โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันจันทร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2556

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

บริษัทในอังกฤษถูกกล่าวหาว่าส่งออกสารเคมีส่วนประกอบแก๊สซารินไปยังซีเรีย

Posted: 02 Sep 2013 12:23 PM PDT

บริษัทในอังกฤษได้รับใบอนุญาตส่งออกสารเคมีสองชนิดซึ่งสามารถนำมาผลิตแก๊สซารินได้ตั้งแต่ช่วงปี 2012 ก่อนถูกระงับ ทางด้าน รมต.อังกฤษบอกว่าได้ให้ใบอนุญาตแต่ไม่มีการส่งออกตัวสารเคมีออกไป ในโซเชียลเน็ตเวิร์กมีการเผยแพร่ภาพคนแต่งชุดทหารเขียนข้อความประท้วงการทำสงครามซีเรีย

2 ก.ย. 2013 - สำนักข่าว The Independent เปิดเผยว่ารัฐบาลอังกฤษถูกกล่าวหาในเรื่องการละเลย โดยอนุญาตให้มีการส่งสารเคมีสองชนิดที่สามารถนำมาใช้ผสมเป็นสารทำลายประสาทอย่างแก๊สซารินได้ ขณะเดียวกันในโซเชียลเน็ตเวิร์กก็มีการแชร์ภาพการประท้วงต่อต้านการทำสงครามกับซีเรียหลายแห่ง

มีการกล่าวหาว่าบริษัทในอังกฤษได้รับใบอนุญาตให้ส่งออกสารเคมีสองชนิดซึ่งนำมาใช้ผลิตอาวุธเคมีได้เป็นเวลานาน 6 เดือน ในช่วงปี 2012 ที่ผ่านมา ในขณะที่ยังคงเกิดสงครามกลางเมืองในซีเรียและมีความกังวลเรื่องการใช้อาวุธเคมีกับประชาชนในซีเรีย สารที่อนุญาตให้มีการส่งออกได้แก่ โพแทสเซียมฟลูออไรด์ และโซเดียมฟลูออไรด์

ทางด้านกระทรวงธุรกิจ นวัตกรรม และทักษะฝีมือของอังกฤษยืนยันว่าแม้พวกเขาจะออกใบอนุญาตให้บริษัทเคมีในอังกฤษในเดือน ม.ค. 2012 แต่ก็ไม่มีการส่งสารเคมีไปที่ซีเรียจนกระทั่งมีการยึดใบอนุญาตคืนในเดือน ก.ค. ปีเดียวกันเมื่อสหภาพยุโรปประกาศเข้มงวดมาตรการคว่ำบาตร

วินซ์ เคเบิล รมต.กระทรวงธุรกิจฯ กล่าวว่า ทางการได้ออกใบอนุญาตให้สารเคมีทั้งสองชนิดเมื่อวันที่ 17-18 ม.ค. 2012 เพื่อให้นำไปใช้ในการอุตสาหกรรม แต่สาเหตุที่ให้ใบอนุญาตในช่วงดังกล่าวเนื่องจากพวกเขาไม่มีมูลเหตุใดๆ ในการปฏิเสธการให้ใบอนุญาต และเตรียมชี้แจงกับ ส.ส. อังกฤษ ในกรณีนี้

ทางด้านจอห์น เคอร์รี่ รัฐมนตรีการต่างประเทศของสหรัฐฯ กล่าวว่า พวกเขามีหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงการใช้อาวุธเคมี โดยพบร่องรอยของสารพิษต่อระบบประสาทในเส้นผมและเลือดของเหยื่อที่ถูกโจมตีในกรุงดามาสกัสเมื่อเดือนที่ผ่านมา โดยที่ประธานาธิบดีบารัก โอบามา กำลังพยายามเจรจามติกับรัฐสภาเพื่อให้มีการอนุญาตปฏิบัติการทางทหารเพื่อโจมตีซีเรีย


ประท้วงทำสงครามกับซีเรีย

ในเว็บไซต์ reddit มีการนำเสนอภาพคนแต่งกายในชุดทหารสหรัฐฯ เขียนข้อความต่อต้านแผนการแทรกแซงด้วยกำลังอาวุธในซีเรีย เช่นข้อความว่า "ผมไม่ได้เข้าร่วมกองกำลังนาวิกโยธินเพื่อต่อสู้อยู่ข้างเดียวกับกลุ่มกบฏอัลเคด้าในสงครามกลางเมืองซีเรีย"

อย่างไรก็ตาม การที่ผู้อยู่ในภาพปิดบังหน้าตาตนเองทำให้ไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่าผู้ประท้วงมาจากกองทัพสหรัฐฯ จริงหรือไม่ แต่การนำเสนอข้อความดังกล่าวก็เป็นการสะท้อนข้อถกเถียงเรื่องหนึ่งในสงครามกลางเมืองซีเรียคือเรื่องความเกี่ยวข้องระหว่างกลุ่มอัลเคด้ากับฝ่ายกบฏในซีเรียซึ่งมีอยู่หลายฝ่าย

นอกจากนี้ ยังมีภาพการประท้วงจากหลายแห่งในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เช่นผู้ชุมนุมในออตตาวา ประเทศแคนาดา ซึ่งเรียกร้องให้มีการแก้ปัญหาซีเรียด้วยสันติวิธี ขณะที่ในจอร์แดน มีกลุ่มผู้ประท้วงมารวมตัวหันหน้าสถานทูตสหรัฐฯ เพื่อแสดงความไม่เห็นด้วยต่อการแทรกแซงซีเรียด้วยกำลัง

มีคลิปวิดีโอที่แสดงให้เห็นภาพของ เอมิลี่ เยทส์ ทหารผ่านศึกจากสงครามอิรักถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวหลังจากเล่นเครื่องดนตรีแบนโจในสวนของอินดิเพนเดนซ์มอลล์ รัฐฟิลาเดเฟีย เพื่อประท้วงแผนปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐฯ

 

 

เรียบเรียงจาก

Revealed: Government let British company export nerve gas chemicals to Syria, The Independent, 02-09-2013
http://www.independent.co.uk/news/uk/politics/revealed-government-let-british-company-export-nerve-gas-chemicals-to-syria-8793642.html

Some US Troops Appear To Be Posting Photos In Protest Of Syrian Intervention, Business Insider, 01-09-2013
http://www.businessinsider.com/troops-protest-syria-military-strike-2013-9

Woman violently arrested for playing banjo in wrong place at Syria war protest in Philly, Rawstory, 01-09-2013
http://www.rawstory.com/rs/2013/09/01/woman-violently-arrested-for-playing-banjo-in-wrong-place-at-syria-war-protest-in-philly/

Attack on Syria? Protests Around the World, CommonDreams, 31-09-2013
http://www.commondreams.org/headline/2013/08/31-1

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

บอร์ด กทค. ฟ้องหมิ่นประมาท เดือนเด่น TDRI กรณีให้ข่าวเรื่องคลื่น 1800 MHz

Posted: 02 Sep 2013 12:10 PM PDT

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ รายงานว่า มีรายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2556 คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) ซึ่งประกอบด้วยพันเอกเศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ, นายสุทธิพล ทวีชัยการ, พลเอกสุกิจ ขมะสุนทร, นายประเสริฐ ศีลพิพัฒน์ และสำนักงาน กสทช. โดยนายฐากร ตัณฑสิทธิ์ ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้องคดีหมิ่นประมาท หมายเลขดำที่ 3172/2556 โดยมี นางเดือนเด่น นิคมบริรักษ์ และนางสาวณัฎฐา โกมลวาทิน เป็นจำเลยที่ 1 และ 2 ตามลำดับ

ในบรรยายฟ้องระบุว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2556 ถึงวันที่ 14 สิงหาคม 2556 นางเดือนเด่น นิคมบริรักษ์ ได้ใส่ความอันเป็นเท็จ กล่าวโจมตีการทำหน้าที่ของ กสทช. และกรรมการ กทค. รวมถึงสำนักงาน กสทช.  ต่อสื่อต่างๆ ทั้งหนังสือพิมพ์รายวัน สื่อออนไลน์ และรายการ "ที่นี่ Thai PBS" ทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส  โดยมีนางสาวณัฏฐา โกมล เป็นผู้ดำเนินรายการ ออกอากาศไปทั่วประเทศ กรณีที่ กทค. ได้ออกร่างประกาศ กสทช. เรื่อง มาตรการคุ้มครองผู้ใช้บริการเป็นการชั่วคราวในกรณีสิ้นสุดการอนุญาต สัมปทาน หรือสัญญาการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ พ.ศ. .... (ประกาศห้ามซิมดับ) เพื่อกำหนดมาตรการคุ้มครองผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่คงค้างอยู่ในระบบในกรณีสัญญาสัมปทานที่จะสิ้นสุดลงในวันที่ 15 กันยายน 2556

โดยนางเดือนเด่น มีการวิพากษ์วิจารณ์คัดค้านและไม่เห็นด้วยต่อร่างประกาศดังกล่าว โดยให้สัมภาษณ์ในทำนองว่า "กสทช. จะขยายระยะเวลาให้เอกชนมีสิทธิถือครองคลื่น 1800 MHz ออกไปอีก 1 ปี โดยออกเป็นร่างประกาศห้ามซิมดับจะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน หาก กสทช. รับฟังข้อเสนอตั้งแต่ที่อนุกรรมการ 1800 MHz เสนอตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2555 แต่บอร์ด กทค. กลับไม่สนใจ" และ "รัฐสูญเสียรายได้ 1.6  แสนล้านบาท จากการเลื่อนประมูล 4 จี พร้อมอ้างว่า ตัวเลขดังกล่าวเป็นไปตามผลวิจัยของสถาบันอนาคตประเทศไทยที่เคยประเมินความเสียหายจากความล่าช้าประมูลใบอนุญาตให้บริการ3 จี ในย่านความถี่ 2100 MHz

ซึ่งข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง คือ เมื่อเดือนสิงหาคม 2555 คณะอนุกรรมการฯ ซึ่งนางเดือนเด่น ร่วมเป็นอนุกรรมการฯ ด้วยนั้น ยังไม่ได้มีการยื่นข้อเสนอตามที่มีการให้สัมภาษณ์แต่อย่างใด แม้ในช่วงต้นปี 2556  จะมีการเสนอรายงานและข้อเสนอแนะมาให้ กทค. พิจารณา แต่ก็เป็นเพียงข้อเสนอของฝ่ายเลขานุการฯ ซึ่งที่ประชุมคณะอนุกรรมการฯ มีเพียงมติรับทราบเท่านั้น

โดยนางเดือนเด่น ได้เคยเสนอความเห็นในที่ประชุมคณะอนุกรรมการฯ ไม่เห็นด้วยว่า กสทช. จะสามารถยืดเวลาการใช้คลื่นความถี่ให้เอกชนจะเป็นการเอื้อประโยชน์และจะถูกครหา แต่ที่ประชุมคณะอนุกรรมการฯ ไม่เห็นด้วยกับความเห็นดังกล่าว และได้นำเสนอรายงานฯ ต่อที่ประชุม กทค. เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2556

ดังนั้นในวันที่ 31 กรกฎาคม 2556 นางเดือนเด่น จึงย่อมคาดหมายได้ว่า หากการประมูลคลื่นความถี่ 1800 MHz ตามที่คณะอนุกรรมการฯ เสนอตามรายงานฯ ต้องใช้เวลาในการดำเนินการต่าง ๆ นับแต่ กทค. เห็นชอบตามรายงานฯ จนถึงการประกาศผลการประมูลไม่น้อยกว่า 10-11 เดือน โดยระยะเวลาที่จะได้ผู้ชนะการประมูลที่เร็วที่สุดประมาณเดือนมกราคมหรือกุมภาพันธ์ 2557  ซึ่งเป็นระยะเวลาหลังจากสิ้นสุดสัมปทาน 1800 MHz ในเดือนกันยายน 2556 ไปแล้ว แต่กลับให้สัมภาษณ์เท็จข้างต้นโดยรู้อยู่ว่าระยะเวลานั้นไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
 
นอกจากนี้หลังจากที่ กทค. มีมติเห็นชอบประกาศห้ามซิมดับและเห็นชอบให้สำนักงาน กสทช. จัดรับฟังความคิดเห็นสาธารณะต่อร่างประกาศห้ามซิมดับดังกล่าว กทค. ได้มีการชี้แจงต่อสื่อต่างๆ ต่อข้อตำหนิของกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางของ กทค. ดังกล่าวและกล่าวหา กสทช. ว่าไม่ได้ดำเนินการอะไรในการเตรียมการประมูลคลื่นความถี่ 1800 MHz โดยเมื่อสำนักงาน กสทช. ได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะต่อร่างประกาศห้ามซิมดับในวันที่ 25 กรกฎาคม 2556 หลังจากนั้น นางเดือนเด่นก็ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อต่างๆ โดยบิดเบือนข้อเท็จจริงที่ทำให้คนทั่วไปเข้าใจว่า กสทช. และ กทค. ทำให้ประเทศและประชาชนเสียหายเบื้องต้น 1.6 แสนล้านบาท ทั้งที่โดยข้อเท็จจริง กทค. ยังไม่เคยมีมติกำหนดวันประมูลคลื่นความถี่ย่าน 1800 MHZ แต่อย่างใด

โดย กทค. เพิ่งมีมติในการประชุมครั้งที่ 26/2556 เมื่อวันที่ 31กรกฎาคม 2556 อนุมัติกรอบระยะเวลาของกระบวนการประมูลคลื่นความถี่ 1800 MHz ในช่วงกลางเดือนถึงปลายเดือนกันยายน 2557 เป็นครั้งแรกที่มีความแน่นอนและเป็นทางการ จึงไม่ใช่เป็นกรณีที่มีเลื่อนการประมูลคลื่นความถี่ดังกล่าวออกไปแต่อย่างใด
             
ทั้งนี้การที่นางเดือนเด่น หยิบยกความเสียหายจากการเลื่อนการประมูลคลื่นความถี่ 3 จี ย่าน 2.1 GHz ข้างต้น ซึ่งเป็นคนละประเด็น คนละเหตุการณ์ และคนละปัจจัยมาโจมตี กสทช. กทค. กรรมการ กทค. สำนักงาน กสทช. ดังกล่าว ทั้งที่เมื่อพิจารณาตามหลักวิชาการ หรือตามความเข้าใจของวิญญูชนโดยทั่วไป

ประกอบกับอยู่ในวิสัยและศักยภาพที่นางเดือนเด่นสามารถเข้าใจและตรวจสอบความถูกต้องได้ เนื่องจากดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันทีดีอาร์ไอ จบการศึกษาเศรษฐศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตจากสถาบันชั้นนำในต่างประเทศ และเป็นนักวิชาการที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้มีความรู้ความสามารถในด้านเศรษฐศาสตร์ และด้านกิจการโทรคมนาคมเป็นอย่างดีว่าไม่สามารถนำข้อมูลความเสียหายดังกล่าวมาปรับใช้ แล้วสรุปว่า กสทช. กทค. กรรมการ กทค. และสำนักงาน กสทช. ทำให้ชาติเสียหายในจำนวนมหาศาลดังกล่าวได้

เนื่องจากมีข้อเท็จจริงและปัจจัยต่างๆ ที่มีความแตกต่างกันและสถานการณ์การใช้งานคลื่นความถี่ก็มีความแตกต่างกัน โดยคลื่นความถี่ย่าน 2.1 GHz เป็นคลื่นว่างที่ไม่มีการใช้งาน แต่คลื่นความถี่ย่าน 1800 MHz ยังมีการใช้งานอยู่ หากมีการเร่งรัดการประมูลโดยละเลยปัจจัยแวดล้อมที่เกี่ยวข้องอาจทำให้ประเทศชาติเสียหายยิ่งกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งนางเดือนเด่น เป็นนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญทางด้านเศรษฐศาสตร์ทำงานใกล้ชิดกับองค์กร ตั้งแต่สมัย กทช. มาจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งรู้ข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างดี

ทั้งนี้เมื่อ กสทช. ยังไม่ได้มีการกำหนดกรอบระยะเวลาของกระบวนการประมูลคลื่นความถี่ 1800 MHz ก็ย่อมไม่มีการเลื่อนการประมูล จึงไม่มีความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการเลื่อนการประมูลคลื่นความถี่ ตามที่นางเดือนเด่นให้สัมภาษณ์แต่อย่างใด

ดังนั้น การที่นางเดือนเด่นให้สัมภาษณ์ใส่ความเท็จและบิดเบือนข้อเท็จจริงข้างต้น จึงเป็นการประสงค์ต่อผลหรือเล็งเห็นผลได้ว่า จะก่อให้เกิดผลกระทบและความเสียหายต่อบุคคลหรืออุตสาหกรรมโทรคมนาคมของประเทศ ทั้งคาดหมายได้ว่า การให้ความเห็นในทางวิชาการในเรื่องใดที่มิได้มีการศึกษาและตรวจสอบข้อเท็จจริงให้รอบด้าน ย่อมส่งผลกระทบและสร้างความสับสนต่อสาธารณะอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกิจการโทรคมนาคมของประเทศที่อยู่ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านจากระบบสัมปทานไปสู่การแข่งขันโดยเสรีและอยู่ในระหว่างเตรียมการเพื่อประมูลคลื่นความถี่ย่าน 1800 MHz ที่มีความเกี่ยวข้องกับประโยชน์ของประเทศชาติจำนวนมหาศาล และการดำเนินการดังกล่าวจะให้ประสบความสำเร็จและบรรลุวัตถุประสงค์ของรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่กำหนดให้ต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติและประชาชนจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องได้รับการยอมรับและความเชื่อมั่นทั้งในส่วนของการลงทุน หลักเกณฑ์การกำกับดูแล และความน่าเชื่อถือของหน่วยงานกำกับดูแล
 
ทั้งนี้ผลกระทบจากการให้ข้อมูลที่ไม่เป็นความจริงดังกล่าว ไม่เพียงแต่มีผลเป็นการทำลายความเชื่อมั่น ความน่าเชื่อถือในองค์กรกำกับดูแลซึ่งเป็นผู้หน้าที่ในการจัดประมูลคลื่นความถี่ หากแต่ยังทำลายความเชื่อมั่นในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม รวมถึงระบบการกำกับดูแลของประเทศเป็นอย่างยิ่ง

พฤติการณ์การให้สัมภาษณ์ของนางเดือนเด่นจึงทำให้เชื่อโดยปราศจากข้อสงสัยว่ามีเจตนาประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลที่ไม่สุจริตกล่าวให้ร้ายและใส่ความเท็จและบิดเบือนข้อเท็จจริงมุ่งหมายให้ กสทช. กทค. และกรรมการ กทค. รวมถึงสำนักงาน กสทช. ในฐานะผู้มีหน้าที่และความรับผิดชอบตามกฎหมายในเรื่องดังกล่าว เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น และถูกเกลียดชัง ทั้งมิได้คำนึงต่อผลกระทบอย่างใหญ่หลวงที่จะเกิดขึ้น ทำให้ประชาชนทั่วไป ที่ไม่ทราบความจริง เมื่อได้อ่านหรือได้ฟังข้อความดังกล่าวย่อมจะทำให้เชื่อได้ว่า กสทช. กทค. กรรมการ กทค. สำนักงาน กสทช. สร้างความเสียหายจำนวนมหาศาลให้แก่ประเทศชาติดังกล่าวจริง

อีกทั้งทำให้เชื่อว่า กสทช. กทค. กรรมการ กทค. สำนักงาน กสทช. ทุจริตต่อหน้าที่ ไม่โปร่งใส มีการเอื้อให้เอกชนใช้คลื่นความถี่ 1800 MHz ต่อไปอีก 1 ปี ทั้งทำให้เกิดความเสียหายต่อเกียรติยศ ชื่อเสียง วงศ์ตระกูล ทั้งในฐานะที่เป็น กสทช. กทค. และในส่วนตัวที่เป็นผู้ใช้ดุลพินิจในเรื่องดังกล่าว รวมถึงเสื่อมเสียต่อภาพลักษณ์และความศรัทธาจากประชาชน

เกิดความเข้าใจผิดว่า เป็นองค์กรที่มีความไม่เป็นกลาง ทุจริต ซึ่งกรรมการ กทค. เป็นบุคคลที่มีเกียรติประวัติที่ดี ไม่เคยมีเรื่องด่างพร้อยในการปฏิบัติหน้าที่มาก่อน การถูกใส่ร้ายในลักษณะนี้ในการทำงานในตำแหน่งที่อยู่ท่ามกลางผลประโยชน์มหาศาลและในช่วงเวลาที่ต้องดำเนินการเปลี่ยนระบบสัมปทานไปสู่ระบบใบอนุญาตทั้งต้องจัดสรรคลื่นความถี่ซึ่งเป็นสมบัติของชาติให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน ทั้งผู้ประกอบกิจการที่ กสทช. โดย กทค. ต้องกำกับดูแลเกิดความหวาดระแวง กทค. ว่าจะดำเนินการที่ไม่เป็นกลางเพื่อเอื้อประโยชน์แก่ผู้ประกอบการบางราย

การกล่าวหาดังกล่าวจึงเป็นเรื่องที่ร้ายแรงอย่างยิ่ง และส่งผลกระทบ รวมทั้งสร้างความเสียหายและเสื่อมเสียต่อ กสทช. กทค. กรรมการ กทค. สำนักงาน กสทช. อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้

ทั้งนี้โจทก์ทั้งห้าได้ฟ้องขอให้ศาลอาญาพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326 (ความผิดฐานหมิ่นประมาท) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และมาตรา 328 (ความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา) ซึ่งเป็นโทษที่หนักขึ้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปีและปรับไม่เกินสองแสนบาท    

ในบรรยายฟ้องยังระบุด้วยว่า การให้สัมภาษณ์ใส่ความต่อโจทก์ทั้งห้า ในลักษณะเป็นเท็จต่อสื่อหนังสือพิมพ์และในรายการโทรทัศน์ "ที่นี่ Thai PBS" มีจำหน่ายแพร่หลาย และออกอากาศแพร่กระจายสัญญาณทั่วราชอาณาจักรไทย เหตุคดีนี้ จึงเกิดขึ้น ทุกตำบล อำเภอ จังหวัด ในราชอาณาจักรไทย

ดังนั้นโจทก์ทั้งห้า จึงอาจใช้สิทธิฟ้องร้องคดีในเขตอำนาจศาลได้ทั่วราชอาณาจักรอีกด้วย

 


ที่มา: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

หมอนิรันดร์ลงพื้นที่ไต่สวนเหตุยิง 2 วัยรุ่นในม็อบสวนยาง

Posted: 02 Sep 2013 06:40 AM PDT

หลังกรณีคนร้ายลอบยิงชายวัยรุ่น 2 ราย ซึ่งทำหน้าที่เป็นการ์ดการชุมนุมของม็อบชาวสวนยาง อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช โดยเกิดเหตุบริเวณแยกบ้านตูล วันนี้ (2 ก.ย.56) นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้ลงพื้นที่ชุมนุมเพื่อรับฟังข้อมูลจากชาวสวนยาง

หลังจากพูดคุยกับผู้ชุมนุมที่บ้านตูล นครศรีฯ แล้ว ก็เดินทางไต่สวนผู้ชุมนุมที่ควนหนองหงษ์ หลังจากนั้นเวลา 14.00 น.ได้เดินทางไปไต่สวน ผวจ. นครศรีฯ และส่วนราชการต่างๆ ที่ศาลากลาง

ด้านสำนักข่าวทีนิวส์รายงานสถานการณ์การชุมนุมประจำวันนี้ว่า เกษตรกรชาวมสวนยางที่มาชุมนุมในพื้นที่จังหวัด  ชุมพร-ระนอง-ประจวบคีรีขันธ์ ได้ขึ้นไปบนศาลากลางจังหวัดชุมพร กดดันให้รัฐบาบลแก้ปัญหาราคาน่งและปาล์มน้ำมันตกต่ำโดยนายชุมพล จุลใส ส.ส.ชุมพร เขต 1 พรรคประชาธิปัตย์ นายกฤษณ์ แก้วรักษ์ นายก อบต.ท่าข้าม ในฐานะประธานชมรมผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จังหวัดชุมพร บรรดานายก อปท. สมาชิกสภา อบจ.,ส.ท. และ สมาชิกสภา อบต.ต่างๆ ร่วมกันชุมนุมหน้าศาลากลางจังหวัดชุมพรด้วย โดยมีการตั้งเต็นท์กว่า 20 หลัง พร้อมตั้งเวทีปราศรัยบนถนนฝั่งตรงข้ามบันไดทางขึ้นศาลากลาง ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องปิดการจราจรหน้าศาลากลางไปโดยปริยาย และขอให้ผู้ที่มาติดต่อราชการหลีกเลี่ยงไปใช้ประตูฝั่งทิศใต้และฝั่งทิศเหนือแทนเป็นการชั่วคราว ส่วนตำรวจภูธรจังหวัดชุมพรได้ระดมกำลังเจ้าหน้าที่ทั้งในและนอกเครื่องแบบกว่า 100 นาย มาสมทบกับอาสาสมัคร (อส.) จากกองร้อย อส.จ.ชุมพรกว่า 100 นาย เพื่อคอยดูแลความสงบเรียบร้อยและป้องกันมิให้ผู้ไม่หวังดีฉวยโอกาสก่อความรุนแรง ขณะเดียวกันนายพีระศักดิ์ หินเมืองเก่า ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร ได้ขอให้ผู้ประกอบการสินค้าโอท็อปของชุมพรนำสินค้าประเภทอาหาร เครื่องดื่ม มาวางจำหน่ายให้ผู้ชุมนุมในราคาถูก พร้อมทั้งยังขอให้ร้านเสริมสวยน้ำหอมนำช่างตัดผมมาให้บริการตัดผมฟรีแก่ผู้ร่วมชุมนุม ท่ามกลางอากาศที่ค่อนข้างร้อนอบอ้าว

ทั้งนี้ กลุ่มผู้ชุมนุมนำภาพเท่าตัวจริงของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมโลงศพมาตั้งบนถนนหน้าศาลากลางจังหวัดชุมพร ก่อนนำภาพของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ไปวางในโลงศพ จากนั้นจึงช่วยกันเทน้ำมันลงไปแล้วจุดไฟเผา เพื่อเป็นการประท้วงที่รัฐบาลไม่มีความจริงใจแก้ปัญหายางพาราและปาล์มน้ำมันมีราคาตกต่ำ

และแม้นายปฐม สาธิตานนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพรได้ออกมารับมอบหนังสือร้องเรียนจากผู้ชุมนุมแล้วแต่ผู้ชุมนุมยังคงยืนยันชุมนุมต่อไปจนกว่าจะได้รับคำตอบที่น่าพอใจจากรัฐบาล

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 27 ส.ค. - 2 ก.ย. 2556

Posted: 02 Sep 2013 05:18 AM PDT

ลุ้นของบกลางเพิ่มเงินให้พนักงานมหา'ลัย

(27ส.ค.) รศ.นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ อธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว)  เปิดเผยว่า ในการประชุมสามัญของที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย(ทปอ.) เมื่อเร็วๆนี้ ตนได้ขอให้นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช.ศึกษาธิการ ช่วยของบกลางปี 2557  เพื่อให้มหาวิทยาลัยต่างๆนำไปใช้ในการปรับเพิ่มเงินเดือนให้แก่พนักงาน มหาวิทยาลัยที่ได้รับการบรรจุแต่งตั้งก่อนวันที่ 1 มกราคม 2555 ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.)  เพราะสำนักงบประมาณให้มหาวิทยาลัยใช้เงินรายได้ของมหาวิทยาลัยจ่ายเงินเดือน ย้อนหลังให้พนักงานตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2555 ถึง 30 กันยายน 2556 และจะตั้งงบประมาณคืนให้ในปี 2558  แต่มหาวิทยาลัยต่างๆ ไม่กล้านำเงินรายได้มาจ่ายให้ก่อน เพราะจะกระทบกับงบฯที่ต้องนำไปใช้พัฒนามหาวิทยาลัยในส่วนอื่นๆ  ส่วนงบฯที่จะใช้จ่ายเงินเดือนให้แก่พนักงานมหาวิทยาลัย ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2556 เป็นต้นไปคงไม่ต้องห่วง เพราะรัฐบาลได้ตั้งงบประมาณปี 2557  ไว้ให้เรียบร้อยแล้ว

"หากนายเสริมศักดิ์  ช่วยของบกลางมาเบิกจ่ายในส่วนนี้ให้ก่อน โดยไม่ต้องรอตกเบิกในปี 2558  ก็จะช่วยผ่อนคลายให้แต่ละมหาวิทยาลัยได้มาก  โดยจำนวนเงินที่จะต้องใช้ก็ถือว่าไม่มากแค่ประมาณ 1,000 ล้านบาท  ซึ่งหากเทียบกับงบกลางที่รัฐบาลมีอยู่ 2-3 แสนล้านบาท" รศ.นพ.เฉลิมชัย กล่าว

(เดลินิวส์, 27-8-2556)

 

สงครามแย่งพนง.แบงก์เดือด ลาออก 12%

นายสุรศักดิ์ ดุษฎีเมธา รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า การแข่งขันแย่งทรัพยากรบุคคลระหว่างธนาคารพาณิชย์ มีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ธนาคารมีอัตราการลาออกของพนักงาน 12% เพิ่มขึ้นจากช่วง 2-3 ปีก่อนที่มีอัตราการลาออกเพียง 4-5%

จากการทำสำรวจทางโทรศัพท์ช่วงครึ่งแรกของปีนี้ เทียบกับธนาคารแห่งอื่น พบว่า ธนาคารกสิกรไทยมีอัตราการลาออก 8.45% รองจากธนาคารกรุงศรีอยุธยาที่มี 8.80% ธนาคารไทยพาณิชย์ 7.02% ส่วนธนาคารกรุงเทพและธนาคารกรุงไทยอยู่ที่ 5% และ 1.47% ตามลำดับ ด้วยการใช้กลยุทธ์ด้านราคาเป็นยุทธศาสตร์หลัก

"การแข่งขันที่เกิดขึ้นอยู่ในสายงานที่ธนาคารมีความแข็งแกร่งค่อนข้าง มาก เช่น สายงานเอสเอ็มอีที่โดนค่อนข้างมาก รวมถึงสายงานสร้างรายได้อื่นๆ เช่นเจ้าหน้าที่ดูแลความสัมพันธ์ลูกค้า รวมถึงงานด้านต่างประเทศที่มีความขาดแคลน โดยพนักงานบางรายได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น 50% 80% หรือบางคน 100% จนเริ่มต้องคิดว่า การแย่งคนไปมา จะทำให้ต้นทุนสูงกว่าศักยภาพพนักงานหรือไม่ ซึ่งกลไกที่เกิดขึ้นนี้ไม่รู้จะไปถึงไหนและจะหยุดยังไง"

ธนาคารมีความสามารถแข่งขันด้านทรัพยากรบุคคล โดยได้ปรับการรับพนักงานเช่นกัน ตอบรับผลการรับสมัครได้ภายใน 3 วันทำการ รวมถึงการจ่ายผลตอบแทนให้กับพนักงาน ที่ผ่านมาธนาคารได้ปรับขึ้นผลตอบแทนแรกเข้า 2 ครั้งแล้ว นับตั้งแต่รัฐบาลมีนโยบายขึ้นค่าครองชีพสำหรับผู้จบปริญญาตรี โดยเดือนส.ค.นี้ เพิ่งมีการปรับขึ้นไปสำหรับผู้ที่จบปริญญาตรีใกล้ระดับ 14,500 บาท ไม่รวมค่าครองชีพอีก 2,500 บาท และโบนัสที่จะขึ้นกับผลประกอบการ ซึ่งจะขึ้นกับวุฒิการศึกษาว่า จบจากสถาบันใด สาขาใด ซึ่งรวมแล้วจะสูงกว่า 15,000 บาทแน่นอน ซึ่งธนาคารบางแห่งได้ปรับแล้วเช่นกัน

เขากล่าวว่า จำนวนพนักงานธนาคาร ณ เดือนก.ค.ที่ผ่านมาอยู่ที่ 19,000 คน เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2555 ที่มี 17,404 คน และจากในอดีตหลังวิกฤติเศรษฐกิจธนาคารมีพนักงาน 11,253 คน สิ้นปี 2549 และเริ่มเพิ่มจำนวนหลังจากนั้นมากกว่า 50% อยู่ตามสาขาของธนาคาร เพราะบุคลากรที่เพิ่มขึ้น จะล้อไปกับจำนวนสาขาของธนาคารที่เริ่มขยายเพิ่มตั้งแต่ปี 2550 สิ้นเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา มีสาขา 850 แห่ง จากปีก่อนที่มี 846 แห่ง และจากสิ้นปี 2549 ธนาคารมีสาขา 582 แห่งทั่วประเทศ โดยแต่ละปีอัตราการรับพนักงานใหม่เข้ามาเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากช่วงปี 2553-2554 ปีละ 3,000 คน ปีนี้ธนาคารต้องการรับพนักงานเพิ่มถึง 4,500 คน โดย 30% เพื่อรองรับปริมาณงานใหม่ที่เพิ่มขึ้น และอีก 70% เพื่อรองรับพนักงานที่ลาออกไป แต่ความสามารถในการรับได้จริงอยู่ที่ 90% ของความต้องการ

ขณะที่โครงสร้างพนักงานเปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน โดยสิ้นปี 2555 สัดส่วนพนักงานชายมีอยู่ 40% ลดลงจากปี 2543 ที่มีกว่า 70% ด้านอายุพนักงานปัจจุบันพนักงานมีการกระจายตัวมากขึ้น โดยสัดส่วนใหญ่ที่สุดอยู่ในกลุ่มผู้มีอายุต่ำกว่า 30 ปีคิดเป็น 38% เทียบในอดีตที่มี 18% ทำให้สัดส่วนพนักงานที่อยู่ในรุ่น Generation Y มีสัดส่วนกว่า 53% ตามมาด้วย Generation X คิดเป็น 30% ที่เหลือเป็นรุ่น Baby Boom เทียบกับในปี 2543 ที่สัดส่วน Generation X คิดเป็น 54% และรุ่น Baby Boom อีก 45% ปัญหาที่เกิดขึ้นคือคนรุ่นใหม่หรือ Generation Y ที่เริ่มมีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้น จะมีความคิดอ่านเป็นของตัวเองสูงมาก และจงรักภักดีน้อยกว่าคนรุ่นเก่า การบริหารงานบุคคลรุ่นนี้จึงต้องให้งานที่ท้าทาย ให้การยกย่องเชิดชู รวมถึงผลตอบแทนที่แข่งขันได้

ส่วนพนักงานต่างชาติปัจจุบันมี 50 คน เพื่อรองรับงานทางด้านธุรกิจต่างประเทศที่จะเพิ่มขึ้นไปตามการเข้าสู่เออีซี เช่นจีน ญี่ปุ่น เกาหลี รวมถึงอินเดีย ต้องขยายจำนวนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่มีศักยภาพการทำงาน การปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมในแต่ละท้องถิ่นได้โดยไม่เสียหลักการ ส่วนหนึ่งธนาคารมีพนักงานแลกเปลี่ยนในสถาบันการเงินที่ธนาคารเป็นพันธมิตร อยู่ในต่างประเทศ

ปัจจัยที่มีผลต่องานด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลของธนาคาร จะสอดคล้องกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ทั้งการแข่งขันที่เกิดขึ้นจากทั้งในและต่างประเทศ ความต้องการลูกค้าเทคโนโลยีและความเสี่ยง โดยเฉพาะการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี ที่ทำให้มีทรัพยากรบุคคลเกิดการขาดแคลนโดยเฉพาะพนักงานที่มีศักยภาพ เกิดการแข่งขันด้านราคา ความเสี่ยงจึงอยู่ที่การรักษา และสร้างแรงจูงใจให้พนักงานอยู่ทำงานต่อ และยอมรับการหมุนเวียนของพนักงานเข้าออก ทำให้เกิดความเสี่ยงเรื่องการรั่วไหลของข้อมูล ความรู้ในงานนั้นๆ ธนาคารจึงต้องสร้างฐานข้อมูลมารองรับ

(กรุงเทพธุรกิจ, 27-8-2556)

 

โคราชจัดนัดพบแรงงานไปต่างประเทศ เผยไทยแห่ไปเกาหลี ญี่ปุ่น อิสราเอล

(28 ส.ค.) ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดนครราชสีมา ถ.สืบศิริ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา นายอิทธิ คงวีระวัฒน์ จัดหางานจังหวัดนครราชสีมา เป็นประธานเปิดงานวันนัดพบศูนย์ประสานบริการการไปทำงานต่างประเทศ จังหวัดนครราชสีมา โดยมีแรงงานไทยในพื้นที่นครราชสีมา และจังหวัดใกล้เคียงให้ความสนใจเข้ามาติดต่อสมัครงานไปทำงานต่างประเทศจำนวน มาก
      
นายอิทธิกล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้เพื่อเปิดโอกาสให้แรงงานไทยที่สนใจและมีความประสงค์จะเดิน ทางไปทำงานยังต่างประเทศได้สมัครงานกับนายจ้างที่เป็นตัวแทนโดยตรงโดยไม่ ผ่านสายหรือนายหน้า ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายของคนหางานที่ประสงค์ไปทำงานต่างประเทศ รวมถึงเพื่อป้องกันการถูกหลอกลวงจากสายหรือนายหน้าเถื่อน และเป็นการลดขั้นตอนในการติดต่อกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งพบว่าปัจจุบันแรงงานไทยสนใจเดินทางไปทำงานในประเทศเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และอิสราเอลมากขึ้น เนื่องจากประเทศดังกล่าวมีค่าตอบแทนให้แรงงานสูงกว่าประเทศอื่นๆ คือไม่น้อยกว่าเดือนละ 40,000 บาทขึ้นไป
      
นายอิทธิกล่าวเพิ่มเติมว่า โดยกิจกรรมภายในงานนั้นรัฐได้นำบริษัทจัดหางานทั้งในจังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดใกล้เคียงกว่า 20 บริษัท มีตำแหน่งงานต่างประเทศ เช่น ไต้หวัน ญี่ปุ่น บรูไน และประเทศอื่นๆ ในแถบตะวันออกกลาง ที่ผ่านการอนุมัติจากกรมการจัดหางานแล้วมากกว่า 1,000 อัตรา มาเปิดรับสมัครงานไปทำงานต่างประเทศกับแรงงานโดยตรง
      
ทั้งนี้ พร้อมกับประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาให้บริการควบคู่ เช่น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จังหวัดนครราชสีมา มาให้บริการการขอสินเชื่อไปทำงานต่างประเทศ, กรมการกงสุล มาให้บริการทำหนังสือเดินทาง, โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา มาให้บริการตรวจสุขภาพก่อนเดินทางไปทำงานต่างประเทศ รวมถึงสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัดนครราชสีมา ที่มาฝึกอาชีพให้แก่ผู้ที่สนใจด้วย

(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 28-8-2556)

 

ผู้บริหารองค์การสวนสัตว์ฯ แจงยังไม่สรุปโอนสวนสัตว์เชียงใหม่-ยันไป "พิงคนคร" ก้าวหน้าแน่

ผู้บริหารขององค์การสวนสัตว์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ระบุว่า ยังไม่มีการตัดสินใจใดๆ เกี่ยวกับการโอนย้ายสวนสัตว์เชียงใหม่ไปสังกัดสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) พร้อมทั้งยืนยันว่าหากมีการโอนย้ายไปสังกัดหน่วยงานใหม่ สวัสดิการและสิทธิประโยชน์ที่พนักงานและลูกจ้างได้รับนั้นจะดีกว่าที่ได้รับ จากองค์การสวนสัตว์ฯ อย่างแน่นอน
      
อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารขององค์การสวนสัตว์ฯ ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นว่าเห็นด้วยกับการโอนย้ายสวนสัตว์เชียงใหม่ไป สังกัดสำนักงานพัฒนาพิงคนคร โดยระบุเพียงว่ามีหน้าที่บริหารงานองค์การสวนสัตว์ตามนโยบายที่ทางรัฐบาลมอบ หมาย
      
การเปิดเผยของผู้บริหารองค์การสวนสัตว์ในพระบรมราชูปถัมภ์เกี่ยวกับ กรณีการโอนย้ายสวนสัตว์เชียงใหม่ไปสังกัดสำนักงานพัฒนาพิงคนครในครั้งนี้ มีขึ้นภายหลังจากที่ผู้บริหารองค์การสวนสัตว์ฯ เสร็จสิ้นการประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นพนักงานและลูกจ้างเกี่ยวกับการโอน ย้ายสวนสัตว์เชียงใหม่มาสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) ซึ่งจัดขึ้นในวันนี้ (28 ส.ค.) ที่ห้องประชุมชั้น 5 อาคารโสภณ ดำนุ้ย สวนสัตว์เชียงใหม่ โดยมีพนักงานและลูกจ้างของสวนสัตว์เชียงใหม่ประมาณ 300 คนเข้าร่วมการประชุม
      
ภายหลังการประชุมซึ่งใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมงเสร็จสิ้นลง นายวีรวัฒน์ ยมจินดา กรรมการองค์การสวนสัตว์ ในฐานะประธานคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อรับฟังความเห็นของพนักงานและผู้มีส่วน เกี่ยวข้องของสวนสัตว์เชียงใหม่ได้เปิดเผยต่อผู้สื่อข่าวว่า การประชุมในวันนี้เป็นการมารับฟังข้อสงสัยและข้อห่วงใยที่พนักงานและลูกจ้าง ของสวนสัตว์เชียงใหม่มีต่อกรณีการโอนย้ายสวนสัตว์เชียงใหม่ไปสังกัดสำนักงาน พัฒนาพิงคนคร
      
จุดยืนและข้อเรียกร้องต่างๆ ที่มีการนำเสนอในวันนี้ จะได้นำเสนอต่อที่ประชุมของคณะกรรมการองค์การสวนสัตว์ฯ ในการประชุมครั้งต่อไป และหลังจากคณะกรรมการองค์การสวนสัตว์มีข้อสรุปในเรื่องดังกล่าวแล้ว จึงจะนำเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาตามลำดับต่อไป
      
นายวีรวัฒน์กล่าวว่า จนถึงขณะนี้คณะกรรมการองค์การสวนสัตว์ฯ ยังไม่มีข้อสรุปหรือการตัดสินใจใดๆ เกี่ยวกับกรณีการโอนย้ายสวนสัตว์เชียงใหม่ไปสังกัดสำนักงานพัฒนาพิงคนคร เนื่องจากยังอยู่ในขั้นตอนของการพิจารณา คงจะต้องรอให้คณะกรรมการองค์การสวนสัตว์ดำเนินการในส่วนนี้ให้เสร็จสิ้นเสีย ก่อน โดยข้อเรียกร้องของพนักงานและลูกจ้าง รวมถึงข้อห่วงใยที่คณะกรรมการองค์การสวนสัตว์เคยเสนอไปยังคณะรัฐมนตรีก็จะ ถูกนำมาพิจารณาด้วย
      
ส่วนข้อสรุปว่าจะมีการโอนย้ายเกิดขึ้นหรือไม่นั้น นายวีรวัฒน์กล่าวว่าในขณะนี้คงจะยังไม่มีความชัดเจนอะไร เพราะต้องรอให้คณะกรรมการสวนสัตว์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะรัฐมนตรีพิจารณาไปตามลำดับ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่ว่าจะมีข้อสรุปออกมาในทิศทางใด
      
ในส่วนของข้อมูลและความคิดเห็นจากพนักงานและลูกจ้างนั้นก็ได้รับฟังเป็น จำนวนมากแล้วในการประชุมวันนี้ อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าเรื่องดังกล่าวถือเป็นนโยบายของรัฐบาล ตามหลักการองค์การสวนสัตว์ฯ ซึ่งทำงานอยู่ภายใต้รัฐบาลก็คงจะปฏิเสธได้ยาก
      
อย่างไรก็ตาม นายวีรวัฒน์กล่าวว่า จากการศึกษาโครงสร้างการบริหารงานของสำนักงานพัฒนาพิงคนคร เห็นว่าในส่วนของพนักงานจะไม่มีการสูญเสียผลประโยชน์ที่เคยได้รับแต่อย่างใด อีกทั้งยังจะได้รับสวัสดิการและผลประโยชน์เพิ่มขึ้น รวมทั้งมีความก้าวหน้ามากขึ้นกว่าเดิมด้วย ทำให้กล้ายืนยันในการประชุมว่าคณะกรรมการพร้อมจะลาออกหากพนักงานและลูกจ้าง เสียประโยชน์
      
นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาโครงสร้างการบริหารงานใหม่ของสำนักงานพัฒนาพิงคนครแล้ว ยังพบว่าจะมีการนำงบประมาณเข้ามาเพิ่มเติม ซึ่งน่าจะช่วยให้การบริหารงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม
      
ด้านนายสัญชัย จุลมนต์ ผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์ ในพระบรมราชูปถัมภ์กล่าวว่า กรณีการโอนย้ายสวนสัตว์เชียงใหม่ไปสังกัดสำนักงานพัฒนาพิงคนครนั้น นายวิเชษฐ์ เกษมทองศรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มอบแนวทางเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวเอาไว้อย่างชัดเจนว่าให้องค์การสวน สัตว์ฯ ได้สรุปข้อดีข้อเสียของการโอนย้าย แล้วนำเสนอต่อรัฐบาลเพื่อนำไปพิจารณา
      
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้เรื่องดังกล่าวยังเป็นเพียงแนวคิด จนกระทั่งมีการทำหนังสือมาในช่วงเดือน ก.ค. ซึ่งทางองค์การสวนสัตว์ฯ ก็ได้รวบรวมข้อมูลและข้อเสนอ รวมไปถึงข้อห่วงใยต่างๆ เสนอต่อคณะกรรมการองค์การสวนสัตว์ฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 5 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยในการสอบถามและพิจารณานั้นก็ไม่ได้มีการกำหนดทิศทางจากรัฐบาลว่าต้องการ ให้เป็นไปในลักษณะหนึ่งลักษณะใดแต่อย่างใด
      
เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามว่ามีความคิดเห็นอย่างไรต่อกรณีดังกล่าว นายสัญชัยกล่าวว่า ในฐานะที่องค์การสวนสัตว์ฯ เป็นรัฐวิสาหกิจภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวด ล้อม โดยหลักการจึงต้องบริหารงานตามนโยบายของรัฐบาล ดังนั้นหากนโยบายนั้นถูกต้องตามกฎหมาย ตนในฐานะหัวหน้าองค์กรก็มีหน้าที่จะต้องทำตามแนวนโยบายของรัฐบาล แต่ในท้ายที่สุดแล้วเรื่องดังกล่าวขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของรัฐบาลว่าจะ ดำเนินการในทิศทางใด
      
รายงานข่าวแจ้งว่า บรรยากาศการประชุมซึ่งใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมงนั้นเป็นไปอย่างเคร่งเครียด โดยกลุ่มพนักงานและลูกจ้างของสวนสัตว์เชียงใหม่ได้สอบถามและชี้แจงข้อกังวล ในหลายๆ ด้าน และแม้จะมีการชี้แจงและรับรองจากฝ่ายผู้บริหาร ว่าหากมีการโอนย้ายเกิดขึ้นสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่ได้รับจะดีขึ้นกว่าเดิม แต่พนักงานส่วนมากก็ยังคงยืนยันท่าทีตามจุดยืนเดิมที่ไม่ต้องการโอนย้ายไป สังกัดสำนักงานพัฒนาพิงคนคร

(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 28-8-2556)

 

ช็อก 5 ล้านคนถูกเบี้ยวค่าแรง 300 อีสานแชมป์-กระทรวงแรงงานจี้เช็กบิล

รศ.ดร.ยงยุทธ แฉล้มวงษ์ ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาแรงงาน สถาบันเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบนโยบายค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาททั่วประเทศพบว่า ยังมีแรงงานกว่า 5.5 ล้านคนทั่วประเทศที่ยังไม่ได้รับค่าจ้างตามอัตราค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ในจำนวนนี้พบว่ามีไม่ต่ำกว่า 1.8 ล้านคนกระจายอยู่ใน 10 จังหวัดแรก ส่งผลให้แรงงานเหล่านี้ขาดแรงจูงใจในการทำงาน

"ในจำนวน 5.5 ล้านคนนี้ จะมีทั้งแรงงานในไซต์ก่อสร้างกับลูกจ้างที่มีเงินเดือน หรือ wage employee ทั้งหมด"

ขณะเดียวกัน สำหรับภาคก่อสร้างนั้น ภาพรวมตลาดแรงงานทั่วประเทศมีแนวโน้มที่แรงงานจะเข้าสู่ภาคก่อสร้างน้อยลง มาจาก 4 สาเหตุหลัก คือ 1)แรงงานก่อสร้าง 60% เป็นแรงงานที่มีการศึกษาต่ำ และการออกนโยบายสนับสนุนการศึกษาของรัฐบาลส่งผลให้ผู้จบการศึกษาในระดับ มัธยมศึกษาหรือต่ำกว่าลดน้อยลง ดังนั้นโอกาสที่จะมีแรงงานใหม่เข้ามาในภาคก่อสร้างจึงน้อยลงเรื่อย ๆ

2)งานก่อสร้างจัดอยู่ในกลุ่ม 4D คือ เป็นงานหนัก ยากลำบาก อันตราย สกปรก และด้อยศักดิ์ศรี แรงงานจึงหันไปทำงานในเซ็กเตอร์อื่นซึ่งได้รับค่าจ้างพอ ๆ กันแต่มีเนื้องานไม่หนัก เช่น โรงงานหรือบริการ 3)งานก่อสร้างเป็นงานที่มีอนาคตจำกัด ขาดความมั่นคงในอาชีพ อัตราการเข้า-ออกงานสูง และ 4)ขาดแรงจูงใจเพราะได้รับค่าแรงขั้นต่ำไม่ถึง 300 บาทดังกล่าว

"ปัจจุบันมีแรงงานในอุตสาหกรรมก่อสร้าง 2.8 ล้านคน เป็นแรงงานไทย 2.2 ล้านคน แต่แรงงานไทยจะมีความผันผวนตามฤดูกาล เช่น หน้าเก็บเกี่ยวพืชผลทางการเกษตร แรงงานจะคืนถิ่นทำให้ขาดตลาด เป็นต้น" รศ.ดร.ยงยุทธกล่าว

นายอังสุรัสมิ์ อารีกุล นายกสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยว่า สมาคมได้ทำหนังสือถึงรัฐบาลขอให้ช่วยเหลือผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างที่ เป็นคู่สัญญากับภาครัฐที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท กับปัญหาแรงงานขาดแคลนหนัก

1)ขอให้ภาครัฐปรับลดค่าเค จากบวก-ลบ 4% เป็นบวก-ลบ 2% เป็นการชั่วคราว เนื่องจากเงื่อนไขค่าเค 4% นั้น ถ้าต้นทุนผันผวนไม่เกิน 4% เอกชนที่เป็นคู่สัญญาจะต้องเป็นผู้แบกรับไว้เอง แต่ถ้าเกิน 4% รัฐจึงจะชดเชยส่วนต่างโดยหักลบจาก 4% ดังนั้นจึงอยากให้ลดเพดานค่าเคเหลือ 2%

2)ขอให้สามารถเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวเสรีทั่วประเทศ หรือขอให้แรงงานต่างด้าวทำงานข้ามเขตได้ 3)ขอขยายอายุสัญญาก่อสร้างภาครัฐเป็น 180 วัน 4)ขอให้หน่วยงานราชการใช้ค่าปรับรายวันในอัตราตายตัวร้อยละ 0.01 และ 5)ขอให้ผู้รับเหมาสามารถประกันผลงานของตนเองได้ เมื่อทำงานผ่านไปแล้ว 6 เดือน โดยไม่ต้องมีแบงก์การันตี

"ตอนนี้เราอยากได้ความช่วยเหลือจากรัฐมากที่สุด คือ เรื่องการขยายเวลาก่อสร้าง 180 วัน เพราะตอนนี้มีสัญญาหลายงานที่สร้างเสร็จไม่ทันเวลาที่หน่วยงานคู่สัญญากำหนด เพื่อไม่ให้เสียค่าปรับ"

ขณะเดียวกันมีข้อเสนอแนะว่า หากจะให้ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างอยู่ได้ในภาวะนี้

สิ่งที่จะต้องเร่งปรับตัวมี 2 ทางเลือก คือ 1.ใช้แรงงานต่างด้าวมากขึ้น 2.หันไปใช้เทคโนโลยีมากขึ้นเพื่อลดการใช้แรงงาน

นายวัฒนวุฒิ พิทยาวัฒน์ ผู้รับเหมารายย่อยในเขตภาคใต้ กล่าวสอดคล้องกันว่า มีผู้รับเหมาบางรายไม่สามารถแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น หรือไม่สามารถจ่ายค่าปรับได้ ทำให้ผู้รับเหมาเหล่านี้ยอมทิ้งงาน และบางรายถึงกับต้องปิดกิจการไป

รศ.ดร.ยงยุทธกล่าวเพิ่มเติมว่า สถิติในช่วง 6 เดือนแรก (มกราคม-มิถุนายน 2556) มีผู้ประกอบการรับเหมาแจ้งขอปิดกิจการไปยังกระทรวงพาณิชย์ จำนวน 576 ราย มูลค่าปิดกิจการ 902 ล้านบาท ขณะที่มีการแจ้งขอ "จดลดทุน" หรือจดแจ้งเพื่อขอลดทุนจดทะเบียน จำนวน 172 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียนที่ลดลง 8,355 ล้านบาท แสดงถึงภาวะวิกฤตของผู้ประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง

โดยประเมินว่ากลุ่มที่ขอปิดกิจการจะเป็นกลุ่มรับเหมารายเล็ก ขณะที่กลุ่มที่แจ้งขอจดลดทุนเป็นเพราะผลประกอบการไม่สอดคล้องกับจำนวนทุนจด ทะเบียน ซึ่งจะมีผลต่อการจัดทำรายงานทางบัญชี และต้องการสภาพคล่องไปดำเนินธุรกิจ จึงต้องมาแจ้งขอจดลดทุนดังกล่าว โดยถือว่าเป็นสถิติที่สูงอย่างมีนัยสำคัญ

นายกฤษดา จันทร์จำรัสแสง อุปนายกสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยฯ เปิดเผยว่า สำหรับงานประมูลภาครัฐที่ผู้รับเหมาได้ทำสัญญาไว้ก่อนหน้าที่จะมีการปรับ ขึ้นค่าแรง 300 บาททั่วประเทศ ส่งผลกระทบทำให้ผู้ประกอบการต้องแบกรับต้นทุนส่วนต่างที่เพิ่มขึ้นอย่างหลีก เลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากสัญญาของภาครัฐมีความยืดหยุ่นน้อย ประกอบกับค่าเค (ต้นทุนผันแปร) ไม่ครอบคลุมถึงต้นทุนค่าแรงที่เพิ่มขึ้น

"ขณะนี้มีผู้รับเหมาหลายรายไม่ยอมประมูลงานรัฐ เพราะราคาประมูลที่หน่วยราชการประกาศออกมาไม่สามารถดำเนินการได้ โดยรวมแล้วผู้ประกอบธุรกิจก่อสร้างอยู่ในภาวะที่ไม่ว่าจะมีงานหรือไม่มีงาน ก็มีโอกาสที่จะเจ๊งได้ทั้งสองกรณี" นายกฤษดากล่าว

นายประวิทย์ เคียงผล อธิบดีกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ทางกระทรวงแรงงานยังไม่ได้รับรายงานเรื่อง 10 อันดับแรกของจังหวัดที่ไม่ได้ค่าจ้างขั้นต่ำปี 2556 แต่เท่าที่มีข้อมูลยังไม่เคยพบข้อร้องเรียนดังกล่าว

"หากพบข้อมูลจริงคงจะต้องตรวจสอบ เนื่องจากเรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่ที่รัฐบาลประกาศใช้ให้สถานประกอบการทุกแห่ง ทั่วประเทศต้องจ่ายค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาท หากตรวจสอบแล้วพบว่าสถานประกอบการใดที่ไม่ปฏิบัติตามจะต้องถูกลงโทษตาม กฎหมาย โดยเราจะมอบหมายให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานเร่งตรวจสอบ และดำเนินการอย่างรวดเร็ว" นายประวิทย์กล่าว

(ประชาชาติธุรกิจออนไลน์, 29-8-2556)

 

สมัครงานล้นตำแหน่ง 163% จบปริญญาตกงานอื้อ

สำนักเศรษฐกิจการแรงงาน กระทรวงแรงงาน เปิดเผยรายงานสถานการณ์และการเตือนภัยด้านแรงงานประจำไตรมาส 2 ระบุว่า ไตรมาสดังกล่าวมีอัตราการว่างงานต่อกำลังแรงงานอยู่ที่ 0.77% โดยมีตำแหน่งงานว่าง 1.38 แสนอัตรา มีผู้สมัครงาน 2.26 แสนคน ซึ่งเมื่อเทียบอัตราผู้สมัครงานต่อตำแหน่งงานว่างแล้วอยู่ที่ 163.4% ขยายตัวจากไตรมาสแรกที่ผ่านมาซึ่งมีสัดส่วนอยู่ที่ 119.9% หรือเพิ่มขึ้น 36.28%

นอกจากนี้ หากเทียบกับไตรมาส 2 ของปี 2555 ซึ่งมีสัดส่วนอยู่ที่ 121.12% แล้ว เท่ากับไตรมาส 2 ของปีนี้ อัตราผู้สมัครงานต่อตำแหน่งงานว่างขยายตัวเพิ่มขึ้น 34.9%

ขณะเดียวกันเมื่อดูข้อมูลย้อนหลังจากไตรมาส 4 ปี 2553 ถึงปัจจุบัน ตัวเลขผู้สมัครงานต่อตำแหน่งงานว่าง 163.4% เป็นตัวเลขที่สูงสุดในรอบเกือบ 3 ปี โดยสูงกว่าไตรมาส 4 ปี 2554 ซึ่งเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เสียอีก เพราะขณะนั้นผู้สมัครงานต่อตำแหน่งงานว่างอยู่ที่ 150.56%

ทั้งนี้ ภูมิภาคที่มีอัตราการสมัครงานต่อตำแหน่งงานว่างสูงสุด คือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 205.25% รองลงมา คือ กรุงเทพมหานคร 197.19% ภาคใต้ 183.46% ภาคเหนือ 154.47% และภาคกลาง 131.57%

อย่างไรก็ดี หากดูตัวเลขอัตราการบรรจุงาน โดยดูจากอัตราการบรรจุงานต่อตำแหน่งงานว่าง พบว่าการบรรจุงานในไตรมาส 2 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรก 38.18% แต่ติดลบ 6.11% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปีที่ผ่านมา

ขณะเดียวกันหากดูจากอัตราการบรรจุงานต่อจำนวนผู้สมัคร พบว่าขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า 1.39% แต่ติดลบ 30.4% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปีที่ผ่านมา

รายงานดังกล่าวระบุด้วยว่า ในส่วนของอัตราการว่างงานต่อกำลังแรงงานอยู่ที่ 0.77% นั้น มีสัดส่วนเพศชายว่างงานมากกว่าเพศหญิง โดยชายว่างงานที่ระดับ 0.83% ขณะที่เพศหญิงว่างงาน 0.69%

นอกจากนี้ หากจำแนกตามระดับการศึกษา ระดับอุดมศึกษา มีอัตราการว่างงานสูงสุด 40.43% รองลงมา คือ มัธยมปลาย 19.24% มัธยมต้น 18.70% ประถมศึกษา 14.32% ต่ำกว่าประถมศึกษา 4.77% และไม่มีการศึกษา 2.54%

นายยงยุทธ แฉล้มวงษ์ ผู้อำนวยการด้านการพัฒนาแรงงาน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า ตัวเลขดังกล่าวถือว่ามีจำนวนไม่มากอยู่ในหลักแสนคน ซึ่งคนกลุ่มคนที่มาแสดงตัวกับกรมการจัดหางานส่วนใหญ่จะมีการศึกษาระดับ ปริญญา และเมื่อดูจำนวนผู้สมัครแล้วต้องดูจำนวนการบรรจุงานควบคู่ไปด้วยว่าบรรจุได้ เท่าใด ส่วนที่เหลือคือคนที่มีคุณสมบัติไม่ตรงกับความต้องการของนายจ้าง (Mismatch)

นายยงยุทธ กล่าวว่า ตัวเลขการบรรจุงานที่ลดลงหากเทียบแบบปีต่อปี อาจเป็นเพราะมีคนที่มีคุณสมบัติไม่ตรงตามที่นายจ้างต้องการมากขึ้น หรืออีกด้านอาจเป็นเพราะนายจ้างมีตำแหน่งงานรับสมัครน้อยลง ทำให้เหลือคนที่ไม่ได้บรรจุงานมากขึ้น ซึ่งจะต้องไปดูในรายละเอียดอีกครั้ง

(โพสต์ทูเดย์, 30-8-2556)

 

กกจ.เผยแรงงานไทยในซีเรีย ทำงานในพื้นที่ปลอดภัย

(30 ส.ค.) นายประวิทย์ เคียงผล อธิบดีกรมการจัดหางาน (กกจ.) กระทรวงแรงงาน กล่าวถึงสถานการณ์ความไม่สงบในประเทศซีเรียว่า ขณะนี้ไม่มีแรงงานไทยอยู่ในประเทศซีเรียแล้ว และไม่ได้มีการจัดส่งแรงงานไทยไปซีเรียนานแล้ว ส่วนกรณีที่ประเทศอิสราเอลแจกหน้ากากป้องกันสารพิษให้แก่ประชาชนนั้น ปัจจุบันมีแรงงานไทยทำงานอยู่ในประเทศอิสราเอล 2.2 หมื่นคน จากที่ประเทศไทยได้รับโควตาจากอิสราเอลทั้งหมด 2.4 หมื่นคน ส่วนใหญ่ไปทำงานด้านเกษตร โดย กกจ.เตรียมจะจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานเพิ่มเติมอีก 2 พันคน ซึ่งเป็นการจัดส่งโดยผ่านระบบความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับอิสราเอล และไม่เสียค่าบริการ แต่เสียค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการเดินทางรวมแล้วไม่เกินคนละ 7.5 หมื่นบาท

"ขณะนี้ กกจ.ไม่ได้มีการระงับการจัดส่งแรงงานไทยไปอิสราเอล เนื่องจากยังไม่มีเหตุจำเป็นใดๆ เพราะสถานการณ์ในอิสราเอลยังเป็นปกติ ส่วนแรงงานไทยที่ทำงานอยู่ในอิสราเอลก็ทำงานอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย สถานที่ทำงานไม่ได้ตั้งอยู่ตามแนวชายแดนซึ่งเป็นพื้นที่ที่เสี่ยงต่อความไม่ ปลอดภัย รวมทั้งนายจ้างก็ได้มีหน้ากากป้องกันสารพิษไว้ให้แรงงานไทยด้วยเช่นกัน" อธิบดี กกจ.กล่าว

(ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 30-8-2556)

 

ก.แรงงานเปิดตัว e-Smart Boxให้บริการประชาชน

เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 2 กันยายน ที่กระทรวงแรงงาน นายพลูศักดิ์ เศรษฐนันท์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน แถลงข่าวเปิดตัว ระบบ e-Smart Box เพื่อให้บริการประชาชน ณ ศูนย์บริการร่วมกระทรวงแรงงาน 48 แห่ง ใน 46 จังหวัดและ 2 เขตในกรุงเทพมหานคร ว่าระบบ e-Smart Box นี้ให้บริการด้านข้อมูลข่าวสารด้านแรงงาน บริการรับเรื่อง ส่งต่อกรณีต้องได้รับการพิจารณาหรือวินิจฉัยจากผู้เชี่ยวชาญ และบริการเบ็ดเสร็จ ผู้รับบริการไม่ต้องกรอกแบบฟอร์มการขอรับบริการ ทั้งในกรณีที่มีบัตรประจำตัวประชาชนแบบสมาร์ทการ์ดและไม่มี เพื่อลดระยะเวลาการรับบริการ โดยมีองค์ความรู้ในการให้บริการประชาชนที่ทันสมัย สืบค้นง่าย จัดเก็บข้อมูลและผลการให้บริการเพื่อติดตามด้วยระบบสารสนเทศ และมีเอกสารยืนยันผลการให้บริการ (Mol Slip : ใบเสร็จการให้บริการ) มอบให้ผู้รับบริการไว้เป็นหลักฐาน
 
สำหรับระบบ e-Smart Box มีขึ้นเพื่อให้บริการประชาชน 2 ระบบ คือ ระบบสนับสนุนการรับเรื่องราวร้องทุกข์ ซึ่งเป็นระบบเพื่อการสืบค้นข้อมูล มี 624 รายการ เช่น คำถามและคำตอบที่พบบ่อย รวมทั้งองค์ความรู้ต่างๆ ที่จัดเก็บในรูปของประกาศ กฎ ระเบียบ พ.ร.บ.ด้านแรงงานต่างๆ และระบบการให้บริการ ณ ศูนย์รับบริการร่วมกระทรวงแรงงาน เป็นระบบเพื่อบริหารจัดการ ซึ่งเก็บข้อมูลการให้บริการ จัดทำสถิติ/รายงานและประเมินผลความพึงพอใจการให้บริการ เป็นต้น

(มติชนออนไลน์, 2-9-2556)

 

แรงงานจี้บอร์ดค่าจ้างทบทวนมติคงค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท คงที่ 3 ปี

กรุงเทพฯ 2 ก.ย.-คสรท. จี้บอร์ดค่าจ้างทบทวนมติที่กำหนดเงื่อนไขว่าหากมีการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทเท่ากันทั่วประเทศแล้วจะไม่มีการปรับค่าจ้างอีก 3 ปี หรือจนถึงปี 58

นายชาลี ลอยสูง ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) กล่าวว่า แม้ปัจจุบันผู้ใช้แรงงานจะมีอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทเท่ากันทั่วประเทศ แต่ยังคงไม่เพียงพอต่อสภาวการณ์ในปัจจุบันที่อัตราค่าครองชีพสูงขึ้นอย่าง ต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นค่าทางด่วน ค่าไฟฟ้า และก๊าซหุงต้ม เป็นต้น ดังนั้น จึงมองว่าคณะกรรมการค่าจ้าง (บอร์ดค่าจ้าง) ควรทบทวนมติเดิมที่กำหนดเงื่อนไขว่าหากมีการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทเท่ากันทั่วประเทศแล้วจะไม่มีการปรับค่าจ้างอีก 3 ปี หรือจนถึงปี 2558

ขณะเดียวกันพบว่ามติดังกล่าวยังไม่มีการบังคับใช้ในทุกบริษัท เพราะบางบริษัทยังไม่จ่ายค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท ให้กับลูกจ้าง อีกทั้งขณะนี้ คสรท. ได้รวบรวมข้อเท็จจริง พร้อมลงพื้นที่ออกสำรวจผลกระทบค่าครองชีพ ความต้องการเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำของแรงงานในหลายๆ พื้นที่ให้ครอบคลุมทุกจังหวัด เช่น กรุงเทพฯ และปริมณฑล ภาคตะวันออก เพื่อนำข้อมูลมาเปรียบเทียบว่าค่าจ้างกับค่าครองชีพมีความสมดุลมากน้อยเพียง ใด

(สำนักข่าวไทย, 2-9-2556)

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'ประวิตร' สัมภาษณ์ 'เนติวิทย์' ว่าด้วยการปฏิรูประบบการศึกษาไทย

Posted: 02 Sep 2013 01:57 AM PDT

ประวิตร โรจนพฤกษ์ ผู้สื่อข่าวเดอะเนชั่น สัมภาษณ์ เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล วัย 16 ปี ผู้วิพากษ์ระบบการศึกษาไทยที่น่าจะอายุน้อยที่สุด

เนติวิทย์ เป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งและเลขาธิการสมาพันธ์นักเรียนไทยเพื่อการปฏิวัติระบบการศึกษาไทย เครือข่ายนักกิจกรรมหนุ่มสาวกว่า 30 คน ซึ่งต้องการปฏิรูประบบการศึกษาและผ่อนคลายกฎระเบียบที่เข้มงวด

 

ประวิตร: ทำไมคุณดูเหมือนมีปัญหากับระบบการศึกษาไทยมาก
เนติวิทย์: เพราะว่าโดยส่วนตัวแล้ว ระบบการศึกษาของไทย เป็นระบบการศึกษาที่ไม่ค่อยเปิดโอกาสให้คิดแย้งได้ ตั้งคำถามได้ เมื่อผมตั้งคำถาม ผมจึงกลายเป็นเด็กที่มีปัญหา
 

หลักๆ ปัญหาการศึกษาไทย ถ้าจะพูดลงไปรายละเอียดให้มากกว่านี้มันอยู่ไหน เพราะในด้านหนึ่ง ถ้ามองแบบคอนเซอร์เวทีฟ คนก็จะมองว่า การศึกษาไทยไม่ได้มีคุณภาพระดับโลก แต่ผมเข้าใจว่าคุณไม่ได้มองแบบนั้น คุณมองในแง่ของการเรียนรู้ โอกาสในการเรียนรู้ของเด็ก หรือแม้กระทั่งความสุขของครู
การศึกษาไทยในมุมมองผมเป็นปัญหาเกี่ยวกับสวัสดิการของครูและนักเรียน ปัญหาการรวมศูนย์อำนาจอยู่ในฝ่ายผู้บริหารเท่านั้น ซึ่งเป็นแบบนี้เกือบทุกโรงเรียน ห้องเรียนมีนักเรียนจำนวนมาก ผมก็มองทั้งปัญหาที่ต้องมองอย่างสากล และปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศไทย


ในความเป็นจริงคือคนที่ออกมาเรียกร้องยังเป็นนักเรียนส่วนน้อยใช่ไหม แสดงว่าเขาไม่สนใจ หรือเพราะเขาไม่ตระหนัก หรือว่าเขาไม่กล้าออกมาเรียกร้อง
ผมคิดว่าจริงๆ นักเรียนที่ออกมาเป็นส่วนหนึ่ง ก็มีอีกจำนวนหนึ่งที่ผมคิดว่าไม่น้อยเลยทีเดียวที่มีความกล้า แต่ว่าความกล้านั้นอาจจะยังไม่ถึงขั้นที่ออกมาเรียกร้อง แต่ก็ต้องยอมรับครับว่าส่วนใหญ่ก็อาจจะยังไม่ตระหนักถึงขั้นที่ออกมาเรียกร้อง

แต่อย่างไรก็เชื่อว่าคนส่วนใหญ่อาจจะเห็นปัญหานี้ แต่เขาอาจจะไม่ได้ศึกษาอย่างต่อเนื่อง แล้วก็ไม่ได้ตั้งคำถามอย่างต่อเนื่อง มันอาจจะมีบ้างที่เขาฉุกคิดขึ้นมาบ้าง แต่ก็เงียบกลับลงไป เพราะเห็นว่า ทนๆ ไปดีกว่า
 

มีหลายข้อเรียกร้องของคุณ ซึ่งรวมถึงสิทธิในการไว้ผมยาว เรื่องการยืนเคารพธงชาติ หรือสวดมนต์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้บางคนมองว่าวิธีการนำเสนอหรือการเรียกร้องออกไปในแนวก้าวร้าว ตรงนี้มีความเห็นว่าอย่างไร
ผมก็แปลกใจเหมือนกันที่มันออกมาในลักษณะที่ดูก้าวร้าว แต่ก็ต้องยอมรับว่า วิธีการนำเสนอของผมอาจจะเป็นวิธีการนำเสนอที่คนไม่ค่อยชอบ เพราะผมก็เป็นคนพูดจาแบบนี้อยู่แล้ว พูดจาไม่มีหางเสียง แล้วก็มีอะไรก็พูดๆๆ ออกมา บางทีก็คิดไม่ทันบ้าง แล้วก็ไม่เคยเตรียมเลย เวลาไปออกรายการ ส่วนมากผมก็ไม่ได้เตรียมอะไรทั้งนั้น ทำให้มีปัญหา ผมก็รู้สึกแปลกว่าผมโดนเล่นงานหนักกว่าเพื่อนอีก ผมเนี่ยเรียกร้องแค่ยกเลิกความเป็นไทยสั้นๆ แค่นั้นเอง เพื่อนผมนี่เขาเรียกร้องยกเลิกเคารพธงชาติ ยกเลิกสวดมนต์ที่ออกรายการของวอยซ์ทีวี แต่ผมกลับโดนหนักกว่า อาจเป็นเพราะคนไทยชอบสัมมาคารวะอะไรเยอะๆ ผมก็คงต้องปรับ


คุณขยายความยกเลิกความเป็นไทยหน่อยได้ไหมว่ามันมีรายละเอียดอย่างไร
ยกเลิกความเป็นไทย พอพูดจาแบบนี้ออกมา คนก็อาจจะคิดว่าผมรุนแรง แต่จริงๆ ถ้าเขามองอย่างกว้างๆ ก็จะเห็นว่าความเป็นไทยที่ผมเรียกร้อง ก็คือความเป็นไทยที่ถูกสร้างขึ้นมา เป็นความเป็นไทยที่ไม่มีประโยชน์ เป็นความเป็นไทยที่ไม่มีเหตุผล แล้วก็ความเป็นไทยตรงนี้ก็เอาไปผูกโยงกับวัฒนธรรมการห้ามเถียงห้ามถาม อาทิเช่น กรณีทรงผมนักเรียน กรณีเคารพธงชาติ ก็อ้างว่านี่คือความเป็นไทย เราเป็นคนไทย ชาติไทยไม่เหมือนชาติอื่นในโลก อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งเขาก็เลยได้รับรู้มาแบบนี้ว่าอ๋อนี่คือความเป็นไทย ทำให้ความเป็นไทยกลายเป็นสิ่งที่เลวร้ายไปเลย ทำให้ผมเสนอยกเลิกความเป็นไทยตรงนี้
 

ที่สื่อให้ความสนใจคุณ ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะการถกเถียงเรื่องเกี่ยวกับคุณภาพการศึกษาจริงๆ แล้วแทบไม่มีนักเรียนสนใจเลยใช่ไหม คุณคิดว่า มันเป็นเรื่องที่นักเรียนควรจะต้องสนใจมากกว่านี้หรือไม่ เพราะอีกด้านหนึ่ง นักเรียนก็อาจจะมองว่าขณะที่เป็นนักเรียนหน้าที่หรือสิ่งที่ตนเองจะต้องทำก็คือ พยายามเข้ามหาวิทยาลัยหรือคณะดีๆ ให้ได้ และคงไม่มีเวลา หรือไม่ควรเสียเวลาต่อสู้กับการเรียกร้องเพื่อเปลี่ยนระบบการศึกษา
ผมก็คิดว่านี่เป็นปัญหาหนักมากที่สุดเลย เป้าหมายที่สำคัญที่สุดของสมาพันธ์นักเรียนฯ  ต้องการให้นักเรียนเป็นผู้ที่มีความกล้าหาญ ออกมาพูดเรื่องปัญหาให้ชัดเจน ไม่ใช่คอยฟัง-เชื่อแต่ผู้เชี่ยวชาญ แต่ก็ยังล้มเหลว อาจจะเป็นเพราะกระบวนการ-ยุทธวิธีของเราที่ยังไม่ค่อยประสบความสำเร็จนัก แน่นอนครับ ผมต้องการให้นักเรียนตื่นขึ้นมาและตระหนักปัญหานี้ แต่เพราะสภาพแวดล้อมมันค่อนข้างกดดันมาก และมันปิดกั้นทั้งหมด และประเทศเรา เราถูกครอบงำด้วยวิธีคิดทางเศรษฐกิจที่มีแต่ความโลภเท่านั้น ทำให้คนแต่ละคนต้องมุ่งแข่งขันกัน เอาเปรียบซึ่งกันและกัน แม้แต่ครูที่โรงเรียนเองก็สอนว่าเราจะต้องโตเป็นเจ้าคนนายคน ซึ่งมันเป็นวิธีคิดที่ไม่เห็นความร่วมมือสำคัญ แต่การแข่งขันสำคัญกว่า อันนี้ก็ต้องให้จิตใจของนักเรียนแต่ละคนต้องกล้าหาญ เอาชนะความกลัวสิ่งนี้ให้ได้ ไม่เพียงเท่านี้ ภาครัฐถ้ามีสติปัญหาและมีแววตาที่ชัดเจน ก็ควรจะเปิดกว้างทางความคิดให้มาก ให้แต่ละคนสามารถคิด และผู้ปกครองก็ไม่ควรมองว่าลูกเราต้องจบมาเป็นแบบนี้ เป็นหุ่นยนต์กลไก ต้องเปิดกว้างให้เขามีความคิดสร้างสรรค์ ต้องอาศัยหลายภาคส่วน สำคัญก็คือต้องให้นักเรียนที่มีความกล้าอยู่แล้ว ให้ตระหนักและลุกขึ้นมา และสู้ให้ได้


เด็กหรือนักเรียนไทยรุ่นคุณทุกวันนี้คิดว่ามีข้อดีข้อเสียโดยรวมอย่างไรบ้าง
ข้อดีคือ เทคโนโลยีเปิดกว้างมาก เรามีความรู้จากตะวันตกเยอะ อาจจะทำให้วิธีคิดเรากว้างขึ้นด้วย ซึ่งสำคัญมาก ทำให้เรารู้จักสิทธิเสรีภาพ ก็ต้องยอมรับว่าพวกนี้เป็นวัฒนธรรมตะวันตกทั้งนั้น แต่ข้อเสียก็คือ บางทีถ้าเราเป็นปัจเจกนิยมมากเกินไป ไม่ใส่คนอื่น การเปลี่ยนแปลงก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้ จะทำให้เรามุ่งได้เรื่องเงินเรื่องทองอย่างเดียว ไม่ได้ต่อสู้เพื่อความยุติธรรม


คอนเซ็ปต์เรื่องความเป็นเด็กและเป็นผู้ใหญ่ เป็นปัญหาต่อเสรีภาพและความเป็นประชาธิปไตยของสังคมไหมในความเห็นของคุณ เพราะหลายครั้งที่เรื่องของคุณได้รับการรายงาน คนที่ไม่เห็นด้วยก็มักจะเอาเรื่องที่คุณอายุ 16 ปีหรือ "เป็นเด็ก" มาโจมตี-ลดทอนน้ำหนักของสิ่งที่คุณพยายามนำเสนอ
ผมคิดว่ามันเป็นปัญหา แต่คิดว่าเขาต้องมองให้ถูกต้อง คือนักเรียนเรียกร้องเขาน่าจะยอมรับมากกว่าผู้ใหญ่เรียกร้อง เพราะว่านักเรียนเห็นปัญหาอย่างชัดเจนที่สุด เพราะกำลังเรียนหนังสืออยู่ ขณะที่ผู้ใหญ่หรือนักวิชาการ ส่วนมากอยู่กับเอกสารและไม่ได้อยู่กับสภาพความเป็นจริงของระบบการศึกษาไทย ดังนั้น วัฒนธรรมผู้ใหญ่จึงเป็นปัญหามากที่สุด ซึ่งจริงๆ ผมไม่ได้มีปัญหานะ ถ้าจะมีทั้งผู้ใหญ่ มีเยาวชน แต่ไม่ใช่ผู้ใหญ่ทำอะไรถูกหมดเลย

พวกครูบาอาจารย์สั่งสอนตลอดเวลาว่ามีครู มีนักเรียน มีความแตกต่างกัน สั่งสอนอยู่ตลอด ทำให้ความเป็นผู้ใหญ่กลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์


มองนโยบายการจัดการเรื่องการศึกษาภายใต้รัฐบาลเพื่อไทยอย่างไรบ้าง คิดว่าแตกต่างจากพรรคประชาธิปัตย์หรือสมัยก่อนๆ ที่พอรับทราบไหม
อย่างรัฐบาลนี้คงต้องการให้เยาวชนรู้สึกชื่นชอบเขา เลยออกนโยบาย เช่น ยกเลิกทรงผม ให้ดูทำจริงจัง เปลี่ยนแปลง แต่ผมรู้สึกว่าเขาไม่ได้ทำอย่างจริงจัง ไม่ได้เห็นปัญหาการศึกษาสำคัญจริงๆ ถ้าเขาเห็นปัญหา เขาควรจะลงไปดูสภาพปัญหาจริงๆ อันนี้เขาก็อยู่ในกระทรวง บอกว่าจะปฏิรูป ผมว่าของปลอม

ผมไม่เคยคาดหวังรัฐบาลชุดนี้อยู่แล้ว รวมถึงรัฐบาลชุดอื่น ผมเคยส่งจดหมายในนามส่วนตัวถึงอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยิ่งลักษณ์ และ พงศ์เทพ คนพวกนี้ก็ตอบมาดี อภิสิทธิ์เขียนตอบมาเองเต็มหน้าเลย ยิ่งลักษณ์และพงศ์เทพให้เลขาฯ ตอบ ก็ตอบมาดี แต่ข้อเสนอของผม ไม่เห็นมีการดำเนินการจริงจัง ก็ตอบเป็นมารยาทเท่านั้น ที่ผมยื่นไปเป็นข่าว เพราะต้องการให้นักเรียนรู้ว่าไม่ได้โดดเดี่ยว มีคนที่ทำอยู่ และอยากให้มารวมกัน นี่คือวัตถุประสงค์ที่แท้จริง


 

เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษที่
Teenager's take on how to reform Thai education, The Nation
http://www.nationmultimedia.com/national/Teenagers-take-on-how-to-reform-Thai-education-30213860.html

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

แพทย์อุบลกังวลสารพิษเกษตรฉุดสุขภาพคนไทยทรุด

Posted: 02 Sep 2013 01:38 AM PDT

นพ.สสจ.อุบลฯเผยผลตรวจเลือดเกษตรกรพบ 70% เสี่ยงและไม่ปลอดภัยจากสารพิษฆ่าแมลง สหภาพยุโรปจับมือม.อุบลฯเร่งหนุนเกษตรอินทรีย์

 
นายแพทย์ใหญ่อุบล กังวลสารพิษทางเกษตรฉุดสุขภาพคนไทยทรุด รองผู้ว่าฯ รับนโยบายเสนอผุดศูนย์เกษตรอินทรีย์ ขณะที่สหภาพยุโรปจับมือ ม.อุบลฯ โชว์โครงการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ครบวงจร  ผุดงานวิจัยรับมือความเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ  ชี้ภายในปี 2560 เกษตรกรผ่านใบรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์อย่างน้อย 100 ครอบครัว 
 
เมื่อวันเสาร์ที่ 31 สิงหาคม 2556 ที่ห้องประชุมพิบูลมังสาหาร อาคารวิจัยเครือข่ายและถ่ายทอดเทคโนโลยี สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี สหภาพยุโรป ร่วมกับมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี แถลงข่าวเปิดตัวโครงการเสริมสร้างศักยภาพเกษตรกรด้านเกษตรอินทรีย์เพื่อความมั่นคงทางอาหารและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีผู้เกี่ยวข้องเข้าร่วมแถลงข่าว ได้แก่ นายสุทธินันท์ บุญมี รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี  คุณอรุณศิริ โพธิ์ทอง ผู้ประสานงานโครงการ คณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย นายแพทย์สุรพร ลอยหา นายแพทย์สาธารณสุขอุบลราชธานี  ดร.อินทิรา ซาฮีร์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี นายสุชัย เจริญมุขยนันท ผู้อำนวยการสื่อสร้างงสุขอุบลราชธานี ดำเนินรายการ โดยมีเกษตรกรกลุ่มเป้าหมายเข้าร่วมรับฟังและสื่อมวลชนเข้าร่วมทำข่าวอย่างคับคั่ง
 
นายสุทธินันท์ บุญมี รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีกล่าวว่า ในจังหวัดอุบลราชธานีมีพื้นที่ทำเกษตรอินทรีย์เพียง 0.389% สาเหตุเพราะ ไม่มีที่ขาย,ไม่มีเครือข่าย,ราคาไม่ต่างกับใช้เคมี,ขาดการประชาสัมพันธ์,มาตรฐานอินทรีย์ยังไม่ชัดเจน,ผู้บริโภคไม่เชื่อมั่น และขาดข้อมูล ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องร่วมกันผลักดันศูนย์อินทรีย์อุบลราชธานี เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและสุขภาพของประชาชน
 
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อินทิรา  ซาฮีร์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและนวัตกรรม ประธานคณะทำงานโครงการกล่าวว่า โครงการเสริมสร้างศักยภาพเกษตรกรด้านเกษตรอินทรีย์เพื่อความมั่นคงทางอาหารและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ จังหวัดอุบลราชธานี ดำเนินงานโดยคณะทำงานโครงการฯ ภายใต้การบริหารงานของมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ร่วมกับภาคีเครือข่ายภาคประชาสังคม  เช่น มูลนิธิประชาสังคมจังหวัดอุบลราชธานี
 
ปัจจุบัน เกษตรกรมีการใช้ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าหญ้าและยาฆ่าแมลงในปริมาณที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของผู้ผลิต ผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม อีกทั้งเกษตรกรยังต้องกดดันตัวเองให้ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นเพื่อนำไปหักลบกับต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น นอกจากนี้เกษตรกรยังต้องเผชิญกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารและรายได้ของเกษตรกร จากสภาพปัญหาดังกล่าว โครงการฯ นี้ได้ดำเนินงานเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการทำเกษตรอินทรีย์ สร้างความมั่นคงทางด้านอาหารและลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ โดยผ่านกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ ได้แก่การผลักดันให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนวิถีการทำนาจากเคมีเป็นอินทรีย์จำนวน 200 ครอบครัว และภายในปี 2560  ต้องผ่านการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ จำนวน 100 ครอบครัว มีการวิจัยพัฒนารูปแบบการทำนาอินทรีย์เพื่อปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ  โดยการผสมผสานความรู้จากภูมิปัญญาในท้องถิ่นและข้อมูลจากงานวิจัย ดำเนินการให้มีสหกรณ์เพื่อส่งเสริมเกษตรอินทรีย์อย่างครบวงจร ทั้งการผลิต การแปรรูป การตลาด นอกจากนี้ยังมีประเด็นด้านการขยายผลการทำเกษตรอินทรีย์สู่เกษตรกรที่สนใจ ผ่านกระบวนการเรียนรู้ เพื่อสนับสนุนนโยบายส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ การสร้างความตระหนักเกี่ยวกับผลดีของการทำเกษตรอินทรีย์ให้กับบุคคล องค์กร และหน่วยงานหลากหลายที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น
 
โครงการนี้มีระยะเวลาการดำเนินงาน 4 ปี งบประมาณโครงการ 20 ล้านบาท โดยได้รับเงินสนับสนุนจากสหภาพยุโรปร้อยเป็นจำนวนเงิน 18 ล้านบาทมีพื้นที่การทำงานในจังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 11 พื้นที่ ได้แก่  กลุ่มเกษตรกรบ้านดอนหมู ตำบลขามเปี้ย อำเภอตระการพืชผล, กลุ่มเกษตรกรบ้านทองหลาง ตำบลท่าโพธิ์ศรี อำเภอเดชอุดม, กลุ่มเกษตรกรบ้านหนองมัง ตำบลโนนกลาง อำเภอสำโรง, กลุ่มเกษตรกรบ้านหนองไฮ ตำบลโนนกลาง อำเภอพิบูลมังสาหาร, กลุ่มเกษตรกรบ้านคำสร้างไชย-บ้านบัวเทิง อำเภอสว่างวีระวงศ์, กลุ่มเกษตรกรตำบลม่วงใหญ่-ตำบลสำโรง อำเภอโพธิ์ไทร, กลุ่มเกษตรกรบ้านดงบัง-บ้านหนองบ่อ ตำบลหนองบ่อ อำเภอเมือง,กลุ่มเกษตรกรบ้านจานตะโนน ตำบลหนองบ่อ อำเภอเมือง และกลุ่มเกษตรกรบ้านคูเมือง ตำบลคูเมือง อำเภอวารินชำราบ
 
น.พ.สุรพร ลอยหา นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดอุบลราชธานีเปิดเผยว่า สถิติประชาชนเจ็บป่วยจากการเป็นมะเร็ง,โรคตับ,โรคไตมากขึ้นซึ่งสาเหตุก็เกิดจากพฤติกรรมการกินของเรา ตับ,ไตต้องทำหน้าที่เก็บและทำลายสารพิษ เมื่อมีสารพิษมากก็ทำงานหนักเจ็บป่วยกันมากขึ้น จากผลการตรวจเลือดเกษตรกรล่าสุดของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดฯ พบว่าเกษตรกรกลุ่มเสี่ยง 100 คน พบ 70 คน เสี่ยงและไม่ปลอดภัยจากสารพิษฆ่าแมลง เป็นข้อมูลที่น่าตกใจมาก อ.กุดข้าวปุ้น เสี่ยงสูงสุดถึง 79% 
 
แม้แต่เห็ดที่เรากินกันเป็นปกติไม่มีพิษ ปัจจุบันที่ขึ้นใกล้สวนยางพารา ก็ซึมซับพิษจากยาฆ่าหญ้ามาด้วย อันตรายมาก ข้าวก็เช่นกัน ข้าวเป็นพืชที่ดูดซึมสารพิษได้ดีมาก ทราบมาว่าบางพื้นที่ชาวนาฉีดยาฆ่าหญ้าสูงสุดถึง 5 ครั้ง พิษนั้นจะถูกดูดซึมไปที่ไหน การที่สหภาพยุโรปและมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีพร้อมภาคีเครือข่ายจับมือกันหนุนเกษตรกรให้ปลูกแบบอินทรีย์นั้นน่าสนับสนุนอย่างยิ่ง โรงพยาบาลทุกแห่งในจังหวัดอุบลฯยินดีซื้อผลผลิตจากท่าน
 
ในงานครั้งนี้ มีการจัดนิทรรศการให้ความรู้เรื่องเกษตรอินทรีย์ การแสดงละครสะท้อนวิถีการทำเกษตรที่เต็มไปด้วยการใช้สารเคมีในยุคปัจจุบัน ผ่านบทละครของกลุ่มสื่อใสวัยทีนในเรื่อง "เด็กชายอินทรีย์" อีกด้วย
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รัฐบาลเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้คำมั่นยุติการค้าเนื้อสุนัข

Posted: 02 Sep 2013 01:20 AM PDT

การประชุมกลุ่มพันธมิตรพิทักษ์สุนัขเอเชีย (Asia Canine Protection Alliance - ACPA) ที่กรุงฮานอย เจ้าหน้าที่รัฐในไทย กัมพูชา ลาว เวียดนาม ให้คำมั่นสัญญาร่วมยุติการค้าเนื้อสุนัข

 
(กรุงเทพฯ) 2 กันยายน 2556 - เจ้าหน้าที่รัฐประจำประเทศของไทย กัมพูชา ลาว และเวียดนาม ร่วมให้คำมั่นสัญญาในการยุติการทารุณด้านการค้าเนื้อสุนัขเชิงพาณิชย์ ในปีหนึ่งจะพบว่ามีสุนัขกว่า 5 ล้านตัวถูกสังหารอย่างโหดร้ายเพื่อตอบสนองการบริโภคของมนุษย์ ซึ่งมีการลักลอบขนส่งข้ามแดนจากประเทศไทย กัมพูชา และลาวไปยังประเทศเวียดนามเพื่อการบริโภคเนื้อสุนัข
 
การผลิตเนื้อสุนัขเริ่มมาจากการค้าขนาดเล็กในระดับครัวเรือน สู่การเป็นอุตสาหกรรมค้าสุนัขผิดกฎหมายที่มีมูลค่าหลายล้านดอลลาร์สหรัฐในปัจจุบัน ซึ่งได้นำความเจ็บปวดและความทรมานมาสู่สุนัขทั้งหลาย อีกทั้งยังนำความเสี่ยงและเป็นอันตรายต่อสุขภาพมนุษย์อีกด้วย ทั้งนี้ การค้าในสุนัขเนื้อเกี่ยวข้องกับของโรคที่ไม่สามาถระบุได้ในสุนัขและการฉีดวัคซีน ซึ่งเป็นความพยายามในการกำจัดโรคพิษสุนัขบ้าในระดับภูมิภาค
 
ประเทศต่างๆ ล้มเหลวในการดำเนินงานตามมาตรการการป้องกันโรคในสัตว์ และไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำขององค์กรอนามัยโลกและองค์กรสุขภาพสัตว์โลก ในการควบคุมและการกำจัดโรคพิษสุนัขบ้า อีกทั้งการบริโภคเนื้อสุนัขยังมีความเกี่ยวพันถึงการติดต่อแพร่กระจายของโรคพยาธิทริคิโนซิส อหิวาตกโรค รวมถึงโรคพิษสุนัขบ้า ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลกเผยถึงการค้าสุนัขเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาดโรคพิษสุนัขบ้าในประเทศอินโดนีเซีย รวมถึงอหิวาตกโรคในประเทศเวียดนาม
 
เจ้าหน้าที่รัฐบาลเห็นชอบในการยุติการค้าเนื้อสุนัข ณ การประชุมล่าสุดที่จัดขึ้นที่กรุงฮานอย ร่วมกับกลุ่มพันธมิตรพิทักษ์สุนัขเอเชีย (Asia Canine Protection Alliance - ACPA) เจ้าหน้าที่รัฐ กล่าวถึงประเด็นการแพร่ระบาดของโรคพิษสุนัขไว้ว่า จะทำการประกาศพักการออกกฎหมายในการขนส่งสุนัขเชิงพาณิชย์ในอีกห้าปีข้างหน้า ในขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังทบทวนถึงผลกระทบของการระบาดของโรคพิษสุนัขบ้าไปทั่วทั้งภูมิภาค (สำหรับประเทศไทยซึ่งการค้าสุนัขเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่มีความเห็นชอบในการกวดขันกฎหมายปัจจุบันให้มีบทลงโทษที่รุนแรงมากขึ้น)
 
นายสัตวแพทย์พรพิทักษ์ พรหล้า สังกัดกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขประจำประเทศไทย กล่าวว่า "เราไม่สามารถเปลี่ยนวัฒนธรรมหรือพฤติกรรมได้ แต่เราควรหยุดการลักลอบค้าสุนัข การประชุมครั้งสำคัญนี้จะเป็นการกระตุ้นเตือนให้หน่วยงานของภาครัฐ เห็นถึงปัญหาที่มาจากการค้าเนื้อสุนัข และหารือถึงแนวทางยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคพิษสุนัขบ้า"
 
นางสาวเหวียน ทู ถวี รองผู้อำนวยการกรมสุขภาพสัตว์ประจำประเทศเวียดนาม กล่าวว่า "สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคพิษสุนัขได้ทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะในปีนี้ หนึ่งในเหตุผลหลักคือการลักลอบขนส่งสุนัขเพื่อการค้าข้ามชายแดน"
 
นาย บุญสืบ แช่มช้อย หัวหน้าผู้ตรวจราชการทั่วไปสังกัดกระทรวงมหาดไทยประจำประเทศไทย กล่าวว่า"เราไม่เคยอนุญาตให้มีการขนส่งสุนัขจากประเทศไทยไปยังเวียดนามเพื่อการบริโภค เรายังคงแสวงหามาตรการแก้ปัญหา แต่เนื่องจากชายแดนระหว่างประเทศไทยกับประเทศอื่นๆ นั้นยาวมาก จึงเป็นการยากในการจัดการการค้าที่ผิดกฎหมายนี้ ซึ่งเราก็กำลังพยายามอย่างเต็มที่"
 
องค์กรพิทักษ์สัตว์ สังกัดกลุ่มพันธมิตรพิทักษ์สุนัขเอเชีย จะร่วมทำงานกับเจ้าหน้าที่ในการช่วยเหลือทางด้านการเงิน ผู้เชี่ยวชาญและสิ่งจำเป็นอื่นๆ ทั้งนี้ กลุ่มพันธมิตรพิทักษ์สุนัขเอเชีย เกิดขึ้นจากการร่วมมือกันระหว่าง มูลนิธิการเปลี่ยนแปลงเพื่อสัตว์ (Change For Animals Foundation - CFAF) สมาคมมนุษยธรรมนานาชาติ (Humane Society International - HSI) มูลนิธิสัตว์แห่งเอเชีย (Animals Asia) และมูลนิธิเพื่อสุนัขในซอย (Soi Dog Foundation) โดยดำเนินการไปทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียและทั่วโลก
 
นางสาวโลล่า เว็บเบอร์ ประธานโครงการของมูลนิธิการเปลี่ยนแปลงเพื่อสัตว์ กล่าวว่า "ยังคงมีการแพร่ระบาดของโรคพิษสุนัขบ้าในสุนัขในประเทศเวียดนาม ไทย ลาว และกัมพูชา ทั้งนี้ การยุติการลักลอบค้าเนื้อสุนัขเพื่อการบริโภคนั้นเป็นส่วนประกอบที่สำคัญ ในการควบคุมโรคพิษสุนัขบ้าในระดับชาติและระดับภูมิภาค"
 
นางสาวเคลลี่ โอ เมียร่า ผู้อำนวยการฝ่ายสัตว์เลี้ยงและการถือครองแห่งสมาคมมนุษยธรรมนานาชาติ กล่าวว่า "การค้าไม่มีความเกี่ยวข้องกับความปรารถนาที่จะรักษาวัฒนธรรมหรือประเพณีแต่การค้าเป็นนั้นมีแรงขับเคลื่อนทางด้านผลประโยชน์และความสุ่มเสี่ยงทางด้านสุขภาพนอกจากนี้ ยังมีการติดตามสวัสดิภาพสัตว์และการจัดเก็บเอกสารหลักฐานชิ้นสำคัญทั้งในระดับภูมิภาคเอเชียและระดับโลก ที่แสดงถึงความโหดร้ายที่มีอยู่ในทุกขั้นตอนของการค้าสุนัข ตั้งแต่แหล่งที่มา การขนส่ง การขาย สู่ขั้นตอนการสังหารอย่างโหดร้าย"
 
นายต๋วน เบนดิกเซน ผู้อำนวยการมูลนิธิสัตว์แห่งเอเชียประจำประเทศเวียดนามกล่าวว่า "ขณะที่การค้าเนื้อสุนัขเป็นเรื่องที่ถูกกฎหมายในประเทศประเทศเวียดนามลาว และกัมพูชา แต่ในการค้าในระดับนานาชาติการค้านั้นเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย ถ้าเอกสารสุขภาพและการฉีดวัคซีนไม่ถูกต้อง ในขณะที่การค้านั้นเกี่ยวกับข้องกับสุนัขนับร้อยในการขนส่งแต่ละครั้ง ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่สุนัขทุกตัวจะมีเอกสารดังกล่าวอย่างถูกต้อง หรือมีการตรวจสอบอย่างละเอียดก่อนการส่งข้ามแดน ดังนั้นการค้าดังกล่าวนี้ควรจะต้องมีการยุติลงไป"
 
มร.จอห์น แดลลีย์ รองประธานมูลนิธิเพื่อสุนัขในซอย กล่าวว่า "โรคพิษสุนัขบ้าและโรคติดต่ออื่น ๆ เช่น อหิวาตกโรคและโรคพยาธิทริคิโนซิสเป็นตัวแทนของการคุกคามทางสาธารณสุขที่สำคัญทั่วเอเชีย และก่อให้เกิดผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อเศรษฐกิจ สุขภาพของมนุษย์ และสวัสดิภาพของสัตว์ นอกจากนี้ มันจะไม่เสียหายใดๆ เลย หากไม่มีประเทศใดในโลกทำให้การผลิต การค้าขาย และการบริโภคเนื้อสุนัขถูกกฎหมาย"
 
-----
 
สมาคมมนุษยธรรมนานาชาติ (Humane Society International - HSI) ร่วมกับองค์กรพันธมิตรจัดตั้งหนึ่งในองค์กรพิทักษ์สัตว์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นเวลาเกือบ 20 ปีแล้วที่ HSIได้ทำงานเพื่อพิทักษ์สัตว์ทุกชนิดด้วยการใช้ศาสตร์ความรู้ การรณรงค์ การศึกษา และการต่อยอดนำไปสู่การลงมือปฏิบัติจริง สามารถติดตามความเคลื่อนไหวการคืนชีวิตให้กับสัตว์และการเผชิญหน้ากับความโหดร้ายของโลกภายนอก ได้ที่เว็บไซต์ hsi.org
 
มูลนิธิสัตว์แห่งเอเชีย (Animals Asia) ทุ่มเทให้กับการสิ้นสุดของทารุณกรรมของการทำฟาร์มสกัดดีหมี ปรับปรุงพัฒนาสวัสดิภาพของสัตว์ในประเทศจีนและประเทสเวียดนาม รณรงค์ผู้คนให้หันมามีความเมตตาและเคารพชีวิตสัตว์ทุกชนิด ตลอดจนนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงในระยะยาวด้วย 3 โปรแกรมหลัก ประกอบไปด้วย การหยุดการทำฟาร์มสกัดดีหมี สวัสดิภาพของสุนัขและแมว และสวนสัตว์และซาฟารี
 
มูลนิธิเพื่อสุนัขในซอย (Soi Dog Foundation) กำลังต่อสู้เพื่อสวัสดิภาพของสุนัขและแมวในประเทศไทย ส่งเสริมให้มีชีวิตการเป็นอยู่ที่ดีขึ้นทั้งในสัตว์และมนุษย์ ยุติการทารุณกรรมในสัตว์ และรังสรรค์สังคมให้ปราศจากสัตว์ไร้ที่อยู่ให้หมดสิ้นไป ติดตามเพิ่มเติมได้ที่ www.soidog.org
 
มูลนิธิการเปลี่ยนแปลงเพื่อสัตว์ (Change For Animals Foundation - CFAF) เป็นองค์กรที่ได้รับมอบหมายให้รณรงค์ความเมตตาการุณาต่อสัตว์ทุกชนิดและยุติการทรมานสัตว์ CFAF มุ่งมั่นในการทำงานเพื่อสนับสนุนและส่งเสริมแรงบันดาลใจให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกสำหรับสัตว์ชนิดต่างๆทั่วโลกในการเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับกลุ่มพิทักษ์สัตว์ท้องถิ่นและเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญด้านสวัสดิภาพสัตว์นานาชาติ ติดตามเพิ่มเติมได้ที่www.changeforanimals.org
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ภาคประชาสังคมร้องรัฐนำคนผิดเหตุยิงผู้ชุมนุมสวนยางมาลงโทษ

Posted: 02 Sep 2013 12:57 AM PDT

องค์กรภาคประชาสังคม ได้แก่ สมาคมนักกฎหมายสิทธิ เครือข่ายชุมชนเพื่อการปฏิรูปสังคมและการเมือง และกป.อพช. ประณามความรุนแรงต่อเหตุการณ์ยิงผู้ชุมนุมที่นครศรีธรรมราช ร้องรัฐต้องแสดงความจริงใจในการแก้ปัญหา

2 ก.ย. 56 - องค์กรภาคประชาสังคม ได้แก่ สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (สนส.) เครือข่ายชุมชนเพื่อการปฏิรูปสังคมและการเมือง (คปสม.)  และคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) ได้ออกแถลงการณ์ต่อเหตุการณ์ทำร้ายผู้รักษาความปลอดภัยผู้ชุมนุมสวนยาง ณ อำเภอชะอวด จ.นครศรีธรรมราช เมื่อกลางดึกของวันที่ 1 ก.ย. ที่ผ่านมา ส่งผลให้มีผู้ชุมนุมเสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บสาหัสอีก 1 ราย นั้น
 
ทางองค์กรประชาสังคม มีความเห็นต่อเหตุการณ์ดังกล่าวว่า การชุมนุมไม่ว่าจะโดยฝ่ายใด เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของสังคมประชาธิปไตย โดยรัฐบาลจำเป็นต้องรับฟังต่อปัญหาและข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมที่ต้องการให้รัฐบาลเข้าประกันราคายางและปาล์มน้ำมัน และรับมือโดยไม่ให้เกิดเงื่อนไขของการใช้ความรุนแรงในพื้นที่ชุมนุม นอกจากนี้ ต่อเหตุการณ์การเสียชีวิตของผู้ชุมนุม ทางองค์กรดังกล่าวได้เรียกร้องให้รัฐบาลต้องรับผิดชอบในการหาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษด้วย 
 
 
0000
 
แถลงการณ์  สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน
 
เรื่อง ขอให้เร่งสืบสวนสอบสวนและดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของผู้ชุมนุมชาวสวนยาง
 
จากข่าวที่ปรากฏเหตุการณ์ลอบทำร้ายผู้ดูแลความปลอดภัยให้กับผู้ชุมนุมชาวสวนยางบริเวณจุดชุมนุมแยกบ้านตูล ตำบลบ้านตูล อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อคืนกลางดึกของวันที่ 1 กันยายน 2556 เป็นเหตุให้ผู้ชุมนุมเสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บสาหัสอีก 1 รายนั้น
 
สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (สนส.) มีความเห็นและข้อเรียกร้องดังนี้
 
1. สิทธิในชีวิตและร่างกายเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ที่ติดตัวทุกคนมาแต่เกิด และไม่อาจพรากไปจากมนุษย์ได้ ไม่ว่ามนุษย์คนนั้น กลุ่มนั้น จะมีความคิดความเห็น ความเชื่อ หรือฐานะทางสังคมที่แตกต่างไปจากผู้คนในสังคมสิทธิดังกล่าวจึงเป็นเอกสิทธิติดตัวของมนุษย์และย่อมได้รับการคุ้มครองจากรัฐและประชาชนทุกคน
 
2. สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าผู้กระทำผิดเป็นฝ่ายใดย่อมต้องได้รับการประณามจากสังคม การใช้อาวุธ ต่อผู้ที่มีความคิดเห็นที่แตกต่าง ย่อมเป็นการแสดงถึงความโหดร้าย ไร้มนุษยธรรม อันมิใช่วิสัยของการกระทำที่ได้รับการยอมรับในสังคมประชาธิปไตย โดยเฉพาะเป็นการกระทำ ต่อการชุมนุมโดยสงบ ซึ่งเป็นเสรีภาพของประชาชนที่รัฐต้องให้ความคุ้มครอง เพราะบุคคลย่อมมีสิทธิที่จะยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล ให้แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนได้
 
3.  เจ้าหน้าที่ตำรวจถือเป็นหน่วยงานที่สำคัญที่สุดในการคุ้มครองความสงบเรียบร้อยและสิทธิเสรีภาพของประชาชน เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจึงต้องเร่งดำเนินการค้นหาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรมโดยเร็วเพื่อเป็นการแสดงว่ารัฐบาลโดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะธำรงไว้ซึ่งการเคารพและเคร่งครัดต่อการปฏิบัติตามหลักนิติธรรม (Rule of Law) หรือนิติรัฐ (Legal State) อีกทั้งยังเป็นการป้องกันการกระทบกระทั่งกันเองในหมู่ประชาชนที่เดือดร้อนและไม่เห็นด้วยกับการชุมนุม
 
4. ขอให้ผู้ชุมนุมให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ของรัฐในการหาตัวผู้กระทำผิด เพื่อแสดงให้เห็นว่า การชุมนุมครั้งนี้เป็นการชุมนุมโดยสงบตามสิทธิเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ และเพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่าประชาชน ที่คิดเห็นแตกต่างจากรัฐ มิได้มีความเกลียดชังต่อภาครัฐหรือเหมารวมว่าภาครัฐเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้ความรุนแรงในครั้งนี้
 
ทั้งนี้สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (สนส.) ขอให้ทุกฝ่ายอดทนต่อแรงเสียดทานที่เกิดขึ้นระหว่างการชุมนุมและระหว่างการค้นหาความจริง เพื่อจะได้นำไปสู่การแก้ไขปัญหาและมีส่วนร่วมในการเสริมสร้างวัฒนธรรมแห่งการเคารพสิทธิมนุษยชนสืบไป
 
                                                             ด้วยความเคารพในสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
 
                                                               สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน
 
0000
 
แถลงการณ์ เครือข่ายชุมชนเพื่อการปฏิรูปสังคมและการเมือง (คปสม.) 
 
แถลงการณ์ เรื่อง ขอประณามการใช้ความรุนแรง กับเกษตรกรชาวสวนยาง สวนปาล์ม และ เรียกร้องให้รัฐบาลรับผิดชอบต่อชีวิตและความรุนแรงที่เกิดขึ้น ทั้งเร่งแก้ไขปัญหาราคาผลผลิตที่ตกต่า วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๕ 
 
ตามที่ได้มีกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกยางพารา และปาล์มน้ำมัน ได้ทำการชุมนุมที่ถนนสายเอเชีย บริเวณแยกควนหนองหงส์ อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลประกันราคายางแผ่น เศษยาง (ขี้ยาง) และประกันราคาปาล์มน้ามัน ที่กำลังตกต่ำอย่างมาก นั้น ความเป็นมาของการชุมนุมของพี่น้องชาวสวนยางและสวนปาล์ม เกิดขึ้นจากเมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๕๖ ที่ผ่านมา ซึ่งได้มีการยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลไปแล้ว ๔ ข้อ โดยในครั้งนั้นนายวิโรจน์ จิวะรังสรรค์ ผวจ.นครศรีธรรมราช ได้เข้าไปเจรจาและรับหนังสือของชาวสวนยาง และขอให้เปิดถนนซึ่งชาวบ้านได้ยินยอมสลายการชุมนุม และระบุว่าจะขอรับคำตอบในวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๖ และเมื่อ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๖ ที่ผ่านมาชาวสวนยางได้นัดรวมตัวกันที่ อ.จุฬาภรณ์ เพื่อฟังคำตอบแต่ไม่ได้รับคำตอบเป็นที่พึงพอใจจึงได้นำมาสู่การชุมนุมในครั้งนี้ 
 
ดังนั้นการชุมนุมเพื่อเรียกร้องของเกษตรกรชาวสวนยางและสวนปาล์ม ได้เกิดขึ้นก็เนื่องมาจากความล่าช้า และความไม่จริงใจของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาราคายางและปาล์มน้ำมันที่ตกต่ำ และสุดท้ายได้นำมาสู่การเผชิญหน้า การปะทะกัน และในครั้งนี้ถึงขั้นใช้อาวุธยิงใส่ผู้ชุมนุมเป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตดังกล่าว 
 
ดังนั้น เครือข่ายชุมชนเพื่อการปฏิรูปสังคมและการเมือง (คปสม.) ซึ่งเป็นเครือข่ายชุมชนที่รวมตัวกัน ๕๘๐ ชุมชนทั่วประเทศ มาตั้งแต่ ปี ๒๕๔๙ ในการเรียกร้องเพื่อแก้ปัญหาปากท้อง เรื่องที่ดินทำกิน เรื่องสิทธิชุมชนชาวเล เรื่องสัญชาติของคนไทยพลัดถิ่น ปกป้องสิทธิชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายรัฐบาล และการพัฒนาในเครือข่าย จึงมีข้อเรียกร้องกับรัฐบาลและข้อเสนอต่อสังคมดังนี้ 
 
๑.เครือข่ายฯ ขอสนับสนุนการชุมนุมของกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกยางพารา และปาล์มน้ำมัน โดยสงบและปราศจากอาวุธ อันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ
 
๒.เครือข่ายฯ ขอเรียกร้องให้เครือข่ายประชาชนและทุกฝ่ายในสังคม ใช้โอกาสในการเรียนรู้และทำความเข้าใจสังคมไทยและระบอบประชาธิปไตยที่มีความหลากหลายอย่างแท้จริงโดยใช้ปัญหาปากท้องของประชาชนเป็นที่ตั้ง 
 
๓.เครือข่ายฯ ขอคัดค้านการใช้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน เป็นบันไดเพื่อเอาชนะทางการเมือง ของทุกฝ่ายโดยเด็ดขาด 
 
๔.เครือข่ายฯ ขอเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งเดินหน้าแก้ปัญหาของกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกยางพารา และปาล์มน้ามัน โดยเน้นการสร้างความเป็นธรรมทางสังคมอย่างเท่าเทียม 
 
๕.เครือข่ายฯ ขอเรียกร้องให้รัฐบาลรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ความรุนแรง และเหตุการณ์ที่ทำให้มีผู้บาดเจ็บ เสียชีวิตจากการชุมนุม ที่เกิดขึ้นกับกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกยางพารา และปาล์มน้ำมัน โดยต้องยุติการใช้ความรุนแรงใดๆจากทุกฝ่ายโดยเด็ดขาด ทั้งนี้ เครือข่ายชุมชนเพื่อการปฏิรูปสังคมและการเมือง (คปสม.) หวังเป็นอย่างยิ่งว่ารัฐบาลจะแก้ไขปัญหาให้กับกลุ่มเกษตรกรชาวสวนยาง อย่างสันติ และยุติธรรม โดยต้องไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น
 
ด้วยความเชื่อมั่นในพลังประชาชน
เครือข่ายชุมชนเพื่อการปฏิรูปสังคมและการเมือง (คปสม.)
๑ กันยายน ๒๕๕๖
 
 
 0000
 
แถลงการณ์ คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.)
 
เรื่อง ขอประณามการใช้ความรุนแรงกับพี่น้องชาวสวนยาง ภาคใต้ และขอให้รัฐบาลแสดงความจริงใจในการแก้ไขปัญหา
 
ความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับกลุ่มผู้ชุมนุมเรียกร้องราคาผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำเมื่อเช้ามืดวันนี้ เป็นสิ่งที่หลายฝ่ายเป็นห่วงและไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้ได้มีเสียงของภาคประชาชนกลุ่มต่างๆ ตักเตือนไปยังรัฐบาลเฝ้าดูแล อย่างระมัดระวังกลุ่มผู้ชุมนุมอย่างเข้มข้น เพื่อมิให้นำไปสู่ความรุนแรงใดๆ  ขึ้นอีก และควรที่จะเร่งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนดังกล่าวอย่างจริงจัง เพื่อมิให้ความเดือดร้อนแผ่ขยายวงกว้างไปกว่านี้  หากไร้เสียงตอบรับที่ชัดเจน แต่กลับหวาดระแวงกับกลุ่มชาวบ้านที่ออกมาชุมนุมเรียกร้องถึงความเดือดร้อนของตนเองด้วยความชิงชัง โดยอ้างว่าเป็นม๊อบการเมือง ม๊อบไร้แกนนำ ม๊อบคนนอกพื้นที่ และอีกต่างๆนาๆ เป็นเหตุผลให้รัฐบาลไม่ยอมส่งคนที่มีอำนาจในการตัดสินใจลงมาดูแลความทุกข์ร้อนของประชาชนอย่างที่ควรจะเป็น ถือเป็นความผิดพลาดในการประเมินสถานการณ์ของฝ่ายรัฐบาลเป็นอย่างมาก
 
คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) ทั้งสี่ภาค ได้เฝ้าติดตามเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิดตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ได้มีการออกแถลงการณ์ผ่านสื่อมวลชนของคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนส่วนภาคใต้ไปแล้ว เมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม ที่ผ่านมา ซึ่งมีข้อเสนอสำคัญที่ให้รัฐบาลแสดงความจริงใจในการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี และไม่ควรสร้างเงื่อนไขเพื่อนำไปสู่ความรุนแรง  หากแต่ข้อเรียกร้องดังกล่าวกลับไม่ได้รับความสนใจประการใด และกลับนำไปสู่ความรุนแรงและก่อให้เกิดความสูญเสียชีวิตของประชาชนที่ร่วมชุมนุมตามมา และหากยังปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินเช่นนี้อีกต่อไป เชื่อว่าจะไม่เป็นผลดีกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างแน่นอน ในนามของคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช) ทั่วประเทศขอประณามการกระทำของผู้ที่เจตนาก่อให้เกิดความรุนแรงดังกล่าว และขอเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการดังนี้
 
1. รัฐบาลจะต้องแสดงความจริงใจในการแก้ไขปัญหาด้วยการส่งผู้มีอำนาจตัดสินใจอย่างแท้จริง เพื่อไปรับฟังปัญหาและรับข้อเสนอของกลุ่มผู้ชุมนุมในพื้นที่
 
2. รัฐบาลจะต้องมีมาตรการ และต้องเฝ้าระวังอย่างเข้มข้นเพื่อมิให้เกิดเงื่อนไขที่นำไปสู่ความรุนแรงใดๆกับผู้ชุมนุมในพื้นที่
 
ด้วยความเชื่อมั่นว่า การชุมนุมดังกล่าวเป็นไปตามสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน เพื่อเรียกร้องถึงเรื่องทุกข์ร้อนของตนเอง เราจึงขอสนับสนุนการรวมกลุ่มดังกล่าว และจะเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ชุมนุมอย่างใกล้ชิด  หากรัฐบาลไม่ดำเนินการใดๆ ตามข้อเสนอดังกล่าว เราจะประสานเครือข่ายภาคประชาชนทั่วทุกภาคเพื่อให้มีการสนับสนุนการชุมนุมของพี่น้องในภาคใต้อย่างถึงที่สุด
 
                         คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.)
วันที่  ๒  กันยายน ๒๕๕๖
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ยูนิเซฟระดมทุนช่วยเด็กในซีเรีย คาดมีเด็กอีก 2 ล้านเร่ร่อนจากความขัดแย้ง

Posted: 02 Sep 2013 12:12 AM PDT


คำบรรยายใต้ภาพและลิขสิทธิ์ภาพ © UNICEF/NYHQ2012-0221/Brooks 
ชาดี (นามสมมติ) อายุ 9 ปี หนีภัยจากวิกฤตในซีเรียไปอาศัยอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์ในตอนเหนือของประเทศเลบานอนได้เก้าเดือน หลังจากนั้นเขาได้กลับไปเยี่ยมครอบครัวที่ซีเรียกับแม่เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ขณะที่ลักลอบข้ามพรมแดนเพื่อกลับมาเลบานอนอีกครั้ง เท้าของชาดีได้รับบาดเจ็บจากระเบิดซึ่งได้กระเด็นโดนใบหน้าของเขาอีกด้วย


(2 ก.ย.56) องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูนิเซฟ ประกาศขอระดมทุนจากประชาชนไทย เพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนแก่เด็กและครอบครัวในประเทศซีเรีย หลังจากสงครามในซีเรียได้ยืดเยื้อเข้าสู่ปีที่สาม และส่งผลให้เด็กนับล้านคนต้องบาดเจ็บหรือล้มตาย โดยยูนิเซฟระบุว่า ขณะนี้มีเด็กถึง 1 ล้านคนที่ต้องอพยพหนีภัยไปยังค่ายผู้ลี้ภัยตามชายแดน

"เด็กคนที่หนึ่งล้านนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ตัวเลข" นายแอนโทนี่ เลค ผู้อำนวยการบริหารขององค์การยูนิเซฟกล่าว "นี่คือเด็กตัวจริงคนหนึ่งซึ่งต้องพลัดพรากจากบ้าน หรือแม้กระทั่งจากครอบครัว และต้องเผชิญกับความน่ากลัวที่พวกเราอาจเพิ่งเริ่มทำความเข้าใจกับมัน"

นอกเหนือจากเด็กผู้ลี้ภัยจำนวน 1 ล้านคนแล้ว ข้อมูลจากสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติ ยังระบุว่ามีเด็กอีกประมาณ 7,000 คนที่ถูกฆ่าตายจากสงครามในซีเรีย นอกจากนี้ ยูนิเซฟและสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอชซีอาร์) คาดว่ายังมีเด็กอีก 2 ล้านคนต้องเร่ร่อนอยู่ในซีเรียซึ่งเป็นผลจากความขัดแย้งครั้งนี้

นายพิชัย ราชภัณฑารี ผู้แทนองค์การยูนิเซฟประจำประเทศไทย กล่าวว่า "ยูนิเซฟมีความมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือเด็กที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งในครั้งนี้ ยังมีเด็กอีกจำนวนมากที่ยังอยู่ในพื้นที่สงคราม ที่ต้องอยู่อย่างเร่ร่อนภายในประเทศเพราะบ้านเรือนถูกทำลาย หรือต้องหนีข้ามชายแดนไปอาศัยอยู่ที่ค่ายผู้ลี้ภัย โลกไม่สามารถเพิกเฉยต่อสถานการณ์ที่เด็กเหล่านี้ต้องเผชิญได้อีกต่อไป"

ข้อมูลจากยูนิเซฟและยูเอ็นเอชซีอาร์ระบุว่า ประชากรเด็กมีสัดส่วนเป็นครึ่งหนึ่งของจำนวนผู้ลี้ภัยทั้งหมดที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งในซีเรีย และเป็นเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 11 ปี ถึง 740,000 คน ผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่อาศัยอยู่ที่ค่ายผู้ลี้ภัยในประเทศเลบานอน จอร์แดน ตุรกี อิรัก และอียิปต์

จนถึงปัจจุบัน ยูนิเซฟและหน่วยงานพันธมิตรได้ระดมความช่วยเหลือครั้งใหญ่สำหรับเด็กและครอบครัวที่ได้รับผลกระทบ โดยในปีนี้ ได้มีการจัดการฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัดให้แก่เด็กกว่า 1.3 ล้านคนที่อาศัยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยและในชุมชนต่างๆ ในประเทศรอบๆ ซีเรีย นอกจากนี้ เด็กผู้อพยพเกือบ 167,000 คนยังได้รับความช่วยเหลือในเรื่องการเยียวยาทางจิตใจ เด็กอีกกว่า 118,000 คนได้รับการสนับสนุนให้ได้เรียนต่อ และประชากรกว่า 222,000 คนได้รับแจกน้ำดื่มสะอาด

อย่างไรก็ตาม ยูนิเซฟกำลังระดมทุนอีกจำนวน 470 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อช่วยเหลือเด็กและครอบครัวที่ประสบภัยทั้งที่อยู่ในประเทศซีเรียและที่อาศัยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยต่างๆ ตามชายแดน โดยเงินทุนที่ได้จากการบริจาคเหล่านี้จะนำไปช่วยเหลือเด็กและครอบครัวในด้านการจัดหาน้ำสะอาดและสุขอนามัย การศึกษา สาธารณสุขและโภชนาการ และบริการด้านการคุ้มครองเด็ก

 


สามารถบริจาคเงินให้กับยูนิเซฟเพื่อช่วยเหลือเด็กและครอบครัวผู้ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งในซีเรีย โดยการบริจาคออนไลน์ที่ www.unicef.or.th หรือดาวน์โหลดแบบฟอร์มการบริจาคที่ www.unicef.or.th/supportus/th/ หรือขอรับแบบฟอร์มการบริจาคจากยูนิเซฟที่หมายเลข 02 356 9299 นอกจากนี้ ท่านยังสามารถบริจาคผ่านเคาน์เตอร์ เซอร์วิสที่ร้านเซเล่นอีเลฟเว่นทุกสาขาได้อีกด้วย

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการบริจาค กรุณาติดต่อยูนิเซฟที่หมายเลข 02 356 9299 หรืออีเมล psfrbangkok@unicef.org

 


 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ปัญหาที่รัฐเวียดนามเผชิญในวันชาติ

Posted: 01 Sep 2013 10:12 PM PDT


การปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นทางโซเชียลมีเดียในเวียดนามถึงขั้นรุนแรงแล้ววันนี้ คือมีการห้ามแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ห้ามให้ร้ายรัฐบาล ทำไมเวียดนามถึงมีวันนี้ได้

ทำไมประเทศที่ชาวโลกมองเห็นว่ากำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดดและก้าวเข้าสู่เวทีนานาชาติ กลับดูกลายเป็นกำลังเดินสวนทางกับโลกสากล ทำไมประเทศที่ชาวไทยเกรงว่าจะก้าวล้ำไทยในทุกๆ ด้านนี้ กลับเลือกทางเดินเช่นนี้ ขอเล่าเงื่อนไขพื้นฐานบางประการในเวียดนามที่คนไทยไม่ค่อยใส่ใจนักให้รับทราบคร่าวๆ ดังนี้

(1) ก่อนหน้านี้นับปีกว่าแล้วที่มีข่าวคราวการจับกุมและลงโทษเว็บบล็อกเกอร์ในเวียดนามขั้นรุนแรงเป็นจำนวนมาก การวิจารณ์รัฐบาลมีหลายมิติ ทั้งเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับผลประโยชน์ของนักการเมือง เรื่องการเมืองระหว่างประเทศ เร่่ืองปัญหาความตกต่ำทางเศรษฐกิจ ปัญหาเงินเฟ้ออย่างต่อเนื่อง ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ปัญหาที่ดินทำกิน และปัญหาการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อการเก็งกำไรอย่างไม่สมดุลกับอุปทานต่ออสังหาริมทรัพย์ ในแง่นี้ การวิจารณ์รัฐบาลจึงพัวพันกับปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้าประเทศอยู่ในขณะนี้

(2) ปัญหาเศรษฐกิจ นักวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจกังวลต่อการเปลี่ยนผ่านของเวียดนาม จากการเป็นประเทศสังคมนิยมเต็มรูป ไปสู่ประเทศเศรษฐกิจการตลาดในกำกับของรัฐอยู่ตลอดเวลา โครงสร้างการเงินของเวียดนามนั้นยังคงอยู่ในมือของรัฐอย่างเข้มแข็ง ธนาคารสัญชาติเวียดนามล้วนเป็นธนาคารของรัฐ นักวิเคราะห์ทางการเงินกังวลเสมอมาว่า การควบคุมบัญชีการให้กู้ของธนาคารเวียดนามจะเป็นอย่างไร หากการกู้เงินเป็นแบบอัฐยายซื้อขนมยายอยู่อย่างนี้

ในด้านการลงทุน ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติของเวียดนามในหลายปีที่ผ่านมานี้ทำให้กลายประเทศตื่นตะลึง แต่หากพิจารณาสักหน่อย จะพบว่ามาจากการลงทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะในหัตถอุสาหกรรม เนื่องจากค่าแรงราคาถูก และมาจากเงินกู้ต่างประเทศในโครงการพัฒนาขนาดใหญ่

(3) ความขัดแย้งระหว่างประเทศ ในกรณีหมู่เกาะในทะเลแปซิฟิค ระหว่างประเทศจีนและหลายประเทศในแปซิฟิค รวมทั้งประเทศเวียดนาม ความกดดันต่อประเด็นนี้มิได้มาจากประเทศจีน แต่มาจากประชาชนของประเทศเวียดนามเอง ชาวเวียดนามรวมตัวกันในเมืองใหญ่ อย่างฮานอยและโฮจิมินห์ซิตี้ ต่อเนื่องกันตั้งแต่สองปีที่แล้วเพื่อวิจารณ์รัฐบาลเวียดนาม เพราะพวกเขามองว่ารัฐบาลเวียดนามอ่อนข้อต่ออำนาจครอบงำของจีน แม้รัฐบาลพยายามชี้แจงว่ารัฐบาลไม่ได้อ่อนข้อแต่อย่างใด แต่ประชาชนก็ยังรู้สึกว่ารัฐบาลยังไม่ได้แสดงท่าทีที่แข็งขัน ส่วนหนึ่งเพราะเห็นว่ารัฐบาลต้องการง้อเงินลงทุนจากจีนที่เป็นแหล่งทุนใหญ่ให้เวียดนามในขณะนี้

ปัญหาคือ รัฐบาลเกรงว่าการชุมนุมนี้เปิดช่องให้มีการแทรกแซงจากพวกที่เรียกร้องประชาธิปไตยและการเมืองระบบหลายพรรคในเวียดนามและจากชาวเวียดนามในต่างประเทศ ผลก็คือ รัฐบาลจับกุมผู้ชุมนุมและผู้ระดมการชุมนุมอย่างต่อเนื่อง และนี่ยิ่งกดดันให้กลุ่มผู้ชุมนุมในนามของความรักชาติยิ่งถามหาประเด็นที่ใหญ่กว่านั้นมากขึ้น คือเรื่องเสรีภาพในการแสดงความเห็นของประชาชน

(4) โครงสร้างการเมืองที่ตรวจสอบได้ยาก ทำให้ประชาชนกังวลสงสัยนักการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐ ข่าวคราวการยักยอกในวงการบริหาร ข่าวการหาผลประโยชน์ส่วนตัวของเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง ข่าวผลประโยชน์ทับซ้อนของนักการเมืองระดับสูง สะพัดอย่างต่อเนื่อง ไม่มีใครตรวจสอบได้ชัดเจน หากแต่พลังประชาชนพยายามถกเถียง ตั้งคำถาม และนำไปสู่การวิจารณ์รวมทั้งขุดคุ้ยข้อมูลโยงในธุรกิจกับผลประโยชน์อันเนื่องมาจากการดำรงตำแหน่งสูงในทางการเมืองอย่าวต่อเนื่องในช่วงสองถึงสามปีที่ผ่านมา

(5) ปัญหาที่ทำกิน กำลังเป็นปัญหาใหญ่ในเวียดนามปัจจุบัน หลังจากการปรับระบบการถือครองที่ดินให้ที่ดินซึ่งเดิมเป็นของสาธารณะทั้งหมด ให้กลายเป็นที่ดินเอกชนแทบทั้งหมดในปัจจุบัน นำมาซึ่งความขัดแย้งระหว่างชาวนากับนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์-หัตถอุตสาหกรรม-ธุรกิจการท่องเที่ยว ปัจจุบันชาวนาขายที่ดินทำกินกันมากขึ้น แต่ที่ดินจำนวนมากถูกขายไปด้วยราคาที่ชาวนารู้สึกว่าไม่เป็นธรรม เมื่อมีการทักท้วงจนกระทั่งเกิดการประท้วงขึ้น ภาพที่ออกมากลายเป็นว่า นักลงทุนต่างชาติได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล เนื่องจากนักลงทุนมักร่วมทุนกับรัฐในการลงทุนต่างๆ และเจ้าหน้าที่รัฐบางกรณีใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุม จนกลายเป็นข่าวโด่งดังทั่วโลกเมื่อปีกลาย

(6) สิทธิเสรีภาพด้านอื่น ในบางมิติ เวียดนามกำลังแสดงให้เห็นว่าตนเองกำลังพัฒนาการส่งเสริมสิทธิเสรีภาพของประชาชน เช่น การยอมให้มีการเดินขบวนเพื่อเรียกร้องสิทธิการแต่งงานของคนเพศเดียวกัน การสนับสนุนให้สร้างภาพยนตร์คนรักเพศเดียวกัน การให้สิทธิในการแสดงออกทางวัฒนธรรมอย่างการนับถือลัทธิบูชาเจ้าแม่ต่างๆ รวมทั้งการทรงเจ้าเข้าผี และการให้สิทธิกลุ่มชาติพันธุ์และร่วมรื้อฟื้นวัฒนธรรม ประเพณี พิธีกรรมของชนกลุ่มน้อย แต่น่าแปลกใจที่รัฐบาลในขณะนี้มีนโยบายเรื่องสิทธิในการแสดงออกที่สวนทางกับสิทธิทางวัฒนธรรม

การก้าวสู่เวทีโลกของเวียดนามดำเนินไปอย่างแข็งขันและต่อเนื่อง ปัจจุบันตำแหน่งเลขาธิการอาเซียนตกอยู่กับชาวเวียดนาม ได้แต่หวังว่าประเทศและประชาชนที่เคยต้องทนทุกข์กับภาวะไร้สันติสุขมายาวนานจะร่วมกันแก้ปัญหาและก้าวไปอย่างมั่งคง เสมอภาค และเปี่ยมสันติธรรมต่อไป



เนื่องในวันชาติเวียดนาม 2 กันยายน 2013


(สมัคร รักสันติธรรม)
ผู้ปรารถนาดีต่อประเทศและประชาชนเวียดนาม

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สุรินทร์ พิศสุวรรณ

Posted: 01 Sep 2013 09:53 PM PDT

ผมไม่ได้มาที่นี่ในนามพรรคประชาธิปัตย์ ผมมาของผมเอง

2 ก.ย. 56, รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตเลขาธิการอาเซียน กล่าวก่อนแลกเปลี่ยนในฐานะผู้ฟังในเวที "ผนึกกำลังสู่อนาคต: เรียนรู้ร่วมกันจากประสบการณ์" ที่ ร.ร.พลาซ่า แอทธินี

เก็บความเวทีปาฐกถาพิเศษ “ผนึกกำลังสู่อนาคต: เรียนรู้ร่วมกันจากประสบการณ์”

Posted: 01 Sep 2013 09:19 PM PDT

โทนี แบลร์แนะปรองดองเริ่มจากคนที่คุยกันเป็นส่วนตัวได้ และระวังเรื่องภาษาที่ใช้ ควรแสดงความเห็นใจฝ่ายตรงข้าม ผู้เชี่ยวชาญด้านกระบวนการยุติธรรมเปลี่ยนผ่านระบุ การปรองดองต้องไม่ปิดบังความแตกต่าง

โทนี แบลร์ อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ กล่าวในการปาฐกถาพิเศษ "ผนึกกำลังสู่อนาคต: เรียนรู้ร่วมกันจากประสบการณ์" ว่าประชาธิปไตยนั้นไม่ได้หมายถึงเพียงรูปแบบคือการเลือกตั้ง แล้วเสียงข้างมากสามารถควบคุมได้ทั้งหมด หากแต่ต้องเปิดพื้นที่ให้กับเสียงส่วนน้อย และต้องมีนิติธรรม โดยสิ่งสำคัญที่ทำให้เกิดนิติธรรมคือความเป็นอิสระของตุลาการ ขณะที่การปรองดองนั้นก็ไม่ได้มีเพียงมิติทางการเมือง หน้าที่หนึ่งของรัฐบาลที่จะทำให้เกิดการปรองดองก็คือ การบริหารให้เกิดสิ่งที่ดีขึ้น ให้ประชาชนรู้สึกได้ว่ารัฐบาลกำลังนำพาประเทศให้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี

โทนี แบลร์ เสนอเพิ่มเติมสองประเด็นสำหรับแนวทางการปรองดอง คือ ต้องมีคนที่จะเสวนากันได้อย่างตรงไปตรงมา ต้องหาคนหลักๆ ทีจะเจรจากันอย่างเป็นส่วนตัว ในงานเจรจาปรองดองทุกครั้งที่เขาทำงานต้องมีคนหลักๆ ที่มาสร้างความสัมพันธ์ในระดับส่วนตัวกัน

สอง ภาษาที่ใช้ เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งจะทำให้เห็นว่าคุณละเอียดอ่อนหรือดื้อดึง ต้องใช้ภาษาที่แสดงความเห็นอกเห็นใจอีกฝ่ายหนึ่งด้วย

เขากล่าวถึงการแก้ปัญหาความขัดแย้งกับไอร์แลนด์ว่า เขายอมรับอย่างซื่อสัตย์ว่ารัฐบาลอังกฤษในอดีตล้มเหลว ฉะนั้นรัฐบาลต้องพยายามลองนึกดูว่าถ้าเป็นอีกฝ่ายหนึ่งจะทำอย่างไร ต้องการอะไร และอีกฝ่ายต้องยอมที่จะคิดและยื่นมือเข้าร่วม นอกจากนี้ประชาชนต้องสามารถเข้าร่วม

จากประสบการณ์ของเขาต่อความขัดแยงกับที่แก้ปัญหาลงได้ในรัฐบาลของเขา คือ ต้องมีความสำพันธ์ในระดับส่วนตัวกับผู้นำของคู่ขัดแย้งและสร้างสภาวะแวดล้อมที่ความมั่นคง และทำให้คนผ่อนคลายเพียงพอที่จะยอมรับ และทำให้คนรู้สึกว่าไม่ได้มีนอกมีในหรือมีวาระซ่อนเร้น และเริ่มพูดคุยจากประเด็นที่ไม่ใช่ประเด็นโดยตรงเกี่ยวกับความขัดแย้ง แต่ต้องมีข้อตกลงร่วมกันบางอย่างในกรณีที่พอจะพูดกันได้ เช่น การพัฒนาการศึกษา และการพัฒนาเศรษฐกิจ เรียกว่าเป็นการตั้งหัวสะพานไปสู่การเจรจากันต่อไป

ผู้ปาฐกถาคนต่อมาได้แก่ นายมาร์ตี อาห์ติซารี อดีตประธานาธิบดีฟินแลนด์ ผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ เมื่อปี 2551 และเป็นผู้มีส่วนสำคัญในกระบวนการเจรจาสันติภาพในโคโซโว ผู้ก่อตั้งและประธาน Crisis Management Initiative (CMI) ที่เน้นการแก้ข้อพิพาททางสันติวิธี และเป็นหัวหน้าคณะไกล่เกลี่ยในกระบวนการสันติภาพระหว่างรัฐบาลอินโดนีเซียและกลุ่มเคลื่อนไหวเพื่ออิสรภาพของอาเจะห์ (Free Aceh Movement)

อดีตประธานาธิบดีฟินแลนด์ กล่าวถึงประสบการณ์การปรองดองในนามิเบียว่า แม้ในแต่ละการปรองดองจะเกิดขึ้นในสถานการณ์ต่างๆ กัน แต่ความท้าทายนั้นเหมือนกัน โดยยกกรณีนามิเบียว่าในกระบวนการปรองดองไม่ได้มีเพียงเรื่องการเมือง แต่มีเรื่องขิงสิทธิมนุษยชนด้วย ขณะนี้นามิเบียมีความเป็นประชาธิปไตยและประชาชนเคารพในกันและกัน การพัฒนาเศรษฐกิจ ธรรมาภิบาล สิทธิมนุษยชน และทรัพยากรมนุษย์อย่างยั่งยืนด้วย ซึ่งกรณีของนามิเบียทำได้ดี
กรณีของนามิเบียได้รับความช่วยเหลืออย่างดีจากสหรัฐ สหภาพยุโรป และหน่วยงานระดับโลก ที่ร่วมกันหาทางออกอย่างยั่งยืน

กรณีของอาเจะห์ซึ่งเขาได้มีส่วนร่วมอย่างสำคัญ รวมถึงการใช้เมืองเฮลซิกิ เป็นพื้นที่เจรจาสันติภาพ บทเรียนที่สำคัญมากจากอาเจะห์คือ ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ทำตามสัญญา การปรองดองจะไม่เกิดขึ้นได้เลย สิ่งที่สำคัญคือ ต้องทำตามสัญญาและต้องยอมบางอย่างเพื่อให้เกิดการปรองดองแม้จะมีบางอย่างที่เป็นไปไม่ได้อย่างที่ต้องการระหว่างการเจรจา ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบในสังคมที่เปราะบางแต่ความรับผิดชอบของผู้นำยิ่งสูงขึ้นยิ่งกว่า การปรองดองจะเกิดได้ถ้าแต่ละพรรคมีความมุ่งมันอย่างแท้จริง

กรณีโคโซโว ขณะนี้มีรัฐธรรมนูญใหม่แล้ว และมีการตั้งศาลรัฐธรรมนูญซึ่งสำคัญมากในการปกป้องรัฐธรรมนูญโคโซโว เช่นเดียวกันกับกรณีนามิเบีย การที่จะเดินทางสู่สันติภาพและความสงบนั้นไม่ราบเรียบ มีการเสียชีวิตมากถึงหมื่นสามพันคน

การปรองดองทุกสถานการณ์ ความไว้วางใจซึ่งกันและกันเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ตามที่คอป. ชี้ให้เห็นแล้วว่าสิ่งที่สำคัญคือกระบวนการ และความไว้วางใจความไว้เนื้อเชื่อใจคือการให้เครื่องมือแก่ประชาชนที่จะสร้างอนาคตตัวเองได้ ผู้นำรัฐบาลต้องให้อำนาจทั้งเสียงส่วนใหญ่และส่วนน้อย  เปิดกว้างเพื่อร่วมกันหาทางแก้ปัญหา ความปรองดองสมานฉันท์ที่แท้อยู่ที่ประชาชน

การปรองดองไม่ใช่การลืม แต่ต้องเคารพการจำที่แตกต่างกัน และยอมรับในความแตกต่าง และไม่ใช่เพียงการยอมรับในอดีต แต่ต้องสร้างอนาคตร่วมกัน

การปรองดองอาจจะไม่ได้แก้ปัญหาได้ทุกอย่าง กรณีฟินแลนด์เองก็ยังเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจ  เขากล่าวว่าผู้นำรัฐบาลจะต้องมุ่งมันทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง และแม้จะไม่ไว้วางใจกันมาเป็นสิบๆ ปี แต่การปรองดองก็เกิดขึ้นได้ แต่ต้องมีความมุ่งมั่นตั้งใจเพื่อสร้างอนาคต และพึงระลึกว่า เราสามารถเริ่มใหม่ได้ตลอดเวลา

พริสซิลลา เฮเนอร์ ที่ปรึกษาอาวุโสของ Centre for Humanitarian Dialogue หรือ HDC ผู้เชี่ยวชาญด้านความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน กล่าวว่าในการปรองดอง มีเรื่องของการจัดลำดับความสำคัญ กรณีของประเทศไทยนั้นเห็นได้ชัดว่าการสมานฉันท์นั้นได้ดำเนินมาหลายปีตั้งแต่รัฐบาลก่อนหน้า แต่ต้องพยายามมากกว่านี้ แต่ที่ไม่กระจ่างคือ อะไรคือความสมานฉันท์ปรองดอง เราพูดในความหมายเดียวกันหรือไม่ จากประสบการณ์เธอพบว่าคำนี้บางครั้งจะให้ความหมายแตกต่างกัน บางครั้งเราไม่ตระหนักรู้ในการใช่คำๆ เดียวกันแต่ความหมายต่างกัน

เธอกล่าวถึงกรณีของอียิปต์ ว่าบางช่วงทหารยึดเมืองโดยและอ้างว่าฝ่ายตรงข้ามมีเวลา 48 ชม. ที่จะเข้ามาร่วมปรองดอง ซึ่งนี่คือการข่มขู่ไม่ใช่การปรองดอง

กรณีของรวันดา รัฐบาลใหม่ที่ออกมาแบนเอกสารเกี่ยวกับความขัดแย้งของสองชาติพันธุ์ใหญ่ซึงเธอเห็นว่าเป็นอุปสรรคต่อการปรองดอง ฉะนั้น  การจะปรองดองได้ต้องไม่เป็นการปิดบังในการเปิดเผยถึงรากเหง้าของความขัดแย้ง การปรองดองไม่ใช่เรื่องการบังคับขู่เข็ญ และไม่ใช่เรื่องการปกปิดความแตกต่าง

ตัวอย่างที่ดีที่สุดจากทั่วโลกคือการเน้นเรื่องกระบวนการมากกว่าผลลัพธ์ ที่อาจจะเป็นไปได้คือ การปรองดองอาจจะไม่ได้ไปสู่จุดหมาย แต่เป็นทางเดินที่ต้องมุ่งมั่นอุตสาหะ และขึ้นกับความคิดสร้างสรรค์ ความคิดริเริ่ม เป็นเรื่องที่ขึ้นกับบริบทวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ ไม่สามารถนำเข้าความคิดจากภายนอกได้

ทั้งนี้การปรองดองที่มีวาระซ่อนเร้น ไม่อาจะบรรลุเป้าหมายได้ การปรองดองไม่ชาการหลอกฝ่ายตรงข้ามเพื่อบรรลุความต้องการทางการเมือง ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่เห็นได้บ่อยครั้งในหลายๆ กรณี ต้องสร้างจดยืนร่วมกัน การปรองดองรีบเร่งไม่ได้ แต่ต้องมีความเคารพและเอาใจใสต้อการสื่อสาร รับฟังและการก้าวข้ามฝ่ายที่แตกต่างกัน

กระบวนการไม่ใช่ไม่สำคัญ แต่กระบวนการเช่น การให้อภัย หรือการพัฒนาทางเศรษฐกิจ คอป. ได้เสนอหลายข้อและควรจะนำมาพิจารณา สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือกรณีที่สถาบันพระปกเปล้าและรายงานของภาคประชาชนทีเกี่ยวข้องล้วนมีข้อเสนอแนะ ซึ่งควรนำมาพิจารณา

เธอกล่าวถึงกรณีการนิรโทษกรรม โดยยกกรณีตัวอย่างอาร์เจนตินา ว่าอาจจะผิดพลาดได้หากตีความแคบเกินไป ไปใช้แนวทางสากลมากเกินไปเพราะอาจจะไม่สามารถนำมาใช้ได้ในบริบทภายในประเทศซึ่งอาจมีลักษณะเฉพาะ การนิรโทษกรรมต้องมีความเคารพผู้ประสบเคราะห์ ไม่ควรมองว่าเป็นไปเพื่อจุดหมายทางการเมือง ควรมีกระบวนการเสวนาเพื่อสร้างแนวทางนิรโทษกรรมและคิดต่อไปว่า การนิรโทษกรรมจะมีกระบวนการต่อไปอย่างไร นิรโทษกรรมอาจจะไม่ลงโทษอาชญากรรมบางอย่างแต่ต้องไม่ละเลยที่จะศึกษาว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง

การปรองดองนั้น ควรจะมีหลักการประชาธิปไตยรองรับอยู่ และแม้จะพรรคต่างๆ จะมีแนวทางแก้ปัญหาที่แตกต่างกันต่อการแก้ปัญหาของประเทศ แต่เราควรปล่อยให้มีการสานเสวนากัน เคารพความคิดที่แตกต่างกัน ให้พื้นที่ในการพูดคุย ล็อบบี้ หรือถกเถียงและมีธรรมาภิบาลที่ดี แต่ใจกลางความขัดแย่งทางการเมืองต้องมีความยอมรับว่าจะต้องให้ประชาธิปไตยนำพาไป เพื่อประโยชน์ของประเทศ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น