22 ก.พ.56 ที่ห้องพิจารณาคดี 802 ศาลอาญา รัชดา นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ ส.ศิวรักษ์ ปัญญาชนอาวุโส มาเบิกความเป็นพยานจำเลย ในคดีที่สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ฟ้อง นายเอกชัย (สงวนนามสกุล) อายุ 36 ปี ในความผิดหมิ่นประมาทกษัตริย์ ตามมาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญา และมาตรา 54 ขายวีดิทัศน์โดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ.2551 เนื่องจากขายซีดีสารคดีเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ของสำนักข่าว ABC ประเทศออสเตรเลียและขายสำเนาเอกสารวิกิลีกส์ฉบับแปลภาษาไทย โดยนัดนี้เป็นนัดสุดท้าย และศาลได้นัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 28 มี.ค.56 เวลา 9.00 น. ก่อนการสืบพยาน ศาลได้อ่านวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ฝ่ายจำเลยได้ยื่นคำร้องขอให้วินิจฉัยว่า มาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญาขัดหรือแย้งกับ มาตรา 8, 29 และมาตรา 45 ตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่าไม่ขัดแย้ง (อ่านรายละเอียดในไฟล์แนบ – คำร้องที่สอง ต่อจากคำร้องของนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข) สุลักษณ์ เบิกความถึงสำนักข่าว ABC ของออสเตรเลียว่า เทียบเท่ากับสำนักข่าว BBC ของอังกฤษ ที่ได้รับความเชื่อถือทั่วโลก ให้ความเป็นธรรมในการเสนอข่าว สำนักข่าวนี้เคยมาสัมภาษณ์เขาหลายครั้ง รวมถึงประเด็นเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ด้วย สำหรับสารคดีในคดีความนี้เคยดูแล้วและยังมีส่วนให้สัมภาษณ์ในสารคดีชิ้นนี้ด้วย ทนายถามว่าเห็นอย่างไรที่สารคดีเปิดด้วยการเกริ่นถึงปัญหาการใช้กฎหมายมาตรา 112 และกระบวนการยุติธรรม สุลักษณ์กล่าวว่า มาตรา 112 ไม่เอื้ออาทรต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ พระองค์ทรงมีพระราชดำรัสชัดเจนเมื่อวันที่ 4 ธ.ค.48 ว่าใครฟ้องคดีหมิ่นฯ เท่ากับเป็นการทำลายพระองค์ท่านและบั่นทอนสถาบัน ส่วนที่วิพากษ์กระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะในชั้นตำรวจนั้นเห็นว่า ตำรวจไม่ใช่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์แต่มักรังแกราษฎร์ ตั้งแต่ยุคทักษิณ ชินวัตร เป็นใหญ่ตำรวจฟังทักษิณมากกว่ารัฐบาลอื่น "สมัยทักษิณ ผมเคยถูกจับคดีหมิ่น ถึง 3 ครั้ง 2 คดี ซึ่งไม่มีมูลทั้งสิ้น อัยการไม่ฟ้องเลย" สุลักษณ์กล่าวและว่าเขาถูกทรมานด้วยการบุกจับกุมที่บ้านกลางคืนแล้วนำตัวไปยังจังหวัดขอนแก่น กว่าจะได้รับการประกันตัวก็ 02.00 น. ทนายถามว่า ในระยะหลังผลคำพิพากษาเกี่ยวกับคดี 112 ส่งผลดีหรือผลร้ายต่อสถาบัน สุลักษณ์กล่าวว่า ผลทุกคดีเป็นการทำร้ายพระองค์ท่าน ที่ผ่านมารัฐสภาเคยเชิญให้ไปพูดเรื่องนี้ให้ฟัง ก็ได้ให้คำแนะนำไปว่า หากจงรักภักดีอย่างแท้จริงก็ควรจะต้องเลิก หรือลดหย่อนผ่อนโทษกฎหมายนี้ โทษขั้นสูง 3 ปี หรือ 7 ปีก็เพียงพอแล้ว แต่รัฐสภาก็ไม่ทำ เพราะเป็นเครื่องมือของทักษิณ เหตุที่ควรยกเลิกเพราะคดีนี้ใครฟ้องก็ได้ ตำรวจไม่ทำคดีก็เดือดร้อน ในส่วนบทบาทของสื่อมวลชนไทย สุลักษณ์กล่าวว่า ส่วนใหญ่ไม่มีความกล้าหาญทางจริยธรรม "พูดถึงสถาบันก็หัวหดกันหมด สถาบันมีไว้ให้เรารัก วิพากษ์วิจารณ์ เคารพ ไม่ใช่แหยไปหมด" เขากล่าว ส่วนกรณีที่สารคดีนี้ดูเหมือนพยายามอธิบายว่ากษัตริย์อาจมีส่วนเข้าแทรกแซงการเมือง สุลักษณ์ ให้ความเห็นว่า สถาบันมีบทบาทสำคัญในการแทรกแซงการเมือง โดยจะแทรกแซงในสิ่งที่เป็นคุณงามความดี เพื่อความยุติธรรม เพราะสถาบันนั้นอยู่สูงส่งกว่าการเมือง หากแทรกแซงด้วยพระมหากรุณาธิคุณก็มีสิทธิจะแทรกแซง ยกตัวอย่าง กรณีพฤษภาคม 2535 ก็ถือว่าลงมาแทรกแซงเพื่อยุติความรุนแรง ไม่เช่นนั้นคงฆ่ากันเป็นเบือ การแทรกแซงของกษัตริย์ต้องมีตลอดไป แต่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ กษัตริย์ต้องเตือนรัฐบาล อุดหนุนรัฐบาล วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล แต่ทั้งหมดนี้ไม่ได้ทำในทางสาธารณะ นี่คือ บทบาทของกษัตริย์ หากถามว่าประชาชนทั่วไปจะวิพากษ์วิจารณ์กษัตริย์ได้ไหม เห็นว่าการวิพากษ์วิจารณ์เป็นส่วนสำคัญที่สุดในการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ทุกคนต้องมีสิทธิในการวิพากษ์วิจารณ์ และทุกคนควรได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ แม้แต่พระพุทธเจ้ายังตรัสว่า พระองค์ถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงเขียนตั้งแต่ก่อนจะมีรัฐธรรมนูญด้วยซ้ำว่า พระองค์ถูกวิจารณ์ได้ หากมีใครวิจารณ์โง่ๆ ก็จะมีคนด่าเอง แต่หากวิจารณ์ถูกต้องก็จะได้ปรับปรุง ดังนั้น ในสถานการณ์ปัจจุบัน ทุกคนอ้างความจงรักภักดี แต่ไม่มีใครทำตามพระราชดำรัสเลย การที่เขาให้สัมภาษณ์ ABC นั้นก็ได้ยกตัวอย่างไปว่า กษัตริย์ไทยองค์ปัจจุบันเปรียบเหมือนต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาพสกนิกร ต้นไม้ใหญ่อาจมีเพลี้ย กาฝาก เราต้องไม่ตัดต้นไม้ใหญ่ แต่ต้องตัดกาฝาก ฉันใดก็ฉันนั้น สถาบันกษัตริย์อยู่มานานก็ต้องมีเพลี้ยมากิน ยกย่องสรรเสริญเกินเลยโดยอ้างความจงรักภักดี เราต้องเอาสิ่งเหล่านี้ออกไป และเป็นหน้าที่ของทุกคนที่ต้องกล้าพูด กล้าเขียน กล้าวิจารณ์ แต่สื่อมวลชนกระแสหลักของไทยกลับไม่กล้าทำเลย ส่วนเนื้อหาที่มีปัญหาในช่วงท้ายคลิปนั้น สุลักษณ์สรุปความได้ว่า พระบรมโอรสาธิราช เป็นรัชทายาทในรัชกาลปัจจุบัน พระองค์ทรงไปศึกษาต่อต่างประเทศทั้งในอังกฤษและออสเตรเลีย ทำให้ทรงมีแนวคิดสมัยใหม่ ก้าวหน้า และทรงมีน้ำพระหฤทัยที่กว้างขวาง เขาไม่เห็นว่าภาพที่ปรากฏจะทำให้พระองค์เสื่อมเสียแต่อย่างใด และเมื่อเทียบกับกษัตริย์ของประเทศอื่นๆ ก็เคยมีกรณีคล้ายคลึงกัน ไม่ว่ากรณี ดัชเชสออฟเคมบริดจ์ หรือ เจ้าชายแฮรี่แห่งสหราชอาณาจักร เมื่อออกสู่สาธารณะย่อมต้องมีทั้งคนชอบและไม่ชอบ ในสังคมประชาธิปไตยจะให้คนเห็นเหมือนกันหมดเป็นไปไม่ได้ แต่จะเห็นได้ว่าเจ้านายในยุคสมัยใหม่ล้วนใจกว้างเพื่อเดินต่อไปข้างหน้า สุลักษณ์กล่าวด้วยว่า เมื่อดูภาพรวมของสารคดีชิ้นนี้โดยไม่แยกเป็นส่วนๆ จะเห็นได้ว่าฝรั่งตั้งใจให้คนนอกประเทศเข้าใจเรื่องราชวงศ์ไทย และเป็นความตั้งใจดี แต่อาจจะมีข้อผิดพลาดบ้าง โง่บ้าง แต่ก็ไม่มีอะไรเสียหาย การคบกับฝรั่งต้องใจกว้าง "เราต้องเชื่อมั่นในตัวเรา เชื่อมั่นในสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ว่าเขาจะทำออกมายังไง เราก็ยังจงรักภักดีวันยันค่ำ" สุลักษณ์กล่าวและว่าหากมีคนนำซีดีนี้ไปเผยแพร่ก็คงเพราะเขาเห็นว่าฝรั่งพูดแบบนี้และต้องการให้เพื่อนร่วมชาติรู้ว่าฝรั่งมองอย่างไร โลกในยุคนี้เป็นยุคที่ปิดกั้นไม่ได้แล้ว แต่ไม่ใช่ว่าเราจะไปเชื่อฝรั่งทั้งหมด สุลักษณ์เบิกความด้วยว่า การที่คนออกมาแสดงความเห็นนั้น ถ้าในทางวิพากษ์วิจารณ์ควรยอมรับ ไม่ใช่อะไรก็เล่นงานตลอดเวลา หากศาลเข้าใจเรื่องที่พระองค์ทรงมีพระราชดำรัสก็ย่อมไม่ตีความกฎหมายแต่เพียงตัวบท ความยุติธรรมยังต้องประกอบไปด้วยการุณยธรรมด้วย เพื่อประคับประคองให้สถาบันอยู่ยืนยาวต่อไป ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า นายสุลักษณ์ถือเป็นพยานปากสุดท้าย แม้ฝ่ายจำเลยได้ยื่นคำร้องให้ศาลออกหมายเรียกพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และ พล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลา องคมนตรี มาเบิกความเนื่องจากถูกระบุถึงในเอกสาร wikileaks ด้วยนั้น ศาลไม่อนุญาตโดยให้เหตุผลว่าไม่มีหลักฐานว่าทั้ง 2 พูดกับนายอีริค จี จอน เอกอัคราชทูตของสหรัฐอเมริกาจริง อย่างไรก็ตาม ทนายได้ยื่นคัดค้านไว้และศาลได้บันทึกไว้ในสำนวน
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai This posting includes an audio/video/photo media file: Download Now | ||||
ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์: แนะนำหนังสือ 'ประวัติศาสตร์ไทย ฉบับสังเขป (เดวิด วัยอาจ)' Posted: 22 Feb 2013 07:51 PM PST เมื่อวันที่ 22 ก.พ. ที่ห้อง 301 ชั้น 3 คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ มีการเสวนาเสวนาเปิดตัวหน้งสือ "ประวัติศาสตร์ไทย ฉบับสังเขป" (เดวิด วัยอาจ) แปลโดย ศ.ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ผศ.กาญจนี ละอองศรี และคณะ โดยแปลจากหนังสือ "Thailand: A Short History" ของ ศ. David K.Wyatt สำหรับคลิปนี้เป็นการแนะนำหนังสือโดย ผศ.ดร.ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ ประธานหลักสูตรรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ผู้ช่วยเลขานุการและกรรมการมูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ทั้งนี้จากข้อมูลของบทความ "ศ. เดวิด เค. วัยอาจ กับประวัติศาสตร์ไทย" ของชาญวิทย์ เกษตรศิริที่เผยแพร่ในมติชนออนไลน์นั้น เดวิด เค. วัยอาจ (พ.ศ. 2480 - 2549) หรือ "อาจารย์วัยอาจ" นั้น เป็นนักประวัติศาสตร์คนสำคัญของสหรัฐอเมริกา เป็นผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เกิดเมื่อ 21 กันยายน พ.ศ. 2480 เป็นอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยคอร์แนล มลรัฐนิวยอร์ก ระหว่าง พ.ศ. 2512 - 2545 เคยเป็นคณบดีคณะประวัติศาสตร์ และเป็นผู้อำนวยการโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยผลงานที่สำคัญก็คือ Thailand: A Short History โดยเดวิด วัยอาจ จบปริญญาตรีด้านปรัชญา จากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด เมื่อ พ.ศ.2502 และเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยบอสตัน กับมหาวิทยาลัยคอร์แนล จนได้ปริญญาโทและเอก ทางด้านประวัติศาสตร์ ใน พ.ศ. 2503 และ 2509 โดยวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกเกี่ยวกับการปฏิรูปสยาม ในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยผลงาน Thailand: The Politics of Reform ได้รับการตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2512 โดยเขาถึงแก่กรรมอย่างสงบที่นิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา ขณะมีอายุได้ 69 ปี ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||
เพียรพร ดีเทศน์: เขื่อนข้ามพรมแดน ทุนข้ามชาติ คำถามถึงธรรมาภิบาลในอุษาคเนย์ Posted: 22 Feb 2013 03:35 PM PST 'เพียรพร' ปาฐกโกมลคีมทอง ประจำปี 2556 เผยบริษัทจีนเดินหน้าส่งออกเทคโนโลยีเขื่อน สร้างเขื่อนใหญ่กว่า 300 แห่งใน 72 ประเทศ พบในพม่ามีเขื่อนจีนถึง 51 โครงการ ส่วนนักลงทุนไทยคิดแค่เรื่องตักตวงผลประโยชน์ เสนอร่วมกันสร้างกติกาการลงทุนข้ามพรมแดนที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ณ ขณะก้าวที่ทุนระดับชาติกลายเป็นทุนข้ามชาติ เขื่อนระดับชาติผันตัวไปเป็นเขื่อนข้ามพรมแดน และการลงทุนข้ามพรมแดนเป็นสิ่งที่ยอมรับกันในสังคมโลก แต่ในอีกด้านหนึ่งผลกระทบข้ามพรมแดนก็กำลังเป็นหายนะที่ผู้คนในภูมิภาคนี้ต้องเผชิญ คำถามสำคัญคือเราทุกคนจะอยู่ร่วมและปรับตัวรับกับกระแสโลกนี้อย่างไร สภาพการณ์ที่เกิดขึ้นนี้น่าจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่มูลนิธิโกมลคีมทอง เลือกให้ เพียรพร ดีเทศน์ ผู้ประสานงานการรณรงค์ประเทศไทย องค์การแม่น้ำนานาชาติ (International Rivers) เป็นปาฐกโกมลคีมทอง ประจำปี 2556 ครั้งที่ 39 เพียรพร ดีเทศน์ ปาฐกโกมลคีมทอง ประจำปี 2556 ครั้งที่ 39 ภาพโดย: เสกสรร โรจนเมธากุล "นักกิจกรรมที่มีรากเง้าจากรากหญ้าแต่ทำงานในระดับโลก" คือคำกล่าวแนะนำ 'เพียรพร' ของพิภพ อุดมอิทธิพงศ์ กรรมการมูลนิธิโกมลคีมทอง ก่อนที่หญิงสาวผู้นี้จะมาบอกเล่าถึงแนวทางอุดมการณ์เพื่อสังคม และการทำงานในระดับนานาชาติที่ต้องปรับตัวให้เข้ากับกระแสโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งนี้ เพียรพร เรียนรู้การทำงานเพื่อสังคมจากการติดตาม 'เตือนใจ ดีเทศ' หรือ 'ครูแดง' ผู้เป็นแม่ตั้งแต่ยังเด็กในพื้นที่บนดอยสูง ต่อมาจึงเข้าสู่แวดวงการทำงานด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะการศึกษาผลกระทบจากการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ ล่าสุดคือโครงการเขื่อนไซยะบุรีที่จะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศวิทยาและการดำรงชีวิตของประชาชนในลุ่มน้ำโขง สถานการณ์รอบบ้าน บริบทในภูมิภาคอุษาคเนย์เพียรพร กล่าวปาฐกถา "เขื่อนข้ามพรมแดน ทุนข้ามชาติ คำถามถึงธรรมาภิบาลในอุษาคเนย์" ในงานปาฐกถามูลนิธิโกมลคีมทอง ประจำปี 2556 ครั้งที่ 39 เมื่อวันศุกร์ที่ 22 ก.พ.2556 ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม กรุงเทพฯ ในตอนหนึ่งว่าด้วยเรื่อง 'สถานการณ์รอบบ้าน บริบทในภูมิภาค' ดังนี้ ในยุคที่ประเทศต่างๆ กำลังพยายามเปิดเสรีให้กับทุน รัฐบาลแต่ละประเทศต่างหาช่องทางลดเงื่อนไขที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนข้ามพรมแดน และเอื้ออำนายทุกวิธีให้เศรษฐกิจเฟื่องฟู ทุนขนาดใหญ่จากประเทศในภูมิภาค ทั้งไทย จีน มาเลย์ ญี่ปุ่น เวียดนาม ต่างมุ่งหน้าสู่โครงการขนาดใหญ่ โดยเฉพาะในประเทศที่ยังเหลือทรัพยากรธรรมชาติอยู่มากล้น เช่น ลาว กัมพูชา พม่า โดยมีการสร้างคำอธิบายให้กับคนในชาติที่เป็นเจ้าของทุนอยู่เสมอว่า "หากเราไม่รีบเข้าไปสร้าง เดี๋ยวจะไม่ทันประเทศอื่น" หรือ "ถ้าเราไม่สร้าง จีนก็สร้างอยู่ดี" พร้อมกับการกระตุ้นให้รัฐบาลแต่ละประเทศสนับสนุนให้นักลงทุนของตัวเองเข้าไปตักตวงผลประโยชน์จากแหล่งทรัพยากรของประเทศเพื่อบ้านอย่างไม่บันยะบันยัง ขณะที่การส่งเสริมความสัมพันธ์ในระดับชาวบ้านที่มีความเป็นพี่เป็นน้องร้อยโยงกันทั้งวิถีชีวิต ประเพณี และวัฒนธรรมกลับมีการพูดถึงน้อยมาก ชมชนกลุ่มชาติพันธ์ต่างๆ กลายเป็นคนแปลกหน้าที่เราพร้อมจะเข้าไปบดขยี้และแสวงหาประโยชน์ ความสัมพันธ์ของพี่น้องในภูมิภาคอุษาคเนย์ถูกแบ่งแยกไปตามเขตแดนของรัฐสมัยใหม่ โครงการขนาดใหญ่หลายโครงการที่รัฐบาลเจ้าของประเทศสนับสนุนให้นักธุรกิจต่างชาติเข้าไปลงทุนไม่เคยมีการให้ข้อมูล สร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชนในท้องถิ่นว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา นักลงทุนที่เข้าไปส่วนใหญ่ก็เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ให้มากที่สุด ได้กำไรสูงสุด ขาดหัวใจและความรู้สึกของความเป็นพี่เป็นน้องและมนุษย์ในสังคม หวังตักตวงกันโดยไม่ได้คิดถึงปัญหาต่อเนื่องที่ท้ายที่สุดเราเองก็หนีไม่พ้นที่ต้องได้รับผลกระทบไปด้วย เพราะพรมแดนแห่งรัฐชาติไม่สามารถกั้นผลกระทบข้ามพรมแดน ทั้งด้านระบบนิเวศ สิ่งแวดล้อม สุขภาพ สังคม รวมทั้งเศรษฐกิจได้ สิ่งที่น่ากังวลที่สุด คือภูมิภาคนี้กำลังจะเต็มไปด้วยโครงการขนาดใหญ่ที่ชื่อว่า 'เขื่อน' ทั้งๆ ที่ 2 ทศวรรษที่ผ่านมาเขื่อนในฐานะสัญลักษณ์แห่งการพัฒนาถูกตั้งคำถามอย่างกว้างขวางถึงต้นทุนที่แท้จริง ขบวนการผู้เดือดร้อนจากเขื่อนได้เคลื่อนไหวเป็นเครือข่ายกันในระดับโลก จนเป็นที่มาของการศึกษาแง่มุมต่างๆ ของเขื่อน คณะกรรมการเขื่อนโลก (The World Commission on Dams: WCD) ซึ่งศึกษาเขื่อนทั้งหมดกว่า 1,000 แห่ง ใน 79 ประเทศ ระบุว่า แม้เขื่อนได้สร้างประโยชน์สำคัญต่อการพัฒนา แต่มีกรณีมากมายที่ชี้ให้เห็นว่าผลประโยชน์เหล่านี้แลกมาด้วยต้นทุนทางสังคมและสิ่งแวดล้อมมหาศาล การสร้างเขื่อนทำให้ประชาชนต้องถูกอพยพ โดยเฉพาะชุมชนที่อาศัยท้ายน้ำ ซึ่งพบว่ามีคนทั่วโลกกว่า 40-60 ล้านคน ถูกอพยพออกจากพื้นที่เพื่อการสร้างเขื่อน พวกเขาต้องเผชิญกับชีวิตที่ยากลำบากกว่าเดิม หลายพื้นที่พบว่าเขื่อนนำมาซึ่งการทำลายระบบนิเวศ พันธุ์พืชและสัตว์ซึ่งเป็นความเสียหายที่เรียกกลับคืนไม่ได้ ขณะเดียวกันเขื่อนที่สร้างมักให้ประโยชน์น้อยกว่าที่โฆษณาไว้ ผลิตไฟฟ้าได้น้อยกว่าที่บอก ส่งน้ำให้แก่พื้นที่ชลประทานได้น้อยกว่า และหลายกรณีไม่สามารถป้องกันน้ำท่วมได้อย่างที่กล่าวอ้าง เขื่อนขนาดใหญ่ที่มีกว่า 45,000 แห่งทั่วโลก วันนี้เป็นเพียงเทคโนโลยีที่ล้าหลัง มีต้นทุนสูง ขณะที่ทางเลือกการจัดการพลังงานและน้ำที่มีประสิทธิภาพ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและชุมชนท้องถิ่น มีอยู่มากมายแต่มักไม่ถูกเลือกมาพัฒนา คณะกรรมการเขื่อนโลกจึงมีข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อนำไปปฏิบัติในโครงการเขื่อน ข้อที่สำคัญมากคือ การพิจารณาทางเลือกอย่างรอบด้าน เริ่มจากเราต้องการอะไร น้ำหรือไฟฟ้า ทางเลือกอะไรบ้างที่จะตอบความต้องการได้ หากต้องการไฟฟ้า เรามีโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก มีระบบพลังงานแบบไม่รวมศูนย์ มีพลังงานทางเลือก ซึ่งเขื่อนขนาดใหญ่ก็เป็นหนึ่งในทางเลือกเหล่านั้น ต่อมาก็พิจารณาต้นทุนว่าวิธีใดที่จะได้ไฟฟ้ามาโดยคุ้มค่าที่สุด โดยพิจารณาทั้งต้นทุนด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งเขื่อนขนาดใหญ่อาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด สำหรับประเทศไทย การจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ลดปริมาณการใช้ไฟฟ้า โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมและพาณิชย์เป็นทางเลือกที่ราคาถูกที่สุด แต่กลับไม่ได้รับการพัฒนาจากฝ่านโยบาย ตัวอย่างวิธีเหล่านี้เช่น การอุดหนุนและจูงใจให้ภาคอุตสาหกรรมเดินเครื่องการผลิตในช่วงดึกที่ประชาชนและอาคารต่างๆ ไม่ใช้ไฟฟ้าแล้ว สิ่งสำคัญคือ การตระหนักว่าเรามีทรัพยากรจำกัด เราไม่สามารถสร้างเขื่อน สร้างโรงไฟฟ้าสนองการพัฒนาอย่างไม่สิ้นสุด เรายังมีลูกหลานที่ต้องเติบโตบนโลกใบนี้ต่อๆ ไป เราเป็นเพียงผู้อาศัยบนโลกใบนี้ชั่วครู่ชั่วยามหนึ่งเท่านั้น ทำอย่างไรจึงจะส่งต่อทรัพยากรให้ลูกหลานได้ใช้ประโยชน์ต่อไปอีก ข้อเสนอทางยุทธศาสตร์อีกข้อหนึ่งของคณะกรรมการเขื่อนโลกคือ การได้รับการยอมรับจากสาธารณะ เขื่อนจะไม่สามารถสร้างได้หากปราศจากการยอมรับจากประชาชน โดยเฉพาะผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง ดังนั้น ชาวบ้านต้องได้รับข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจ ว่าเขื่อนเป็นอย่างไร สร้างแล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ทั้งด้านดีและด้านลบ เพื่อให้ชาวบ้านมีสิทธิกำหนดอนาคตของตนเอง กรณีเขื่อนไซยะบุรี ซึ่งสร้างกั้นแม่น้ำโขงในแขวงไซยะบุรี ประเทศลาว เป็นเขื่อนแห่งแรกที่สร้างบนแม่น้ำโขงตอนล่าง จากแผนใหญ่ทั้งหมด 12 โครงการ เขื่อนขนาด 1,260 เมกะวัตต์ มูลค่ากว่าแสนล้านนี้ ลงทุนโดยบริษัทสัญชาติไทย เงินกู้มาจากธนาคารพาณิชย์ 6 แห่งของไทย ไฟฟ้า 95 เปอร์เซ็นต์ลงนามรับซื้อโดย กฟผ.เรียกได้ว่าเป็นเขื่อนสัญชาติไทย เพียงแต่ตั้งอยู่ในประเทศลาว ที่ผ่านมา เครือข่ายประชาชนไทย 8 จังหวัดลุ่มน้ำโขง ที่อาศัยอยู่ใน จังหวัดเชียงราย เลย หนองคาย บึงกาฬ นครพนม มุกดาหาร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี ได้เรียกร้องให้หยุดโครงการเขื่อนไซยะบุรีและเขื่อนบนแม่น้ำโขงตอนล่างทั้งหมด นั่นไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่ต้องการกระแสไฟฟ้า หรือต้องการขัดขวางการพัฒนา แต่เนื่องจากหวั่นเกรงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับระบบนิเวศแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นเหมือนสายเลือดที่หล่อเลี้ยงประชาชนกว่า 60 ล้านคน ใน 4 ประเทศลุ่มน้ำโขง การศึกษาหลายชิ้น รวมทั้งรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมเชิงยุทธศาสตร์ ว่าจ้างโดยคณะกรรมการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission: MRC) และการศึกษาของ World Fish Center (ศูนย์นานาชาติเพื่อการจัดการทรัพยากรสิ่งมีชีวิตทางน้ำ) ระบุว่า การประมงในลุ่มน้ำโขงตอนล่างเป็นการประมงน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปลาส่วนใหญ่เป็นปลาอพยพที่อพยพตามลำน้ำในฤดูกาลต่างๆ โดยบางพื้นที่พบว่ามีการอพยพของปลาหนาแน่นถึง 30 ตันต่อชั่วโมง ปริมาณปลาขนาดนี้ไม่สามารถมีบันไดปลา ลิฟต์ปลา หรือทางปลาผ่านใดๆ ที่จะทดแทนได้หากมีเขื่อนกันน้ำโขง ที่น่าสนใจ การศึกษาระบุว่า หากสร้างเขื่อนทั้ง 12 แห่ง ก็จะสามารถผลิตไฟฟ้าได้เพียง 11 เปอร์เซ็นต์ของความต้องการในภูมิภาคเท่านั้น แลกกับการเป็นลุ่มน้ำที่มีความสมบูรณ์เป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากลุ่มน้ำอเมซอน ขณะที่มีประชากรมากถึง 2.1 ล้านคน อาศัยอยู่ในระยะ 5 กิโลเมตรจากแม่น้ำโขงที่จะได้รับผลกระทบจากเขื่อนทั้ง 12 แห่ง โดยเฉพาะผลกระทบต่อชีวิต วัฒนธรรม และความเป็นชุมชน ถือได้ว่าเป็นโศกนาฏกรรรมครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นกับชุมชนลุ่มน้ำโขง อนาคตที่อยากเห็นการขยายตัวของทุนข้ามชาติในภูมิภาคนี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ บริษัทจากจีนออกไปสร้างเขื่อนขนาดใหญ่กว่า 300 แห่งใน 72 ประเทศทั่วโลก โดยการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากรัฐบาลจีน โดยเฉพาะในแอฟริกาและภูมิภาคอุษาคเนย์ ทั้งในพม่า ลาว กัมพูชา จากข้อมูลขององค์การแม่น้ำนานาชาติ (International Rivers) พบว่า ในประเทศพม่ามีเขื่อนที่ลงทุนโดยบริษัทจากจีนถึง 51 โครงการ เพราะในประเทศจีนแทบไม่เหลือแม่น้ำให้สร้างเขื่อนอีกแล้ว ดังนั้นจึงต้องมีการส่งออกเทคโนโลยีนี้ เพื่อให้อุตสาหกรรมเขื่อนยังดำเนินต่อไปได้ ขณะที่โครงการลงทุนของไทยจำนวนมากก็ไม่น้อยหน้า เพราะต้องการเข้าไปจับจองพื้นที่ในฐานะประเทศย่านเดียวกัน โดยไปดำเนินการในประเทศเพื่อนบ้าน และมีทีท่าว่าจะนำไปสู่การสร้างผลกระทบสิ่งแวดล้อมต่อชุมชนท้องถิ่น ทั้งๆ ที่เราเคยมีประสบการณ์อันเจ็บปวดมาแล้วมากมาย แทนที่จะเอาบทเรียนเหล่านั้นเข้าไปส่งเสริมให้ชาวบ้านในประเทศเพื่อนบ้านได้เรียนรู้และมีโอกาสเลือก แต่กลับคิดแค่เรื่องตักตวงผลประโยชน์เพื่อตัวเอง ใช้ช่วงสุญญากาศที่กำลังไปสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ริเริ่มโครงการใหญ่ต่างๆ รูปแบบของทุนข้ามชาติส่วนใหญ่ที่เข้าไปนั้นน่าสะพรึงกลัว เพราะใช้วิธีการติดสินบนตั้งแต่ระดับนโยบายจนถึงเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น เนื่องจากรู้ดีว่าโครงสร้างการปกครองในประเทศเพื่อนบ้านนั้น ประชาชนในชนบทยังไม่สามารถลุกขึ้นมาต่อรองกับรัฐบาลของตัวเองได้ บางประเทศไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนแม้กระทั่งการคิดหรือการตั้งคำถาม ประชาชนถูกสอนให้เชื่อคณะผู้ปกครองแล้วประเทศจะหลุดพ้นจากความยากจน แต่เป็นที่รับรู้กันอย่างก้าวขวางว่า คณะผู้ปกครองเหล่านั้นทุจริตคอรัปชั่นกันอย่างมโหฬาร สิ่งที่น่ากลัวอีกประการหนึ่งคือ การส่งเสริมการลงทุนข้ามพรมแดน โดยเฉพาะในอาเซียนไม่มีกรอบกติการะดับภูมิภาคที่จะควบคุมผลกระทบที่เกิดขึ้น ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และสิทธิมนุษยชน CSR (ความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร) ของบริษัทต่างๆ ที่เห็น ก็ไม่มากไปกว่าการประชาสัมพันธ์ สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่บริษัท ปลูกป่าชายเลน สร้างส้วมลอยน้ำ สร้างห้องสมุด ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับกระบวนการผลิตและการดำเนินการของบริษัท ทั้งนี้ สิ่งสำคัญที่ภูมิภาคนี้ต้องการอย่างเร่งด่วน คือ ธรรมาภิบาลในการดำเนินธุรกิจและความรับผิดชอบของบรรษัท กรณีโครงการเขื่อนใหญ่อย่างไซยะบุรี โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินหงสาลิกไนต์ในลาว โครงการพัฒนาเขตอุตสาหกรรมและท่าเรือน้ำลึกทวาย และเหมืองถ่านหินเมืองกกในพม่า หรือโครงการโรงไฟฟ้าเกาะกงในกัมพูชา คงไม่สามารถเกิดได้ง่ายๆ หากตั้งอยู่ในประเทศไทย เพราะประชาชนชาวบ้านในพื้นที่คงออกมาเรียกร้องสิทิตามกฎหมายไทย ไม่ว่าจะเป็นการจัดทำรายงานผลกระทบด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม การทำประชาพิจารณ์และการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้เสีย รวมทั้งมีสิทธิชุมชนและสิทธิมนุษยชนที่ได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม กติกาเหล่านี้ไม่มีอยู่ในระดับภูมิภาค ซึ่งถือเป็นเรื่องน่าประหลาดมาก ทั้งที่ทุกประเทศในอาเซียนต่างพูดถึงความร่วมมือกันมากมาย มีการกำหนดกติกาสารพัดด้าน แต่กลับไม่มีกติกาด้านนี้ ดังนั้น สิ่งที่เราต้องเรียกร้องให้เกิดขึ้นทันทีคือ กติกาภูมิภาคว่าด้วยการลงทุนข้ามพรมแดนที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม เพียรพร กล่าวว่าเธออยากเห็น... คนในสังคมไทยมีหัวใจที่ใหญ่ รู้สึกรักและหวงแหนทรัพยากรธรรมชาติของภูมิภาคนี้เหมือนบ้านของตนเอง อยากเห็นอคติและมายาคติที่เกิดจากความเป็นรัฐชาติสมัยใหม่ลดน้อยลง อยากเห็น... การเชื่อมร้อยของคนในอุษาคเนย์ที่มีขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมใกล้เคียงกัน ได้อยู่เคียงข้างกัน เดือดเนื้อร้อนใจแทนกันในยามที่ถูกรุกรานจากศัตรูสมัยใหม่ อยากเห็น... สภาแม่น้ำโขง สภาแม่น้ำสาละวิน หรือสภาอื่นๆ ซึ่งเป็นองค์กรของประชาชนทุกหมู่เหล่าที่ร่วมกันปกปักรักษาทรัพยากรในท้องถิ่น พร้อมทั้งเป็นผู้กำหนดชะตากรรมของตนเอง สำหรับคนหนุ่มสาวและงานเพื่อสังคม อยากเห็น... คนหนุ่มสาวเรียนรู้เรื่องราวในสังคม และออกมามีส่วนร่วมในการดูแลภูมิภาคร่วมกัน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เป็นประชาชนที่สนใจและมีส่วนร่วมกับเรื่องราวในสังคม สำหรับเธองานที่ได้ทำร่วมกับเพื่อนร่วมงานและชาวบ้านทำ งานแม่น้ำโขงและแม่น้ำสาละวินเป็นเพียงฟังเฟืองตัวเล็กๆ ของการทำงานเพื่อรักษาสิทธิและปกป้องทรัพยากร ยังมีคนเล็ก อีกมากมายทั่วโลกทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อจุดหมายเดียวกัน คือ สังคมเป็นธรรม และการกระจายทรัพยากรอย่างเป็นธรรม ยังมีนักอนุรักษ์ชาวเคนยาที่ทำงานกับชุมชนรอบทะเลสาบเทอร์คานาที่กำลังจะเหือดแห้งเพราะเขื่อนที่สร้างในเอธิโอเปีย โดยบริษัทจากจีน ยังมีชนเผ่าพื้นเมืองในป่าอเมซอนที่รณรงค์ปกป้องผืนป่าซึ่งจะถูกน้ำท่วมจากเขื่อนเบโลมองจ์ บนแม่น้ำสาขาของอเมซอน "แม้ยุคสมัยเปลี่ยนไป 28 ปีที่ผ่านมาครูแดงพูดเรื่องหมู่บ้าน (ปาฐกถามูลนิธิโกมลคีมทอง ประจำปี 2528) และตอนนี้ไปไกลกว่าเรื่องหมู่บ้านมากมายแล้ว แต่ถนนที่ครูโกมล คีมทอง สร้างไว้ยังคงเป็นทางให้เราเดินไป ด้วยวิธีการของเราเอง เพื่อให้ชีวิตของเรามีประโยชน์ต่อส่วนรวมมากที่สุด" เพียรพร กล่าวทิ้งท้าย ทั้งนี้ ภายในงานปาฐกถามูลนิธิโกมลคีมทอง ประจำปี 2556 ครั้งที่ 39 ได้มีการมอบโล่ประกาศบุคคลเกียรติยศมูลนิธิโกมลคีมทอง 4 คน คือ 1.ประยงค์ ดอกลำไย ด้านสิทธิมนุษยชน 2.ณิชชญา น้อยแก้ว ด้านการศึกษา 3.พุทธิพร ลิมปนดุษฎี ด้านสาธารณสุข และ 4.กลุ่มราษฎรรักษ์ป่า ด้านอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม นอกจากนั้น พระไพศาล วิสาโล เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต ต.ท่ามะไฟหวาน อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ ยังได้มอบทุนสนับสนุนการทำงานของเครือข่ายภาคประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโครงการพัฒนาของรัฐ จำนวน 10 กลุ่ม ประกอบด้วย 1.ชุมชมโคกอีโด่ย จ.สระแก้ว 2.เครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัด (คปบ.) 3.สภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยจากการทำงานและสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย 4.กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี 5.กลุ่มชาวบ้านอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศลุ่มน้ำชีตอนล่าง 6.กลุ่มฅนรักบ้านเกิด ต.ทุ่งเขาหลวง จ.เลย 7.กลุ่มอนุรักษ์ป่าต้นน้ำท่าแซะ จ.ชุมพร 8.กลุ่มอนุรักษ์ลำน้ำเชียงทา จากกรณีเขื่อนโป่งขุนเพชร 9.เครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน และศูนย์ศึกษาและฟื้นฟูนิเวศวัฒนธรรมชุมชนเทือกเขาเพชรบูรณ์ 10.เครือข่ายติดตามผลกระทบโรงไฟฟ้าถ่านหินเขาหินซ้อน จ.ฉะเชิงเทรา ############### หมายเหตุ: ปาฐกถา "เขื่อนข้ามพรมแดน ทุนข้ามชาติ คำถามถึงธรรมาภิบาลในอุษาคเนย์" ในงานปาฐกถามูลนิธิโกมลคีมทอง ประจำปี 2556 ครั้งที่ 39 ฉบับเต็มมีการจัดพิมพ์เป็นรูปเล่ม สามารถติดต่อสั่งซื้อได้ที่มูลนิธิโกมลคีมทอง (http://www.komol.com/) ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
You are subscribed to email updates from ประชาไท To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น