ประชาไท | Prachatai3.info |
- สาระ+ภาพ: ประเทศที่มีรัฐประหารหลังปี 49 - ตอนนี้อยู่ตรงไหนกัน?
- นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช: ใครคือคนเสื้อแดง
- รายงานเสวนา “เบื้องหลังรัฐประหาร 6 ตุลา 19 ถึง 19 กันยา 49 สำเนาถูกต้อง”
- ประชาธรรม : โอฬารเผยผลเจรจา FTA รอบ 2 แจงสหภาพยุโรปรุกไทยด้านจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
- นศ.รามฯ สมทบชุมนุมสวนยางจี้รัฐแก้ปัญหา
- เปิดวาระ กสทช.เสียงข้างน้อย กรณี กสทช.ยื่นฟ้องหมิ่นประมาทนักวิชาการ-สื่อ-คำชี้แจงจาก 4 กทค.
- 'อ่านนายผี' จากการเมืองของนายผี สู่ การเมืองของเสื้อแดง-ปัญญาชนปัจจุบัน
- สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ: ก่อนจะเป็น ปตท.
- เรื่องราวการต่อสู้ของคนงานเก็บเบอร์รี่ชาวไทยที่ฟินแลนด์
- เปิดรับผู้มีคุณสมบัติเป็น กกต.-ปปช. 23-30 ก.ย.
- ทีดีอาร์ไอขอใช้อำนาจศาลพิสูจน์คดีนักวิชาการถูกฟ้องหมิ่น ยันกรณีปัญหา 'ซิมดับ' ควรดีเบตเพื่อประโยชน์สาธารณะ
- เอฟทีเอ ว็อทช์ ถามจุดยืนหมอประดิษฐ ยอมให้อียูแทรกแซงผู้เจรจาหรือไม่
- สพฉ.ฝึกทีมกู้ชีพชายแดนภาคใต้ พื้นที่เสี่ยงต่อการปะทะ เรียนรู้การช่วยชีวิตในพื้นที่ความไม่สงบ
- เครื่องแบบนักศึกษา: โลกเสรีในมุมมองคนต่างยุค
- กองกำลังรัฐบาลอียิปต์บุกยึดคืนย่านชุมชนเครดาซะห์จากกลุ่มติดอาวุธ
สาระ+ภาพ: ประเทศที่มีรัฐประหารหลังปี 49 - ตอนนี้อยู่ตรงไหนกัน? Posted: 20 Sep 2013 11:50 AM PDT อัพเดตสถานการณ์ประเทศรอบโลกที่เกิดรัฐประหารหลังปี 2549 และสำรวจว่าสถานะทางการเมืองในปีนี้พวกเขาอยู่จุดไหนกัน ทั้งนี้ตั้งแต่ปี 2549 ประเทศที่ทำรัฐประหาร เรียงลำดับก่อน-หลังได้แก่ ไทย ฟิจิ มอริเตเนีย กินี ฮอนดูรัส ไนเจอร์ มาลี กินีบิสเซา และล่าสุดอียิปต์ หลายประเทศมีการจัดการเลือกตั้งและมีรัฐบาลมาจากการเลือกตั้งแล้ว บ้างยังคงสืบมรดกที่ตกทอดมาจากการรัฐประหาร และหลายประเทศยังคงไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง |
นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช: ใครคือคนเสื้อแดง Posted: 20 Sep 2013 09:34 AM PDT ความขัดแย้งทางการเมือง การเคลื่อนไหวทางการเมือง คัดค้าน ต่อต้าน มุ่งโค่นล้มรัฐบาลของฝ่ายตรงข้าม ได้เริ่มพัฒนาต่อเนื่องตั้งแต่ ปี พ.ศ.2548 จนถึงปัจจุบัน และเกิดปะทุรุนแรงหลายครั้ง เริ่มตั้งแต่การรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลจากการเลือกตั้งเมื่อ 19 กันยายน พ.ศ.2549 ฉีกรัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ.2540, จากนั้น การปะทะกัน เมื่อตุลาคม 2551, เมษายน-พฤษภาคม 2552, เมษายน-พฤษภาคม 2553 แบ่งเป็นมวลชนเสื้อเหลืองและมวลชนเสื้อแดง เสื้อเหลือง สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องสนับสนุนให้ทหาร และศาลมีบทบาทเกี่ยวข้องทางการเมืองสนับสนุนพรรคการเมืองฝ่ายตนเองให้มีอำนาจปกครองแม้จะพ่ายแพ้การเลือกตั้ง ในขณะที่ฝ่ายเสื้อแดงสนับสนุนพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อไทยที่เป็นฝ่ายชนะการเลือกตั้งทุกครั้ง แต่เป็นฝ่ายเสียเปรียบทุกครั้งที่มีเรื่องถึงศาลและองค์กรอิสระ จนเกิดคำขวัญและเป้าหมายการต่อสู้เป็น "สู้กับความไม่เป็นธรรม : สองมาตรฐาน" ด้วยความเชื่อพื้นฐานว่า สถานะการดำรงอยู่ในสังคมเป็นปัจจัยกำหนดความคิด ความเห็น และการตัดสินใจทางการเมือง และมีลักษณะเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา (dynamic) ด้วยความสงสัยและอยากรู้เรื่องนี้ ได้ร่วมถกแถลงแลกเปลี่ยนความเห็นและข้อมูลกับท่านผู้รู้หลายท่าน ตั้งสมมติฐานและหาข้อมูลสนับสนุน ในที่นี้ขอนำข้อวิเคราะห์ของดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ และคณะ ที่รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ และ สำนักงานเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไว้น่าสนใจมาก สรุปในข้อ 1-3 ดังนี้ 1) ความยากจนลดลงอย่างมากมาย แม้ช่องว่างระหว่างผู้มีรายได้สูงกับผู้มีรายได้ต่ำยังดำรงอยู่
2) ระดับการครองชีพและวิถีชีวิตเปลี่ยนไป โดยเป็นวิถีชีวิตของชนชั้นกลางมากขึ้นมาก ดังเห็นได้ว่า ในรอบ 40 ปีที่ผ่านมา ฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมที่วัดช่วง 1960-1969 เทียบกับ 2000-2009 ดังนี้ 2.1) สัดส่วนของผู้มีรายได้ ต่ำกว่าเส้นความยากจน เปลี่ยนแปลงลดลงจาก ร้อยละ 96% ในช่วง1960-1969 เหลือเป็น 13% ในช่วง 2000-2009 2.2) สุขภาพอนามัยดีขึ้นมาก โดยดูจากตัวชี้วัดด้านอัตราการตายของทารก (infant mortality rate) จาก 15%ในช่วงปี 1960-1969 ลดลงเหลือ อัตรา <1% ในช่วง 40 ปีต่อมา ช่วง 2000-2009 2.3) การศึกษาพื้นฐาน เราเปลี่ยนสัดส่วนผู้มีโอกาสเรียนจบประถมศึกษา จากพียง 36% เมื่อ 1960-1969 เป็น 100% ในช่วง 2000-2009 2.4) กลุ่มอาชีพต่างๆ ที่ถือว่ายากจนมีรายได้ เฉลี่ย 219-320% ของเส้นความยากจน กล่าวคือ 'เกษตรรับจ้าง' ที่ถือว่ามีรายได้ต่ำที่สุดยังไดัรับ 219% ในขณะที่ 'คนจนเขตเมือง' มีรายได้ 320% ของเส้นความยากจน ย่อมเป็นตัวชี้วัดได้ว่า ส่วนใหญ่ชาวไทยพ้นจากความยากจนแล้ว 2.5) โทรศัพท์มือถือทั่วถึง เชื่อมความรับรู้และสื่อข่าวสาร โดยสรุปแม้จะมีชาวไทย 7.2% มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน แต่ประชาชนส่วนใหญ่ มีรายได้ พออยู่พอกิน สุขภาพดีขึ้น มีการศึกษาทั่วถึง มีการสื่อสารทั่วถึงที่จะเชื่อมโยงความรับรู้ของคนในครอบครัวที่ย้ายมาทำมาหากินในภาคการผลิตอุตสาหกรรมที่ให้รายได้ดีกว่า หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่ง ประชากรที่ยากจนในชนบทได้ยกระดับเป็นชนชั้นกลางมีสุขภาพ การศึกษา และการรับรู้สื่อข่าวสารดีดุจเดียวกันหรือใกล้เคียงกับคนชั้นกลางในเมือง 3) นโยบายรัฐบาลทักษิณสร้างงานให้เอกชน ที่เพิ่มการจ้างงาน ลดความเติบโตของภาครัฐ เป็นผลที่สอดคล้องกับวิถีเปลี่ยนของสังคม และให้อำนาจกับประชาชนที่เคยด้อยโอกาสมาก่อน จากตารางข้างบน เห็นชัดว่า การจ้างงานภาคเอกชนและการเป็นเจ้าของกิจการเอกชนเติบโตมากในยุค 2001-2005 และชะลอตัวหลังจากการรัฐประหาร เมื่อ 2006 เป็นต้นไป (กราฟบนซ้าย) และเห็นเปรียบเทียบการจ้างงานภาครัฐและเอกชนได้ชัดว่า การจ้างงานของเอกชนโตขึ้นมาก ในยุครัฐบาลทักษิณ 2001-2005 และลดลงอย่างเห็นได้ชัด หลังรัฐประหาร หลัง 2006 ที่ลดอำนาจและโอกาสของภาคเอกชน แต่ฟื้นอำนาจของภาคราชการ (กราฟบนขวา) และยิ่งเปรียบเทียบกับตารางการสร้างงานจำแนกรายปี ยิ่งเห็นชัดถึงจำนวนหน้าที่การงาน ที่เพิ่มขึ้น ระหว่าง 2001-2005 รวมเท่ากับ 3.36 ล้านงาน ในขณะที่ หลังรัฐประหาร ระหว่าง 2006-2010 สร้างงานได้เพียง 1.75 ล้านงาน แน่นอนที่สุดข้อมูลหยาบไปที่จะได้ข้อสรุป แต่กลายที่ข้อสนับสนุนสำคัญกับแนวคิดนโยบาย "ขจัดความยากจน ด้วยการลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส" "เน้นการเติบโตสร้างงาน สร้างรายได้ของประชาชน" เช่น การสนับสนุนการสร้างธุรกิจ SME, (กู้วิกฤตเศรษฐกิจ 2540 ที่สถาบันการเงิน และธุรกิจขนาดใหญ่เกิดปัญหารุนแรงด้านการเงิน), การพักหนี้เกษตรกร, กองทุนหมู่บ้าน, ธนาคารประชาชน การส่งเสริมการสร้างรายได้จากโครงการ OTOP, การเพิ่มรายได้เกษตรกรโดยการดูแลราคาพืชผลเกษตร เช่น ยางพารา ข้าวสาร ผ่านความเข้าใจที่ถูกต้องของกลไกตลาด นโยบายเหล่านี้ นอกจากสร้างโอกาสสร้างรายได้ แล้วยังสร้างโอกาสสร้างผู้ประกอบการใหม่ๆ อาชีพใหม่ๆ รายเล็กรายน้อยมากมายอีกด้วย ซึ่งเป็นการเสี่ยงลงทุนด้วยตนเอง 4) การเร่งรัดเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและโครงสร้างทางสังคมอันเป็นผลจากการก้าวรุดหน้าของเทคโนโลยี ทำให้ดุลย์อำนาจทางการเมืองในสังคมปรับตัวตามไม่ทัน นำมาซึ่งความขัดแย้งที่รุนแรงในสังคม การพัฒนาแบบเปลี่ยนผ่าน (transition) จากสังคมแบบดั้งเดิมที่ประชากรส่วนใหญ่พึ่งพิงวิถีการผลิตแบบเกษตรกรรมล้าหลังและมีฐานะทางเศรษฐกิจยากจน จึงมีอำนาจ (การเมือง) และโอกาสที่อ่อนด้อยกว่าประชากรส่วนน้อยอยู่อาศัยอยู่ในเมืองที่พึ่งพิงวิถีการผลิตและความสัมพันธ์ทางสังคมแบบอุตสาหกรรมและบริการที่ทันสมัยกว่า และกระจุกตัวในเมือง เขาเหล่านั้น จึงมีฐานะเศรษฐกิจที่เหนือกว่า กุมอำนาจและสิทธิประโยชน์สืบเนื่องมาแต่เก่าก่อน เราอาจเรียกกลุ่มชนส่วนใหญ่ของสังคมเมืองและมีอำนาจเหล่านี้ว่า "ชนชั้นกลางเก่า" แต่เทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์และการสื่อสารที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ เป็นปัจจัยสำคัญที่เร่งรัดทำให้อัตราการเปลี่ยนแปลงของการผลิต (productivity) ในภาคอุตสาหกรรม ก้าวพัฒนารวดเร็ว ทำให้เกษตรกรผู้ยากไร้ในชนบท มีโอกาสศึกษามากขึ้น และระดับการศึกษาสูงขึ้นด้วย หางานในตลาดแรงงานของภาคอุตสาหกรรมและบริการในเขตเมืองที่ให้รายได้ดีกว่า ส่งถ่ายรายได้และความเจริญครอบครัวที่บ้านเกิดในชนบท การสื่อข่าวสาร การเรียนรู้ และวัฒนธรรมได้ถ่ายทอดผ่านการสื่อสารและสื่อสารมวลชน สังคมชนบทจึงถูกแปรเปลี่ยนเป็น "ชนชั้นกลางใหม่" ที่มีฐานะทางเศรษฐกิจใกล้เคียง ทัดเทียม ชนชั้นกลางเก่า ส่วนหนึ่งอพยพย้ายถิ่นฐานไปในกรุงเทพฯ และหัวเมืองในจังหวัดต่างๆ เพื่อหาโอกาส หารายได้ ความก้าวหน้าและโอกาสการศึกษาให้ตนเองหรือลูกหลาน 5) "ชนชั้นกลางใหม่" คือผู้ใกล้ชิดกลไกตลาด อ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลง ในขณะที่กลุ่มข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือพนักงานส่วนไม่น้อยในองค์กรหรือ กลุ่มบริษัทใหญ่ที่กิจการมั่นคงก็จะมีโน้มโน้มมีความเสี่ยงเรื่องรายได้น้อยกว่า แต่มีฐานะเศรษฐกิจพอมีพอใช้ก็มีแนวโน้มความคิดใกล้ไปทางชนชั้นกลางเก่าหรือไม่ ความปรารถนาต้องการสิทธิและโอกาสที่ดีขึ้นของชนชั้นกลางใหม่ เพื่อให้ทัดเทียมชนชั้นกลางเก่า เพราะกำลังทางเศรษฐกิจแข็งแรงขึ้น ในระยะเปลี่ยนผ่านนี้ ก่อตัว ขยายตัวรวดเร็วและรุนแรง ถ้าสังคมและการจัดแบ่งปันอำนาจทางการเมือง หรืออำนาจในการจัดสรรโอกาสและทรัพยากรนี้พัฒนาได้รวดเร็วเท่าทันการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคมก็พัฒนาไปอย่างราบรื่น ตรงกันข้าม ถ้าเปลี่ยนไม่ทัน ก็นำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมืองและสังคม กล่าวคือ ชนชั้นกลางใหม่ย่อมปราถนาสิทธิเท่าเทียมชนชั้นกลางเก่าที่ยึดกุมอำนาจและสิทธิประโยชน์ที่เหนือกว่าอยู่ก่อน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง สิ่งที่ชนชั้นกลางใหม่จึงปราถนา ก็คือ "ความเป็นประชาธิปไตย หรือสิทธิและโอกาสทัดเทียมกัน" นั่นเอง ชนชั้นกลางเก่าที่อาศัยหนาแน่นอยู่ในเมืองอยู่ก่อน จึง "รู้สึกเหมือนกำลังถูกเบียดบัง ช่วงชิงสิทธิโอกาสที่เคยมีเหนือกว่าอยู่เดิม" ไปโดยปริยาย หากสังคมค่อยๆ เปลี่ยนผ่าน ปรับตัวได้อย่างช้าๆ ก็จะไม่เกิดความขัดแย้งขนาดใหญ่และรุนแรงจนบังเกิดการเสียสมดุลของสังคม แต่การณ์มิได้เป็นเช่นนั้น เพราะการพัฒนาของเทคโนโลยี การผลิต และการสื่อสาร เร่งรัดการเปลี่ยนแปลงมากของสังคม การยอมรับการเปลี่ยนแปลงของสมาชิกในสังคมโดยเฉพาะ "ชนชั้นกลางเก่า" ที่อาศัยอยู่ในเมืองแต่เก่าก่อน รู้สึกเสียประโยชน์ และรับไม่ค่อยได้กับการเปลี่ยนแปลง และเลยเถิดไปถึงอาจต่อต้านวิถีการเปลี่ยนแปลงของสังคม จนเป็นมูลเหตุที่แท้จริงของความขัดแย้ง "เหลือง -แดง" ครั้งนี้หรือไม่ และหากวาดเส้นแบ่งกลุ่มที่มีความคิดโน้มไปทางสีแดงก็จะเห็นว่าซ้อนทับกับกลุ่มชนชั้นกลางใหม่ ในขณะที่เส้นแบ่งของกลุ่มที่มีความคิดโน้มไปทางสีเหลืองก็จะซ้อนทับกับชนชั้นกลางเก่า กล่าวโดยสรุปคือ สีเหลืองคือผู้มีความคิดแบบชนชั้นกลางเก่า ส่วนสีแดงคือผู้มีความคิดแบบชนชั้นกลางใหม่นั่นเอง 6) การกำหนดนโยบายของพรรคไทยรักไทย และการบริหารงานของรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร สอดคล้องต้องกับวิถีการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยที่พัฒนาเปลี่ยนผ่าน (transition) จากสังคมแบบดั้งเดิม การที่กำหนดนโยบาย และทำนโยบายให้เป็นจริงดังกล่าว ภายใต้หลักการ 6.1) กำหนดเป้าหมายที่สร้างรายได้ของประชาชนส่วนใหญ่ โดยหวังความนิยมทางการเมืองในพรรคเป็นผลพลอยได้ 6.2) ลดน้ำที่ราก คือ ให้ความสำคัญ ตั้งแต่ระดับ รากหญ้าที่เป็นฐานสำคัญในโครงสร้างของสำคัญ ทำให้กลุ่มที่รายได้ปานกลางและสูงได้ประโยชน์ไปด้วย 6.3) ใช้หลักการดำเนินโดยภาพรวม "ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส" ไปพร้อมๆ กัน เช่น "30 บาท รักษาทุกโรค" "พักหนี้เกษตรกร" เป็นการลดรายจ่าย กองทุนหมู่บ้าน, OTOP, ส่งเสริม SME, เพิ่มราคาพืชผลเกษตร ตลอดจนริเริ่มกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ ล้วนเป็นการเพิ่มรายได้ และ ขยายโอกาส เป็นต้น 6.4) ผู้ที่เดือดร้อน หรือยากจนที่สุดจะได้รับประโยชน์ "ก่อน" และเป็น "รูปธรรม" ในขณะที่ผลประโยชน์ที่ทำมาค้าขึ้นของชนชั้นกลางแต่เดิม "ได้ประโยชน์เป็นผลสืบเนื่อง" จากกำลังซื้อที่เพิ่มจากการทำมาค้าขึ้นหลังจากนั้น ตัวชี้วัดสำคัญขอให้ไปดูสถิติการเติบโตของการสร้างรายได้ในชนบทด้วยอัตราสูงกว่าในเมือง จากข้อมูลการเก็บภาษีสรรพกรในต่างจังหวัด ทั้งจาก ภาษีนิติบุคคล และ ภาษีมูลค่าเพิ่ม 6.5) การให้โอกาส คือการให้อำนาจประชาชน (empower) รัฐบาลสร้างโอกาสและศักดิ์ศรีเท่าเทียม เช่น โครงการ30 บาทรักษาทุกโรค กลายเป็นสิทธิที่เท่าเทียมกัน ไม่ใช่ต้องร้องขอการสงเคราะห์จากภาครัฐ, OTOP ทำให้ประชาชนเข้าใจ และมีอำนาจ เข้าถึงตลาด หรือ กล่าวอีกนัยหนึ่ง "ประชาชนได้รับสิทธิที่จะเสี่ยงลงทุนด้วยทุนและกำลังของตนเอง" การเพิ่มขึ้นของการจ้างงานและการเพิ่มขึ้นของการเป็นเจ้าของกิจการ ดังสถิติ (จากข้อ 3 ข้างต้น) ในระยะที่พรรคไทยรักไทยอยู่ในอำนาจเปรียบเทียบกับหลังการรัฐประหารน่าเป็นตัวชี้วัดที่ดีในข้อนี้ด้วย
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
รายงานเสวนา “เบื้องหลังรัฐประหาร 6 ตุลา 19 ถึง 19 กันยา 49 สำเนาถูกต้อง” Posted: 20 Sep 2013 09:24 AM PDT "จรัล-พนัส-อชิรวิทย์-ศิโรตม์" ร่วมถก 'ความเหมือน-ความต่าง' เบื้องหลังรัฐประหาร 6 ตุลา 19 ถึง 19 กันยา 49 ระบุศาลยอมรับ รปห. ผลพวง รปห.2490 ในฐานะ "รัฏฐาธิปัตย์" ภาพจากเฟซบุ๊ก Watthana Praisonta 19 ก.ย.56 อนุสรณ์สถาน 14 ตุลาฯ แยกคอกวัว คณะกรรมการ 14 ตุลาเพื่อประชาธิปไตยสมบูรณ์ จัดเสวนา "เบื้องหลังรัฐประหาร 6 ตุลา 19 ถึง 19 กันยา 49 สำเนาถูกต้อง" โดยมี จรัล ดิษฐาอภิชัย ประธานคณะกรรมการ 14 ตุลาเพื่อประชาธิปไตยสมบูรณ์ พนัส ทัศนียานนท์ อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อดีต ส.ส.ร.รัฐธรรมนูญ 2540 และ ส.ว.เลือกตั้ง พล.ต.อ.อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช และ ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ ร่วมเสวนา ภาพจากเฟซบุ๊ก Watthana Praisonta จรัล ดิษฐาอภิชัย วิเคราะห์ความเหมือนระหว่างเหตุการณ์รัฐประหาร 6 ต.ค.19 กับ 19 ก.ย.49 ดังนี้ 1. เป็นการรัฐประหารที่เกิดขึ้นหลังการคลื่อนไหวใหญ่ของมวลชนฝ่ายขวา 6 ต.ค.19 นั้นมีการเคลื่อนของกลุ่มลูกเสือชาวบ้าน นวพล กระทิงแดง ขณะที่ 19 ก.ย.49 นั้นมีการเคลื่อนไหวใหญ่ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย 2. รัฐประหารทั้ง 2 ครั้ง อ้างเหตุที่ทำเหมือนกันคือเนื่องจากมีการละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์จึงทำการรัฐประหาร 3. ตั้งชื่อคล้ายกัน กรณี 6 ต.ค. นั้นคณะรัฐประหารใช้ชื่อ "คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน" ขณะที่ 19 ก.ย. นั้นใช้ชื่อ "คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข" ขณะที่ความแตกต่าง จรัล วิเคราะห์ว่า เหตุการณ์รัฐประหาร 6 ต.ค.19 นั้น เกิดขึ้นหลังจากมีการสังหารหมู่นักศึกษาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ขณะที่รัฐประหาร 19 ก.ย. นั้นไม่มีการฆ่าใคร รวมทั้งรัฐประหาร 6 ต.ค.19 สถาปนารัฐบาลขวาจัด โดยนายธานินทร์ กรัยวิเชียร แต่ 19 ก.ย. นั้นสถาปนาระบอบเผด็จการอ่อนๆ จรัล กล่าวด้วยว่าคณะรัฐประหารทั้ง 2 ครั้งนั้น มีสถานการณ์คล้ายๆ กันคือความคิดที่ว่าหากไม่ทำการรัฐประหารประเทศไทยก็จะไม่สามารถรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยกรณี 6 ต.ค.19 นั้นก็กลัวว่าจะกลายเป็นคอมมิวนิสต์ จรัล วิเคราะห์ว่า การรัฐประหาร 19 ก.ย. 49 นั้น มีลักษณะพิเศษ คือ 1. เป็นการรัฐประหารครั้งแรกที่ปัญญาชนชั้นกลางค่อนข้างมากเห็นด้วย 2. เป็นการรัฐประหารครั้งแรกที่มีผู้ไม่เห็นด้วยออกมาต่อต้านในทันที ทั้งนี้อาจเป็นเพราะการรัฐประหารครั้งนี้สถาปนาเพียงเผด็จการอ่อนๆ 3. เป็นรัฐประหารที่ดึงเอาสถาบันกษัตริย์เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ชื่อคณะรัฐประหาร จึงเกิดปัญหาเมื่อมีการแปลเป็นภาษาอังกฤษจนมีการเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงชื่อ ภาพจากเฟซบุ๊ก Watthana Praisonta ชี้บทเรียน รปห.ที่ผ่านมาทำให้ ปรห.49 วางเงือนไขผ่าน รธน.50 พล.ต.อ.อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช มองว่าทั้ง 2 เหตุการณ์นี้มีจุดเริ่มต้นคลายๆกัน คือสถานการณ์ที่มีสื่อเลือกข้าง เหตุการณ์ 6 ต.ค.นั้นก่อนหน้าก็มีการโหมจากสื่ออย่างวิทยานเกราะ ขณะที่ 19 ก.ย. นั้น ก็มีสื่อเลือกข้างและประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นอำนาจของทหาร ที่อยู่ข้างไหนฝ่ายนั้นก็จะได้เปรียบ แต่สิ่งที่แตกต่างนั้น 19 ก.ย. ได้มีการศึกษาความบกพร่องของการรัฐประหารครั้งก่อนหน้า จึงมีการวางรากฐานทางกฏหมายโดยผู้มีบทบาทหลักคือนายมีชัย ฤทธิ์ชุพันธ์ โดยการเปลี่ยนแปลงที่กฏหมายสูงสุดอย่างรัฐธรรมนูญ ทีให้รัฐธรรมนูญ 50 นี้บีบรัดฝ่ายประชาธิปไตยจนดิ้นไม่ออก หากไม่ใช้วิธีการ "หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง" ก็จะมีทางแก้ปัญหาการขัดขวางกระบวนการประชาธิปไตยได้เลย ด้วยเหตุนี้แม้เหตุการณ์รัฐประหารทั้ง 2 ครั้งนั้นจะมีจุดเริ่มต้นคลายกัน แต่ลงท้ายต่างกันที่ตัวบทกฏหมายที่เกิดขึ้นภายหลังรัฐประหาร ก.ย.49 นั้น มันเป็นบ่วงรัดคอฝ่ายประชาธิปไตย จะเอาบ่วงออกได้ต้องเอาหนามบ่งหนาม "ถ้ากระบวนการยุติธรรมเป็นอิสระจริง รัฐประหารไม่มีวันเกิด ขณะนี้สิ่งที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ฉีกรัฐธรรมนูญแล้วสร้างขึ้นมาใหม่ เป็นรัฐธรรมนูญที่ปรับปรุงโดยอาจารย์มีชัย ฤชุพันธุ์ มันทำให้องค์กรอิสระที่เกิดขึ้นจากอำนาจคณะรัฐประหารนั้นเป็นองค์กรอิสระที่อิสระเฉพาะกลุ่มคณะบุคคล แต่จองจำสำหรับประชาชนในระบอบประชาธิปไตย" พล.ต.อ.อชิรวิทย์ กล่าว ภาพจากเฟซบุ๊ก Watthana Praisonta ฝ่านต้าน ปชต.ทำตัวเป็นส่วนหนึ่งปชต. ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ วิเคราะห์ถึงสาเหตุที่สังคมให้ใบอนุญาตฆ่าทั้งเหตุการณ์ 6 ต.ค.19 และ พ.ค.53 โดยที่ผู้ฆ่ารู้สึกว่าผู้ถูกฆ่าควรถูกฆ่านั้นมีสาเหตุว่า 1. เราถูกสร้างความเข้าใจว่าสังคมต้องมีการยึดโยงกับสถาบันหลักจนเปลี่ยนแปลงไม่ได้ 2. ในการบอกว่าใครคือศัตรูของชาติ รัฐเป็นคนบอกว่าใครเป็นศัตรูของชาติมากเกินไป เหตุการณ์ปี 19 นั้นมีรากฐานของความเป็นประชาธิปไตยมาก่อนหน้านานแล้ว ตั้งแต่ 2475 และช่วงเกิดเหตุมีคนเชื่อเรื่องสิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียมในสังคมไทยแน่ๆ ถึงขนาดที่คนทำรัฐประหารต้องอ้างว่าจะทำรัฐประหารเพื่อสร้างประชาธิปไตยด้วย ในสังคมไทยก่อนหน้าปี 2519 นั้นเป็นช่วงขาขึ้นอย่างต่อเนื่องของประชาธิปไตยในสังคมไทย ในฐานะเป็นอุดมการณ์หลัก แต่มีการถูกเตะถ่วงในบางช่วง แต่ก็ยังเป็นขาขึ้นของประชาธิปไตย สิ่งที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์ 6 ต.ค.19 และ พ.ค.53 นั้น พลังฝ่ายปฏิปักษ์ประชาธิปไตยพยายามที่จะทำให้ทิศทางขาขึ้นของประชาธิปไตยหยุดชะงัดลงเบี่ยงเบนไปบ้าง เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นในปี 2519 คือการบอกว่านักศึกษาเป็นศัตรูกับเสรีประชาธิปไตย ในแง่อุดมการณ์นักศึกษาถูกทำให้เป็นศัตรูของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แต่มีด้านที่ซ้อนกันอยู่คือการบอกว่านักศึกษาเป็นคอมมิวนิสต์ และคอมมิวนิสต์เป็นศัตรูกับเสรีประชาธิปไตย "สิ่งที่ฝ่ายต่อต้านประชาธิปไตยประสบความสำเร็จตั้งแต่ปี 2519 ถึง ปี 2553 คือทำให้เขาเป็นส่วนหนึ่งของประชาธิปไตย ฝ่ายต่อต้านประชาธิปไตยไม่เคยเล่นเกมส์เป็นฝ่ายต่อต้านประชาธิปไตยจริงๆ เขาไม่เคยบอกว่าเขาไม่รักประชาธิปไตย เขาบอกว่าเขาเป็นประชาธิปไตย แต่เขาเป็นส่วนหนึ่งของประชาธิปไตยที่ทำให้ประชาธิปไตยดีขึ้น" ศิโรตม์ กล่าว "จริงๆ ต้องขอบคุณ 19 ก.ย.49 เพราะว่าในอดีตนักรัฐศาสตร์พูดถึงว่าเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผู้มีอำนาจสามารถมีอำนาจอยู่ต่อไปได้อย่างต่อเนื่องก็คือต้องไม่ให้สังคมรู้ว่าเขามีอำนาจ รัฐบาลในโลกสมัยใหม่ โดยเฉพาะคนที่มีอำนาจสูงสุดมีลักษณะอย่างหนึ่งคล้ายๆ กันคือต้องมีอำนาจโดยไม่ให้คนรู้ว่าเขามีอำนาจ และก็จะมีนักรัฐศาสตร์ นักนิติปรัชญาบอกว่าเราจะรู้ว่าใครมีอำนาจที่สุดในสังคม อย่าดูว่าในเวลาปกตินั้นใครเป็นรัฐบาล ใครเป็นรัฐบาลในเวลาปกตินั้นไม่ได้แปลว่าเขามีอำนาจที่สุด แต่ต้องดูในเวลาที่สังคมมันเกิดวิกฤติที่สุด ใครแสดงตัวออกมาว่าให้สังคมไปทางไหนคนนั้นคือคนที่มีอำนาจสูงสุดในสังคม 19 ก.ย.49 ทำให้คนไทยเข้าใจปรากฏการณ์แบบนี้มากขึ้นว่าอำนาจสูงสุดของสังคมไทยอยู่ที่ไหน" ศิโรตม์ กล่าวทิ้งท้าย ภาพจากเฟซบุ๊ก Watthana Praisonta ศาลยอมรับรัฐประหาร ผลพวงรัฐประหาร 2490 ในฐานะ "รัฏฐาธิปัตย์" พนัส ทัศนียานนท์ มองว่าการรัฐประหารทั้ง 2 ครั้ง ไม่ตรงกันเสียทีเดียว ดังนั้นจึงไม่อาจเรียกว่าสำเนาถูกต้องได้ เพราะ 6 ต.ค.19 นั้นเกิดเหตุการณ์ฆ่าก่อนจึงเกิดการรัฐประหาร ในขณะที่ 19 ก.ย. 49 นั้นเป็นการรัฐประหารก่อน จึงนำมาสู่การฆ่าประชาชน รวมทั้งการรัฐประหารในปี 2519 นั้น เป็นการเกิดในช่วงสงครามเย็น และไทยก็ถูกครอบงำโดยสหรัฐอเมริกา อีกทั้งการรัฐประหาร 19 ก.ย.49 นั้น ก็มีกลุ่มสนับสนุนรัฐประหารดังกล่าวให้ความชอบธรรมว่าไม่ได้เป็นการรัฐประหารในแบบที่เข้าใจกัน แต่เป็นการโค่นล้มเผด็จการ เพราะขณะนั้นทักษิณถูกมองว่าเป็นเผด็จการรัฐสภา เรื่องกระบวนการยุติธรรมนั้น ศาลไทยให้การรับรองให้ความเห็นชอบกับการรัฐประหาร เป็นการวางหลักตัดสิน วินิจฉัยตั้งแต่การรัฐประหารปี 2490 ซึ่งศาลไทยก็ตัดสินเดินตามกันมาว่าถ้าการทำรัฐประหารประสบความสำเร็จ คนที่ทำรัฐประหารสามารถยืนอยู่บนอำนาจตัวเองได้ ไม่มีใครต่อต้าน บ้านเมืองสงบราบคาบก็ถือว่าคณะรัฐประหารนั้นเป็น "รัฏฐาธิปัตย์" คือผู้มีอำนาจสูงสุดในบ้านเมืองการสั่งการสิ่งใดออกมาก็ถือเป็นกฏหมาย ด้วยเหตุอันนี้จึงเข้าใจว่าที่คุณอชิรวิทย์พูดก่อนหน้านั้น คือต้องการให้ศาลมาเปลี่ยนบรรทัดฐานตรงนี้ ซึ่งก็เห็นด้วย ถ้าศาลไทยเชื่อมั่นศรัทธาในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง แต่ถ้าจะรอให้ศาลดวงตามองเห็นธรรมทั้งหมดก็อาจจะอีกนาน ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ประชาธรรม : โอฬารเผยผลเจรจา FTA รอบ 2 แจงสหภาพยุโรปรุกไทยด้านจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ Posted: 20 Sep 2013 09:18 AM PDT
ที่มา : http://www.prachatham.com/detail.htm?code=n4_20092013_01
วันนี้ (20 ก.ย.56) เวลาประมาณ 13.30 น.ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดร.โอฬาร ไชยประวัติ หัวหน้าคณะเจรจาความตกลงการค้าเสรีไทย-สหภาพยุโรป ออกมาแถลงผลการเจรจาและให้สัมภาษณ์นักข่าวเผยถึงผลเจรจาความตกลงการค้าเสรีไทย-สหภาพยุโรปรอบที่ 2 ซึ่งได้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 16-20 กันยายน 2556 ณ จังหวัดเชียงใหม่นั้น ดร.โอฬาร แถลงว่า การประชุมครั้งนี้มีการประชุมหลายเรื่อง ได้แก่การเปิดตลาดสินค้าและการค้าบริการ การลงทุน มาตรการสุขอนามัยและอนามัยพืชอุปสรรคทางเทคนิคการค้า ทรัพย์สินทางปัญญา การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐมาตรการเยียวยาทางการค้า และการค้าและการพัฒนาที่ยั่งยืนโดยแต่ละกลุ่มได้ติดตามความคืบหน้าและผลการดำเนินการตามที่ได้ตกลงกันไว้ในการเจรจารอบแรกที่จัดขึ้นในเดือนพฤษภาคม ณ กรุงบรัสเซลส์ประเทศเบลเยี่ยม ตลอดจนได้เริ่มหารือในร่างข้อบทและทำความเข้ามากขึ้นในเรื่องต่างๆรวมถึง มาตรการทางการค้าและ และกฎระเบียบภายในประเทศของแต่ละฝ่าย "เราคุยไปทั้ง 14 หัวข้อแต่ละหัวข้อมีความก้าวหน้าแตกต่างกันไปบางประเด็นที่มีการคุยทุกครั้งที่มีการเจรจาการค้าเสรีกับทุกประเทศ อย่างเช่นรายชื่อสินค้าที่ทำกันมานาน เราก็จะมีการปรับเงื่อนไขภาษีขาเข้าก็ก้าวหน้าไปจนถึงขั้นที่ว่าคราวหน้าเราจะลงไปถึงกรอบการเจรจา ซึ่งกระบวนการเจรจาทั้งหมดคงไม่เกินปลายปีหน้า จากการเจรจาทั้งหมด 7 ครั้ง" ดร.โอฬาร กล่าวเพิ่มเติมว่าการเจรจารอบนี้ทั้งสองฝ่ายได้ทำความเข้าใจเพิ่มขึ้นในประเด็นต่างๆโดยเฉพาะกฎระเบียบของแต่ละเรื่องโดยบางเรื่องได้ตกลงที่จะหารือเพิ่มเติมระหว่างรอบเจรจาในระดับเจ้าหน้าที่ด้วยเพื่อที่จะได้ก้าวไปสู่การยื่นข้อเรียกร้องของการเปิดตลาด เช่น เรื่องการค้าบริการและการลงทุนในการเจรจารอบต่อไปในเดือนธันวาคม หรืออีก 3เดือนข้างหน้า ณ กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยี่ยม "เรื่องที่เข้ามาใหม่ เป็นการหาข้อมูลข้อเท็จจริง เช่น เรื่องการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐ ซึ่งทั้งเขาทั้งเรายังไม่มีประสบการณ์ในเรื่องนี้โดยเฉพาะฝ่ายไทยที่กำลังจะทำรถไฟความเร็วสูง ก็พยายามจะเปิดโอกาสให้คู่ค้าของเราเข้ามาเสนอขายสินค้าและบริการในสายงานราชการ เป็นต้น ฉะนั้นเหมือนกับแลกเปลี่ยนข้อมูล สร้างความเข้าใจร่วมกัน ฝ่ายไทยต้องเข้าใจว่าหน่วยงานราชการของสหภาพยุโรปมีกี่ระดับ ในทางกลับกันเขาก็ต้องเข้าใจระบบราชการของเราด้วย รวมถึงรัฐวิสาหกิจต่างๆ ซึ่งกว่าจะลงนามเจรจาเป็นลายลักษณ์อักษรคงใช้เวลาอีกนาน" ส่วนประเด็นเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาโดยเฉพาะเรื่องการเข้าถึงยาและเวชภัณฑ์ที่เป็นประเด็นที่อ่อนไหวและหลายฝ่ายแสดงความกังวลนั้น ดร.โอฬาร กล่าวว่า ฝ่ายไทยได้กำหนดแนวทางการเจรจาที่ยึดหลักการของความตกลงว่าด้วยสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวกับการค้า(TRIPs) ภายใต้ WTO และยึดถือความยืดหยุ่นตามปฏิญญารัฐมนตรีโดฮาในส่วนที่เกี่ยวกับ TRIPsและการสาธารณสุขโดยในการประชุมครั้งนี้ฝ่ายไทยได้เสนอให้มีความร่วมมือเรื่องการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการวิจัยและพัฒนายาซึ่งอาจจะใช้พื้นฐานของโครงการที่สหภาพยุโรปได้ดำเนินการหรือมีความร่วมมือกับไทยอยู่แล้วมาพัฒนาให้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีจนสามารถผลิตเป็นเภสัชภัณฑ์ในเชิงพาณิชย์ได้อย่างเป็นรูปธรรมที่เป็นรูปแบบเฉพาะและสอดคล้องกับบริบทของประเทศไทยเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงยาได้อย่างทั่วถึง "เรื่องที่เกี่ยวข้องกับสิทธิบัตรยาและเรื่องที่จะให้ประชาชนคนไทยเราสามารถเข้าถึงยาได้ในราคาและเงื่อนไขที่สามารถชำระได้เป็นประเด็นหลัก ซึ่งไม่ใช่มีเฉพาะผู้เกี่ยวข้องทางยาเท่านั้นแต่รวมถึงผู้ป่วยไข้ที่ต้องใช้ยาด้วย" "ส่วนความยืดหยุ่นตามปฏิญญารัฐมนตรีโดฮา หมายความว่าการเจรจาด้วยความเข้าใจซึ่งกันและกัน ในข้อตกลงที่เกี่ยวข้องกับประชาชนคนส่วนใหญ่ของเรานี้หมายถึงประชาชนที่ด้อยโอกาสในการเข้าถึงยาความยืดหยุ่นในที่นี้ถ้าจะออกนอกกรอบ ต้องออกนอกกรอบอย่างสร้างสรรค์ เป็นของใหม่ๆ ทั้งนี้ในประเด็นดังกล่าว ฝ่ายไทยก็ได้ยื่นข้อเสนอไปแล้วว่าจะให้มีความร่วมมือในการลงทุนวิจัยและผลิตยา ไม่เฉพาะแต่ในประเทศไทยเท่านั้น แต่รวมถึงกลุ่มประเทศอื่นในอาเซียนด้วย ซึ่งเขาก็ยอมรับในเรื่องนี้เป็นหัวข้อที่ไม่เคยมีการเจรจามาก่อน" หัวหน้าคณะเจรจาความตกลงการค้าเสรีไทย-สหภาพยุโรป ขยายความถึงวิธีการว่า ต้องนำเอาผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดทั้งผู้ผลิตที่เป็นบริษัทไทย บริษัทต่างประเทศที่มาผลิตในเมืองไทยบ้างแล้ว องค์กรของรัฐที่ผลิตยา องค์กรเภสัชกรรม รวมถึงบริษัทจากยุโรปรายใหม่ๆ ที่ยังไม่ได้มาผลิตในเมืองไทยให้เข้ามาพิจารณาลงทุนร่วมกันให้ทุกส่วนมีความมั่นใจว่าจะมีการถ่ายโอนเทคโนโลยีในเรื่องนี้เมื่อผลิตได้สำเร็จแล้ว ก็จะสามารถจำหน่ายจ่ายแจกได้ในราคาพอควร" ส่วนเรื่องสิทธิเมล็ดพันธุ์ของเราที่จะต้องคุ้มครอง หัวหน้าคณะเจรจากล่าวว่า จะดำเนินการคล้ายกับเรื่องยา แม้สหภาพยุโรปจะกดดันให้เข้าเป็นภาคี UPOV แต่ไทยไม่จำเป็นต้องรับตามเรียกร้อง เพราะจะดำเนินการปรับกติกาให้สอดคล้องกับโลกปัจจุบัน และคุ้มครองผลประโยชน์ของคนไทยให้มากที่สุด ขณะที่ด้านการลงทุนที่มีความกังวลว่าจะทำให้อียูสามารถฟ้องร้องหน่วยงานของรัฐได้ ดร.โอฬารชี้แจงว่า ก็มีการพิจารณาว่าถ้ามีข้อขัดแย้งจะมีกระบวนการอย่างไรเพราะวิธีการแก้ปัญหาไม่ใช่มีแต่การฟ้องเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีวิธีอื่น เช่นหาคนที่ 3 มาไกล่เกลี่ย ฯลฯ และต่อไปในอนาคต เราอาจจะขยายกรอบพูดคุยเรื่องการลงทุนเพิ่มเช่น ภาคก่อสร้าง ฯลฯ "คาดหวังว่าการเจรจาครั้งหน้าจะมีการยื่นรายชื่อการเปิดบริการการค้าเสรีระหว่างกันเขาก็จะยื่นว่าอยากทำบริการอะไรในบ้านเรา ส่วนเราก็ยื่นว่าอยากทำธุรกิจอะไรในยุโรป" นอกจากนี้ ดร.โอฬารได้ย้ำถึงความสำคัญของประเด็นความเชื่อมโยงในแต่ละข้อบทซึ่งจะแยกแต่ละเรื่องไม่ได้จะต้องดูภาพใหญ่ทั้งของความตกลงทั้งฉบับเพื่อให้ท่าทีของแต่ละเรื่องไปในทางเดียวกันและส่งเสริมซึ่งกันและกันเพื่อให้ไทยได้ประโยชน์สูงสุดจากการเจรจาในภาพรวม ด้านนางสาวกรรณิการ์ กิจติเวชกุล ผู้ประสานงานกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (เอฟทีเอ ว็อทช์) กล่าวถึงการให้สัมภาษณ์ของ ดร.โอฬาร ไชยประวัติ สรุปการเจรจาเอฟทีเอ ไทย-สหภาพยุโรป รอบที่ 2 ว่าโดยรวมไม่มีปัญหาอะไรมาก เรื่องการถ่ายทอดเทคโนโลยี เท่าที่ฟัง ดร.โอฬาร พูดแล้วเป็นไปตามข้อเสนอทางภาคประชาสังคมย้ำว่า การถ่ายทอดเทคโนโลยี ต้องไม่แลกกับการรับทริปส์พลัส แบบที่สมาคมบริษัทยาข้ามชาติพยายามเสนอ "เราเสนอไปว่าฝึกคนของเราให้ทำเป็นจริงและต้องมาผลิตในไทย จากคำพูดก็เป็นแนวนั้น อย่างไรก็ตามเรายังมีความกังวลเรื่องการคุ้มครองการลงทุนกับการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ เพราะที่ดร.โอฬารพูดไม่ฟันธงเท่าไร ต้องไปดูในรายละเอียด ดังนั้น อยากปลัดกระทรวงพาณิชย์เรียกประชุมคณะทำงาน 3 ฝ่ายติดตามการเจรจาเพื่อจะได้หารือทันทีหลังการเจรจารอบนี้" นอกจากนี้ ภาคประชาสังคม 28 องค์กรได้ทำหนังสือถึง นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพื่อขอให้ยืนยันจุดยืนของกระทรวงสาธารณสุขในการเจรจาเอฟทีเอเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขและสุขภาพของคนในสังคม "ดร.โอฬาร ไชยประวัติ หัวหน้าคณะเจรจาฯยืนยันชัดเจนต่อสาธารณะว่า จะไม่รับข้อเสนอการเจรจาที่มากกว่าข้อตกลงด้านทรัพย์สินทางปัญญาขององค์การการค้าโลก (ทริปส์พลัส) ทั้งในเรื่องยา และทรัพยากรชีวภาพ ดังนั้น ทางกลุ่มเอฟทีเอ ว็อทช์ และเครือข่ายประชาสังคม ที่ติดตามการเจรจาเอฟทีเอ ต้องการทราบว่ากระทรวงสาธารณสุขมีจุดยืนอย่างไร ทั้งในภาพรวมการเจรจาที่เกี่ยวกับยาและประเด็นที่เกี่ยวโยงกับสุขภาพทั้งหมด และได้กำหนดนโยบาย และมาตรการในการสนับสนุนการเจรจาอย่างไร ทั้งในด้านข้อมูลวิชาการ และการมอบหมายเจ้าหน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุขที่ไปทำหน้าที่เจรจา" นอกจากนี้กลุ่มศึกษาเขตการค้าเสรีภาคประชาชน ทราบมาว่า ทางสหภาพยุโรปพยายามแทรกแซงคณะเจรจาฝ่ายไทย ด้วยการขอเปลี่ยนตัวผู้เจรจาบางคนโดยพยายามติดต่อโดยตรงกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ผู้ประสานกลุ่มศึกษาเขตการค้าเสรีภาคประชาชน กล่าวว่า "เราอยากทราบว่า มีการแทรกแซงทีมเจรจาฝ่ายไทยจากสหภาพยุโรปเช่นที่ว่านี้หรือไม่อย่างไร หากเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้น หมอประดิษฐจะมีจุดยืนอย่างไร จะยอมให้มีการแทรกแซงเช่นนี้หรือไม่ พวกเราคาดหวังกับกระทรวงสาธารณสุขซึ่งมีความรับผิดชอบต่อระบบหลักประกันสุขภาพที่เป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลจะมีจุดยืนที่ให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนผู้มีรายได้น้อย จะดำเนินการเจรจาอย่างอย่างรอบคอบเฉพาะอย่างยิ่งให้ความสำคัญกับผลกระทบทางลบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนผู้มีรายได้น้อย และยืนหยัดเจรจาที่จะนำมาซึ่งประโยชน์สูงสุดของประเทศที่ครอบคลุมคนทุกกลุ่ม" นายนิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ สมาชิกกลุ่มศึกษาเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA Watch) กล่าวถึงการที่ภาคประชาสังคมไทยจะทำการรณรงค์ร่วมกับภาคประชาสังคมในประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ที่โดนคุกคามจากสหภาพยุโรปในลักษณะเดียวกันผ่านความตกลงการค้าเสรี เพื่อให้คณะกรรมการรางวัลโนเบลแห่งนอร์เวย์ซึ่งเป็นผู้พิจารณารางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ให้เพิกถอนรางวัลดังกล่าวที่สหภาพยุโรปได้รับไปเมื่อ ค.ศ. 2012 นั้น "เราไม่ได้ทำอะไรเกินเลยตามที่หัวหน้าคณะเจรจาฯฝ่ายอียูกล่าวหา องค์กรที่จะได้ครอบครองรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพควรประพฤติตัวให้สมเกียรติ ดังนั้น เราจะติดตามดูพฤติกรรมของสหภาพยุโรปในการเจรจาเอฟทีเออย่างใกล้ชิด และเริ่มที่จะสื่อสารกับภาคประชาสังคมในประเทศต่างๆบ้างแล้ว เมื่อไรที่เราแน่ใจว่า สหภาพยุโรปผลักดันความตกลงระหว่างประเทศที่บ่อนทำลายระบบความมั่นคงของประเทศไทยและประเทศต่างๆอย่างชัดแจ้ง จะทำให้สังคมไทยและประเทศต่างๆโดยรวมอ่อนแอลง คนยากคนจนส่วนใหญ่ยากจนขึ้น แต่คนรวยส่วนน้อยกลับจะรวยยิ่งขึ้นไปอีก เราจะร่วมกันทำหนังสือร้องเรียนถึงคณะกรรมการรางวัลโนเบลเพื่อเพิกถอนทันที หากไม่ต้องการให้เราร้องเรียน สหภาพยุโรปก็ควรเลิกเรียกร้องเนื้อหาที่ทำลายล้างเช่นนี้" อนึ่ง ปัจจุบัน สหภาพยุโรปเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับ 5ของไทยในปี 2555 โดยไทยส่งออกไปสหภาพยุโรปมูลค่า 21,729 ล้านเหรียญสหรัฐฯซึ่งไทยเป็นฝ่ายได้เปรียบดุลการค้า 6,272.7 ล้านเหรียญสหรัฐโดยนำเข้าจากสหภาพยุโรป มูลค่า 19,933.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในแง่ของการลงทุนสหภาพยุโรปเป็นนักลงทุนอันดับสองของไทย โดยลงทุนมูลค่า 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯขณะที่ไทยออกไปลงทุนในสหภาพยุโรปสูงเป็นอันดับสองรองจากอาเซียนมีมูลค่าการลงทุน1,800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ.
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
นศ.รามฯ สมทบชุมนุมสวนยางจี้รัฐแก้ปัญหา Posted: 20 Sep 2013 09:10 AM PDT องค์การนักศึกษารามฯ บี้รัฐบาลไม่จริงใจแก้ปัญหาราคายางพาราให้ชาวบ้าน ตัดสินใจเดินทางมาสมทบร่วมกับชาวสวนยางฯ ชุมนุมสี่แยกควนหนองหงษ์ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลแทรกแซงราคาและประกันราคายางฯ กับปาล์ม เมื่อวันที่ 20 ก.ย. เวลา 17.00 น. ไทยรัฐออนไลน์รายงานความคืบหน้าการชุมนุมประท้วงปิดถนนสายเอเชีย 41 ที่สี่แยกควนหนองหงษ์ ต.ควนหนองหงษ์ อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช ของเกษตรกรชาวสวนยางพาราและชาวสวนปาล์ม เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลแทรกแซงราคาและประกันราคายางฯ กับปาล์ม ล่าสุด คณะนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้เดินทางไปร่วมสมทบการชุมนุม ซึ่งได้รับการต้อนรับจากชาวสวนยางฯ อย่างอบอุ่น จากนั้นกรรมการบริหารองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง 4 คน ประกอบด้วย นายประกอบกิจ รินทอง นายพงศ์อมร พงศ์พิพัฒน์ นายวรวุฒิ เพชรทอง และนายเฉลิมพร ศรีสุข ได้ร่วมกันแถลงข่าวและอ่านแถลงการณ์ขององค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง ภายในบริเวณที่ชุมนุม นายประกอบกิจ กล่าวว่า องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหงได้ติดตามสถานการณ์ชุมนุมเรียกร้องราคายางพาราและราคาปาล์มน้ำมันมาโดยตลอด มีความเข้าใจและเห็นใจเกษตรกร ที่ได้รับความเดือดร้อนในเรื่องค่าครองชีพ ต้นทุนการผลิตในภาคเกษตรกรรมที่ถีบตัวสูงขึ้นตลอดเวลา แต่ราคาขายผลิตกลับตกต่ำ หรือลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกันปัญหาที่เกิดขึ้น ขาดการดูแลเอาใจใส่อย่างที่ควร จะเป็นจากรัฐบาล ที่พยายามจะใช้กลเกมทางการเมืองเบี่ยงเบน และชี้นำให้เห็นว่าการชุมนุมเรียกร้องราคาพืชผลทางการเกษตรเป็นการชุมนุมประท้วงทางการเมือง ข้อเท็จจริงก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การชุมนุมไม่ใช่การชุมนุมเพื่อการเมือง หรือโดยการเมือง แต่เป็นการชุมนุมเพื่อแสดงความคิดเห็น ต่อสู้เรียกร้องในสิ่งที่ประชาชนสาขาอาชีพหนึ่งควรจะได้รับตามสิทธิของรัฐธรรมนูญ แม้อาจส่งผลกระทบกับภาคส่วนอื่นบ้าง แต่อาชีพเกษตรกรเป็นอาชีพที่คนส่วนใหญ่ในประเทศสร้างและดำรงความเป็นประเทศไทยเอาไว้ อยางไรก็ตาม องค์การนักศึกษา มหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้ตัดสินใจเข้าร่วมต่อสู้เรียกร้องกับเกษตรกรในครั้งนี้ เนื่องจากเกษตรกรขาดแกนนำ แม้ว่าจะมีการคัดเลือกตัวแทน หรือผู้นำขึ้นมาเมื่อวานนี้ (19 ก.ย. 56) จำนวน 3 คน แต่การชุมนุมเรียกร้องก็ยังขาดเอกภาพ นักศึกษาจึงตัดสินใจยืนหยัดเคียงข้างมาร่วมต่อสู้กับกลุ่มเกษตรกร และในคืนนี้จะมีการหารือร่วมระหว่างแกนนำของเกษตรกรและคณะนักศึกษา เพื่อกำหนดทิศทางการเคลื่อนไหว นับตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป. ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
เปิดวาระ กสทช.เสียงข้างน้อย กรณี กสทช.ยื่นฟ้องหมิ่นประมาทนักวิชาการ-สื่อ-คำชี้แจงจาก 4 กทค. Posted: 20 Sep 2013 09:05 AM PDT สืบเนื่องจากกรณีกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) 4 คน ประกอบด้วย พันเอกเศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ, สุทธิพล ทวีชัยการ, พลเอกสุกิจ ขมะสุนทร, ประเสริฐ ศีลพิพัฒน์ และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) โดย ฐากร ตัณฑสิทธิ์ ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง เดือนเด่น นิคมบริรักษ์ ผู้อำนวยการวิจัย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) และ ณัฎฐา โกมลวาทิน ณัฏฐา โกมลวาทิน ผู้ดำเนินรายการสถานีโทรทัศน์ ไทยพีบีเอส ในคดีหมิ่นประมาท จากการให้ข่าวและนำเสนอเรื่องที่เกี่ยวกับสัญญาสัมปทานคลื่นความถี่ 1800 MHz ซึ่งต่อมา มีการออกมาแสดงความไม่เห็นจากกลุ่มต่างๆ อาทิ สุภิญญา กลางณรงค์ และประวิตร ลี่สถาพรวงศา สอง กสทช.เสียงข้างน้อย องค์กรวิชาชีพสื่อ 4 แห่ง ทีดีอาร์ไอและไทยพีบีเอส คณะกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน สหพันธ์องค์กรผู้บริโภค องค์กรผู้บริโภคจากทุกภูมิภาค เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวีเอดส์ ผู้ป่วยมะเร็ง สภาผู้ชมและผู้ฟังรายการไทยพีบีเอส นักวิชาการจากจุฬาฯ และ คณะวารสารฯ มธ. ฯลฯ ล่าสุด (18 ก.ย.56) ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา และ สุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการ กสทช. ได้จัดทำวาระการประชุม กสทช. เรื่องการยื่นฟ้องหมิ่นประมาทต่อนักวิชาการและสื่อมวลชน เข้าสู่การพิจารณาในที่ประชุม กสทช.ครั้งที่ 9/2556 โดยที่ประชุมได้รับฟังคำชี้แจงแล้วมีมติรับทราบ ต่อมา สำนักงาน กสทช.ได้เผยแพร่คำชี้แจงของ กทค. ทั้ง 4 คน ในการประชุม กสทช. ลงในเว็บไซต์สำนักงาน โดยระบุว่า มีการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับผลการประชุมที่มีความคลาดเคลื่อนไปจากข้อเท็จจริง ขณะที่บล็อกของสุภิญญาได้นำเสนอ วาระของ สุภิญญาและประวิทย์ เช่นกัน
2. การร่วมฟ้องคดีของสำนักงาน กสทช. ในครั้งนี้ไม่ชัดเจนว่า เลขาธิการ กสทช. ดำเนินการด้วยเหตุผลใด เนื่องจากพิจารณาแล้วพบว่าเนื้อหาการให้สัมภาษณ์ของนักวิชาการผู้ถูกฟ้องมิได้กล่าวพาดพิงถึงสำนักงาน กสทช. หรือระบุชื่อเลขาธิการ กสทช. แต่อย่างใด จึงควรมีการพิจารณาประเด็นนี้ให้ชัดเจนเช่นกัน และควรมีการดำเนินการให้ถูกต้องเหมาะสมต่อไปด้วย โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องการที่จะต้องไม่ใช่ทรัพยากรขององค์กรในการดำเนินการเรื่องนี้ 3. การดำเนินคดีนี้ขัดต่อแนวทางการดำเนินคดีอาญาเรื่องอื่นๆ ที่สำนักงาน กสทช. เคยถือปฏิบัติ โดยสำนักงาน กสทช. มิได้ส่งเรื่องดังกล่าวเพื่อให้ กสทช. หรือ กทค. ให้ความเห็นชอบก่อนตามปกติ เช่น ในการประชุม กทค. ครั้งที่ 25/2555 วันที่ 4 กรกฎาคม 2555 ที่สำนักงาน กสทช. ได้นำเสนอกรณีที่ผู้ประกอบการจำนวน 2๗ รายยื่นเอกสารอันเป็นเท็จในการนำเข้าเครื่องอุปกรณ์โทรคมนาคม ซึ่งที่ประชุมมีมติมอบหมายให้สำนักงาน กสทช. ดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษทางอาญาต่อพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีอาญาต่อไป ซึ่งแนวทางดังกล่าวสอดคล้องตามมติคณะรัฐมนตรี ตามหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีมี ด่วนมาก ที่ นร 0505/ว.184 ลงวันที่ 14 ธันวาคม 2549 เรื่อง การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเรื่องการดำเนินคดีอาญา คดีแพ่ง และคดีปกครอง เวียนแจ้งให้ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ เพื่อทราบและถือปฏิบัติตามต่อไป ข้อ 1.1 การดำเนินคดีอาญาในศาลยุติธรรม ที่กำหนดว่า "เมื่อมีการกระทำความผิดทางอาญาต่อส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และรัฐวิสากิจให้แจ้งความร้องทุกข์ให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด ไม่สมควรว่าจ้างทนายความยื่นฟ้องคดีอาญาต่อผู้กระทำความผิดเอง" ซึ่งเป็นหลักการที่สำนักงานใช้ปฏิบัติในการฟ้องคดีต่างๆ มาโดยตลอด แต่ครั้งนี้กลับปฏิบัติแตกต่างออกไป 4. กสทช. เป็นองค์กรของรัฐที่มีบทบาทหน้าที่ที่ส่งผลกระทบต่อสาธารณะ เมื่อการดำเนินการใดๆ ของ กสทช. ได้รับความสนใจจากสาธารณชนโดยทั่วไปจึงเป็นเรื่องปกติ และย่อมต้องได้รับการวิพากษ์วิจารณ์และให้ข้อเสนอแนะ ไม่ว่าจะด้านบวกหรือลบ ซึ่ง กสทช. ควรต้องมีใจเปิดกว้างและมีวุฒิภาวะในการที่จะเผชิญกับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมีใจเป็นกลาง มีสติ และมีอุเบกขา แล้วใช้สัมมาทิฐิในการพิจารณาและชี้แจงอธิบายความ สร้างความเข้าใจ แทนที่จะตอบโต้อย่างมุ่งมาดเอาชนะ มุ่งตอบโต้ หรือมุ่งร้าย บทบาทของ กสทช. ในฐานะองค์กรกำกับดูแลสื่อวิทยุโทรทัศน์ยังควรต้องเป็นแบบอย่างในการส่งเสริมสนับสนุนสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ตลอดจนสิทธิและเสรีภาพในการสื่อสาร หากเห็นว่าการใช้สิทธิเสรีภาพใดเป็นไปเกินกว่าขอบเขตหรือไม่เหมาะสม กสทช. ก็มีสิทธิเสรีภาพที่จะวิพากษ์วิจารณ์ ให้ข้อเสนอแนะ หรือใช้มาตรการอื่นๆ แทนการฟ้องร้องดำเนินคดีได้ เพราะการฟ้องร้องคดีเพื่อเล่นงานผู้วิพากษ์วิจารณ์ โดยเฉพาะการดำเนินคดีอาญานั้น ในสายตาของโลกยุคใหม่ต่างเห็นว่าเป็นการคุกคามต่อเสรีภาพทางวิชาการและเสรีภาพการแสดงความคิดเห็น ซึ่งเป็นสิทธิที่ได้รับการรับรองทั้งในปฏิญญาสากลและในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย กรณีนี้จึงเป็นเรื่องที่จะทำให้ กสทช. เสื่อมเสียอย่างยิ่ง ยิ่งกว่าการถูกวิพากษ์วิจารณ์จากการดำเนินงานต่างๆ อย่างเทียบกันไม่ได้ ดังนั้นเมื่อกรณีนี้จะทำให้ กสทช. เสียหายอย่างแท้จริง จึงสมควรที่จะพิจารณาหาแนวทางป้องกันและลดผลกระทบดังกล่าวอย่างจริงจังต่อไปด้วย
สุทธิพล ทวีชัยการ กรรมการ กสทช. กล่าวว่า กรณีที่หลายคนบอกว่า กสทช. กทค. และสำนักงาน กสทช. จะไปฟ้องร้องเขาทั่วราชอาณาจักร เป็นเรื่องที่พูดกันไปเอง ตอนท้ายของคำฟ้อง เราต้องการแสดงให้เห็นว่าเราได้รับความเสียหายอย่างมาก เพราะเราบอกว่าการให้สัมภาษณ์ใส่ความต่อโจทก์ทั้ง 5 เป็นลักษณะเป็นเท็จต่อสื่อหนังสือพิมพ์และในรายการโทรทัศน์ ที่นี่ ไทยพีบีเอส มีจำหน่าย แพร่หลายและออกอากาศแพร่กระจายสัญญาณทั่วราชอาณาจักรไทย เหตุจึงเกิดขึ้นทุกตำบล อำเภอ จังหวัด ในราชอาณาจักรไทย เราไม่ได้บอกว่าเราจะไปฟ้องทั่วราชอาณาจักร อันนี้ก็เป็นเรื่องปกติ ผมได้ค้นทั่วโลก ในคดีที่มีการฟ้องหมิ่นประมาท ทั้งในสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน เอกวาดอร์ เฮติ ไนจีเรีย มอลต้า ซิมบับเว ฟ้องสื่อเรื่องหมิ่นประมาทเป็นเรื่องธรรมดา ผู้พิพากษาเองยังฟ้องสื่อทีวีในอเมริกาที่นำข้อมูลไปออกอากาศบิดเบือนผิดความจริงทำให้ผู้พิพากษาเสียชื่อเสียง หรือในออสเตรเลีย Commissioner ของตำรวจ ก็ไปฟ้องหนังสือพิมพ์ที่ไปกล่าวหาว่าโกงไม่น่าเชื่อถือ ไปเขียนบทความว่าเขาเพิกเฉย ต่อกรณีที่มีการร้องเรียนเรื่องทุจริตฯ ผลดีประการที่ 2 คือ สื่อ สื่อจะต้องตรวจสอบข้อมูล เพื่อมิให้สื่อของสังคมไทยถูกใช้เป็นเครื่องมือ โดยเฉพาะเครื่องมือของนักวิชาการที่เห็นว่าความเห็นของเขาถูกต้องฝ่ายเดียวโดยไม่ฟังผู้อื่น เพราะฉะนั้น การฟ้องคดี สื่อจะต้องมาทบทวนดูว่าข้อมูลต่างๆ ที่ได้รับมาจะต้องตรวจสอบ จริงๆ เราไม่ได้ฟ้องไทยพีบีเอส แต่ว่าเราฟ้องบรรณาธิการในไทยพีบีเอส ซึ่งรับข่าวมาจากนักข่าวก็ต้องดูความถูกต้องของเนื้อหา เพราะข่าวมีการนำเสนอไม่ใช่เป็นแค่การนำเสนอว่าใครพูดอะไร แต่เป็นสกู๊ปข่าว การนำเสนอข้อมูลเพียงด้านเดียวจึงเป็นเรื่องที่ไม่พึงกระทำ ผลดีประการที่ 3 ประโยชน์ที่จะได้ตกแก่หน่วยงานของรัฐ มีหลายหน่วยงานของรัฐไม่ใช่น้อยที่ถูกเสียงวิพากษ์วิจารณ์แต่ไม่อยากมีเรื่องด้วยอยู่ในสภาวะจำยอม ไม่ได้หมายถึงหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง หน่วยงานของรัฐหลายหน่วยงานทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ผมเองไม่ได้ไปกังวลกับหน่วยงานของรัฐที่พนักงานบางคนไม่สุจริต แต่เป็นห่วงหน่วยงานของรัฐที่มีบุคลากรที่ทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตแล้วถูกข่มเห่งรังแกโดยใครก็ตามเป็นผู้ที่มีบทบาทในสังคมสามารถชี้นำได้ และบอกว่าถ้าหน่วยงานของรัฐไม่เห็นด้วยกับทิศทางตรงนี้ บอกว่าหน่วยงานของรัฐไม่ดี คิดว่าถึงเวลาที่หน่วยงานของรัฐที่ถูกรังแกต้องลุกขึ้นมาปกป้องศักดิ์ศรี กรณีของ กสทช. เป็นกรณีตัวอย่างสร้างบรรทัดฐานให้หน่วยงานของรัฐปกป้องศักดิ์ศรีองค์กร โดยถ้าไม่ผิดก็ต้องลุกมาสู้ ไม่อยากให้มีกรณีม็อบชนม็อบให้ไปพิสูจน์ในศาลดีกว่า เรียนว่าทุกอย่างอยู่ในคำฟ้อง ขณะนี้คดีอยู่ในกระบวนการพิจารณาของศาลอาญาแล้ว ควรปล่อยให้เป็นไปตามกลไกการพิจารณาในการพิสูจน์ความจริง ศาลก็จะนัดให้ไต่สวนมูลฟ้อง ถ้าเราเป็นคนกล่าวหาก็ต้องนำพยานมาสืบ ฝ่ายคนที่ถูกฟ้องก็มีสิทธิซักถาม จนกระทั่งศาลตัดสินว่าจะประทับรับฟ้องหรือไม่ ขณะนี้เป็นขั้นตอนอยู่ในกระบวนการของศาล ถ้ามีการกดดันโดยไปกดดันผมไม่ได้ กดดันประธาน กทค. หรือ กทค. ไม่ได้ ก็ไปกดดันสำนักงานฯ ให้กลัว ให้ไปถอนฟ้อง ไม่งั้นจะถูกข่มขู่ จะอยู่ไม่ได้ในสังคมไทย ตรงนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ถูกต้อง จะทำให้มองว่าไม่เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของศาล พลเอกสุกิจ ขมะสุนทร กรรมการ กสทช. กล่าวว่า ผมทราบดีถึงว่าแนวทางที่ กสทช.สุภิญญาฯ ว่า ถ้าถูกฟ้องคือวีรสตรี แต่ว่าไม่มีใครอยากเป็นความ อย่าไปยุ่งกับเขา เขาว่าทนได้ก็ทน แต่ผมมีสิทธิ เสรีภาพ เกียรติยศของผม ถ้าการให้ข่าวเป็นการให้ข่าวโดยเข้าใจผิดโดยรู้ไม่จริง แล้วไปให้ข่าวแล้วไปให้ความเห็น ผมให้อภัยได้ว่ารู้ไม่หมด แต่ถ้ารู้หมด ใช้คำว่ารังแก กลุ่มบุคคลกลุ่มนี้รังแกพวกผมมาโดยตลอด ไม่เคยทำอะไรถูกผิดทุกเรื่อง ผิดมากผิดน้อยออกมารังแกใช้โครงสร้างเครือข่ายรังแก ผมตั้งใจทำงานและผมถูกรังแก ถ้าเป็นสมัยเด็กๆ ผมสู้ไปแล้ว ผมก็อดทน เพราะยิ่งสู้เขายิ่งดังยิ่งสู้ไม่มีประโยชน์อะไร แต่ก็ทนไม่ไหวถูกรังแกเหลือเกิน ตอนนี้ทุกเรื่องออกอะไรไปก็ถูกรังแกหมด ไม่ถูกไม่ดี ตามที่ กสทช.สุทธิพลฯ เคยพูดว่าเขาเอาความจริงมาพูดไม่หมดเปรียบเหมือนหมามีสี่ขา ช้างมีสี่ขา เป็นสัตว์เหมือนกัน ขนาดไม่เท่ากัน มีงวงมีงา กินก็ไม่เหมือนกัน ก็ทนไม่ไหว ก็ต้องใช้สิทธิ์ส่วนบุคคลของผมในการฟ้อง ต่อไปนี้ผมฟ้อง เมื่อฟ้องครั้งแรกได้ก็ฟ้องครั้งที่สองได้ฟ้องครั้งที่สามได้ ใครมาลงอะไรที่เป็นเท็จเกี่ยวกับเรื่องของผม หรือสิ่งที่ผมทำ เพราะว่าผมไม่มีทางอื่น ถ้าสมัยก่อนอาจจะมีเกเรบ้าง แต่ว่าเดี๋ยวนี้ทำไม่ได้ ก็ไม่ทำ เป็นการใช้สิทธิในฐานะประชาชนคนไทย และใช้สิทธิในการคุ้มครองเพื่อให้ประชาชนทั่วไป หรือให้ศาลพิจารณาว่าสิ่งที่เราทำกับสิ่งที่เราถูกกล่าวหาตรงกันไหม เป็นเรื่องของศาลยุติธรรม ก็เป็นสิทธิ์ส่วนบุคคลของผม ก็เรียนความในใจสั้นๆ เท่านี้ เพราะส่วนใหญ่ กสทช. สุทธิพลฯ ได้กล่าวไปแล้ว ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
'อ่านนายผี' จากการเมืองของนายผี สู่ การเมืองของเสื้อแดง-ปัญญาชนปัจจุบัน Posted: 20 Sep 2013 08:23 AM PDT เปิดตัวโครงการ 'อ่านนายผี' ซีรี่ย์ประวัติศาสตร์รวมงานเขียนกวี บทความ งานแปล เรื่องสั้น พร้อมเสวนาจาก เดือนวาด พิมวนา และสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล โยงการเมืองยุคนายผีสู่ปัจจุบัน วิพากษ์แวดวงกวี ปัญญาชน และเสื้อแดง
18 ก.ย.56 ที่คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ท่าพระจันทร์ มีการจัดเสวนา 'โซร่หลุดขาคู่อ้า ออกแล้ว เรายืน กวีของนายผี และการเมืองของอัศนี พลจันทร' ในวาระครบอบชาติการ 95 ปีของนายผี อัศนี พลจัรทร พร้อมทั้งเปิดตัวโครงการ 'อ่านนายผี' จัดโดยสำกนักพิมพ์อ่าน ร่วมกับโครงการปริญญาโท ภาควิชาภาษาและวรรณคดีอังกฤษ คณะศิลปศาสตร์ มธ. ทั้งนี้ นายผี เป็นนามปากกาของ อัศนี พลจันทร กวี นักเขียน ปัญญาชนผู้มีเชื่อเสียงในยุคเปลี่ยนผ่านการเมืองไทยครั้งสำคัญ และมีบทบาทสำคัญในพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ใช้ชื่อจัดตั้งว่า สหายไฟ เขาเกิดเมื่อ 15 กันยายน 2461 และเสียชีวิตในปี 2530 ประเทศลาว รวมอายุ 69 ปี นำกลับประเทศไทยมาเพียงเถ้ากระดูก คนรุ่นใหม่รู้จักกันเขาในฐานะผู้แต่งเพลงเดือนเพ็ญ (คิดถึงบ้าน) เนาวนิจ สิริผารัตน์ ผู้จัดทำโครงการ 'อ่านนายผี' กล่าวว่า โครงการนี้จะเป็นการรวบรวมและตีพิมพ์งานเขียนของอัศนีทุกชิ้น ไม่ว่าจะเป็นกวี เรื่องสั้น บทความ งานแปล ที่อัศนีเขียนไว้ในช่วงปี 2484-2502 ก่อนจะเข้าป่า โดยสำนักพิมพ์อ่านและสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกันได้จัดทำเป็นหมวดหมู่รวมแล้วราว 15 เล่ม โดยต้นฉบับจำนวนมากได้รับมาจากคุณวิมลมาลี พลจันทร บุตรสาวของอัศนี โดยเบื้องต้นคุณวิมลมาลีต้องการบริจาคต้นฉบับที่มีอยู่ 1 ลังให้หอจดหมายเหตุ ธรรมศาสตร์ และต้องการหาผู้จัดพิมพ์โดยมีเงื่อนไขว่าต้องพิมพ์ตามต้นฉบับเดิมทุกประการ โดยต้นฉบับดังกล่าวมีทั้งที่เป็นลายมือ รวมถึงเอกสารต้นร่างที่ 'ป้าลม' ภรรยาอัศนีได้รวบรวมงานของอัศนีมาไว้เตรียมจัดพิมพ์ แต่ท่านมาเสียชีวิตเสียก่อนจะมีการจัดพิมพ์ตามที่ตั้งใจวางแผนไว้ในปี 2546 ในวาระครบรอบ 85 ปีนายผี ในเบื้องต้นสำนักพิมพ์อ่านจัดพิมพ์ออกมาแล้ว 2 เล่ม คือ ศิลปาการแห่งกาพย์กลอน และ กาพย์กลอนวิพากษ์วิจารณ์ สังคมและการเมืองสยาม (2484-2490) ในรูปเล่มขนาดเล็กกระทัดรัดตามเจตนารมณ์ของทายาทนายผีที่ต้องการให้ต้นฉบับดังกล่าวเขาถึงประชาชนให้มากที่สุด
"นี่คือสภาวะจิตนิยมอย่างที่สุดที่จะเอามาล้มล้างระบอบการปกครองในลักษณะที่ไม่เอาหลักการเอาเรื่องจิตนิยม จะเอาคนดี จะเอาเรื่องมนุษยธรรมหลายคนก็มีลักษณะที่พาตัวเองขึ้นไปอยู่ในจุดที่ทำทุกทวิถีทางที่จะไม่เอาตัวเองไปอยู่ในคู่ขัดแย้งขอเป็นคนขาวๆ ขอเป็นคนกลางๆ ฉันพูดเรื่องนี้ได้โดยไม่ใช่ผู้ขัดแย้งแต่รู้ไหมว่า คู่ขัดแย้งที่เห็นหน้าเห็นตากันแล้วเกลียดกันในทุกวันนี้ยังไม่ใช่ผู้ที่จะสามารถล้มล้างวิธีคิดที่เป็นหลักการที่เราจะอยู่ร่วมกันได้เท่ากับคนที่มีมนุษยธรรม ยืนอยู่ข้างนอก ....ชาวบ้านตื่นแค่ไหนก็ไปไม่ถึงคำอธิบายของปัญญาชนยุคนี้เพราะมันจะไหลไปเรื่อยเพื่อเบี่ยงเบนจุดยืนที่เขาไม่มีอยู่จริง" |
สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ: ก่อนจะเป็น ปตท. Posted: 20 Sep 2013 08:15 AM PDT บทความนี้ตั้งใจที่จะเล่าในเชิงประวัติศาสตร์ว่า ที่มาของกิจการน้ำมันในประเทศไทยก่อนที่จะตั้งการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย หรือ ปตท. ว่า มีความเป็นมาเช่นไร ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากวิทยานิพนธ์ประวัติศาสตร์ของนิสิตที่เพิ่งจบการศึกษาคือ อนรรฆ พิทักษ์ธานิน ในหัวข้อเรื่อง "ก่อนจะเป็น ปตท.- ประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมน้ำมันปิโตรเลียมในประเทศไทย พ.ศ. 2489 - 2521 แต่เดิมแหล่งพลังงานในโลกที่มนุษย์ใช้จะเป็นพลังงานจากธรรมชาติเป็นหลัก จนกระทั่งเกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรม จึงได้มีการใช้พลังงานไอน้ำ ทำให้ถ่านหินเริ่มมีความสำคัญ แต่ต่อมาเกิดการปฏิวัติด้านพลังงาน เพราะการคิดค้นเครื่องยนต์แบบสันดาปภายใน ทำให้น้ำมันปิโตรเลียมเริ่มมีความสำคัญมากขึ้น สังคมไทยเริ่มนำเข้าน้ำมันตั้งแต่ราว พ.ศ.2417 เพื่อนำมาใช้ในด้านแสงสว่างสำหรับราชสำนักสมัยรัชกาลที่ 5 ดังนั้น น้ำมันที่นำเข้าระยะแรกจึงเป็นน้ำมันก๊าด แต่ก็มีปริมาณน้อยมาก จนกระทั่งกิจการรถยนต์เริ่มเข้ามาในไทยเมื่อราว พ.ศ.2420 จากนั้น การใช้น้ำมันในสังคมไทยก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น จนถึง พ.ศ.2477 ที่ไทยนำเข้าน้ำมันปิโตรเลียมราว 63,292 พันลิตร แต่การบริโภคจะมาลดลงอีกครั้งในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เพราะความยากลำบากในการขนส่งและภาวะคลาดแคลน หลังสงครามโลกยุติลง ไทยอยู่ในภาวะผู้ร่วมมือกับญี่ปุ่นจึงไม่มีอำนาจต่อรอง ต้องยอมรับให้สแตนดาร์ดแวคคั่มออยส์(เอสโซ) และ รอยัลดัทช์เชลล์เข้ามาผูกขาดการค้าน้ำมัน โดยรัฐบาลไทยต้องทำ"คำมั่นประกัน" พ.ศ.2489 ว่าจะไม่จัดจำหน่ายน้ำมันแข่งกับบริษัทต่างประเทศ และห้ามการแทรกแซงหรือควบคุมการค้าน้ำมัน ตามคำมั่นประกันนี้ ทำให้บริษัทน้ำมันต่างประเทศได้โอกาสขยายตลาดในไทยได้เต็มที่ ในภาวะที่การบริโภคน้ำมันในสังคมไทยเพิ่มทวีขึ้น เพราะการขยายตัวของค่านิยมการใช้รถยนต์ตามแบบอเมริกา แต่รัฐบาลไทยในระยะต่อมาไม่พอใจต่อคำมั่นประกันนี้ เพราะเห็นว่าน้ำมันปิโตรเลียมเป็นสินค้ายุทธศาสตร์ที่รัฐบาลจะต้องเข้าควบคุม และยังไม่พอใจที่บริษัทต่างประเทศขึ้นราคาจำหน่ายปลีกน้ำมัน โดยรัฐบาลควบคุมไม่ได้ หลังจากมีการเจรจากันหลายรอบ บริษัทน้ำมันต่างประเทศก็ยอมเลิกคำมั่นประกันเมื่อปลาย พ.ศ.2499 ซึ่งทำให้ฝ่ายไทยสามารถเข้าสู่ตลาดน้ำมันแข่งขันกับต่างชาติได้ องค์การเชื้อเพลิงของไทย จึงเปิดค้าปลีกน้ำมันตราสามทหาร หลัง พ.ศ.2500 การใช้น้ำมันปิโตรเลียมในสังคมไทยเพิ่มทวีมากขึ้นทุกที สาเหตุเพราะการขยายตัวของถนนที่เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งการสร้างถนนสายหลักที่เชื่อมภูมิภาคเข้ากับกรุงเทพฯ เช่น ถนนสุขุมวิท ถนนพหลโยธิน ถนนเพชรเกษม และ ถนนมิตรภาพ ทำให้การขนส่งทางรถยนต์เข้ามาแทนที่การขนส่งทางน้ำและทางรถไฟ แม้กระทั่งรถไฟเองก็เปลี่ยนจากรถจักรไอน้ำที่ต้องมีสถานีเติมฟืนมาสู่รถจักรดีเซล ต่อมาก็คือการขนส่งทางอากาศที่ขยายตัวมากขึ้น นำมาซึ่งการใช้เชื้อเพลิงปิโตรเลียมทั้งสิ้น แต่ที่สำคัญคือ การขยายตัวของวิถีชีวิตแบบชนชั้นกลางในเมือง ทำให้การใช้รถยนต์ส่วนบุคคลในกรุงเทพฯเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะการมีรถยนต์ไม่เพียงแต่ทำให้การเดินทางส่วนตัวสะดวกขึ้น แต่ยังแสดงถึงความโก้เก๋และสะท้อนฐานะทางสังคมของผู้ขับขี่รถยนต์ด้วย นอกจากนี้ การใช้จักรยานยนต์ก็ได้กลายเป็นวิถีชีวิตแห่งความสะดวกสบายแบบใหม่ จึงปรากฏว่า เมื่อถึง พ.ศ.2513 สังคมไทยมีรถยนต์ที่จดทะเบียนราว 3.7 แสนคัน และจักรยานยนต์ 3.3 แสนคัน ตั้งแต่รัฐบาลสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์เริ่มถมคูคลองในพระนคร และสร้างเป็นถนนขึ้นมาแทน ในที่สุดราว พ.ศ.2510 เริ่มเกิดจราจรติดขัดมากขึ้น และหลังจากนั้น รถติดกลายเป็นวิถีชีวิตอันคุ้นเคยอย่างหนึ่งของชาวเมืองหลวง นี่เป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้การใช้น้ำมันเบนซินในสังคมไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ปั๊มน้ำมันเพื่อการค้าปลีกขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยมีเชลล์ และ เอสโซ เป็นผู้ครองตลาด สามทหารมาเป็นอันดับสาม นอกจากนี้ จะเป็น ตราดาว ซัมมิท และ โมบิล น้ำมันสามทหารราคาถูกและบังคับให้หน่วยราชการต้องใช้ แต่ไม่ค่อยเป็นที่นิยมในหมู่ประชาชน เพราะมีภาพลักษณ์ว่าเป็นน้ำมันคุณภาพไม่ได้มาตรฐาน การขยายตัวด้านอุตสาหกรรมที่ต้องใช้พลังงานจำนวนมากและสม่ำเสมอ เป็นปัจจัยสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้การใช้น้ำมันในสังคมไทยเพิ่มทวีขึ้น ทำให้ไทยต้องนำเข้าน้ำมันปิโตรเลียมเพิ่มขึ้นทุกปี ในที่สุด รัฐบาลจึงได้สนับสนุนให้มีการสร้างโรงกลั่นน้ำมัน คือ โรงกลั่นน้ำมันไทย และโรงกลันน้ำมันบางจาก ต่อมา เอสโซก็ตั้งโรงกลั่นน้ำมันของตนเองอีกแห่งหนึ่ง ทำให้ไทยมีความสามารถในการผลิตน้ำมันของตนเองได้ แต่ยังต้องนำเข้าปิโตรเลียมมาเป็นวัตถุดิบเพราะไม่มีแหล่งน้ำมันในประเทศ น้ำมันในตลาดโลกในระยะก่อนหน้านี้อยู่ในมือของบริษัทยักษ์ใหญ่ในสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตาม ประเทศผู้ผลิตน้ำมันได้ตั้งกลุ่มโอเปคขึ้นตั้งแต่ พ.ศ.2503 และได้รณรงค์เข้ามาเป็นผู้กำหนดตลาดมากขึ้น จนเมื่อเกิดสงครามอาหรับ-อิสราเอล เดือนตุลาคม พ.ศ.2516 กลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันอาหรับ ได้ใช้น้ำมันเป็นเครื่องมือเพื่อคว่ำบาตรชาติตะวันตกที่สนับสนุนอิสราเอล โดยลดการผลิตลงและตัดการค้ากับตะวันตก กรณีนี้ก่อให้เกิดวิกฤตการณ์น้ำมันอย่างรุนแรงทั่วโลก ก่อให้เกิดการปรับขึ้นอย่างมากด้านราคา ทำให้ตลาดน้ำมันในไทยปั่นป่วนไปด้วย เพราะบริษัทน้ำมันจะขอขึ้นราคาค้าปลีกน้ำมันหลายครั้ง ซึ่งจะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่การขึ้นราคาของน้ำมันปิโตรเลียมจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนวงกว้าง รัฐบาลหลังกรณี 14 ตุลา ต้องใช้นโยบายตรึงราคาน้ำมัน รวมทั้งเสนอรณรงค์ให้ประหยัดน้ำมัน และเสนอน้ำมันสูตรพระราชทานอีเทอนัลออกมาเพื่อแก้ไขปัญหาทางจิตวิทยามวลชน แต่ก็ก่อให้เกิดความขัดแย้งกับบริษัทนำมันอย่างมาก ปัญหาจากวิกฤตการณ์น้ำมัน และกระแสการโจมตีเรื่องการผูกขาดตลาดน้ำมันของต่างชาติที่เกิดขึ้นหลังกรณี 14 ตุลาคม นำมาซึ่งแนวคิดในการจัดตั้งบริษัทน้ำมันแห่งชาติ ประกอบกับการที่ต่างประเทศได้มีการตั้งบริษัทน้ำมันขึ้นมาจดการปัญหาถึง 78 ประเทศ และในกลุ่มเพื่อนบ้าน ก็มีการตั้งบริษัทน้ำมันแห่งชาติ เช่น สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และ มาเลเซีย เป็นต้น แต่นโยบายการตั้งบริษัทแห่งชาติด้านน้ำมันชะงักไปสมัยเผด็จการธานินทร์ กรัยวิเชียร จนกระทั่งสมัยที่ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ มาเป็นนายกรัฐมนตรี จึงได้นำมาสู่การออกพระราชบัญญัติจัดตั้งการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยในเดือนธันวาคม พ.ศ.2521 ด้วยการรวมกิจการของน้ำมันสามทหารและโรงกลั่นของรัฐเข้าเป็นของ ปตท. และยังรวมกิจการด้านก๊าซธรรมชาติเอาไว้ด้วย สรุปได้ว่าการเกิดของ ปตท.มาในเงื่อนไขทางประวัติศาสตร์แบบหนึ่ง ที่เรียกร้องให้มีบริษัทแห่งชาติมาดำเนินการ แต่ต้องเข้าใจว่า ปตท.ไม่ได้ผูกขาด หากแต่เติบโตในตลาดแข่งขัน เพราะบริษัทน้ำมันระดับโลก เช่น เชลล์ เอสโซ และ ตราดาว ก็ยังคงประกอบกิจการในไทยเช่นกัน ความสำเร็จของ ปตท.ในระยะหลัง เป็นสิ่งที่เกินความคาดหมายเมื่อ พ.ศ.2521
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
เรื่องราวการต่อสู้ของคนงานเก็บเบอร์รี่ชาวไทยที่ฟินแลนด์ Posted: 20 Sep 2013 05:46 AM PDT
วันที่ 10 กันยายน พวกเรา 3 คนได้เดินทางมาเพื่อไปพบคนงานไทยที่อยู่ที่แคมป์ Saarijarvi และพวกเราและเพื่อนๆ นักกิจกรรมในพื้นที่อีกหลายคนที่ตามมาสมทบ ได้ร่วมเป็นประจักษ์พยานต่อสภาพความจริงแห่งการใช้ชีวิตและการทำงานของกลุ่มคนงานภายใต้สถานภาพ "นักท่องเที่ยวจ้างงานตัวเอง" ที่ในความเป็นจริงช่างห่างไกลจากความเป็น "นักท่องเที่ยว" ตามที่ระบุในวีซ่า อย่างมากมายจนน่าตกใจ
เมื่อมาถึงฟินแลนด์ - สภาพความเป็นอยู่และการทำงาน
ถ้าเก็บเห็ดและหาปลาได้ พวกเขาก็จะมีอาหารสุขภาพเสริมเข้ามา
ในจำนวนคนงาน 50 คนที่ต่อสู้ครั้งนี้ คนงาน 45 คน ถูกส่งไปยังแคมป์แรกที่เมือง Juva และอีก 5 คน ถูกส่งไปที่แคมป์แรกที่เมือง Kuhmo แต่หลังจากลงมือเก็บเบอร์รี่ไม่ถึงสัปดาห์ เมื่อบริษัทไม่ยอมให้ย้ายแคมป์ที่ต้้งอยู่ที่เมือง Juva ตามคำขอของคนงาน เมื่อเจอคำพูดว่า "ถ้าไม่เก็บก็จะส่งกลับเมืองไทย" ก็ทำให้คนงานหวาดกลัว และยอมขับรถไกลเพื่อหาแหล่งเบอร์รี่ถึงขนาดที่คนงานเกือบทุกคนต้องนอนค้างอ้างแรมกันในป่าเพราะต้องการประหยัดน้ำมัน (คนงานกลุ่มนี้กว่าครึ่งมีประสบการณ์นอนในป่าที่หนาวเย็น) ราคาเบอร์รี่ปีนี้ก็ต่ำกว่าเมื่อปีที่แล้ว บลูเบอร์รี่ที่เคยมีราคา 2 ยูโร/กก. ปีนี้รับซื้อที่ 1.4 ยูโร เมื่อผนวกกับการเก็บบลูเบอร์รี่ได้น้อย (ดูตัวเลขจำนวนบลูเบอร์รี่ที่เก็บในแผนภาพ) เมื่อถึงฤดูลินงอนเบอร์รี่ (คนงานเรียกว่า "หมากแดง") พวกเขาก็มีความหวังขึ้นมาบ้าง เพราะมีหมากแดงมากในบริเวณที่พวกเขาอยู่ เรื่องการขอย้ายแคมป์จึงกลายเป็นเรื่องการสู้เพื่อขออยู่ที่แคมป์นี้ต่อไป
พวกข้าพเจ้า จึงจำเป็นต้องอยู่ต่อไปในประเทศฟินแลนด์เพื่อดำเนินการเรื่องเรียกร้องตามกระบวนการยุติธรรมในประเทศฟินแลนด์"
ธุรกิจส่งออกทาสแรงงานยุคใหม่ ปีละ 1,200 ล้านบาท ขอวิจารณ์ท่าทีสถานทูต ในวันที่ 13 กย. คณะเจ้าหน้าที่สถานทูตไทย 3 คน เดินทางมาพบคนงาน พร้อมนำมาม่า 10 ลัง ไข่ไก่ 100 ฟอง และข้าวสาร 20 กก. มาฝากคนงาน ผู้เขียนแซวคณะทูตไปว่า คนงานกินมาม่ากันมาทั้งเดือนแล้ว สถานทูตไทยยังจะให้เขากินมาม่ากันต่ออีกหรือ? ขอสรุปภาพรวมที่ได้จากการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่สถานทูตไทยทางโทรศัพท์ในวันที่ 12 กันยายน และในระหว่างที่มาเยี่ยมคนงานในวันที่ 13 กันยายนว่า สถานทูตพูดด้วยท่าทีแบบ "ทำไมคนงานไม่เก็บเบอร์รี่" "ก็บริษัทเขาโกรธเรานี่" และ "จะกลับเมืองไทยกันเมื่อไร" และเมื่อคนงานบอกว่ากำลังดำเนินเรื่องเอาผิดกับบริษัทในข้อหา "ค้ามนุษย์" เจ้าหน้าที่สถานทูตพยายามถามคนงานตลอดว่า "คิดดีแล้วหรือยัง" "ครอบครัวทางเมืองไทยจะว่าอย่างไรบ้าง" "ไม่ห่วงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับงานเก็บเบอร์รี่ 4,000 คน หรือ?" สิ่งที่น่าสนใจคือ เจ้าหน้าที่สถานทูตท่านนี้ บอกกับพวกเราอยู่ที่ฟินแลนด์มา 3 ปี "ได้รับการร้องเรียนจากคนงานเก็บเบอร์รี่ทุกปี ซึ่งสถานทูตก็บอกให้คนงานอดทนเก็บจะได้คุ้มทุน" จำเป็นต้องสู้ คนงานเก็บเบอร์รี่ชุดนี้หลายคนใช้ชีวิตหลายปีในการเป็นคนงานไทยในต่างแดน ทั้งสิงคโปร์ บรูไน ไต้หวัน เกาหลี ญี่ปุ่น อิสราเอล และสวีเดน ฯลฯ พวกเขาเป็นคนมีฝีมือและทักษะหลากหลายที่คิดว่าจะนำรายได้ก้อนโตจากช่วงเวลาทำงานเพียง 2 เดือนกลับไปใช้หนี้และดูแลครอบครัว การยืนหยัดต่อสู้ "ไม่ได้เงิน กลับบ้านไม่ได้"
พวกข้าพเจ้าทั้งหมด 50 คน ขอยืนยันจะต่อสู้เพื่อความยุติธรรม วันนี้พวกข้าพเจ้าได้รับทราบว่าบริษัท Ber-Ex Oy ได้เปลี่ยนตั๋วเครื่องบินของพวกข้าพเจ้าจากวันที่ 2 และ 4 ตุลาคม 2556 มาเป็นวันที่ 14 กันยายน 2556 ทั้งที่พวกข้าพเจ้า ได้ยืนยันกับบริษัท Ber-Ex Oy และสถานทูตไทยว่าจะกลับประเทศไทยวันที่ 2 และ 4 ตุลาคม 2556 ตามกำหนดการเดิม จึงลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐาน ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
เปิดรับผู้มีคุณสมบัติเป็น กกต.-ปปช. 23-30 ก.ย. Posted: 20 Sep 2013 04:08 AM PDT 20 ก.ย. 56 - เว็บไซต์เดลินิวส์รายงานว่าเมื่อเวลา 13.30 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมการสรรหากรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นครั้งแรก เพื่อดำเนินการสรรหาบุคคลผู้สมควรได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งกกต.ทั้งคณะ 5 คน เนื่องจากครบวาระ 7 ปีแล้ว ประกอบด้วย ประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครองสูงสูด ประธานสภาผู้แทนราษฎร และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร บุคคลซึ่งที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาคัดเลือก(นายกู้เกียรติ สุนทรบุระ) และบุคคลซึ่งที่ ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดคัดเลือก (นายอัครวิทย์ สุมาวงศ์) ส่วนตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญขณะนี้ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่ง จากนั้นในเวลา 14.00 น. ได้มีการประชุมคณะกรรมการสรรหากรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ แทนนายกล้านรงค์ จันทิก ที่พ้นจากตำแหน่งเช่นกัน ประกอบด้วย ประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครองสูงสุด ประธานสภาผู้แทนราษฎร และผู้นำฝ่ายค้าน ส่วนประธานศาลรัฐธรรมนูญขณะนี้ยังไม่มีผู้ดำรงตำแหน่ง โดยที่ประชุมทั้ง 2 คณะมีมติเลิอกประธานศาลฎีกาเป็นประธานคณะกรรมการสรรหา โดยได้กำหนดกรอบและแนวทางสรรหาคือ จะเปิดรับสมัครบุคคลที่มีคุณสมบัติตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดตั้งแต่วันที่ 23- 30 ก.ย. โดยสมัครได้ที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ไม่เว้นวันหยุดราชการ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
Posted: 20 Sep 2013 03:26 AM PDT 20 ก.ย. 56 - จากกรณี กสทช.ฟ้องนักวิชาการและสื่อมวลชน คือ ดร.เดือนเด่น นิคมบริรักษ์ ผอ.วิจัยทีดีอาร์ไอ และน.ส.ณัฐฐา โกมลวาทิน ผู้ประกาศข่าวไทยพีบีเอส และต่อมาวันที่ 19 กันยายน 2556 ปรากฏข่าวในสื่อมวลชนอย่างแพร่หลายว่า นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช.เปิดเผยว่าจะมีผู้ถูกฟ้องรายหนึ่งไปพูดคุยเจรจากับกสทช.เพื่อให้มีการถอนฟ้อง เกี่ยวกับเรื่องนี้ ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานทีดีอาร์ไอ เปิดเผย รู้สึกแปลกใจมาก เมื่อได้ยินข่าวนี้ และจากการตรวจสอบจากเฟซบุ๊กของ คุณณัฐฐา โกมลวาทิน หนึ่งในผู้ถูกฟ้องยืนยันว่าไม่ได้มีความคิดใด ๆ ที่จะไปเจรจากับ กสทช. เพราะได้ทำหน้าที่ตามหลักวิชาชีพ ในส่วนของนักวิชาการคือ ดร.เดือนเด่น นิคมบริรักษ์ ผอ.วิจัยของทีดีอาร์ไอ ก็ยืนยันว่าไม่มีความคิดที่จะไปเจรจาเพื่อให้ กสทช.ถอนฟ้อง เช่นกัน นอกจากนี้เฟซบุ๊กของนายสมชัย สุวรรณบรรณ ผู้อำนวยการไทยพีบีเอสก็ระบุชัดเจนว่าไม่มีแนวทางจะไปเจรจาเพื่อให้มีการถอนฟ้อง เพราะทั้งทีดีอาร์ไอในฐานะนักวิชาการและไทยพีบีเอสในฐานะสื่อมวลชน ต่างได้ทำหน้าที่ตามหลักวิชาการและหลักวิชาชีพของตัวเอง จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปขอร้องให้มีการถอนฟ้อง ฉะนั้นจึงประหลาดใจอย่างยิ่งที่ กสทช.ให้ข่าวดังกล่าว โดยเลขาธิการ กสทช, ระบุว่า นายสุทธิพล ทวีชัยการ กรรมการกิจการโทรคมนาคม(กทค.) เป็นผู้ให้ข่าวว่าจะมีผู้ที่ถูกฟ้อง 1 รายจะไปเจรจาเพื่อให้มีการถอนฟ้อง ซึ่งเมื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ข้อสรุปที่ไม่น่าจะคลาดเคลื่อนว่า 1 ใน 2 ท่านนี้ท่านใดท่านหนึ่งน่าจะให้ข้อมูลที่ไม่จริงต่อสาธารณชน "ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ๆ เพราะบุคคลทั้งสองเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ การให้ข้อมูลในเรื่องที่ไม่จริงและสามารถตรวจสอบได้ง่าย ๆ ว่าเป็นจริงหรือไม่ ก็ยังไม่ได้ให้ข้อมูลที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นถ้าเป็นเรื่องที่สลับซับซ้อนเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์มากๆ และประชาชนไม่ค่อยเข้าใจ จะมั่นใจได้อย่างไรว่าจะให้ข้อมูลกับสาธารณชนอย่างถูกต้อง" ดร.สมเกียรติ กล่าวว่า ในส่วนของทางทีดีอาร์ไอ ยืนยันว่าเป็นการทำหน้าที่ของนักวิชาการ หาก กสทช.อยากจะถอนฟ้องก็สามารถดำเนินการได้เอง ทางนักวิชาการและสื่อมวลชนทั้งสองคนไม่ได้มีแนวคิดที่จะไปเจรจาในที่ลับ หากจะมีการพูดคุยใด ๆ อยากให้เป็นการเปิดเวทีสาธารณะพูดคุยกันถึงความถูกต้องเหมาะสมของการที่ กสทช. ไปขยายอายุการใช้สัมปทานคลื่น 1800 เมกกะเฮิร์ต ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ ที่ควรจะพูดกันในที่แจ้ง ดร.สมเกียรติ กล่าวว่า การที่คดีไปสู่ศาลนั้นในมุมหนึ่งแม้จะทำให้เกิดความยุ่งยากเสียเวลากับผู้ถูกฟ้องทั้งสอง แต่ก็เป็นโอกาสอันดีที่จะได้นำเรื่องนี้เข้าสู่ขั้นตอนของศาลซึ่งจะสามารถใช้อำนาจของศาลในการเรียกข้อมูลและเอกสารต่าง ๆ ซึ่งเคยเป็นความลับยังไม่ถูกเปิดเผยโดยสำนักงาน กสทช. ออกมาเป็นข้อมูลสาธารณะ และเมื่อถึงเวลานั้นเชื่อว่าประชาชนจะได้ทราบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมีที่มาที่ไปอย่างไร ขณะเดียวกันการออกมาให้ข่าวของ กสทช.ทั้งสองท่านหากเป็นจริงตามที่เป็นข่าว ก็ควรอย่างยิ่งที่ กสทช.ทั้งสองคนจะต้องออกมาชี้แจงเรื่องดังกล่าว ว่าผู้ใดอ้างใครไปติดต่อกับท่าน ท่านจึงเอามากล่าวอ้างว่ามีความพยายามว่าสื่อมวลชนและนักวิชาการที่ถูกฟ้องจะไปเจรจาต่อรองเพื่อให้ถอนฟ้อง ดร.สมเกียรติ กล่าวว่า สิทธิเสรีภาพทางวิชาการและสิทธิเสรีภาพของสื่อเป็นสิทธิที่ได้รับการรับรองโดยรัฐธรรมนูญ และการทำหน้าที่ของนักวิชาการและสื่อในกรณีแบบนี้จำเป็นที่จะต้องได้รับการคุ้มครองจากสังคม และเชื่อว่าเรื่องนี้จะเป็นบทเรียนในอนาคตที่จะชี้ให้เห็นว่าหากสิทธิของสื่อและนักวิชาการถูกคุกคามไปแล้วทำให้ไม่สามารถตรวจสอบองค์กรของรัฐที่บริหารเม็ดเงินบริหารผลประโยชน์เป็นแสนล้านต่อปีได้ คนที่จะเสียก็คือประชาชน เพราะประชาชนก็จะไม่ได้รับทราบข้อมูลข่าวสารที่ควรได้รับทราบ อย่างกรณีคลื่น 1800 เมกกะเฮิร์ต ซึ่งมีความซับซ้อนจนนำมาสู่การฟ้องร้องนั้น พูดง่าย ๆ คือ คลื่น 1800 เมกกะเฮิร์ต เป็นคลื่นที่ใช้กับสัมปทานโทรศัพท์ 2G (มีคนจำนวนมากใช้งานอยู่) แต่สามารถนำไปใช้กับ 4G ได้ด้วย ซึ่งโทรศัพท์ 4G จะสามารถสื่อสารข้อมูลความเร็วสูงได้ การที่ กสทช.โดย กทค.ได้ไปต่ออายุการใช้คลื่น 1800 เมกกะเฮิร์ตให้กับบริษัทเอกชนสองราย มีผลทำให้หมดโอกาสที่จะเอาคลื่นนั้นไปใช้กับ 4G ซึ่งมีประโยชน์กับสังคมมากกว่า ซึ่งหากมีการยืดออกไปอีก 1 ปีอย่างที่ปรากฏ ความเสียหายที่จะเกิดคือประเทศไทยจะได้ใช้บริการ 4G ล่าช้าออกไป 1 ปี และที่สำคัญ มีการตั้งคำถามจากนักวิชาการด้านกฎหมายที่มีชื่อเสียงหลายคนถึงการดำเนินการดังกล่าวของ กสทช. ว่าดำเนินการโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ตนคิดว่าคำถามที่ กสทช.ต้องตอบในกรณีนี้ก็คือ การดำเนินการ ของ กสทช.นั้นได้ปรึกษาหารือกับหน่วยงานภายนอกเช่น สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา หรือแม้กระทั่งที่ปรึกษากฎหมายภายใน คืออนุกรรมการด้านกฎหมายของ กสทช. หรือไม่.อย่างไร สำหรับสัมปทานคลื่น 1800 เมกกะเฮิร์ตที่หมดอายุสัมปทานไปเมื่อวันที่ 15 กันยายนที่ผ่านมานั้น ตามกฎหมาย กสทช. การใช้คลี่นความถี่จะต้องได้รับอนุญาตจาก กสทช. โดย กสทช.และผู้ที่ใช้อำนาจ กสทช.ซึ่งรวมถึง กทค.ด้วย หากทราบว่ามีการใช้คลื่นความถี่โดยผู้ประกอบการ โดยไม่ได้รับอนุญาต กสทช.หรือผู้ใช้อำนาจ กสทช. หากละเว้นก็จะมีความผิด ถ้าไม่ผิดตามมาตรา 157 กฎหมายก็กำหนดไว้ว่าให้มีความผิดฐานละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย กสทช.ด้วย กสทช.จึงควรเร่งแก้ไขการดำเนินการที่น่าจะผิดพลาดให้กลับมาโดยเร็วที่สุดและด้วยความโปร่งใส สิ่งที่ กสทช.ควรทำ คือ การเปิดเผยผลการศึกษาของอนุกรรมการที่ กสทช.ตั้งขึ้นและปรึกษาหารือหน่วยงานด้านกฎหมายต่าง ๆ ก่อนจะดำเนินการที่จะผิดพลาดมากไปกว่านี้ และโดยส่วนตัวตนเห็นว่า กสทช.ควรเปิดเวทีพูดคุยสาธารณะกับนักวิชาการฝ่ายต่าง ๆ และกลุ่มผู้บริโภค เพื่อค้นหาว่าจะมีวิธีการเยียวยาปัญหานี้ร่วมกันอย่างไรในอนาคต. ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
เอฟทีเอ ว็อทช์ ถามจุดยืนหมอประดิษฐ ยอมให้อียูแทรกแซงผู้เจรจาหรือไม่ Posted: 20 Sep 2013 02:05 AM PDT เอฟทีเอ ว็อทช์ ถามจุดยืนหมอประดิษฐ มุ่งมั่นปกป้องผลประโยชน์ประชาชนเช่นเดียวกับหัวหน้าคณะเจรจาเอฟทีเอไทยแค่ไหนจะยอมให้อียูแทรกแซงผู้เจรจาหรือไม่ 20 ก.ย. 56 - นางสาวกรรณิการ์ กิจติเวชกุล ผู้ประสานกลุ่มศึกษาเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA Watch) เปิดเผยว่า ภาคประชาสังคม 28 องค์กรได้ทำหนังสือถึง นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพื่อขอให้ยืนยันจุดยืนของกระทรวงสาธารณสุขในการเจรจาเอฟทีเอเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขและสุขภาพของคนในสังคม "ดร.โอฬาร ไชยประวัติ หัวหน้าคณะเจรจาฯ ยืนยันชัดเจนต่อสาธารณะว่า จะไม่รับข้อเสนอการเจรจาที่มากกว่าข้อตกลงด้านทรัพย์สินทางปัญญาขององค์การการค้าโลก (ทริปส์พลัส) ทั้งในเรื่องยา และทรัพยากรชีวภาพ ดังนั้น ทางกลุ่มเอฟทีเอ ว็อทช์ และเครือข่ายประชาสังคม ที่ติดตามการเจรจาเอฟทีเอ ต้องการทราบว่ากระทรวงสาธารณสุขมีจุดยืนอย่างไร ทั้งในภาพรวมการเจรจาที่เกี่ยวกับยาและประเด็นที่เกี่ยวโยงกับสุขภาพทั้งหมด และได้กำหนดนโยบาย และมาตรการในการสนับสนุนการเจรจาอย่างไร ทั้งในด้านข้อมูลวิชาการ และการมอบหมายเจ้าหน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุขที่ไปทำหน้าที่เจรจา" นอกจากนี้กลุ่มศึกษาเขตการค้าเสรีภาคประชาชน ทราบมาว่า ทางสหภาพยุโรปพยายามแทรกแซงคณะเจรจาฝ่ายไทย ด้วยการขอเปลี่ยนตัวผู้เจรจาบางคนโดยพยายามติดต่อโดยตรงกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข "เราอยากทราบว่า มีการแทรกแซงทีมเจรจาฝ่ายไทยจากสหภาพยุโรปเช่นที่ว่านี้หรือไม่อย่างไร หากเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้น หมอประดิษฐจะมีจุดยืนอย่างไร จะยอมให้มีการแทรกแซงเช่นนี้หรือไม่ พวกเราคาดหวังกับกระทรวงสาธารณสุขซึ่งมีความรับผิดชอบต่อระบบหลักประกันสุขภาพที่เป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลจะมีจุดยืนที่ให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนผู้มีรายได้น้อย จะดำเนินการเจรจาอย่างอย่างรอบคอบเฉพาะอย่างยิ่งให้ความสำคัญกับผลกระทบทางลบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนผู้มีรายได้น้อย และยืนหยัดเจรจาที่จะนำมาซึ่งประโยชน์สูงสุดของประเทศที่ครอบคลุมคนทุกกลุ่ม" ทางด้าน นายนิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ สมาชิกกลุ่มศึกษาเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA Watch) กล่าวถึงการที่ภาคประชาสังคมไทยจะทำการรณรงค์ร่วมกับภาคประชาสังคมในประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ที่โดนคุกคามจากสหภาพยุโรปในลักษณะเดียวกันผ่านความตกลงการค้าเสรี เพื่อให้คณะกรรมการรางวัลโนเบลแห่งนอร์เวย์ซึ่งเป็นผู้พิจารณารางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ให้เพิกถอนรางวัลดังกล่าวที่สหภาพยุโรปได้รับไปเมื่อ ค.ศ. 2012 นั้น "เราไม่ได้ทำอะไรเกินเลยตามที่หัวหน้าคณะเจรจาฯฝ่ายอียูกล่าวหา องค์กรที่จะได้ครอบครองรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพควรประพฤติตัวให้สมเกียรติ ดังนั้น เราจะติดตามดูพฤติกรรมของสหภาพยุโรปในการเจรจาเอฟทีเออย่างใกล้ชิด และเริ่มที่จะสื่อสารกับภาคประชาสังคมในประเทศต่างๆบ้างแล้ว เมื่อไรที่เราแน่ใจว่า สหภาพยุโรปผลักดันความตกลงระหว่างประเทศที่บ่อนทำลายระบบความมั่นคงของประเทศไทยและประเทศต่างๆอย่างชัดแจ้ง จะทำให้สังคมไทยและประเทศต่างๆโดยรวมอ่อนแอลง คนยากคนจนส่วนใหญ่ยากจนขึ้น แต่คนรวยส่วนน้อยกลับจะรวยยิ่งขึ้นไปอีก เราจะร่วมกันทำหนังสือร้องเรียนถึงคณะกรรมการรางวัลโนเบลเพื่อเพิกถอนทันที หากไม่ต้องการให้เราร้องเรียน สหภาพยุโรปก็ควรเลิกเรียกร้องเนื้อหาที่ทำลายล้างเช่นนี้" 0 0 0 เรียน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์) เรื่อง จุดยืนของกระทรวงสาธารณสุขในการเจรจาเอฟทีเอ ตามที่หัวหน้าคณะเจรจา (ดร.โอฬาร ไชยประวัติ) ได้ประกาศจุดยืนชัดเจนต่อสาธารณชนยืนยันว่า จะไม่รับข้อเสนอการเจรจาที่มากกว่าข้อตกลงด้านทรัพย์สินทางปัญญาขององค์การการค้าโลก (ทริปส์พลัส) ทั้งในเรื่องยา และทรัพยากรชีวภาพ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขและสุขภาพของคนในสังคม และเพื่อป้องกันผลกระทบที่จะเกิดกับเกษตรกร และความมั่นคงทางอาหารของประเทศไทย ทางกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (เอฟทีเอ ว็อทช์) และเครือข่ายประชาสังคม อันประกอบด้วยภาคประชาสังคม องค์กรวิชาการ องค์กรประชาชนและองค์กรพัฒนาเอกชน 28 องค์กรที่ติดตามการเจรจาการค้าเสรีระหว่างไทยกับสหภาพยุโรปมาโดยตลอด ต้องการทราบว่ากระทรวงสาธารณสุขมีจุดยืนอย่างไร ทั้งในภาพรวมการเจรจาที่เกี่ยวกับยาและประเด็นที่เกี่ยวโยงกับสุขภาพทั้งหมด และได้กำหนดนโยบาย และมาตรการในการสนับสนุนการเจรจาอย่างไร ทั้งในด้านข้อมูลวิชาการ และการมอบหมายเจ้าหน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุขที่ไปทำหน้าที่เจรจา นอกจากนี้กลุ่มศึกษาเขตการค้าเสรีภาคประชาชน ทราบมาว่า ทางสหภาพยุโรปพยายามแทรกแซงคณะเจรจาฝ่ายไทย ด้วยการขอเปลี่ยนตัวผู้เจรจาบางคนโดยพยายามติดต่อโดยตรงกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เรื่องนี้เป็นความจริงหรือไม่อย่างไร หากเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้น ท่านจะมีจุดยืนอย่างไร เครือข่ายภาคประชาสังคมมีความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่า คณะเจรจาโดยการนำของ ดร.โอฬาร ไชยประวัติ ในนามของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยของ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนผู้มีรายได้น้อย จะดำเนินการเจรจาอย่างอย่างรอบคอบเฉพาะอย่างยิ่งให้ความสำคัญกับผลกระทบทางลบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนผู้มีรายได้น้อย และยืนหยัดเจรจาที่จะนำมาซึ่งประโยชน์สูงสุดของประเทศที่ครอบคลุมคนทุกกลุ่ม จึงคาดหวังว่ากระทรวงสาธารณสุขซึ่งมีความรับผิดชอบต่อระบบหลักประกันสุขภาพที่เป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลจะมีจุดยืนเช่นเดียวกันนี้อย่างมั่นคง ขอแสดงความนับถือ (ภญ. สำลี ใจดี) กลุ่มศึกษาเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA Watch) เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย, เครือข่ายองค์กรงดเหล้า, เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก, เครือข่ายความมั่นคงด้านอาหารคาบสมุทรสทิงพระ, เครือข่ายอิสระภาพทางพันธุกรรม สภาเกษตรกร, สมัชชาคนจน, เครือข่ายสลัม ๔ ภาค, ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม, ชมรมเพื่อนโรคไต, เครือข่ายเพื่อนมะเร็ง, มูลนิธิเข้าถึงเอดส์, คณะกรรมการองค์การพัฒนาเอกชนด้านเอดส์, มูลนิธิศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์, มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค, มูลนิธิเภสัชชนบท, ชมรมเภสัชชนบท, กลุ่มศึกษาปัญหายา, มูลนิธิชีววิถี, มูลนิธิบูรณะนิเวศ, มูลนิธิสุขภาพไทย, กลุ่มเพื่อนแรงงาน, เครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์, เครือข่ายชุมชนผู้ได้รับผลกระทบจากแอลกอฮอล์, เครือข่ายชุมชนเฝ้าระวังภัยแอลกอฮอล์ กทม., เครือข่ายเยาวชนป้องกันนักดื่มหน้าใหม่, เครือข่ายคนทำงานด้านการลดอันตรายจากการใช้สารเสพติด (12D), โครงการศึกษาและปฏิบัติการงานพัฒนา 0 0 0 [ร่างสำหรับส่งถึงคณะกรรมการรางวัลโนเบลแห่งนอร์เวย์: เพื่อเผยแพร่ในกรณีที่สหภาพยุโรปไม่หยุดการคุกคามสิทธิ เสรีภาพ ระบบประชาธิปไตย และสุขภาพของประชาชนไทย ผ่านการกดดันในการเจรจาความตกลงการค้าเสรีกับประเทศไทย] กันยายน 2556 เรียน คณะกรรมการรางวัลโนเบลแห่งนอร์เวย์ เรื่อง ขออุทธรณ์ให้เพิกถอนรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ค.ศ. 2012 จากสหภาพยุโรป พวกเราภาคประชาสังคมไทยต้องการที่จะอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการรางวัลโนเบลแห่งนอร์เวย์ ให้เพิกถอนรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพอันทรงเกียรติจากสหภาพยุโรป ในการประกาศมอบรางวัลเมื่อปี 2555 คณะกรรมการฯ ได้ชื่นชมสหภาพยุโรปต่อการทำหน้าที่สนับสนุนสันติภาพและการสร้างความสมานฉันท์ ส่งเสริมประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนในยุโรป แม้จะได้รับการให้เกียรติอย่างสูงเช่นนั้น สหภาพยุโรปกลับกำลังดำเนินการในสิ่งที่ถือได้ว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ก่อให้เกิดปัญหาสังคม และบ่อนทำลายระบบประธิปไตยในประเทศไทย ถึงแม้มีการคัดค้านจากภาคประชาสังคมที่ทำงานเพื่อคนยากคนจนอย่างต่อเนื่อง ตัวแทนสหภาพยุโรปยังเดินหน้าเจรจาความตกลงการค้าเสรีกับประเทศไทย โดยกดดันให้รัฐบาลไทยยอมรับความผูกพันทางกฎหมายซึ่งจะส่งผลขัดขวางการเข้าถึงยาราคาถูกของประชาชนไทยส่วนใหญ่ และขัดขวางการเข้าถึงเมล็ดพันธุ์และพันธุกรรมพืชและสัตว์ของเกษตรกรไทยที่ยากจน ในทางกลับกัน ความตกลงเอฟทีเอระหว่างไทยกับสหภาพยุโรปกลับส่งเสริมการบริโภคแอลกอฮอล์ในกลุ่มนักดื่มหน้าใหม่ที่เป็นเยาวชน พฤติกรรมไม่เหมาะสมของสหภาพยุโรปที่ไปกดดันประเทศกำลังพัฒนา เช่นประเทศไทย ให้ยอมรับเงื่อนไขและข้อเรียกร้องต่างๆ ในการเจรจาความตกลงการค้าเสรีนั้น ขัดกันอย่างยิ่งกับความคาดหวังสูงส่งของคณะกรรมการผู้ให้รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ เพราะที่สหภาพยุโรปต้องการข้อผูกพันด้านทรัพย์สินทางปัญญามากไปกว่าที่ผูกพันในองค์การการค้าโลกนั้น ตีความได้ประการเดียวว่าสหภาพยุโรปถือเอาผลประโยชน์ของบรรษัทข้ามชาติสัญชาติยุโรปมาก่อนสวัสดิภาพของประชาชน การผูกขาดข้อมูลยา (data exclusivity) และมาตรการชายแดน (border measures) จะทำร้ายอุตสาหกรรมผลิตยาในประเทศไทย ในขณะที่การกดดันให้ประเทศไทยต้องให้สัตยาบันในสนธิสัญญา UPOV 1991 และ สนธิสัญญาบูดาเปส จะทำให้ราคาเมล็ดพันธุ์ที่มีการจดสิทธิบัตรราคาสูงอย่างต่อเนื่องและเกษตรกรผู้ยากจนไม่สามารถเข้าถึงได้ นอกจากนี้ การคุ้มครองการลงทุนจะทำให้นักลงทุนต่างชาติสามารถฟ้องร้องรัฐบาล ในแง่นโยบายของรัฐซึ่งขัดกับผลประโยชน์ของนักลงทุน แม้นโยบายเหล่านั้นจะเป็นนโยบายที่ดีต่อสิทธิ สุขภาพประชาชน และสิ่งแวดล้อมก็ตาม ยิ่งไปกว่านั้น การขัดขวางกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ จะก่อให้เกิดความเสียหายต่อสวัสดิภาพของประชาชน กล่าวโดยสรุป การผลักดันความตกลงระหว่างประเทศเช่นนี้บ่อนทำลายระบบความมั่นคงของประเทศไทยอย่างชัดแจ้ง จะทำให้สังคมไทยโดยรวมอ่อนแอลง คนยากคนจนส่วนใหญ่ยากจนขึ้น แต่คนรวยส่วนน้อยกลับจะรวยยิ่งขึ้นไปอีก ในสถานการณ์ที่ประชาชนในโลกที่สามถูกคุกคามว่าทรัพยากรอันมีค่ากำลังจะถูกแย่งชิงไป ประเทศประชาธิปไตยที่มีเกียรติใดๆ ควรเลือกหนทางที่ดีที่สุดสำหรับผลประโยชน์ของประชาชน เพราะทราบดีว่าการผลักประชาชนให้สิ้นไร้ไม้ตรอกจะนำไปสู่อนาธิปไตยและความไม่สงบได้ เกียรติภูมิและความน่าเชื่อถือของคณะกรรมการรางวัลโนเบลแห่งนอร์เวย์นั้น มาจากการคัดเลือกผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ด้วยเหตุนี้ท่านจึงควรตระหนักและตอบสนองต่อพฤติกรรมไม่เหมาะสมของผู้ที่ท่านมอบรางวัลให้ ในการณ์นี้ สหภาพยุโรปกำลังจะก่ออาชญากรรมทางสังคมต่อประชาชนไทยโดยการกดดันให้รัฐบาลไทยยอมรับข้อเรียกร้องในการเจรจาและไม่ยอมฟังเสียงคัดค้านของประชาชนที่ต้องทนทุกข์กับผลของข้อตกลงดังกล่าว ด้วยเหตุนี้ พวกเราภาคประชาสังคมไทยขออุทธรณ์ต่อท่าน คณะกรรมการรางวัลโนเบลแห่งนอร์เวย์ ให้เพิกถอนรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ค.ศ. 2012 จากสหภาพยุโรป สืบบเนื่องจากพฤติกรรมไร้ซึ่งมนุษยธรรมและสวนทางกับสันติภาพ การสร้างความสมานฉันท์ การส่งเสริมประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชน ขอแสดงความนับถือ กลุ่มศึกษาเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA Watch) เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย, เครือข่ายองค์กรงดเหล้า, เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก, เครือข่ายความมั่นคงด้านอาหารคาบสมุทรสทิงพระ, เครือข่ายอิสระภาพทางพันธุกรรม สภาเกษตรกร, สมัชชาคนจน, เครือข่ายสลัม ๔ ภาค, ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม, ชมรมเพื่อนโรคไต, เครือข่ายเพื่อนมะเร็ง, มูลนิธิเข้าถึงเอดส์, คณะกรรมการองค์การพัฒนาเอกชนด้านเอดส์, มูลนิธิศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์, มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค, มูลนิธิเภสัชชนบท, ชมรมเภสัชชนบท, กลุ่มศึกษาปัญหายา, มูลนิธิชีววิถี, มูลนิธิบูรณะนิเวศ, มูลนิธิสุขภาพไทย, กลุ่มเพื่อนแรงงาน, เครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์, เครือข่ายชุมชนผู้ได้รับผลกระทบจากแอลกอฮอล์, เครือข่ายชุมชนเฝ้าระวังภัยแอลกอฮอล์ กทม., เครือข่ายเยาวชนป้องกันนักดื่มหน้าใหม่, เครือข่ายคนทำงานด้านการลดอันตรายจากการใช้สารเสพติด (12D), โครงการศึกษาและปฏิบัติการงานพัฒนา ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
สพฉ.ฝึกทีมกู้ชีพชายแดนภาคใต้ พื้นที่เสี่ยงต่อการปะทะ เรียนรู้การช่วยชีวิตในพื้นที่ความไม่สงบ Posted: 20 Sep 2013 12:27 AM PDT 20 ก.ย. 56 - ที่โรงเรียนเสนารักษ์ กรมแพทย์ทหารบก สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ร่วมกับ โรงเรียนเสนารักษ์ กรมแพทย์ทหารบก จัดการฝึกภาคปฏิบัติในสถานการณ์เสมือนจริงที่มีผู้บาดเจ็บจำนวนมากในเหตุการณ์ระเบิด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการการฝึกการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บในที่เกิดเหตุในสถานการณ์ความรุนแรง โดยคัดเลือกบุคลากรทางการแพทย์ฉุกเฉิน ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้และพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดการปะทะ เช่น จังหวัดสุรินทร์ ให้มาเรียนรู้วิธีการในการปฏิบัติงานช่วยชีวิตฉุกเฉิน ในรูปแบบทางยุทธวิธี หรือ Tactical Combat Casualty Care (TCCC) นายแพทย์ภูมินทร์ ศิลาพันธ์ รองเลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ กล่าวว่า จากสถานการณ์ปัจจุบันของประเทศไทยที่มีความไม่สงบเกิดขึ้นบ่อยครั้ง และมีความรุนแรงมากขึ้น ทั้งจากการสู้รบตามแนวชายแดน การก่อการร้าย และการก่อความไม่สงบรวมถึงความรุนแรงทางการเมืองรวมถึงการก่อการจราจลในประเทศ ทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บ และเสียชีวิตจากสถานการณ์ที่รุนแรงเหล่านี้เป็นจำนวนมาก รวมทั้งเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ที่ออกให้การช่วยเหลือผู้บาดเจ็บจากสถานการณ์นี้ อาจได้รับอันตรายในการปฏิบัติหน้าที่ ณ จุดเกิดเหตุ จึงมีความจำเป็นที่บุคลากรในระบบการแพทย์ฉุกเฉิน จะต้องมีความรู้ความเข้าใจ และสามารถจัดการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บเหล่านี้ ณ ที่เกิดเหตุได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ตั้งแต่ขั้นการประเมินสถานการณ์ในที่เกิดเหตุ การคัดแยก การปฐมพยาบาล และส่งต่อหรือส่งกลับ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติจึงได้ประสานความร่วมมือกับ โรงเรียนเสนารักษ์ กรมแพทย์ทหารบก จัดโครงการการฝึกการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บในที่เกิดเหตุในสถานการณ์ความรุนแรงขึ้น "การนำทีมบุคลากรด้านการแพทย์ฉุกเฉินในพื้นที่ดังกล่าว มาเรียนรู้เทคนิคการช่วยชีวิตในรูปแบบทางทหารนั้น ก็เพื่อต้องการให้ทีม มีความรู้และทักษะในเรื่องจัดการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บเหล่านี้ในที่เกิดเหตุสถานการณ์ที่รุนแรง ได้แก่ สถานการณ์ที่มีการต่อสู้ด้วยอาวุธสงคราม เหตุลอบวางระเบิด และสถานการณ์จราจล อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ตั้งแต่ขั้นการประเมินสถานการณ์ในที่เกิดเหตุ การคัดแยก การปฐมพยาบาล และส่งต่อหรือส่งกลับ ทั้งยังมีแนวทางการปฏิบัติการ เป็นไปในแนวทางเดียวกันกับทหาร และสามารถนำความรู้ไปประยุกต์และถ่ายทอดให้กับหน่วยกู้ชีพอื่นๆในพื้นที่ได้" รองเลขาธิการ สพฉ.กล่าว สำหรับการฝึกในครั้งนี้เป็นการฝึกในระยะที่ 1 ซึ่งเป็นการเรียนรู้ภาคทฤษฎีต่างๆ เช่น หลักการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บในพื้นที่การรบ การจัดการผู้บาดเจ็บจำนวนมากในที่เกิดเหตุในสถานการณ์ความรุนแรง กลไกการบาดเจ็บจากกระสุนปืนและระเบิด และการรักษาวัตถุพยานในที่เกิดเหตุ เป็นต้น ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
เครื่องแบบนักศึกษา: โลกเสรีในมุมมองคนต่างยุค Posted: 19 Sep 2013 09:27 PM PDT
ช่วงทศวรรษให้หลังการปฏิวัติฝรั่งเศสในปี 1789 เอ็ดมันด์ เบิร์ก (Edmund Burke) นักปรัชญาชาวอังกฤษเชื้อสายไอร์แลนด์ได้ทำการตอบโต้การปฏิวัติฝรั่งเศสด้วยการเย้ยหยันต่อความรุนแรงที่เกิดขึ้นโดยฝูงชนชาวปารีส โดยระบุว่า การปฏิวัติฝรั่งเศส เป็นตัวอย่างที่มนุษย์ใช้เสรีภาพมากเกินไป สิ่งนี้ไม่ใช่วัฒนาการของสังคม แต่เป็นความสับสนอลหม่านและบ้าคลั่งของฝูงชน เบิร์กได้เสนอข้อสรุปอันเป็นตรรกะสำคัญที่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมหยิบยกมาใช้ทุกครั้งที่สถาปนาอำนาจได้คือ "เสรีภาพมาพร้อมกับหน้าที่" หรือประชาชนต้องมีศีลธรรมกำกับเสรีภาพเสมอ เป็นที่สังเกตว่าตรรกะของเบิร์กเป็นที่คุ้นหูในสังคมไทยอย่างมาก จนทำให้คนไทยส่วนใหญ่มีการรับรู้ว่า เสรีภาพไม่ใช่คำที่มีความหมายบวกหรือกระทั่งกลางๆ เมื่อมีการเอ่ยถึงเสรีภาพสังคมไทยมักให้ความหมาย แบบสีเทาๆ หรือค่อนไปทางลบโดยมิต้องรอคำอธิบายเพิ่มเติม เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาการประท้วงด้วยโปสเตอร์ของกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เพื่อตอบโต้นโยบายการบังคับให้ใส่ชุดนักศึกษาซึ่งถูกวางเงื่อนไขโดยอาจารย์ผู้สอนบางวิชา หนึ่งในนั้นคือนักศึกษาที่เคยโหนรูปปั้น นายปรีดี พนมยงค์[1] ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์จากฝ่ายอนุรักษ์นิยมในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ว่า พวกเขาและเธอ กำลังมีเสรีภาพมากเกินไป หรือใช้เสรีภาพไม่เป็น แล้วจบด้วยการวิจารณ์ว่าเป็น เด็กเกรียนไม่รู้จักกาลเทศะ มาจนถึงการประท้วงผ่านโปสเตอร์ที่มีภาพแสดงการร่วมเพศในชุดนักศึกษา ด้วยถ้อยคำที่เย้ยหยันประมาณว่า "มี sex ในชุดนักศึกษามันส์กว่า?" เพื่อล้อเลียนตรรกะของผู้คุมกฎที่ให้เหตุผลและคุณอนันต์จากการใส่ชุดนักศึกษา ผู้บริหารมหาวิทยาลัยตัวแทนคน Gen-X ที่ระแวงเสรีภาพ ที่จริงเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับอายุ หรือตำแหน่ง แต่การแบ่งตามรุ่น (Geneneration)อาจทำให้แผนที่ทางอุดมการณ์ชัดเจนขึ้น หากมองในภาพกว้างในสังคมแล้ว คน Gen-X ในสังคมไทยโตมากับระบบจารีตแปลกๆ ในสมัย จอมพลสฤษดิ์ เรื่อยมาจนถึงสมัยถนอมประพาส เราถูกสอนว่าคอมมิวนิสต์ชั่วเพราะเราอยู่ข้างอเมริกา แต่ประชาธิปไตยก็ไม่เหมาะกับสังคมไทยเลยต้องเป็นเผด็จการแบบไทยๆ รู้สึกว่าความเป็นไทยมันล้าหลัง แต่ก็กลัวอำนาจจักรวรรดินิยม 14 ตุลาคม 2516 นักศึกษาเป็นฮีโร่เรียกร้องประชาธิปไตย แต่ 6 ตุลาคม 2519 คืออะไรที่อธิบายไม่ได้ Gen-Y เสรีนิยมที่ยอมรับความต่าง หากแบ่งตามช่วงเวลาคน Gen-Y คือลูกคน Gen-X หรืออาจจะหลังลงมาสักสิบกว่าปีถ้าในสังคมไทยก็คือคนที่เกิดหลังปี 2520 เป็นต้นมารูปธรรมของคนกลุ่มนี้คือเบื่อนิยาย 14 ตุลาฯ ของคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ที่ยกย่องนักศึกษาเป็นเทพปกรนัมแต่พอถามเรื่องรัฐประหารซ้ำซากหลังจากนั้นก็ไม่มีใครตอบได้ และได้รับคำตอบสุดท้ายว่าไม่ว่าอย่างไร "เมืองไทยดีที่สุด"และคนหนุ่มสาวรุ่น Gen-Y ไม่ (ฉลาดหรือเสียสละ)เหมือนรุ่น Gen-X ซึ่งทั้งหมดไม่สมเหตุสมผลในสายตาคนรุ่นนี้ จารีตของคนรุ่นก่อนหน้ายังไม่ถึงกับเป็นเรื่องตลก แต่ไม่มีความจำเป็นต้องปฏิบัติตาม ทุกคนควรจะมีสิทธิเลือกได้ ในสายตาของคนกลุ่มนี้ ค่าของเลข 1,2,3,4,5 ไม่มีอะไรมากอะไรน้อยเกินไปตราบใดที่คนชอบ 1 ไม่บังคับให้คนชอบเลขอื่นมาชอบเลข 1. เหมือนตัวเอง นักศึกษาปัจจุบันก็มีความคิดในลักษณะนี้อยู่ไม่น้อยซึ่งเห็นว่าจะใส่หรือไม่ใส่เครื่องแบบก็ได้แต่อย่ามายุ่งกับการเลือกละกัน พวกเขาและเธอสามารถรำคาญอาจารย์หัวโบราณได้ พอๆกับการที่อาจรำคาญคุณอั้มเนโกะที่มองว่าพวกเขาและเธอยอมเป็นทาสระบบเมื่อตัดสินใจใส่เครื่องแบบ (คุณอั้ม เนโกะไม่ได้พูด แต่พวกเขาอาจจะคิดไปเองได้เสมอ) Gen-Z โลกต้องเปลี่ยนแปลงไปข้างหน้า ในสายตาของคน Gen-Z กลุ่มคน Gen-Y คือพวกโลกสวยและไม่สามารถนำสู่การเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย และคน Gen-X คือไดโนเสาร์หลงยุค จารีตของคนรุ่น Gen-X ไม่ใช่แค่ไม่มีความจำเป็นมันกลายเป็นเรื่องตลก และเป็นภัยคุกคามต่อการเปลี่ยนแปลง ขณะที่อันดับทางวิชาการของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ร่วงดิ่งลงทั้งในและระหว่างประเทศ อาจารย์กลับมาตั้งกฎไร้สาระเพื่อให้นักศึกษาใส่เครื่องแบบเหมือนค่ายทหาร หรือโรงเรียนอนุบาล ขณะที่คน Gen-X พยายามมองพวกเขาด้วยความเอ็นดูแกมหมั่นไส้ประมาณว่า "เดี๋ยวไอ้เด็กพวกนี้โตไปก็หายเกรียนเอง" ซึ่งเป็นการทำความเข้าใจแบบผิวเผิน และละเลยข้อเท็จจริงว่า ค่านิยมหรือจารีตบางอย่างไม่จำเป็นต้องอนุรักษ์ มันสามารถสูญพันธุ์ไปได้ และไม่จำเป็นต้องอยู่ร่วมกันอย่างสันติแบบที่กลุ่ม Gen-Y มอง มิเช่นนั้นโลกเราคงต้องประนีประนอมกับอะไรหลายอย่างที่มิควรมีในโลกอารยะ เช่น การค้าทาส ระบอบศักดินา เฆี่ยนโบยในศาล ลุยไฟพิสูจน์ความบริสุทธิ์ การคลุมถุงชนเด็ก 8 ขวบ รัฐประหาร ฯลฯ สำหรับคน Gen Z 1,2,3,4,5 เลขสุดท้ายย่อมดีที่สุดแล้วควรนับ 6,7,8.... ต่อไปเรื่อยๆตามพลวัตของสังคมโลก เป็นที่น่าแปลกใจที่สังคมไทยมักสร้างคำอธิบายขึ้นมาว่า "อาจารย์ทำไม่ถูกนะแต่นักศึกษาก็แรงเกินไป" สิ่งที่ผู้เขียนอยากชวนให้คิดหลังจากเราตีแผ่ โลกภาพ (Globality) ของทั้งสามกลุ่มสังคมเราใช้เกณฑ์อะไรในการพิพากษาว่า "แรงเกินไป" หรือเพียงเพราะมันขัดกับจารีตคนรุ่นเราเท่านั้น ผู้เขียนมองว่ามันเป็นเรื่องตลกอย่างยิ่งหากเราจะบอกให้นักศึกษากลุ่ม Gen-Z พยายามทำความเข้าใจแนวคิดของคน Gen-X ไม่ใช่เพราะพวกเขาต่างกันมากจนเข้าใจไม่ได้ ตรงกันข้ามพวกเขาอยู่ภายใต้จารีตนี้มาทั้งชีวิตถูกพร่ำสอนมาตลอดเรื่องจารีตของคนรุ่นก่อนหน้า การที่พวกเขาตั้งคำถามและวิจารณ์ได้ย่อมหมายความว่าพวกเขาได้สัมผัสมันจารีตอันศักดิ์สิทธิ์มาอย่างลึกซึ้ง คำถามสำคัญคือคนกลุ่มอื่นได้พยายามทำความเข้าใจโลกของคนรุนใหม่แค่ไหน ที่มากไปกว่าคำว่า "โตแล้วจะเข้าใจ" หลายทศวรรษหลังข้อเขียนวิพากษ์วิจารณ์เสรีภาพที่มากเกินไปของประชาชนในการปฏิวัติฝรั่งเศสโดย เอดมันด์ เบิร์ก; มาร์ค ทเวน (Mark Twain) เขียนหนังสือชื่อ "ความหวาดกลัวสองประเภท" โดยระบุว่า "ผู้คนมักตรึงใจกับความรุนแรงที่ประหัตประหารด้วยคมขวาน และการฆ่าอย่างฉับพลันด้วยความเร่าร้อน แต่ความรุนแรงนี้มิอาจเทียบได้เลยกับความรุนแรงที่ประหัตประหารด้วยความเลือดเย็น ไร้หัวใจ สิ้นหวัง กดขี่ระหว่างเพื่อนมนุษย์....ความรุนแรงประเภทแรกอาจฆ่าคนได้นับพัน อาจกินเวลานับเดือนจึงจะยุติ แต่ความรุนแรงประเภทหลังมันฆ่าคนให้ตายทั้งเป็นนับร้อยล้านคน อาจกินเวลาพันปีก็ไม่อาจยุติ....สุสานทั้งปารีสอาจบรรจุโลงศพจากความรุนแรงประเภทแรก...แต่สุสานทั้งฝรั่งเศสคงไม่พอที่จะบรรจุศพจากความรุนแรงประเภทหลังได้"....เหมือนว่าผู้เขียนทำเป็นเรื่องใหญ่โตเกินเหตุที่เอาเรื่องนักศึกษาประท้วงการใส่เครื่องแบบมาโยงกับการปฏิวัติฝรั่งเศส....แต่สิ่งที่ผู้เขียนอยากชวนให้คิดต่อคือ กลุ่มคุณอั้ม เนโกะและพวกกำลังตั้งคำถามกับความรุนแรงประเภทใดที่เกาะกินสังคมไทยเรามาอย่างยาวนาน
[1] ผู้เขียนขอเรียกว่านายปรีดี พนมยงค์ซึ่งเห็นว่าครบถ้วนและสมควรแม้ส่วนตัวจะศึกษาและเห็นคุณูปการของแนวคิดของท่าน แต่เนื่องจากท่านผู้นี้ไม่เคยสอนหรือรู้จักผู้เขียนเป็นการส่วนตัว ครั้นจะเรียกครู หรือออาจารย์ก็ดูแปลกๆ เหมือที่เราไม่เรียกครู Karl Marx อาจารย์ Adam Smith และด้วยการที่ท่านผู้นี้สนับสนุนความเสมอภาคและภราดรภาพคงไม่โกรธเคืองที่ผู้เขียนไม่ได้ใส่ยศถาบรรดาศักดิ์นำหน้าชื่อให้ท่าน
ที่มาภาพ: New Culture's Page
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
กองกำลังรัฐบาลอียิปต์บุกยึดคืนย่านชุมชนเครดาซะห์จากกลุ่มติดอาวุธ Posted: 19 Sep 2013 08:43 PM PDT หลังเกิดเหตุการณ์บุกทำลายป้อมตำรวจและสังหารเจ้าหน้าที่ทำให้ย่านชุมชนเครดาซะห์ในอียิปต์อยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่มติดอาวุธ ล่าสุด ทางกองทัพทหารและตำรวจของอียิปต์ได้บุกเข้ายึดคืนพื้นที่เป็นผลสำเร็จ แต่ก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงถูกยิงเสียชีวิต เมื่อวันที่ 19 ก.ย. ที่ผ่านมา กองกำลังของรัฐบาลอียิปต์ได้ออกปฏิบัติการบุกโจมตีเมืองกีซา โดยอ้างว่า เป็นปฏิบัติการปราบปราม "ผู้ก่อการร้าย" โดยกระทรวงมหาดไทยของอียิปต์เปิดเผยว่า เหตุการณ์ปะทะในเขตชุมชนเครดาซะห์ ของเมืองกีซา ทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นเจ้าหน้าที่ระดับพลตำรวจเอกเสียชีวิต 1 นาย โดยสามารถจับกุมตัวผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นกลุ่มติดอาวุธได้ 65 คน ปฏิบัติการในครั้งนี้เจ้าหน้าที่มีเป้าหมายต้องการจับกุมตัวบุคคลที่ก่อการเผาสถานีตำรวจและสังหารเจ้าหน้าที่ 11 นายในช่วงที่มีการปะทะหลังเกิดการรัฐประหารโค่นล้มประธานาธิบดี โมฮัมเหม็ด มอร์ซี เมื่อเดือน ก.ค. นักข่าวอัลจาซีรากล่าวว่า เจ้าหน้าที่ได้เข้าไปในเขตปฏิบัติการโดยสวมชุดเกราะหนา อ้างว่าต้องปฏิบัติการถอดรากถอนโคนและจับกุมผู้ก่อการร้าย เหตุการณ์สังหารเจ้าหน้าที่เกิดขึ้นไม่นานนักหลังจากพลตำรวจเอก นาบิล ฟารุค ได้พูดปลุกขวัญลูกทีมเพื่อเตรียมบุกเข้าไปในเขตชุมชนเครดาซะห์ โดยเจ้าหน้าที่ได้ถูกระดมยิงจากดาดฟ้าของอาคารละแวกนั้นซึ่งเป็นโรงเรียนและมัสยิดทำให้ส่วนหนึ่งพากันหลบอยู่หลังกำแพงกับหลังรถหุ้มเกราะ แต่ พล.ต.อ. ฟารุคได้ถูกยิงทะลุชุดเกราะจนล้มลงอยู่ที่พื้น 15 นาทีก่อนที่เจ้าหน้าที่จะพาพวกเขาส่งโรงพยาบาล ผู้สื่อข่าว BBC กล่าวว่าในช่วงบ่ายหลังจากที่เสียงปืนสงบลง ยังคงมีกำลังตำรวจอยู่จำนวนมากบนท้องถนนและมีการตั้งจุดตรวจโดยเจ้าหน้าที่ทหารตามทางเข้าออก นอกจากนี้ยังมีการเผยแพร่ภาพการนำกำลังเฮลิคอปเตอร์เข้ามาในพื้นที่ เจ้าหน้าที่ทหารเล่าว่าในระหว่างการสู้รบมีเจ้าหน้าที่ถูกขว้างระเบิดมือใส่จนได้รับบาดเจ็บ 10 นาย สื่อรัฐบาลอียิปต์ประกาศว่าหนึ่งในตัวผู้ที่ถูกจับกุมคืออาห์หมัด อูวอีส ซึ่งถูกกล่าวหาว่าได้ลงมือสังหารผู้กำกับการสถานีตำรวจชุมชนเครดาซะห์ในวันที่ 14 ส.ค. ที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังรายงานอีกว่าเจ้าหน้าที่สามารถยึดพื้นที่เอาไว้ได้รวมถึงมีการประกาศเคอร์ฟิว อัลจาซีราระบุว่า เขตชุมชนเครดาซะห์เป็นแหล่งผลิตสิ่งทออยู่ห่างจากกรุงไคโรราว 14 กม.เป็นฐานที่มั่นของกลุ่มติดอาวุธศาสนาอิสลาม ซึ่งก่อนหน้านี้สามารถยึดพื้นที่เขตชุมชนไว้ได้และไม่อนุญาตให้เจ้าหน้าที่เข้าไปในพื้นที่ โดยในวันพุธ (18) ที่ผ่านมาผู้อาศัยในเขตชุมชนบอกว่าพวกเขาไม่มีอำนาจในชุมชน แต่ก็ไม่ต้องการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามา ปฏิบัติการบุกย่านชุมชนในครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่สองแล้ว โดยก่อนหน้านี้ในวันจันทร์ (15) ที่ผ่านมาได้มีการบุกโจมตีย่านชุมชนเดลกา ในเขตปกครองมินยา ด้วยเหตุผลเดียวกัน หลังเกิดการรัฐประหารเมื่อเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา ก็มีการประท้วงอย่างต่อเนื่องของฝ่ายผู้สนับสนุนอดีตประธานาธิบดีมอร์ซี โดยมีเหตุการณ์ที่ผู้ชุมนุมจำนวนราว 1,000 คนถูกสังหาร ในเหตุการณ์ปราบปรามผู้ชุมนุมวันที่ 14 ส.ค. โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจราว 100 นายเสียชีวิตจากการปะทะเช่นกัน ทำให้มีเหตุการณ์สังหารเพื่อล้างแค้นในเขตชุมชนเครดาซะห์โดยมีการบุกโจมตีสถานีตำรวจในพื้นที่ทำให้มีเจ้าหน้าที่ 11 นายถูกสังหาร
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
You are subscribed to email updates from ประชาไท To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น