ประชาไท | Prachatai3.info |
- ข้อเสนอรูปแบบการทำงานด้านการส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ
- ภาพศิลปะปฏิวัติฝรั่งเศสถูกเขียนอักษรปริศนาลงบนผืนภาพ
- สุรพศ ทวีศักดิ์: เสรีภาพกับความจริงในสังคม ‘อปกติ’
- ควีนอังกฤษเตรียมถูกตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณสาธารณะ
- FAO ชี้ไทยจำนำข้าวไม่หยุดดันล้นโกดังแน่
- บริษัท GM ประเทศไทยออกแถลงการณ์เรื่องการเจรจาข้อเรียกร้องกับสหภาพฯ
- มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคแนะหากถูกโกง “เฟอร์บี้” ใช้สิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหาย
- อมรา พงศาพิชญ์
- สหภาพ Electrolux ร้อง กสม. หลังนายจ้างไม่ยอมเจรจา อนุฯ แรงงานเตรียมเรียกสองฝ่ายไกล่เกลี่ยสัปดาห์หน้า
ข้อเสนอรูปแบบการทำงานด้านการส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ Posted: 09 Feb 2013 08:13 AM PST
ตลอดระยะเวลาตั้งแต่ ปลายปี 2545 มาจนถึงปัจจุบัน ที่อิสรชน เริ่มขยับเข้าพื้นที่เพื่อเตรียมตัวทำงานในพื้นที่ สนามหลวง และเริ่มลงทำงานอย่างจริงจังในปลายปี 2547 พบว่า การทำงานเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ โดยเฉพาะพื้นที่ สนามหลวง คลองหลอด และปริมณฑล คำตอบไม่ใช่ การหาที่อยู่อาศัยเพียงอย่างเดียว หากแต่ว่าคำตอบมีมากกว่านั้นมากมาย แต่กว่าจะได้มาซึ่งคำตอบนั้นจำเป็นต้องมีวิธีการทำงานเพื่อค้นหาคำตอบจากผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะอย่างเข้มข้นและลงลึก โดยการทำงานในช่วงเวลาที่ผ่านมา อิสรชน ได้ทดลองและริเริ่มรูปแบบกิจกรรมเพื่อค้นหารากเหง้าของปัญหาร่วมกับคนสนามหลวงอย่างหลากหลายวิธี ที่พอจะสรุปได้ ได้แก่ การลงพื้นที่สำรวจข้อมูล การสร้างความคุ้นเคยเบื้องต้น การคุยกลุ่มย่อยในพื้นที่ การคุยกลุ่มย่อยนอกพื้นที่ การทำประชาคมเพื่อระดมความคิดเห็นในพื้นที่ การให้บริการพื้นฐานเฉพาะหน้า การออกหน่วยให้คำปรึกษาแบบเคลื่อนที่เร็ว การตั้งหน่วยบริการให้คำปรึกษาแบบประจำจุด การลงพื้นที่ในแต่ละครั้ง พบว่า ปัญหาพื้นที่ ที่คนสนามหลวงต้องการเป็นการเร่งด่วน คือ การยืนยันสถานภาพบุคคลทางทะเบียนราษฎร เพื่อยืนยันความเป็นพลเมืองไทย และ นำไปสู่การได้รับสิทธิอื่น ๆ ที่พลเมืองไทยพึงได้จากรัฐธรรมนูญ รวมไปถึงการสร้างความมั่นใจในการหางานทำเพื่อพัฒนาตนเองในโอกาสต่อไป รูปแบบการให้บริการเชิงรับเพื่อนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ จากการทำงานประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐที่มีหน้าที่รับผิดชอบกลุ่มผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ ที่ภาครัฐเรียกว่า คนไร้ที่พึ่ง พบว่า สถานแรกรับ สถานสงเคราะห์ ที่รัฐมีอยู่ ยังไม่สามารถรองรับสภาพปัญหาที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะได้อย่างแท้จริง กล่าวคือ สถานแรกรับ สถานสงเคราะห์ ของรัฐที่มีอยู่ มีเงื่อนไขที่ค่อนข้างขาดความยืดหยุ่น ไม่สามารถให้บริการ ครอบครัวผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ ครอบครัวเร่ร่อนไร้บ้านได้ โดยฌฉพาะการแยกการให้การดูแลครอบครัวผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะออกจากกัน แม้จะมีในบางกรณีที่สามารถให้แม่เด็กและเด็กอยู่ด้วยกันได้ แต่ก็แยกผู้เป็นสามีออกจากครอบครัว จากการทำงานพบว่า เกือบจะ 100% ของครอบครัวผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ ที่ได้รับการเชิญตัวเข้ารับการสงเคราะห์ในรูปแบบเดิม จากรัฐ จะกลายเป็นครอบครัวแตกในที่สุด เพราะเมื่อสามีหัวหน้าครอบครัว สามารถหาทางออกจากสถานแรกรับ หรือสถานสงเคราะห์มาได้ก่อน ภรรยามักจะมีครอบครัวใหม่ และเมื่อภรรยาเก่าออกมาพบ ก็เกิดการทะเลาะวิวาทกันในพื้นที่อยู่เป็นประจำ ยังไม่รวมการที่เด็กเมื่อได้รับการแยกให้การสงเคราะห์ออกไปมักจะได้รับการทอดทิ้งจากครอบครัว เป็นภาระของรัฐที่ต้องดูแลเด็กในฐานะเด็กถูกทอดทิ้ง อิสรชน มีแผนการดำเนินการเปิด สถานพัฒนาคุณภาพชีวิตและฟื้นฟูผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ(บ้านปั้นปูน) เพื่อเป็นทางเลือกในการให้บริการด้านการสงเคราะห์เบื้องต้น แก่ ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ โดยเปิดโอกาสให้สามารถอยู่ได้ในรูปแบบของครอบครัว โดยจะมีนักสังคมสงเคราะห์ ,นักพัฒนาคุณภาพชีวิต ประจำอยู่ในบ้านดังกล่าว เพื่อคอยให้คำแนะนำและประสานงานหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่ หรือ ภูมิลำเนาของ ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ กรณีมีความต้องการจะกลับภูมิลำเนา และ จัดให้มีการฝึกอาชีพเบื้องต้นในรูปแบบของการฝึกอบรมระยะสั้น เพื่อเสริมศักยภาพของ ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ ก่อนจะดำเนินการส่งต่อ หรือ ส่งกลับภูมิลำเนา โดยพยายามบริหารกรอบเวลาให้สามารถทำงานได้อย่างครอบคลุมปัญหาให้มากที่สุด การระดมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในสังคมเพื่อร่วมกันบรรเทาปัญหา การแก้ไข หรือบรรเทาปัญหา ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ คนไร้ที่พึ่ง คนเร่ร่อนไร้บ้าน จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในสังคม ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ร่วมไปถึงภาคองค์กรธุรกิจด้วย เพื่อขยายพื้นที่การดูแลพลเมืองในสังคมอย่างทั่วถึงและสร้างทางเลือกให้ได้มากที่สุด ในส่วนของภาครัฐมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเป็นเจ้าภาพหลักในการจัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนองค์กรภาคเอกชน องค์กรประชาสังคม ที่แสดงความจำนงจะเข้ามาช่วยแก้ไขและบรรเทาปัญหานี้ อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน รวมถึงการพัฒนากลไกเดิมที่มีอยู่ในสอดรับสอดคล้องกับสภาพปัญหาที่เปลี่ยนไปตลอดเวลา รัฐต้องสร้างแรงจูงใจให้แก่องค์กรภาคธุรกิจให้ออกมาร่วมสนับสนุนทั้งงบประมาณวัสดุอุปกรณ์ ตลอดจนการเปิดโอกาสให้ ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะได้เข้าทำงาน เพื่อเป็นการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ อันจะนำไปสู่การยุติการใช้ชีวิตในที่สาธารณะอย่างถาวรในอนาคต ข้อเสนอเชิงนโยบายที่จะนำไปสู่แนวทางการปฏิบัติ การตั้งหน่วยคัดกรอง (Drop In) ในพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อเป็นสถานที่พักพิงชั่วคราวแก่ ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ ทุกกลุ่ม โดยปราศจากเงื่อนไข ข้อจำกัด เพื่อให้เขารู้สึกถึงความปลอดภัยในการเข้ารับบริการ โดยรูปแบบเป็นการทำงานผสมผสานกันระหว่างภาครัฐ เอกชน และชุมชน โดยภายในหน่วยคัดกรอง จะมีบริการพื้นฐานเบื้องต้น เพื่อเตรียมความพร้อมในการ พูดคุยกับ ผู้รับบริการ การมีเจ้าหน้าที่ภาคสนามนอกเวลาราชการ เพื่อเป็นหน่วยเดินเท้าลงไปสร้างความคุ้นเคยชักชวนให้ ผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะเต็มใจเข้ารับบริการในหน่วยคัดกรอง เพื่อประสานงานส่งต่อในการรับสวัสดิการด้านอื่น ๆ ต่อไป จัดให้มีหน่วยเคลื่อนที่เร็ว ทำหน้าที่ตอบสนองความต้องการของผู้รับบริการ ในการส่งต่อไปยังหน่วยงานบริการด้านสวัสดิการอื่น ๆ ของรัฐ รวมถึงการส่งกลับครอบครัว จัดให้มีการประชุมสรุปบทเรียน ระหว่างการดำเนินการ หน่วยคัดกรองดังกล่าว ควรเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีบทบาทในการให้บริการ ด้วยการกำหนดเวลา หรือวันในการให้บริการของแต่ละหน่วยบริการ ตลอดจนจัดให้มีการประชุมสรุปบทเรียนเป็นระยะ ๆ เพื่อค้นหารูปแบบการทำงานที่หลากหลายอยู่ตลอดเวลา ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
ภาพศิลปะปฏิวัติฝรั่งเศสถูกเขียนอักษรปริศนาลงบนผืนภาพ Posted: 09 Feb 2013 08:08 AM PST ยามพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์-เลนส์ รวบตัวหญิงอายุ 28 ปี หลังพบใช้ปากกามาร์คเกอร์เขียนตัวอักษรปริศนา 'AE911' ลงในภาพวาดศิลปะ "เสรีภาพนำทางประชาชน" (Liberty Leading the People) ผลงานที่สื่อถึงการปฏิวัติฝรั่งเศสปี 1830 โดยต้องการสื่อถึงกลุ่มที่เชื่อเรื่องทฤษฎีสมคบคิดเหตุการณ์ 9/11
โดยภาพวาด "เสรีภาพนำทางประชาชน" มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์สื่อถึงเหตุการณ์ปฏิวัติฝรั่งเศสเดือนกรกฏาคมปี 1830 (July Revolution) ซึ่งในภาพแสดงให้เห็นหญิงสาวผู้เป็นตัวแทนเสรีภาพถือธงชาติสาธารณรัฐฝรั่งเศสและผู้คนในภาพที่สื่อถึงคนที่มาจากชนชั้นต่างกันทั้งชนชั้นกรรมาชีพและชนชั้นกลาง ศิลปินเดอร์ลาครัวซ์วาดภาพนี้ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 1830 ก่อนถูกนำไปจัดแสดงครั้งแรกที่เทศกาลศิลปะซาลอนของฝรั่งเศสในปี 1831 ภาพนี้เคยถูกนำไปใช้ในธนบัตร 100 ฟรังค์มาก่อน และมีคนมองว่าหญิงสาวในภาพกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับอนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพ ทางพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์แห่งเมืองเลนส์ซึ่งเพิ่งเปิดตัวเมื่อเดือน ธ.ค. ปีที่แล้ว ได้ขอยืมภาพ "เสรีภาพนำทางประชาชน" มาจัดแสดงเป็นเวลา 1 ปี โดยหลังจากเกิดเหตุการณ์สร้างรอยตำหนิบนรูป ทางพิพิธภัณฑ์ก็ได้แถลงว่ารอยตำหนิดังกล่าวสามารถถูกชำระล้างได้โดยง่ายและจะนำไปให้ผู้ฟื้นฟูศิลปะตรวจสอบต่อไป สำนักข่าวเดอะ การ์เดียน ของอังกฤษรายงานว่าหญิงคนดังกล่าวเขียนตัวอักษร "AE911" ลงไปใต้ผืนผ้าใบเพื่อเรียกร้องความสนใจจากกลุ่มที่มีความเชื่อว่าการโจมตี 9/11 ในสหรัฐฯ เป็นเหตุการณ์สมคบคิด แต่ขณะเดียวกันกลุ่ม AE911truth (Architects & Engineers for 9/11 Truth) ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ต้องการเปิดโปงข้อมูลเหตุอาคารเวิร์ดเทรดเซนเตอร์ถล่มในวันที่ 11 ก.ย. 2001 ก็กล่าวประณามการกระทำสร้างรอยตำหนิดังกล่าวผ่านเว็บไซต์ของตน โดยบอกว่าการทำลายงานศิลปะทรงคุณค่าและทรัพย์สินของสาธารณะขัดต่อหลักการของกลุ่มพวกเขาที่ให้สมาชิกทุกคนปฏิบัติตามกฏหมายและข้อบังคับในสังคม "ผมรู้สึกตื่นตระหนกและประหลาดใจเมื่อได้ทราบเรื่องการทำลายทรัพย์สินสาธารณะอย่างไร้ความคิด ผมหวังว่าคนที่ดูเสียจริตผู้นี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับอาสาสมัครของเราที่มีอยู่จำนวนมากในฝรั่งเศส" ริชาร์ค เกจ ประธานบริหารและผู้ก่อตั้ง AE911truth กล่าว
Delacroix Liberty painting defaced by woman with marker pen at Louvre exhibition, The Independent, 08-02-2013 ข้อมูลเพิ่มเติม http://en.wikipedia.org/wiki/Liberty_Leading_the_People ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
สุรพศ ทวีศักดิ์: เสรีภาพกับความจริงในสังคม ‘อปกติ’ Posted: 09 Feb 2013 04:45 AM PST บทความ "มนุษยภาพ" ของกุหลาบ สายประดิษฐ์ หรือ "ศรีบูรพา" ปัญญาชนฝ่ายก้าวหน้า นักประพันธ์ นักหนังสือพิมพ์ที่ต่อสู้เพื่อเสรีภาพและความยุติธรรม ยังมีเนื้อหาสาระที่สื่อมวลชน นักวิชาการ หรือชาวพุทธปัจจุบันพึงไตร่ตรอง ความจริงและความซื่อตรงจะต้องไปด้วยกันเสมอ ความซื่อตรงคือความจริง และความจริงก็คือความซื่อตรง...ถ้าเราไม่สู้หน้ากับความจริงนั่นแปลว่า เราได้หันหน้าเข้าหาความหลอกลวงหรือความโกหกตอแหล...แม้ในทางพุทธศาสนาก็สอนให้มนุษย์สู้หน้ากับความจริง ให้เชื่อด้วยมีใจศรัทธา มิใช่ให้เชื่อด้วยความงมงาย หรือหลอกลวง หรือข่มขี่บังคับ การโกหกตอแหลนั่นเทียวที่เป็นบ่อเกิดของความปั่นป่วนจลาจล และนำความเดือดร้อนมาสู่มนุษยชาติ... นี่เป็นข้อเขียนเมื่อร่วม 80 ปีมาแล้ว แต่ ณ ปัจจุบันเรายังไม่อาจข้ามพ้นยุคสมัยที่สื่อมวลชน ปัญญาชน นักวิชาการต้องเซ็นเซอร์ตัวเอง คำสอนของพุทธศาสนาตามนัยอริยสัจที่ว่า "จะแก้ปัญหาใดๆได้ต้องรู้กระจ่างในความจริงของปัญหา และสาเหตุของปัญหานั้นๆก่อน" ก็ไม่อาจนำมาปรับใช้กับการแก้ปัญหาสังคมการเมืองตามที่เป็นอยู่จริงได้เลย ตราบที่เราไม่มีเสรีภาพที่จะพูดความจริง ตราบที่สังคมยังมองความเห็นต่างเป็นความผิดบาป และยังยอมรับการมี "นักโทษทางความคิด" ความคิดที่ก้าวหน้าทั้งปวงในโลกนี้ต่างสรรเสริญเสรีภาพและความจริง การใช้อำนาจเผด็จการใดๆปิดกั้นเสรีภาพเป็นการไม่ส่งเสริมความเป็นมนุษย์ หรือกดความเป็นมนุษย์ให้ต่ำลง ดังที่จอห์น สจ๊วต มิลล์ เขียนไว้ว่า "ระบบอำนาจเด็ดขาดที่เลว ยังดีกว่าระบบอำนาจเด็ดขาดที่ดี เพราะระบบอำนาจเด็จขาดย่อมทำให้ (ประชาชน) ต่ำต้อยเสมอ และถ้าหากระบบนี้มีเมตตาธรรมแล้ว ประชาชนก็มักที่จะยอมรับเอาความต่ำต้อยของตนเข้าไว้" (ฮาร์มอน,เอ็ม.เจ.ความคิดทางการเมืองจากเปลโตถึงปัจจุบัน แปลโดยเสน่ห์ จามริก 2555, 537) นี่หมายความว่า แม้ระบบเผด็จการจะอ้างเมตตาธรรมหรือคุณธรรมความดีใดๆ แต่เนื้อหาของความเป็นเผด็จการ คือการบีบบังคับหรือครอบงำทางความคิดให้ประชาชนยอมรับความต่ำต้อยของตนเอง ประชาชนไม่มีโอกาสพัฒนาศักยภาพทางปัญญาของตนเองในการแสวงหาความจริง หรือมีส่วนร่วมสร้างสรรค์สังคมให้ก้าวหน้าได้ เพราะไม่มีเสรีภาพแสดงความคิดเห็น เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นมีความสำคัญอย่างไร มิลล์เขียนไว้ใน On Liberty อย่างน่าคิดว่า "ถ้าในบรรดามนุษยชาติทั้งหมด มีเพียงคนเดียวที่มีความคิดเห็นตรงข้ามกับคนทั้งหมด มนุษย์ทั้งหมดก็ไม่มีเหตุผลอันสมควรที่จะปิดปากคนเพียงคนเดียวนั้นได้มากไปว่าที่เขาคนเดียวนั้นจะมีเหตุผลอันสมควรที่จะปิดปากคนทั้งหมดได้ หากเขาผู้นั้นมีอำนาจ" ทำไมมิลล์จึงคิดเช่นนั้น ก็เพราะว่าการปิดปากความคิดเห็นหนึ่งย่อมเท่ากับเป็นการปล้นมนุษยชาติ ถ้าหากความคิดเห็นนั้นถูกต้อง ย่อมสูญเสียโอกาสที่คนทั้งหมดจะได้รู้ แต่หากความคิดเห็นนั้นผิดคนทั่วไปก็ยังสูญเสียโอกาสที่จะได้เห็นความจริงที่เชื่ออยู่เดิมชัดเจนขึ้น มีชีวิตชีวาขึ้น ความเห็นต่างแม้เพียงความเห็นเดียวก็มีค่าต่อการเปลี่ยนความเห็นผิดของคนทั้งหมดให้ถูกต้องได้ และหากความเห็นต่างนั้นผิดก็ยังมีประโยชน์อยู่ดี เพราะเท่ากับความเชื่อหลักของสังคมได้ถูกท้าทายและปกป้องความถูกต้องของตัวมันเองอย่างมีชีวิตชีวา ฉะนั้น จึงไม่ควรปิดปากความเห็นต่างไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆ ตราบที่ความเห็นต่างนั้นไม่ละเมิดเสรีภาพในชีวิตร่างกายของคนอื่นๆ แต่ขณะที่วิคตอเรีย นูแลนด์ โฆษกรัฐบาลสหรัฐกล่าวถึงกรณีการตัดสินคดีของสมยศ พฤกษาเกษมสุขว่า "แน่นอนว่าไม่มีใครควรถูกจำคุกจากการแสดงความคิดเห็นอย่างสันติ และเราได้กระตุ้นอย่างสม่ำเสมอ ทั้งในทางส่วนตัวและสาธารณะให้ทางการไทยรับรองว่าการแสดงออกไม่ใช่อาชญากรรม และพิทักษ์เสรีภาพในการแสดงออกตามพันธะกรณีของไทยในทางสากล" (ประชาไท) ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ อมรา พงศาพิชญ์ กลับออกมาพูดอย่างไม่รู้สึกรู้สากับการมีนักโทษทางความคิดในประเทศนี้ว่า "สิทธิในการแสดงความคิดเห็นและสิทธิในการชุมนุม ประเทศเรามีเหลือเฟือจนทะเลาะกันเอง แต่บางประเทศยังไม่มี" (ประชาไท) สังคมไทยที่มักอ้างศีลธรรมของพุทธศาสนาเข้าไปอธิบาย ตัดสินการกระทำ การแสดงออกของปัจเจกบุคคล ตลอดถึงอ้างในทางสังคมการเมืองเพื่อตัดสินว่านักการเมืองเป็นเทวทัต เป็นชูชก เป็นเปรต เดรัจฉาน ฯลฯ แต่เชิดชูเจ้าสูงส่งไร้ที่ตินั้น เป็นสังคมที่ไม่มีศีลธรรมตามหลักพุทธศาสนาเลย เพราะ "ศีล" แปลว่า "ปกติ" การใช้อคติด่านักการเมืองเลวแต่ชูเจ้าดีอย่างเดียวเป็นเรื่อง "อปกติ" การมีนักโทษทางความคิดเป็นเรื่อง "อปกติ" ที่ซับซ้อนกว่านั้นคือ ความไม่รู้สึกรู้สาต่ออคติทางศีลธรรม หรือการใช้ "สองมาตรฐานทางศีลธรรม" ระหว่างนักการเมืองกับเจ้า และการมีนักโทษทางความคิด นี่คือภาวะอปกติซ้อนอปกติ หมายถึงความไร้ศีลธรรมซ้อนความไร้ศีลธรรมเป็นชั้นๆ ในภาวะเช่นนี้คนเล็กคนน้อยคือเหยื่อ แค่นับจากกุหลาบ สายประดิษฐ์ มาถึงบัดนี้เหยื่อที่ติดคุก หนีออกนอกประเทศ ถูกฆ่าตายมีจำนวนนับไม่ถ้วนแล้วไม่ใช่หรือ แล้วเราก็เทศนากันต่อไปทั้งพระสงฆ์ นักวิชาการพุทธศาสนา ผู้รู้สารพัด ว่า เมืองไทยนี้ดี มีพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งปัญญา ศาสนาแห่งการแสวงหาสัจจะ เสรีภาพ ความยุติธรรม ศาสนาที่สอนให้คนไทยมีเมตตาธรรม เสียสละ มองสรรพสัตว์เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ ที่ผมเขียนแบบนี้เหมือนเรียกร้องกับพระ กับนักวิชาการพุทธมากไป แต่ที่จริงผมคิดว่ามันเป็น "สามัญสำนึก" มากกว่า บ้านเมืองผิดปกติมากขนาดนี้ ชาวบ้านธรรมดาๆ ที่เขาไม่เคยอวดอ้างคุณค่าสูงส่งของพุทธศาสนาดังพระและนักวิชาการพุทธ เขายัง "ตื่นรู้" มองเห็นความผิดปกติอย่างยิ่งในบ้านเมืองนี้ แต่พระสงฆ์นักวิชาการพุทธใหญ่ๆ กลับเงียบกริบอย่าง "ผิดปกติ" มาก แถมยังแสดงโวหารทำนองว่าคนที่ออกมาพูดเรื่องนี้มากๆ นั้นคือพวกอยากดัง ไม่ละอายต่อจิตวิญญาณแบบศรีบูรพาบ้างหรือครับ! ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
ควีนอังกฤษเตรียมถูกตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณสาธารณะ Posted: 09 Feb 2013 04:38 AM PST โดยคณะกรรมการตรวจสอบบัญชีสาธารณะของรัฐสภา ชี้ว่าอาจเรียกผู้ดูแลการเงินของราชินีเข้าให้ปากคำแก่คณะกรรมการ เพื่อดูว่าค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น การเดินทาง การจัดงานเลี้ยง และเงินอุดหนุนของราชินีและราชวงศ์ถูกใช้อย่างเหมาะสมหรือไม่
9 ก.พ. 56 เว็บไซต์ดิ อินดีเพนเดนท์ ของอังกฤษรายงานว่า ผู้ดูแลทรัพย์สินของราชินีอังกฤษและสมาชิกในราชวงศ์ อาจถูกสอบสวนโดยคณะกรรมการในรัฐสภาเร็วๆ นี้ เพื่อตรวจสอบว่าการใช้จ่ายเงินภาษีของประชาชนนั้นคุ้มค่าและเหมาะสมหรือไม่ หลังจากมีการแก้ไขกฎหมายเพื่อให้สภาสามารถตรวจสอบการใช้จ่ายเงินของราชวงศ์อังกฤษได้ คณะกรรมการตรวจสอบบัญชีสาธารณะของรัฐสภาอังกฤษ ก็เตรียมตรวจสอบบัญชีการใช้จ่ายของราชวงศ์ในด้านต่างๆ เช่น การใช้จ่ายของสมาชิกอื่นๆ ในราชวงศ์ ค่าใช้จ่ายด้านงานจัดเลี้ยง ว่าค่าใช้จ่ายต่อแขกหนึ่งคนมีราคาเท่าใด และสามารถทำให้ถูกกว่านี้ได้หรือไม่ และด้านการเดินทาง โดยเฉพาะการเดินทางโดยเครื่องบินและเฮลิคอปเตอร์ โดยคณะกรรมการดังกล่าวขึ้นชื่อว่าเข้มงวดในการตรวจสอบการใช้จ่ายขององค์กรภาครัฐมาแล้วในอดีต ไม่ว่าจะเป็น กระทรวงพลังงาน กระทรวงแรงงาน หรือองค์กรเอกชนอย่าง อเมซอน สตาร์บักส์ หรือโกลด์แมน แซคส์ คณะกรรมการตรวจสอบบัญชีสาธารณะ ซึ่งมี มาร์กาเร็ต ฮอดจ์ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงแรงงานเป็นประธาน จะเป็นผู้พิจารณาว่าขอบเขตของการตรวจสอบจะเป็นอย่างไร โดยในเดือนหน้า สำนักงานผู้ตรวจสอบแห่งชาติมีกำหนดจะได้รับอนุญาตให้ตรวจสอบบัญชีของราชินี และออกรายงานการตรวจสอบ จากนั้นคณะกรรมการฯ จะพิจารณาจากรายงานดังกล่าวว่า จำเป็นต้องเรียกเจ้าหน้าที่ของสำนักราชวังเข้ามาเพื่อให้หลักฐานต่างๆ เพิ่มเติมหรือไม่ ออสติน มิตเชลล์ หนึ่งในสส. พรรคแรงงานที่เป็นกรรมการในคณะดังกล่าว ชี้ว่าตนสนับสนุนการตรวจสอบดังกล่าวอย่างเต็มที่ "มันไม่ได้เป็นเรื่องที่ก้าวก่าย หากแต่เป็นการทำให้สาธารณชนมั่นใจว่าเงินถูกใช้จ่ายไปอย่างคุ้มค่า" "ปัจจุบันนี้ ไม่มีการตรวจสอบสำหรับการใช้จ่ายที่เรียกว่าเป็นจำนวนมหาศาล" มิตเชลล์กล่าว เตรียมสอบแผนการตลาดวัง- สอบเจ้าหน้าที่ระดับสูงออกโทรทัศน์ นอกจากจะมีการตรวจสอบเงินที่อุดหนุนสมาชิกราชวงศ์ระดับล่าง ที่รัฐจ่ายให้เพื่อสนับสนุนการทำงานของราชินี ยังจะมีการตรวจสอบราชวังบัคกิงแฮมด้วยว่า มีแผนและยุทธศาสตร์การตลาดที่ดีพอสำหรับการหารายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับราชวงศ์หรือไม่ แม้ว่าพระราชวังบัคกิงแฮม จะสามารถทำเงินในปีที่ผ่านมาได้เพิ่มขึ้นถึง 10 ล้านปอนด์ (ราว 500 ล้านบาท) จากรายได้การขายตั๋วเพื่อให้เข้าชมพระราชวังในช่วงฤดูร้อน แต่คณะกรรมการดังกล่าวก็อาจจะตรวจสอบว่า เหตุใดจึงไม่เปิดพระราชวังให้นานกว่านี้ และทำไมพระราชวังอื่นๆ เช่น พระราชวังบัลมอรัล และแซนเดริงแฮม จึงไม่เปิดต่อสาธารณชน ถึงแม้ว่าจะต้องใช้จ่ายเรื่องค่าดูแลรักษาปีละหลายล้านปอนด์ ทั้งนี้ หากคณะกรรมการตัดสินใจจะดำเนินการสอบสวนจริง เซอร์ อลัน รีด หรือผู้ดูแลทรัพย์สินของราชินี จะถูกสอบสวนต่อหน้ากล้องโทรทัศน์ซึ่งจะออกอากาศต่อสาธารณะ ด้านส.ส. พรรคคอนเซอร์เวทีฟ จาคอบ รีส มอกก์ กล่าวว่า เขาสนับสนุนการตรวจสอบของคณะกรรมการ โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายของสำนักพระราชวัง หรือการจัดงานเลี้ยงต่างๆ แต่การตรวจสอบจำเป็นต้องอยู่ใน "ขอบเขตที่เหมาะสม" และชี้ว่าหากเข้าไปตรวจสอบรายได้และรายจ่ายส่วนพระองค์อาจเป็นเรื่องไม่มีเหตุผล อย่างไรก็ตาม รายได้ในส่วนของเจ้าชายแห่งเวลส์ (เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์) ซึ่งมีรายได้ผ่านตำแหน่งดุค ออฟ คอร์นวอลล์ จะไม่ถูกตรวจสอบ นอกจากนี้ กองทุนดุค ออฟ แลนคาสเตอร์ ซึ่งเป็นแหล่งรายได้ส่วนพระองค์ของราชินี จะถูกเว้นจากการตรวจสอบเช่นเดียวกัน ที่มา: เรียบเรียงจาก Exclusive: Royal books face MPs' scrutiny for first time ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
FAO ชี้ไทยจำนำข้าวไม่หยุดดันล้นโกดังแน่ Posted: 09 Feb 2013 03:49 AM PST
องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ระบุว่าปริมาณข้าวในสต๊อกของไทยจะเพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ในปี 2556 นี้ จากผลพวงของนโยบายรับจำนำข้าว ซึ่งอาจทำให้ไทยขาดแคลนโกดังเก็บข้าว แต่หากระบายได้ 7.7 ล้านตันในปีนี้ จะทวงแชมป์ส่งออกคืนได้ 9 ก.พ. 56 - เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์รายงานว่าองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ระบุว่า ปริมาณข้าวในสต๊อกของไทยจะเพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ในปี 2556 นี้ จากผลพวงของนโยบายรับจำนำข้าว ซึ่งอาจทำให้ไทยขาดแคลนโกดังเก็บข้าว โดยปริมาณข้าวในสต๊อกซึ่งเคยอยู่ที่เฉลี่ย 5.4 ล้านตัน ระหว่างปี 2551-2553 ได้พุ่งไปแตะ 7.8 ล้านตันในปี 2554 และเป็นที่คาดว่าในปี 2556 นี้ ปริมาณข้าวที่สีแล้วทั้งหมดของไทยอาจพุ่งสูงถึง 40% จากปีก่อนหน้า ไปทะลุ 18.2 ล้านเมตริกตัน "ประเทศไทยอาจประสบปัญหาขาดแคลนพื้นที่เก็บข้าว เนื่องจากแผนการระบายข้าวของรัฐบาลคืบหน้าไปอย่างเชื่องช้า และยังประสบกับภาวะความต้องการของตลาดต่างประเทศที่ลดลงอีกด้วย" รายงานของเอฟเอโอ ระบุ หน่วยงานของยูเอ็นระบุด้วยว่า โครงการรับจำนำข้าวของไทยส่งผลให้เกิดการปลูกข้าวเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก และยังนำไปสู่ปัญหาข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านทะลักเข้ามายังประเทศไทยอีกด้วย ซึ่งจากการประมาณการตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการพบว่า จะมีข้าวทะลักเข้ามาถึง 7.5 แสนตันในปีนี้ จาก 4 แสนตันในปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม เอฟเอโอคาดการณ์ว่าไทยจะสามารถส่งออกข้าวได้เพิ่มขึ้นเป็น 7.7 ล้านตันในปีนี้ เนื่องจากความพยายามระบายข้าวจากโกดังของรัฐบาล ซึ่งอาจช่วยให้ไทยกลับมาทวงตำแหน่งผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดอันดับ 1 ของโลกได้อีกครั้ง หลังจากที่ต้องเสียแชมป์ให้กับอินเดียไปในปีที่แล้ว ทั้งนี้ รายงานของเอฟเอโอได้มุ่งวิเคราะห์ถึงปริมาณข้าวสำรองของไทย อันเป็นผลสืบเนื่องจากนโยบายรับจำนำข้าว โดยคาดการณ์เปรียบเทียบจากข้อมูลของสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยเมื่อวันที่ 30 ม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งคาดการณ์ไว้ว่าไทยจะมีปริมาณข้าวที่สีแล้วทั้งหมดในปีนี้ที่ 17 ล้านตัน ขณะที่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เคยเปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า การรับจำนำข้าวเป็นนโยบายที่ควรคงไว้ไปอีกหลายปี
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
บริษัท GM ประเทศไทยออกแถลงการณ์เรื่องการเจรจาข้อเรียกร้องกับสหภาพฯ Posted: 09 Feb 2013 01:34 AM PST 9 ก.พ. 56 - เจนเนอรัล มอเตอร์ส ประเทศไทยออกแถลงการณ์ของจีเอ็ม ประเทศไทย เรื่องการเจรจาข้อเรียกร้องกับสหภาพแรงงานฯ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ ..
อนึ่งนอกจากแถลงการณ์ฉบับนี้ (9 ก.พ. 56) ทางบริษัทฯ ระบุว่าไม่มีความเห็นใดเพิ่มเติม ในขณะนี้ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคแนะหากถูกโกง “เฟอร์บี้” ใช้สิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหาย Posted: 09 Feb 2013 01:22 AM PST
9 ก.พ. 56 - จากกระแสตุ๊กตาเฟอร์บี้ ที่มีลักษณะเป็นตุ๊กตาขนฟู มีลักษณะของสัตว์เลี้ยง ร้องเพลง เต้นรำ พูดคุยกันด้วยภาษาของเฟอร์บี้ได้นั้น เป็นที่ต้องการของผู้บริโภคในยุคดิจิตอลเป็นจำนวนมาก จนกระทั่งล่าสุดมีข่าวถูกหลอกลวงให้ซื้อตุ๊กตาเฟอร์บี้ ผ่าน "อินสตาแกรม" และโปรแกรมสื่อสารออนไลน์อื่นๆ ดังข่าวที่ปรากฏขึ้นในขณะนี้ นางสาวทัศนีย์ แน่นอุดร หัวหน้าศูนย์ทดสอบฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า "จากกรณีที่ผู้บริโภคถูกหลอกลวงหรือซื้อสินค้าแล้วไม่ได้รับสินค้าตามที่ตกลงกันไว้นั้น ไม่ว่าจะผ่านช่องทางอินเตอร์เน็ตหรือซื้อขายผ่านหน้าร้านที่มีจำหน่ายโดยตรงก็ตาม ผู้บริโภคสามารถดำเนินการร้องเรียนปัญหาดังกล่าวได้ ซึ่งที่ผ่านมาตั้งแต่ต้นปี 2556 ทางศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้รับเรื่องร้องเรียนกรณีซื้อขายผ่านทางระบบอินเตอร์เน็ตกว่า 20 กรณี ทำให้เห็นว่าปัจจุบันผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะเจอปัญหาการหลอกลวงบนอินเตอร์เน็ตมากขึ้น และยังไม่มีหน่วยงานหลักที่จะติดตามตรวจสอบการซื้อขายอย่างจริงจัง ทั้งที่ทุกวันนี้การซื้อขายออนไลน์มีเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวจากปีที่ผ่านมา ทางศูนย์ทดสอบฉลาดซื้อจึงขอแจ้งเตือนผู้บริโภคที่จะทำการซื้อขายผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตจำเป็นต้องมีความระมัดระวังเพิ่มขึ้น พร้อมกับเก็บหลักฐานต่างๆไว้อย่างรอบคอบ เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ ทั้งนี้ผู้บริโภคท่านใดที่มีปัญหาการซื้อสินค้าผ่านทางระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตสามารถร้องเรียนได้ตามขั้นตอนด้านล่าง" กรณีที่ผู้บริโภคซื้อสินค้าแล้วพบว่ามีปัญหาในการจัดส่งสินค้า สามารถดำเนินการได้ดังนี้ 1. เมื่อผู้บริโภคสั่งซื้อสินค้าผ่านเว็บไซต์ สิ่งที่ผู้บริโภคพึงระวังคือ การถูกหลอกให้ซื้อสินค้าที่ได้คุณภาพตามที่ได้โฆษณา หรือถูกหลอกให้โอนเงินค่าสินค้าให้ก่อนแต่ไม่ได้รับสินค้า ดังนั้นผู้บริโภคจะต้องเก็บหลักฐานในการสั่งซื้อไว้ เช่น 1.1 หลักฐานการสั่งซื้อผ่านหน้าเว็บไซต์ ให้ผู้บริโภคถ่ายรูปหรือปริ้นหลักฐานการสั่งซื้อเก็บไว้ 1.2 เก็บหลักฐานการโอนเงินค่าสินค้า ซึ่งในกรณีที่โอนผ่านตู้เอทีเอ็มให้นำสลิป ไปถ่ายเอกสาร (เนื่องจากตัวหนังสือจะเลือนหายใช้เป็นหลักฐานไม่ได้) 2. เมื่อสั่งซื้อสินค้าแล้วพบว่าไม่ได้รับสินค้าตามที่ได้ระบุไว้ หรือได้รับสินค้าที่ไม่เหมือนที่โฆษณาในเว็บไซต์ ให้ปฏิบัติดังนี้ 2.1 ทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรส่งไปยังเจ้าของเว็บไซต์ดังกล่าว เพื่อสอบถามการส่งสินค้าให้กับผู้บริโภค โดยกำหนดวันจัดส่งสินค้าให้ผู้บริโภคภายใน 7 วันนับจากที่ได้รับจดหมาย ทั้งนี้ ให้แนบสำเนาหลักฐานการโอนเงินค่าสินค้าและหลักฐานการสั่งซื้อไปพร้อมกับจดหมายด้วยเพื่อเป็นการยืนยันว่าได้มีการซื้อสินค้า 2.2 หากพ้นวันที่กำหนดการจัดส่งสินค้า ให้ผู้บริโภคเข้าแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษที่สน.ใกล้บ้าน กรณีจ่ายเงินซื้อสินค้า และไม่ได้รับสินค้า เข้าข่ายหลอกลวงให้ผู้บริโภคซื้อสินค้า 2.3 ร้องเรียนต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ) โทรศัพท์ 02-5137113,02-5133681 , มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค 02-2483737 , สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สายด่วน 1166 ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
Posted: 09 Feb 2013 12:50 AM PST | |
สหภาพ Electrolux ร้อง กสม. หลังนายจ้างไม่ยอมเจรจา อนุฯ แรงงานเตรียมเรียกสองฝ่ายไกล่เกลี่ยสัปดาห์หน้า Posted: 09 Feb 2013 12:21 AM PST สหภาพ Electrolux ร้องขอความเป็นธรรมต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ หลังจากที่กระทรวงแรงงานนัดนายจ้างมาเจรจาในวันที่ 7 ก.พ. แต่นายจ้างไม่มาเจรจา ด้านคณะอนุกรรมาธิการติดตามประเมินสถานการณ์และแก้ไขปัญหาแรงงาน สภาผู้แทนฯ เตรียมเรียกสองฝ่ายเข้าไกล่เกลี่ยสัปดาห์หน้า เมื่อวันที่ 8 ก.พ. 56 ที่ผ่านมาตัวแทนสหภาพแรงงานอีเลคโทรลักซ์ ประเทศไทย ได้เข้ายื่นหนังสือต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ หลังจากที่กระทรวงแรงงานนัดนายจ้างให้มาเจรจาในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ที่กระทรวงแรงงาน แต่นายจ้างไม่มาตามนัด ทั้งนี้ในการเจรจาตัวแทนกระทรวงแรงงานได้ระบุว่าบริษัทฯ มีข้อเสนอว่ายินดีรับพนักงานทุกคนกับเข้าทำงาน แต่มีข้อแม้ว่าจะไม่รับกรรมการสหภาพแรงงานทั้งหมดกลับเข้าทำงานด้วยโดยอ้างว่าให้เป็นอำนาจของศาล ซึ่งทางตัวแทนคนงานปฎิเสธข้อเสนอนี้และยืนยันให้บริษัทรับคนงานที่ถูกเลิกจ้างทั้งหมดกลับเข้าทำงาน ด้านนายณฐกร แก้วดี อนุกรรมาธิการติดตามประเมินสถานการณ์และแก้ไขปัญหาแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวในวันนี้ว่า (9 ก.พ. 56) หลังจากที่คนงาน Electrolux ไดเข้าร้องเรียนต่อคณะกรรมาธิการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 15 ม.ค. 56 ที่ผ่านมา หลังจากนั้นคณะกรรมาธิการแรงงานได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมาธิการติดตามประเมินสถานการณ์และแก้ไขปัญหาแรงงาน ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ย ซึ่งในเบื้องต้นนายณฐกร ระบุว่าภายในสัปดาห์หน้า ทางคณะอนุกรรมาธิการจะเรียกทั้งฝ่ายลูกจ้างและบริษัทให้มาเจรจากัน ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
You are subscribed to email updates from ประชาไท To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น