โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันพุธที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2556

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

สภาฯ มติ 316 ต่อ 3 เปิดกว้าง ม.5 'พี่-น้อง-ผัว-เมีย-พ่อ-แม่-ลูก' สมัคร ส.ว.

Posted: 04 Sep 2013 02:50 PM PDT

มติสภาฯ ผ่านฉลุย  316 ต่อ 3 ประเด็นที่มาของ ส.ว. มาตรา 5 เรื่องคุณสมบัติต้องห้าม ผลปิดกว้าง ไม่ได้จำกัดห้ามความเป็นคู่สมรส บุตร บุพการี หรือเครือญาติ รวมถึงไม่ห้าม ส.ส. ส.ว.ต้องเว้นวรรคการลงสมัครติดต่อกัน 

4 ก.ย.57  ทีมข่าวการเมืองไทยรัฐออนไลน์ รายงานว่า เวลา 22.10 น. ที่รัฐสภา ในการประชุมร่วมรัฐสภา ประเด็นที่มาของ ส.ว. มาตรา 5 เรื่องคุณสมบัติต้องห้ามของ ส.ว. นั้น ที่ประชุมมีมติเห็นชอบตามการแก้ไขของคณะกรรมาธิการฯ ด้วยคะแนน 316 ต่อ 3 งดออกเสียง 6 ไม่ลงคะแนน 13 ส่งผลให้คุณสมบัติของผู้ที่จะลงสมัครเป็นส.ว. เปิดกว้าง ไม่ได้จำกัดห้ามความเป็นคู่สมรส บุตร บุพการี หรือเครือญาติ รวมถึงไม่ห้าม ส.ส. ส.ว.ต้องเว้นวรรคการลงสมัครติดต่อกัน จากนั้นได้สั่งปิดประชุมเวลา 22.25 น.
 
'สุเทพ' ชี้ทำกฎหมายพิเศษเพื่อให้สิทธิแก่พ่อ-แม่-ลูก-เมียตัวเอง
 
วันเดียวกัน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า การแก้ไขมาตรา 5 โดยให้บุพการี คู่สมรส ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่พ้นจากตำแหน่งไม่ถึง 5 ปี มาลงสมัคร ส.ว.ได้ ถือว่า มีเล่ห์เหลี่ยม มีเจตนาไม่บริสุทธิ์ มีผลประโยชน์แอบแฝง รับไม่ได้กับเนื้อหา ที่เปิดโอกาสให้พรรคการเมืองมาครอบงำรัฐสภา ทั้งสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา ทำให้องค์กรอิสระถูกแทรกแซง ไม่สามารถตรวจสอบฝ่ายบริหารได้ 
 
กรรมาธิการฯชุดนี้ ทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 3 ที่ระบุว่า การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา ต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม ไม่เคยเห็นกรรมาธิการฯชุดไหน ทำผิดคุณธรรมจริยธรรม เหมือนกรรมาธิการฯชุดนี้ ยางอายไม่มี เพราะทำกฎหมายพิเศษเพื่อให้สิทธิแก่พ่อ-แม่-ลูก-เมียตัวเอง สมควรถูกประณาม เป็นผลประโยชน์ทับซ้อนของจริง ยืนยัน จะต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญทุกวิถีทาง เป็นไงเป็นกัน และเป็นภารกิจที่คนไทยทุกคน ต้องร่วมกันต่อต้าน เพราะสิ่งที่ทำเป็นเรื่องสิ้นคิด 
 
กรรมาธิการฯ สวนไม่มีลูกหรือพี่น้อง อยู่ในรัฐสภา
นายสามารถ แก้วมีชัย ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานกรรมาธิการฯ อภิปรายว่า ตนไม่มีลูกหรือพี่น้อง อยู่ในรัฐสภา ทุกอย่างที่แก้ไขกรรมาธิการฯ ยึดหลักเหตุผล เพราะเมื่อคืนอำนาจให้ประชาชนเลือก ส.ว.แล้ว คงไม่ต้องตั้งเงื่อนไข ไปตัดสิทธิผู้ใด แต่ให้เป็นเรื่องที่ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน ยืนยันว่า กรรมาธิการฯไม่ใช่เครื่องมือของใคร อย่างไรก็ตาม กรรมาธิการฯพร้อมพิจารณาทบทวนเนื้อหาเรื่องการตัดสิทธิการลงสมัคร หากมีเสียงท้วงติง แต่ขอฟังเหตุผลให้รอบด้านก่อน.
 
 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

AI วอนกัมพูชาปล่อยตัว 'ยอม บุปผา' นักปกป้องสิทธิที่อยู่อาศัย

Posted: 04 Sep 2013 01:46 PM PDT

 
4 ก.ย.56 แอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนล แถลงเรียกร้องให้ทางการกัมพูชาปล่อยตัว ยอม บุปผา (Yorm Bopha) นักปกป้องสิทธิมนุษยชนชาวกัมพูชาทันที  หลังจากที่ถูกสั่งคุมขังด้วยข้อหาที่คลุมเครือเมื่อปีที่แล้ว
 
ยอม บุปผา อายุ 30 ปี เป็นคุณแม่ลูกหนึ่ง เธอทำงานเพื่อปกป้องสิทธิด้านที่อยู่อาศัยของชุมชน และถูกจับกุมเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2555 ต่อมาถูกตัดสินจำคุกสามปี โดยการไต่สวนที่ไม่เป็นธรรมเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว
 
อิสเบล อาร์ราดอน (Isabelle Arradon) รองผู้อำนวยการภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเปิดเผยว่า แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลให้การรับรองยอมเป็นนักโทษด้านความคิด เธอถูกจองจำเพียงเพราะการเคลื่อนไหวอย่างสงบและการปกป้องสิทธิของสมาชิกในชุมชนที่ต้องสูญเสียถิ่นฐานบ้านเรือนเนื่องจากการไล่รื้อ จึงเรียกร้องให้ทางการกัมพูชาต้องปล่อยตัวเธอทันทีและอย่างไม่มีเงื่อนไข
 
กัมพูชาอยู่ในสภาพตึงเครียดทางการเมือง ภายหลังการเลือกตั้งที่เต็มไปด้วยข้อพิพาทเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2556 โดยทั้งพรรครัฐบาลหรือพรรคประชาชนกัมพูชา (Cambodian People's Party) และพรรคฝ่ายค้านหรือพรรคกู้ชาติ (Cambodia National Rescue Party) ต่างอ้างว่ามีชัยชนะในการเลือกตั้ง
 
"เราต้องไม่ลืมยอม บุปผา แม้จะเกิดการชะงักงันทางการเมืองในปัจจุบัน กรณีของเธอและชุมชนเป็นภาพสะท้อนปัญหาที่นำไปสู่ความไม่พึงพอใจที่เพิ่มมากขึ้นในกัมพูชา ทั้งในแง่การพัฒนาที่ไม่เท่าเทียม ข้อพิพาทด้านที่ดินและการไล่รื้อ รวมทั้งระบบยุติธรรมที่ไม่สามารถคุ้มครองสิทธิของคนยากจน และยังถูกใช้เพื่อปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความเห็น" อาร์ราดอนกล่าว
 
ก่อนหน้านี้ยอม บุปผาได้รณรงค์อย่างเข้มแข็งเพื่อสิทธิของชุมชนของเธอ ในบริเวณที่เคยเป็นทะเลสาบบึงแขก (Boeung Kak Lake) ในกรุงพนมเปญ เมืองหลวง โดยมีการไล่รื้อบ้านเรือนของประชาชนหลายพันคนออกจากที่ดินผืนดังกล่าว ภายหลังมีบริษัทเอกชนเข้ามาเช่าซื้อตั้งแต่เมื่อปี 2550
 
เธอมีบทบาทเป็นแกนนำการณรงค์เพื่อให้ปล่อยตัวนักกิจกรรมที่เป็นผู้หญิง 13 คน หรือที่เรียกว่ากลุ่ม "บึงแขก 13" เนื่องจากพวกเธอได้ถูกตัดสินลงโทษจำคุกคนละมากถึงสองปีครึ่งเมื่อเดือนพฤษภาคม 2555 หลังจากเข้าร่วมการชุมนุมประท้วงอย่างสงบ
 
ยอม บุปผาถูกกล่าวหาว่าวางแผนทำร้ายผู้ชายสองคนเมื่อเดือนสิงหาคม 2555 และถูกตัดสินลงโทษเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ในข้อหา "ใช้กำลังประทุษร้ายอย่างจงใจ"
 
แต่พยานซึ่งให้ปากคำในระหว่างการไต่สวน ให้ข้อมูลที่ไม่สอดคล้องกัน และบางทีก็ขัดแย้งกันเอง และในระหว่างที่เกิดเหตุตามข้อกล่าวหา พยานบางคนอยู่ในสภาพมึนเมาอย่างเห็นได้ชัด
 
แม้ว่าในการไต่สวนชั้นอุทธรณ์ในเดือนมิถุนายน 2556 จะยังมีความลักลั่นของคำให้การเหล่านี้ แต่ศาลก็พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น โดยให้รอลงอาญาโทษจำคุกของยอม บุปผาหนึ่งปีจากสามปี
 
ที่ผ่านมายอม บุปผาได้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกา
 
 
"การขาดพยานหลักฐานที่ใช้เอาผิดยอม บุปผา ทำให้ไม่ยากที่จะสรุปว่า เธอได้ตกเป็นเป้าการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมของทางการ เธอเป็นเพียงหนึ่งในนักปกป้องสิทธิมนุษยชนอีกหลายคนที่ถูกคุกคาม ข่มขู่ ทำร้าย และถูกคุมขังในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลใหม่ที่อยู่ระหว่างการจัดตั้ง จะต้องยุติแนวโน้มที่น่ากังวลใจเหล่านี้โดยด่วน และประกันให้มีพื้นที่สำหรับนักกิจกรรมในแนวสันติที่จะปฏิบัติหน้าที่ที่สำคัญและชอบธรรมของตนในกัมพูชา" อาร์ราดอนกล่าว
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

P-move ขอนายกฯ เปิดเวทีเจรจาติดตามแก้ไขปัญหา 9 ก.ย.นี้

Posted: 04 Sep 2013 01:26 PM PDT

ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม ส่งหนังสือถึงนายกฯ ขอเปิดเวทีเจรจากับรัฐบาล 9 ก.ย. นี้ เพื่อติดตามการแก้ปัญหาตามบันทึกข้อตกลง ระบุปัญหาเขื่อนปากมูล ไม่ทำตามข้อตกลง

4 ก.ย.56 นายประยงค์   ดอกลำใย ที่ปรึกษาขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) หรือ P-move ออกหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพื่อขอให้รัฐบาลเปิดเวทีเจรจาเพื่อดำเนินการแก้ปัญหาตามบันทึกข้อตกลงที่ทำไว้เมื่อ  22 พ.ค.56 โดย ขปส.จะเดินทางมาติดตามความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาในวันที่ 9 ก.ย.56  ที่ทำเนียบรัฐบาล พร้อมทั้งขอเปิดการเจรจากับรัฐบาล เพื่อให้การแก้ไขปัญหาสามารถดำเนินการได้  เนื่องจาก เช่น กรณีการแก้ไขปัญหาเขื่อนปากมูล นั้นยังไม่มีการดำเนินการแก้ปัญหาตามข้อตกลง โดย ขปส. มีข้อเสนอด้วยว่า ให้รัฐบาลดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการฯ กรณทันทีปัญหาเขื่อนปากมูล ส่วน กรณีชุมชนพรสวรรค์ ให้รัฐบาลเร่งส่งมอบพื้นที่ เพื่อจัดทำโฉนดชุมชน โดยเร็ว และให้รัฐบาลมีคำสั่งในการคุ้มครอบพื้นที่ชุมชนพรสวรรค์ โดยมีคำสั่งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทันที

 

ที่ ขปส. ๑๐๘ /๒๕๕๖

วันที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๖

 

เรื่อง    การติดตาม และเร่งรัด การดำเนินการแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) ตามบันทึกข้อตกลง MOU

กราบเรียน    ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี (นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร)

 

ตามที่รัฐบาลได้ลงนามใน บันทึกข้อตกลง MOUในการร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) เมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๖ นั้น

บัดนี้ เวลาได้ล่วงเลยผ่านมานานหลายเดือนแล้ว ก็ยังไม่มีความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาที่เป็นรูปธรรม ในขณะเดียวกันหลายกรณีปัญหาก็มีความรุนแรง และหลายกรณีปัญหาก็ขาดกลไกที่จะดำเนินการแก้ไขปัญหาเพื่อให้เป็นไปตาม MOU เช่น

๑.) กรณีชุมชนพรสวรรค์ ตำบลข่วงเปา อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นชุมชนที่อยู่ในระหว่างการส่งมอบพื้นที่เพื่อจัดทำโฉนดชุมชน อันเป็นกระบวนการและขั้นตอนของทางราชการ แต่ในวันนี้ ๖ สิงหาคม ๒๕๕๖ ศาลจังหวัดเชียงใหม่ ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา โดยศาลพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ นั่นคือการให้ชาวบ้านออกจากพื้นที่ ซึ่งจะนำมาสู่การ ไล่รื้อ ชุมชนต่อไป

๒.) กรณีการแก้ไขปัญหาเขื่อนปากมูล ซึ่งรัฐบาลได้มี มติ ครม.เมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๖ เห็นชอบตาม MOU โดยจะต้องมีการแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการแก้ไขปัญหาขึ้นหนึ่งคณะ แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีการดำเนินการใดเลย

ดังนั้น เพื่อให้การแก้ไขปัญหาของชาวบ้าน มีความชัดเจนเป็นไปตามบันทึกข้อตกลง (MOU) ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) จึงจำเป็นที่จะต้องเดินทางมาติดตามความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหา ในวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๕๖ ที่ทำเนียบรัฐบาล และเพื่อให้การแก้ไขปัญหาสามารถดำเนินการได้ ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) จึงขอเปิดการเจรจากับรัฐบาล โดยมีข้อเสนอ ดังนี้

๑.) กรณีเขื่อนปากมูล ให้รัฐบาลดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการ ฯ ทันที

๒.) กรณีชุมชนพรสวรรค์

    ๒.๑ ให้รัฐบาลเร่งส่งมอบพื้นที่ เพื่อจัดทำโฉนดชุมชน โดยเร็ว

   ๒.๒ ให้รัฐบาลมีคำสั่งในการคุ้มครอบพื้นที่ชุมชนพรสวรรค์ โดยมีคำสั่งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทันที

ดังนั้น เพื่อให้การแก้ไขปัญหา ตามข้อ ๑ และ ข้อ ๒ เป็นรูปธรรม ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) ขอให้รัฐบาลเปิดการเจรจาขึ้นในวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๕๖ นี้ ที่ทำเนียบรัฐบาล

 ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) หวังเป็นอย่างยิ่งจะได้รับความร่วมมือจาก รัฐบาลด้วยดีเช่นเคย

จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา

 

ขอแสดงความนับถือ

 

 

(นายประยงค์   ดอกลำใย)

ที่ปรึกษาขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ห้างสรรพสินค้ารู้ความลับของคุณได้อย่างไร?

Posted: 04 Sep 2013 11:23 AM PDT

ทุกวันนี้เราอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องปกติที่เราจะได้รับข้อมูลข่าวสารต่างๆ จากบริษัทเจ้าของสินค้าและบริการที่เราไปใช้ เช่น ส่งข้อความมาทางโทรศัพท์มือถือว่ามีโปรโมชั่นพิเศษสำหรับคุณที่ชื่นชอบรับประทานอาหารญี่ปุ่นโดยเฉพาะ หลายครั้งโฆษณาเหล่านี้ทำให้เรารู้สึกดีที่ได้รับสิทธิพิเศษบางอย่าง การแสดงความเข้าอกเข้าใจอาจจะทำให้ลูกค้าชื่นชอบในความเอาใจใส่ต่อความต้องการของพวกเขา แล้วหากไม่ใช่เพียงแค่เรื่องรสนิยมการกิน แต่บริษัทต่างๆ ยังรู้ว่าเราตั้งท้องลูกคนแรก หรือกำลังจะแต่งงาน เรายังยินดีอยู่หรือไม่

 


ภาพ Watching You Watching Me โดย Thomas Ogilvie (CC BY 2.0)

 


เมื่อปี 2012 หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ เผยแพร่บทความที่ชื่อว่า How Companies Learn Your Secrets โดยแสดงให้เห็นว่าห้างสรรพสินค้ารู้เรื่องราวของลูกค้าอย่างทะลุปรุโปร่งได้จากข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ได้ด้วยฝีมือของนักสถิติและนักการตลาด บทความนี้ช่วยทำให้เราซึ่งเป็นผู้บริโภคเข้าใจกระบวนการทำงานของการจัดเก็บข้อมูลเกี่ยวกับตัวเราในธุรกิจต่างๆ และตระหนักถึงความสำคัญของการเปิดเผยข้อมูลของเราว่ามันจะส่งผลอย่างไรต่อเราได้บ้าง


รู้ได้ยังไงว่าลูกสาวผมท้อง!
"ลูกสาวของผมได้จดหมายฉบับนี้ เธอยังเรียนมัธยมปลายอยู่เลย แล้วคุณส่งบัตรส่วนลดสำหรับซื้อเสื้อผ้าเด็ก และเตียงนอนเด็กมาได้ยังไง คุณกำลังส่งเสริมให้เธอมีลูกใช่ไหม" ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาหาผู้จัดการของห้างทาร์เก็ต (Target) พร้อมด้วยจดหมายที่จ่าหน้าถึงลูกสาวของเขา ในนั้นมีโฆษณาชุดคลุมท้อง ของใช้สำหรับเด็ก และภาพถ่ายของเด็กทารกที่กำลังยิ้ม ขณะนั้นผู้จัดการได้แต่ขอโทษเขา

หลายวันต่อมาชายคนนี้โทรศัพท์มาที่ห้างอีกครั้ง และบอกว่าเขาได้คุยกับลูกสาวแล้ว เขาจึงได้รู้ว่าลูกสาวมีกำหนดคลอดในเดือนสิงหาคม เขาต้องขอโทษผู้จัดการในเหตุการณ์เมื่อวันก่อนด้วย

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นผลจากการทำนายของแอนดรูว์ โพล (Andrew Pole) นักสถิติของห้างทาร์เก็ตที่พยายามตอบโจทย์ของฝ่ายการตลาดที่เดินเข้ามาถามว่า "ถ้าเราอยากจะรู้ว่าลูกค้าของเราท้องหรือเปล่า แม้ว่าเธอจะไม่อยากให้เรารู้ คุณจะหาคำตอบให้เราได้ไหม"

ด้วยเหตุที่แม้ว่าที่ห้างทาร์เก็ตจะขายของทุกอย่าง แต่คนมักจะไปซื้อของในร้านที่กระจัดกระจายมากกว่า เช่น ไปซื้อของเล่นในร้านของเล่น ซื้อของใช้ในร้านขายของชำ สิ่งที่ห้างต้องการก็คือ ลูกค้าซื้อสินค้าทั้งหมดในห้างเดียว และห้างนั้นก็ต้องเป็นทาร์เก็ต

โพลเริ่มต้นค้นหาคำตอบของเขาจากฐานข้อมูลลูกค้าที่ทาร์เก็ตเก็บไว้อยู่ ซึ่งมันก็มากพอที่จะทำให้เขาทำนายกำหนดคลอดของลูกค้าได้อย่างแม่นยำ


ใช้ข้อมูลเพื่อกระตุ้นยอดขาย
ความปรารถนาที่จะรวบรวมข้อมูลของลูกค้าไม่ใช่เรื่องใหม่ของทาร์เก็ต หลายสิบปีมาแล้วที่ทาร์เก็ตเก็บรวบรวมข้อมูลของลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการในห้าง ทุกครั้งเท่าที่เป็นไปได้ ทาร์เก็ตตั้งรหัสเฉพาะของลูกค้าแต่ละคนด้วยรหัสสมาชิก และเก็บบันทึกทุกอย่างที่พวกเขาซื้อ "เวลาที่คุณใช้บัตรเครดิต คูปองลดราคา ตอบแบบสอบถาม โทรศัพท์คุยกับเจ้าหน้าที่บริการลูกค้า เปิดอีเมล หรือเข้ามาดูเว็บไซต์ เราบันทึกทุกอย่างเอาไว้และเชื่อมโยงเข้ากับรหัสสมาชิก เราอยากจะรู้ให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้" โพลตอบ

นอกจากนี้ยังเชื่อมโยงกับข้อมูลทางประชากร เช่น อายุ สถานะสมรส การมีบุตร อยู่ส่วนไหนของเมือง ระยะทางจากบ้านมาถึงห้าง เงินเดือนโดยประมาณ ข้อมูลที่ว่าคุณเพิ่งย้ายมาอยู่แถวนี้ คุณพกบัตรเครดิตเจ้าไหนอยู่ในกระเป๋าบ้าง เว็บที่ชอบเข้าไปดู ทาร์เก็ตยังสามารถซื้อข้อมูลเกี่ยวกับชาติพันธุ์ของคุณ ประวัติการทำงาน นิตยสารที่คุณอ่าน ข้อมูลที่ว่าคุณเคยโดนฟ้องล้มละลาย ปีที่คุณซื้อบ้าน สถาบันที่คุณเรียนจบมา หัวข้อที่คุณชอบสนทนาบนโลกออนไลน์ กาแฟยี่ห้อไหนที่คุณชอบ ทัศนคติทางการเมือง นิสัยการอ่าน พฤติกรรมการทำบุญ หรือจำนวนรถยนต์ที่คุณครอบครอง ข้อมูลเหล่านี้มีความหมายเพราะในบริษัทค้าปลีกต่างก็มีแผนก "วิเคราะห์และทำนาย" ที่ไม่สนใจเฉพาะแค่พฤติกรรมการซื้อสินค้า แต่รวมถึงนิสัยส่วนตัวด้วย เพื่อประสิทธิผลทางการตลาดให้มากที่สุด

โดยปกติแล้วผู้บริโภคผ่านเหตุการณ์ครั้งสำคัญของชีวิตโดยที่ไม่ทันสังเกตหรือใส่ใจมากนักว่านิสัยการซื้อของเปลี่ยนไปด้วย แต่ผู้ค้าปลีกสังเกตเห็น และค่อนข้างจะใส่ใจด้วย เพราะในช่วงเวลาที่เปราะบางแบบนี้ นักการตลาดจะเข้าไปแทรกแซง ซึ่งหากโฆษณาได้ถูกเวลาแล้ว มันจะเปลี่ยนรูปแบบการซื้อสินค้าของผู้บริโภคไปได้อีกหลายปี

ในช่วงทศวรรษ 1980 คณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียแห่งลอสแองเจลลิส (UCLA) พบว่า เวลาที่คนเราซื้อของใช้พื้นฐานเช่น สบู่ ยาสีฟัน ยาสระผม คนส่วนมาก จะเป็นไปตามนิสัยที่เคยชิน ไม่มีกระบวนการตัดสินใจที่ซับซ้อนนักซึ่งทำให้นักการตลาดทำงานยาก แต่เมื่อลูกค้าก้าวเข้าสู่เหตุการณ์ใหญ่ๆ ในชีวิต เช่น เรียนจบ เริ่มงานใหม่ ย้ายบ้าน พฤติกรรมการซื้อสินค้าจะยืดหยุ่นกว่า และคาดการณ์ได้ง่ายกว่า เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาทองของนักการตลาดเลยทีเดียว พวกเขาพบว่า เวลาที่คนแต่งงาน พวกเขามีแนวโน้มที่จะซื้อกาแฟยี่ห้อใหม่ หรือเวลาที่ย้ายบ้าน ก็มักจะใช้โอกาสนี้ทดลองซีเรียลแบบใหม่ๆ

ท่ามกลางเหตุการณ์สำคัญของชีวิตมากมายนับไม่ถ้วน ไม่มีอะไรที่สำคัญไปกว่าการมาถึงของทารกแรกเกิด ช่วงนี้นิสัยของพ่อแม่มือใหม่จะยืดหยุ่นมากที่สุดในชีวิตของการเป็นผู้ใหญ่ หากว่าบริษัทการตลาดรู้ได้ว่าลูกค้าคนไหนตั้งครรภ์อยู่ พวกเขาจะมีรายได้มหาศาล ดังนั้น เวลาจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ด้วยความที่ข้อมูลเกี่ยวกับการสถิติการเกิดเปิดเผยต่อสาธารณะอยู่แล้ว ตอนที่ทารกคลอดออกมา พ่อแม่คู่ใหม่ก็มักจะได้รับข้อเสนอต่างๆ มากมายจากบริษัทต่างๆ นั่นหมายความว่ากุญแจสำคัญก็คือ เข้าถึงพวกเขาก่อนใคร ก่อนที่ผู้ค้าปลีกคนอื่นๆ จะรู้ว่าทารกกำลังจะออกมาลืมตาดูโลก

ปัญหาอยู่ตรงที่จะรู้ได้อย่างไรว่าลูกค้าคนใดตั้งครรภ์


ต่อจิ๊กซอว์จากชิ้นส่วนข้อมูลเล็กๆ
ทาร์เก็ตมีระบบลงทะเบียนสำหรับคุณแม่ที่จะจัดงานเลี้ยงรับขวัญลูก (baby shower) โพลเริ่มต้นจากตรงนี้ เขาสังเกตพฤติกรรมซื้อสินค้าของผู้หญิงที่เพิ่งมีลูกก่อนจะถึงวันงานว่ามีลักษณะอย่างไร ซึ่งพวกเธอที่ลงทะเบียนไว้ยินดีเปิดเผยข้อมูล โพลทดสอบหลายอย่าง เช่น เขาสังเกตว่าคนส่วนใหญ่ซื้อโลชั่น แต่ผู้หญิงที่ลงทะเบียนไว้ จะซื้อโลชั่นแบบไร้กลิ่นในปริมาณมาก และในช่วง 20 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ ผู้หญิงจะซื้ออาหารเสริมจำพวกแคลเซียม แมกนีเซียม สังกะสี ซื้อสบู่แบบปราศจากน้ำหอม สำลีก้อน

จากข้อมูลต่างๆ ที่อยู่ในคอมพิวเตอร์ โพลสามารถประมวลผลจากการซื้อสินค้า 25 ชนิด จนทำนายการตั้งครรภ์ของลูกค้าได้ เขายังประมาณการกำหนดคลอดได้ด้วย จากนั้นทาร์เก็ตก็จะส่งคูปองส่วนลดที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์โดยเฉพาะไปให้พวกเธอ

วิธีการของโพลชวนให้นึกถึงคำเตือนของแดเนียล โซโลฟ (Daniel Solove) ที่กล่าวว่า ความเป็นส่วนตัวมักจะถูกคุกคามไม่ใช่จากการกระทำที่ใหญ่โตเพียงครั้งเดียว แต่ยังมาจากการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ที่สัมพันธ์กัน ปัญหาเรื่องความเป็นส่วนตัวอาจเหมือนกับปัญหาสิ่งแวดล้อมซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป จากชุดการกระทำเล็กๆ ที่กระทำโดยผู้กระทำที่แตกต่างกันด้วย ถึงแม้ว่าจะดูเหมือนว่าสังคมมักจะตอบสนองต่อการแพร่กระจายของน้ำมัน มลพิษที่เพิ่มขึ้นทีละน้อย จากผู้กระทำจำนวนมากก็ทำให้ปัญหาแย่ลงได้

โซโลฟยังเตือนให้เราตระหนักถึงอันตรายของการรวบรวมข้อมูล ซึ่งเป็นการรวบรวมเอาชิ้นส่วนเล็กๆ ของข้อมูลที่ดูเหมือนจะไม่มีอันตรายไว้ด้วยกัน เขาอธิบายว่าเมื่อหยิบข้อมูลเหล่านี้มารวมกัน มันบอกเรื่องราวได้มากมาย จากการต่อชิ้นส่วนของข้อมูล ตัวอย่างเช่น สมมติว่าคุณซื้อหนังสือเกี่ยวกับโรคมะเร็ง การซื้อนี้ไม่ได้เปิดเผยตัวมันเอง มันเพียงแค่เป็นตัวชี้วัดถึงความสนใจต่อโรค สมมติว่าคุณซื้อวิกผม การซื้อวิกผมอาจจะมาจากหลายเหตุผล แต่การรวมข้อมูลสองอย่างนี้ไว้ด้วยกัน มันอาจจะทำให้เชื่อมโยงได้ว่าคุณเป็นมะเร็งและอยู่ในขั้นตอนทำคีโม


แนบเนียนจนคุณไม่รู้สึก
คำถามสำคัญที่อาจจะตามมาก็คือ แล้วผู้หญิงเหล่านั้นมีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อพวกเธอรู้ว่าทาร์เก็ตรู้ข้อมูลของพวกเธอมากมายขนาดนี้?

"พวกเราเป็นพวกอนุรักษนิยมมากๆ ในเรื่องที่เกี่ยวกับกฎหมายคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคล กระนั้นก็ตาม แม้เรายังปฏิบัติตามกฎหมายอยู่ เราก็ยังทำสิ่งที่ทำให้คนคลื่นไส้ได้เหมือนกัน" โพลกล่าว

พวกเขารู้ว่าการส่งเสริมการขายโดยตรงในกรณีของการตั้งครรภ์นั้นทำให้ผู้หญิงไม่พอใจ "พวกเราจึงผสมสินค้าอื่นๆ ลงไปในใบปลิวโฆษณาด้วย ซึ่งเป็นสินค้าที่ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ไม่ซื้อแน่นอน ด้วยเหตุนี้จึงดูราวกับว่าโฆษณาสินค้าสำหรับเด็กทารกเป็นสิ่งที่ไม่ตั้งใจ เช่น วางคูปองลดราคาแก้วไวน์ไว้ติดกับเสื้อผ้าเด็ก จนดูเหมือนว่าการจัดวางสินค้าเหล่านี้เป็นไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ

"แล้วเราก็พบว่า ตราบใดที่ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์คิดว่าตนเองไม่ได้ถูกจับตาดูอยู่ พวกเธอก็จะใช้คูปอง และคิดว่าคนอื่นๆ ก็คงจะได้แผ่นพับโฆษณาแบบเดียวกับเธอที่มีผ้าอ้อมและเตียงเด็กอยู่"

"เราจะส่งคูปองสำหรับสิ่งที่คุณต้องการ ก่อนที่คุณจะรู้ว่าตัวเองต้องการเสียอีก" นักสถิติของห้างสรรพสินค้าทิ้งท้ายไว้

 

 

หมายเหตุ
ข้อเขียนนี้เรียบเรียงจากบทความ How Companies Learn Your Secrets โดย Charles Duhigg ซึ่งสามารถเข้าไปอ่านอย่างละเอียดได้ที่
http://www.nytimes.com/2012/02/19/magazine/shopping-habits.html?pagewanted=all ในบทความนี้ผู้เขียนยังอธิบายเรื่องการทำงานของสมองกับพฤติกรรมการซื้อของมนุษย์ไว้อย่างละเอียดด้วย

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รอบโลกแรงงานสิงหาคม 2556

Posted: 04 Sep 2013 08:58 AM PDT

 
ตำรวจรัสเซียบุกโรงงานนรกจับแรงงานเวียดนาม 1,200 คน
 
1 ส.ค. 56 - ตำรวจรัสเซียบุกจับกุมตัวชาวเวียดนาม 1,200 คน ในการบุกจู่โจมโรงงานนรกแห่งหนึ่ง ทางตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงมอสโก ซึ่งมีแรงงานผิดกฎหมายอาศัยอยู่ในสภาพเสื่อมโทรมสกปรก โดยตำรวจรัสเซียกล่าวหลังจากปฏิบัติการเมื่อวันพุธว่า แรงงานเหล่านี้อาศัยอยู่ในสภาพที่ไม่ถูกสุขลักษณะกับครอบครัวของพวกเขา ซึ่งมีทั้งผู้หญิงตั้งครรภ์ และเด็กทารกที่ยังไม่หย่านม นอกจากนี้ ตำรวจยังพบผู้หญิงในสภาพได้รับบาดเจ็บรุนแรงจากการถูกมีดบาด ซึ่งไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมถูกวิธี
 
ด้านกระทรวงสถานการณ์ฉุกเฉิน ได้ตั้งเต็นท์ให้เป็นที่พักชั่วคราวของแรงงานอพยพเหล่านี้เมื่อวันพฤหัสบดี โดยมีเครื่องทำครัวพร้อมเพื่อให้พวกเขาได้ทำอาหารกินกัน
 
ตำรวจรัสเซียบุกกวาดล้างโรงงานนรก ซึ่งมีแรงงานอพยพจากเวียดนามและเอเชียกลางอาศัยอยู่ในสภาพที่น่ากลัว และถูกนายจ้างเอารัดเอาเปรียบ แต่ก็มีตำรวจรับสินบนจากแรงงานอพยพเหล่านี้เช่นกัน
 
 
พนักงานร้านเบอร์เกอร์คิงในญี่ปุ่นถูกไล่ออก หลังทวีตภาพตัวเองขณะนอนเล่นอยู่บนกองขนมปังเบอร์เกอร์
 
5 ส.ค. 56 - พนักงานร้านเบอร์เกอร์คิงในญี่ปุ่นถูกไล่ออก หลังทวีตภาพตัวเองขณะนอนเล่นอยู่บนกองขนมปังเบอร์เกอร์ ซึ่งเรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์รุนแรงจากชุมชนออนไลน์
       
ภายหลังพนักงานชาวญี่ปุ่นผู้นี้ได้ลบบัญชีทวิตเตอร์ของตนเอง ซึ่งมีภาพถ่ายอื่นๆ ของเขาในการทำท่าเล่นสนุกกับอุปกรณ์ในร้าน
       
"คุณคิดว่าผมทำเบอเกอร์กี่ชิ้น? ลองนับดูสิ" เป็นข้อความที่เขาเขียนบรรยายรูปของเขาที่บัญชี@inotayuta
       
นอกจากพฤติกรรมสุดห่าม รูปถ่ายถังสกปรกที่วางอยู่ข้างๆ พนักงานคนนี้ยังก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในเว็บบอร์ด 2ch ซึ่งเป็นกระดานสนทนาออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น
       
เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ผู้คนมากมายเรียกร้องให้บริษัทลงโทษพนักงงานในรูป เนื่องจากญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ผู้บริโภคมีความคาดหวังสูงในแง่ของการบริการ และความสะอาดของอาหาร
       
เบอร์เกอร์คิงญี่ปุ่นออกแถลงการณ์ขออภัยสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว และชี้แจงว่าไม่ได้มีการจำหน่ายเบอร์เกอร์ในรูปให้แก่ลูกค้า และเบอร์เกอร์ในส่วนนั้นคือของที่ทางร้านเตรียมจะทิ้งอยู่แล้ว อย่างไรก็ดีทางบริษัทมีแผนที่จะอบรมพนักงานในเรื่องการบริการลูกค้าและความสะอาดของอาหารให้เข้มงวดยิ่งกว่านี้
 
คนงานอังกฤษ 1 ล้านคนได้ค่าจ้างเฉพาะชั่วโมงที่ทำเท่านั้น
 
5 ส.ค. 56 -ผลสำรวจพบว่า ชาวอังกฤษ 1 ล้านคนทำงานโดยไม่มีหลักประกันเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำหรือชั่วโมงการทำงาน โดยจะได้ค่าจ้างเฉพาะชั่วโมงที่ทำงานเท่านั้น หรือที่เรียกว่า สัญญาจ้างศูนย์ชั่วโมง ขณะที่สำนักงานสถิติของอังกฤษประเมินว่ามีเพียง 250,000 คน
 
สถาบัน CIPD ของอังกฤษ ซึ่งเป็นองค์กรใหญ่ด้านทรัพยากรมนุษย์ เผยผลการสำรวจกับนายจ้างกว่า 1,000 รายว่า คนงานชาวอังกฤษร้อยละ 3-4 หรือราว 1 ล้าน คนทำงานด้วยสัญญาจ้างศูนย์ชั่วโมง เป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทั้งที่ยุโรปส่วนใหญ่และสหรัฐแทบไม่มีการจ้างงานแบบนี้ สะท้อนว่าเศรษฐกิจอังกฤษไม่สามารถจ้างงานคนได้เพียงพอ
 
ตัวเลขนี้ต่างจากที่สำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษเพิ่งประกาศเมื่อสัปดาห์ก่อน แก้ไขตัวเลขชาวอังกฤษทำงานด้วยสัญญาจ้างศูนย์ชั่วโมงจาก 200,000 คน เป็น 250,000 คน โดยออกตัวว่าตัวเลขที่แท้จริงอาจมากกว่านี้ เพราะไม่ได้สอบถามผู้ทำงานเป็นกะว่าทำงานด้วยสัญญาแบบนี้หรือไม่
 
พนักงานลาคอสต์ถูกไล่ออก หลังจากโพสต์รูปภาพสลิปเงินเดือนที่ไม่พอเลี้ยงดูครอบครัวได้
 
เวด กลูม พนักงานชายของลาคอสต์ ธุรกิจขายเครื่องแต่งกายชื่อดัง ถูกบริษัทไล่ออกหลังจากที่โพสต์ภาพสลิปเงินเดือนลงในอินสตาแกรม พร้อมกล่าว เงินเดือนที่ได้รับไม่เพียงพอกับการเลี้ยงดูอดีตภรรยา และลูกแฝดวัย 4 ปี
 
พนักงานขายชายแบรนด์ชั้นนำ กล่าวว่า ตอนที่โพสต์รูปสลิปเงินเดือนระยะไกลนั้นเพียงแค่ต้องการแสดงความรู้สึกท้อแท้กับค่าครองชีพที่สูงลิ่วในนิวยอร์ก
 
"ผมได้เงินจากค่าขายเสื้อสัปดาห์ละ 1,500 เหรียญสหรัฐ (ราว 4.5 หมื่นบาท) แต่ผมไม่สามารถให้ลูกมีชีวิตที่ดีขึ้นได้ แม้ว่าผมจะทำงานหนักแค่ไหนก็ตาม" กลูม กล่าว พร้อมระบุว่า ได้ค่าจ้าง 15 เหรียญสหรัฐต่อหนึ่งชั่วโมง และได้ค่าคอมมิชชั่นเพียง 3% ในช่วงการทำงานสามเดือนที่ผ่านมา
 
หลังจากที่โพสต์สลิปเงินเดือนดังกล่าวเพียง 2 สัปดาห์ ส่งผลให้ผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคลแจ้งกับกลูมว่า บริษัทไล่ออก เนื่องจาก รูปดังกล่าวขัดกับข้อตกลงการรักษาความลับของบริษัท
 
ทั้งนี้ กลูมยังคงย้ำว่า  ภาพที่ถ่ายเป็นภาพระยะไกลที่ไม่สามารถมองเห็นตัวเลขบนสลิปได้ พร้อมบอกว่า ลาคอสต์เข้าใจสถานการณ์นี้ผิด
 
จำคุกสตรีสิงคโปร์ทำร้ายร่างกายแม่บ้านอินโดนีเซีย
 
7 ส.ค. 56 - สตรีชาวสิงคโปร์คนหนึ่ง ถูกลงโทษจำคุก 21 เดือนในวันนี้ ฐานทำร้ายร่างกายแม่บ้านชาวอินโดนีเซีย ด้วยการโจมตีที่ผู้พิพากษาระบุว่า เป็นการกระทำที่น่ารังเกียจต่อเพื่อนมนุษย์ โดยผู้พิพากษาโลว์ วี ปิง กล่าวว่า การลงโทษอย่างรุนแรงของนางชาน เฮย์ เฟิร์น ที่กระทำต่อแม่บ้านของเธอ เป็นหนึ่งในคดีที่ สร้างความเศร้าใจอย่างที่สุด ในคดีทำร้ายร่างกายแม่บ้านในสิงคโปร์
 
"นางชาน เฮย์ เฟิร์น ถูกลงโทษจำคุก 21 เดือนในวันนี้" โฆษกหญิงของศาลกล่าว
 
สื่อท้องถิ่น รายงานว่า นางชาน วัย 32 ปี ถูกดำเนินคดีใน 5 คดี ฐานทำร้ายร่างกายแม่บ้าน และว่าการกระทำความผิดเกิดขึ้นในเดือน ธ.ค. 2553 โดยในช่วงกลางเดือนธ.ค. นางชานได้ต่อยแม่บ้านชาวอินโดนีเซีย วัย 25 ปีเข้าที่เป้าตา เมื่อเธอรู้สึกห่วงขณะเลี้ยงลูก 2 คนของนางชาน ในอีก 12 วันต่อมา แม่บ้านผู้นี้กล่าวว่า นางชานโจมตีเธออีกที่ไม่ตรวจอุณหภูมิของลูกชายของเธอ โดยจับศีรษะเธอโขกกับประตูห้องน้ำ และเตะเข้าที่อวัยวะเพศของเธอ จากนั้นในวันที่ 31 ธ.ค.ปีเดียวกัน นางชานก็ทำร้ายเธออีก
 
ยืนยันคนงานเชือดไก่ติดเชื้อไข้หวัดนก
 
13 ส.ค. 56 - สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 11 ส.ค.ว่า กรมสาธารณสุขรัฐกวางตุ้ง แถลงว่า หญิงวัย 51 ปี อาชีพคนงานเชือดไก่ อยู่ที่ตลาดท้องถิ่นแห่งหนึ่ง มีอาการป่วยหนักหลังถูกนำส่งโรงพยาบาลในมณฑลกวางตุ้ง เมื่อวันที่ 3 ส.ค.ที่ผ่านมา เพราะมีอาการไข้ขึ้นสูง โดยผลการตรวจยืนยันได้แล้วว่า หญิงผู้นี้ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดนก สายพันธุ์ใหม่ เอช7เอ็น9
 
ขณะนี้มีผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสไข้หวัดนกสายพันธุ์ เอช7เอ็น9 ทั้งหมด 134 รายในจีนแผ่นดินใหญ่รวมทั้งในมณฑลกวางตุ้ง
 
สำนักข่าวซินหัวของจีนรายงานด้วยว่า มีผู้เสียชีวิตไปแล้ว 44 รายด้วยโรคไข้หวัดนกสายพันธุ์ เอช7เอ็น9 และ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นักวิทยาศาสตร์ยืนยันแล้วว่า มีการติดเชื้อโดยตรงกันได้ระหว่างคนสู่คน แต่ก็เตือนประชาชนว่าอย่าเพิ่งตื่นตระหนก เพราะการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสยังอยู่ในวงจำกัดและอยู่ได้ไม่นาน
 
บราซิลเรียกค่าเสียหาย ซัมซุง ใช้แรงงานเยี่ยงทาส
 
14 ส.ค. 56 - ศาลเมืองมาเนาส์ ของบราซิล ตัดสินโทษ บ.ซัมซุง ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ของเกาหลีใต้ จากกรณีใช้แรงงานเกินชั่วโมงการทำงาน และให้ทำงานเป็นกะโดยไม่เวลาช่วงพักผ่อนที่เพียงพอ โดยให้คนงานคนหนึ่งต้องบรรจุโทรศัพท์ลงกล่องให้ได้ราว 3,000 เครื่องต่อวัน ด้านซัมซุงเตรียมฟ้องกลับ และจะตรวจสอบกระบวนการผลิตทั้งหมด โดยเชื่อว่าบริษัมสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานตามมาตรฐานสูงสุด เพื่อสุขภาพ ความปลอดภัย และเน้นเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของพนักงานทุกคน
 
จากข้อมูลที่อัยการได้รับ ระบุว่า คนงานต้องทำงานถึง 15 ชั่วโมง และ 10 ชั่วโมงเป็นการยืน ซึ่งทำให้ปวดหลัง บางครั้งทำงานติดต่อกันถึงเดือนละ 27 วัน พร้อมกำหนดให้คนงานต้องประกอบโทรศัพท์ให้เสร็จภายใน 32 วินาที และประกอบโทรทัศน์ให้เสร็จภายใน 65 วินาที ส่งผลพนักงานเกิดความเครียด ทำให้รัฐบาลต้องยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายทางศีลธรรมในลักษณะกลุ่มจากซัมซุงจำนวน 250 ล้านเรอัล (ราว 3,437.50 ล้านบาท) นอกจากนี้ยังมีคนงานอีก 1,200 ราย ยื่นฟ้องซัมซุงในโทษฐานเดียวกัน
 
สำหรับโรงงานมาเนาส์ ของซัมซุงที่ตั้งอยู่ในเขตอุตสาหกรรมเสรีมาเนาส์ ถือเป็นฐานใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของซัมซุงจากโรงงานทั้งหมด 25 แห่งทั่วโลก มีคนงาน 6,000 คน
 
สหภาพแรงงานฮุนได-เกีย กว่า 45,000 คน ลงมตินัดหยุดงานประท้วงขึ้นค่าแรง
 
14 ส.ค. 56 - สหภาพแรงงานที่เป็นตัวแทนของพนักงานบริษัท ฮุนได มอเตอร์ และ เกีย มอเตอร์ ได้ลงมตินัดหยุดงานประท้วง หลังจากการเจรจากับฝ่ายบริหารเรื่องการปรับค่าจ้างและสวัสดิการไม่เป็นผล
 
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นเพียงหนึ่งปี หลังจากคนงานของฮุนได เคยนัดหยุดงานเป็นเวลา 4 เดือน ทำให้ฮุนไดต้องสูญเสียรายได้ไปกว่า 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
 
ทั้งนี้ การนัดหยุดงานครั้งนี้ ของกลุ่มสหภาพแรงงาน จำนวน 45,000 คน คาดว่าจะเริ่มขึ้นอย่างเร็วที่สุดในวันที่ 20 ส.ค.นี้ หลังจากพนักงานของฮุนได มอเตอร์ และเกีย มอเตอร์ ซึงเป็นกิจการในเครือ  มีมติหยุดงานเพื่อต้องการให้ขึ้นเงินเดือนและปรับปรุงสภาพการทำงาน
 
โดยข้อเสนอของสหภาพแรงงานของฮุนไดและเกีย อาทิ  ต้องการให้เพิ่มเงินเดือนอีก 130,500 วอน (ราว 3,680 บาท),  โบนัส 8 เดือน, การแบ่งปันผลกำไรสุทธิเมื่อปีที่แล้วร้อยละ 30 ให้แก่พนักงาน, การมอบเหรียญทองคำหนัก 56.25 กรัม ให้แก่พนักงานที่ทำงานมาครอบ 40 ปี และการจัดสรรเงินให้แก่พนักงานที่มีบุตรที่ไม่ได้เข้าเรียนในระดับวิทยาลัย รายละ 10 ล้านวอน (ราว 282,000 บาท)
 
นายควอน โอ-อิล โฆษกสหภาพแรงงาน เปิดเผยว่า กลุ่มไม่ต้องการก่อสไตรค์ แต่บริษัทกลับยอมรับการพิจารณาข้อเสนอหลังจากที่สหภาพประกาศการประท้วงแล้ว  โดยฮุนไดของเวลาในการพิจารณาข้อเรียกร้องทั้งหมดเป็นเวลา 6 วัน
 
ก่อนหน้านี้  คณะผู้บริหารของฮุนไดแจ้งว่า ทางบริษัทไม่สามารถทำตามความต้องการของสหภาพแรงงาน ในช่วงเวลาที่มีการแข่งขันสูง และตลาดในต่างประเทศเติบโตช้าลง  อีกทั้งรายได้ของบริษัทลดลง เพราะเสียส่วนแบ่งตลาดให้แก่คู่แข่งต่างชาติ  ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจในเกาหลีใต้และโลกกำลังอยู่ในช่วงซบเซา  โดยเกียขาดทุน 1.03 ล้านล้านวอนเมื่อปี 2012  แต่ในไตรมาสสองของปีนี้ ฮุนไดมีกำไรสุทธิตกลงไปร้อยละ 1.0  จากที่ปีก่อนหน้านี้ อยู่ที่ 2.52 ล้านล้านวอน
 
ผู้ผลิตเหล็กญี่ปุ่นพร้อมยอมรับคำตัดสินศาลเกาหลีใต้กรณีแรงงานทาส
 
18 ส.ค. 56 - สื่อญี่ปุ่นรายงานว่า บริษัท นิปปอน สตีล ผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ของประเทศพร้อมยอมรับคำตัดสินของศาลเกาหลีใต้และยินยอมจ่ายเงินชดเชย หากแพ้คดีแรงงานทาสสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
 
ศาลอุทธรณ์ของกรุงโซลมีคำได้สั่งเมื่อเดือนก่อนให้นิปปอน สตีล  จ่ายเงินทั้งสิ้น 400 ล้านวอน (ราว 11.2 ล้านบาท) เพื่อเป็นเงินชดเชยให้กับเหยื่อ 4 คน ที่ทำงานโดยไม่ได้รับค่าแรงและเพื่อเยียวยาจิตใจจากความเจ็บปวดที่ต้องเผชิญทั้งก่อนและระหว่างสงครามโลก ครั้งที่ 2
 
นิปปอน สตีล ซึ่งขณะนี้เปลี่ยนชื่อเป็น นิปปอน สตีล แอนด์ สุมิโตโม เมทัล หลังควบรวมกิจการกับสุมิโตโมเมื่อปีก่อนกลายเป็นผู้ผลิตเหล็กที่ใหญ่เป็นอันดับสองโลก ได้ยื่นฎีกาต่อศาลฎีกาของเกาหลีใต้ แต่ก็พร้อมจะจ่ายเงินชดเชยความเสียหายหากศาลฎีกาเกาหลีใต้มีคำพิพากษายืน แหล่งข่าวในบริษัทกล่าวว่า ในฐานะที่เป็นบริษัทระดับโลก  จึงไม่สามารถเพิกเฉยต่อคำตัดสินอันเป็นที่สุดได้ เพราะอาจกระทบต่อคู่ค้าทางธุรกิจในเกาหลีใต้ได้
 
คำตัดสินของศาลอุทธรณ์เกาหลีใต้ถือเป็นความคืบหน้าล่าสุดของคดีความที่ต่อสู้กันมาอย่างยาวนานถึง 16 ปี  ยื่นฟ้องโดยชาวเกาหลีใต้ 4 คน  ซึ่งถูกบังคับให้ทำงานในบริษัทดังกล่าวในช่วงก่อนและระหว่างสงคราม ปัจจุบันทั้งหมดอายุกว่า 80-กว่า 90 ปี
 
เผยแบรนด์เสื้อผ้าออสซี่มีแนวโน้มใช้แรงงานเด็ก
 
19 ส.ค. 56 - ผลการศึกษาชิ้นหนึ่งที่เปิดเผยเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม ระบุว่า แบรนด์เสื้อผ้าของออสเตรเลียส่วนใหญ่ ไม่ตระหนักถึงเรื่องว่า ผ้าฝ้ายที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ของพวกเขามาจากไหน ทำให้มีแนวโน้มมากว่าจะมีการใช้แรงงานเด็กรวมอยู่ด้วย 
รายงานเรื่องแฟชั่นออสเตรเลีย ที่จัดทำโดยองค์กรเอกชนไม่แสวงผลกำไร แบปติสต์ เวิลด์เอด ออสเตรเลีย สำรวจตรวจสอบ 41 บริษัท ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์เสื้อผ้า 128 ยี่ห้อ พบว่าหลายๆ บริษัทมีพัฒนาการที่ดีขึ้นในเรื่องสภาพการทำงานที่โรงงานในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่มีน้อยบริษัทมากที่รู้ว่า วัตถุดิบของพวกเขาผลิตมาอย่างไร
เกอร์ชอน นิมบอลเกอร์ หนึ่งในผู้เขียนรายงานฉบับนี้บอกว่า "หลายบริษัทมีพัฒนาการอย่างมีนัยยะสำคัญหากดูจากขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการผลิต แต่มีเพียง 40 เปอร์เซ็นต์ที่รู้ทั้งหมด หรือเกือบจะทั้งหมดเกี่ยวกับซัพพลายเออร์ในขั้นตอนต่างๆ แต่เมื่อลงลึกไปถึงขั้นตอนของวัตถุดิบ เช่นว่าผ้าที่ใช้มาจากไหน มีเพียง 7 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่รู้ ซึ่งนั่นเป็นที่ที่มีการปฏิบัติในทางที่ผิดเกิดขึ้น"
 
เสื้อผ้าที่ขายโดยแบรนด์ร้านค้าปลีกออสเตรเลียส่วนใหญ่ผลิตในต่างประเทศ รวมถึงบังกลาเทศที่เป็นศูนย์กลางการผลิตเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายซึ่งมีค่าแรงถูก โดยนิมบอลเกอร์บอกว่า ผ้าฝ้ายจากอุซเบกิสถาน หนึ่งในประเทศผู้ผลิตวัตถุดิบรายใหญ่ที่สุด มีการใช้แรงงานเด็กมายาวนาน และ 35 เปอร์เซ็นต์ ของสิ่งทอเหล่านี้ถูกนำมาใช้ในโรงงานที่บังกลาเทศ 
 
แองโกล-อเมริกันประกาศเลิกจ้างงานเกือบ 7,000 ตำแหน่ง
 
20 ส.ค. 56 - แองโกล อเมริกัน แพลทินัม (แอมแพลทส์) บริษัทผู้ผลิตทองคำขาวรายใหญ่ที่สุดของโลก เปิดเผยว่า บริษัทจะเลิกจ้างงานพนักงานจำนวน 6,900 ตำแหน่ง เพื่อความอยู่รอดของบริษัท
 
คริส กริฟฟิธ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารแอมแพลทส์ กล่าวว่า บริษัทได้สรุปการหารือกับบรรดาผู้มีส่วนได้ส่วนเสียรายสำคัญ ซึ่งรวมถึงรัฐบาล และสหภาพแรงงาน เกี่ยวกับการแผนการปรับโครงสร้างธุรกิจ
 
กริฟฟิธระบุในแถลงการณ์ว่า "เรากำลังอยู่ในขั้นวิกฤต และการปรับโครงสร้างจะเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยให้เรากลับมาทำกำไรได้อีกครั้ง และเพื่อให้เรามุ่งเน้นจัดสรรเงินทุนไปยังเหมืองที่จะช่วยให้เราคงความยั่งยืนทางธุรกิจ และสร้างโอกาสในการจ้างงานในระยะยาว"
 
ในเดือนมกราคม แอมแพลทส์ได้ประกาศเลิกจ้างงานเพื่อลดต้นทุน และปรับการดำเนินการในส่วนที่เกือบขาดทุน ภายหลังจากที่ได้มีการพิจารณาตรวจสอบธุรกิจอย่างครอบคลุม
 
"บริษัทจะแจ้งให้พนักงานที่จะถูกให้ออกจากงานทราบล่วงหน้า 1 เดือน โดยจะเริ่มในวันที่ 1 กันยายน เราตระหนักดีถึงผลกระทบที่มีต่อพนักงาน และเรากำลังทำงานอย่างหนักเพื่อสรุปรายละเอียดของแผนบรรเทาผลกระทบทางสังคม ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อลดผลกระทบต่อพนักงานและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องให้เหลือน้อยที่สุด"
 
แอมแพลทส์ระบุว่า หลังการประชุมร่วมกับกรมทรัพยากรธรณีและสหภาพแรงงานแล้ว บริษัทจึงจะดำเนินการตามแผนงานที่ได้กำหนดไว้
 
กริฟฟิธกล่าวว่า "ในการหารือก่อนหน้านี้ พนักงานในระดับปฏิบัติการที่จะได้รับผลกระทบจะอยู่ที่ประมาณ 6,000 ตำแหน่ง นอกจากนี้ พนักงานในระดับหัวหน้าประมาณ 900 ตำแหน่งก็จะได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน"
 
ทั้งนี้ บรรดาบริษัทเหมืองแร่ในแอฟริกาใต้กำลังหาทางลดต้นทุน หลังจากการประท้วงของคนงานเมื่อปีที่แล้วทำให้ค่าแรงพนักงานเพิ่มขึ้น ขณะที่ราคาสินค้าลดลง
 
ซาอุฯ เตรียมออกวีซ่ารับ "แม่บ้านต่างชาติ" 7 แสนคนเข้าประเทศ แก้ปัญหาขาดแคลนคนทำงานบ้าน
 
27 ส.ค. 56 - กระทรวงแรงงานซาอุดีอาระเบียเตรียมออกวีซ่าเปิดรับ "แม่บ้านชาวต่างชาติ" มากถึง 700,000 คนเข้ามาทำงานในประเทศผ่านบริษัทจัดหางานที่รัฐบาลให้การรับรอง 10 แห่ง หลังจากราชอาณาจักรกลางทะเลทรายแห่งนี้ประสบปัญหาขาดแคลนแม่บ้านอย่างรุนแรง จนเกิดบริการจัดหาแม่บ้านผ่าน "ตลาดมืด"
       
รายงานข่าวระบุว่า รัฐบาลซาอุดีอาระเบียซึ่งมีปัญหากับแรงงานของหลายประเทศในช่วงก่อนหน้านี้ทั้งแรงงานฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ไทย และเอธิโอเปีย จนถึงขั้นสั่งแบนโดยสิ้นเชิงหรือไม่ก็จำกัดจำนวนแรงงานของประเทศเหล่านี้ ประกาศในวันอังคาร (27) เตรียมออกวีซ่ารองรับแรงงานต่างชาติมากถึง 700,000 คนให้เข้ามาทำงานในประเทศ ในฐานะของ "แม่บ้าน" เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนแม่บ้านของครอบครัวชาวซาอุดีอาระเบีย
       
ในช่วงที่ผ่านมา ปัญหาการขาดแคลนแม่บ้านเพื่อทำงานบ้านและทำความสะอาดในซาอุดีอาระเบียวิกฤตหนัก ถึงขั้นที่ต้องมีบริการจัดหาแม่บ้านในตลาดมืดจนส่งผลให้อัตราค่าจ้างแม่บ้านขั้นต่ำพุ่งสูงเกินกว่าเรตที่รัฐบาลซาอุฯกำหนดไว้ที่ 1,500 ริยัล (คิดเป็นเงินไทยราว 12,800 บาท)
       
อย่างไรก็ดี ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า ทางการซาอุดีอาระเบียจะยินยอมให้ครอบครัวชาวซาอุฯ สามารถจ้างแม่บ้านแบบ "อยู่ประจำ" ได้อีกหรือไม่ หลังจากเคยพบปัญหาแม่บ้านอยู่ประจำลักขโมยทรัพย์สิน หรือทำร้ายนายจ้าง ขณะที่เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ทางการเพิ่งประกาศยอมให้มีการจ้างแม่บ้านแบบ "รายชั่วโมง" ได้เป็นครั้งแรก
       
ทั้งนี้ จำนวนแรงงานต่างชาติในซาอุดีอาระเบียจากการประเมินล่าสุดที่ทำในเดือนเมษายนปีนี้ระบุว่า มีจำนวนราว 7.5 ล้านคน โดยส่วนใหญ่เป็นแรงงานที่หนีความยากจนมาจากทวีปแอฟริกา อนุทวีปอินเดีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
 
ยักษ์ใหญ่ค้าปลีกมะกันเสนอประกันสุขภาพให้พนักงานคู่รักเพศเดียวกัน
 
28 ส.ค. 56 - สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 28 สิงหาคมว่า วัลมาร์ท ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกรายใหญ่ของโลก และเป็นผู้จ้างงานเอกชนรายใหญ่ของสหรัฐ ได้เสนอให้ประกันสุขภาพให้แก่พนักงานที่เป็นคู่รักร่วมเพศ
 
รายงานระบุว่า ภายใต้แผนนี้ วัลมาร์ทจะทำประกันสุขภาพให้คู่รักเพศเดียวกัน ทั้งเกย์และเลสเบี้ยน โดยไม่จำกัดว่าจะต้องมีสถานภาพสมรสหรือไม่ ขอเพียงทั้งสองฝ่ายอยู่กินร่วมกัน เป็นเวลาอย่างน้อย 12 น้อย และมีความตั้งใจจะใช้ชีวิตกันไปตลอดชีพ และว่า เนื่องจากวอลล์มาร์ทมีกิจการอยู่ใน 50 รัฐทั่วประเทศ เราจึงคิดว่า เป็นเรื่องสำคัญที่จะพัฒนาการจำกัดความใหม่สำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องกับวอลล์มาร์ท เพื่อรับประกันถึงการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องต่อตลาดของวอลล์มาร์ททั่วประเทศ
 
รายงาระบุว่า ปัจจุบัน วัลมาร์ทมีสมาชิก 1.3 ล้านคน และบริษัทยังไม่รู้ว่า จะต้องให้สิทธิประโยชน์ดังกล่าวแก่พนักงานเป็นจำนวนเท่าไหร่ และสำหรับพนักงานที่เป็นพวกรักร่วมเพศ บริษัทจะจ่ายค่าเบี้ยประกันสุขภาพให้แก่พวกเขา 3-10 เปอร์เซนต์ของสิทธิคุ้มครองด้านการแพทย์ในปีหน้า  แต่ที่ผ่านมา มีพนักงานกว่าครึ่งของวัลมาร์ทที่พึ่งพาระบบประกันสุขภาพของวัลมาร์ท โดยการเป็นสมาชิกขึ้นอยู่กับชม.การทำงาน และอายุการทำงานของพนักงานแต่ละคน
 
 
พนง.ฟาสต์ฟู้ดมะกันผละงานประท้วงทั่วประเทศ ขอขึ้นค่าแรงเป็น 15 เหรียญ/ชม.
 
30 ส.ค. 56 - ที่นครนิวยอร์ก ผู้ประท้วงกว่า 300 คน ได้ร่วมเดินขบวนไปยังร้านแมคโดนัลด์ส สาขาใกล้ตึกเอ็มไพร์สเตท ส่วนที่ร้านเวนดี′ส ในนครนิวยอร์ก พนักงานราว 150 คน และกลุ่มผู้สนับสนุน ได้ร่วมชุมนุมกันด้านนอกร้าน พร้อมทั้งตะโกนว่า พวกเขามีชีวิตอยู่ไม่ได้ด้วยเงิน 7.25 ดอลลาร์
 
นอกจากการนัดผละงานประท้วงในหลายเมืองทั่วประเทศ อาทิ นครนิวยอร์ก ชิคาโก ดีทรอยต์ บอสตัน แอตแลนต้า ฮาร์ตฟอร์ท ลอสแองเจลิส มิลวอลกี และเซนต์หลุยส์ แล้ว พนักงานห้างค้าปลีกในบางเมือง ยังร่วมออกมาประท้วงด้วย
 
สหภาพแรงงานร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดของสหรัฐเผยว่า พนักงานร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดกว่า 1,000 สาขาใน 60 เมือง ทั่วประเทศ ร่วมกันผละงานประท้วงเป็นเวลา 1 วัน เพื่อเรียกร้องให้มีการปรับอัตราค่าจ้างเป็นชั่วโมงละ 15 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 481.5 บาท) หรือเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ 7.25 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง (ราว 232.8 บาท)
 
การประท้วงครั้งนี้มีขึ้นระหว่างที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา และ ส.ส.บางราย ที่เรียกร้องให้มีการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ จาก 7.25 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นอัตราที่มีการใช้มาตั้งแต่ปี 2009  เป็น 9 ดอลลาร์ ต่อชั่วโมง
 
ผู้ร่วมชุมนุมส่วนใหญ่กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า ค่าตอบแทนไม่เพียงพอที่จะใช้เป็นค่าครองชีพในแต่ละเดือน บางครั้งต้องยอมทำงาน 7 วันต่อสัปดาห์ แต่มีรายได้ตลอดทั้งปีเพียง 15,000 ดอลลาร์สหรัฐ  ซึ่งไม่เพียงพอเนื่องจากหลายคนต้องหาเลี้ยงครอบครัวด้วย
 
ด้านแม็คโดนัลด์ส และ เบอร์เกอร์คิง ต่างออกแถลงการณ์ที่มีเนื้อหาใกล้เคียงกันว่า บริษัทไม่ได้รับผิดชอบการจ่ายค่าแรงของลูกจ้างร้านอาหารฟาสด์ฟู้ดส่วนใหญ่ในสหรัฐฯ ที่เปิดดำเนินการในลักษณะแฟรนไชส์  พร้อมกับแย้งว่า การปรับขึ้นค่าแรงอาจส่งผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายโดยรวมขององค์กร และทำให้ราคาอาหารสูงขึ้น
 
โฆษกสมาคมร้านอาหารแห่งสหรัฐฯ กล่าวว่า ค่าแรงในระดับต่ำเป็นสิ่งสะท้อนว่า พนักงานร้านฟาสต์ฟู้ดส่วนใหญ่มีอายุน้อยและขาดประสบการณ์ การทำงาน แต่สหภาพแรงงานพนักงานบีการสากล ซึ่งสนับสนุนการประท้วงครั้งนี้ กล่าวว่า พนักงานฟาสต์ฟู้ดไม่ใช่เฉพาะเด็กวัยรุ่นอีกต่อไป และค่าแรงเฉลี่ยที่ 9.08 ดอลลาร์ ต่อชั่วโมง นับว่ายังคงต่ำกว่าเส้นความยากจน สำหรับพนักงานบางคนที่โชคดีได้ทำงาน 40 ชม.ต่อสัปดาห์ และไม่เคยลาป่วย
 
 
ที่มาเรียบเรียงจาก: เดลินิวส์, ASTV ผู้จัดการออนไลน์, สำนักข่าวไทย, โพสต์ทูเดย์, มติชนออนไลน์
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

โค้งสุดท้ายก่อนเสนอร่าง พรบ.เชียงใหม่มหานคร

Posted: 04 Sep 2013 08:16 AM PDT

ความเคลื่อนไหวที่คืบหน้ามาเป็นลำดับนับแต่ได้มีการยกร่าง พรบ.ระเบียบบริหารราชการเชียงใหม่มหานคร พ.ศ....ขึ้นมาเมื่อเดือนมกราคม 2554 และได้มีการปรับปรุงพัฒนามาโดยตลอดจนได้เนื้อหาสาระที่คิดว่าครอบคลุมและสามารถตอบโจทย์แก่ผู้สงสัยได้ในระดับหนึ่ง หลังจากที่ได้มีการลงพื้นที่ใน 25 อำเภอ มากกว่า 40 เวที จึงได้มีการจัดพิมพ์เป็นรูปเล่มเพื่อเผยแพร่จนเป็นที่ฮือฮาไปทั่วประเทศ มีทั้งการสนับสนุนและแรงต้านด้วยเหตุเนื่องจากการที่ไปกระทบฐานอำนาจของตน
 
แรงสนับสนุนที่ทรงพลังเป็นอย่างยิ่งในเบื้องแรกก็คือการมีข้อเสนอเมื่อ 18 เมษายน 2554 ในหนังสือปกสีส้ม "ข้อเสนอการปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ"ของคณะกรรมการปฏิรูป(คปร.)ที่มีนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน เสนอให้มีการยกเลิกราชการส่วนภูมิภาคซึ่งสอดรับกับร่าง พรบ.เชียงใหม่มหานครฯพอดี กอปรกับข่าวคราวการขับเคลื่อนเพื่อผลักดันร่าง พรบ.ฯนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วประเทศทั้งจากสิ่งพิมพ์และสื่อในรูปแบบต่างๆทั้งในสื่อกระแสหลักและนอกกระแสและที่ทรงพลังอย่างยิ่งก็คือสื่อโทรทัศน์โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานีไทยพีบีเอสและวอยส์ทีวีที่มีทั้งการเสนอข่าวและการจัดทำสารคดีเป็นระยะๆ
 
ผลจากการริเริ่มครั้งนี้ได้มีแนวร่วมในการขับเคลื่อนแพร่กระจายไปมากกว่า 40 จังหวัดในรูปแบบของ "จังหวัดจัดการตนเอง"ที่เน้นไปในความเป็นอิสระในการจัดการชีวิตของตนเองโดยเฉพาะอย่างยิ่งการปกครองท้องถิ่นที่เกี่ยวพันกับชีวิตความเป็นอยู่ของตนเอง 
 
หลักการพื้นฐานของร่าง พรบ.เชียงใหม่มหานครฯมี 3 หลักการใหญ่ๆ คือ 
 
1)ยกเลิกราชการส่วนภูมิภาคเหลือเพียงราชการส่วนกลางและส่วนท้องถิ่นเต็มพื้นที่ โดยส่วนราชการส่วนท้องถิ่นจะแบ่งเป็น 2 ระดับ(tier) ระดับบนเรียกว่าเชียงใหม่มหานคร ระดับล่างเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเดิมแต่อาจเปลี่ยนชื่อเรียกเพื่อไม่ให้ซ้ำซ้อนกับเทศบาลหรือ อบต.ของมหาดไทยโดยอาจเรียกว่า "นครบาล"ตามร่างแก้ไข พรบ.กรุงเทพมหานครฯที่เห็นพ้องกับร่าง พรบ.เชียงใหม่มหานครฯซึ่งจัดการปกครองท้องถิ่นเป็น 2 ระดับแทนที่มีเพียงระดับเดียวแบบกรุงเทพมหานครในปัจจุบันที่ใหญ่โตและเทอะทะเกินไป โดย 2 ระดับนี้อยู่ในลักษณะของการแบ่งหน้าที่กันทำไม่ใช่ลักษณะของการบังคับบัญชา
 
2)มีโครงสร้าง 3 ส่วน ประกอบไปด้วยผู้ว่าราชการเชียงใหม่มหานครที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรง,สภาเชียงใหม่มหานครและสภาพลเมือง(Civil Juries) โดยเชียงใหม่มหานครนี้จะทำทุกเรื่องยกเว้นเรื่องที่เกี่ยวกับ การทหาร, การต่างประเทศ, การเงินการคลังระดับชาติและการศาล
 
3)จัดแบ่งรายได้กับส่วนกลางในอัตราส่วน 70/30 คือ เก็บไว้ใช้ในท้องถิ่น 70 เปอร์เซ็นต์และส่งส่วนกลาง 30 เปอร์เซ็นต์
 
ในระยะแรกๆที่ผู้คนได้รับทราบข่าวสารก็มักจะมีความเห็นว่าคงเป็นไปไม่ได้เพราะคิดว่าประชาชนคงยังไม่พร้อม แรงต้านจากหน่วยราชการต่างๆคงมีมาก แต่การณ์กลับกลายเป็นตรงกันข้าม แรงต้านก็ยังคงมีอยู่บ้างแต่น้อยกว่าที่คิดไว้มากนัก เพราะไม่ว่าจะเป็นประชาชนหรือตัวข้าราชการเองก็ต่างก็ประจักษ์ว่าโลกเราพัฒนาไปไกลแล้ว จะช้าหรือเร็ว จะมากหรือน้อย การจัดการกับชีวิตของตนเองที่เป็นสิทธิพื้นฐาน(self determination rights)นั้นจะต้องได้รับการยอมรับ และหนึ่งในสิทธิพื้นฐานที่ว่านี้ก็คือสิทธิในการจัดการตนเองหรือปกครองตนเอง(self governing)นั่นเอง
 
การขับเคลื่อนมีความคืบหน้ามาเป็นลำดับ มีการรณรงค์ในรูปแบบต่างๆ มีการรับสมัครและอบรมอาสาสมัครจิตอาสาที่ไม่มีค่าตอบแทนจำนวนนับพันเพื่อขับเคลื่อนโครงการฯกระจายไปเต็มพื้นที่ หน่วยงานต่างๆให้ความสนใจเข้ามาสอบถาม เช่น คณะกรรมาธิการปกครองของวุฒิสภาถึงกับลงทุนไปหาข้อมูลในพื้นที่เลยทีเดียว นอกจากนั้นยังมีสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติก็ได้เชิญตัวแทนไปชี้แจงและให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นการเฉพาะ
 
นอกจากนั้นในวงการการศึกษาก็มีความตื่นตัวยิ่งหย่อนไปกว่ากันตั้งแต่ระดับในโรงเรียนไปจนถึงระดับมหาวิทยาลัยแม้กระทั่งในการฝึกอบรมของนักศึกษาวิชาทหารก็มีการพูดถึง มีการทำรายงานของนักเรียนนักศึกษา การทำวิทยานิพนธ์ ภาคนิพนธ์ การค้นคว้าอิสระ ฯลฯ ตลอดจนมีการจัดเวทีวิชาการกันอย่างกว้างขวาง
 
ที่น่าสนใจก็คือได้มีการจัดเวทีไปภูมิภาคต่างๆเพื่อร่วมกันยกร่างให้เป็นกฎหมายกลางโดยใช้หลักการพื้นฐานจากร่าง พรบ.เชียงใหม่มหานครฯก็คือ คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายซึ่งได้มีการจัดประชุมและสัมมนาอยู่เป็นระยะๆเพื่อที่ว่าต่อไปเมื่อมีกฎหมายกลางเกิดขึ้นแล้วจังหวัดอื่นๆก็ไม่ต้องไปล่ารายชื่อทีละจังหวัดๆอีก และล่าสุดก็มีการระดมนักวิชาการในด้านนี้โดยเฉพาะมาให้ความเห็นเมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งน่าเสียดายที่ผมติดประชุมอยู่ต่างประเทศเลยไม่ได้ไปเข้าร่วมประชุมด้วย แต่คิดว่าแนวทางก็คงเป็นไปตามหลักการของการกระจายอำนาจหรือการปกครองท้องถิ่นของนานาอารยประเทศทั้งหลายนั่นเอง
 
ในช่วงระยะนี้นับได้ว่าเป็นช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเสนอชื่อเพื่อเสนอร่าง พรบ.ดังกล่าวโดยมีการรณรงค์เพื่อลงชื่อกันอย่างขะมักเขม้น โดยกำหนดหมุดหมายสุดท้ายในวันที่ 29 ตุลาคม 2556 ว่าจะเป็นการระดมพลครั้งใหญ่เพื่อยื่นเสนอร่าง พรบ.ต่อรัฐสภา โดยจะรวมตัวกันในทุกภาคส่วน ณ บริเวณอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ซึ่งเป็นสถานที่เดียวกันกับที่มีการประกาศเจตนารมณ์เริ่มขับเคลื่อนอย่างเป็นทางการเมื่อ 24 มิถุนายน 2555 ที่ผ่านมานั่นเอง
 
นับจากนี้ไปเชียงใหม่และจังหวัดต่างๆจะไม่เหมือนเดิมต่อไปอีกแล้ว ไม่มีใครรู้ปัญหาของท้องถิ่นดีกว่าคนท้องถิ่นอย่างแน่นอน ในส่วนของมายาคติและข้อสงสัยร่าง พรบ.นี้ เช่น เป็นการแบ่งแยกรัฐ, กระทบต่อความมั่นคง, รายได้ท้องถิ่นยังไม่เพียงพอ อบจ./อบต./เทศบาลยังอยู่หรือไม่,จะเอาข้าราชส่วนภูมิภาคไปไว้ไหน/นายอำเภอยังมีอยู่หรือไม่,เขตพื้นที่อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน จะหายไป,กำนันผู้ใหญ่บ้านยังคงมีอยู่หรือไม่  หากยังคงมีอยู่จะมีบทบาทอะไร,ประชาชนยังไม่พร้อม ยังไม่มีการศึกษาที่ดีพอประชาชนยังไม่พร้อม ยังไม่มีการศึกษาที่ดีพอประชาชนยังไม่พร้อม ยังไม่มีการศึกษาที่ดีพอ,นักเลงครองเมือง,ซื้อเสียงขายเสียง,ทุจริตคอร์รัปชัน/เปลี่ยนโอนอำนาจจากอำมาตย์ใหญ่ไปสู่อำมาตย์เล็กและสุดท้ายผิดกฎหมายหรือไม่ สิ่งต่างๆเหล่านี้มีคำตอบไว้หมดแล้วในบทความของผม เรื่อง มายาคติและข้อสงสัยในการยกเลิกราชการส่วนภูมิภาค
 
โลกต้องหมุนไปข้างหน้า บ้านเมืองต้องมีวิวัฒนาการ รูปแบบการบริหารราชการแผ่นดินแบบหนึ่งอาจจะเหมาะสมในระยะเวลาหนึ่ง หากไม่ปรับปรุงแก้ไข อย่าว่าแต่จะไปแข่งขันกับนานาอารยประเทศทั้งหลายเลย แม้แต่ฟิลิปปินส์ อินโด มาเลย์ในเรื่องการปกครองท้องถิ่นนี้เรายังตามก้นเขาอีกหลายก้าวครับ
 
-------------------
หมายเหตุ เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ 4 กันยายน 2556
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สังคมนิยมประชาธิปไตย ทางออก หรือ ทางเลือก

Posted: 04 Sep 2013 07:51 AM PDT

สังคมนิยมประชาธิปไตย คือรูปแบบการปกครอง ทางการเมืองในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ที่ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารประเทศ สามารถคิดค้นด้านการมีส่วนร่วมในหลายรูปแบบ ในส่วนที่เรียนรู้ปฏิบัติตาม หรือ ลอกเรียนแบบตามกันมาคือให้มีการเลือกตั้งโดยใช้ระบบเลือกตัวแทนเข้ามาบริหารประเทศ ส่วนรายละเอียดนั้นก็จะแตกต่างกันไป ในเงื่อนไขของการพัฒนาที่ต้องการให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารประเทศให้มากที่สุด หลายประเทศคิดถึงระบบการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นดูแลจัดการตนเอง

ส่วนทางด้านเศรษฐกิจนั้น ใช้รูปแบบสังคมนิยม ระบบสังคมนิยมในจินตนาการตั้งอยู่บนความคิดที่ต้องการให้ระบบเศรษฐกิจเป็นไปอย่างยุติธรรม ทุกคนร่วมกันทำงานเพื่อสร้างผลผลิตส่วนรวม และได้รับ สวัสดิการ พยายามกระจายรายได้โดยรัฐให้ประชาชนให้ทั่วถึงทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน มีรัฐสวัสดิการที่ควรมีอยู่พอสมควร ระบบสังคมนิยมไม่จำเป็นที่จะอยู่ภายใต้ระบอบการปกครองแบบเผด็จการหรือระบอบใดระบอบหนึ่งแต่สามารถอยู่ได้ทุกระบอบเพราะเป็นเพียงระบบเศรษฐกิจเท่านั้นไม่ใช่ระบอบการปกครอง
ความหมาย ธัมมิกสังคมนิยม (พุทธทาสภิกขุ)

"...โลกจะต้องมีระบบการปกครองที่ไม่เห็นแก่ตัวคน และให้ประกอบไปด้วยธรรมะ. ระบอบการปกครองในโลกที่ไม่เห็นแก่ตัวคนตัวบุคคลคือมือใครยาวสาวได้สาวเอานี้ จะเปิดโอกาสให้ระบบการปกครองนั้นประกอบอยู่ด้วยพระธรรม หรือพระเจ้า แล้วแต่จะเรียก ไม่มีชื่อเรียกอย่างอื่น ก็เรียกไว้ทีก่อนว่า ระบบธัมมิกสังคมนิยม"

สังคมนิยม ก็แปลว่า เห็นแก่เพื่อนมนุษย์ ไม่เห็นแก่ตัวเอง, ไม่เห็นแก่ตัวกูคนเดียว เห็นแก่เพื่อนมนุษย์ จึงจะเรียกว่าสังคมนิยม แล้วการเห็นแก่สังคมนั้นต้องถูกต้องด้วย ; เพราะว่าผิดก็ได้เหมือนกัน. การเห็นแก่สังคมผิด ๆ ก็คุมพวกไปปล้นคนอื่น หาประโยชน์มาให้แก่พวกตัวนี้ มันก็ผิด ก็เลยต้องใช้คำว่า "ธัมมิก" ประกอบอยู่ด้วยธรรมนี้ เข้ามานำหน้าไว้ว่า ธัมมิกสังคมนิยม-ระบอบที่ถือเอาประโยชน์ของสังคมเป็นหลัก และประกอบไปด้วยธรรม

ตัวอย่างประเทศที่สามารถเรียนรู้ ที่มีการจัดรูปแบบ การปกครองที่เรียกว่า "สังคมนิยม ประชาธิปไตย" โดยรูปแบบการจัดการ "รัฐสวัสดิการ"

ประเทศสวีเดนคือประเทศหนึ่งของหลายประเทศ รูปแบบการปกครอง เป็นรูปแบบการปกครองแบบประชาธิปไตยทางอ้อม โดยใช้วิธีการเลือกตั้งตัวแทนไปนั่งในสภา เป็นแบบสภาเดียว แต่ยังมีพระมหากษัตริย์ เป็นองค์พระประมุขที่อยู่ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ ลักษณะหลักคิดวิธีการคล้ายประเทศไทย ความแตกต่างคือทุกอย่างที่เป็นกฎหมายการวางกฎเกณฑ์ร่วมกัน ที่นำไปสู่การปฏิบัติมีการกระทำอย่างเคารพ และยอมรับในกติกา ไม่มีการละเมิด ในทุกส่วน แม้กระทั่งระดับสูงสุดคือสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะที่นี่เขามีกติการ่วมกันว่า กฎหมายคืออำนาจสูงสุดของประเทศที่พลเมืองพึงปฏิบัติตาม เป็นสิทธิและหน้าที่ หัวใจของการปกครองโดยวิธีนี้ ผมวิเคราะห์ว่า ถ้าจะประสบความสำเร็จก็ต่อเมื่อคนในสังคม ต้องมีคุณภาพ มีวินัย มีศีลธรรมจริยาธรรม ให้เกียรติผู้คนอื่นๆ ที่สำคัญคือต้องรู้หน้าที่ เคารพกติกาที่ได้ถูกสร้างมาร่วมกัน

อำนาจที่นี่ไม่ถูกกระจุกไว้กับคนใดคนหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เพราะความที่คนที่นี่มีกลุ่มคนที่หลากหลาย กลุ่มความคิดที่หลากหลาย กฎหมายของเขาไม่มีเลยที่จะปิดกั้นไม่ให้คนรวมกลุ่ม แม้แต่กลุ่มความคิดนั้นจะไม่เห็นด้วยกับภาครัฐ ไม่ห้ามตามกฎหมายแล้ว ยังแถมมีกฎหมายให้งบประมาณการรวมกลุ่มชนด้วย เพราะเขาถือว่าการรวมกลุ่มขึ้นมาก็เพื่อการสร้างสรรค์ สิ่งที่ดีงามให้เกิดขึ้นในสังคม การรวมกลุ่มที่จะถูกยกเว้น คือกลุ่มองค์กรที่มีเจตนาร้าย และ กระทำการล้มล้างผู้อื่นที่อยู่ร่วมกันในสังคมเท่านั้น การปกครองภายใต้กฎหมายของเขานี้เมื่อเขาว่ามันคืออำนาจสูงสุดมันก็สูงสุดจริงๆ ไม่มีใครแม้แต่จะกล้าคิดมาทำลายล้าง ความมั่นคงของสังคมเขาจึงมี และ ก้าวไปข้างหน้าเพื่อการสร้างสรรค์ตลอดเวลา

ประเทศสวีเดนเป็นประเทศที่ถูกปกครองด้วยระบบการเมืองหลายพรรค หลายอุดมการณ์ การจะให้อุดมการณ์แนวไหนเข้ามาปกครองประเทศก็ยู่ที่ประชาชน เป็นผู้ตัดสินใจ ฉะนั้นการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนที่นี่ มีค่อนข้างมาก ที่เป็นเช่นนี้ได้ดังที่กล่าวมาแล้วว่าสังคมที่นี่เป็นสังคมเปิด การรวมหมู่ รวมกลุ่ม จัดตั้งองค์กรเป็นไปอย่างหลากหลาย ตามความสนใจ ตามกลุ่มผลประโยชน์ ตามแนวคิด พรรคการเมืองที่มีอยู่ก็หลากหลาย มีทางเลือกให้กับผู้คนในสังคม

พรรคการเมืองที่มีอยู่ในประเทศสวีเดน แยกพรรคที่มีแนวความคิดที่แตกต่างกันได้ประมาณ 4-5 แนวคิดคล้ายกันบ้าง แตกต่างกันอย่างสุดขั้วบ้าง แนวทางของพรรคการเมืองที่เด่นชัดคือ

1. แนวทางสังคมนิยม ซึ่งเป็นแนวทางที่ถูกเลือกเข้ามาบริหารประเทศมากที่สุด มีอยู่สองพรรคการเมืองหลักที่อยู่ในแนวทางนี้ คือ พรรคสังคมนิยมประชาธิปไตย (Social Democrat) ที่มีเสียงรองรับโดยมาตรฐานอยู่ที่ 29-32เปอร์เซ็นต์ และ พรรคฝ่ายซ้าย (Vanster) ก่อนที่ประเทศโซเวียติ ที่เป็นคอมมิวนิสต์จะล่มสลายคือพรรคคอมมิวนิสต์ของประเทศสวีเดน และ เป็นพรรคการเมืองที่แยกตัวออกมาจากพรรค สังคมนิยมประชาธิปไตย หลังจากการร่วมกันต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมในประเทศ พรรคนี้ได้รับคะแนนเสียง อยู่ในระดับ 4-5 เปอร์เซ็นต์ พรรคแนวทางนี้ คะแนนเสียงที่ได้รับเป็นกรอบเป็นกำ จะมาจากองค์กรกรรมกร ซึ่งมีสมาชิกอยู่กว่าสามล้านกว่าคน จากประชากรประมาณ เก้าล้านคน

2. สายอนุรักษ์ธรรมชาติ และ สิ่งแวดล้อม เพิ่งก่อเกิดขึ้นมาได้ไม่ถึงยี่สิบปี เป็นพรรคการเมืองที่คนหนุ่มคนสาวให้ความสนใจเข้าร่วมมาก นโยบายของพรรคนี้คือ การอนุรักษ์ทรัพยากร และ สิ่งแวดล้อม ชื่อพรรคก็ชื่อนี้ หรือคนต่างชาติมักจะเรียกชื่อว่าพรรค กรีน (Green)หรือพรรค เขียว ซึ่งพรรคการเมืองนี้จะจริงจังเรื่องสิ่งแวดล้อม และ การบริโภคมาก เขาเป็นหูเป็นตาในเรื่องนี้แทนประชาชนทั้งประเทศได้ พรรคนี้กำลังมาแรง คะแนนเสียงอยู่ในระดับ 5-10 เปอร์เซ็นต์ เวลาต้องเลือกลงคะแนนจัดตั้งรัฐบาล พรรคนี้มักให้คะแนนเสียงไปทางด้าน แนวทางสังคมนิยม

3. แนวเสรีนิยม คือพรรคประชาชน (Flock Party) คะแนนเสียงที่ได้รับส่วนใหญ่ คือผู้ประกอบการรายย่อย และคนทำงานในสำนักงาน หรือระดับผู้บริหาร องค์กรจัดตั้งที่เป็นส่วนงานบริหาร ที่แยกออกมาจากกรรมกร คะแนนเสียงจะไม่แน่นอน บางครั้งเกิน 10 เปอร์เซ็นต์ บางครั้งเกือบไม่ได้เข้าไปนั่งในสภา ที่มีเกณฑ์ต่ำสุดไว้ 4 เปอร์เซ็นต์ พรรคนี้เป็นที่รู้จักกันเชิงแนวคิดฝ่ายขวา คือเรามักเข้าใจแบบชาวบ้านคือแนวทางทุนนิยม พรรคนี้จะเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับฝ่ายขวา คือพรรคที่มีแนวทางทุนนิยม และ อนุรักษ์นิยม (คำว่าเข้าร่วม กับ คำว่าสนับสนุน ผู้เขียนหมายความว่า ถ้าเข้าร่วมคือเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล คำว่าสนับสนุนคือลงคะแนนเสียงให้ แต่ไม่เข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล)

4. แนวทางทุนนิยม ได้แก่พรรค โมเดอร์ลาสต์ เป็นพรรคฝ่ายขวาที่มีคะแนนเสียงสนับสนุนมากที่สุด สิบปลายๆ ถึงยี่สิบ เปอร์เซ็นต์ต้นๆ แนวคิดทางระบบทุนนิยม เสียงสนับสนุนส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประกอบการ รายละเอียดของผู้มาลงคะแนนเสียงให้กับแต่ละพรรคก็น่าสนใจ มักเป็นไปตามนโยบายผลประโยชน์ และ แนวคิด

5. พรรคสนับสนุนเกษตรกร คือพรรค เซ็นเตอร์(Center) เสียงสนับสนุน ที่ได้รับคือผู้ประกอบการทางการเกษตร ผู้เข้าร่วมในพรรคเขาก็มีฐานทางการผลิต ประเทศนี้ที่น่าสนใจของพรรคการเมืองคือ เขาจะมีกิจกรรม ให้กับกลุ่มองค์กรของเขา และ การมีส่วนร่วมในการรักษาผลประโยชน์ พรรคการเมืองนี้เช่นเดียวกัน จะมีการบริการ ความรู้ ร้านค้า ซึ่งเป็นลักษณะการสร้างเป็นองค์กรบริการประชาชน คะแนนเสียงพรรคนี้จะไม่มาก ประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ พรรคนี้ถ้าฝ่ายขวาได้คะแนนเสียวข้างมาก ก็จะเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล

6. พรรคทางด้านศาสนา คริสต์เตียนดีโมแครสต์ (Christian Democrat) หลักคิดเป็นไปตามชื่อที่เรียก มีแนวทางอนุรักษ์นิยม ใช้ศาสนาเป็นแนวทาง คะแนนเสียงสนับสนุน ส่วนใหญ่คือผู้ที่เคร่งศาสนา และ ผู้ที่เชื่อแนวทางแก้ปัญหาสังคมโดยแนวทางนี้ มีคะแนนเสียงมากเกือบเป็นลำดับหนึ่งของฝ่ายขวา ประมาณ สิบเปอร์เซ็นต์ขึ้น

7. ระยะหลังๆมีพรรคการเมือง ประเภทขวาจัดเกิดขึ้น ซึ่งเป็นที่รู้กันภายในประเทศ คือพรรคการเมืองประเภทต่อต้านสีผิว พรรคนี้ระยะหลังได้เข้าไปนั่งในสภาด้วย แต่พรรคการเมืองทั่วไปจะไม่สนใจให้เข้าร่วมกำหนดนโยบาย
จากข้อมูลระบบพรรคการเมืองการเลือกตั้ง เราจะได้เห็นพรรคการเมืองที่หลากหลายมาก ถ้าลงรายละเอียดของหลักคิดความเชื่อวิธีการจะแตกต่างกัน อย่างทุนนิยม และ เสรีนิยม หรือ สังคมนิยมกับพรรคฝ่ายซ้าย ซึ่งการมีพรรคการเมืองที่หลากหลาย สังคมผู้คนที่หลากหลาย มีความคิดความเชื่อที่แตกต่าง แต่ละคนที่มีสิทธิ์มีเสียงในการเลือกตั้ง เขาก็จะคิดเลือกผู้แทน แน่นอน 1. กลุ่มก้อนที่เขาร่วมอยู่ 2. หลักคิดวิธีการการแก้ปัญหา ในแต่ละช่วง (โอกาสพลิกโผมักจะมีให้เห็นเสมอ)

จึงไม่เป็นเรื่องยากที่ประชาชนสวีเดน จะเลือกผู้แทนของเขา เขามักจะไม่สนใจว่ารัฐบาลจะต้องมีเสียงข้างมากหรือน้อย เมื่อพวกเขาตัดสินใจเลือกแล้ว นักการเมืองต้องไปทำหน้าที่ให้ประชาชนที่เลือกเขามาให้ได้ ฉะนั้นในประเทศสวีเดน จึงมีการปกครองระบบหลายพรรคการเมือง และ รัฐบาลที่เข้ามาบริหารประเทศ ก็คือเสียงส่วนน้อยในสภา บางครั้งก็เป็นรัฐบาลร่วมหลายพรรค บางครั้งก็เป็นรัฐบาลเสียงส่วนน้อยเพียงพรรคเดียว แต่การเมืองในระบบรัฐสภาของเขาก็ไม่เคยที่จะสร้างปัญหาให้คนในสังคม

คนสวีเดนถูกฝึกฝนให้เคารพกติกา และ เคารพในหน้าที่ระบบการทำงานจึงไม่สับสน แถมไม่วุ่นวาย ผู้บริหารระดับสูงมีหน้าที่อยู่ตรงไหนก็ทำตรงนั้น ทำให้ดีทำตามหน้าที่ เคารพสิทธิของผู้อื่น

ระบบสังคมนิยมประชาธิปไตย รูปแบบรัฐสวัสดิการคือทางเลือกในการปกครองของประเทศนี้ การใช้เงินมากมายเพื่อนำมาดูแลคนในสังคม คนในสังคมจึงต้องมีจิตใจที่พร้อมจะเสียสละไม่คิดเล็กคิดน้อย ต้องยินดีให้รัฐจัดเก็บภาษี อย่างหนักเมื่อทำงาน นอกจากภาษีของบุคคลที่มีรายได้ทั่วไปที่เก็บกว่า ๓๐ เปอร์เซ็นต์ แล้วการเก็บภาษีประเภทก้าวหน้าเพื่อขจัดความเหลื่อมล้ำทางสังคม คนในสังคมเขาก็ยินดีจะจ่ายให้ การจัดเก็บภาษีจึงเป็นหัวใจของการจัดระเบียบสังคม ขจัดความอยากมีอยากได้ความเห็นแก่ตัว บางคนอาจจะไม่พอใจ แต่เมื่อคนส่วนใหญ่ของสังคมเห็นด้วย ก็ต้องยอมจำนน การจัดเก็บภาษีของเขานอกจากเป็นภาษีรายได้ปกติแล้ว ภาษีสมบัติ ภาษีที่ดิน ภาษีโรงเรือน แม้แต่ภาษีเงินที่สะสม จากระบบการเก็บภาษี ในทุกเรื่องการสะสมสมบัติของคนที่นี่จึงมีน้อยมาก ฉะนั้นการเงินในประเทศนี้จึงหมุนเวียนคล่องตัว การสะสมเงินเพื่ออนาคตจึงมีน้อยมาก เขาคงไม่ต้องเป็นกังวลชีวิตอนาคต เพราะรัฐสวัสดิการดูแลให้ทุกเรื่องตั้งแต่เกิดจนตาย การดูแลของรัฐสวัสดิการ เขาใช้วิชาการในการศึกษา มีตัวชี้วัดความสุขของคน เมื่อมนุษย์มีความมั่นคงในชีวิต มนุษย์ก็ไม่ต้องสะสม ไม่กังวลทำเพื่อตัวเอง สมองก็ปลอดโปร่งที่จะได้คิดสร้างสรรค์ เมื่อคนในสังคมมีกินไม่อดอยากการก่ออาชญากรรมก็จะมีน้อย

นอกจากการเงินของรัฐที่ได้จากการเก็บภาษีอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้ว รัฐยังมีรายได้จากกิจกรรมของรัฐเองด้วย การจะจัดการเรื่องสวัสดิการให้ได้ดี รัฐจะต้องมีเงิน ฉะนั้นรัฐจึงต้องมีกิจการเป็นของรัฐ ในระบบการค้าเสรีรัฐไม่ได้หวงห้าม แต่รัฐก็เข้าร่วมการแข่งขันเพื่อการหารายได้เข้ารัฐด้วย บริษัทใหญ่ๆ และ เกี่ยวกับความมั่นคงในประเทศรัฐจะเป็นผู้เข้าดูแลจัดการ และพร้อมที่จะแข่งขันกับภาคเอกชน หรือ เข้าถือหุ้นเพื่อการดูแลแรงงาน ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นเรื่องที่ศึกษาได้ จะเอาแบบอย่างหรือไม่เอา เราก็สามารถเรียนรู้นำมาเผยแพร่เพื่อให้คนในสังคมเรียนรู้ได้ เพื่อการตัดสินใจ หรือจะนำมาประยุค เพื่อนำทางสู่สังคมไทย

รัฐสวัสดิการ หัวใจของแนวคิดคือการขจัดความเหลื่อมลำทางสังคม สร้างความเสมอภาคให้เกิดขึ้นในสังคม ระบบการแข่งขัน มีกฎกติกาที่ให้เกิดการแข่งขันอย่างเท่าเทียมกัน เริ่มต้นอย่างไม่มีการเอารัดเอาเปรียบ ทุกครัวเรือนจะได้รับการดูแลเริ่มต้นจากครรภ์มารดา โอกาสทางการศึกษา ที่พักอาศัย อาชีพการงาน ระบบสาธารณูประโภคที่ดี ไม่ต้องหาเงินมาต่อเสริมเติมแต่งให้เกิดความสะดวกสบายกว่าผู้อื่น แม้วัยบั้นปลายของชีวิตรัฐก็จัดการเลี้ยงดูให้

ในประเทศสวีเดน ที่มีการวางระบบให้กับคนในสังคมอย่าง คิดว่าคนคือคน ทุกคนมีสิทธิที่จะได้อยู่ ได้รับอย่างเท่าเทียมกันตามกฎหมาย ความเชื่อของระบบ คือมนุษย์ที่อยู่ร่วมกันในสังคมจะต้องได้รับการบริการทางสังคมขั้นพื้นฐานอย่างเท่าเทียมกัน ประเทศสวีเดนมีการปกครองรูปแบบสังคมประชาธิปไตย โดยการปกครองดูแลได้รับฉันทามติจากประชาชนที่คัดเลือกตัวแทนมาสู่การบริหารประเทศ ระบบเศรษฐกิจเป็นแบบ สังคมนิยมในรูปแบบรัฐสวัสดิการ ที่รัฐต้องดูแลประชาชนให้มีความมั่นคงในชีวิต ซึ่งเป็นทั้งศาสตร์ และ ศิลป์ที่ต้องผ่านประสบการ และ การเรียนรู้ หัวใจของการปกครองในระบอบนี้คือ ผู้นำต้องมีความเชื่อมั่น และ ศรัทธาในประชาชน เห็นคนเป็นเป็นคน ทุกคนในสังคมมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน ไม่ปล่อยปละละเลยดูดาย ทำเพื่อความสุขแห่งตนเพียงผู้เดียว
 
 
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไกรวุฒิ จุลพงศธร: โน้ตถึง ตั้งวง

Posted: 04 Sep 2013 07:22 AM PDT

หมายเหตุ: เขียนจากการชมครั้งแรก รายละเอียดอาจคลาดเคลื่อน

 

สิ่งที่นึกถึงขณะนั่งดู และหลังหนังจบ

1) ชอบในแง่ของการจัดวางโปรเจ็คต์เพื่อขอทุน อย่างที่รู้กัน หนังเรื่องตั้งวงได้งบก้อนใหญ่จากกระทรวงวัฒนธรรม และอย่างที่เรารู้ๆ กัน หนังที่ได้งบจากกระทรวงวัฒนธรรมมักจะออกมาไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไร เพราะหนังกลุ่มนี้มักจะต้องออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์กระทรวง ซึ่งโจทย์ก็ประมาณส่งเสริมวัฒนธรรมไทยอันดีงาม ส่งเสริมความรักชาติ แล้วเราก็มักจะได้หนังที่ตกยุคมาเสมอๆ (คำว่าตกยุค ต้องเท้าความว่า โดยคร่าวๆ ตั้งแต่ปีที่ นางนาก จนถึง พระนเรศวรภาค 1 ออกฉาย หนังชาตินิยมมันยัง 'ขายได้' คนยัง 'อยากดู' และไม่ว่าจะเห็นด้วยกับมันหรือไม่แต่มันก็ยังมีความน่าสนใจสูง หนังกลุ่มนี้มักจะสร้างโดยผู้สร้างจากเอกชน (ยกเว้นสุริโยไท และตำนานพระนเรศวร) ยกตัวอย่างเช่น โหมโรง บางระจัน ทวิภพ องค์บาก ฯลฯ แต่ในตอนหลัง มันจะมีหนังชาตินิยมอีกกลุ่ม ที่ออกมา 'สายเกินไป' และไปๆ มาๆ มันดูคล้ายๆ กับหนังเกรดรองเมื่อเทียบกับหนังกลุ่มแรก หนังที่กระทรวงโปรดิวซ์มักจะเป็นหนังแบบนี้เสมอๆ คือมันเชย ไม่น่าสนใจ คนไม่อยากดู)


แต่สิ่งที่ตั้งวงทำได้ ก็คือการทำให้มัน 'look good on paper แต่ก็ไม่ได้เลียวัฒนธรรมไทยแบบทางการ' คือ มันเป็นหนังที่เราเดาเอานะว่า ถ้าเจ้าหน้าที่รัฐอ่านบทมันก็ตอบโจทย์ทุกอย่างบนเปเปอร์น่ะ แบบ เป็นหนังเกี่ยวกับ "เด็กยุคใหม่หันมาหัดรำไทย" โห แค่อะไรแบบนี้นี่กระทรวงก็คงกรี๊ดแล้ว ชอบเลย ถูกต้องนะโว้ย เด็กยุคใหม่ต้องรู้จักรำไทยนะ อะไรแบบนี้ แต่พอไปสร้างจริงๆ หนังมันก็ไม่ใช่อย่างนั้นซะหน่อย แถมหัวใจของมันยังย้อนกลับไปวิพากษ์ไอ้วิธีคิดแบบความเป็นไทยทางการอีกซะด้วย โยนชฎาทิ้งกันไปเลย เพราะหนังมันพยายามพูดว่าความเป็นไทยมันไม่ได้อยู่ที่ชฎา ที่รำอะไรกันเลย แต่มันอยู่รอบๆ เรานี่แหละ วิถีชีวิตที่เราต้องใช้ต้องเป็นในประเทศนี้ ไม่ว่าจะดีหรือจะชั่ว นี่ล่ะ ความเป็นไทย

การสร้างกลยุทธ์ที่ 'look good on paper แต่จริงๆ แล้วไม่ได้จะเลียวัฒนธรรมไทยขนาดนั้น' มันไม่ได้อยู่แค่ในเนื้อเรื่อง แต่ปรากฎอยู่ในภาษาหนังด้วย ถ้าตั้งวงเป็นหนังที่ต้องการจะเลียวัฒนธรรมไทยทางการ หลังจากตัวละครมารวมตัวกันเพื่อจะฝึกรำแก้บน มันก็คงจะต้องมีฉากการฝึกการรำอย่างละเอียด ท่า1 คืออะไร ท่า 2 คืออะไร ท่า 3 คืออะไร กูยังรำไม่ได้ซะทีโว้ย มึงสอนกูหน่อย มึงรำผิดโดนลงโทษ หรือมีคนมาอธิบายความเป็นมาของแต่ละท่า แต่ไม่เลย หนังไม่มีอะไรแบบนี้เลย การตัดต่อของหนังเรื่องนี้คือ เมื่อไรก็ตามที่มันจะต้องฝึกรำกันอย่างละเอียด หนังจะตบตาด้วยการหันไปตัดเป็นภาพ montage แล้วใส่เพลงวง yellow fang แทน เพื่อรวบรัดเนื้อหาตอนนี้ แล้วเอาเวลาที่เหลือไปใช้เจาะปัญหาของแต่ละตัวละครแทน ตั้งวงไม่ใช่หนังที่จะมาบอกว่าการรำมันดี มันเป็นวัฒนธรรมไทยที่ต้องสืบสาน แต่ตั้งวงเป็นหนังที่บอกว่าเรามีชีวิตกันอยู่ยังไงในแบบไทยๆ

อย่างไรก็ดี การ 'look good on paper' มันก็ยังมีปัญหาของมันอยู่ คือตั้งวงอาจจะเอาใจกระทรวงได้ และทำหนังที่ตัวเองต้องการได้ แต่ปัญหาของโปรเจคต์แบบนี้ก็คือมันไม่ look good on poster คือแม้ว่าคนทำหนังจะแก้โจทย์และทำหนังที่ตัวเองต้องการได้แล้ว แต่ภาพใหญ่ๆ ของมันว่ามันเป็นหนังที่วัยรุ่นไปรำไทยกันก็อาจจะเป็นตัวสร้างความเหินห่าง และทำให้คนดูไม่ค่อยอยากมาดูเท่าไรอยู่ดี

2) พอพูดถึง montage (การตัดต่อ) มันก็ลามมาถึง film form (รูปแบบของภาพยนตร์) ถ้าเรามองภาพรวมในงานของคงเดช ตั้งวงเป็นหนังที่น่าสนใจมากๆ เพราะมันเป็นหนังที่ 'ไม่เพ้อ' แกนสองขั้วที่มักจะอยู่ในภาพยนตร์ของคนทำหนังค่อนโลกก็คือความฝันและความจริง และคงเดชเป็นคนทำหนังที่สำรวจด้านที่เป็นความฝันเสมอๆ การเอา ตั้งวง มาเทียบกับ สยิว ก็จะเห็นโลกสองแบบจากคนทำหนังคนเดียวกัน สยิวเป็นหนังที่เต็มไปด้วยความฝัน มันเป็นความฝันทั้งในเนื้อหาและในสไตล์ ในเนื้อหาหมายถึงสยิวเป็นหนังที่พูดถึงสังคมไทยที่พร้อมใจกันฝันกลางวันเพื่อหลบเลี่ยงความจริงอันโหดร้าย ในสยิวคือเมืองไทยยุคที่มีพฤษภาทมิฬแต่ทุกคนสนใจละครโทรทัศน์และหนังสือโป๊ ในแง่ของสไตล์ คงเดชสร้างสยิวได้ฟุ้งแฟนตาซีมากๆ ตั้งแต่การคัดเลือกนักแสดง จนถึงการสลับโลกฝันโลกจริง

แต่ในตั้งวงนั้น คงเดชเปลี่ยนไป กล้องของคงเดชนั้นทำหน้าที่ observe สถานการณ์มากกว่า please คนดู เราชอบกล้องในหนังเรื่องนี้ ตอนดูหนังเสร็จ เพื่อนถามว่านึกถึงหนังเรื่องอะไร เราบอกว่านึกว่าดู Final Score อยู่ ถึงตั้งวงจะเป็นหนัง fiction แต่วิธีการออกแบบกล้องมันก็สดเหมือนสารคดีและคอยทำหน้าที่สังเกตการณ์สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า รวมไปถึงบางครั้งก็วิพากษ์วิจารณ์ มันไม่ใช่กล้องแบบที่จะเอาใจคนดู ยั่วคนดู หรือลากให้คนดูมีอารมณ์ร่วมด้วยสุดขีด ไม่ใช่แค่กล้องเท่านั้น แต่การแคสต์ การแสดง การออกแบบบทสนทนา มันก็เป็นการออกแบบที่ไม่ได้เอาใจคนดูตลอดเวลา ตั้งวงไม่ใช่หนังที่เราจะกรี๊ดนักแสดง หรือจำบทสนทนาได้เป๊ะๆ หรือถูกออกแบบมาเพื่อปล่อยมุกหรือปล่อยคำคมทุก 7 นาที ลองเอาการแคสติ้ง หรือการออกแบบประโยคบทสนทนาในตั้งวง ไปเทียบกับ Hormones ก็จะเห็นว่ามันทำหน้าที่ต่างกันมากๆ (อันนี้ไม่ได้ว่า Hormones เพราะต้องเข้าใจว่ามันทำหน้าที่คนละหน้าที่กัน แต่เอา Hormones มาเปรียบเพราะจะเห็นภาพมาก)

Hormones เป็นละคร ซึ่งด้วยความเป็นละครก็คือต้องทำให้คนเกาะขอบจอทีวีหรือขอบจอคอมพิวเตอร์ได้ ทุกเบรค ดังนั้นมันจึงต้อง please คนดูมากๆ ตอบสนองแฟนตาซีของคนดู ชวนฝันชวนเฮิร์ตและกระตุ้นให้ไปเม้ากับเพื่อนต่อบนเฟซบุคระหว่างพักเบรค โฆษณา แต่ตั้งวงไม่ได้เป็นอย่างนั้น จุดเด่นของการอยู่ในโรงหนังก็คืออย่างน้อยคนก็ไม่ได้มีรีโมทหรือจะปิด เปลี่ยนช่องได้ คนดูอยู่ในโรงมืดๆ หรือสภาพ dispositif (dispositif=silence+darkness+distance+projection+audience) ซึ่งไอ้สภาพ dispositif นี่แหละคือลักษณะสำคัญของ cinema ที่แตกต่างจาก tv: มันเอื้อให้เรา observe สิ่งที่อยู่ตรงหน้า (อย่างไรก็ดี cinema มันก็เอื้อให้ถ้ำมองและหลุดไปกับแฟนตาซีได้เช่นกัน แต่ตั้งวงไมไ่ด้เลือกจะเป็นเช่นนั้น)


ที่เด็ดสุดในเรื่องความฝัน/ความจริง ก็เห็นจะเป็นตอนจบ ซึ่งเป็นฉากที่น่าวิเคราะห์เปรียบเทียบกับสยิวเช่นกัน ตอนจบของสยิว ไอ้เต่ากลายเป็นนักเขียนนิยายชื่อดัง มีชีวิตอย่างมีความสุขสมบูรณ์ แต่คงเดชถ่ายฉากซีเควนส์จบของไอ้เต่าเหมือนกับหนังโฆษณา ทุกอย่างดูเพ้อๆ ลอยๆ ส่วนตั้งวงนั้นเลือกจบโดยซีเควนส์โมโนล็อคของเด็กชาย เป็นโมโนล็อคที่มาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยในหนังที่ไม่มีโมโนล็อคมาก่อน และอันที่จริงแล้วเมื่อมันเป็นโมโนล็อค มันก็เป็นเพียง 'ความคิด' หรือสิ่งที่พูดดังๆ ในหัวของตัวละครเท่านั้น แต่คงเดชใช้ 'สิ่งที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริง' มากระแทกเหมือนกับกระชากคนดูให้เห็นโลกความจริง มากไปกว่านั้น ราวกับว่าเด็กชายคนนี้นอกจากจะบอกกับคนดูแล้ว เขายังต้องการบอกไอ้เต่าอีกด้วยว่า ตื่น ตื่นได้แล้วโว้ย

3) จุดเด่นที่สุดจนน่าจะกล่าวขานกันไปอีกนาน ก็คือการนำเสนอภาพความขัดแย้งทางการเมืองในตั้งวง ตั้งวงเป็นหนังที่แหวกออกมาจากทะเลของวาทกรรมการเมือง คือตั้งวงไม่ได้เป็นหนังที่ด่าเสื้อเหลืองล้วนๆ ไม่ได้เป็นหนังที่ด่าเสื้อแดงเพียวๆ ไม่ได้เป็นหนังที่เห็นใจเสื้อเหลืองล้วนๆ ไม่ได้เป็นหนังที่เห็นใจเสื้อแดงเพียวๆ และตั้งวงไม่ได้เป็นหนังที่บอกว่าเรามารักกันเถอะ ในขณะที่หนังหลายๆ เรื่องที่พูดเรื่องการเมือง ทั้งหนังสั้นหนังยาว มักจะตกอยู่ในวาทกรรมที่ว่าไปในข้างต้น (โดยเฉพาะวาทกรรมสุดท้าย คืออย่าทะเลาะกัน เรามารักกันเถอะ) แต่ตั้งวงหลุดออกมาจากสิ่งเหล่านี้ได้ ไม่ว่าคงเดชจะมีแนวคิดทางการเมืองอย่างไรก็ตาม แต่เขาก็ไม่ได้ปล่อยให้หนังของเขา 'ไหล' ไปกับชุดของอุดมการณ์สำเร็จรูปในกระแสธารการเมืองดังที่ว่าไป สิ่งที่คงเดชทำก็คือเขาเป็นคนเขียนบท เขาไม่ใช่คนเขียนเฟซบุคการเมือง และสิ่งที่คนเขียนบทคนนี้เลือกทำก็คือการเกาะกุมธีม ถ่ายทอดตัวละครที่เชื่อมโยงหรือขัดแย้งกับธีมนั้นๆ ในท่ามกลางสมรภูมิของกระแสธารความคิด สิ่งที่คงเดชเกาะตลอดคือ หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่สำรวจเรื่องความเชื่อในสังคมไทยอย่างจริงจัง และการเมืองก็เป็นรูปแบบของความเชื่อหนึ่งในหลายๆ ความเชื่อที่หนังสำรวจ


(ในจุดนี้นั้นผู้เขียนเห็นว่ามันแปลกดี และเป็น paradox คือโดยปกติเรามักจะเจอหนังไทยที่ บนผิวหน้าของภาพนั้นไม่มีเรื่องการเมืองตรงๆ แต่ถ้าเราอ่าน/ไขสัญญะออกเราจึงจะเห็นอุดมการณ์ที่ซ่อนอยู่ข้างใต้, แต่ตั้งวงเป็นหนังที่บนผิวหน้าของภาพนั้นมีการ recreate ภาพเหตุการณ์การเมืองอย่างโจ่งแจ้ง แต่อุดมการณ์ที่ซ่อนอยู่หลังภาพนั้นกลับคลุมเครือ อย่างไรก็ดี การมานั่งเดาอุดมการณ์ของคนทำหนังมันไม่ใช่เรื่องที่พัฒนาสมองเท่ากับการเฝ้าสังเกตว่าหนังที่ถูกออกแบบมาอย่างพิเศษแบบนี้ทำงานอย่างไรกับคนดูในแต่ละกลุ่มที่มีอุดมการณ์ไม่เหมือนกัน พูดแบบทฤษฎีภาพยนตร์คืองานนี้ auteur theory ไม่น่าจะสำคัญเท่ากับ reception theory)

สิ่งที่ผมชอบมากๆ ในการ recreate ภาพสงครามกลางเมืองในตั้งวง ไม่ได้อยู่ที่ว่ามันอยู่บนอุดมการณ์ชุดไหน แต่มันอยู่ที่การบันทึก 'ความรู้สึกร่วม' ที่สัมพันธ์กับ 'เวลา' ตั้งวงมันบันทึกความรู้สึกของคนที่ไม่ได้อินกับการเมืองมากนักเพราะมีปัญหาของตัวเอง ใช้ชีวิตของตัวเองไปเรื่อยๆ แต่แล้วอยู่ดีๆ มันก็มี 'คืนที่ยาวนาน' แทรกขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว ในฉากที่เด็กน้อยออกตามหาพ่อนั้นมันเป็นคืนที่ยาวนาน อยู่ดีๆ หนังที่ set มิติเวลาแบบนึงก็กลายเป็นหนัง real time ขึ้นมา ความรู้สึกว่าคืนนี้มันช่างยาวจริงๆ เกิดขึ้นในฉากนั้น แล้วมันก็เป็นความรู้สึกที่ผมเชื่อว่าคนดูหลายๆ คนยังจำคืนที่เกิดเหตุการณ์สลายเสื้อแดงในเดือนพฤษภาได้อยู่ว่ามันยาวกว่าคืนปกติจริงๆ

แต่คงเดช หรือคนตัดต่อ ก็ตบกลับด้วยการตัดต่อภาพอย่างรวดเร็วใน big cleaning day การเชื่อมซีเควนส์แทบจะ real time ของเด็กน้อยวิ่งหนีลูกกระสุน กับการตัดต่อแบบ quick cut ในช่วงbig cleaning day นี่มันน่าสนใจจริงๆ  เพราะ montage ตรงนั้นมันบอกด้วยภาษาหนังว่าเพียงชั่วพริบตาเดียวจริงๆ พื้นที่ตรงนั้นก็กลับมาอยู่ในสภาพเดิม เหตุการณ์ของคืนอันยาวนานอยู่ดีๆ ก็ถูกล้างหายไปภายในเสี้ยวนาที คงเดชไม่ได้เล่าความสัมพันธ์ของ 'ความรู้สึกร่วม' กับ 'เวลา' โดยผ่านบทสนทนาเลย แต่เขาเล่าผ่านการตัดต่อสองโหมดที่ถูกออกแบบมาให้แตกต่างอย่างสิ้นเชิง ตรงจุดนี้เราขอคารวะจริงๆ

นอกจากนี้ถ้าเรามองในกรอบการวิเคราะห์หนังแบบวิชาภาพยนตร์และเมือง (cinema and city) มันก็จะเห็นได้ว่า ตัวละครหลักในตั้งวงตัวนึงเลยก็คือ space โดยเฉพาะ space ตรงสี่แยกราชประสงค์นี่แหละ ตัวละครนี้มันมีหลายหน้าหลายเฉด เธอเป็นทั้งที่ให้ธุรกิจ เธอเป็นทั้งที่ให้ความเชื่อ (พระพรหม) เธอเป็นทั้งที่ให้คนมาประท้วงการเมือง เธอเป็นทั้งสถานที่ท่องเที่ยวให้ฝรั่ง เป็นฑูตวัฒนธรรมไทย และถ้าเข้าใจไปเองก็อาจจะปล่อยไก่ แต่รู้สึกจริงๆ ว่าเวลาที่ตัวละครไปซ้อมเต้นเกาหลีมันเหมือนกับไปซ้อมตรงห้างอีจีวีเมโทรโปลิสก่อนไฟไหม้ ไม่รู้ว่าไปถ่ายตรงนั้นรึเปล่า แต่ต่อให้ไม่ได้ไปถ่าย มันก็เป็นความดีของหนังที่ทำให้เรานึกไปถึงที่ตรงนั้นได้ แล้ว space ตรงนี้มันก็ถูก contrast โดยอีก space นั่นก็คือ แฟลต ใต้ถุนตึก ร้านเกม โรงเรียนรัฐ ดาดฟ้าที่ตัวละครอยู่ ถามว่าความเป็นไทยในหนังเรื่องนี้คืออะไร ก็ตอบว่าคือชีวิตที่มันเดินไปมาระหว่าง 2 spaces นี่ล่ะ

อีกสิ่งที่ชอบมากๆ ในเรื่องการเมืองก็คือ ตั้งวงนี่เป็นหนังที่ตัวละครต้องการ 'divine intervention' ใช่ไหมครับ หมายถึง ตัวละครไปบน ไปขอ เพื่อให้พระเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ 'แทรกแซง' ชีวิตประจำวันของพวกเขาเพื่อให้พวกเขาได้สิ่งที่พวกเขาต้องการ เด็กเนิร์ดต้องการ divine intervention เพื่อให้พวกเขาชนะการแข่งขัน เด็กแดนซ์เกาหลีต้องการ divine intervention เพื่อให้แฟนรัก อะไรแบบนี้ เฉกเช่นเดียวกับคนกรุงในตอนนั้นที่ต้องการให้เกิดการ intervention อะไรสักอย่างเพื่อให้การชุมนุมของเสื้อแดงยุติลง แล้วสุดท้ายมันก็เกิดเหตุการณ์ intervention จริงๆ แล้วมันเป็น intervention ที่รุนแรงมาก รุนแรงยิ่งกว่าพระเจ้า เพราะแม้กระทั่งศาลพ่อปู่ที่ว่ากันว่าศักดิ์สิทธิ์นักหนาจนตัวละครไปกราบ ไหว้กันค่อนเรื่องอยู่ดีๆ ก็มอดไหม้ไป

There is no divine anymore, only the intervention.

แล้วถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มันยังไม่ทำงานหรือถูกทำลายได้ แล้วมันจะศักดิ์สิทธิ์ไหม? คงเดชเสียดเย้ยตรงนี้ด้วยการผูกอีกเส้นเรื่องว่า จริงอยู่ที่ศาลพ่อปู่ถูกเผาได้ แต่ว่าตัวละครเด็กนักตีปิงปองมันก็รอดตายมาได้นะ เป็นการรอดตายแบบที่อาจจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยด้วยซ้ำ แต่แล้วคงเดชก็ตบกลับอีกทีหนึ่งถึงความศักด์สิทธิ์ของศาลนี้ด้วยโมโนล็อคตอนท้าย เรื่องนั่นล่ะ

เอาเท่านี้ก่อน
       

ที่มา: Graiwoot Chulphongsathorn

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

การประชาสัมพันธ์แบบ "ชัชชาติ"

Posted: 04 Sep 2013 06:43 AM PDT

คนเสื้อแดงต่างบอกว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ "อ่อน" ในเรื่องการประชาสัมพันธ์ผลงาน ส่วนคนเสื้อเหลืองบอกว่า รัฐบาลปูแดง นี่ "บ้า" ประชาสัมพันธ์อย่างที่สุด!!
 
คนเสื้อเหลืองก็มองรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ไม่ต่างจากที่คนเสื้อแดงมองรัฐบาลอภิสิทธิ์ คือ ต่างก็ใช้เงินไปกับการขึ้นคัตเอาท์ ใช้เงินซื้อสื่อเหมือนกัน พอๆ กันนั่นละ มีการผูกขาดสื่ออย่างเต็มที่ 
 
คนเสื้อแดงบอกว่า รัฐบาล "มีผลงาน" แต่พ่ายแพ้ในพื้นที่ "สื่อ" เสมอมานับแต่ได้อำนาจ ขนาดสื่อของรัฐยังไม่ค่อยมีคนดู ไม่มีรายการฮิต ไม่รวมถึงความล่าช้าในสงครามข่าวสาร ตั้งแต่ การเล่นข่าวหรือแก้ข่าว ส่วนใหญ่เป็นไปในลักษณะเน้นการตั้งรับ และทำได้แค่แก้ข่าวในสื่อออนไลน์เท่านั้น แต่ก็เป็นในลักษณะสงครามปิงปองมากกว่าการเป็นข่าวในสื่อกระแสหลัก พูดง่ายๆ ว่า จัดการสื่อไม่ได้ ก็โดนตีกินมาตลอด 
 
คำถาม ก็คือ การประชาสัมพันธ์ คือ อะไร?
และ ทำไมในมุมมองของคน 2 กลุ่มจึงต่างกันขนาดนี้?
......
 
ประมาณ 2-3 เดือนที่ผ่านมา เกิดปรากฎการณ์ "ชัชชาติ" ในสังคมไทย คือ สังคมไทยรู้จัก นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมมากขึ้นเป็นวงกว้าง แต่ก็ไม่ใช่จากการเป็นผู้กุมบังเหียนโครงการยักษ์ อย่างเรื่องรถไฟความเร็วสูง รถไฟรางคู่ เท่านั้น แต่ "ชัชชาติ" ลงมาเล่นกับปัญหาในระบบคมนาคมของประเทศทุกระดับ ความ "ป๊อป" ของ "ชัชชาติ" นั้น กระทบใจทุกคนนะครับ ยิ่งมีภูมิหลังที่ดี เรียนเก่ง เคยเป็นครูบาอาจารย์ และมาในโควต้า "คนนอก" เขาจึงเปิดมิติการมองอะไรแบบสองขั้ว
 
ตั้งแต่ ขึ้นรถเมล์สาย 8, ลองใช้จักรยาน, ไปตรวจรถไฟตกรางที่ลำปาง, ขึ้นรถไฟหวานเย็นไปสุรินทร์, ไปตรวจท่าเรือคลองแสนแสบ ฯลฯ ล่าสุด เช้าวันนี้ ผมเห็นข่าว คุณชัชชาติจะจัดการกับปัญหา Eaay Pass หรือบัตรที่ใช้ในระบบเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติ นี่ถ้าลงไปตรวจหน้าช่องเลยก็คงได้ใจประชาชนขึ้นอีก (ท่านรัฐมนตรี ถึงกับกาหัว ผู้ว่าการทางพิเศษฯ ว่าปัญหานี้ต้องจบโดยเร็ว)
 
แรกๆ คนบางส่วนก็มองว่า "สร้างภาพ" แต่ไม่นาน คนก็เห็นความตั้งใจจริง หรือต่อให้สร้างภาพแต่การทำงานลงภาคสนาม สำรวจปัญหาเอง เดินทางด้วยตนเองประหนึ่งเป็นชนชั้นกลางระดับกลาง-ล่างในสังคม ก็ต้องให้เครดิตรัฐมนตรีหนุ่มท่านนี้
 
ถ้าวิเคราะห์เฉพาะประเด็น "การประชาสัมพันธ์" การทำงานของรัฐมนตรีท่านนี้ เข้ากับ "มุข" ของ "เพจ" ยอดฮิตของฝรั่งในเฟซบุคที่ว่า บุคคลหนึ่ง ทำงานอะไร แล้วชาวบ้านคนต่างๆ ไม่ว่าจะพ่อ แม่ เพื่อน เห็นเขาเป็นคนอย่างไร มองภาพเขาอย่างไร ก็อาจกล่าวได้ว่า การทำประชาสัมพันธ์ในโลกสมัยใหม่ "ไม่ใช่" การไปบอกชาวบ้านว่าตนไปทำอะไร ไม่ใช่บอกว่าไปเปิดป้ายที่ไหน ไปตรวจงานอะไร ในลักษณะข่าวแจกของหน่วยงานต่างๆ (ต่อให้กำลังสิ่งนั้นๆ ทำอยู่ก็ตาม) 
 
แต่เป็นการทำในสิ่งที่ประชาชนเขาอยากให้ทำ สิ่งที่เขาอยากเห็น ทำในสิ่งที่คนเขามองมาแล้ว เขารู้สึกว่า มัน "เกี่ยวข้อง" กับเขา เกี่ยวข้องกับเงินในบัตรเติมเงินของเขา หรือเอาเรื่องเดือดร้อนล่าสุดมาทำจริงๆ ไม่ใช่ไปเปิดป้ายหรือนั่งประชุมอะไรที่มันดูห่างไกลจากปัญหา ห่างไกลจากชีวิตประจำวันของประชาชนจนหาจุดเชื่อมโยงไม่เจอ 
 
"ชัชชาติ" ทำให้คนชั้นกลางระดับกลาง-ล่าง เห็นว่า รถเมล์สาย 8 เกี่ยวกับพวกคุณนะ, เรื่องหมอชิตใหม่เดี๋ยวก็จะเกี่ยวกับพวกคุณ, รถตู้โดยสารก็ด้วย, ทางด่วนก็ด้วย … และผมก็อยู่ด้วยกับพวกคุณ อยู่กับสิ่งที่พวกคุณพบเจอทุกวัน ไม่ใช่แก้ปัญหาสาย 8 ในห้องประชุม
 
ผมไม่ได้อยู่กับแค่ "โครงการในฝัน" ต่อให้วันนี้ "เงิน" ยังไม่มา แต่ผมก็ทำงานในส่วนที่ผมทำได้ ผมไม่รอ!!!
 
ทีมงาน "จาตุรนต์" ไปดูได้เลย รับรองเฟซบุ๊กของรัฐมนตรีศึกษาฯ ฮิตตามมาแน่ ถ้าจับจุดเป็น ไม่งั้นก็รอวันหายไปกับกระแส!! 
.............
 
การจะทำให้ "เสื้อเหลือง" และ "เสื้อแดง" ปราศจาก "อคติ" ทางการเมืองของตนนั้นเป็นเรื่องยากแสนยากครับ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยก็ว่าได้ ยิ่งใช้การประชาสัมพันธ์แบบเดิมๆ อาจจะยิ่งเติมความไม่พอใจขึ้นอีก เช่น บอกว่า การที่นายกฯ บินไปเมืองนอกบ่อยๆ นี่ไปทำงานนะ ชี้แจงตามหลังอย่างเชื่องช้าว่า ได้อะไรติดมือกลับมาบ้างก็ยังไม่เป็นผล (เพิ่งชี้แจงเมื่อวานนี่เอง) แถมคนรับสารก็ไม่เข้าใจอีกว่า การลงทุนที่ต่างชาติบอกจะเข้ามานั้น เข้ามา ตรงไหน อย่างไร ตัวเลขจาก BOI ยังห่างจากชีวิตประจำวัน การปูพรมให้คนรักด้วยการประชาสัมพันธ์ด้านเดียวจึงเป็นเรื่องเก่า ตราบใดที่ไม่ลงไปนั่งคลุกกับปัญหาให้เขาเห็นก็ยากจะได้ใจ 
 
การนำเสนอผลหรือการขยายผลในสิ่งที่ทำไปแล้วนั้น จะต้องทำในแบบที่เข้าถึงใจคน คือ สามารถกระทบความรู้สึกผู้คนได้ จึงจะสามารถช่วยลดอคติการเมืองเรื่อง "สี" ลงไป ให้ประชาชนมาดูที่ผลงานและความตั้งใจจริงของคนทำงาน คนบางส่วนจะเริ่มกลับมาใช้เหตุผล เริ่มมองเห็นความทุ่มเทของเสนาบดีที่เดินออกจากหอคอยงาช้าง มาร่วมชมบ้านเมืองในระดับสายตาเดียวกับพวกเขา และหากทำต่อเนื่อง วิสัยทัศน์ใดๆ ที่นักการเมืองเสนอมาก็ยากจะถูกปฏิเสธจากอคติที่เกิดจากฤทธิ์เดชของการประชาสัมพันธ์ด้านเดียวจากปางก่อน

 

................
 
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ผู้ตรวจการฯ ยุติสอบจำนำข้าวเหตุไม่มีอำนาจ ระบุพบส่อทุจริต แนะใช้ ‘ประกันรายได้’

Posted: 04 Sep 2013 05:23 AM PDT

ผู้ตรวจการแผ่นดินยุติสอบปมรับจำนำข้าวเหตุไม่มีอำนาจส่งศาลวินิจฉัย ระบุพบส่อทุจริต ทำหนังสือแจ้งนายกฯ ปรับนโยบาย แนะใช้ 'ประกันรายได้' ช่วยชาวนา กำหนดราคาใกล้ราคาตลาด-เหมาะสมต้นทุน เปิดการประมูลอย่างเปิดเผย ส่งข้อมูลที่ระบุชื่อบริษัท-ชื่อบุคคลที่ทุจริตให้ ป.ป.ช. สอบต่อ

4 ก.ย.56 สำนักข่าวไทย รายงานว่า นายรักษเกชา แฉ่ฉาย โฆษกและรองเลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน เปิดเผยผลการวินิจฉัยของผู้ตรวจการแผ่นดิน กรณีนายวรา จันทร์มณี และคณะเครือข่ายหยุดผูกขาดตลาดข้าว รวมถึงกรณีนายปราโมทย์ วานิชานนท์ และคณะ ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้พิจารณาตรวจสอบโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาล และมติคณะรัฐมนตรีในการดำเนินโครงการดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ หรือมีพฤติการณ์ส่อทุจริตก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจในประเทศ จึงขอให้ผู้ตรวจการฯ เสนอเรื่องและความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครอง เพื่อวินิฉัยต่อไป ซึ่งนายศรีราชา เจริญพานิช ผู้ตรวจการแผ่นดิน รับผิดชอบตรวจสอบเรื่องนี้ ได้พิจารณาตามพยานหลักฐานและเห็นว่ามติคณะรัฐมนตรีที่แถลงต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2554 มิใช่บทบัญญัติแห่งกฎหมาย ประกอบกับมติของคณะรัฐมนตรีที่เห็นชอบตามนโยบายรับจำนำข้าวเปลือก เป็นการใช้อำนาจในฐานะรัฐบาล มิใช่ปฏิบัตินอกเหนืออำนาจหน้าที่ตามกฎหมายของข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจหรือราชการส่วนท้องถิ่น ตามมาตรา 13 (1) (ก)  แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2552 จึงไม่อยู่ในอำนาจของผู้ตรวจการฯ ที่จะเสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองได้ ตามมาตรา 14 (1) (2) แห่ง พ.ร.บ. ฉบับเดียวกัน ประกอบกับประเด็นอยู่ระหว่างการพิจารณาสอบสวนของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดังนั้น ผู้ตรวจการฯ จึงให้ยุติการพิจารณาตามมาตรา 29 (1) แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2552

นายรักษเกชากล่าวอีกว่า แม้ว่าผู้ตรวจการฯ จะยุติการพิจารณาประเด็นดังกล่าว แต่พบว่านโยบายยังมีปัญหาการทุจริตและประพฤติมิชอบในการดำเนินการของผู้เกี่ยวข้อง ดังนั้น วานนี้ (3 ก.ย.) จึงมีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีและประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) เพื่อพิจารณานโยบายรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาลที่จะเริ่มดำเนินการในปี 2556/2557 ดังนี้ 1.ขอให้พิจารณาใช้นโยบายประกันรายได้มาช่วยเหลือเกษตรกรให้มีรายได้ที่มั่นคง เนื่องจากวิธีการรับจำนำข้าวเปลือกได้เกิดปัญหา เช่น บิดเบือนกลไกตลาด มีข้าวค้างอยู่ในคลังเป็นจำนวนมาก รวมทั้งข้าวที่เก็บไว้ในคลังเสื่อมคุณภาพ เพราะระบายไม่ทัน ทำให้ราคาข้าวตกต่ำ และมีปัญหาการทุจริตในทุกขั้นตอน เอื้อประโยชน์เฉพาะคนบางกลุ่ม 2.ขอให้พิจารณารับจำนำข้าวเปลือกในราคาที่เหมาะสม ใกล้เคียงกับราคาตลาดทั่วไป 3.ขอให้พิจารณากำหนดราคารับจำนำข้าวเปลือกแต่ละชนิดให้เหมาะสมสอดคล้องกับต้นทุนการผลิต โดยอยู่บนพื้นฐานของความสมเหตุสมผล แยกคุณภาพและพันธุ์ข้าวที่รับจำนำให้ชัดเจน 4.ขอให้พิจารณากระบวนการตรวจสอบปริมาณและคุณภาพของข้าวสารที่สีแปรรูปแล้วก่อนจะนำเข้าจัดเก็บในคลังของรัฐบาล โดยจำกัดผู้รับผิดชอบในแต่ละขั้นตอนให้ชัดเจน และมีกระบวนการตรวจสอบอย่างเหมาะสมตลอดเวลา และ 5.ขอให้พิจารณาการระบายข้าวในคลังของรัฐบาล โดยเปิดการประมูลอย่างเปิดเผยเป็นที่ทราบแก่บุคคลทั่วไปในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ค้ารายย่อยมีโอกาสเข้าร่วมการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม

เมื่อถามว่าข้อเสนอแนะที่มีไปยังรัฐบาลแนะนำให้ทบทวนนโยบายจำนำข้าวหรือไม่ นายรักษเกชากล่าวว่า ในที่ประชุมผู้ตรวจการฯ มีการพูดถึง แต่ไม่ถึงกับให้ยกเลิก เพียงแต่เห็นว่าโครงการรับจำนำข้าวหากทำในระยะยาวจะก่อภาระงบประมาณ ถ้าจะทำก็ทำในช่วงระยะเวลาหนึ่ง และถ้ารัฐมองว่าอยากให้ชาวนาได้รับประโยชน์อย่างแท้จริงควรจะพิจารณาโครงการที่สามารถให้ชาวนามีรายได้ที่มั่นคงมากกว่า ส่วนข้อเสนอแนะต่างๆ หากนายกรัฐมนตรีไม่ปฏิบัติตามนั้น โดยอำนาจหน้าที่ของผู้ตรวจการฯ ไม่สามารถทำอะไรได้ ทางผู้ตรวจการฯ จะทำรายงานเสนอต่อรัฐสภา เพื่อให้สมาชิกรัฐสภาใช้กลไกฝ่ายนิติบัญญัติ

นายรักษเกชากล่าวว่า ผู้ตรวจการฯ ส่งข้อมูลการพบทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวที่ได้ลงพื้นที่ไปให้ ป.ป.ช. ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวน โดยการส่งไปให้ ป.ป.ช. แม้ไม่มีการร้องขอ ถือเป็นเรื่องปกติที่กฎหมายให้ผู้ตรวจการฯ สามารถทำได้ และข้อมูลที่ส่งไปมีการระบุชื่อบริษัท ระบุชื่อบุคคล ที่พบว่าร่วมทุจริตในโครงการดังกล่าว แต่ผลการตรวจสอบยังไม่ถึงระดับที่มีนักการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องหรือไม่ เพียงแต่หากนำข้อมูลที่ส่งไปไปสอบขยายผลอาจจะสาวถึงต้นตอได้

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กสม.จับมือ ‘ชมรมร่วมใจไทยกู้ชาติ’ ตั้งสภาปฏิรูปประเทศไทยภาคประชาชน

Posted: 04 Sep 2013 05:02 AM PDT

นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พร้อมด้วย นายวรฤทธิ์ ชินสาย ปธ.ชมรมร่วมใจไทยกู้ชาติ รวมทั้งกลุ่มภาคประชาชน ร่วมกันแถลงตั้ง "สภาปฏิรูปประเทศไทยภาคประชาชน"

4 ก.ย.56 สำนักข่าวไทย รายงาน ที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) พร้อมด้วย นายวรฤทธิ์ ชินสาย ประธานชมรมร่วมใจไทยกู้ชาติ รวมทั้งกลุ่มภาคประชาชน ร่วมกันแถลงตั้ง "สภาปฏิรูปประเทศไทยภาคประชาชน" โดยมีแนวทางการทำงานดังนี้ 1.สร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างผู้มีความรู้ความสามารถจากหลากหลายสาขา เพื่อพัฒนารูปแบบและวิธีการปฏิรูปประเทศไทย 2.จัดทำแผนและโครงการเกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศไทย เสนอต่อประชาชน เพื่อพิจารณาและพัฒนาสู่ผลสัมฤทธิ์ 3.ให้การศึกษาแก่นักการเมือง ข้าราชการ และประชาชน ให้เกิดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตย 4.ส่งเสริม สนับสนุน และดำเนินกิจกรรมทางการเมืองการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และ 5.ร่วมมือกับส่วนราชการ สถาบันศาสนา การศึกษา รัฐวิสาหกิจ องค์การทางธุรกิจ เอกชน ขบวนการประชาชนและชุมชนต่างๆ ในการพัฒนาประชาธิปไตยให้สังคมไทยมีความรู้ ความรัก ความสามัคคี เป็นแบบอย่างที่ดีแก่ประชาคมโลก

นายวฤทธ์กล่าวอีกว่า การปฏิรูปประเทศไทย เรามีเป้าหมายในส่วนของประชาชน รัฐบาลก็ดำเนินการในส่วนของรัฐบาล หากมีสิ่งไหนที่มีทัศนะตรงกันก็สามารถทำงานร่วมกัน ซึ่งเราไม่ได้ออกมาตั้งสภาปฏิรูปเพื่อคัดค้านสภาปฏิรูปของรัฐบาล เราไม่ได้ต้องการปฏิรูปนักการเมือง แต่เราจะปฏิรูปผู้ที่เลือกนักการเมืองหรือประชาชนอีกที อย่างไรก็ตาม สภาปฏิรูปประเทศไทยฯ จะเริ่มลงพื้นที่ทำความเข้าใจกับประชาชนเพื่อทำความเข้าใจถึงหลักการประชาธิปไตยที่ถูกต้อง ให้หลุดพ้นจากการครอบงำความคิดจากพรรคการเมือง โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการภายใน 1 เดือนนี้

ด้าน นพ.นิรันดร์ กล่าวว่า ในปัจจุบันภาคประชาชนเติบโตขึ้นและมีความหลากหลายทางความคิด การตั้งสภาปฏิรูปประเทศไทยภาคประชาชนนั้น มีจุดมุ่งหมายให้ประชาชนทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นเสื้อสีใด สามารถเข้าร่วมได้ เพราะเราต้องการความคิดที่หลากหลาย แม้จะแตกต่างแต่ไม่แตกแยก ซึ่งการพูดคุยนี้จะทำให้ทุกฝ่ายเข้าใจร่วมกันได้ อีกทั้ง กสม.เป็นองค์กรที่ส่งเสริมการทำหน้าที่ของประชาชนและประสานงานกับหน่วยงานของรัฐกับภาคประชาชนตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ เพราะ กสม.เป็นองค์กรอิสระ ไม่ใช่องค์กรการเมือง อย่างไรก็ตาม ขอยืนยันว่าการตั้งสภาปฏิรูปประเทศไทย เรายึดหลักการทำงานที่เกี่ยวข้องกับหลักสิทธิมนุษยชนเท่านั้น

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เกม Rockman เตรียมสร้างใหม่ ระดมผ่าน Kickstarter ไม่ง้อเจ้าของลิขสิทธิ์

Posted: 04 Sep 2013 04:55 AM PDT

อวัตถุศึกษากับอธิป ประมวลข่าวสารด้านลิขสิทธิ์รอบโลก นำเสนอแอปเปิ้ลเตรียมคืนเงินค่ายอมความให้ผู้บริโภค ฐานร่วมสนพ. ขึ้นราคาอีบุ๊กส์, สนพ. เยอรมันฟ้องสำนักข่าวเยอรมันฐานเผยแพร่เว็บไซต์ละเมิดลิขสิทธิ์ ฯลฯ 

Immaterial Property Research Center ตั้งขึ้นในวันที่ 18 มกราคม หรือ "วันเสรีภาพอินเทอร์เน็ต" เพื่อเป็นศูนย์ข่าว ศูนย์ข้อมูล และศูนย์วิจัยด้านความสัมพันธ์ระหว่างระบบทรัพย์สินที่ไม่เป็นวัตถุ (หรือที่เป็นที่รู้จักทั่วไปว่าทรัพย์สินทางปัญญา) ต่างๆ อย่างสัมพันธ์กับระบบกฎหมาย ระบบเศรษฐกิจ และระบบการเมืองในโลก ทางศูนย์ฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่างานของศูนย์ฯ จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของระบบทรัพย์สินที่ไม่เป็นวัตถุที่เอื้อให้เกิดเสรีภาพในเชิงบวกไปจนถึงความเท่าเทียมกันของผู้คนในโลก
 

 

30-08-2013

สมาคมภาพยนตร์แห่งอเมริกา (MPAA) ชนะคดีเว็บฝากไฟล์ Hotfile ฐานเกื้อหนุนให้มีการละเมิดลิขสิทธิ์แล้ว

Hotfile เป็นหนึ่งในสิบในเว็บฝากไฟล์ที่ใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งก็ไม่แปลกที่จะเป็นเป้าใหญ่ของการฟ้องร้องของอุตสาหกรรมลิขสิทธิ์ ซึ่งทาง Hotfile ก็เป็นเว็บที่ถูกฟ้องร้องเป็นเว็บแรกๆ ตั้งแต่ต้นปี 2011 (ทั้งหลังจากกรณีบุกจับ Kim Dotcom และยึดเซิร์ฟเวอร์ Megaupload ตอนต้นปี 2012 แล้วบรรดาเว็บฝากไฟล์ก็ล้วนร้อนๆ หนาวๆ และ "ปรับตัว" การดำเนินการของเว็บให้ถูกต้องตามครรลองระบอบลิขสิทธิ์กันเป็นการใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น 4Share, Mediafire, Rapidshare ถ้าไม่เช่นนั้นปิดตัวไปเลยดังหลายๆ เว็บ)

ในการสู้คดีอันยาวนาน 2 ปีเศษๆ ในที่สุด Hotfile ก็แพ้คดีในศาลชั้นต้น โดยศาลตัดสินว่าทาง Hotfile จงใจจะละเลยไม่จัดการกิจกรรมละเมิดลิขสิทธิ์ที่เกิดขึ้นบนเว็บ

ทั้งนี้ นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแม้ว่าทาง Hotfile จะให้เครื่องมือพิเศษในการให้เครื่องมือลบลิงค์ละเมิดลิขสิทธิ์กับทางเจ้าของลิขสิทธิ์แล้ว และทางบริษัทอย่าง Warner Bros (ซึ่งเป็นสมาชิก MPAA ด้วย) ก็ใช้มันอย่างผิดๆ แล้วลบลิงค์ที่ตนไม่ใช่เจ้าของลิขสิทธิ์จนโดน Hotfile ฟ้องร้องมาแล้ว

News Source: http://torrentfreak.com/mpaa-wins-piracy-battle-against-hotfile-130829/

 

กฎหมายสิทธิบัตรฉบับใหม่ของนิวซีแลนด์ที่แบนไม่ให้มีสิทธิบัตรซอฟต์แวร์ผ่านการลงมติอย่างถล่มทลาย

หลังจากที่รัฐสภานิวซีแลนด์ได้ถกเถียงเรื่องดังกล่าวมาเป็นเวลาราว 5 ปี ก็ได้ลงมติเห็นชอบผ่านกฎหมายสิทธิบัตรฉบับใหม่ด้วยคะแนน 114 ต่อ 5 ซึ่งระบุว่าโปรแกรมคอมพิวเตอร์ "ไม่ใช่สิ่งประดิษฐ์" โดยบางส่วนมองว่าการใช้ถ้อยคำดังกล่าวเป็นไปเพื่อหลีกเลี่ยงถ้อยคำตามสัญญา TRIPS (The Agreement on Trade Related Aspects of Intellectual Property Rights) หรือ การอนุญาตให้ใช้สิทธิตามสัญญา ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่มาพร้อมกับข้อตกลงการค้าเสรี โดยสัญญา TRIPS ระบุว่า สิ่งประดิษฐ์ ไม่ว่าจะเป็นสินค้า หรือขั้นตอนใดๆ ในสาขาเทคโนโลยี จำเป็นต้องจดสิทธิบัตร

News Source: http://arstechnica.com/tech-policy/2013/08/in-historic-vote-new-zealand-bans-software-patents/

 

31-08-2013

ผู้บริโภคอีบุ๊คส์จาก iBookstore  เตรียมรับเงินส่วนแบ่งค่ายอมความกรณี Apple ร่วมมือกับ 6 สำนักพิมพ์ขึ้นราคาอีบุ๊คส์ สูงสุดถึงเล่มละ 3.06 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 92 บาท)

สืบเนื่องจากกรณีละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาดอันลือลั่น จากการร่วมมือกันขึ้นราคาอีบุ๊คของแอปเปิ้ลและ 6 สำนักพิมพ์อันนำมาสู่การแพ้คดีของทั้งหมดและต้องจ่ายค่ายอมความ ตอนนี้ผลประโยชน์ได้คืนสู่ผู้บริโภคอีบุ๊คในช่วงที่มีการตึงราคาแล้ว

ผู้ซื้ออีบุ๊คจาก iBookstore ในช่วง 1 เมษายน 2010 - 1 พฤษภาคม 2012 จะได้รับเงินคืนจากการซื้อหนังสือทุกเล่มในช่วงดังกล่าวเพื่อเป็นเครดิตในการซื้อครั้งต่อไป โดยเงินคือที่ได้รับสูงสุดคือ 3.06 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 92 บาท) ในกรณีที่หนังสือเคยติดอันดับหนังสือขายดีของ New York Times และ 0.73 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 22 บาท) ในกรณีที่ไม่เคยติดอันดับหนังสือขายดีของ New York Times

เงินทดแทนนี้เพิมขึ้นราว 3 เท่าตัวหลังจากสำนักพิมพ์ Penguin (ซึ่งตอนนี้รวมกับ Random House แล้ว) และ Macmillan เพิ่งจะยอมตกลงค่ายอมความ (ในเดือนธันวาคม 2012 และกุมภาพันธ์ 2013 ตามลำดับ) หลังจากทาง HarperCollins, Hachette และ Simon & Schuster ยอมตกลงจ่ายค่ายอมความกับทางกระทรวงยุติธรรมทันทีในเดือนเมษายน 2012

ทั้งนี้ผู้ได้รับการคืนเงินในส่วนนี้ จะได้รับอีเมลล์จากทางผู้ขายอีบุ๊คเพื่อยืนยันอีกที

News Source: http://gigaom.com/2013/08/30/heads-up-ebook-buyers-heres-how-much-youre-likely-to-get-in-the-apple-ebook-settlement/

 

สำนักพิมพ์เยอรมันฟ้องสำนักข่าวเยอรมันฐานลงข่าวเกี่ยวกับเว็บไซต์ละเมิดลิขสิทธิ์

Boox.to เป็นเว็บที่ให้บริการโหลดหนังสือละเมิดลิขสิทธิ์เว็บใหม่ (เพิ่งตั้งมาปลายปี 2012) ของเยอรมันที่อ้างว่ามีคนโหลดหนังสือจากเว็บกว่า 1.5 ล้านเล่มต่อเดือน

ทางสำนักข่าว Der Tagesspiegel ได้ไปสัมภาษณ์เจ้าของเว็บไซต์นี้ แล้วตีพิมพ์บทสัมภาษณ์ออกมาออนไลน์ (อ่านได้ที่ http://www.tagesspiegel.de/kultur/internet-piraterie-buecher-stehlen-als-geschaeftsmodell/8690178.html  - เป็นภาษาเยอรมัน)

ผลคือทางสำนักพิมพ์หลายสำนักร่วมกันฟ้อง Der Tagesspiegel และเว็บข่าวอื่นที่นำบทสัมภาษณ์ไปเผยแพร่ต่อ ฐานการช่วยสนับสนุนการละเมิดลิขสิทธิ์ผ่านการลง URL ของเว็บ Boox.to

อย่างไรก็ดีเรื่องก็ยังไม่ถึงไหน ก็มีการค้นพบว่าแม้แต่ในเว็บทางการของสมาคมสำนักพิมพ์ของเยอรมันก็มีการลง URL ของเว็บ Boox.to เช่นกัน ดังนั้นคดีนี้จึงดูจะไม่มีอนาคตในชั้นศาลเท่าใดนัก

News Source: http://torrentfreak.com/journalists-face-criminal-complaint-for-mentioning-name-of-pirate-site-130830/ 

 

03-08-2013

อดีตทีมสร้าง Rockman ระดมทุนจากฝูงชนในเว็บ Kickstarter เพื่อสร้างเกมแบบ Rockman ขึ้นมาใหม่โดยไม่ง้อบริษัทเจ้าของลิขสิทธิ์ Rockman อย่าง Capcom

ผู้นำโครงการนี้คือ Keiji Mifune ที่ออกจาก Capcom มาตั้งบริษัท Comcept ของตัวเอง เขาเป็นหนึ่งในผู้สร้าง Rockman ขึ้นมาเมื่อกว่า 25 ปีก่อนในปี 1987 ซึ่งตัวเขามีส่วนสำคัญในการออกแบบตัว Rockman และตัวละครต่างๆ ใน Rockman ภาคแรกๆ

ในทีมของเขาจากญี่ปุ่นมีอดีตผู้เคยสร้างสรรค์เกมของ Capcom มากมายทั้งผู้ออกแบบเสียงประกอบอันคลาสสิคของเกม ผู้ออกแบบด่านต่างๆ ในภาคแรก ไปจนถึงโปรแกรมเมอร์ของ Rockman ภาคหลังๆ และอดีต "เลือดใหม่" ที่ออกแบบเกมในบริษัท Capcom ในช่วงหลังๆ

อีกด้านหนึ่งเขาก็มีทีมฝั่งอเมริกาที่ดูแลเรื่องการแปลเกม การระดมทุนผ่านฝูงชน ฯลฯ ซึ่งนี่เป็นทีมที่สำคัญทีเดียวเพราะขณะนี้การระดมทุนในเว็บ Kickstarter นั้นยังจำกัดอยู่แค่ผู้ขอระดมทุนในอเมริกาและอังกฤษเท่านั้น (ล่าสุดมีการประกาศไม่เดือนมิถุนายน 2013 ที่ผ่านมาว่าทาง Kickstarter กำลังจะขยายไปที่แคนาดาเท่านั้น)

โครงการ Kickstarter นี้จัดได้ว่ามาแปลกมากๆ ที่ปราศจากวีดีโอแนะนำโครงการ แต่ประกอบไปด้วยคำบรรยายอันยาวยืดแทน ซึ่งกว่าผู้เขียนจะอ่านจบการระดมทุนที่ขึ้นอย่างรวดเร็วก็ทำให้ระดมทุนได้ตามยอด 9 แสนดอลลาร์สหรัฐ (ราว 27 ล้านบาท) ในเวลา 2 วันหลังเปิดระดมทุนแล้ว

รายละเอียด "รางวัล" (reward) ของผู้สนับสนุนมีมากมายไปตามลำดับขั้น ตั้งแต่ระดับต่ำสุดที่จะได้เป็นสมาชิกกระดานสนทนาในการพัฒนาเกม Mighty No. 9 การได้สิทธิ์ดาวน์โหลดเกมไปครอบครอง การได้สิทธิ์โหลดสมุดภาพพร้อมเพลงประกอบเกม การได้กล่องเกมแบบจับต้องได้ การได้เสื้อยืดและสิทธิ์ในการเล่นเกมเวอร์ชั่นเบต้าและเวอร์ชั่นพิเศษ การมีส่วนในการออกแบบ "การท้าทาย" (achievement) ในเกม การได้ร่างตัวละครด้วยลายมือพร้อมลายเซ็นของ Keiji Mifune ไปครอบครอง การได้มีเสียงปรากฎในฉากจบของเกมตอนเครดิตขึ้น การมีหน้าไปปรากฎในตัวเกม การมีส่วนในการออกแบบศัตรูในเกมผ่านวีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์กับทีมงาน การตัวโมเดลบอสในเกมแบบปริ๊น 3D พร้อมเสื้อยืดพิเศษลายบอสในเกม ไปจนถึงการได้มีส่วนร่วมในการออกแบบศัตรูในเกมไปจนถึงการได้รับประทานอาหารเย็นกับ Keiji Mifune

ทางทีมพัฒนาเกมดูจะเน้นการมีส่วนร่วมของผู้สนับสนุนมากๆ โดยจะมีการให้โหวตและแสดงความเห็นเกี่ยวกับการออกแบบตัวละครต่างๆ และรายละเอียดของเกมเป็นระยะในกระดานสนทนาที่ผู้สนับสนุนทุกคนจะได้สิทธิ์มีส่วนร่วม

ทั้งนี้ขณะที่ผู้เขียนกำลังเขียนนี้ การระดมทุนครั้งนี้ก็ทะลุเป้าการระดมทุนพิเศษอันแรกที่ 1.2 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 36 ล้านบาท) ที่ทางทีมงานจะเพิ่มด่านในเกมขึ้นมาอีก 2 ด่านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

อย่างไรก็ดีการระดมทุนได้สูงขนาดนี้เพื่อทำวีดีโอเกมก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนัก เพราะจากสถิติการระดมทุนสูงที่สุดในเว็บ Kickstarter 10 อันดับแรกก็เป็นการระดมทุนทำวีดีโอเกมไปเสียครึ่งหนึ่งแล้ว (http://en.wikipedia.org/wiki/Kickstarter)

News Source: http://www.kickstarter.com/projects/mightyno9/mighty-no-9
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สค.ปท. ประณาม รบ.ละเลยแก้ปัญหายาง-ปาล์ม

Posted: 04 Sep 2013 04:35 AM PDT

สภาเครือข่ายองค์กรเกษตรกรแห่งประเทศไทยประณามรัฐใช้ความรุนแรงผู้ชุมนุมกรณียาง-ปาล์ม เสนอการประกันราคาผลผลิตสินค้าเกษตร เอาผิด จนท.ที่ใช้ความรุนแรง และนำตัวผู้สังหารผู้ชุมนุมมาลงโทษ วอนสื่อเสนอข่าวตรงไปตรงมา

4 ก.ย.56 สภาเครือข่ายองค์กรเกษตรกรแห่งประเทศไทย(สค.ปท.) โดยนางกิมอัง พงษ์นารายณ์ ผู้ประสานงานสภาเครือข่ายฯ ออกแถลงการณ์ ประณามการกระทำของรัฐบาลที่ละเลยปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรสวนยางพาราและสวนปาล์มน้ำมัน ต่อการใช้ความรุนแรงข่มขู่คุกคามและการฟ้องร้องดำเนินคดีแกนนำผู้ชุมนุม เรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการแก้ไขปัญหาราคายางพาราและปาล์มน้ำมัน ตลอดจนผลผลิตการเกษตรอื่นๆที่ตกต่ำ ตามข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุม คือ การประกันราคาผลผลิต ดำเนินการเอาผิดต่อเจ้าหน้าที่รัฐที่ใช้ความรุนแรง นำตัวผู้ลอบสังหารลูกหลานเกษตรกรมาลงโทษ และเรียกร้องต่อสื่อมวลชนให้นำเสนอความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในพื้นที่อย่างตรงไปตรงมา 

แถลงการณ์

สภาเครือข่ายองค์กรเกษตรกรแห่งประเทศไทย(สค.ปท.)

เรื่อง ขอประณามการกระทำของรัฐบาลที่ละเลยปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรสวนยางพาราและสวนปาล์มน้ำมัน

นับจากการชุมนุมของพี่น้องเกษตรกรผู้ปลูกยางและปลูกปาล์ม เพื่อเรียกร้องรัฐบาลให้ความสำคัญกับราคาขายยางพาราและราคาขายปาล์มน้ำมันที่ตกต่ำ ตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคม 2556 ที่ผ่านมา สิ่งที่รัฐบาลได้แสดงออกต่อการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรกรณีดังกล่าว คือการช่วยเหลือโดยการจ่ายค่าชดเชยปัจจัยการผลิต(ปุ๋ย)ให้ในราคาไม่เกิน 1,260 บาท/ไร่ แต่ในความเป็นจริงพี่น้องเกษตรกรต้องการให้รัฐบาลประกันราคายางพาราและปาล์มน้ำมันเหมือนกับการประกันราคาข้าวเปลือก ดังนั้นการที่รัฐบาลเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าวจึงไม่สอดคล้องกับความต้องการของพี่น้องเกษตรกร

และสิ่งที่ปรากฏต่อสาธารณะชนคือ การที่รัฐบาลใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเพี่อจะสลายการชุมนุมของพี่น้องเกษตรกร จนทำให้เกิดการบาดเจ็บเป็นจำนวนหลายราย และล่าสุดมีการลอบยิงลูกหลานเกษตรกรที่ร่วมชุมนุมจนเสียชีวิต 1 คน และบาดเจ็บอีก 1 คน ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรัฐบาลจะปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องคงไม่ได้ เพราะการแก้ไขปัญหาราคายางพาราและราคาปาล์มน้ำมันที่ล่าช้า เกิดจากการที่รัฐบาลมองว่าพี่น้องเกษตรกรภาคใต้ที่ชุมนุมอยู่เป็นการชุมนุมเคลื่อนไหวทางการเมือง จนละเลยต่อการแก้ปัญหาราคาผลผลิตที่ตกต่ำของพี่น้องเกษตรกร ซึ่งส่งผลให้สถานการณ์ขยายตัวจนอาจทำให้รัฐบาลไม่สามารถควบคุมต่อไปได้

ดังนั้น สภาเครือข่ายองค์กรเกษตรกรแห่งประเทศไทยจึงมีท่าทีต่อสถานการณ์ดังกล่าว ดังนี้

1. ขอประณามการกระทำของรัฐบาลที่ใช้ความรุนแรงกับพี่น้องเกษตรกรชาวสวนยางพาราและสวนปาล์มน้ำมันภาคใต้ ทั้งการกระทำที่ข่มขู่คุกคามและการฟ้องร้องดำเนินคดีแกนนำผู้ชุมนุม

2. ขอเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการแก้ไขปัญหาราคายางพาราและปาล์มน้ำมัน ตลอดจนผลผลิตการเกษตรอื่นๆที่ตกต่ำ ตามข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุม คือ การประกันราคาผลผลิต

3. ขอให้รัฐบาลดำเนินการเอาผิดต่อเจ้าหน้าที่รัฐที่ใช้ความรุนแรงกับพี่น้องเกษตรกร ตลอดจนนำตัวผู้ลอบสังหารลูกหลานเกษตรกรมาลงโทษให้ได้

4. ขอเรียกร้องต่อสื่อมวลชนให้นำเสนอความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในพื้นที่อย่างตรงไปตรงมา เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อสาธารณะชนต่อไป

สภาเครือข่ายองค์กรเกษตรกรแห่งประเทศไทยและสมาชิกทั่วประเทศ ขอยืนอยู่ข้างเกษตรกรผู้ได้รับความเดือดร้อนและพร้อมที่จะเข้าร่วมชุมนุมกับพี่น้องเกษตรกรภาคใต้ทันทีหากรัฐบาลมีท่าทีเพิกเฉยต่อการแก้ไขปัญหาดังกล่าว

 

ด้วยความสมานฉันท์

 

นางกิมอัง พงษ์นารายณ์

ผู้ประสานงานสภาเครือข่ายองค์กรเกษตรกรแห่งประเทศไทย

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'สุภิญญา' ไม่เห็นด้วย 4 กทค. ฟ้องทีดีอาร์ไอ-สื่อ

Posted: 04 Sep 2013 04:08 AM PDT

สุภิญญา กลางณรงค์ หนึ่งใน กสทช. ไม่เห็นด้วยกับการฟ้องร้องดร.เดือนเด่น – ทีดีอาร์ไอ และณัฐฐา – ไทยพีบีเอส พร้อมย้ำ กสทช.ต้องโปร่งใสตรวจสอบได้ ควรใช้วิธีดีเบตข้อมูลผ่านสื่อสาธารณะแทน

(4 ก.ย.56) สุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ  (กสทช.) ด้านคุ้มครองผู้บริโภคและส่งเสริมสิทธิเสรีภาพประชาชน เปิดเผยความเห็นหลังมีข่าว สำนักงาน กสทช. และคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กทค. 4 คน (ไม่รวม กสทช.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา) ร่วมเป็นโจทก์ยื่นฟ้องหมิ่นประมาทใส่ข้อความเป็นเท็จ กับ ดร.เดือนเด่น นิคมบริรักษ์ ผู้อำนวยการวิจัย มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(TDRI) และนางสาวณัฐฐา โกมลวาทิน ผู้สื่อข่าวและผู้ดำเนินรายการ "ที่นี่ไทยพีบีเอส" จากกรณีการนำเสนอข่าวการออก (ร่าง) ประกาศ กสทช. เรื่องมาตรการคุ้มครองผู้ใช้บริการเป็นการชั่วคราวในกรณีสิ้นสุดการอนุญาต สัมปทาน หรือสัญญาการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ พ.ศ. ...  หรือ ร่างประกาศสัมปทานจำแลง(ที่สังคมวิพากษ์วิจารณ์) เมื่อกลางเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา

โดยสุภิญญา กล่าวว่า การฟ้องร้องครั้งนี้ไม่เห็นด้วยอย่างมาก เพราะถือเป็นการคุกคามสิทธิเสรีภาพสื่อ เสรีภาพนักวิชาการ และเสรีภาพในการนำเสนอข่าวที่ทำหน้าที่ตรวจสอบองค์กรอิสระภาครัฐจากคนภายนอก การฟ้องร้องครั้งนี้กลับยิ่งทำให้องค์กรได้รับความเสียหายมากกว่า เพราะการที่ กสทช.ถูกวิพากษ์วิจารณ์และอาจไม่พอใจกับข้อมูลที่ได้รับการตรวจสอบนั้น ก็สามารถใช้สิทธิในการโต้แย้ง (Rights of Reply) เพื่อชี้แจงข้อมูลผ่านการแถลงข่าว ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงการใช้งบประมาณซื้อพื้นที่สื่อเพื่อการโฆษณาประชาสัมพันธ์งานของ กสทช. ซึ่งเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์มาโดยตลอด  รวมทั้งพบว่าสถานีโทรทัศน์บางช่องได้เชิญกรรมการบางท่านไปออกรายการเพื่อชี้แจง แต่กลับได้รับการปฏิเสธไม่ร่วม การกระทำเช่นนี้ย่อมอาจถูกมองได้ว่าเป็นการปฏิเสธการตรวจสอบจากภายนอก ซึ่งขัดเจตนารมณ์การเป็นองค์กรอิสระที่ต้องมีหลักธรรมาภิบาลเรื่องความโปร่งใสตรวจสอบได้

สุภิญญา ตั้งข้อสังเกตด้วยว่า เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ได้เคยมีความพยายามของ กสทช. บางท่านเสนอวาระเข้าสู่ที่ประชุม กสทช. เพื่อเสนอให้มีการจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของกรรมการเสียงข้างน้อย  ซึ่งตนเองไม่เห็นด้วยกับวาระดังกล่าวเนื่องจากเห็นว่าเป็นการลิดรอนสิทธิในการแสดงความเห็นของกรรมการที่เห็นต่าง แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะขยายไปสู่การฟ้องร้องนักวิชาการและสื่อสาธารณะ

สุภิญญา กล่าวว่า คงต้องมีการทำบันทึกถามว่า การฟ้องร้องครั้งนี้ได้ผ่านความเห็นชอบของบอร์ด กสทช. 11 คน หรือยัง เพราะ 7 คนที่เหลือ ยังไม่ได้เห็นชอบอาจจะถูกเข้าใจผิดจากสังคมได้ ส่วนตัวอยากขอให้สำนักงาน กสทช.และบอร์ด กทค. 4 ท่าน ทบทวนการฟ้องร้องนี้ แล้วใช้การดีเบตต่อสาธารณะในการให้ข้อมูลข้อโต้แย้งแทน

"หากคดีนี้เข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาล ดิฉันในฐานะ กสทช. จะร่วมเบิกความเป็นพยานให้ฝ่ายจำเลย และถึงเวลานั้น ดิฉันอาจมีความจำเป็นที่จะขอเรียกเอกสารหลักฐานภายในสำนักงาน กสทช.ที่เกี่ยวข้องเพื่อเปิดเผยในชั้นศาลและสาธารณะต่อไป" สุภิญญากล่าว

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ทีดีอาร์ไอ-ไทยพีบีเอส เตรียมแถลงโต้ กทค. กรณีฟ้อง ‘เดือนเด่น-ณัฏฐา’

Posted: 04 Sep 2013 03:31 AM PDT

สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ มาลี บุญศิริพันธ์ และมาลี บุญศิริพันธ์ เตรียมแถลงข่าว  "กรณี กทค. ป้องหมิ่นประมาทนักวิชาการและสือมวลชน" ชี้คุกคามการทำงานตรวจสอบ กทค. 5 ก.ย.56 เวลา 10.00 น. ที่สมาคมนักข่าวฯ

 ทีมสื่อสารสาธารณะ-ทีดีอาร์ไอรายงานว่า 5 ก.ย.56 เวลา 10.00 น.  ดร. สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ), รศ.ดร.มาลี บุญศิริพันธ์ ประธานกรรมการนโยบาย Thai PBS และ วิสุทธิ์ คมวัชรพงษ์ นายกสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย จะแถลงข่าว "กรณี กทค. ป้องหมิ่นประมาทนักวิชาการและสือมวลชน" ที่อาคารสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย (ตรงข้ามโรงพยาบาลวชิระ ถ. สามเสน) จากกรณีที่ คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) ซึ่งประกอบด้วยพันเอกเศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ, นายสุทธิพล ทวีชัยการ, พลเอกสุกิจ ขมะสุนทร, นายประเสริฐ ศีลพิพัฒน์ และสำนักงาน กสทช. โดยนายฐากร ตัณฑสิทธิ์ ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้องคดีหมิ่นประมาท ดร. เดือนเด่น นิคมบริรักษ์ ผู้อำนวยการวิจัย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) และนางสาวณัฏฐา โกมลวาทิน ผู้ดำเนินรายการสถานีโทรทัศน์ Thai PBS ในเรื่องที่เกี่ยวกับสัญญาโทรศัพท์เคลื่อนที่ 1800 MHz โดยกล่าวหาว่า บุคคลทั้งสองได้ใส่ความโจทก์ ทำให้เกิดความเสียหายนั้น

สำหรับการแถลงนั้นเนื่องจากทีดีอาร์ไอ, ไทยพีบีเอส และสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ในฐานะองค์กรกลางของสื่อวิทยุและโทรทัศน์ เห็นว่า การดำเนินการดังกล่าวของ กทค จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อในการคุกคามการทำงานของนักวิชาการ และสื่อมวลชนในการตรวจสอบการทำงานของ กทค. อันจะเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ จึงจะเปิดแถลงข่าวเพื่อสื่อสารให้สังคมเข้าใจต่อการทำหน้าที่ของนักวิชาการและสื่อมวลชน และชี้ให้เห็นถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการดังกล่าวของ กทค.

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น