ประชาไท | Prachatai3.info |
- จับตาภาคประชาชน: นภวรรณ งามขำ และเมธี สิงห์สู่ถ้ำ NGO รุ่นใหม่กับแนวความคิดการเป็นผู้หนุนเสริม
- กกต.พม่าประกาศวันเลือกตั้ง 7 พ.ย.
- สวรส.หนุนกม.คุ้มครองผู้เสียหายฯ เน้นแก้ปัญหามากกว่าเพ่งโทษ
- เกษียร เตชะพีระ : ความตายที่รอคำตอบของฟาบิโอ
- ปัญหาชายแดนไทย-พม่า ทำการค้าหด 80 ล้านบาทต่อวัน
- รายงานพิเศษ: คลี่ปมเยียวยา(ตอนที่3) สารพันปัญหาเงินเป็นตัวตั้ง
- ใจ อึ๊งภากรณ์: การปฏิรูปของอภิสิทธิ์คือ การเกี่ยวข้าวในทะเลทราย
- ข่าวพม่า 11-13 ส.ค. 2553
- ศาสนาของคำผกา ตอนที่ 3 : ศาสนาในฐานะต้นทุนทางสังคม
จับตาภาคประชาชน: นภวรรณ งามขำ และเมธี สิงห์สู่ถ้ำ NGO รุ่นใหม่กับแนวความคิดการเป็นผู้หนุนเสริม Posted: 13 Aug 2010 11:16 AM PDT นภวรรณ งามขำ เครือข่ายเกษตรทางเลือก (รุ่นใหม่) และเมธี สิงห์สู่ถ้ำ กลุ่มปฏิบัติการท้องถิ่นสากล เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย ในซีรี่ส์ “NGO เป็นไงในขบวนการเคลื่อนไหวภาคประชาชน” โดยกลุ่มจับตาขบวนการประชาสังคมไทย ตอน 11 นภวรรณ งามขำ เครือข่ายเกษตรทางเลือก (รุ่นใหม่) "ประชาชนคือคนทุกคนที่อยู่ในที่นี้ คือทั้งประเทศ แต่ว่าตัวภาคประชาชนที่มันเกิดขึ้นมามันอาจจะเป็นแค่ส่วนหนึ่ง คือเป็นแค่ตัวแทนของประชาชนบางกลุ่ม ในบทบาทของตัวเอ็นจีโอเอง... ในความคิด น่าจะเป็นแค่คนที่ทำอะไรร่วมกับชุมชน อาจจะมีข้อมูลให้กับชุมชนแต่ไม่ใช่การนำความคิด" 000 ตอน 12 เมธี สิงห์สู่ถ้ำ กลุ่มปฏิบัติการท้องถิ่นสากล เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย “ภาคประชาชนเข้าใจว่าน่าจะเป็นตัวแทนของกลุ่มประชาชน ที่กลุ่มประชาชนเหล่านั้นก็ยอมรับว่าเขาเป็นจริงๆ ไม่ใช่ว่าเราอ้างตัวเป็นตัวแทนภาคประชาชน ทำอะไรก็อ้างว่าเป็นตัวแทนภาคประชาชน ภาคประชาชนคิดอย่างนั้นอย่างนี้ อันนี้ไม่น่าจะใช่ ผมรู้สึกว่าต้องได้รับการยอมรับจากกลุ่มคนเหล่านั้นที่เขาพูดถึงด้วย” “เอ็นจีโอควรจะมีส่วนในการเข้าไปสนับสนุนมากกว่าเป็นคนที่นำหน้า ... คือมันเหมือนเกี่ยวเนื่องกับภาคประชาชน คือภาคประชาชนคิดอย่างไร เอ็นจีโอก็น่าจะไปมีส่วนช่วยผลักดัน แล้วก็วิเคราะห์ว่าสิ่งที่ภาคประชาชนต้องการจะไปจริงๆ มันน่าจะเป็นอย่างไรร่วมกับตัวประชาชนเอง ควรจะสนับสนุนเขาเหล่านั้น” “ในอนาคตตัวชาวบ้านอาจจะเลิกพึ่งเอ็นจีโอได้ด้วยซ้ำ ถ้าชาวบ้านพัฒนาในลักษณะของเอาแกนนำที่เป็นเยาวชน ลูกหลานของชาวบ้านเอง มาผลักดันประเด็นงานของเขาจริงๆ มาทำงานแทนเขาจริงๆ แทนที่จะเอาคนข้างนอก เอาเอ็นจีโอข้างนอกมาทำงานแทนเขา” ..................................................... หมายเหตุ: กลุ่มจับตาขบวนการประชาสังคมไทย (Thai Social Movement Watch: TSMW) เป็นการรวมตัวกันของนักกิจกรรมทางสังคม นักพัฒนา อดีตนักพัฒนา นักศึกษา และนักวิชาการ ซึ่งมีความเกี่ยวข้อง สนใจ และห่วงใยในสภาวการณ์ของขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมไทยภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบัน สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |||||||||||||||||||||||||||
กกต.พม่าประกาศวันเลือกตั้ง 7 พ.ย. Posted: 13 Aug 2010 11:14 AM PDT ทีวีพม่าแจ้งประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้งแห่งสหภาพ ระบุ 7 พ.ย. นี้เป็นวันเลือกตั้ง ส.ส. กำหนดรับสมัคร ส.ส. 16 - 30 ส.ค. ทั้งนี้ถือเป็นการเลือกตั้งครั้งแรกในรอบ 20 ปี ขณะที่กฎหมายเลือกตั้งคุมเรื่องพรรคการเมืองหาเสียง แถมกัน "ออง ซาน ซูจี" และนักโทษการเมืองกว่า 2 พันคน พ้นเวทีเลือกตั้ง วานนี้ (13 ส.ค.) ทางสถานีโทรทัศน์ MRTV ของรัฐบาลทหารพม่า มีการอ่านประกาศของคณะกรรมการการเลือกตั้งแห่งสหภาพ (The Union Election Commission) ฉบับที่ 89/2010 ลงวันที่ 13 ส.ค. ประกาศว่า คณะกรรมการการเลือกตั้งแห่งสหภาพจะจัดการเลือกตั้งในระบบหลายพรรคการเมือง เพื่อเลือกตั้งสมาชิกสภาลุดด่อ หรือสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 7 พ.ย. 2553 โดยท้ายคำสั่งลงนามโดย ถั่น ซอ (Thein Soe) ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งแห่งสหภาพ นอกจากนี้ยังมีประกาศของคณะกรรมการการเลือกตั้งแห่งสหภาพ ฉบับที่ 90/2010 ลงวันที่ 13 ส.ค. โดยเนื้อหามี 4 ข้อ ได้แก่ หนึ่ง วันที่จะลงทะเบียนรับสมัครผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาลุดด่อ คือวันที่ 16 ส.ค. 2553 สอง วันสุดท้ายของการรับสมัครผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาลุดด่อ คือ วันที่ 30 ส.ค. 2553 สาม วันที่จะมีการพิจารณารายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งคือวันที่ 6 ถึง 10 ก.ย. 2553 สี่ วันสุดท้ายที่จะถอนรายชื่อผู้สมัคร หากผู้สมัครคนใดมีความต้องการคือวันที่ 3 ก.ย. 2553 คำสั่งลงนามโดย ถั่น ซอ ประธานคณะกรรมการเลือกตั้งแห่งสหภาพ ทั้งนี้ รัฐบาลทหารพม่ามีการผ่านกฎหมายและข้อบังคับหลายฉบับ ซึ่งถูกวิจารณ์จากนางออง ซาน ซูจี ผู้นำฝ่ายค้านของพม่า ซึ่งถูกกักบริเวณ และนานาชาติว่า ไม่เป็นประชาธิปไตยและไม่เป็นธรรม โดยพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (เอ็นแอลดี) ของนางออง ซาน ซูจี ได้ปฏิเสธร่วมการเลือกตั้ง และตามกฎหมายเลือกตั้งของรัฐบาลทหารพม่าทำให้พรรคถูกยุบโดยอัตโนมัติ เนื่องจากไม่ได้ลงทะเบียนพรรคการเมืองภายในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ทั้งนี้ กฎหมายการเลือกตั้งฉบับใหม่ มีผลทำให้นักโทษการเมืองที่ถูกคุมขังกว่า 2,000 คน ไม่สามารถร่วมการเลือกตั้งได้ โดยในจำนวนนี้มีนางออง ซาน ซูจี และ เจ้าขุนทุนอู ประธานพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยรัฐฉาน (เอสเอ็นแอลดี) พรรคการเมืองอันดับ 2 ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2533 รวมอยู่ด้วย กฎหมายการเลือกตั้งที่เข้มงวด ยังได้ห้ามพรรคการเมืองตะโกน เดินขบวน หรือกล่าวถ้อยคำใดๆ ระหว่างเดินรณรงค์หาเสียงที่ทำให้ภาพพจน์ของประเทศเสื่อมเสีย ขณะที่อดีตสมาชิกพรรคเอ็นแอลดีส่วนหนึ่ง ได้แยกตัวออกจากพรรคเอ็นแอลดี ได้ไปตั้งพรรคใหม่ คือ พรรคพลังประชาธิปไตยแห่งชาติ (the National Democratic Force) หรือ เอ็นดีเอฟ หวังนำภาพลักษณ์ของพรรคเดิมไปหาเสียง อย่างไรก็ตามนางออง ซาน ซูจี กล่าวผ่านทนายความส่วนตัว ว่านางไม่พอใจกับการแยกไปตั้งพรรคใหม่ ทั้งนี้ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2533 หรือเมื่อ 20 ปีที่แล้ว พรรคเอ็นแอลดีชนะการเลือกตั้งท่วมท้นได้รับคะแนนเลือก 392 ที่นั่ง จากทั้งหมด 492 ส่วนพรรคเอสเอ็นแอลดีชนะการเลือกตั้งทั่วรัฐฉานได้ ส.ส. ทั้งหมด 23 ที่นั่ง เป็นพรรคอันดับ 2 ขณะที่พรรคการเมืองที่หนุนหลังโดยทหารคือพรรคเอกภาพแห่งชาติ (National Unity Party) หรือเอ็นยูพี ได้รับเลือก 10 ที่นั่งเท่านั้น แต่รัฐบาลทหารพม่าไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |||||||||||||||||||||||||||
สวรส.หนุนกม.คุ้มครองผู้เสียหายฯ เน้นแก้ปัญหามากกว่าเพ่งโทษ Posted: 13 Aug 2010 11:14 AM PDT รายงานเสวนา กรณีการเสนอร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข นักวิชาการระบุ การขึ้นศาลหาคนผิดไม่ใช่คำตอบ ปัญหาอยู่ที่ระบบไม่ใช่คน จึงต้องแก้ด้วยระบบ ประสบการณ์ใช้ระบบไม่ต้องพิสูจน์ถูกผิด พบข้อดีชัดเจน จากเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มผู้ ประกอบวิชาชีพให้บริการด้านสาธารณสุข กับกลุ่มเครือข่ายผู้ป่วย ผู้บริโภค กรณีการเสนอร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข ยังมีอีกหลายประเด็นที่เป็นประเด็นขัดแย้งและยังไม่มีผู้ใดให้ความกระจ่าง ชัดกับสังคมได้ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวร ส.) เป็นหน่วยงานของรัฐที่ทำงานด้านวิชาการ ติดตามศึกษาประเด็นต่างๆ ของนโยบายด้านสาธารณสุข ทั้งในแง่หลักการและผลที่เกิดขึ้นจริงในทางปฏิบัติ จึงจัดงาน “กม.คุ้มครองผู้ป่วย!! ประสบการณ์ต่างแดน : เรียนรู้และเข้าใจก่อนตัดสินใจ” ขึ้นเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2553 หนึ่งในประเด็นคำถามที่สังคมยังคง สับสน คือ กฎหมายนี้กำหนดให้ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอรับเงินช่วยเหลือเบื้องต้นและเงิน ชดเชยได้ทันทีโดยไม่ต้องพิสูจน์ความผิด ซึ่งฝ่ายที่คัดค้านมองว่าจะทำให้เกิดการร้องเรียนพร่ำเพรื่อ สร้างภาระให้กับผู้ปฏิบัติงาน และรัฐอาจจะต้องเสียเงินเป็นจำนวนมากโดยไม่จำเป็น รศ.ดร.ลือชัย ศรีเงินยวง รศ.ดร.ลือ ชัย ศรีเงินยวง นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยมหิดลผู้ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับร่างกฎหมายฉบับนี้มา โดยตลอด อธิบายว่า ความเสียหายจากการรับบริการทางการแพทย์ส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากปัญหาความผิด พลาดทางการแพทย์ (medical error) และความผิดพลาดมากมายที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดพลาดของบุคคล แต่เป็นเรื่องของระบบ ความเสียหายที่เกิดขึ้นจึงไม่จำเป็นต้องลงเอยด้วยความขัดแย้ง หรือการฟ้องร้อง โดยที่ความเสียหายทางการแพทย์นั้น เกิดขึ้นได้ทุกที่ ไม่มีประเทศใดหรือองค์กรใดสามารถป้องกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะ ออสเตรเลีย เนเธอร์แลนด์ หรือหลายประเทศในยุโรปก็มีปัญหาเช่นเดียวกัน ปัญหาความขัดแย้งทางการแพทย์จึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติ แต่เป็นประเด็นทางสังคมว่าเราจะจัดการอย่างไร “สังคมทั้งสังคมเป็นสังคมแห่งการเพ่ง โทษและการหาแพะ ถ้าเกิดความเสียหายขึ้นมาก็ต้องหาว่าใครเป็นคนผิด เราไม่พูดกันว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น แพะ ก็คือสังคมทั้งสังคม เพราะเรามีระบบที่มันไม่ปลอดภัย ระบบที่มันไม่สมบูรณ์ การมองว่าความผิดพลาดเป็นเรื่องของระบบ หรือเป็นเรื่องของแพะ เป็นเรื่องที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ในหลายประเทศมันเกิดวิกฤติการฟ้องร้องจนนำไปสู่ระบบการแก้ปัญหาโดยไม่ พิสูจน์ถูกผิด” รศ.ดร.ลือชัย กล่าว การขึ้นศาลหาคนผิดไม่ใช่คำตอบ รศ.ดร.ลือ ชัย สรุปประเด็นนี้ว่า เกือบทุกประเทศที่เราศึกษามาเห็นว่า การฟ้องร้องไม่ใช่คำตอบ เพราะเป็นการทำลายระบบสุขภาพทั้งระบบ ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์กับผู้ป่วย การฟ้องร้อง เป็นวัฒนธรรมของการตำหนิเพ่งโทษ ไม่เปิดโอกาสให้เรียนรู้จากความผิดพลาด เป็นกระบวนการเชิงลบ เน้นไปที่ความผิดของปัจเจก และนี่คือเหตุผลว่าทำไมหลายประเทศจึงเลือกระบบการชดเชยโดยไม่ต้องพิสูจน์ถูก ผิด ปัญหาอยู่ที่ระบบไม่ใช่คน จึงต้องแก้ด้วยระบบ “ลักษณะของกลไกแบบนี้จะทำให้รู้สึก ปลอดภัยจากการถูกคุกคาม คนที่ผิดพลาดจะมีความจริงใจมากขึ้นในการเอาความผิดพลาดมาเป็นทางแก้ไข นำไปสู่การสร้างความปลอดภัยให้กับผู้ป่วย ในระยะยาวจะช่วยลดระยะเวลาและค่าใช้จ่าย และเชื่อว่ากลไกแบบนี้จะเป็นทางเลือกให้คนไม่เลือกที่จะฟ้องร้อง” รศ.ดร.ลือชัย กล่าวสรุปถึงข้อดีของระบบการไม่ต้องพิสูจน์ถูกผิด ประสบการณ์ใช้ระบบไม่ต้องพิสูจน์ถูกผิด พบข้อดีชัดเจน นายวิญญูได้เล่าถึงสถิติ การใช้ระบบการชดเชยตามมาตรา 41 ว่า จนถึงเดือนพฤษภาคมปีนี้มีคำร้องยื่นมา 3,284 ราย และเข้าเกณฑ์ได้รับความช่วยเหลือถึง 2,719 ราย คิดเป็น 82.8 เปอร์เซ็นต์ โดยในปีแรกๆ จำนวนผู้ขอรับความช่วยเหลือไม่มากนัก คือ 99 ราย แต่ในปี 2552 จำนวนพุ่งขึ้นไปถึง 810 ราย ส่วนระยะเวลาในการดำเนินการจนกระทั่งผู้เสียหายได้รับเงินก็มีแนวโน้มจะใช้ เวลาน้อยลงเรื่อยๆ สำหรับเงินที่กันไว้ทุกปีเพื่อจ่ายเป็นเงินช่วยเหลือเบื้องต้น ยกเว้นปี 2551 ไม่ได้กันเพราะขณะนั้นมีเงินเหลือเยอะ คิดเป็นประมาณ 336 ล้านบาท และจ่ายไปแล้ว 296 ล้านบาท ซึ่งนายวิญญูกล่าวอีกว่า สรุปบทเรียนจากการดำเนินงาน ในฝ่ายผู้รับบริการพอใจกับระบบของการช่วยเหลือเบื้องต้นสูงมาก ผู้รับบริการได้รับความช่วยเหลือรวดเร็ว สามารถบรรเทาความเดือดร้อนจากการสูญเสียได้ ระหว่างผู้ให้บริการกับผู้รับบริการยังมีความสัมพันธ์ที่ดี ส่วนฝ่ายผู้ให้บริการตอนแรกเกิดปัญหาเยอะ ต่อมาเมื่อเข้าใจระบบมากขึ้นปัญหาก็คลี่คลาย และผู้ให้บริการจะตระหนักถึงคุณภาพมาตรฐานการบริการมากขึ้น ที่มา: http://ilaw.or.th/node/517 สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |||||||||||||||||||||||||||
เกษียร เตชะพีระ : ความตายที่รอคำตอบของฟาบิโอ Posted: 13 Aug 2010 10:58 AM PDT
ภาพถ่ายหน้าศพฟาบิโอ โพเลนกีในงานฌาปณกิจศพที่วัดคลองเตยใน, ๒๔ พ.ค. ๒๕๕๓ รายงานพิเศษของ The Committee to Protect Journalists (CPJ คณะกรรมการปกป้องนักข่าว – อันเป็นองค์การอิสระที่ไม่แสวงกำไรเพื่อส่งเสริมเสรีภาพหนังสือพิมพ์ทั่วโลกด้วยการปกป้องสิทธิของนักข่าวที่จะรายงานข่าวโดยไม่ต้องกลัวถูกเล่นงานตอบโต้) เรื่อง “In Thailand unrest, journalists under fire” (ในเหตุไม่สงบในประเทศไทย นักข่าวถูกยิงใส่ – http://www.cpj.org/reports/2010/07/in-thailand-unrest-journalists-under-fire.php) เขียนโดย Shawn W. Crispin ผู้แทนอาวุโสของ CPJ ประจำเอเชียอาคเนย์และเผยแพร่เมื่อ ๒๙ ก.ค. ศกนี้ได้ระบุถึงกรณีสังหารฟาบิโอ โพเลนกีว่า: ‐ ในกรณีการยิงโพเลนกี, การสอบสวนที่อึมครึม การตายของฟาบิโอ โพเลนกี ช่างภาพชาวอิตาลี เป็นศูนย์รวมเรื่องเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นฉบับต่าง ๆ ที่มาประชันขันแข่งกัน โพเลนกีวัย ๔๘ ปีถูกฆ่าด้วยกระสุนปืนเช้าวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ศกนี้ระหว่างรายงานข่าวปฏิบัติการทางทหารเพื่อขับไล่ผู้ชุมนุมออกจากบริเวณถนนราชดำริอันเป็นเขตพื้นที่การชุมนุมประท้วงที่ซับซ้อนพิสดารซึ่งนปช.ได้สร้างขึ้นในย่านการค้าสุดยอดของกรุงเทพฯ แบรดลี คอกซ์ นักทำหนังสารคดีผู้อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ เล่าว่าเช้าวันนั้นก่อนเกิดเหตุทหารได้ยิงปืนประปรายจากด้านหลังเครื่องกีดขวางเข้าใส่พื้นที่ห่างออกไป ๒๐๐ เมตรซึ่งอยู่ใต้การควบคุมของนปช. คอกซ์บอกว่าทั้งเขากับโพเลนกีได้บันทึกภาพผู้ประท้วงคนหนึ่งถูกยิงที่ขาเวลาประมาณ ๑๐.๔๕ น. เวลา ๑๐.๕๘ น. เมื่อรู้สึกว่าการยิงสงบลงพักหนึ่ง คอกซ์เล่าว่าเขาก็ออกจากบังเกอร์ที่นปช.คุมอยู่ไปยังถนนที่เกือบโล่งร้างเพื่อสืบดูว่าความปั่นป่วนวุ่นวายในหมู่ผู้ประท้วงห่างไปราว ๓๐ – ๔๐ เมตรนั้นมันเรื่องอะไรกัน คอกซ์บอกว่าเขาเชื่อว่าโพเลนกีตามหลังเขาไปห่างกันไมกี่ก้าว ขณะวิ่งไปตามถนน คอกซ์รู้สึกปวดแปลบด้านข้างของขา ปรากฏว่ากระสุนนัดหนึ่งเฉี่ยวหัวเข่าเขาบาดเจ็บเล็กน้อย เมื่อเขาหันกลับไปมองในทิศทางของกองทหาร เขาก็เห็นโพเลนกีแผ่หราอยู่กับพื้นข้างหลังเขา ๒ – ๓ เมตร ตอนนั้นโพเลนกีสวมหมวกกันน็อคสีฟ้าเขียนคำว่า “สื่อสิ่งพิมพ์” ทั้งหน้าหลังและติดปลอกแขนสีเขียวเพื่อบอกว่าเขาเป็นนักข่าวที่ปฏิบัติงานอยู่ “ตอนนั้นผมรู้สึกว่าเราถูกยิงพร้อมกันเป๊ะเลย บางทีอาจจะโดยกระสุนนัดเดียวกันด้วยซ้ำไป” คอกซ์กล่าวและเสริมว่าเขาไม่ได้ยินเสียงปืนหนึ่งหรือหลายนัดที่ยิงถูกเขาหรือโพเลนกี “ผมไม่รู้ว่าใครยิงผมหรือฟาบิโอ แต่ถ้าทหารกำลังพยายามยิงพวกเสื้อแดงละก็ มันไม่มีใครอยู่รอบตัวพวกเราเลยนี่ครับ … ทหารกำลังยิงใส่สิ่งของหรือผู้คนแบบไม่เลือก” ภาพวีดิโอที่คอกซ์ถ่ายเหตุการณ์บรรดานักข่าวและผู้ประท้วงช่วยกันหามร่างโพเลนกีออกจากถนนขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ไปยังโรงพยาบาลแถวนั้นดูเหมือนจะแสดงให้เห็นว่ากระสุนเจาะเข้าตัวโพเลนกีทางใต้รักแร้ซ้ายและทะลุออกสีข้าง รายงานข่าวต่าง ๆ ระบุว่าเขาเสียชีวิตแล้วเมื่อไปถึงโรงพยาบาลในท้องที่เจ้าหน้าที่ไม่ได้รายงานว่าพบหัวกระสุนใด ๆ ครอบครัวของโพเลนกีได้แสดงความห่วงกังวลที่รัฐบาลสนองตอบต่อการตายของเขาอย่างอึมครึม อิซาเบลลา โพเลนกี น้องสาวของเขาบอก CPJ ว่าครอบครัวเธอได้ร้องขอรายงานชันสูตรพลิกศพทางการครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ยังไม่ได้รับ เธอกล่าวว่าตำรวจกับกระทรวงยุติธรรมบอกเล่าขัดกันว่าตำแหน่งบาดแผลของน้องชายเธออยู่ตรงไหนแน่ ซึ่งเธอเองก็ไม่ทันได้เห็นร่างเขาก่อนฌาปณกิจศพ เธอยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่าทรัพย์สินส่วนตัวของโพเลนกีหลายรายการรวมทั้งกล้องถ่ายรูปและโทรศัพท์หายไป ความขัดแย้งและคลุมเครือทำนองนี้ทำให้เธอยิ่งหวั่นวิตกว่าโพเลนกีอาจถูกหมายหัวในฐานที่เป็นนักข่าวก็เป็นได้ เธอกับเพื่อนร่วมงานของโพเลนกีกลุ่มหนึ่งจึงร่วมกันปะติดปะต่อวีดิโอคลิปต่าง ๆ ที่บ้างก็ได้จากนักข่าวผู้อยู่บริเวณข้างเคียงกับโพเลนกีและบ้างก็ดาวน์โหลดจากแหล่งไม่ทราบชื่อบนอินเทอร์เน็ตเพื่อพัฒนาขึ้นเป็นลำดับเหตุการณ์การเคลื่อนไหวก่อนและหลังการยิง เท่าที่ทราบไม่มีฟิล์มภาพตัวเหตุการณ์การยิงนั้นเอง วีดิโอคลิปอันหนึ่งแสดงภาพชายใส่หมวกกันน็อคสีเงินที่ไม่รู้ว่าเป็นใครเข้าถึงตัวโพเลนกีหลังถูกยิงเป็นคนแรก ฟิล์มภาพสั้น ๆ นั้นแสดงภาพเขาคลำไปรอบอกโพเลนกีและกระแทกเข้ากับกล้องถ่ายรูปของโพเลนกีอยู่ประเดี๋ยวหนึ่ง ขณะที่ชายใส่หมวกกันน็อคสีเหลืองที่ไม่รู้ว่าเป็นใครอีกคนคุกเข่าลงและถ่ายรูปโพเลนกีไว้ ฟิล์มภาพของคอกซ์ดูจะแสดงภาพชายคู่เดียวกันอยู่ในหมู่คนที่เคลื่อนย้ายร่างของโพเลนกีออกจากถนนไปขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ที่พาเขาไปโรงพยาบาล ภาพของชายใส่หมวกกันน็อคสีเงินถูกตีพิมพ์ทั้งในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐและมติชน แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่รู้ว่าเขากับชายใส่หมวกกันน็อคอีกคนหนึ่งนั้นเป็นใครกันแน่ อิซาเบลลา โพเลนกีกล่าว นายปณิธาน วัฒนายากร โฆษกรัฐบาลไม่ตอบคำถามจาก CPJ เกี่ยวกับการยิงโพเลนกี รวมทั้งคำกล่าวอ้างที่ว่าตอนนั้นทหารยิงไม่เลือกหน้า หรือรายละเอียดของกรณีการยิงรายอื่น ๆ นายเสก วรรณเมธี อัครราชทูตของสถานทูตไทย ณ กรุงวอชิงตันตอบข้อห่วงใยของ CPJ กว้าง ๆในจดหมายลงวันที่ ๑๔ มิถุนายนว่ารัฐบาลเสียใจที่เกิดการสูญเสียชีวิตและยึดมั่นที่จะสืบสวนกรณีการตายทั้งหลายอย่างเต็มที่และเที่ยงธรรม…..” ล่าสุด Shawn Crispin ยังได้รายงานความคืบหน้ากรณีนี้ไว้ในเว็บบล็อกของ CPJ เมื่อวันที่ ๒ ส.ค. ศกนี้ภายใต้หัวข้อ “In Polenghi case, autopsy shared but more needed” (ในคดีโพเลนกี เผยผลชันสูตรพลิกศพแล้ว แต่ต้องทำมากกว่านี้) http://cpj.org/blog/2010/08/in-polenghi-case-autopsy-shared-but-more-needed.php ว่า: ‐ …..อย่างไรก็ตาม กว่าสองเดือนต่อมา (หลังการตายของฟาบิโอ) มันก็ไม่ปรากฏชัดว่าทางการไทยกำลังพยายามทำดีที่สุดเพื่อไขคดีนี้ให้กระจ่างและนำตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรม
อิซาเบลลา โพเลนกี น้องสาวของเขา ได้แสดงความห่วงใยดังกล่าวนั้น ณ ที่แถลงข่าวเมื่อวันศุกร์ (ที่ ๓๐ กรกฎาคม ศกนี้) ณ สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทยในกรุงเทพฯ ทาง CPJ เราได้ร่วมขึ้นเวทีเพื่อนำเสนอรายงานพิเศษเรื่อง “ในเหตุไม่สงบในประเทศไทย นักข่าวถูกยิงใส่” ซึ่งสืบสวนกรณีการตายและบาดเจ็บต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้กับนักข่าวในประเทศไทย รวมทั้งการยิงโพเลนกีจนเสียชีวิตด้วย ในบรรดาข้อเสนอแนะต่าง ๆ ของเรา CPJ เรียกร้องให้รัฐบาลไทยร่วมมือกับผู้สืบสวนอิสระและเปิดเผยผลการชันสูตรพลิก ศพทางการ รวมทั้งหลักฐานเชิงนิติเวชอื่น ๆ ปรากฏว่ารัฐบาลไม่ได้ตอบสนองผลการสืบสวนของเราอย่างเป็นทางการแต่อย่างใด แม้ว่าดูเหมือนทางราชการจะรับฟังข้อเสนอแนะของ CPJ ประการหนึ่ง ในวัน พฤหัสบดี (ที่ ๒๙ กรกฎาคม ศกนี้) อันเป็นวันเผยแพร่รายงานของ CPJ ข้างต้น ตำรวจกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้พบกับอิซาเบลลา โพเลนกีเป็นการส่วนตัวและนำผลการชันสูตรพลิกศพคดีพี่ชายของเธออย่างเป็นทาง การให้เธอเป็นครั้งแรก ตำแหน่งบาดแผลที่แน่ชัดของโพเลนกีจะเป็นร่องรอยให้สืบเสาะได้ว่าเขาถูกยิง โดยทหารจากระดับพื้นถนนหรือโดยผู้ประท้วงที่อยู่บนตึกข้างเคียง ในที่ แถลงข่าว อิซาเบลลา โพเลนกี ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลการชันสูตรพลิกศพและเน้นว่าเป้าหมายของการพบปะกับทาง เจ้าหน้าที่ซึ่งสถานทูตอิตาลีช่วยจัดให้นั้นก็เพื่อ “ร่วมด้วยช่วยกัน”และหาทางประกันให้มั่นใจว่าการสืบสวนของของทางการ “กำลังดำเนินไปในทิศทางที่ถูกต้อง” โดยเฉพาะอย่างยิ่งเธอเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่สืบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษถือ การค้นหากล้องถ่ายรูปและโทรศัพท์ของโพเลนกีที่หายไปคืนมาเป็นเรื่องสำคัญ ก่อนอื่นทั้งด้วยเหตุผลทางนิติเวชศาสตร์และทางอารมณ์ความรู้สึก อิซาเบล ลา โพเลนกีกล่าวว่าเธอเข้าใจว่าการ สืบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ “อาจนานหลายปี”แต่ก็บอกว่าถ้าหากไม่มี “ความรุดหน้า” ใด ๆ ในสองเดือนข้างหน้าแล้วเธอก็คงจะกลับมาเมืองไทยอีกเพื่อกดดันในเรื่องที่เธอ ห่วงใย %%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%% พรรคพวกเพื่อนฝูง ของฟาบิโอซึ่งหลายคนเป็นนักข่าวชาวต่างชาติผู้มาหลงรักเมืองไทย อาศัยอยู่เป็นเหย้าและตั้งใจจะเอาเป็นเรือนตายเหมือนกัน ได้เล่าให้ฟังว่าพวกเขาพิศวงงงงันมากว่าเพราะเหตุใดก็ไม่รู้หน่วยราชการต่าง ๆ ไม่ว่าอำอวด, อีเอสไอ, หรืออ๋ออออ๋อ ต่างพากันยัวะเป็นฟืนเป็นไฟที่พวกเขาพยายามร่วมด้วยช่วยกันหาความกระจ่าง เกี่ยวกับสภาพการณ์การตายของฟาบิโอ โดยเฉพาะเรื่องที่ว่าใครเป็นคนเอาการ์ดบันทึกข้อมูล (memory card) และกล้องถ่ายรูปของฟาบิโอไป รวมทั้งช่วยกันจัดแถลงข่าวให้ อิซาเบลลา น้องสาวของฟาบิโอ แล้วจู่ ๆ เพื่อนชาวอเมริกันที่นำภาพวีดิโอที่เขาถ่ายไว้ตอนฟาบิโอตายมาเปิดเผยก็ถูก ดำเนินการขับไล่ออกจากประเทศและข้างภรรยาที่เป็นคนไทยของเพื่อนคนนั้นก็ถูก คุมตัวด้วยอำนาจพิเศษ, โทรศัพท์บางเบอร์ที่เพื่อน ๆ ของฟาบิโอใช้ติดต่อประสานงานกันก็ชักมีอาการรบกวนแปลก ๆ, เวลาพวกเขาไปไหนมาไหนก็มีคนหน้าตาบ้องแบ๊วคอยติดตามยังกับนิยายสืบสวนสอบ สวน….. พวกคุณกลัวอะไรหรือครับ? .................. สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |||||||||||||||||||||||||||
ปัญหาชายแดนไทย-พม่า ทำการค้าหด 80 ล้านบาทต่อวัน Posted: 13 Aug 2010 10:32 AM PDT ผลกระทบทางการค้าจากปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน กรณีด่านชายแดนไทย – พม่า ที่ อ.แม่สอด จ.ตาก ว่า ทำให้มูลค่าการค้าหดตัวลงถึงวันละ 80 ล้านบาท ซึ่งจากการปิดพรมแดนในช่วงเกือบ 1 เดือนที่ผ่านมา เว็บไซต์ฐานเศรษฐกิจรายงานว่า นายสมเกียรติ อนุราษฎร์ รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวถึงผลกระทบทางการค้าจากปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน กรณีด่านชายแดนไทย – พม่า ที่ อ.แม่สอด จ.ตาก ว่า ทำให้มูลค่าการค้าหดตัวลงถึงวันละ 80 ล้านบาท ซึ่งจากการปิดพรมแดนในช่วงเกือบ 1 เดือนที่ผ่านมา ทำให้ผู้ประกอบการได้รับความเดือดร้อน จึงเรียกร้องให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศโดยด่วน เพื่อไม่ให้ปัญหาลุกลามไปยังเขตพรมแดนอื่น ๆ โดยเฉพาะด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ที่แม้ตอนนี้จะยังไม่ได้รับผลกระทบ แต่ก็เป็นที่น่ากังวลเป็นอย่างมาก ด้านแพทย์หญิงประภา วงศ์แพทย์ ประธานคณะกรรมการธุรกิจบริการสุขภาพ หอการค้าไทย กล่าวว่า ขณะนี้หอการค้าอยู่ระหว่างเตรียมการสร้างโครงข่ายธุรกิจบริการสุขภาพด้วยการดึงภาคีเครือข่ายด้านการท่องเที่ยวเข้ามาทำงานร่วมกันในเชิงบูรณาการ ซึ่งหากทุกภาคส่วนเข้ามาช่วยกันวางกลยุทธ์ ดึงผู้ป่วยต่างชาติให้เดินทางเข้ามารับบริการด้านสุขภาพในเมืองไทย ก็จะทำให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนกระจายไปในภาคอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น การท่องเที่ยว โรงแรม ศูนย์การค้า ระหว่างนี้อยู่ในขั้นรวบรวมภาคีเครือข่าย ซึ่งหากสรุปได้ชัดเจนแล้วจะสามารถประมาณการรายได้ชัดเจน เบื้องต้นคาดว่าจะทำเงินเข้าประเทศได้เฉลี่ยไม่ต่ำกว่าปีละ 35,000 ล้านบาท ที่มา: ฐานเศรษฐกิจ http://www.thannews.th.com สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |||||||||||||||||||||||||||
รายงานพิเศษ: คลี่ปมเยียวยา(ตอนที่3) สารพันปัญหาเงินเป็นตัวตั้ง Posted: 13 Aug 2010 09:59 AM PDT เปรียบเทียบตัวเลขการเยียวยากลุ่มเสื้อแดงกับผู้ได้รับผลกระทบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อผู้สูญเสียในทางการเมืองได้รับเงินช่วยเหลือสูงกว่าเท่าตัวถ้าเทียบกับประชาชนทั่วไปในชายแดนใต้
เทียบตัวเลขการเยียวยาเสื้อแดง ความวุ่นวายทางการเมืองในช่วงที่มีการสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในกรุงเทพมหานคร ช่วงเดือนเมษายน – พฤษภาคม 2553 ที่ผ่านจนมีผู้เสียชีวิตถึง 88 คน รัฐบาลได้ควักเงินช่วยเหลือเยียวยาให้ด้วย ทั้งผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ ทรัพย์สินเสียหายและชดเชยเรื่องการประกอบอาชีพ นายเตะหาวอ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันองค์กรภาคประชาสังคมจำเป็นต้องทำงานเยียวยาอีกหรือไม่ ในเมื่อการเยียวยาได้เข้าสู้ระบบของราชการแล้ว บทบาทที่ดีที่สุดขององค์กรภาคประชาสังคมคือ การเป็นชุมทางในการนำผู้ได้รับผลกระทบเข้าสู่ระบบการเยียวยาของรัฐ เป็นเพียงผู้ประสานงาน กระบวนการยุติธรรมที่เป็นปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเงื่อนไขหนึ่งของการก่อความไม่สงบ หลายคนปฏิเสธการช่วยเหลือเยียวยาจากจากรัฐ แต่ต้องการให้รัฐให้ความยุติธรรมมากกว่า มาตรการ
ที่มา : สำนักนายกรัฐมนตรี, http://www.pm.go.th/blog/32058
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |||||||||||||||||||||||||||
ใจ อึ๊งภากรณ์: การปฏิรูปของอภิสิทธิ์คือ การเกี่ยวข้าวในทะเลทราย Posted: 13 Aug 2010 09:29 AM PDT สิ่งหนึ่งที่ขบวนการเสื้อแดงยืนยันและพิสูจน์ตลอดคือ พลเมืองธรรมดาไม่เคยโง่และไม่เคยที่จะไม่เข้าใจประชาธิปไตย ดังนั้นเวลาพิจารณาคำว่า “ปฏิรูป” เราควรนิยามตามความเข้าใจของคนทั่วไป ซึ่งย่อมจะมีความหมายในเชิงบวก คือเป็นกระบวนการที่จะ “ทำให้สังคมดีขึ้น” แต่บ่อยครั้งชนชั้นปกครองพยายามปล้นขโมยคำว่า “ปฏิรูป” นี้ไปใช้ในทางตรงข้าม เพื่อปกปิดวัตถุประสงค์แท้ของเขา ตอนนี้ในอังกฤษ รัฐบาลพรรคอนุรักษ์นิยม ประกาศว่าจะ “ปฏิรูป” ระบบรัฐสวัสดิการ เวลาผมและประชาชนจำนวนมากฟังคำพูดแบบนี้ เราจะหนาว เพราะในความเป็นจริงข้อเสนอของเขาคือการทำลายมาตรฐานและการบริการประชาชนที่มาจากรัฐสวัสดิการ มาตรการต่างๆ ของรัฐบาลอังกฤษในการตัดงบประมาณรัฐ กระทำไปเพื่อที่จะให้พลเมืองจ่ายหนี้ที่รัฐก่อขึ้นจากการพยุงธนาคารในวิกฤตเศรษฐกิจ มันเป็นการหลีกเลี่ยงการทวงเงินคืนจากธนาคารที่ปั่นหุ้นและเล่นการพนันจนเศรษฐกิจโลกพัง มันเป็นการหมุนนาฬิกากลับ มันควรจะเรียกว่าเป็นมาตรการถอยหลังที่ทำให้สังคมยาลง มากกว่าที่จะเรียกว่าเป็น “การปฏิรูป” ในสังคมไทยปัจจุบันภายใต้ความมืดและการข่มเหงของอำมาตย์เผด็จการ มีการใช้คำว่า “ปฏิรูป” อีกครั้ง โดยนายกมือเปื้อนเลือดอภิสิทธิ์ ซึ่งต้องถือว่าเป็นการเปลี่ยนความหมายของคำว่า “ปฏิรูป” ไป 180 องศาจากความหมายที่สังคมไทยยอมรับในยุคที่มีการร่างรัฐธรรมนูญปี 40 ในยุคนั้นแน่นอน มีการถกเถียงกันว่าจะปฏิรูปอะไรอย่างไร แต่สังคมโดยรวมมีการยอมรับว่าต้องเปลี่ยนแปลงให้สังคมไทยมีสิทธิเสรีภาพมากขึ้นสำหรับคนธรรมดาหลังจากที่อยู่ภายใต้อำนาจทหารและอำนาจคนใหญ่คนโตมานานเกินไป นอกจากนี้เนื่องจากมันเป็นช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ หลายคนมองด้วยว่าโครงสร้างเก่าๆ ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ที่กีดกันคนธรรมดา กลายเป็นอุปสรรค์ในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย โดยรวมแล้วการร่างรัฐธรรมนูญปี 40 ถือว่าเป็นความก้าวหน้าของสังคมไทย ทั้งในวิธีการร่าง และผลที่ได้มา อย่างไรก็ตามอิทธิพลของนักวิชาการที่สนับสนุนกลุ่มทุนใหญ่ (พวก “เสรีนิยม”) มีมากกว่าอิทธิพลของประชาชนธรรมดา มีการให้ความสำคัญกับนักวิชาการ “ผู้รู้” มากเกินไป และรัฐธรรมนูญปี 40 ก็สะท้อนผลประโยชน์ของกลุ่มทุนใหญ่และกลุ่มชนชั้นนำมากเกินไปด้วย เช่นในเรื่องการสนับสนุนกลไกตลาดแทนการบริการประชาชนโดยรัฐ หรือการเสนอให้ ส.ว. และองค์กรอิสระ “ปลอดการเมือง” ซึ่งเป็นไปไม่ได้และเป็นเพียงหน้ากากปิดบังอิทธิพลของกลุ่มทุนและชนชั้นนำพวกที่ไม่เคยมาจากการเลือกตั้ง นอกจากนี้การเพิ่มอำนาจของนายกรัฐมนตรีและการเพิ่มอิทธิพลของพรรคเสียงส่วนใหญ่ในสภาที่มากับรัฐธรรมนูญปี 40 เป็นสิ่งที่อาจไม่เป็นประโยชน์กับคนจน โดยเฉพาะในกรณีที่รัฐบาลใช้นโยบายที่ไม่เป็นประโยชน์กับเขา เนื่องจากการมีรัฐบาลที่เข้มแข็งมากขึ้นอาจทำให้รัฐบาลไม่ฟังประชาชนก็ได้ และโอกาสของพรรคการเมืองใหม่ๆ ของคนจน (ถ้ามี) ก็จะน้อยลง แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าเราต้องสนับสนุนรัฐประหาร 19 กันยาแต่อย่างใด ใครที่ยังไม่ชัดเจนว่าแนว “เสรีนิยม” ขัดขวางเสรีภาพของประชาชนคนธรรมดาแค่ไหน ควรตรวจดูว่าพวกนักวิชาการเสรีนิยมในไทยส่วนใหญ่ไปมีจุดยืนอะไรในปัจจุบัน คำตอบคือเกือบ 100% ต้อนรับรัฐประหาร 19 กันยา และเป็นเสื้อเหลืองที่ดูถูกและเกลียดชังคนจน ก่อนหน้านั้นพวกนี้ก็ได้แต่โจมตีโครงการสามสิบบาทรักษาทุกโรค และการบริการคนจน ว่าเป็นการ “ขาดวินัยทางการคลัง” ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยพูดแบบนี้กับเรื่องการขึ้นงบประมาณทหาร ซึ่งเกิดขึ้นอย่างเร่งด่วนหลังรัฐประหารและภายใต้รัฐบาลอภิสิทธิ์ เราไม่จำเป็นต้องเรียนสูงจบปริญญาอะไรเพื่อเข้าใจว่า “การปฏิรูป” ที่มาจากรัฐบาลอภิสิทธิ์จะไม่มีเป้าหมายเพื่อทำให้สังคมดีขึ้นหรือเพื่อขยายสิทธิเสรีภาพ แค่ดูผลงานและที่มาในโลกจริงของรัฐบาลนี้ก็จะเข้าใจ เช่น เราทราบว่ารัฐบาลนี้มาจากการทำรัฐประหารโดยทหาร มาจากการบงการโดยทหาร ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งเพราะไม่เคยครองใจประชาชนส่วนใหญ่ เป็นรัฐบาลที่สั่งทหารฆ่าประชาชนที่เรียกร้องประชาธิปไตยไปเกือบ 90 ศพ ทั้งๆ ที่ประชาชนเหล่านั้นไม่มีอาวุธ เป็นรัฐบาลที่ปกปิดเซ็นเซอร์สื่อทุกชนิดอย่างที่ไม่เคยเซ็นเซอร์มากก่อน เป็นรัฐบาลที่จำคุกคนที่มีความเห็นต่างภายใต้กฎหมายคอมพิวเตอร์ กฎหมายหมิ่นฯ และ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และเป็นรัฐบาลที่ใช้สองมาตรฐานทางกฎหมายอย่างหน้าตาเฉย ใช้ระบบศาลอย่างลำเอียง ไม่คิดว่าตนต้องอธิบายอะไร โกหกไปเรื่อยๆ สร้างซีดี ออกรายการโทรทัศน์ ทำอย่างหน้าด้านๆ เพราะรู้ว่าไม่ต้องปรึกษาประชาชน ไม่ต้องมาจากการเลือกตั้ง และเพราะมีกระบอกปืนและรถถังหนุนหลัง ทุกอย่างที่รัฐบาลนี้และทหารที่หนุนหลังรัฐบาลทำไป ไม่ใช่ “อุบัติเหตุ” ไม่ใช่การ “รู้ไม่ถึง” แต่เป็นการจงใจทำ แถมผู้ที่อภิสิทธิ์แต่งตั้งมาเพื่อควบคุมดูแล “การปฏิรูป” (นายอานันท์ ปันยารชุน) เป็นคนที่รับใช้เผด็จการทหาร ร.ส.ช. หลังการทำรัฐประหารปี 34 เขาเป็นคนที่มองว่าชนชั้นปกครองมือเปื้อนเลือดไม่ควรถูกจับมาลงโทษ (เพราะอภัยโทษให้สุจินดาที่ทำรัฐประหารและสั่งฆ่าคนในเหตุการณ์พฤษภา 35) เขาเป็นคนที่เคยแสดงความเห็นว่า “ประชาธิปไตยไทยๆ” ไม่ต้องเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ เป็นคนที่คัดค้านสหภาพแรงงาน (ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของลูกจ้าง) เป็นคนที่เคยพูดว่าพี่น้องมุสลิมมาเลย์ในภาคใต้ควร “ลืม” เหตุการณ์นองเลือดตากใบ และเป็นคนที่มองว่าไม่ต้องยกเลิกกฎหมายหมิ่นฯ ดังนั้นใครที่คิดว่ารัฐบาลนี้จะผลักดัน “การปฏิรูป” (ในความหมายที่คนธรรมดาเข้าใจ) มีแค่สองประเภทคือ คนโกหก กับคนปัญญาอ่อน .... แล้วทำไมนักวิชาการจำนวนมากจึงเข้าไปร่วมกับ “กระบวนการปฏิรูป” ของอำมาตย์?? ส่วนใหญ่เป็นคนที่หวังได้ชื่อเสียง หวังได้หน้า หวังได้ผลประโยชน์ หรือเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับตัวเองเกินเหตุ พวกนี้เป็นคนโกหกชัดๆ เป็นคนที่รับใช้ผู้เป็นใหญ่ไม่ว่าจะเป็นใคร และพร้อมจะเปลี่ยนจุดยืน แล้วแต่ว่าใครมีอำนาจ เขาเป็นคนที่จงใจปิดหูปิดตา และทำเป็นมองไม่เห็นสภาพสังคมไทยตอนนี้ และประกาศว่า “ความเลวทรามทั้งหมดเป็นการกระทำของรัฐบาลทักษิณและคนเสื้อแดงเป็นคนจนโง่ๆ ที่ถูกหลอกถูกซื้อ” อีกส่วนหนึ่งของนักวิชาการที่เข้าร่วม อาจส่วนน้อย คือคนปัญญาอ่อนทางการเมือง ทำไมคนที่ไม่ได้สนับสนุนรัฐประหารหรือสนับสนุนพวกเสื้อเหลือง และมีประวัติของการยืนเคียงข้างคนจน จึงปัญญาเสื่อมจนเลือกไปร่วมกับอภิสิทธิ์? ไม่ใช่เพราะถูกซื้อ ผมรับรองว่าเขาบริสุทธิ์ใจ แต่ถ้าเราจะเข้าใจพฤติกรรมของเขา ต้องเข้าใจว่าเขาคิดว่าการล้มอำมาตย์และการสร้างรัฐไทยใหม่ที่เป็นประชาธิปไตย หรือการลดบทบาททหารโดยสิ้นเชิง “ทำไม่ได้” แต่ถ้าจะมีละครการปฏิรูปอย่างที่กำลังเกิด เขามองว่าถ้าเขาเข้าไปร่วมด้วย มันอาจมีประโยชน์บ้าง ดีกว่าไม่ร่วม แต่เขาเข้าใจผิดมหาศาล เพราะแทนที่จะเกิดประโยชน์ จะไม่มีอะไรเลยที่มีความหมายจริงๆ เกิดขึ้น และเขาจะถูกใช้เป็นไม้ประดับเพื่อให้ความชอบธรรมกับการโฆษณาชวนเชื่อของอำมาตย์ต่างหาก บางคนอาจมองว่าเวลาผมใช้คำว่า “ปัญญาอ่อนทางการเมือง” มันแรงไปหน่อย ผมว่าไม่แรงไป เพราะใครที่ยอมคิดอะไรด้วยเหตุผลหรือด้วยวิธีการคิดแบบวิทยาศาสตร์อย่างง่ายๆ ย่อมเข้าใจว่าหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างในโลกมีเงื่อนไขจำเป็นก่อนที่มันจะเกิดขึ้นได้ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Necessary Conditions ยกตัวอย่างเช่น ถ้าจะปลูกพืชผล ต้องมีน้ำมีแร่ธาตุมีแสงแดด หรือถ้าสัตว์กับมนุษย์จะมีชีวิตต้องมีออกซิเจนคือต้องสามารถหายใจได้ ในเรื่องสังคมศาสตร์ก็เหมือนกัน เราไม่สามารถปฏิรูปสังคมถ้าไม่มีประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพได้ “การปฏิรูป” จอมปลอมของอภิสิทธิ์ จึงเป็น “การเกี่ยวข้าวในทะเลทราย” เพราะในทะเลทรายปลูกข้าวไม่ได้แต่แรก มันเป็นภาพลวงตาประเภทที่เกิดขึ้นกลางทะเลทรายร้อนๆ ถ้าเราจะปฏิรูปสังคมไทยให้ดีขึ้น เราจะต้องกำจัดลบทิ้งอิทธิพลของทหารในการเมืองและสังคมโดยสิ้นเชิง เหมือนที่เป็นอยู่ในประเทศประชาธิปไตยทั่วไป เราต้องสร้างเงื่อนไขไม่ให้ทหารทำรัฐประหาร ทหารต้องไม่คุมสื่อ ทหารต้องไม่มีส่วนในการควบคุมสังคม และทหารจะต้องไม่มีสิทธิ์อ้างสถาบันใดก็ตามเพื่อการทำลายประชาธิปไตย ทหารต้องรับใช้ประชาชนอย่างเดียว ไม่มีเจ้านายอื่น ดังนั้นการปฏิรูปบทบาททหารเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่งในกระบวนการปฏิรูป โดยเฉพาะในบริบทที่ทหารแทรกแซงการเมืองและสังคมไทยมาตลอด การปฏิรูปทหารหมายถึงการลดงบประมาณทหารอย่างถอนรากถอนโคนด้วย แต่แน่นอนรัฐบาลอภิสิทธิ์ที่บงการโดยทหาร และกรรมการปฏิรูปของอภิสิทธิ์ไม่มีวันพูดถึงเรื่องเหล่านี้เลย ขณะนี้เราเห็นความเสื่อมเสียของระบบ “ยุติธรรม” และกฎหมายในไทย ในระยะสั้นผู้ที่จะต้องรับผิดชอบต่อความเสื่อมเสียนี้คือทหารและรัฐบาลปัจจุบัน แต่ผู้พิพากษาและศาลก็มีส่วนสำคัญในการทำลายระบบยุติธรรม ดังนั้นถ้าจะปฏิรูปให้ไทยเป็นนิติรัฐ ต้องปลดผู้พิพากษาและศาลจำนวนมาก และเลือกตั้งคนที่มีอุดมการณ์ในความเป็นธรรมทางกฎหมายเข้ามาแทนที่ พร้อมกันนั้นต้องลดอำนาจเผด็จการของศาล โดยนำระบบลูกขุนมาใช้ตัดสินคดีต่างๆ และต้องยกเลิกกฎหมายหมิ่นศาลที่ทุกวันนี้ใช้ป้องกันความไม่เที่ยงธรรมของศาล อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องทำคือต้องยกเลิกความป่าเถื่อนของโทษประหาร และลดเวลาในการพิจารณาคดีต่างๆ เพื่อให้เกิดความยุติธรรมที่แท้จริง ไม่ใช่ว่าคดีต่างๆ จะลากไปเรื่อยๆ เป็นปีๆ เพื่อให้โจรหากินกับกฎหมายและเพื่อข่มขู่คนที่ถูกกล่าวหา โดยที่เขามีเมฆดำลอยอยู่เหนือชีวิตเป็นปีๆ และเราต้องย้ำว่าผู้ถูกกล่าวหาย่อมบริสุทธิ์เสมอก่อนที่จะจบการพิจารณาคดี ยิ่งกว่านั้นนักโทษทุกคน ไม่ว่าจะก่อนหรือหลังการพิจารณาคดี จะต้องได้รับการปฏิบัติในลักษณะที่รักษาศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ต้องไม่ถูกล่ามโซ่ และต้องไม่ถูกบังคับให้แต่งชุดนักโทษที่ทำลายความเป็นมนุษย์ เวลาขึ้นศาลไม่ควรแต่งชุดนักโทษ เพราะจะสร้างภาพล่วงหน้าว่าเป็นคนที่กระทำความ “ผิด” ถ้าจะปฏิรูปสังคม เราควรจะมาคุยกันว่าจะใช้กฎหมายและเรือนจำเพื่อปกป้องประชาชนและสังคม หรือเพื่อลงโทษแก้แค้น เพราะสังคมอารยะจะเน้นอันแรกเป็นหลัก การแก้แค้น โดยเฉพาะด้วยความรุนแรง ไม่ใช่พฤติกรรมของสังคมอารยะ อย่างที่มีคนอื่นพูดไปแล้ว “การแลกตาต่อตา เพียงแต่ทำให้สังคมตาบอด” สังคมอารยะต้องเข้าใจว่าทำไมคนบางคนกระทำความผิด และต้องพยายามแก้ที่ต้นเหตุในสังคม ดังนั้นสภาพของเรือนจำไม่ควรจะแย่อย่างในปัจจุบัน และไม่ควรจำคุกคนที่ไม่เป็นอันตรายจริงๆ กับเพื่อนมนุษย์คนอื่น การปฏิรูปการเมือง จะต้องรวมไปถึงการลดจำนวนคนที่ถูกคุมขัง โดยเฉพาะคดีขโมยทรัพย์หรือยาเสพติด ก่อนที่จะปฏิรูประบบยุติธรรมได้ สังคมเราจะต้องไม่มีนักโทษการเมือง เพราะนักโทษการเมืองเป็นคนที่ถูกคุมขังด้วยสาเหตุที่มีมุมมองทางการเมืองต่างจากชนชั้นปกครอง การมีนักโทษการเมืองพิสูจน์ว่าไม่มีประชาธิปไตย ดังนั้นใครที่อยากปฏิรูปสังคมไทย จะต้องมีส่วนในการรณรงค์ให้ปล่อยนักโทษเสื้อแดงทั้งหมด และจะต้องรณรงค์ให้ยกเลิกกฎหมายหมิ่นฯ และกฎหมายคอมพิวเตอร์ และปล่อยคนอย่าง ดา ตอร์บิโด คุณจะปฏิรูปอะไรได้ ถ้าไม่มีสิทธิ์คิดต่างจากอำมาตย์? ถ้าจะปฏิรูปสังคม เราต้องกล้าทบทวนความคิดหลายอย่างที่เคยถือว่า “จารึกบนแท่นหิน” เช่นเรื่องรัฐชาติ ภาษา และพรมแดน หรือระบบการปกครอง ตอนนี้เรามีวิกฤตในภาคใต้ วิกฤตนี้มาจากท่าทีของรัฐรวมศูนย์ไทยที่มีต่อคนที่มีเชื้อชาติ ภาษา วัฒนธรรม และศาสนาที่ไม่เข้ากรอบ “ความเป็นไทย” การทหารแก้ปัญหาภาคใต้ไม่ได้ เหมือนกับที่การทหารสร้างประชาธิปไตยไม่ได้ และการคลั่ง “ชาติไทย” เป็นสิ่งที่จะนำไปสู่ความรุนแรง และการกดขี่คนอื่น เราน่าจะเรียนรู้ได้แล้วจากประสบการณ์ในภาคใต้ และจากประสบการณ์ความเลวทรามของพวกพันธมิตรฯ ที่พยายามก่อสงครามกับประเทศเพื่อนบ้านกัมพูชาเรื่องเขาพระวิหาร จริงๆ แล้วเขาพระวิหารใช้เป็นประโยชน์ร่วมกันได้ในเรื่องการท่องเที่ยว ใช้มาอย่างนั้นในอดีตหลายปีแล้วด้วย เพียงแต่เกิดปัญหาจอมปลอมเมื่อพวกหัวเพี้ยนคลั่งชาติ ต้องการสร้างเรื่องเพื่อเบี่ยงเบนประเด็นโจมตีรัฐบาลไทยรักไทยเท่านั้น ประเด็นสำคัญๆ ที่ต้องพิจารณาในการปฏิรูปสังคมไทยมีอีกมากมาย และไม่ใช่บทบาทหน้าที่ของบุคคลคนเดียวที่จะเสนอประเด็น เรื่องอื่นที่สำคัญเช่นเรื่องสื่อ โดยเฉพาะสิทธิเสรีภาพของวิทยุชุมชน สื่ออินเตอร์เน็ท และบทบาทอันสมควรของโทรทัศน์สาธารณะ เพราะปัจจุบันนี้โทรทัศน์ ไทย PBS นับว่าเป็นช่องที่น่าอับอายขายหน้าสากล เนื่องจากเข้าข้างอำมาตย์และรัฐบาลอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้เราต้องกล้าตั้งคำถามว่า ทำไมทหารต้องมีสื่อของตนเองด้วย? ถ้าจะปฏิรูปสังคม ต้องพิจารณาเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษา และการเพิ่มสิทธิต่างๆ ของลูกจ้างในสหภาพแรงงาน... รวมถึงสิทธิในความหลากหลายทางเพศของพลเมืองอีกด้วย แต่นอกจากนี้เราต้องพูดกันถึงการกระจายรายได้และการสร้างความมั่นคงในชีวิตผ่านระบบรัฐสวัสดิการและการเก็บภาษีก้าวหน้า เพราะถ้าพลเมืองเราจะมีส่วนร่วมเต็มที่ในสังคม เราต้องลดความเหลื่อมล้ำและกำจัดความยากจน นี่คือแนวทางที่จะนำไปสู่ประชาธิปไตยแท้ ดังนั้นการปฏิรูปจะขาดการพูดถึงรัฐสวัสดิการไม่ได้ แต่อย่าไปหวังว่ากระบวนการของอภิสิทธิ์จะลดความเหลื่อมล้ำเลย เพราะอำมาตย์ทำลายประชาธิปไตยตั้งแต่รัฐประหาร 19 กันยา เพื่อปกป้องอภิสิทธิ์ของเขาจากการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในโลกแห่งความเป็นจริงของสังคมไทย ผู้ที่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะมีส่วนสำคัญในกระบวนการปฏิรูป คือผู้ที่ใฝ่ฝันถึง “รัฐไทยใหม่” ที่ไม่มีอำมาตย์ในรูปแบบต่างๆ ไม่มีการแทรกแซงการเมืองโดยทหาร มีประชาธิปไตยและเสรีภาพ และไม่มี “ความเป็นเจ้าเป็นนายเหนือไพร่” คือมีความเท่าเทียมระหว่างพลเมืองทุกคนนั้นเอง ความก้าวหน้าของสังคม ไม่ใช่สิ่งที่เกิดจากผู้นำไม่กี่คน ไม่ใช่สิ่งที่เกิดจากนักวิชาการหรือนักกฎหมาย และเราหวังอะไรไม่ได้จากพรรคเพื่อไทยในแง่ของการปฏิรูปสังคมอย่างจริงจัง เพราะพรรคนี้เป็นเพียงแค่เงาจางๆ ของพรรคไทยรักไทย การปฏิรูปเป็นสิ่งที่มาจากการเคลื่อนไหวของคนจำนวนมากในสิ่งที่เรียกว่า “ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม” คนเสื้อแดงเป็นขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย และเป็นขบวนการแท้จริงที่จะนำไปสู่การปฏิรูปสังคมให้ดีขึ้น แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ถ้าจะปฏิรูปสังคมในรูปธรรมต้องมีการถกเถียงแลกเปลี่ยน จัดตั้ง (อาจต้องสร้างพรรคการเมืองใหม่ๆ ที่หลากหลาย) และการเรียนรู้ร่วมกันในขบวนการเสื้อแดง เพื่อให้เราเริ่มชัดเจนมากขึ้นว่าเราต้องการปฏิรูปสังคมไทยให้ไปในทิศทางใด สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |||||||||||||||||||||||||||
Posted: 13 Aug 2010 04:52 AM PDT พม่าออกบัตรปชช.ชาวจีนระบุสัญชาติลีซอ หวังลงคะแนนเลือกตั้ง, หญิงสติไม่สมประกอบ ในเมืองกุ๋นฮิง รัฐฉานภาคใต้ ถูกนายทหารพม่าลาดตระเวนไปพักค้างที่บ้านข่มขืน แถมข่มขู่จะฆ่าทิ้งหากเปิดโปงเรื่อง นายทหารพม่าข่มขืนหญิงสติไม่สมประกอบในรัฐฉาน 13 ส.ค. 2553 ศูนย์ข่าวคนเครือไทยรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า เมื่อวันที่ 24 ก.ค. ที่ผ่านมา เกิดเหตุนายทหารพม่ายศร้อยโท ชื่อ เต็งอ่อง จากฐานส่วนแยกที่ 3 ประจำเมืองกุ๋นฮิง รัฐฉานภาคใต้ สังกัดกองพันทหารราบเบาที่ 524 กระทำการข่มขืนนางหลู่ (นามสมมติ) อายุ 30 ปี หญิงสติไม่สมประกอบ ในหมู่บ้านเลาฝ่าย อยู่ทางทิศใต้เมืองกุ๋นฮิง ทั้งนี้ เหตุเกิดขณะที่ทหารพม่าชุดของร้อยโทเต็งอ่อง ออกลาดตระเวนไปพักค้างที่หมู่บ้านเลาฝ่ายในคืนที่สอง และเป็นช่วงที่นางหลู่ ผู้เคราะห์ร้ายอยู่บ้านเพียงลำพัง โดยหลังก่อเหตุ นายทหารพม่าคนดังกล่าว ได้ข่มขู่เธอว่าจะฆ่าทิ้งหากนำเรื่องไปเปิดเผย แหล่งข่าวเผยว่า เนื่องจากนางหลู่ มีสติไม่สมประกอบจึงนำเรื่องเปิดเผยให้กับชาวบ้าน ขณะไปร่วมทำบุญที่วัด จึงทำให้เรื่องดังกล่าวถูกเผยแพร่และชาวบ้านต่างพากันประณามการกระทำของนายทหารพม่า แต่อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครกล้าไปแจ้งความหรือร้องเรียนเพื่อเอาผิดแต่อย่างใด และหลังเกิดเหตุดังกล่าวขึ้น ชาวบ้านต่างไม่กล้าให้บุตรสาวอยู่บ้านหรือออกนอกบ้านเพียงลำพัง มีรายงานด้วยว่า ทหารพม่าสังกัดกองพันทหารราบเบาที่ 524 เมืองกุ๋นฮิง มักก่อเหตุละเมิดสิทธิชาวบ้าน ทั้งการบังคับใช้แรงงาน รีดไถเอาทรัพย์ โดยเฉพาะ หมู่ ไก่ ไปทำอาหารเป็นประจำ นอกจากนี้ ยังบังคับเกณฑ์ชาวบ้านไปเป็นลูกหาบอย่างต่อเนื่องด้วย พม่าออกบัตรปชช.ชาวจีนระบุสัญชาติลีซอ หวังลงคะแนนเลือกตั้ง การออกบัตรประจำตัวประชาชนให้ชาวจีน เนื่องจากเจ้าหน้าที่พม่าได้รับการร้องขอจากนายปานเซ จ่อมิ้น ชาวจีนเชื้อสายลีซอ ซึ่งเป็นหัวหน้ากองกำลังอาสาสมัคร และเป็นคณะกรรมการสมาคมสหภาพเอกภาพและการพัฒนา USDA สมาคมสนับสนุนรัฐบาลทหารพม่าประจำเมืองน้ำคำ ด้วยหวังให้ชาวจีนร่วมลงคะแนนเสียงให้เขา แหล่งข่าวเผยว่า นายปานเซ จ่อมิ้น มีแผนสมัครเป็นตัวแทนชาติพันธุ์ลีซอร่วมการเลือกตั้ง โดยหวังรับเลือกเป็นตัวแทนชนเผ่าลีซอในสภาชนชาติ แต่เนื่องจากในพื้นที่รัฐฉานภาคเหนือมีชาวลีซอไม่มากพอ หรือมีจำนวนไม่ถึง 0.1 เปอร์เซ็นต์ ของประชากรตามข้อกำหนดของรัฐธรรมนูญที่จะมีตัวแทนอยู่ในสภา ดังนั้น เขาจึงขอความช่วยเหลือจากนายอูอ่านยิน หัวหน้าฝ่ายทะเบียนของพม่าประจำเมืองน้ำคำ ออกบัตรประชาชนให้ชาวจีนโดยระบุสัญชาติเป็นลีซอ เพื่อช่วยร่วมออกเสียงให้ หญิงชาวลีซอคนหนึ่งเปิดเผยว่า นายปานเซ จ่อมิ้น เคยกล่าวข่มขู่ให้ชาวลีซอทุกคนสมัครเป็นสมาชิกสมาคมสหภาพเอกภาพและการพัฒนา USDA และมีกระแสข่าวว่า นายปานเซ จ่อมิ้น จะสนับสนุนจายทุนหม่อง หรือ จายคำอ่อน นักร้องชาวไทใหญ่ ซึ่งเป็นพี่ชายภรรยาของน้องชายเขาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชาวลีซอด้วย ทั้งนี้ มีข้อมูลข่าวว่า นายปานเซ จ่อมิ้น เป็นเจ้าพ่อยาเสพติดในรัฐฉานภาคเหนือ และเป็นเจ้าของ บริษัท ลีซอโขหลวงอัญมณี จำกัด (Kholong Lisu Gems Co.Ltd) อีกทั้งเป็นหัวหน้ากองกำลังอาสาสมัครในพื้นที่เมืองน้ำคำ หรือที่เรียกกันว่า อาสาสมัครปานเซ และเป็นคณะกรรมการสมาคมสหภาพเอกภาพและการพัฒนา USDA ประจำเมืองหมู่แจ้ "คนเครือไท" เป็นศูนย์ข่าวภาคภาษาไทยเครือข่ายสำนักข่าวอิสระไทใหญ่ หรือ สำนักข่าวฉาน (SHAN – Shan Herald Agency for News) มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในรัฐฉาน สหภาพพม่า ตลอดจนตามแนวชายแดนไทย ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับองค์กรการเมือง / การทหารกลุ่มใด สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ shan_th@cm.ksc.co.th หรือ ติดตามอ่านข่าวสารภาคภาษาอังกฤษได้ที่ www.shanland.org ภาคภาษาไทยใหญ่ที่ www.mongloi.org และภาคภาษาไทยที่ www.khonkhurtai.org สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper | |||||||||||||||||||||||||||
ศาสนาของคำผกา ตอนที่ 3 : ศาสนาในฐานะต้นทุนทางสังคม Posted: 13 Aug 2010 12:23 AM PDT วิจักขณ์ พานิช สัมภาษณ์คำ ผกา ตอนที่ 3 มองศาสนาในฐานะตันทุนทางสังคม ความเป็นสถาบันของศาสนา การแบ่งแยกพระสองกระแสเป็นผู้ดี-ผู้ร้าย
วิจักขณ์: มองว่าสถานการณ์ของพุทธศาสนาในประเทศไทยตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง คำ ผกา: แขกมองว่ามันมีอยู่สองกระแส เหมือนผู้ดีกับผู้ร้าย มันก็จะมีคนด่าพุทธ เรื่องพระสงฆ์ไม่มีวินัย อย่างที่มีคนเอาไปทำเป็นหนังเรื่องอะไรนะ วิจักขณ์: นาคปรก คำ ผกา: เออ...นาคปรกอะไรแบบนั้น แล้วก็มีคนทำงานศิลปะที่สื่อเรื่องพระกินเหล้า พระมีแอฟแฟร์กับผู้หญิง พระสันดานกา ซึ่งนั่นก็อันหนึ่ง แล้วก็มีอีกขั้วแบบฝ่ายพุทธทาสคือสมบูรณ์แบบ แขกมองว่าภาพพุทธศาสนาในเมืองไทยมีสองอันนี้ มันก็คล้ายๆการเมืองไทยเลย คือ มีอภิสิทธิ์กับมีทักษิณ ก็จะมีพระเหี้ยๆเลวๆ แบบเจ๊ดาว (หัวเราะ) แล้วก็มีพระสายที่เป็นเทพมาเลย แต่แขกมองว่า เราควรจะมองพุทธศาสนาให้ละเอียดอ่อนกว่านั้น คือมองทั้งในแง่ฟังก์ชั่นของสถาบันศาสนาที่มีต่อสังคม ในแง่ของ administration ก็ได้ ในแง่ที่เป็นองค์กรที่มา subsidize เรื่องการศึกษาที่รัฐให้ไม่ได้ก็ได้ คืออย่าไปมองมันเป็นความหวังว่าเราอยากจะ purify ศาสนาซะจนให้มันเป็นสถาบันที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง แล้วก็ต้องมองศาสนาในแง่ของความเป็นจริง ว่ามันเป็นองค์กรที่มีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจมหาศาล มีเงินอยู่ตรงนี้เยอะมาก เพราะฉะนั้นมันก็ต้องมีการเมืองในศาสนา เพราะฉะนั้นถ้าเรามองศาสนาแบบ realistic มากขึ้น มันจะทำให้เราวิพากษ์วิจารณ์ได้รอบด้านมากขึ้น แทนที่จะวิจารณ์แต่ในมุมมองทางศีลธรรมอย่างเดียว เช่นไปด่าพระกินเหล้า มันมีเรื่องอื่นให้วิจารณ์มากกว่านั้น เช่นระบบการบริหารของคณะสงฆ์ในเมืองไทย การซื้อขายตำแหน่งมีมั๊ย เงินทองของท่านเจ้าคุณทั้งหลายดูแลกันยังไง แล้วมันมีผลต่อคนอื่นๆที่อยู่ในองค์กรมากน้อยแค่ไหน เหมือนเรามองการเมือง ก็ไม่ต่างกัน วิจักขณ์: คือ มองให้เห็นต้นทุนทางสังคมที่ศาสนามี คำ ผกา: มองในแง่ที่มันเป็นสถาบันทางสังคม ไม่ได้มองในแง่ที่จะต้องเอาคนไทยทั้งหมดไปเป็นอรหันต์น่ะค่ะ วิจักขณ์: แล้วถ้าตัวสถาบันศาสนาเองไม่ได้เปิดที่จะให้คนเข้าไปล้วงลึก หรือมีส่วนร่วมตรงนั้นล่ะ เพราะอาจรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องของพระไม่ใช่เรื่องของฆราวาส คำ ผกา: ก็เพราะว่าฆราวาสมัวแต่ไปด่าพระกินเหล้า มัวแต่ไปนั่งสมาธิไง ก็เลยลืมมองไปว่า จริงๆแล้วศาสนาก็แค่สถาบันนึงทางสังคม ที่เราจำเป็นจะต้องเข้าไปดู เข้าไปตรวจสอบ แล้วเราก็ต้องใจกว้าง มองพระหลายๆแบบ ด้านหนึ่งพระก็เหมือนคนปุถุชน ใช่มั๊ย ก็ต้องมีพระที่เป็น intellectual มีพระที่มุ่งไปเรื่องปฏิบัติ มีพระที่อยากทำงานกับชาวบ้าน มีพระที่อยากเป็นดารา และก็มีพระจำนวนมากที่ก็ไม่ได้เคร่งครัดในธรรมวินัยอะไรมาก แต่ว่า active กับการทำกิจกรรมทางการเมืองหรือว่ากิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน อย่าลืมว่าในสังคมพระก็มีความหลากหลาย เราอย่าเพิ่งไปติดป้ายว่าจะต้องให้พระเป็นอย่างงั้น อย่างงี้ สำรวม ม้วน ถืออะไร แบบว่าเกาะกุมจีวรตุ๋มติ๋มไว้ตลอดเวลา วิจักขณ์: เท่าที่ฟัง ก็ดูเหมือนจะไม่ได้มองว่าพุทธศาสนาอยู่ในวิกฤตอะไร คำ ผกา: ไม่อ่ะค่ะ วิจักขณ์: เพียงแต่อยากให้มองศาสนา และสัมพันธ์กับมันให้ practical มากขึ้น คำ ผกา: มองมันหลายๆแบบน่ะค่ะ พระที่จะไปนิพพานก็สกุลนึง พระปฏิบัติก็อีกสกุลนึง พระจะไปอยู่ป่าก็อีกสกุลนึง พระที่ทำงานก็อีกกลุ่มนึง พระที่เป็นแบบพระบ้านแขก คือ ชอบแต่สร้างโบสถ์วิหารก็อยู่ของเค้าอีกแบบนึง แต่ถามว่าเค้า function มั๊ย เค้าก็ function ดี มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับชาวบ้านอีกกลุ่มนึง คือไม่อยากให้ไปขึ้นป้ายว่า อุ๊ย...ขอหวยผิด เว้นแต่ว่ามันได้สร้างความเดือดร้อน แล้วมันผิดมากๆ ก็ต้องจัดการเป็นคนๆไป แต่อย่าไปมองว่า โอ้โห เจอพระแบบเจ๊ดาวรูปนึง แล้วก็คิดว่านี่เป็นจุดตกต่ำของพุทธศาสนา แล้วก็เอาไปทำเป็นภาพ contrast กับพระสายปฏิบัติ ซึ่งมันคนละเรื่องกัน มันคนละ school กันเลย วิจักขณ์: คือมองให้เห็นเป็นกรณีๆศึกษาไป เห็นถึงคุณค่าของการมีอยู่ทางสังคมของพระแต่ละกลุ่ม ดูว่าเค้ามีข้อดียังไง ข้อเสียยังไง มีผลต่อชุมชนยังไง ไม่ใช่ว่าพระแบบนี้เลวหมด แบบนี้ประเสริฐหมด คำ ผกา: ใช่ ใช่ ส่วนถ้ามีพระที่โกงเงินชาวบ้าน ก็จัดการไปตามกฎหมาย วิจักขณ์: แต่ยังไงเท่าที่ฟังก็ไม่ได้มองว่าพุทธศาสนาในภาพรวมตกต่ำ คำ ผกา: ไม่นะ มันขึ้นกับว่าเราอยากเห็นพุทธศาสนาเป็นอะไร คือถ้าคุณอยากเห็นพุทธศาสนา purify ให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง คุณก็อาจจะมองว่ามันกำลังตกต่ำ แต่แขกก็แค่มองมันในฐานะที่เป็นสถาบันทางสังคม ศาสนาก็อยู่กับสังคม ซึ่งสังคมเราก็ไม่ได้ดิบดีอะไร วิจักขณ์: แล้วในเหตุการณ์วิกฤติทางการเมืองช่วงที่ผ่านมาล่ะ กับการที่พุทธศาสนาก็เป็นสถาบันทางสังคมอันนึงที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบ้านเมืองทั้งหมด มองบทบาทของพุทธศาสนายังไงบ้าง คำ ผกา: คือแขกเห็นพระที่เข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมือง ไปประท้วง เอาตัวไปเกี่ยวข้องโดยตรงค่อนข้างเยอะ แขกคิดว่าแขกตื่นเต้นนะ แล้วมันเป็นพระอย่างที่คนชั้นกลางดูถูกทั้งนั้นเลย พวกพระที่มาเข้าร่วมกับคนเสื้อแดง ในขณะที่พระ intellectual แขกค่อนข้างผิดหวัง เพราะบทบาทของท่าน play safe มากเลย แต่ละคนที่ออกมาพูด ไม่กระทบใครเลย พูดอีกก็ถูกอีก “อย่าใช้ความรุนแรง ขอให้อยู่อย่างสันติ ขอให้ทุกฝ่ายใช้เหตุใช้ผล” แขกว่าคำพูดเหล่านี้มันไม่ valid สำหรับแขก วิจักขณ์: ไม่ valid ยังไง? คำ ผกา: คนมันจะฆ่ากันอยู่แล้ว จะมานั่งเทศน์ “ขอให้ทุกคนหยุดก่อน ใช้เหตุผล” มันลอยมาก คือถึงจุดนี้แล้ว คุณก็เห็นๆอยู่ว่าใครทำอะไร คุณต้องพูดเจาะจงลงไปในบริบทให้ได้ชัดกว่านี้ วิจักขณ์: การพูดแบบกระตุ้นเตือน เตือนสติแบบนี้ มันไม่มีผลดีอะไรเลยเหรอ คำ ผกา: ในยามหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ แขกว่าถ้าจะพูดลอยๆแบบนี้ ไม่พูดซะจะดีกว่า ไม่ต้องออกมาพูดเลย ก็อยู่ที่วัดไป ทำหน้าที่ของท่านไปนั่นแหละ แต่ถ้าอยากจะออกมาพูด แล้วพูดแค่นี้ มันไม่ได้ส่งผลอะไรเลย นอกจากสร้าง popularity ให้กับตัวเอง พูดแบบนี้ใครก็รักน่ะ แล้วพูดให้คนรัก แขกมองว่ามันไม่ค่อยมีความหมาย วิจักขณ์: นี่เป็นการเรียกร้องให้ศาสนาเข้ามายุ่งเกี่ยวทางการเมืองมากขึ้นด้วยรึเปล่า คำ ผกา: มันต้องยุ่งอยู่แล้ว ไม่มีศาสนาที่ไหนไม่ยุ่งกับการเมือง เพราะเราไม่ได้แบ่งแยกโลกศาสนจักร กับโลกของฆราวาสออกจากกันโดยสิ้นเชิง ใช่มั๊ยคะ วิจักขณ์: ไม่รู้สึกว่าถ้าพระสงฆ์ที่เป็นผู้นำทางศาสนาเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองแล้วจะแปดเปื้อน คำ ผกา: ถ้าคุณพูด คุณต้องยอมแปดเปื้อน (เน้นเสียง) แต่ถ้าคุณไม่อยากแปดเปื้อน คุณต้องไม่พูดเลย คนมาขอสัมภาษณ์ก็ต้องบอกว่าไม่ให้สัมภาษณ์ เพราะว่าไม่อยากยุ่ง ไม่อยากแปดเปื้อน อาตมาอยู่เหนือการเมือง ก็ต้องพูดแบบนี้ ไม่ต้องมาถาม อยากฆ่ากันก็ฆ่าไป อาตมาไม่เกี่ยว ถ้าจะออกมาพูดก็ต้องยอมแปดเปื้อน ถ้าออกมาพูดแล้วไม่ยอมแปดเปื้อน เอาแต่ play safe อย่างนี้ แขกว่าเห็นแก่ตัว วิจักขณ์: แล้วคิดว่าในตัวศาสนา หรือสถาบันทางศาสนา มีศักยภาพมากกว่าสถาบันอื่นมั๊ย เวลาเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง คำ ผกา: มีสิคะ เหมือนแขกบอกว่าเอาเจ้าอาวาสเข้าไปคุยกับนายอำเภอ มันมีน้ำหนักกว่าเอาชาวบ้านไปคุย สมมติว่ามีความขัดแย้งระหว่างชาวบ้านกับราชการ คืออย่างน้อยมันมีทุนทางวัฒนธรรมที่มากกว่าชาวบ้านร้านช่อง เพราะฉะนั้นพระสงฆ์เองหรือศาสนาเองก็ต้องตระหนักในต้นทุนอันนี้ที่ตัวเองมีอยู่ แล้วก็ต้องคิดว่าตัวเองจะใช้ต้นทุนอันนี้ไปเพื่ออะไร จะใช้ต้นทุนอันนี้ไปเพื่อประโยชน์ของคนจำนวนมาก หรือจะใช้ต้นทุนอันนี้มาสร้าง popularity ให้กับตัวเอง สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเอง หรือจะใช้ต้นทุนอันนี้เพื่ออยากจะเป็น icon แห่งความเป็นปัญญาชนของตัวเองก็แล้วแต่ แต่ที่แน่ๆคุณมีต้นทุนอันนี้อยู่ เป็นสิ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้ วิจักขณ์: ซึ่งก็ต้องมองให้เห็นว่าคนที่อยู่ในสถาบันทางศาสนา เป็นครูบาอาจารย์ ธรรมาจารย์ในพุทธศาสนาเอง ด้วยสถานะของเค้า ไม่ว่าจะด้วยการปฏิบัติ ชื่อเสียง วัด หรือศูนย์ปฏิบัติธรรมที่เขาอยู่ก็ตามที ด้วยวัฒนธรรมที่ให้เครดิตกับพุทธศาสนามาก มันก็ทำให้เขามีต้นทุนที่มากกว่าคนทั่วไป คำ ผกา: แน่นอนสิคะ ก็เรามีชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซึ่งคุณปฏิเสธตรงนี้ไม่ได้ เพราะมันคือสถาบันหลักของสังคมที่เราอยู่ ศาสนาได้ถูกสถาปนาให้เป็นหนึ่งในสามสถาบันหลักของประเทศ เพราะฉะนั้น คุณปฏิเสธต้นทุนอันนี้ไม่ได้เลย วิจักขณ์: ซึ่งถ้าตระหนักแล้ว ก็ต้องรู้จักใช้... คำ ผกา: อันนี้ก็เป็นสิทธิของพระแต่ละท่านแล้วล่ะว่าจะใช้ยังไง แล้วแขกก็ไม่มีสิทธิที่จะไปบอกใคร ว่าใครควรจะใช้ยังไง อันนี้ก็เป็นเรื่องของวิจารณญาณ เรื่องของจิตสำนึกของท่านเอง ว่าท่านจะใช้มันไปเพื่อการใด วิจักขณ์: แต่ถ้าจะใช้มาเกี่ยวข้องกับสังคม เกี่ยวข้องกับการเมือง ก็... คำ ผกา: ก็ต้องรู้ว่าตัวเองจะแปดเปื้อน ต้องยอมเปื้อน ไม่ใช่แบบว่าจะลอยตัว หรือแค่จะมาพูดอะไรดีๆ พูดดีใครก็พูดได้ แขกก็พูดได้ (ดัดเสียง) “รักกกันนน อย่าใช้ความรุนนแรงง ให้ใช้เหตุผลล ให้มีสติ อย่าวู่วามม ให้มองเห็นทั้งจุดดี จุดด้อยของผู้อื่นน” สัมภาษณ์เมื่อ 21 กรกฎาคม 2553 บ้านตีโลปะ สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper |
You are subscribed to email updates from ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์ To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น