โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

ยังไม่ถอนร่าง กม.คุ้มครองผู้เสียหายฯ ตั้งคณะทำงาน 3 ฝ่าย เคลียร์ประเด็นขัดแย้ง

Posted: 02 Aug 2010 02:49 PM PDT

วงเจรจาไม่ถอนร่าง กม.คุ้มครองผู้เสียหายฯ แต่ตั้งคณะทำงานจาก 3 ฝ่าย "หมอ-คนไข้-สธ." เคลียร์ประเด็นขัดแย้ง ขีดเส้น 2 สัปดาห์ได้คำตอบ

เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ตั้งแต่เวลา 16.40 น. กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เป็นเจ้าภาพเปิดเวทีเจรจาเพื่อหาทางออก กรณีความคิดเห็นที่ขัดแย้งในร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข พ.ศ…ระหว่างแพทยสภา สมาพันธ์แพทย์โรงพยาบาลศูนย์โรงพยาบาลทั่วไป (รพศ./รพท.) กับเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ ฯลฯ โดยไม่อนุญาตให้ผู้สื่อข่าวเข้าร่วมฟัง 
 
ทั้งนี้ สธ.ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งฝ่ายสนับสนุนและคัดค้าน โดยฝ่ายคัดค้านมีทั้งแพทยสภา แพทยสมาคม สมาพันธ์แพทย์ รพศ./รพท. สภาวิชาชีพทั้ง 6 วิชาชีพ ประกอบด้วย แพทยสภา ทันตแพทยสภา สภาเทคนิคการแพทย์ สภาการพยาบาล สภากายภาพบำบัด และสภาเภสัชกรรม ขณะที่ฝ่ายสนับสนุนที่เข้าร่วมเจรจาเป็นเครือข่ายภาคประชาชน อาทิ เครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ โดยมีนพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัด สธ. เป็นประธาน ใช้เวลานานกว่า 3 ชั่วโมง
 
เวลา 19.40 น. นพ.ไพจิตร์ แถลงว่า หลังจากเชิญฝ่ายเครือข่ายผู้ป่วย และผู้ให้บริการหรือผู้ดูแลรักษาพยาบาล ที่ประชุมเห็นชอบในหลักการ 3 ประเด็น เพื่อให้การทำงานตรงกัน คือ 1.ต้องมีการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการรักษาพยาบาล 2.ต้องให้บุคลากรสาธารณสุขมีหลักประกันในการทำงาน โดยมีมาตรการเพื่อลดการฟ้องร้องเป็นหลัก 3.มีการพัฒนาระบบบริการเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย ส่วนกลไกในการดำเนินการนั้น จะมีการเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขให้ตั้งคณะทำงานที่ประกอบด้วยบุคคล 3 ฝ่าย คือ 1.เครือข่ายผู้ป่วย 8 คน 2.ผู้ดูแลรักษาพยาบาล 8 คน 3.ฝ่ายรัฐ คือ กระทรวงสาธารณสุข 4 คน ส่วนประธานคณะทำงานนั้น อยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะเป็น ปลัด สธ. หรือ โฆษกกระทรวงสาธารณสุข โดยตำแหน่ง กำหนดระยะเวลาหาข้อสรุปภายใน 2 สัปดาห์ 
 
"คณะทำงานชุดนี้ จะทำหน้าที่ในการหาข้อสรุปในรายละเอียดของร่าง พ.ร.บ.ที่ยังเห็นไม่ตรงกัน ในวันที่ 3 สิงหาคมนี้ จะมีการเสนอชื่อตัวแทนจาก 3 ฝ่ายเข้าร่วม อย่างไรก็ตาม คณะทำงานชุดนี้ไม่มีอำนาจในการถอนหรือไม่ถอนร่าง พ.ร.บ. ส่วนจะเอาข้อสรุปเสนอสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่นั้น ขอหารือรัฐมนตรีสาธารณสุขก่อน แต่โดยหลักการเมื่อได้ข้อสรุปต้องมีการเสนอสภาฯ อยู่แล้ว และอาจเชิญกรรมาธิการ สภาฯ เข้าร่วมรับฟังด้วย" นพ.ไพจิตร์ กล่าว
 
ก่อนหน้านี้ พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา ที่ปรึกษาสมาพันธ์แพทย์ รพศ./รพท. กล่าวว่า ที่ประชุมเห็นด้วยในหลักการ 3 ประการ คือ 1.ต้องการให้ประชาชนปลอดภัย 2.ต้องการให้บุคลากรทางการแพทย์มีหลักประกันในการทำงาน 3.ต้องการให้ประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากบริการสาธารณสุขได้รับการเยียวยา แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปถึงวิธีการเยียวยาว่าจะทำอย่างไร จึงขอให้ตั้งคณะทำงานจากทั้ง 2 ฝ่าย เพื่อหารือว่าจะต้องแก้ไขในประเด็นใดบ้าง จากนั้นจึงทำประชาพิจารณ์ 
 
ด้านกรุงเทพมหานคร (กทม.) มีการประชุมคณะผู้บริหารสำนักการแพทย์ ผู้อำนวยการสังกัดโรงพยาบาลทั้ง 9 แห่ง ผู้บริหารสำนักอนามัย เพื่อสอบถามความเห็นเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองผู้เสียหายฯ โดยเวลา 19.00 น. พญ.มาลินี สุขเวชชวรกิจ รองผู้ว่าฯ กทม. เปิดเผยภายหลังประชุม ว่า จะรวบรวมข้อมูลในการประชุม เพื่อทำหนังสือเสนอต่อนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรี สธ.ในสัปดาห์หน้า โดยจะต้องมีการหารือเพื่อแก้ไขเนื้อหาในรายละเอียดของร่างกฎหมายดังกล่าว เพื่อแก้ปัญหาทั้งเรื่องกองทุนชดเชยความเสียหายและคณะกรรมการกลาง ที่ยังไม่มีความชัดเจน ทำให้ขณะนี้แพทย์พยาบาลระดับปฐมภูมิ มีความกังวลและไม่กล้ารักษาคนไข้แม้กระทั่งการฉีดยา หรือการจ่ายยา หากปล่อยให้ร่างกฎหมายเดินหน้าโดยไม่มีความชัดเจนในบางเรื่อง กังวลว่าสาธารณสุขไทยจะเป็นอัมพาต 
 
นพ.อิทธิพร คณะเจริญ รองเลขาธิการแพทยสภา กล่าวว่า สาเหตุที่แพทยสภาออกมาแสดงท่าทีต่อร่างกฎหมายฉบับนี้ เพราะไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ อีกทั้งมองว่าคนไข้จะไม่ได้ประโยชน์อะไรก่อนที่จะทำการร่างกฎหมายนั้นประชาชนทราบหรือไม่ว่าจะได้รับผลกระทบอย่างไรบ้าง เพราะปัญหาคือเรื่องเงินกองทุนที่จะมาจากคนไข้ที่เข้ามารับบริการในสถานพยาบาล ประชาชนพร้อมที่จะจ่ายเข้าระบบหรือไม่ จึงควรจะมีการจัดทำประชาพิจารณ์ให้ประชาชนรับรู้และร่วมตัดสินใจ เพราะกฎหมายฉบับนี้จะต้องใช้ต่อไปในระยะยาว จึงไม่ควรเร่งรีบ
 
"เชื่อว่าแพทย์ที่แต่งดำไม่ได้ใจดำเหมือนที่มีบางกลุ่มกล่าวหา ถ้าไม่เชื่ออยากให้ประชาชนผู้ใช้บริการถามแพทย์ประจำตัวว่าแพทย์ใจดำอย่างที่ถูกกล่าวหาหรือไม่" นพ.อิทธิพร กล่าว
 
ด้านสภาวิชาชีพ อาทิ ศ.เกียรติคุณวิจิตร ศรีสุพรรณ นายกสภาการพยาบาล กล่าวว่า สภาการพยาบาลเห็นด้วยกับเจตนารมณ์ของ ร่างกฎหมายฉบับดังกล่าว แต่ปัญหาที่ยังมีข้อกังวลนั้น ต้องช่วยกันทำให้เกิดความชัดเจนในรายละเอียด เช่น สัดส่วนของคณะกรรมการ ควรต้องมีนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็น เพื่อวิเคราะห์ความเสียหายของโรค และควรจะมาจากสภาวิชาชีพ ส่วนประเด็นเรื่องที่มาของกองทุน ควรมีความชัดเจนทั้งสัดส่วนการจ่ายเงินเข้ากองทุน เพดานการชดเชยค่าเสียหาย หากสามารถปรับแก้ในส่วนที่เป็นกังวลก็น่าจะเดินหน้าต่อไปได้
 
“ความกังวลที่เกิดขึ้นควรมีการทำประชาพิจารณ์ เพื่อให้ทุกวิชาชีพได้รับทราบโดยทั่วกันว่า ใครจะมีบทบาทหน้าที่อะไร ส่วนของประชาชนก็ต้องมีมาตรการดูแลให้เกิดความพอใจ จะได้เกิดความเข้าใจที่ตรงกัน ทั้งผู้ให้และผู้รับบริการจะได้ไม่เกิดความทุกข์ ทั้งนี้ แนวทางที่เห็นว่ามีความเป็นไปได้ คือ การขยายมาตรา 41 พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่สามารถทำได้ ที่ผ่านมาเคยมีการใช้งบฯ ส่งเสริมสุขภาพ เพื่อดูแลประชาชนในทุกกองทุน โดยอาศัยมติคณะกรรมการ และหากใช้การขยายมาตรา 41 ก็มีคณะทำงานในทุกจังหวัดที่จะพิจารณาการชดเชย ถือเป็นทางออกหนึ่งของปัญหา” ศ.เกียรติคุณวิจิตร กล่าว
 
วันเดียวกัน ที่โรงแรมเดอะเจ้าพระยาปาร์ค นพ.มงคล ณ สงขลา ประธานคณะกรรมการกำลังคนด้านสุขภาพแห่งชาติ แถลงมติที่ประชุมคณะกรรมการกำลังคนด้านสุขภาพแห่งชาติ ต่อร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ ว่า มติจากที่ประชุมมีความเห็นว่าไม่จำเป็นต้องถอนร่างกฎหมายนี้ออกจากกระบวนการพิจารณา เพราะมีอีกหลายขั้นตอนที่ทุกฝ่ายยังมีโอกาสที่จะพิจารณาปรับเปลี่ยนในรายละเอียดได้อีกมาก และทุกฝ่ายควรหยุดการกล่าวหาโจมตีกัน เน้นการพูดคุยในสาระของกฎหมาย ให้มีกระบวนการรับฟังและทำความเข้าใจความเห็น ข้อกังวล หาทางออกร่วมกันในการทำให้กฎหมายความสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของทุกฝ่ายมากที่สุด 
 
“ที่สำคัญควรมีการสื่อสารให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายมีความเข้าใจที่ชัดเจนและถูกต้องยิ่งขึ้น กฎหมายฉบับนี้เป็นกฎหมายที่ให้คุณกับผู้ป่วย ญาติ และบุคลากรทางการแพทย์ ดังนั้นควรร่วมมือกันผลักดันให้ ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ออกเป็นกฎหมายบังคับใช้ให้เร็วที่สุด เพราะเป็นทางออกของการสร้างเสริมความสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วย ญาติ และบุคลากรทางการแพทย์” นพ.มงคล กล่าว
 
 
วิปรัฐบาล ยังไม่นำร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองผู้เสียหายฯ เข้าสภาในวันพุธนี้ 
 
นายวิทยา แก้วภารดัย ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล หรือ วิปรัฐบาล กล่าวว่า ที่ประชุมในวันนี้ (2 ส.ค.) ได้พิจารณาเกี่ยวกับกฎหมายที่จะบรรจุเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรนัดแรกในวันพุธนี้ (4 ส.ค.) คือ ร่างพระราชบัญญัติบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ และร่าง พระราชบัญญัติผู้สูงอายุ ส่วนร่าง พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาเป็นเรื่องเร่งด่วน ท่ามกลางความคิดเห็นที่ขัดแย้งในวงการแพทย์และประชาชน จึงเห็นว่า ควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนทั้งสองฝ่ายได้แสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง หากไม่สามารถตกลงกันได้ วิปรัฐบาลพร้อมรับเป็นเจ้าภาพในการรวบรวมความคิดเห็นและหาข้อยุติต่อไป และที่ประชุม ยังบรรจุวาระการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2554 ในวันที่ 18-19 สิงหาคมนี้ และย้ำให้พรรคร่วมรัฐบาลเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียงเพื่อให้กฎหมายผ่านการพิจารณาได้
 
 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ประชาธรรม: ลือสะพัดหลังเลือกตั้งพม่า ไทยเตรียมส่งกลับผู้ลี้ภัย

Posted: 02 Aug 2010 02:08 PM PDT

 
 
แม่สอด/ ในบ้านไม้ไผ่หลังเล็กที่ตกแต่งอย่างดี อ่อง เท็ต (Aung Htet) เผยถึงเรื่องราวของเขาให้ฟังว่า อะไรที่เป็นตัวกดดันให้ครอบครัวของเขาต้องหนีมาที่เมืองไทยเพื่อความปลอดภัย
 
คล้ายกับผู้อพยพคนอื่นๆ ในค่ายผู้อพยพที่นี่ เขาคือนักโทษการเมืองผู้มีชื่อเสียงที่ได้รับโทษเนื่องจากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวประชาธิปไตยในประเทศพม่า หลังจากได้รับการปล่อยตัว และถูกจับใหม่อีกหลายเที่ยว เขาเห็นว่าในพม่าอนาคตสำหรับครอบครัวของเขาชั่งริบหรี่ ทันทีที่เขาถูกตามถูกรังควานจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ พวกเขาจึงหนีมายังชายแดนโดยมีความหวังว่าจะได้ไปเริ่มต้นครอบครัวใหม่ในประเทศที่สาม
 
จนกระทั่งถึงสิ้นเดือนนี้ อ่อง เท็ต (Aung Htet) รู้สึกว่าความสัมพันธ์ของเขาดีขึ้น ครอบครัวของเขาสร้างวิถีความเป็นอยู่ในค่าย สร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านและพบวิถีทางในการอดทนต่อการได้ย้ายไปอยู่ในประเทศที่สาม แต่อย่างไรก็ตาม ความเป็นอยู่อันเปราะบางของพวกเขาก็เปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือทันทีที่ได้รู้ถึงความคิดเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ในหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ที่บอกว่าผู้อพยพชาวพม่าสมควรที่จะกลับไปยังประเทศของเขาหลังการเลือกตั้งภายในประเทศ
 
อ่อง เท็ตบอกว่า "ก่อนหน้านี้ พวกเรามีความหวังว่าเราสามารถจะไปตั้งต้นใหม่ และเด็กๆ ของเราก็จะมีอนาคตที่ดี แต่ว่าในเวลานี้ พวกเราไม่เพียงแต่กังวลเรื่องการย้ายไปประเทศที่สามเท่านั้น แต่ว่าเรายังมีความกังวลเพิ่มขึ้นว่าเราอาจจะถูกบังคับให้กลับไปที่พม่าด้วย"
 
"ตั้งแต่ที่รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ กษิต ภิรมย์ กล่าวคำพูดเช่นนี้ ความกลัวก็แพร่กระจายในหมู่ผู้อพยพที่มาจากประเทศพม่า และไปเพิ่มความรู้สึกที่ว่าอนาคตของพวกเขาอาจจะเป็นเรื่องยาก"
 
เมื่อถามว่าอะไรจะเกิดขึ้นหากพวกเขาถูกส่งกลับไปยังประเทศ อ่อง เท็ต เปิดเผยว่า "เรากลับไปไม่ได้หรอก เราไม่มีทางเลือกสำหรับระบอบการปกครองแบบนี้" เขาบอกอีกว่านักโทษการเมืองเป็นที่รู้จักดีของหน่วยข่าวกรองของกองทัพพม่า และพวกเขาทั้งหมดก็อยู่ในบัญชีดำ"ถ้าหากว่าพวกเราถูกส่งกลับไป พวกเราก็จะกลายเป็นนักโทษและถูกขังลืม เด็กๆ ของเราก็จะไม่มีอนาคต"
 
ตามข้อมูลของสมาคมช่วยเหลือนักโทษการเมืองในประเทศพม่า (the Assistance Association for Political Prisoners-Burma) เปิดเผยว่ามีนักโทษการเมืองมากกว่า 2,100 คนในพม่า ผู้สังเกตการณ์บางคนบอกว่าหลังจากการเลือกตั้ง จะมีการนิรโทษกรรมสำหรับนักโทษการเมืองเกิดขึ้น ดังนั้นพวกเขาสามารถกลับประเทศได้โดยที่ไม่ต้องถูกตามรังควาน กลุ่มผู้ลี้ภัยในค่ายอุ้มเปี้ยม (Umpium) ใน อ.พบพระ จ.ตาก บอกว่าพวกเขาไม่คิดว่าจะมีการนิรโทษกรรมเกิดขึ้น และถ้าหากพวกเขากลับประเทศพวกเขาก็จะถูกลงโทษ
 
ครอบครัวของ ซอ ทู (Saw Htoo) ก็เป็นกังวลในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน ที่บ้านของเขาในฝั่งพม่านั้น เมื่อไหร่ก็ตามที่หมู่บ้านถูกสงสัยว่าให้การสนับสนุนกองกำลังสหภาพแห่งชาติกระเหรี่ยง (KNLA) บ้านของพวกเขาก็จะถูกเผาเป็นจุล พวกเขาจึงต้องหนีมาที่ประเทศไทยเพื่อความปลอดภัย
 
ซอ ทู บอกว่าพวกเขาไม่ต้องการลี้ภัยไปประเทศที่สาม แต่ต้องการที่จะอยู่ที่ค่ายนี้เพื่อกลับไปที่บ้านหากสถานการณ์ที่นั่นปลอดภัย "การเลือกตั้งไม่สามารถนำสันติสุขมาสู่รัฐกระเหรี่ยงได้ มันไม่ได้ทำอะไรที่เป็นการช่วยเหลือชาวกระเหรี่ยงเลย ถ้าหากว่าพวกเขาจะส่งเรากลับไปที่นั่น พวกเราจะอ้อนวอนต่อพวกเขาว่าอย่าทำแบบนั้นเลย" 
 
ข่าวล่าสุดนั้น ทหารบางส่วนของกองกำลังกระเหรี่ยงพุทธปฏิเสธที่จะเข้าร่วมเป็นกองกำลังป้องกันชายแดนของประเทศพม่า ซึ่งมันยืนยันถึงสิ่งที่ ซอ ทู กำลังเป็นกังวล รายงานยังบอกอีกว่ามีการยิงปืนใหญ่อย่างหนักจากกองทัพพม่าเพื่อเป็นการตอบโต้ที่กระเหรี่ยงพุทธปฏิเสธคำสั่ง
 
"ถ้าหากรัฐบาลทหารพม่าจู่โจมกองพันกระเหรี่ยงพุทธที่ 907 ภายในสัปดาห์นี้ เราก็จะเห็นการต่อสู้อย่างหนักในบริเวณชายแดน ซึ่งนั่นจะทำให้เราไม่สามารถกลับบ้านได้อย่างปลอดภัยเป็นเวลานาน"ซอ ทู เปิดเผย
 
ในเวลาเดียวกัน ทหารพม่ายังได้เผาหมู่บ้านในตอนเหนือของรัฐกระเหรี่ยง ซึ่งอยู่ติดกับกองพลน้อยที่  5 ของสหภาพแห่งชาติกระเหรี่ยง แหล่งข่าวบริเวณชายแดนยังบอกอีกว่าทหารขับไล่ชาวบ้านออกจากหมู่บ้านกว่า 500 คน และฆ่านายแพทย์ไป 1 คน
 
แถลงการณ์ของสหภาพแห่งชาติกระเหรี่ยงเปิดเผยว่า "ทหารของ SPDC ยังคงกระทำการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อประชาชนในรัฐกระเหรี่ยงและพื้นที่อื่นๆ บริเวณรอบๆ ภายในเดือนนี้การละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยทหารพม่าเพิ่มมากขึ้นในหลายเมือง
 
ผู้อพยพคนหนึ่งบอกว่า "ความกังวลและเป็นห่วงของประชาคมนานาชาติไม่ได้ทำให้ประเทศไทยยับยั้งการบังคับผู้อพยพให้กลับคืนสู่ประเทศของพวกเขาได้เลย"
 
"ถ้าหากว่ารัฐบาลพม่าจัดให้มีการเลือกตั้ง มันจะเป็นข้ออ้างให้ไทยส่งพวกเรากลับไป พวกเขาจะหาทางทำลายกลุ่มก้อนของพวกเราและส่งเรากลับประเทศ พวกเขาฉลาดมาก"
 
ไม่ใช่ครั้งแรกที่ประเทศไทยส่งผู้อพยพข้ามพรมแดนกลับไปยังประเทศต้นทาง ซึ่งทำให้ได้รับคำติเตือนจากนานาประเทศ ในปีที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ของไทยผลักดันชนกลุ่มน้อยโรฮิงยาออกจากน่านน้ำของประเทศไทย หลังจากที่พวกเขาหลบหนีเข้ามาเพื่อความปลอดภัยของพวกเขา และในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ม้งลาวอพยพมากกว่า 4,000 คนก็ถูกส่งกลับประเทศโดยที่พวกเขาไม่ต้องการ ซึ่งในจำนวนนี้รวมไปถึงผู้อพยพ 158 คนที่ได้รับคำเชิญเพื่อให้ไปตั้งรกรากในประเทศที่สามได้
 
ในปีนี้ ผู้อพยพชาวกระเหรี่ยงมากกว่า 3,000 คนบอกว่าพวกเขาไม่มีทางเลือก แต่ว่าพวกเขาก็ต้องกลับไปที่รัฐกระเหรี่ยงทั้งๆ ที่มีความกลัวว่าจะมีกับระเบิดอยู่ที่ไหนสักแห่ง หรือว่าแม้กระทั่งการข่มขู่คุกคามทหารของกระเหรี่ยงพุทธก็ตามที ผู้อพยพหลายคนบอกว่าพวกเขาไม่สามารถทนกับแรงกดดันของเจ้าหน้าที่ไทยผู้ที่บอกให้พวกเขากลับบ้านได้
 
กลุ่มที่มีความเสี่ยงอื่นๆ ในค่ายผู้อพยพคือ ทหารพม่า SPDC ที่หนีทัพออกมา ผู้อพยพรายหนึ่งผู้ที่เคยมีตำแหน่งระดับสูงในกองทัพพม่าเปิดเผยว่าเขากลัวมากถ้าหากไทยจะส่งเขากลับ
 
"ในความคิดของพวกเขา (รัฐบาลทหารพม่า) การหนีทัพคือสิ่งเลวร้ายที่สุด ถ้าหากว่าผมถูกส่งกลับแน่นอนว่าพวกเขาคงจะขังลืมผม หรือไม่ก็ได้รับโทษตายก็ได้"
 
และผู้อพยพหลายคนเห็นว่า การส่งกลับนั้นก็เหมือนกับ "โทษประหารชีวิต" พวกเขาบอกว่าผู้ถูกส่งกลับเหล่านั้นจะถูกจับกุมจากหน่วยข่าวกรองของพม่าในทันทีทันใด และจะถูกจำคุกมากกว่า 15 ปีขึ้นไป
 
 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

กก.วุฒิฯ อัด“ศอฉ.”ทำซีดีสลายชุมนุม แจงข้อมูลด้านเดียว-เพิ่มความเกลียดชัง ค้านนำออกเผยแพร่

Posted: 02 Aug 2010 01:30 PM PDT

กก.ติดตามสถานการณ์วุฒิฯ ค้าน ศอฉ.เตรียมเผยแพร่ซีดีชี้แจงปฏิบัติการณ์ช่วงเดือนเม.ย.-พ.ค. ด้าน “ผช.เสธ.ทบ.” อ้างเนื้อหาซีดีนำภาพจากสื่อนอก ปัดฝ่ายการเมืองตัดสินใจกระชับพื้นที่สวนลุม ส.ว.จี้ กองทัพแจงจำนวนพลสไนเปอร์-กระสุนยางหมดอายุ

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 2 ส.ค.53 ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมการติดตามสถานการณ์บ้านเมือง วุฒิสภา โดยมีนายจิตติพจน์ วิริยะโรจน์ ส.ว.ศรีสะเกษ ประธานคณะกรรมการฯ เป็นประธานการประชุม เชิญนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ในฐานะ ผอ.ศูนย์อำนวยการแก้ไขในสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เข้าชี้แจงถึงการปฏิบัติการณ์ช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค.ที่ผ่านมา ทั้งนี้ นายสุเทพ มอบหมายให้ พล.ท.อักษรา เกิดผล ผู้ช่วยเสนาธิการทหารบกฝ่ายยุทธการ หัวหน้าส่วนยุทธการ ศอฉ.และนายสมเกียรติ ศรีประเสริฐ รักษาการผู้เชี่ยวชาญความมั่นคงระหว่างประเทศ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เข้าชี้แจงแทน 
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงแรก ผู้มาชี้แจงเปิดซีดีภาพเคลื่อนไหวประกอบเสียงบรรยายความยาวประมาณ 20 นาที โดยระบุว่า เป็นซีดีที่ ศอฉ.เตรียมจะนำออกอากาศเพื่อชี้แจงสาธารณะ ทั้งนี้ ในเนื้อหาของซีดีมีการเล่าเรื่องความเป็นมาของเหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เน้นการนำเสนอว่า ฝ่ายรัฐได้เจรจากับผู้ชุมนุมแล้ว ตัดสลับกับภาพชายชุดดำในหมู่คนเสื้อแดงถืออาวุธไปมา ภาพชายชุดดำยิงทหาร ทั้งนี้ภาพที่นำมาเรียงต่อกันเป็นภาพจากหลากหลายช่วงการชุมนุม ประกอบเสียงบรรยายที่ระบุถึงความจำเป็นที่ศอฉ.ต้องดำเนินการใช้กำลังเข้าไปปฏิบัติการณ์ 
 
จากนั้นได้เปิดให้ที่ประชุมซักถาม โดยกรรมการหลายคน คัดค้านการเผยแพร่ซีดีดังกล่าวสู่สาธารณะเพราะเนื้อหาเป็นข้อมูลด้านเดียว ยิ่งสร้างความเกลียดชัง ไม่ทำให้ประชาชนเข้าใจเหตุการณ์อย่างรอบด้าน อาทิ นายสิริวัฒน์ ไกรสินธุ์ ส.ว.นครศรีธรรมราช กล่าวว่า ตอนนี้จับชายชุดดำได้กี่คน มีผู้ก่อการร้ายเท่าไหร่ ศอฉ.อย่าคลุมเครือ เพราะศอฉ.ประกอบด้วยนักการเมืองรวมกับกองทัพ ตอนนี้คนที่ไม่เชื่อรัฐบาลและ ศอฉ.ไปแล้วก็ยิ่งไม่เชื่อ ทำแบบนี้จะยิ่งสร้างความเกลียดชัง ส่วนคนที่หนุนรัฐบาลก็ยิ่งกดดันให้ใช้ความรุนแรงกับกลุ่มคนเสื้อแดงได้
 
นายเจริญ ภักดีวานิช ส.ว.พัทลุง กล่าวว่า ก่อนวันที่ 19 พฤษภาคม ศอฉ.ประเมินหรือไม่ว่า ถ้าใช้กำลังจะมีคนตายและตายเท่าไหร่ ทั้งนี้หลังวันที่ 19 พฤษภาคม พบว่า ผู้เสียชีวิต 90 กว่าราย โดนยิงหัว 30-40 คน ศอฉ.ได้ประเมินหรือไม่ เพราะต่อไป ถ้ามีการชุมนุมประท้วง แล้วฝ่ายรัฐใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ก็จะมีคนตายแบบนี้อีก รัฐจึงต้องระวังการใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ให้มากที่สุด
 
นายวิชาญ ศิริชัยเอกวัฒน์ ส.ว.สรรหา กล่าวว่า ก่อนรัฐบาลจะสั่งกองทัพปฏิบัติการณ์ มีข่าวออกมาว่า มีการประเมินใน ศอฉ.ว่า ตาย 500 ไม่เป็นไร เรื่องนี้จริงหรือไม่ นอกจากนี้ ตอนเย็นวันที่ 18 พฤษภาคม มีตัวแทน ส.ว.ไปเจรจากับแกนนำ นปช.แต่ตอนนั้น ส.ว.ที่เข้าไปเจรจาก็ทราบแล้วว่า มีการเคลื่อนกำลัง ทำไมไม่นำข้อมูลตรงนี้ไปประเมินด้วยก่อนที่จะเข้าปฏิบัติการณ์ที่นำมาซึ่งความสูญเสีย หรือรัฐบาลได้ตัดสินใจไปก่อนที่ ส.ว.จะเป็นคนกลางไปเจรจาแล้ว 
 
ด้าน พล.ท.อักษรา ชี้แจงว่า ศอฉ.ประกอบด้วยหน่วยงานหลายส่วน ซึ่งส่วนของกองทัพก็ได้ดำเนินการในกรอบกฎหมาย และพยายามหามาตรการต่างๆที่จะไม่ใช่ความรุนแรง หลีกเลี่ยงความสูญเสีย ยืนยันว่า ได้พยายามอย่างที่สุดแล้ว ส่วนซีดีที่ทำขึ้นมา เป็นการการนำเหตุการณ์ต่างๆ มาเชื่อมโยงจากการประเมินร่วมกับทุกหน่วย ทั้งผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ ฝ่ายกฎหมาย หน่วยงานด้านการข่าว หน่วยงานด้านความมั่นคง ซึ่งภาพส่วนใหญ่ที่ได้ มาจากสื่อต่างประเทศซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นกลาง ซีดีดังกล่าวพยายามจะบอกว่า ศอฉ.มองแบบนี้ โดยเอาหลักฐานที่มีมาเรียบเรียงตามสมมติฐาน ซึ่งถ้าไม่ใช่ก็ไม่เป็นไร ผิดถูกอย่างไรก็ให้ว่ามา ส่วนเรื่องชายชุดดำเป็นใครนั้น สมช.กำลังพิสูจน์อยู่เพราะมีปืนทราโว่หายไป 24 กระบอก โดยกำลังขยายพลหลังจากที่จับกุมนายเมธี อมรวุฒิกุล ดารานักแสดง ที่มีปืนทราโว่ในรถ 1 กระบอก
 
พล.ท.อักษรา กล่าวว่า สำหรับการปฏิบัติการณ์ใช้กำลังใดๆ ศอฉ.ประเมินทุกครั้ง จึงไม่เข้าไปที่ราชประสงค์ แต่เพียงขยับแนวเข้ามากระชับพื้นที่รอบสวนลุมพินี เพราะก่อนหน้านั้นมีเหตุอาวุธสงครามบริเวณแยกศาลาแดง สถานีรถไฟฟ้าศาลาแดง โรงแรมดุสิต ในสวนลุมพินีก็มืดลึกลับ สถานทูตแถวนั้นก็ร้องเรียนมาด้วย ศอฉ.ตัดสินใจสั่งการใช้เจ้าหน้าที่กระชับเข้าไป หลังปฏิบัติการณ์ก็พยายามคุมความเสียหาย แต่พอมีการเผาบริเวณพื้นที่ชุมนุม ศอฉ.ก็เปิดสนามศุภฯ เป็นสถานที่รอส่งคนกลับภูมิลำเนา แต่ผู้ชุมนุมก็ไม่ออกมาแต่กลับไปรวมตัวที่วัดปทุมวนาราม ซึ่งพื้นที่นั้น ไม่อยู่ในแผนปฏิบัติการณ์ แต่ ศอฉ.ก็พยายามสื่อสารเข้าไป ซึ่งผู้ชุมนุมที่นั่นก็รับข่าวสาร แต่สมัครใจอยู่ต่อ เพราะกลัว ซึ่งที่มีผู้เสียชีวิต 6 ศพ ต้องรอผลการชันสูตจากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์นอกจากนี้ พอเกิดเพลิงไหม้หลายพื้นที่ เจ้าของก็ขอให้ ศอฉ.ช่วย แต่เมื่อกทม.ส่งรถดับเพลิงเข้าไปก็ถูกยิงจากกำลังไม่ทราบฝ่าย แม้แต่ เซนเตอร์วัน อนุสาวรีชัยสมรภูมิ ใช้ตำรวจสามกองร้อยคุ้มครองเจ้าหน้าที่ดับเพลิง ก็ยังเข้าไปไม่ได้ ยืนยันว่า ได้ประเมินทุกขั้นและหยุดทบทวนการปฏิบัติทุกขั้น ทั้งนี้เมื่อมีการสูญเสีย ทหารไม่สบายใจ เพราะเป็นรั้วของชาติ และเมื่อมารักษาความสงบภายในประเทศ ก็ตระหนักว่า ทุกคนไม่ว่าใครเป็นประชาชนคนไทย
 
“ทหารไม่อยากใช้กำลัง แต่ขึ้นกับฝ่ายการเมืองจะตัดสินใจ ซึ่งที่ทำบริเวณศาลาแดง เพราะบริเวณนี้มีแกนนำเช่น นายพายัพ ปั้นเกตุ หรือ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง ซึ่งเป็นสายฮาร์ดคอร์ และไม่รู้ว่า เวทีใหญ่คุมแกนนำสายนี้ได้หรือไม่ และบริเวณแถวนี้มีใช้ความรุนแรงก่อนหน้านี้แล้วจนคนสีลมต้องใช้กำลังออกมาตอบโต้ ซึ่งกองทัพได้พยายามป้องกันการเผชิญหน้ากันหลายรอบแล้ว เหตุแถวสวนลุมพินี เสื้อแดงก็ปฏิเสธตลอด แต่เมื่อวัดวิถีแล้ว มาจากฝั่งที่มีคนเสื้อแดง” พล.ท.อักษรา กล่าว 
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังการชี้แจง กรรมการหลายคนไม่ค่อยพอใจ และตำหนิการจัดทำซีดีชุดดังกล่าว อาทิ พล.ต.ท.พิชัย สุนทรสัจบูลย์ ส.ว.อุดรธานี กล่าวว่า อย่าไปเถียงเลยใครยิงก่อนยิงหลัง เพราะผู้สั่งการใช้กำลังไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ และตอนนั้นชุลมุน ทหารเข้าไปเกรงว่ามีอันตราย โดยสัญชาตญาณก็อาจยิงก่อนได้ อีกฝ่ายก็ยิงได้ ฉะนั้นอย่าพูดมาก ให้พนักงานสอบสวนทำ ยิ่งพูดยิ่งต่อความยาวสาวความยืด ซีดีดังกล่าว ตนเห็นว่า จะสร้างความเกลียดชังในสังคมมากขึ้น
 
ส่วน ทพ.อนุศักดิ์ คงมาลัย ส.ว.สรรหา กล่าวว่า ข้อมูลการแพทย์หลายหน่วยงาน และดีเอสไอก็มี ทำไม ศอฉ.ชอบบอกว่า ข้อมูลไม่ครบถ้วน ตนคิดว่า ฝ่ายรัฐอยากปิดเป็นความลับมากกว่า ไอโม่งชุดดำจมูกโด่งที่หนังสือพิมพ์ลงข่าว คือใคร ทำไมยังไปทำบุญให้ผู้เสียชีวิตหลังเหตุการณ์ได้อยู่ ซีดีนี้ ฉายภาพที่ไปกล่าวหาคนเสื้อแดงทั้งหมด ซึ่งไม่สมควรมาก แต่ก็ต้องยอมรับด้วยว่า มีแกนนำคนเสื้อแดงบางคนที่นิยมความรุนแรงจริง เช่น แกนนำที่เป็นนักร้องที่พูดบนเวทีว่า ให้ถือน้ำมันไปที่ศาลากลางจังหวัดหากทหารทำร้ายประชาชน และมีกรณีที่คนมาชุมนุมแล้วเสียชีวิตจะได้เงิน 1 แสน หรือผู้ชุมนุมที่ขับรถกลับบ้านแล้วประสบอุบัติเหตุ ก็มีคนเอาเงินไปให้ ข้อมูลเหล่านี้ก็ละเลยไม่ได้เช่นกัน
 
นายไชยา ยิ้มวิไล กรรมการ กล่าวว่า ที่มีเหตุใช้อาวุธ หรือมีระเบิดไม่ว่าในช่วงการชุมนุม หรือตอนนี้ ไม่เป็นธรรมที่จะผูกโยงไปที่ เสธ.แดงทุกเรื่อง และเห็นว่า อย่าออกซีดีนี้เด็ดขาด เพราะชี้นิ้วตัดสินไปที่คนเสื้อแดงอย่างเดียว ซึ่งไม่ยุติธรรม
 
พล.ต.อ.ยุทธนา ไทยภักดี ส.ว.สรรหา กล่าวว่า ไม่ควรนำซีดีนี้ออกอากาศ เพราะเอาเข้าจริงแล้ว ภาพถือปืนสไนเปอร์ กองทัพรู้ดีที่สุดว่า ใครมีศักยภาพยิงได้บ้าง ซึ่งมีไม่กี่คนต่อแต่ละหนึ่งหน่วยทหาร ถ้าจะไปกล่าวหาคนเสื้อแดง ตนคิดว่า คนเสื้อแดงไม่มีศักยภาพเพียงพอ หรืออาจมีแค่บางคนที่ไปฝึกมา แต่ตนคิดว่า ตั้งแต่กรณี 10 เมษายน แล้ว ทำไมทหารก็รู้ว่าค่ำมืด ใช้กำลังเข้าไปปฏิบัติการณ์ไม่ได้ แต่ก็ยังเข้าทำ ส่วนพล.อ.อ.อาคม กาญจนหิรัญ ส.ว.สรรหา กล่าวว่า อาวุธในการควบคุมการชุมนุมต้องทันต่อสถานการณ์ ตนสงสัยว่า การใช้กระสุนยาง ตกลงแล้วมีคนเสียชีวิตหรือไม่ เพราะไม่มีใครพูดถึงเลย ตอนปี 48 มีเหตุการณ์ที่ กองทัพจะใช้กระสุนยาง แต่พบว่า ยางเสื่อม ยางจึงแข็ง ถ้ายิงโดนคงเสียชีวิต ตอนนั้นกองทัพจึงจะจัดหาใหม่ อย่างไรก็ดี ขอร้องว่า อย่าไปกล่าวหาทหารว่าฆ่าประชาชน เพราะคนสั่งการคือรัฐบาล 
 
ด้าน พล.ท.อักษรา ชี้แจงว่า ในเวลากลางคืน จะไม่มีการใช้กำลังปฏิบัติการณ์อยู่แล้ว และกรณี 10 เมษายน ได้วิทยุสั่งการแล้ว แต่เหตุการณ์วันนั้นมันต่อเนื่อง การจะเอากำลังเข้ามาก็ต้องให้พร้อมเพื่อมั่นใจ จึงเริ่มปฏิบัติการณ์ตอนบ่าย ส่วนกรณีสาเหตุการตายทั้งหมดในเดือนเมษายน-พฤษภาคม กำลังรวบรวมสาเหตุอยู่ และจะส่งเอกสารมาให้ 
 
จากนั้น นายจิตติพจน์ กล่าวสรุปว่า ที่ประชุมมีมติว่า ศอฉ.ไม่ควรนำซีดีไปเผยแพร่ เพราะเป็นข้อมูลด้านเดียว แต่ต้องให้มีข้อเท็จจริงจากหลายฝ่าย ไม่เช่นนั้นจะยิ่งปลุกปั่นสร้างความเกลียดชัง นอกจากนี้ ขอเสนอให้รัฐบาลยกเลิกการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ให้เร็วที่สุด ซึ่งนายสมเกียรติ ศรีประเสริฐ รักษาการผู้เชี่ยวชาญความมั่นคงระหว่างประเทศ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวว่า จะนำข้อเสนอของ ส.ว.หารือใน ศอฉ.เพื่อยกเลิกการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในทุกจังหวัดให้เร็วที่สุด
 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

นักข่าวพลเมือง: "เอ็ม 16"พรึบ-รับ"เพื่อไทย"ปราศรัยศรีสะเกษ

Posted: 02 Aug 2010 01:00 PM PDT

เพื่อไทยปราศรัย จ.ศรีสะเกษ ด้านตำรวจ อ.ส. หน่วยปฏิบัติการพิเศษ สนธิกำลังหลายร้อยนายพร้อม "เอ็ม 16" รอบงาน อ้างมารักษาความสงบเรียบร้อย

 
ที่มาของภาพ: Sanamluang.tv
 
เมื่อวันที่ 2 ส.ค. ที่หอประชุมที่ว่าการ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ พรรคเพื่อไทยได้จัดเสวนาการเมืองเรื่อง “ประชาธิปไตยต้องไม่มี 2 มาตรฐาน” มีนายสุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีต รมว.คลัง นายพีรพันธุ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร ในฐานะฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย นายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วน นายธเนศ เครือรัตน์ ส.ส.ศรีสะเกษ ทำหน้าที่ผู้เสวนา โดย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วนและประธานส.ส.พรรคเพื่อไทย พร้อม ส.ส.และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.อีสานตอนล่างพรรคเพื่อไทยเข้าร่วมง ท่ามกลางประชาชนประมาณ 1 พันคน
 
โดยก่อนหน้านี้เมื่อ 30 ก.ค. พรรคเพื่อไทยได้เสวนาลักษณะนี้ที่ จ.ลำพูน (อ่านข่าวย้อนหลัง) ซึ่งเป็นพื้นที่ซึ่งไม่มีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเช่นเดียวกับที่ศรีสะเกษที่เพิ่งยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ อย่างไรก็ตามมีการสนธิกำลังระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบ อาสาสมัครรักษาดินแดน (อ.ส.) ตำรวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษ (นปพ.) สถานีตำรวจภูธร จ.ศรีสะเกษ ประมาณ 400 นายพร้อมอาวุธอาวุธสงครามทั้งปืนพกและปืนเอ็ม 16 ประจำกาย โดยวางกำลังอยู่รอบพื้นที่ปราศรัย โดยระบุว่าเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย และก่อนเริ่มเสวนาหน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิดยังได้นำสุนัขตำรวจค้นหาวัตถุต้องสงสัยบริเวณหอประชุมอย่างละเอียด
 
ทั้งนี้นักข่าวพลเมืองกลุ่ม "Sanamluang.tv" ได้บันทึกภาพเจ้าหน้าที่ตำรวจที่พกอาวุธสงครามดังกล่าว และเผยแพร่ในเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยภาพดังกล่าวเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก
 
โดยการเสวนาบนเวที กล่าวถึงเรื่องการใช้ทหารสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงเมื่อเมษายนและพฤษภาคมที่ผ่านมาจนทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก เรื่องกระบวนการยุติธรรมสองมาตรฐาน นอกจากนี้มีรายงานข่าวแจ้งว่าการจัดเสวนาดังกล่าว กลุ่ม ส.ส.ศรีสะเกษ พรรคเพื่อไทย ได้ทำหนังสือถึงนายกองเอก วิลาศ รุจิวิวัฒนพงศ์ ผู้ว่าราชการ จ.ศรีสะเกษ เพื่อขอใช้สถานที่ แต่นายกองเอกวิลาศไม่กล้าลงนามอนุญาต แต่นายกองเอกได้อาศัยช่วงที่ต้องเดินทางไปศึกษาดูงานร่วมกับคณะนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน แล้วมอบอำนาจให้รองผู้ว่าราชการจังหวัดรับหน้าแทน
 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

นักเรียน ม.5 ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่เชียงราย ถูกนัดเข้าบำบัดจิต

Posted: 02 Aug 2010 12:43 PM PDT

สถานพินิจฯ ชร.นัด นักเรียน ม.5 เข้าบำบัดจิต 16 - 17 ส.ค.นี้ หลังไปรายงานตัวคดีผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ กรณีชูป้าย “ผมเห็นคนตายที่ราชประสงค์” เจ้าตัวงงไปตรวจสภาพจิตผลยังไม่ออก ทำไมต้องเข้าบำบัด เผยแม่หนักใจคดีอาจยืดเยื่อ แต่ยันกำลังใจยังดี

วันนี้ (2 ส.ค.53) นายกอ (นามสมุติ) อายุ 16 ปี นักเรียนชั้น ม.5 โรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.เชียงราย ผู้ตกเป็น 1 ใน 5 ผู้ต้องหาคดีฝ่าฝืน พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ) กรณีชูป้าย “ผมเห็นคนตายที่ราชประสงค์” “นายกครับอย่าเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ นะครับ ไม่งั้นรัฐบาลจะพัง” และ “พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ต้องคงไว้เพื่อไม่ให้ความจริงปรากฏ” ในพื้นที่จังหวัดเชียงรายซึ่งยังมีการคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในพื้นที่อยู่ในขณะนี้ ได้เข้ารับการตรวจสภาพจิตกับเจ้าหน้าที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน จ.เชียงราย หลังจากที่ได้ไปรายงานตัวที่สถานพินิจฯ แล้วเมื่อวันที่ 30 ก.ค.ที่ผ่านมา
 
 
ภาพจาก  Danny Chiangrai
 
นายกอให้ข้อมูลว่า ในช่วงเช้าวันนี้ได้เข้าพบเจ้าหน้าที่สถานพินิจฯ เชียงราย และได้ใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมง ทำแบบทดสอบทางจิตวิทยา ซึ่งมีทั้งการตอบคำถาม ให้วาดรูป และให้นำภาพมาประกอบกัน ซึ่งคิดว่าเพื่อดูความมีเหตุมีผลในการคิดตัดสินใจ จากนั้นเมื่อได้ทำการคืนแบบทดสอบถาม เจ้าหน้าที่ก็ส่งใบนัดให้ไปบำบัดจิต ในวันที่ 16 - 17 ส.ค.นี้ตั้งแต่ 9.00 -16.00 น.ทั้งที่ยังไม่ได้ทำการตรวจแบบทดสอบที่ให้มาก่อนหน้านี้ ทำให้รู้สึกงงที่ต้องไปบำบัดทั้งที่ยังไม่ทราบผลการตรวจ นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังย้ำบอกให้มาตามนัดด้วย  
 
เขากล่าวด้วยว่า การที่ต้องไปให้ของมูลกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ผ่านมา ทำให้ต้องขาดเรียนบ่อยครั้ง และในครั้งนี้เจ้าหน้าที่สถานพินิจก็นัดในวันจันทร์-อังคาร ทำให้เกรงจะมีปัญหากับการเรียน อีกทั้งงานที่ต้องส่งอาจารย์มีมาก เนื่องจากขณะนี้ใกล้ปิดเทอมแล้ว ทั้งนี้ ที่ผ่านมาเมื่อต้องขาดเรียนจะมีเพื่อนๆ คอยเก็บงานไว้ให้ว่าจะต้องทำอะไร และจากคดีความที่เกิดขึ้นเจ้าตัวยืนยันว่าไม่มีผลกระทบต่อใดๆ ความสัมพันธ์กับเพื่อนและอาจารย์ที่โรงเรียน
 
นายกอเล่าถึงเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 16 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งได้ไปร่วมทำกิจกรรมกับนักศึกษาในจังหวัดเชียงรายอีก 4 จนกลายเป็นกรณีครึกโครมในขณะนี้ว่า เป็นการนัดกันผ่านทาง Facebook และวันที่ทำกิจกรรมก็เป็นการเจอหน้ากันครั้งแรก โดยได้ไปทำกิจกรรมชูป้ายกันที่ตลาดสดเทศบาล ที่หอนาฬิกาแห่งใหม่ซึ่งได้เดินไปจนถึงหอนาฬิกาเก่า ซึ่งก็มีคนผ่านไปยกนิ้วและยิ้มให้ จากนั้นก็ไปที่ทางขึ้นศาลากลางจังหวัดโดยยืนถ่ายรูปกันอยู่ราว 10 นาที ไม่คาดฝันว่าเหตุการณ์จะเป็นถึงขนาดนี้
 
 

 “ไม่รู้ว่าจะกลายเป็นเรื่องร้ายแรง เพราะคิดว่าเป็นการแสดงความเห็นทางการเมืองในพื้นที่ ไม่ได้ทำให้คนอื่นเดือดร้อน” นายกอกล่าว อีกทั้งยังบอกด้วยว่าตอนที่ทำกิจกรรมนั้นรู้สึกว่าตัวเองทำสิ่งที่ถูกต้อง แต่ตอนนี้เขาต้องกลับมาตั้งคำถามว่าได้ทำผิดจริงหรือไม่ ผิดอย่างไร? และข้อกล่าวหาที่ว่าทำให้เกิดความหวาดกลัวนั้นคือหวาดกลัวอะไร?

นายกอ เล่าต่อมาว่าช่วงแรกๆ ที่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นเขารู้สึกกลัว เพราะหลังทำกิจกรรมในวันที่ 16 ก.ค.ได้มีตำรวจมาหาที่บ้านถึง 2 ครั้งในวันเดียวกันเพื่อมาสอบถามและขอค้นข้อมูลในคอมพิวเตอร์ จากนั้นในวันจันท์ที่ 19 ก็มาที่บ้านอีกครั้งพร้อมกับหมายค้นและหมายเรียกผู้ต้องหา โดยได้ยึดเอาคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กของเขาไปด้วยโดยอ้างว่านำไปตรวจสอบข้อมูลซึ่งถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีการรายงานผลการตรวจสอบ และยังไม่มีการคืนคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก
 
ส่วนผลกระทบต่อครอบครัว นักเรียนชั้น ม.5 คนดังกล่าวเล่าว่าคุณแม่ของเขาเครียดจนกินไม่ได้นอนไม่หลับจากปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งก็ได้มีการพูดคุยกันว่าจะไปปรึกษาใคร จะทำอย่างไรกันดี เพราะนอกจากคดีความแล้วยังกลัวว่าจะส่งผลกระทบกับหน้าที่การงานของคุณพ่อ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ขู่ว่าถ้าไม่ให้ความร่วมมือพ่อซึ่งเป็นข้าราชการอาจโดนคำสั่งโยกย้าย และขณะนี้ก็เริ่มกลับมาเครียดอีกครั้งเนื่องจากเกรงว่าเรื่องจะยืดเยื้อต่อไปไม่ยอมจบ
 
เมื่อถามถึงกรณีที่มีการพูดว่าพวกเขาถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง นายกอกล่าวว่าคนที่พูดไม่มีสิทธิมากล่าวหาลอยๆ โดยไม่มีหลักฐานอะไร ส่วนคนเสื้อแดงที่ถูกหมายเรียกพร้อมๆ กันนั้นเป็นเพียงคนที่เคยพบกันและมีการขอชื่อเพื่อคุยกันผ่าน Facebook ไม่ได้มีการนัดแนะร่วมกันในการทำกิจกรรม ดังที่มีคนพยายามโยงใย
 
“เราไม่ใช่เครื่องมือ เพราะสิ่งที่ผมทำมันคือความเห็นของผมเอง” นายกอ กล่าว     
 
นายกอกล่าวด้วยว่า ขณะนี้เขามีกำลังที่ดีจากคนรอบข้างทั้งพ่อ-แม่ เพื่อนๆ พี่ๆ ที่ต่างบอกให้เขาสู้ต่อไป ส่วนคนอื่นๆ ที่ร่วมทำกิจกรรมด้วยกัน จากที่ผ่านมาได้เจอและได้พูดคุยถามไถ่ว่ากำลังใจยังดีอยู่ไหม คำตอบที่ได้คือกำลังใจยังดีกันทุกคน 
 
“ผมจะพูดตามความจริง ข้อกล่าวหาอะไรที่ไม่ใช่ความจริงจะปฏิเสธ" นักเรียนชั้น ม.5 กล่าวเมื่อถามถึงสิ่งที่เขาจะทำต่อไปในการต่อสู้กับข้อกล่าวหา ส่วนจะทำกิจกรรมอะไรต่อไปหรือไม่คงต้องรอให้มีการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินในพื้นที่เสียก่อน 
 
ทั้งนี้ จากกิจกรรมชูป้ายคัดค้าน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ นายกอและนักศึกษาอีก 4 คน ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.อ.เมือง จ.เชียงราย ตั้งข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ตามมาตรา 9 (1) และ (2) คือ ชุมนุมหรือมั่วสุมกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป หรือกระทำการใดอันเป็นการยุยง ให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย ประกาศกำหนด ร่วมกันเสนอข่าว ทำให้แพร่หลายซึ่งสิ่งพิมพ์หรือสิ่งอื่นใดที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชน เกิดความหวาดกลัว หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉิน จนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน มีโทษสูงสุดคือจำคุก 2 ปีและปรับไม่เกิน 20,000 บาท
 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

วิวาทะ แพทย์สภา - ผู้บริโภค ว่าด้วย พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ

Posted: 02 Aug 2010 07:33 AM PDT

หลังจากมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและเครือข่ายรวบรวมรายชื่อประชาชน 10,631 ชื่อ เพื่อเสนอ ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข พ.ศ. ... ให้รัฐสภาพิจารณา และใกล้เคียงกันนั้นคณะรัฐมนตรีก็เสนอร่างกฎหมายชื่อเดียวกันให้รัฐสภาพิจารณาอีก โดยมีเนื้อหาที่คล้ายกัน

แต่ว่าร่างกฎหมายฉบับนี้ มีเสียงคัดค้านจากฝ่ายบุคลากรด้านสาธารณสุข ทั้งแพทย์ พยาบาล บุคลากรของโรงพยาบาลต่างๆ รวมทั้งองค์กรวิชาชีพ อย่างเช่น แพทยสภา ออกมาแสดงความคิดเห็นคัดค้านกฎหมายฉบับนี้กันอย่างกว้างขวาง จนกระทั่งวันที่ 29 กรกฎาคม 2553 บุคลากรด้านสาธารณสุขทั่วประเทศได้นัดหมายแต่งชุดดำเพื่อประท้วงกฎหมายฉบับนี้

ข้อคิดเห็นต่อกฎหมายฉบับนี้ที่ผู้คนในสังคมขัดแย้งกันอยู่มีหลายประเด็น โดยประเด็นเด่นๆ ที่น่าสนใจที่ฝ่ายบุคลากรทางการแพทย์ยกขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ขณะที่องค์กรผู้บริโภคและเครือข่ายก็ได้ตอบเหตุผลไว้ค่อนข้างชัดเจนเช่นกัน มีดังนี้

 

ประเด็นขวัญกำลังใจของแพทย์

ฝ่ายบุคลากรทางการแพทย์เกรงว่าหากมีกฎหมายให้แพทย์ต้องรับผิดจากการวินิจฉัยโรค หรือการรักษาคนไข้ อาจส่งผลให้แพทย์เกิดความหวาดระแวงและกดดันในการให้บริการรักษาผู้ป่วย จนไม่มีกำลังใจในการทำงาน ขณะที่บุคลากรทางการแพทย์ก็ขาดแคลนอยู่แล้ว ยังอาจทำให้เด็กรุ่นใหม่ไม่อยากมาเป็นแพทย์ด้วย

ขณะที่ฝ่ายองค์กรผู้บริโภคเห็นว่า ร่างกฎหมายฉบับที่รัฐบาล เสนอเข้าสู่รัฐสภาไม่มีมาตราใดที่เปิดช่องให้ฟ้องแพทย์ หรือโรงพยาบาล หรือเจ้าหน้าที่อื่นในโรงพยาบาลเลย ตรงกันข้ามกลับจะช่วยแพทย์และโรงพยาบาลอย่างมาก เมื่อพิจารณามาตรา 45 ที่กำหนดว่า กรณีผู้ให้บริการถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีอาญา ฐานกระทำการโดยประมาท หากศาลเห็นว่าจำเลยกระทำผิด ศาลสามารถนำข้อเท็จจริงต่างๆ ของจำเลยเกี่ยวกับประวัติ พฤติการณ์แห่งคดี มาตรฐานทางวิชาชีพ การบรรเทาผลร้ายแห่งคดี การรู้สำนึกในความผิด การทำสัญญาประนีประนอมตามกฎหมาย มาพิจารณาประกอบ ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายทั่วไปกำหนดไว้เพียงใด หรือจะไม่ลงโทษเลยก็ได้ ซึ่งจะเห็นได้ว่าร่างกฎหมายดังกล่าว พยายามป้องกันปัญหาที่อาจ เกิดขึ้นในด้านต่างๆ อย่างรอบคอบ

 

ประเด็นองค์ประกอบของคณะกรรมการ

เนื่องจากตามร่างฉบับที่คณะรัฐมนตรีเสนอ กำหนดให้มีคณะกรรมการมาจากผู้แทนสถานพยาบาลจำนวน 3 คน จากคณะกรรมการทั้งหมด 18 คน ซึ่งประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิสาขาอื่นๆ อีกถึง 5 คน ซึ่งทางฝ่ายบุคลากรทางการแพทย์เห็นว่าน้อยเกินไปที่จะพิจารณาในเรื่องเกี่ยวกับเทคนิคการรักษาโรค

ในประเด็นนี้ฝ่ายองค์กรผู้บริโภคเห็นว่า จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ผู้ประกอบวิชาชีพเป็นอุปสรรคในการพิจารณาความเสียหายและทำให้ผู้เสียหายไม่ได้รับการช่วยเหลือเบื้องต้นตามสิทธิ และความเห็นที่แตกต่างในประเด็นนี้ก็สามารถไปถกเถียงกันในขั้นตอนพิจารณาของรัฐสภาได้ ไม่มีความจำเป็นต้องเรียกร้องให้คว่ำกฎหมายทั้งฉบับ

 

ประเด็นที่มาของเงินกองทุน

บุคลากรทางการแพทย์จำนวนมาก เป็นห่วงว่า การให้สถานพยาบาลมีส่วนจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุน ในส่วนของสถานพยาบาลเอกชนขนาดเล็กจะกระทบมาก อาจถึงขั้นต้องปิดกิจการ ส่วนในระดับสถานพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ อาจส่งผลให้ค่ารักษาพยาบาลแพงขึ้น ส่วนสถานพยาบาลของรัฐนั้น เดิมก็ประสบปัญหาขาดทุนอยู่แล้ว เกรงว่าจะขาดทุนหนักขึ้นไปอีก ส่งผลกระทบต่อคุณภาพของการรักษาพยาบาล และงบประมาณของประเทศในระยะยาว

ในส่วนผลกระทบต่อสถานพยาบาลของรัฐนั้น ทางฝ่ายผู้เสนอกฎหมายเห็นว่า ถ้าเป็นสถานพยาบาลพยาบาลของรัฐ ก็คงไม่มีปัญหาอะไร เพราะต้องขอรับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลซึ่งมาจากภาษีของประชาชนอยู่แล้ว ส่วนสถานพยาบาลเอกชนนั้นน่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า เพราะเมื่อมีกองทุนนี้แล้ว โรงพยาบาลเอกชนสามารถลดเงินที่ต้องจ่ายเพื่อทำประกันการให้บริการได้ และในปัจจุบันค่ารักษาพยาบาลของเอกชนก็สูงมากพอที่จะเจียดมาจ่ายสมทบกองทุนได้ไม่ยาก นอกจากนี้ยังมองในทางเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขได้ว่าเป็นการเปลี่ยนจากการรับภาระความเสี่ยงเป็นรายครั้ง ซึ่งมีมูลค่าสูงต่อครั้ง เปลี่ยนมาเป็นการเฉลี่ยความเสี่ยงของทั้งระบบ โดยการจ่ายเบี้ยสมทบแบบอัตราเฉลี่ยต่อคน จึงเป็นการเปลี่ยนรูปแบบการระดมทุนเท่านั้น

ทางฝ่ายองค์กรผู้บริโภค และเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ ผู้เสนอกฎหมายนั้น ชัดเจนว่าต้องการผลักดันให้มีระบบเยียวยาผู้เสียหาย ในรูปแบบกองทุน ที่สามารถจ่ายเงินเยียวยาเบื้องต้นได้อย่างรวดเร็ว ทันต่อความเสียหาย ซึ่งเป็นหัวใจหลักของกฎหมายฉบับนี้ ไม่ได้เพ่งโทษที่ตัวบุคคล (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)

ขณะที่บุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งส่งเสียงสะท้อนจากผู้ปฏิบัติงานออกมา ยังชี้ให้เห็นปัญหาในทางปฏิบัติที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายฉบับนี้อีกหลายประเด็น เช่น กฎหมายนี้อาจมีส่วนทำให้ผู้ป่วยต้องเผชิญกับค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้น ขณะที่คุณภาพในการรักษาลดลง มีกระบวนการขั้นตอนที่ชักช้า บุคลากรทางการแพทย์ทำงานมีประสิทธิภาพลดลง ต้องมีภาระมารายงานพัฒนาคุณภาพ และอาจกลัวว่าจะรักษาผิดมาตรฐาน ต้องใช้เครื่องมือและงบประมาณในการวินิจฉัยโรคมาก ต้องส่งผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลใหญ่ๆ เท่านั้น เป็นการสร้างภาระให้กับผู้ปฏิบัติงานที่ขาดแคลนอยู่แล้วมากเกินสมควร จนส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยเอง (อ่านรายละเีอียดเพิ่มเติม)

 

ข้อเสนอในปัจจุบันของกลุ่มคนที่คัดค้านนั้น เห็นว่า รัฐบาลควรถอนร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข พ.ศ....ออกมาชั่วคราวก่อน เพื่อพิจารณารายละเอียดของร่างพระราชบัญญัติให้เหมาะสม ลดความขัดแย้งในสังคม แล้วค่อยส่งให้รัฐสภาพิจารณาใหม่

ส่วนทางด้านภาคประชาชนที่เสนอกฎหมายฉบับนี้ เรียกร้องว่า ขอเสนอร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้เข้าสู่การพิจารณาก่อน และให้ทุกฝ่ายเข้าไปพูดคุยถกเถียงกันตามขั้นตอนในรัฐสภา ซึ่งคงต้องใช้เวลาอีกนานมากกว่าหลักการเหล่านี้จะได้รับการยอมรับจริงๆ

 

หมายเหตุ:

ร่างกฎหมายโดย มพบ.http://ilaw.or.th/sites/default/files/ผู้เสียหายสาธารณสุข.pdf 

ร่างกฎหมายโดย ครม.http://ilaw.or.th/sites/default/files/ผู้เสียหายสาธารณสุข%20(ครม.).pdf

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ตู้สีแดง

Posted: 02 Aug 2010 06:38 AM PDT

 
* หมายเหตุผู้แปล: 'ตู้' ในที่นี้ มาจากสำนวนภาษาอังกฤษ in the closet แปลว่า แอบซ่อนตัวตนที่เป็นคนรักเพศเดียวกัน
 
คนรักเพศเดียวกัน คนรักสองเพศและคนข้ามเพศ (LGBT) ในหลายประเทศต้องถูกกวาดล้างจากทางการและยังถูกรังเกียจและเลือกปฏิบัติจากสังคมโดยรวม ทำให้หลายๆ คนต้องปกปิดตัวตนหรือเปิดเผยตนเองแต่เฉพาะในวงลับ เหตุการณ์คล้ายๆ กันก็กำลังเกิดขึ้นกับเมืองไทยในตอนนี้ ต่างกันตรงที่ว่าสาเหตุของการถูกข่มเหงไม่ใช่เพราะเพศที่แตกต่าง แต่กลับเป็นความเห็นทางการเมือง 
 
ในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ กลุ่มคนเสื้อแดงได้เปลี่ยนจากขบวนการทางการเมืองที่หยุดไม่อยู่ กลายเป็นกลุ่มชายขอบที่ต้อง “แอบในตู้” หลังจากที่ผู้ประท้วงเสื้อแดงถูกล้อมปราบและอาคารสำคัญหลายแห่งถูกเผาทำลายในกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 19 พ.ค. คนเสื้อแดงได้กลายเป็นผู้ถูกสังคมรังเกียจเหยียดหยาม และถูกเหมารวมภายใต้ข้อกล่าวหาว่าเป็นนักวางเพลิง ผู้ก่อการร้าย คนขายชาติ และพวกล้มเจ้า หลายคนต้องปกปิดความเป็นคนเสื้อแดงของตนและใช้ชีวิตแบบตีสองหน้า (ซึ่งคล้ายกันอย่างไม่น่าเชื่อกับเกย์และเลสเบี้ยนชาวไทยจำนวนมาก) นั่นคือ พวกเขาเป็นตัวของตัวเองได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในกลุ่มพวกเดียวกัน แต่เมื่ออยู่กับสังคมส่วนใหญ่ พวกเขาต้องปิดบังตนเอง เพื่อไม่ให้กระทบต่อความสัมพันธ์กับผู้อื่นและหน้าที่การงาน 
 
ยิ่งไปกว่านั้น การคุกคามของภาครัฐที่มีต่อคนเสื้อแดงยังลามไปถึงโลกไซเบอร์ เว็บไซต์ของชาวเสื้อแดงจำนวนนับไม่ถ้วนได้ถูกบล็อคอย่างถ้วนหน้า เพื่อนของผมคนหนึ่งที่เรียกตัวเองว่าเรดส์เบี้ยน (เรด+เลสเบี้ยน) บอกว่าตอนนี้การเปิดเผยตัวเองว่าเป็นคนรักเพศเดียวกันนั้นง่ายกว่าการ “ออกจากตู้” มาบอกใครๆ ว่าตนเองเป็นคนเสื้อแดงเสียอีก สถานการณ์นั้นย่ำแย่ถึงขนาดที่ว่าเธอถูกโจมตีและดูถูกแม้แต่กระทั่งในเว็บบอร์ด LGBT ที่เธอสร้างขึ้นมากับมือ!
 
 
ผมไม่ได้เป็นทั้งฝ่ายเสื้อแดงหรือฝ่ายต่อต้านเสื้อแดง แม้ว่าตัวเองจะมีเหตุผลที่จะไม่พอใจต่อการกระทำของคนเสื้อแดงอยู่ไม่น้อย เมื่องานเชียงใหม่เกย์ไพรด์ปีที่แล้ว ผมก็เป็นหนึ่งในบรรดานักกิจกรรมที่ถูกโจมตีจากกลุ่มคนเสื้อแดงที่นั่น (นำโดยแกนนำที่กำลังถูกรัฐบาลตามล่าตัวอยู่ในตอนนี้) นอกจากนี้ ผมยังเผชิญกับความอกสั่นขวัญหายในขณะที่พยายามจะช่วยเหลือเพื่อนสนิทที่ติดอยู่ในที่อาศัยย่านราชปรารภออกมาจากบริเวณที่มีการต่อสู้กันอย่างหนัก ไม่เพียงเท่านั้น ผมยังมีเพื่อนหลายคนที่สูญเสียโอกาสในการทำมาหากินในบริเวณสีลมติดต่อกันเป็นเวลานานนับเดือนอีกด้วย
 
แน่นอนว่าคนเสื้อแดงที่ทำผิดกฎหมายสมควรถูกลงโทษตามกระบวนการยุติธรรม แต่กระนั้น การที่ผมโตมาในต่างจังหวัดและยังอาศัยอยู่ในต่างจังหวัดก็ทำให้ผมรู้จักคนเสื้อแดงหลายคน และเข้าใจว่าทำไมพวกเขาจึงต้องประท้วง ตลอดชีวิตของพวกเขาแทบไม่ได้เห็นความเป็นอยู่ของตนดีขึ้นเลย ในขณะที่แรงงานและทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่กลับถูกถ่ายเทไปสร้างความมั่งคั่งในกรุงเทพฯ
 
แม้ว่าอดีตนายกทักษิณจะไม่ได้แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำที่ฝังรากลึกในโครงสร้างของประเทศ แต่คนคดโกงอย่างเขากลับทำให้คนรากหญ้าได้มีโอกาสเห็นว่าเสียงเลือกตั้งของตนหนึ่งเสียงมีพลังที่อาจทำให้เกิดความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจและสังคมได้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง สิ่งที่เกิดขึ้นที่มีความสำคัญกว่าผลทางวัตถุอันไม่จีรังจากนโยบายประชานิยม คือการที่พวกเขาได้ตื่นขึ้นและระลึกได้ว่าที่ผ่านมาพวกเขาถูกปฏิบัติอย่างพลเมืองชั้นสอง หรือที่เรียกว่า “ไพร่” นับวันภาพความเป็นผู้นำของทักษิณจึงยิ่งจางลง และถูกแทนที่ด้วยภาพของทักษิณในฐานะคนหัวอกเดียวกันที่ตกเป็นเหยื่อรายหนึ่งของระบอบอันไม่ชอบธรรม ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเดียว คือการต่อต้านความเปลี่ยนแปลงและรักษาผลประโยชน์ของอภิสิทธิชนที่ได้เปรียบทางสังคมเหนือคนส่วนใหญ่ หรือ “อำมาตย์”
 
การถูกปฏิบัติเหมือนเป็นพลเมืองชั้นสองเป็นสิ่งที่ชาว LGBT รวมไปถึงผู้หญิง ชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์และศาสนา คนพิการและคนชายขอบอื่นๆ คุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว แม้ว่าจนถึงบัดนี้กลุ่มคนเสื้อแดงอาจไม่ได้มีท่าทีเป็นมิตรต่อ LGBT เท่าใดนัก แต่ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่พวกเราจะไม่สามารถขานรับต่อขบวนการของคนเสื้อแดงได้ เพราะโดยใจความสำคัญแล้ว การต่อสู้ของคนเสื้อแดงก็ไม่ต่างอะไรกับการต่อสู้ของพวกเรา
 
สิ่งที่น่าตกใจสำหรับผม คือการที่พวกเราถูกขอให้ “ให้อภัยและลืม” อย่างรวดเร็วเพื่อให้ทุกอย่างดำเนินต่อไปอย่างไม่สะดุด เสียงเซ็งแซ่เรียกร้องหา “ความปรองดอง” (ในขณะที่การคุกคามต่อเสียงที่แสดงความคิดเห็นแตกต่างยังคงดำเนินต่อไป) แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงการที่สังคมไทยชอบการแต่งแผลแก้ตามอาการไปวันๆ มากกว่าการรักษาต้นเหตุของโรค
 
จริงหรือที่ว่าสิ่งที่สังคมไทยปัจจุบันต้องการคือความสามัคคีอันฉาบฉวยในขณะที่ปล่อยความคับข้องใจต่างๆ ให้คุกรุ่นอยู่ภายใน โดยส่วนตัวผมอยากจะขอแย้งว่าความเท่าเทียมเป็นธรรมและความยุติธรรมต่างหาก ที่จะสร้างความสมานฉันท์และสันติสุขได้อย่างยั่งยืนไม่ใช่สักแต่จะสามัคคีกันอย่างไม่ลืมหูลืมตา
 
เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ในตอนนี้การถกเถียงประเด็นสำคัญเหล่านี้กลายเป็นสิ่งต้องห้ามไปเสียแล้ว ความหลากหลายทางความคิดเห็นการเมืองกลับถูกมองว่าเป็นปัญหา ถึงแม้ว่าจะได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ (อย่างน้อยก็ในทางทฤษฎี)
 
แน่นอนว่าหากดูจากการกระทำของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ผ่านมา ก็อาจมีความเป็นไปได้ที่ว่าเมื่อพวกเขาได้โอกาสขึ้นมามีอำนาจ พวกเขาจะใช้เผด็จการเสียงข้างมากละเมิดสิทธิของคนกลุ่มน้อยกลุ่มต่างๆ รวมทั้งคนกลุ่มน้อยทางเพศเสียเอง แต่นั่นก็ยิ่งเป็นเหตุผลที่เราต้องเรียกร้องให้ประเทศไทยเคารพต่อเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมอย่างสันติ อย่างที่สังคมประชาธิปไตยทั้งหลายพึงมี
 
คำถามสำคัญก็คือ ถ้าแม้แต่ขบวนการมวลชนขนาดใหญ่ยังไม่สามารถเรียกร้องความยุติธรรมได้ แล้วกลุ่มคนส่วนน้อยในสังคมจะมีโอกาสได้รับความยุติธรรมได้อย่างไร
 
 
ที่มา: แปลจากบทความ The ‘Red Closet’
ตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์ The Nation วันที่ 1 มิ.ย.2553 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 26 ก.ค. - 1 ส.ค. 2553

Posted: 01 Aug 2010 03:03 PM PDT

โวยนโยบายแรงงานห่วย เอกชนแนะมาร์คนำเข้าแรงงานข้ามชาติรับวิกฤติขาดแคลน

นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สายงานโลจิสติกส์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยครึ่งปีแรกขยายตัวดีขึ้น โดยเฉพาะภาคส่งออกปรับเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 36% เมื่อเทียบจากครึ่งปีแรกปี 2551 ติดลบ 25% ดังนั้นจึงทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้มีการประเมินว่าเศรษฐกิจไทยทั้งปี 2553 จะเติบโตได้ดีขึ้น น่าจะอยู่ที่ 6-7% เนื่องจากเห็นว่าแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจครึ่งปีแรกดีกว่าประเมินไว้มาก ซึ่งน่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนได้ดีต่อเนื่องไปถึงครึ่งปีหลัง ประกอบกับเศรษฐกิจโลกก็ปรับดีขึ้น น่าจะช่วยให้การส่งออกโตได้ดีต่อเนื่อง บวกกับการเมืองช่วงที่ผ่านมาก็กระทบเศรษฐกิจจำกัด จึงมั่นใจว่าภาพรวมเศรษฐกิจทั้งปีจะเติบโตได้ดีขึ้น ขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจในปี 2554 จะปรับตัวดีขึ้นหรือไม่ คงต้องติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจของยุโรปว่าจะเป็นอย่างไร จะฟื้นตัวได้

ประกอบกับเศรษฐกิจภายในประเทศปรับตัวดีขึ้น ถึงแม้ว่าจะผ่านพ้นจากเหตุการณ์ทางการเมืองไม่สงบในช่วงเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังมีความแข็งแกร่ง และไม่ส่งผลกระทบต่อปัจจัยภายในให้แย่ลงตามที่นักลงทุนต่างชาติคาดการณ์ก่อนหน้านี้ ดังนั้นจึงทำให้นักลงทุนยังคงมีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจไทยว่ายังเดินหน้าไปอย่างราบรื่น แต่นักลงทุนกังวลปัญหามาบตาพุด ที่รัฐบาลยังไม่มีความชัดเจน ภาคเอกชนเองก็ต้องการให้เร่งออกประกาศประเภทกิจการรุนแรง ตามที่คณะกรรมการ 4 ฝ่ายเสนอบอร์ดสิ่งแวดล้อมกำหนดไว้ 18 ประเภทกิจการ แต่บอร์ดสิ่งแวดล้อมได้ให้มีการศึกษาเพิ่มเติมอีก 2 เดือน เชื่อว่าอาจจะล่าช้าออกไปอีก และยังมีความเสี่ยงต่อการลงทุนของต่างชาติ

นายธนิต กล่าวถึงความคืบหน้าสถานการณ์การขาดแรงงานภาคอุตสาหกรรมพบว่า การแก้ปัญหาของรัฐบาลในเรื่องแรงงานยังไม่มีความคืบหน้า จึงส่งผลทำให้ภาคอุตสาหกรรมต้องเดือดร้อนในการหาแรงงาน ล่าสุดกำลังต้องการแรงงานประมาณ 4-5 แสนคน โดยอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ อุตสาหกรรมไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมสิ่งทอ และอุตสาหกรรมอาหาร เป็นต้น อุตสาหกรรมดังกล่าวถือว่ามีความจำเป็นทางด้านแรงงานอย่างหนัก

ดังนั้นรัฐบาลคงต้องยอมรับว่าประเทศไทยก็ต้องหันมานำเข้าภาคแรงงาน เพื่อที่จะช่วยบรรเทาความเดือนร้อนของภาคอุตสาหกรรม และเป็นการต่อยอดกระบวนการผลิตให้สามารถขับเคลื่อนไปได้

“ขณะที่การนำเข้าภาคแรงงานเข้ามานั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่ มีทั้งข้อดีและข้อเสียตามมา ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลจะมีการบริหการจัดการและมีการควบคุมให้อย่างรัดกุม เพราะหลายประเทศก็มีการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เพื่อที่จะให้มีแรงงานเพียงพอต่อความต้องการในภาคอุตสาหกรรม ขณะนี้อุปกรณ์ทางด้านเทคโนโลยียังไม่สามารถเข้ามาในระบบมากพอ จึงจำเป็นต้องอาศัยแรงงานเป็นหลัก หรือบางอุตสาหกรรมจะต้องใช้ฝีมือแรงงานอย่างแท้จริง ประกอบกับเพื่อทดแทนการรอเครื่องไฮเทคโนโลยี เราก็ต้องใช้แรงงานเป็นหลักก่อนอยู่ดี” นายธนิต กล่าว     

นายธนิต กล่าวว่า ขณะนี้มีนักลงทุนต่างชาติที่ลงทุนในไทยเข้ามาสอบถามเกี่ยวกับความชัดเจนในการแก้ปัญหาการลงทุนในพื้นที่มาบตาพุดเป็นจำนวนมาก โดยอยากให้เกิดความชัดเจนและจบโดยเร็วที่สุด เพราะมีภาระการเงินเกิดขึ้นเนื่องจากมีบางโครงการจำเป็นที่ต้องเริ่มดำเนินการผลิตเพื่อให้ทันต่อความต้องการใช้ในอนาคต และอยากให้ภายใน 2 เดือนนี้มีความชัดเจนเกิดขึ้นจริง เพราะถ้ามีความชัดเจนเกิดขึ้นก็จะเป็นปัจจัยบวกต่อการลงทุน แต่ถ้ายังไม่ชัดเจนก็ห่วงว่าจะกระทบต่อความเชื่อมั่นในการลงทุนในอีก 1-2 ปีข้างหน้าได้

ทั้งนี้ การปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทำให้ส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากแคบลง และยังมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้อีกรอบเพราะธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีความกังวลเรื่องอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งอาจกระทบต่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอีบ้าง แต่ถ้ายอดขายและภาวะเศรษฐกิจโลกปรับตัวดีขึ้นน่าจะช่วยชดเชยอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นได้ โดยปัจจัยที่ผู้ประกอบการยังคงมีความกังวลเรื่องความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลก หลังจากประเทศต่างๆ ลดแผนในการกระตุ้นเศรษฐกิจ

สำหรับกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาเตือนผู้ประกอบการส่งออกให้ระวังเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นนั้น ถ้าค่าเงินบาทของไทยแข็งค่าขึ้นอยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้านก็คงไม่กังวลมากนัก ผู้ประกอบการยังพอรับมือไหว ปัจจุบันค่าเงินบาทของไทยแข็งค่ากว่าเพื่อนบ้านประมาณ 2-3% ธปท.ควรดูแลอัตราแลกเปลี่ยนให้มีเสถียรภาพและไม่ควรต่ำกว่าระดับ 32 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ส่วนผู้ประกอบการเองก็ควรทำประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนไว้ด้วย

(บ้านเมือง, 26-7-2553)

สหภาพ กสทฯเตรียมยื่นบอร์ดค้านทีวีดาวเทียมหวั่นโดนกลุ่มสามารถดูดเงิน 3,000 ล้านบาท

นายสุขุม ชื่นมะนา ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บริษัทกสท โทรคมนาคม เปิดเผยว่าสหภาพเตรียมยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการ (บอร์ด) ที่มีนายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ เป็นประธาน คัดค้านการทำธุรกิจทีวีดาวเทียมของ กสทฯที่จะร่วมมือกับบริษัท สามารถ คอร์ปอเรชั่น ทำให้ กสทฯ ต้องเสียเปรียบเอกชนมากกว่า 3,000 ล้านบาท

สาเหตุเนื่องจากตามข้อเสนอของทางสามารถฯ นั้นจะเป็นผู้ติดตั้งจานดาวเทียม 3 ล้านครัวเรือนภายในระยะเวลา 2 ปี โดยจะเรียกเก็บค่าบริการเดือนละ 499 บาท แต่กสทฯ ต้องจ่ายเงินค่าติดตั้งให้กับสามารถฯ จานละ 1,100 บาท ทันทีที่เซ็นสัญญาความร่วมมือกัน ในสัญญา กสทฯ จะทำหน้าที่เจรจากับพันธมิตรผู้ให้บริการเนื้อหาข้อมูล (คอนเทนต์ โพรวายเดอร์) ซึ่งจะต้องจ่ายส่วนแบ่งรายได้ที่ได้รับมาให้กับทางสามารถฯ อีก ส่งผลให้ กสทฯ เสียเปรียบอย่างมากเพราะจะมีรายได้จากการส่งและรับสัญญาณ (อัพลิงก์-ดาวน์ลิงก์) เท่านั้น

นายสุขุม กล่าวว่า ก่อนหน้านี้สหภาพได้เคยยื่นหนังสือคัดค้านกับทางบอร์ดชุดที่แล้ว แต่นายนัทีเปรมรัศมี ได้ลาออกจากประธานบอร์ด ทำให้ต้องเปลี่ยนบอร์ดใหม่แต่สหภาพจะไม่หยุดคัดค้านในเรื่องนี้ เพราะไม่ต้องการให้ กสทฯ เสียเปรียบเอกชนไปมากกว่านี้

รวมทั้งคัดค้านโครงการสร้างสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ 8 ชั้น มูลค่า2,700 ล้านบาท เนื่องจากตรวจสอบพบว่ามูลค่าโครงการจริงๆ เพียง2,100 ล้านบาท และเห็นว่าการสร้างอาคารแห่งใหม่ไม่จำเป็นในขณะนี้ สถานะการเงินของ กสทฯกำลังมีปัญหา เพราะอาคารที่บางรักยังใช้ประโยชน์ไม่คุ้มค่า

ขณะที่โครงการซื้อบริษัท ฮัทชิสัน ซีเอที ไวร์เลส มัลติมีเดีย หรือฮัทช์ มูลค่า7,200 ล้านบาท และโครงการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงผ่านสายไฟเบอร์ หรือเอฟทีทีเอกซ์มูลค่า 6,000 ล้านบาทนั้นสหภาพต้องการให้เดินหน้าต่อ เพราะถือเป็นธุรกิจใหม่ที่จะช่วยสร้างรายได้ในอนาคต หลังสัญญาสัมปทานเอกชนหมดลง แม้นายจุติ ไกรฤกษ์รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ต้องการให้ราคาต่ำกว่านี้ก็ตาม
นายจิรายุทธ รุ่งศรีทอง กรรมการผู้จัดการใหญ่ กสทฯ กล่าวว่าขณะนี้โครงการซื้อฮัทช์ยังอยู่ในขั้นตอนอัยการสูงสุดตรวจสอบสัญญาการซื้อ-ขาย ส่วนโครงการเอฟทีทีเอกซ์อยู่ในกระบวนการชี้แจงแผนธุรกิจให้ทางสำนักงาน

(โพสต์ทูเดย์, 26-7-2553)        

ก.อุตสาหกรรมสั่ง BOI ถกเอกชน ยุติปัญหาแรงงานข้ามชาติ

นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ไปหารือกับภาคเอกชนที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอถึงความจำเป็นในการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวเข้ามาเป็นรายๆ เพื่อนำกลับเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบอร์ดบีโอไอ ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานอีกครั้ง หลังจากที่ก่อนหน้านี้บอร์ดได้สั่งตีกลับมาศึกษาเพิ่มเติมเนื่องจากหากเปิดเป็นการทั่วไปจะกระทบต่อปัญหาสังคม

“คงจะต้องดูเป็นรายๆ และจำเป็นจริงๆ เพราะไม่เช่นนั้นจะเกิดปัญหาได้เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและขัดต่อนโยบายการส่งเสริมการลงทุนที่กำหนดไว้เพื่อก่อให้เกิดการจ้างงานของไทยและการนำเข้ามาคงจะต้องดูว่าแรงงานไทยไม่ขาดแคลนจริงเป็นสำคัญ และเมื่อมีการพัฒนาคนในประเทศได้ก็จะต้องยกเลิก” นายชัยวุฒิ กล่าว

นางอรรชกา สีบุญเรือง เลขาธิการบีโอไอ กล่าวว่า การนำเข้าแรงงานต่างด้าวคงจะต้องคำนึงถึงข้อเท็จจริงและจำเป็นมากน้อยเพียงใดเป็นสำคัญและคงจะต้องกำหนดเงื่อนไขโดยเฉพาะระยะเวลาที่ท้ายสุดจะต้องใช้แรงงานไทยเพื่อไม่ให้ขัดกับนโยบายการส่งเสริมการลงทุน ซึ่งขณะนี้บีโอไออยู่ระหว่างการหารือกับผู้ประกอบการเพื่อที่จะเสนอไปยังบอร์ดบีโอไอเร็วๆ นี้อีกครั้ง เพื่อการตัดสินใจขั้นสุดท้าย
     
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาธุรกิจไทย-พม่า กล่าวว่า ส.อ.ท.จะนำคณะนักธุรกิจไทยไปเยือนพม่าอย่างเป็นทางการเดือน ก.ย.นี้ เพื่อที่จะศึกษาแนวทางการพัฒนาพื้นที่การลงทุนที่พม่าเสนอให้มีการจัดตั้ง เมืองคู่แฝด (sister cities) ระหว่างแม่สอด จ.ตากกับเมืองเมียวดี และกาญจนบุรีกับเมืองทวาย

(บ้านเมือง, 27-7-2553)

จัดหางานนครสวรรค์เตือนแรงงานข้ามชาติ ยกเลิกวีซ่ากรณีไม่แจ้งขอทำงานภายใน 30 วัน

นายนรา รัตนรุจ จัดหางานจังหวัดนครสวรรค์ แจ้งว่า ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2553 กำหนดการขยายระยะเวลาการพิสูจน์สัญชาติและการผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าว อยู่ในราชอาณาจักร เพื่อให้สามารถอยู่ในประเทศไทยและทำงานได้ชั่วคราวจนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2555 โดยแรงงานต่างด้าวต้องขอรับการพิสูจน์สัญชาติและต้องเข้ารับการพิสูจน์สัญชาติให้แล้วเสร็จตามวัน เวลาที่กำหนดให้เดินทางไปพิสูจน์สัญชาติทั้งนี้ต้องไม่เกินวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2555 นั้น

นายนรา กล่าวต่อว่า หากไม่มีการแจ้งขออนุญาตทำงานภายใน 30 วัน นับตั้งแต่แรงงานต่างด้าวได้รับหนังสือเดินทางชั่วคราว(Temporary  Passport) และได้รับการประทับตราอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร ทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองสามารถพิจารณายกเลิกวีซ่าการพำนักอาศัยอยู่ในราชอาณาจักรไทยได้ สอบถามรายละเอียดได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดนครสวรรค์ เลขที่ 909 หมู่ที่ 7 ต.หนองปลิง อ.เมืองนครสวรรค์ โทร. 0-5625-7036-7 ในวันและเวลาราชการ

(เดลินิวส์, 27-7-2553)

กองวิจัยตลาตแรงงานชี้ "ภาคเกษตร-ประมง" ต้องการแรงงานมากที่สุด ชี้บัณฑิต "สังคมศาสตร์-รัฐศาสตร์" ตกงานมากที่สุด

นายบุญเลิศ ธีระตระกูล ผู้อำนวยการกองวิจัยตลาดแรงงานกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า แนวโน้มความต้องการแรงงานของไทยปี 2553-2557 ในแต่ละประเภทกิจการ พบว่า 3 อันดับแรก คือกิจการด้านการเกษตร การค้าปลีกโรงแรมและภัตตาคาร ส่งผลให้อาชีพที่จะมีความต้องการแรงงานมากที่สุด คือ อาชีพผู้ปฏิบัติงานที่มีฝีมือด้านเกษตรและประมงพนักงานขาย และพนักงานบริการ

นายบุญเลิศ กล่าวว่า แรงงานไทยส่วนใหญ่กว่า 70% จบไม่เกินชั้นมัธยมต้น จึงมีความรู้น้อย ขาดทักษะฝีมือ ส่งผลให้ได้รับค่าจ้างน้อยมาก เฉลี่ยไม่เกิน 5,000 บาท

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบัณฑิตที่จบการศึกษาสายวิชาการ เช่น รัฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ จิตวิทยาต้องตกงานเป็นจำนวนมาก เมื่อเทียบกับสายวิชาชีพ เพราะไม่มีความรู้ในการประกอบกิจการด้วยตัวเอง

(โพสต์ทูเดย์, 27-7-2553)

จับแรงงานข้ามชาติหนีเข้าเมือง อ้างปิดด่านหากินลำบาก ระบุเสียค่าหัวคิว 6,000

เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 27 ก.ค. พ.อ.โอฬาร หาญสุรภานนท์ รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน จ.กำแพงเพชร ได้รับรายงานจาก จ.ส.อ.เจริญ พิบูรณ์ ประจำกองบังคับการกรมทหารพรานที่ 35 อ.คลองลาน จ.กำแพงเพชร ชุดจุดตรวจบ้านหนองแดน อ.โกสัมพีนคร จ.กำแพงเพชรว่า สามารถจับกุมแรงงานต่างด้าวได้จำนวน 17 คน เป็นชาย 13 คน และหญิง 4 คน นำตัวมาทำบันทึกจับกุมที่ที่ว่าการอำเภอโกสัมพีนคร

จากการตรวจสอบพบว่า ผู้ที่หลบหนีเข้าเมืองทั้งหมดเป็นชาวพม่า สอบถาม นายอิสลาม ซึ่งพูดภาษาไทยได้บ้างเปิดเผยว่า พวกตนเดินทางมาจาก อ.แม่สอด จ.ตาก ผ่านเข้ามาทางบ้านอุ้มเปี้ยม ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค. ที่ผ่านมา โดยเสียค่าหัวเป็นเงินไทยคนละ 6,000 บาท ให้คนนำทางซึ่งเป็นคนพม่าด้วยกัน แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องพาไปส่งให้ถึงที่ทำงานแล้วรับเงินจากนายจ้าง ซึ่งเมื่อเดินเท้ามาถึง หมู่ที่ 6 ต.โกสัมพี อ.โกสัมพีนคร จ.กำแพงเพชร จึงแวะในป่าละเมาะ เพื่อรอให้รถมารับไปทำงานใน จ.กำแพงเพชรและกรุงเทพ แต่ถูกทหารพรานจับตัวได้เสียก่อน ส่วนสาเหตุที่ต้องหลบหนีเข้ามาหางานทำในประเทศไทย เพราะหลังจากที่ทางการพม่าสั่งปิดด่านชายแดนที่ อ.แม่สอด จ.ตาก ทำให้พวกตนไม่มีงานทำ ทั้งนี้บางคนเคยทำงานในโรงงานที่กรุงเทพ และในไร่อ้อยที่ จ.กำแพงเพชร ซึ่งมีรายได้ดี

ด้าน จ.ส.อ.เจริญ เปิดเผยว่า เส้นทางนี้มีชาวต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองเป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงที่พม่าสั่งปิดด่านชายแดนที่ อ.แม่สอด จ.ตาก ทำให้ยิ่งมีแรงงานเถื่อนทะลักเข้ามาทุกวัน จึงได้นำกำลังออกลาดตะเวน ก่อนพบแรงงานต่างด้าวพักอาศัยอยู่ในป่าละเมาะ จึงนำกำลังเข้าจับกุม ส่วนคนนำทางอาศัยช่วงชุลมุนหลบหนีไปได้ จึงได้ควบคุมต่างด้าวทั้งหมดออกจากป่าทำบันทึกจับกุม ก่อนที่จะส่งตัวให้ พ.ต.ท.ณรงค์ ทองดี สารวัตรเวรอาญา สถานีตำรวจโกสัมพีนคร สอบสวนดำเนินคดีต่อไป.

(ไทยรัฐ, 27-7-2553)

ก.แรงงานขู่ฟัน รพ.ไม่รับรักษาในระบบประกันสังคม

เมื่อวันที่ 28 ก.ค. นายสุธรรม นทีทอง โฆษกกระทรวงแรงงาน กล่าวถึงกรณีที่มีลูกจ้างผู้ประกันตนร้องเรียนเนื่องจาก โรงพยาบาลเอกชนไม่รับรักษาผู้ป่วยเป็นโรคเนื้องอกในมดลูก ว่า นายเฉลิมชัย  ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ให้นโยบายแล้วว่าให้โรงพยาบาลที่เข้าร่วมกับสำนักงานประกันสังคม (สปส.)ปรับปรุงการบริการให้ดีขึ้น และให้ผู้ประกันตนได้รับความสะดวก โดยเฉพาะการรักษาและการจ่ายยาที่มีคุณภาพ ซึ่งเรื่องดังกล่าวไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้น แต่เป็นปัญหาที่ยืดเยื้อมานานในหลายรัฐบาล และเมื่อนายเฉลิมชัยเข้ามารับตำแหน่งก็ได้ให้ความสำคัญในกรณีนี้เป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นสิทธิที่ผู้ประกันตนควรจะได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด

นอกจากนี้นายเฉลิมชัย ยังได้ประสานให้คณะกรรมการประกันสังคม (บอร์ดสปส.)ไปศึกษาในรายละเอียดและวิธีการแก้ปัญหาว่าจะทำอย่างไรให้โรง พยาบาลที่บริการไม่ดีได้ปรับปรุงและพัฒนาให้มีการบริการและคุณภาพในการรักษา ที่ดี โดยเฉพาะในส่วนกรณีเป็นโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูงซึ่งไม่เฉพาะเพราะโรคมะเร็ง หรือเนื้องอกเท่านั้น โดยตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบและจำแนกโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูงว่ามีโรคใด บ้าง

นายสุธรรม กล่าวอีกว่า ในส่วนของโรงพยาบาลที่ทำการรักษาไม่มีคุณภาพ ก็ต้องมีการพิจารณาเป็นรายๆไป ในขั้นแรกต้องมีการออกหนังสือเตือนหากไม่มีการปรับปรุงก็จะต้องมีการดำเนิน การลงโทษในขั้นเด็ดขาด ซึ่งในเบื้องต้นได้ตั้งชุดตรวจสอบกรณีโรงพยาบาลบริการไม่ได้มาตรฐานแล้ว และเชื่อว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆนี้ ทั้งนี้หากผู้ประกันตนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมในการเข้ารับการรักษาจากโรง พยาบาลคู่สัญญาของประกันสังคม สามารถร้องเรียนมาที่หน้าห้องรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและห้อง โฆษกกระทรวงแรงงาน

“มาตรฐานการบริการของสปส.ต้องดีกว่าหรือเทียบเท่าของบัตรทอง 30 บาท และสิทธิการรักษาของข้าราชการ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ประกันตนที่จ่ายเงิน” นายสุธรรม กล่าว

(ไทยรัฐ, 28-7-2553)

'เฉลิมชัย' สานต่อประกันภัยแรงงานข้ามชาติ คุ้มครองล้านคนเบี้ยไม่เกิน 400

แนวคิดทำ “ประกันภัยแรงงานต่างด้าว” ที่เกิดขึ้นในสมัยนายไพฑูรย์ แก้วทองเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวง แรงงาน ก่อนที่จะมีการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อไม่นานมานี้และ เปลี่ยนตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานใหม่เป็นนายเฉลิมชัย ศรี อ่อน ทำให้ถูกจับตามองจะเข้ามาสาน ต่อโครงการนี้ผลักดันจนออกมาเป็นรูปเป็นร่างหรือสั่งพักไป ประกันพีเอแรงงานเกือบล้านคน ทุน 3-5 หมื่น เบี้ย 400 สัญญา 2 ปี

ล่าสุด มีสัญญาณชัดเจนออกมา นายเฉลิมชัย สานต่อโครงการนี้แน่ โดยนายถนัด จีรชัยไพศาล ที่ปรึกษาคณะกรรมการประกันภัยเบ็ดเตล็ด อุบัติเหตุและสุขภาพ สมาคมประกันวินาศภัย เปิด เผยว่า ทางกระทรวงแรงงานเพิ่งติดต่อมาที่สมาคมประกันวินาศภัยเมื่อเดือนที่ผ่านมาเกี่ยวกับการรับประกันภัยแรงงาน ต่างด้าวโดยจะให้บริษัทประกันวินาศภัยเข้าไปร่วมรับประกันภัยในโครงการนี้ร่วมกับบริษัทประกันชีวิตคนละครึ่ง

(สยามธุรกิจ, 28-7-2553)

สหภาพแรงงานจี้ระงับสรรหา ผอ.องค์การค้า สกสค.

วันนี้ (28ก.ค.)นายอนันต์ นุชเทศ ประธานสหภาพแรงงานองค์การค้า ของสำนักงานสวัสดิการครูและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(สกสค.)กระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.)เปิดเผยว่า ตามที่บอร์ดสกสค.ได้แต่งตั้งรศ.ธงทอง จันทรางศุ เลขาธิการสภาการศึกษา(สกศ.) เป็นประธานสรรหาผอ.องค์การค้าของสกสค.คนใหม่ โดยจะมีการแสดงวิสัยทัศน์ของผู้สมัครในวันที่ 30 ก.ค. นั้น สหภาพแรงงานฯยืนยันแนวคิดเดิมว่า ขณะนี้ยังไม่มีความจำเป็นที่จะสรรหาผอ.องค์การค้าฯคนใหม่ เพราะถึงแม้ ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) จะรักษาการตำแหน่งผอ.องค์การค้าฯอยู่ก็ยังไม่ได้รับความร่วมมือจากบอร์ดสกสค.ในการแก้ไขปัญหาองค์การค้าฯ

“แม้ว่าสหภาพแรงงานองค์การค้าฯจะมีความเชื่อมั่นในตัวประธานสรรหา แต่ในที่สุดเมื่อคัดเลือกผู้สมัครได้ 2 คนแล้ว ก็จะไม่พ้นวัฎจักรเดิมคือ มีการวิ่งเต้นกับกรรมการบอร์ดสกสค.อีกครั้ง ถึงแม้กรรมการสรรหาจะไม่ติดใจเพราะทั้ง 2 คนได้ผ่านเกณฑ์การสรรหาและถือว่าเป็นผู้มีความสามารถที่จะบริหารองค์การค้าฯต่อไปได้ก็ตาม แต่อย่าลืมว่าที่ผ่านมาหากไม่สนองนโยบายผู้มีอำนาจในบอร์ดสกสค.ก็อยู่ไม่ได้เช่นกัน  ดังนั้นทางสหภาพแรงงานฯจึงเห็นว่าควรจะมีการปรับโครงสร้างใหม่ โดยฝ่ายการเมืองจะต้องเข้ามาช่วยแก้ไขอย่างจริงจัง”นายอนันต์ กล่าวและว่า ทั้งนี้ปัจจุบันสัดส่วนของกรรมการในบอร์ดสกสค.ฝ่ายผู้แทนครูมีมากกว่าสัดส่วนอื่น ดังนั้นจึงควรมีการปรับโครงสร้างบอร์ดสกสค.ใหม่ โดยให้มีสัดส่วนของคณะกรรมการที่สามารถคานอำนาจกันได้มากขึ้น.

(เดลินิวส์, 28-7-2553)

ก.ล.ต.จี้นายจ้างตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

เมื่อวันที่ 28 ก.ค. นายประเวช องอาจสิทธิกุล ผู้ช่วยเลขาธิการอาวุโส สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า ก.ล.ต.ในฐานะนายทะเบียนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ขอแจ้งให้นายจ้างเร่งนำเงินประเดิมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ตามพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพฯ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อทั้งนายจ้าง และลูกจ้าง โดยเงินประเดิมที่นายจ้างได้จ่ายสมทบเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพนั้น สามารถนำมาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณภาษีของนายจ้างได้ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 274 (พ.ศ. 2553) ซึ่งออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

นอกจากนี้ กระทรวงการคลังได้เปิดให้นายจ้างยื่นคำขอนำเงินประเดิมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้เป็นครั้งสุดท้าย โดยเงินประเดิมจะต้องเป็นเงินที่นายจ้างจัดสรรไว้ หรือลูกจ้างสะสมไว้ตามโครงการที่นายจ้างจัดให้มีตั้งแต่ก่อนพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ.2530 ใช้บังคับเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2530 หากนายจ้างมีเงินประเดิม แต่ไม่ได้ยื่นคำขอนำเงินประเดิมเข้ากองทุนต่อ ก.ล.ต.ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2554 และภายหลังต้องการจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ จะไม่สามารถโอนเงินเก่าเข้ามาในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่จัดตั้งขึ้นได้อีกต่อไป

(เดลินิวส์, 28-7-2553)

ผู้ประกันตน ม.39 สามารถชำระเงินผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิสได้แล้ว

นางสาวสุภาภรณ์ ตังศิริกุล ประกันสังคมจังหวัดสมุทรปราการ กล่าวว่า สำนักงานประกันสังคมได้ให้บริการชำระเงินสมทบกองทุนประกันสังคมตามมาตรา 39 ผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิสโดยเปิดให้บริการ 5,400 สาขาทั่วประเทศ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวก และหยัดเวลาในการชำระเงินสมทบของผู้ประกันตน เพียงแค่ผู้ประกันตนยื่นบัตรประจำตัวประชาชนที่เคาน์เตอร์ชำระเงิน โดยเสียค่าธรรมเนียมในอัตรา 10 บาท ต่อ 1 รายการ และผู้ประกันตนสามารถจ่ายเงินสมทบย้อนหลังได้ 1 เดือน เริ่มให้บริการตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2553 เป็นต้นไป หากผู้ประกันตนมีข้อสงสัยสอบถามข้อมูลได้ที่ สำนักงานประกันสังคมจังหวัดสมุทรปราการหมายเลขโทรศัพท์ 0-2755-6249-57 หรือสำนักงานประกันสังคมสาขาที่ท่านสะดวก หรือสายด่วน 1506 ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sso.go.th

(ไทยรัฐ, 28-7-2553)

มาเลเซียเพิ่มโทษจำคุก 3 เท่า ธุรกิจค้ามนุษย์

ทางการมาเลเซียเพิ่มโทษจำคุก 3 เท่า และปรับเงินหนักขึ้นกับพวกค้ามนุษย์และลักลอบขนส่งผู้อพยพ ซึ่งนักเคลื่อนไหวเตือนว่าจำเป็นต้องดำเนินมาตรการมากกว่านี้เพื่อสกัดกั้นการหาประโยชน์จากแรงงานอพยพ

วุฒิสภามาเลเซียเตรียมรับรองกฎหมายใหม่ปราบปรามพวกค้ามนุษย์ในสัปดาห์หน้า หลังผ่านการแก้ไขร่างกฎหมายจากสภาผู้แทนราษฎรเมื่อต้นเดือน และการลงมติในวุฒิสภาจะทำให้กฎหมายดังกล่าวมีผลบังคับใช้ ทั้งนี้ มาเลเซียกลายเป็นแหล่งดึงดูดผู้คนที่อพยพหนีสงครามในประเทศเพื่อลักลอบหางานทำหรือเป็นเส้นทางผ่านไปประเทศอื่น เช่น ออสเตรเลีย กฎหมายฉบับใหม่เพิ่มโทษจำคุก 3 เท่าเป็น 15 ปีสำหรับผู้กระทำผิดช่วยเหลือชาวต่างชาติเข้า-ออกมาเลเซียโดยไม่มีเอกสารรับรอง  หากแรงงานอพยพถูกทารุณหรือตกอยู่ในอันตราย อาจมีโทษจำคุกถึง 20 ปี ส่วนค่าปรับสูงสุดเพิ่มขึ้น 10 เท่า เป็น 1 ล้านริงกิต  (9.9 ล้านบาท)

(สำนักข่าวไทย, 29-7-2553)

รวบคาด่านอรัญฯ ผู้ต้องหาตุ๋นแรงงานหนีหมายจับ 74 คดีเตรียมเผ่นเขมร

สระแก้ว 29 ก.ค.-เมื่อเวลา 07.30 น. เจ้าหน้าที่ด่านพรมแดนบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว จับกุมนายพีรกร  ปัณณปคุณ อายุ 52 ปี อยู่บ้านเลขที่ 498/2 ซ.สุขุมวิท 49 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กทม. ผู้ต้องหาหลบหนีหมายจับคดีหลอกลวงแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศของศาลจังหวัดนางรอง จ.บุรีรัมย์ ขณะใช้บัตรประจำตัวประชาชนและหนังสือเดินทาง (พาสปอร์ต) ปลอมในชื่อของนายประสิทธิ์ เพชรไธสง มายื่นแสดงให้เจ้าหน้าที่ประทับตราเดินทางออกไปกัมพูชา สอบสวนนายพีรกร รับสารภาพว่าใช้เอกสารปลอมแอบอ้างชื่อเป็นนายประสิทธิ์ ไปทำบัตรประชาชนและพาสปอร์ตปลอมจริง จากการตรวจสอบเจ้าหน้าที่ยังพบว่า นอกจากนายพีรกร หลบหนีหมายจับศาลจังหวัดนางรอง ปี 2552 แล้ว ยังก่อเหตุหลอกลวงแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศ จนถูกออกหมายจับในหลายจังหวัด เช่น จ.นครราชสีมา จ.ตาก จ.ชัยภูมิ และจ.ลำปาง รวมทั้งหมด 74 คดี

(สำนักข่าวไทย, 29-7-2553)

กก.ประเวศตั้ง 14 ทีมขับเคลื่อนงาน “สมัชชาปฏิรูป” ประเด็น "แรงงาน" ไปรวมกับ "คนจนเมือง"

นพ.ประเวศ วะสี ประธานสมัชชาปฏิรูป กล่าวถึงผลการประชุมคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป ว่า ที่ประชุมมีมติแต่งตั้งคณะกรรมการ 14 ชุด ภายใต้คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป ได้แก่ 1.คณะกรรมการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อการปฏิรูป 2.คณะกรรมการเครือข่ายสภาองค์กรชุมชนและสภาผู้นำชุมชนเพื่อการปฏิรูป 3.คณะกรรมการเครือข่ายประชาชนเพื่อการปฏิรูป 4.คณะกรรมการเครือข่ายผู้ใช้แรงงานและคนจนเมืองเพื่อการปฏิรูป 5.คณะกรรมการเครือข่ายพลังสตรีเพื่อการปฏิรูป 6.คณะกรรมการเครือข่ายพลังเยาวชนเพื่อการปฏิรูป 7.คณะกรรมการเครือข่ายผู้พิการเพื่อการปฏิรูป 8.คณะกรรมการเครือข่ายผู้ด้อยโอกาสเพื่อการปฏิรูป 9.คณะกรรมการเครือข่ายภาคธุรกิจกับการปฏิรูป 10.คณะกรรมการเครือข่ายอุดมศึกษาเพื่อการปฏิรูป 11.คณะกรรมการเครือข่ายศิลปินเพื่อการปฏิรูป 12.คณะกรรมการการจัดสรรทรัพยากรเพื่อความเป็นธรรม 13.คณะกรรมการความยุติธรรมกับการปฏิรูป และ 14.คณะกรรมการสื่อสารเพื่อการปฏิรูป

ทั้งนี้คณะกรรมการทั้ง 14 ชุด จะไประดมความคิดเห็นขององค์กรเครือข่ายถึงมาตรการในการสร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำของสังคมในแต่ละด้าน เพื่อนำข้อสรุปเสนอต่อคณะกรรมการปฏิรูป ที่มี นายอานันท์ ปัญยารชุน เป็นประธาน นำไปสังเคราะห์เป็นนโยบาย ที่สามารถปฏิบัติได้และได้ผลดีจริง ซึ่งเชื่อว่าแนวทางนี้จะเป็นติดอาวุธทางปัญญา สร้างพลังสังคม และนำไปสู่การปฏิรูปประเทศไทยด้วยสันติวิธี ดังนั้นหวังว่า ในระยะเวลา 3 ปี กระบวนการทำงานของคณะกรรมการทั้ง 2 คณะ จะก่อให้เกิด “วัฒนธรรมใหม่”

(คมชัดลึก, 29-7-2553)

สตม.กวาดล้างจับกุมแรงงานข้ามชาติผิดกฎหมายใน กทม.และปริมณฑล 1,070 คน

พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง เผยผลการกวาดล้างจับกุมแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ คือ พม่า ลาว และกัมพูชา ซึ่งหลบหนีเข้าประเทศและทำงานผิดกฏหมายในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลได้ 1,070 คน โดยเป็นผู้ที่ไม่เคยมีใบอนุญาตมาก่อนจำนวน 1,036 คน ส่วนที่เหลืออีก 34 คนเป็นผู้ที่เคยมีใบอนุญาตแต่ไม่ต่ออายุ

"แม้ว่ารัฐบาลได้เปิดโอกาสให้มีการดำเนินการลงทะเบียนอย่างถูกต้องแล้ว แต่ก็ยังมีแรงงานต่างด้าวที่ผิดกฎหมายลักลอบเข้ามาในราชอาณาจักรอีกจำนวนมาก ซึ่งเป็นต้นเหตุของปัญหาอาชญากรรมที่ตามมา โดย สตม.ได้ดำเนินการปราบปรามจับกุมมาโดยตลอดและผลักดันส่งกลับประเทศเป็นจำนวนมาก แต่ก็ยังมีการลักลอบกลับเข้ามาอีก ทั้งนี้อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์ มีการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากการบังคับใช้แรงงานหรือบริการ" พล.ต.สนั่น กล่าว

พล.ต.สนั่น กล่าวว่า สำหรับการแก้ปัญหาแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองนั้น ตนเองได้กำชับเจ้าหน้าที่ตั้งด่านตรวจเข้มตามแนวชายแดนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสาเหตุของปัญหาเกิดจากแรงงานขั้นต่ำจากประเทศเพื่อนบ้านมีความยากจนจึงหลบหนีเข้ามาทำงานในประเทศไทย ดังนั้นหากประเทศไทยยกระดับแรงงานขั้นต่ำให้สูงขึ้นเพื่อลดระดับการเหลื่อมล้ำทางสังคมระหว่างคนรวยและคนจนก็จะเป็นการแก้ปัญหาได้อีกทางหนึ่ง

ด้าน พล.ต.ท.วุฒิ ลิปตพัลลภ ผบช.สตม.กล่าวว่า จะดำเนินการคัดแยกแรงงานต่างด้าวที่ถูกจับกุมอย่างละเอียดอีกครั้งว่าบุคคลใดที่หลบหนีเข้าประเทศโดยผิดกฎหมาย และบุคคลใดที่ตกเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์ โดยทางเจ้าหน้าที่ได้จัดทำข้อมูลของบุคคลต่างด้าวทั้งหมดลงในระบบคอมพิวเตอร์ โดยการสแกนลายนิ้วมือทุกคนเก็บไว้ตรวจสอบประวัติการเข้าประเทศและประวัติการก่ออาชญากรรมอื่นๆ ได้ด้วย

"หากเป็นการหลบหนีเข้าประเทศทางเจ้าหน้าที่จะทำการผลักดันให้ออกนอกประเทศต่อไป แต่หากตกเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์ก็จะส่งตัวไปเยียวยารักษาทั้งทางกายและสภาพจิตใจ" พล.ต.ท.วุฒิ กล่าว

สำหรับบทลงโทษกรณีนำหรือพาคนต่างด้าวเข้ามาอาณาจักรเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับไม่เกิน 100,000 บาท ส่วนการให้ที่พักอาศัยหรือช่วยเหลือด้วยประการใดๆ แก่คนต่างด้าวที่เข้าเมืองผิดกฎหมายเป็นความผิดมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 50,000 บาท และการใช้แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายเป็นความผิดมีโทษปรับตั้งแต่ 10,000-100,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้าง 1 คน

"หากเจ้าหน้าที่ตรวจพบจะถูกจับกุมดำเนินคดีจนถึงที่สุด และหากมีการบังคับใช้แรงงานหรือบริการอาจถูกดำเนินคดีในความผิดฐานค้ามนุษย์ซึ่งมีโทษสูงทั้งจำทั้งปรับ และเป็นความผิดมูลฐานตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 ซึ่งผู้กระทำผิดอาจถูกยึดหรืออาหยัดทรัพย์สินได้" พล.ต.ท.วุฒิ กล่าว

(สำนักข่าวอินโฟเควสท์, 30-7-2553)

ประชุมนานาชาติฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟมีตำแหน่งงานกว่า 1 หมื่นอัตรา

สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช.จัดการประชุมวิชาการนานาชาติและงานนิทรรศการฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ เอ็กซ์โป 2010 ระหว่างวันนี้ถึง 1 สิงหาคม ที่ศูนย์ฯ ประชุมไบเทค โดยมีการประชุมวิชาการ การจัดแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรมล่าสุดของผู้ผลิต 4 รายใหญ่ของโลก รวมถึงการเจรจาธุรกิจของผู้ประกอบการ และการเปิด Job Fair รับสมัครงานกว่า 1 หมื่นอัตราจาก 60 บริษัท เช่น ตำแหน่งผู้บริหาร วิศวกร ช่างเทคนิค เจ้าหน้าที่ทั่วไป และพนักงานสายการผลิต     

นายวีระชัย วีระเมธีกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดงานว่าไทยเป็นฐานการผลิตฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ที่ใหญ่ที่สุดของโลก มีการจ้างงานกว่า 2 แสนคน แม้ในช่วงเศรษฐกิจโลกถดถอยแต่อุตสาหกรรมนี้กลับเติบโตสวนกระแส โดยปีที่แล้วไทยมีมูลค่าการส่งออกกว่า 4 แสนล้านบาท ปีนี้จะเพิ่มเป็นกว่า 5 แสนล้านบาท สิ่งสำคัญคือ อยากเห็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม และสถาบันอุดมศึกษา ในการร่วมกันส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเพื่อยกระดับความเข้มแข็งให้กับการวิจัยขึ้นสูงและการพัฒนาเทคโนโลยีต้นน้ำในประเทศ ซึ่งกระทรวงวิทยาศาสตร์จะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่

(สำนักข่าวไทย, 30-7-2553)

เผยเดือน ก.ค.มีผู้ว่างงาน 350,000 คน ความต้องการแรงงานเพียง 140,000 คน

กรุงเทพฯ 31 ก.ค.- กรมการจัดหางานเผยข้อมูลสถานการณ์ว่างงานเดือนกรกฎาคมคาดมีผู้ว่างงาน 350,000 คน ความต้องการแรงงานจากนายจ้าง 143,872 อัตรา การให้บริการจัดหางาน (มิ.ย.53) มีผู้มาสมัครงาน 98,877 คน สามารถบรรจุงาน 51,071 คน

กรมการจัดหางาน รายงานสถานการณ์การว่างงานในเดือนกรกฎาคม 2553 โดยวิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องในเชิงสถิติคาดว่าจะมีผู้ว่างงานประมาณ 350,000 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 1 ของกำลังแรงงาน รวมถึงมีผู้ประกันตนมาขอขึ้นทะเบียนขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานเดือนมิถุนายน 2553 จำนวน 51,135 คน สามารถบรรจุงานได้ 32,021 คน
 
ในส่วนความต้องการแรงงาน นายจ้างมีความต้องการแรงงาน จำนวน 143,872 อัตรา เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน จำนวน 28,172 อัตรา จำแนกเป็นผู้บริหาร ผู้จัดการ จำนวน 3,088 อัตรา ผู้ประกอบวิชาชีพด้านต่างๆ จำนวน 7,710 อัตรา ช่างเทคนิคและผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง จำนวน 13,251 อัตรา เสมียน เจ้าหน้าที่ จำนวน 16,141 อัตรา พนักงานบริการ พนักงานขายในร้านค้าและตลาด จำนวน 23,751 อัตรา ผู้ปฏิบัติงานฝีมือด้านการเกษตรและประมง (แปรรูปขั้นพื้นฐาน) จำนวน 602 อัตรา ผู้ปฏิบัติงานโดยใช้ฝีมือในธุรกิจต่างๆ จำนวน 14,532 อัตรา ผู้ปฏิบัติงานในโรงงาน ผู้ควบคุมเครื่องจักรและผู้ปฏิบัติงานด้านการประกอบ จำนวน 17,523 อัตรา และอาชีพงานพื้นฐาน จำนวน 47,274 อัตรา

ด้านข้อมูลกรมการจัดหางานถึงความต้องการแรงงานผ่านบริการจัดหางานเดือนมิถุนายน จำแนกตามวุฒิการศึกษา นายจ้างมีความต้องการแรงงาน จำนวน 44,043 อัตรา เป็นระดับมัธยมศึกษา จำนวน 14,156 อัตรา รองลงมาเป็นผู้มีการศึกษาระดับ ปวส. จำนวน 9,788 อัตรา และระดับประถมและต่ำกว่า จำนวน 7,300 อัตรา และจำแนกตามประเภทอาชีพ อาชีพงานพื้นฐาน (แรงงานด้านประกอบ แรงงานบรรจุผลิตภัณฑ์) มีความต้องการมากที่สุด จำนวน 14,310 อัตรา รองลงมาเสมียน เจ้าหน้าที่ จำนวน 6,596 อัตรา พนักงานบริการ พนักงานขายในร้านค้าและตลาด จำนวน 6,072 อัตรา

 (สำนักข่าวไทย, 31-7-2553)

ลำปางเตือนระวังถูกหลอกไปทำงานต่างประเทศ

นายอุทาร ชวเมธี รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง เปิดเผยว่า ช่วงที่ผ่านมา ตนได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้าน อำเภอเถินและอำเภอแม่พริก จำนวนหลายราย หลังจาก ชาวบ้านที่ต้องการไปทำงานยังประเทศลาว เพื่อไปขายแรงงานเป็นลูกจ้างคนงานขุดเหมืองทอง โดยจะมีรายได้เดือนละ 40,000 - 60,000 บาท และมีบริษัทที่แอบอ้างจะพาไปทำงาน โดยเก็บเงินจากชาวบ้าน รายละ 20,000 บาท เพื่อเป็นค่าดำเนินการและมีชาวบ้านจำนวน 24 คน ได้หลงเชื่อจ่ายเงินไปแล้ว แต่เมื่อถึงกำหนดเดินทาง ปรากฏว่า บริษัทไม่ได้จัดส่งให้ไปทำงานแต่อย่างใด ทำให้ ชาวบ้านทั้งหมด ได้รับความเดือดร้อน จึงเข้ามาร้องขอให้ รองผู้ว่าราชการลำปาง ช่วยเหลือดังกล่าว ทั้งนี้ รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง จะได้ให้ทางสำนักงานจัดหางานจังหวัดลำปาง ดำเนินการช่วยเหลือชาวบ้าน อย่างเร็วที่สุด และฝากเตือนชาวบ้าน ทั้ง 13 อำเภอ ขอให้ตรวจสอบให้แน่ชัด หากมีผู้ชักชวนไปทำงานต่างประเทศ อย่าได้หลงเชื่อ ขอให้ตรวจสอบให้แน่ชัดก่อน

(ไอเอ็นเอ็น, 31-7-2553)

เตือนคนงานระวังถูกหลอกไปทำงานเก็บผลไม้ป่าที่ต่างประเทศ

นายสุวรรณ์ ดวงตา จัดหางานจังหวัดบุรีรัมย์ แจ้งเตือนแรงงานที่จะเดินทางไปทำงานเก็บผลไม้ป่าที่ประเทศสวีเดนและประเทศฟินแลนด์ ระหว่างเดือน ก.ค.– ก.ย. 53 ประมาณ 45 วัน ระวังถูกนายจ้าง หรือสาย นายหน้าเถื่อน หลอกเรียกเก็บเงินค่าดำเนินการและค่าเดินทางสูงเกินควร แต่เมื่อเดินทางไปทำงานแล้ว กลับได้เงินน้อยกว่าคำกล่าวอ้างของสายและนายหน้า ทำให้ไม่คุ้มกับการลงทุน  ซึ่งในปีที่ผ่านมามีแรงงานที่ไปเก็บผลไม้ป่าที่ต่างประเทศถูกหลอก เข้ามาร้องเรียนกับกรมการจัดหางานหลายร้อยราย จึงขอให้แรงงานที่จะไปทำงาน ได้เข้าแจ้งกับกรมการจัดหางาน หรือจัดหางานจังหวัดในพื้นที่ เพื่อที่จะได้เรียกนายจ้างมาทำสัญญาประกันสุขภาพ และประกันรายได้  เมื่อแรงงานหรือลูกจ้าง ทำงานครบตามสัญญาจ้างแล้วกลับมาจะต้องมีรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แล้ว รายละไม่น้อยกว่า 77,000 บาท  เพื่อเป็นการป้องกันและลดปัญหาแรงงานถูกหลอก จากสายและนายหน้าเถื่อนดังกล่าว

(สำนักข่าวไทย, 31-7-2553)

เตือนนายจ้าง-ลูกจ้างต่างชาติ รับใบอนุญาตทำงานใน 30 วัน

นายวิวัฒน์ จิระพันธ์วานิช จัดหางานจังหวัดพัทลุง เปิดเผยว่า ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2553 กำหนดการขยายระยะเวลาพิสูจน์สัญชาติ และการผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่า ลาว และกัมพูชา อยู่ในราชอาณาจักร เพื่อให้สามารถอยู่ในประเทศไทย และทำงานได้ชั่วคราว จนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2555 โดยแรงงานต่างด้าวต้องขอรับการพิสูจน์สัญชาติ และต้องเข้ารับการพิสูจน์สัญชาติให้แล้วเสร็จ ตามวัน เวลาที่กำหนดให้เดินทางไปพิสูจน์สัญชาติ ดังนั้น เมื่อแรงงานต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ได้รับการพิสูจน์สัญชาติ ได้รับหนังสือเดินทาง และได้รับการประทับตราอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรแล้ว จะต้องขอรับใบอนุญาตทำงานภายใน 30 วัน มิฉะนั้นจะต้องถูกยกเลิกวีซ่า และยกเลิกการพำนักในราชอาณาจักรไทยของแรงงานด่างด้าวกลุ่มนี้

นายวิวัฒน์ กล่าวอีกว่า สำนักงานจัดหางานจังหวัดพัทลุง จึงขอแจ้งให้นายจ้าง สถานประกอบการ และแรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่า ลาว และกัมพูชา ที่ได้รับหนังสือเดินทาง และได้รับการประทับตราอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร ต้องรับใบอนุญาตทำงานภายใน 30 วัน ได้รับทราบ และหากมีข้อสงสัย สอบถามได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดพัทลุง

(เนชั่นทันข่าว, 1-7-2553)

พาณิชย์จ่อเชิญผู้แทนสหรัฐฯ ย้ำไทยไม่ใช้แรงงานเด็ก

เมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2553 นายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในเดือน ส.ค. นี้ สำนักงานพาณิชย์ในต่างประเทศ ณ กรุงวอชิงตัน สหรัฐฯ มีแผนจะเชิญคณะเจ้าหน้าที่อาวุโสของรัฐสภาสหรัฐฯ มาเยือนไทย และใช้โอกาสนี้สร้างความเชื่อมั่น และความเข้าใจว่าไทยไม่ได้ผลิตสินค้ากุ้งและเครื่องนุ่งห่มจากแรงงานเด็ก และแรงงานบังคับ เพื่อไม่ให้ไทยต้องสูญเสียผลประโยชน์ทางการค้าในประเด็นเรื่องมาตรฐานแรงงาน ตามที่สหรัฐฯ กำหนด

ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ได้กำหนดให้การจัดซื้อจัดจ้างของรัฐบาลสหรัฐฯ ในสินค้า 29 รายการสินค้า จาก 21 ประเทศ ห้ามใช้สินค้าที่ผลิตจากแรงงานเด็ก และแรงงานบังคับ ซึ่งรวมกุ้งและเครื่องนุ่งห่มของไทยด้วย

"ผลจากข้อบังคับดังกล่าว อาจทำให้สหรัฐฯ ระงับการนำเข้าสินค้ากุ้ง และเครื่องนุ่งห่มจากไทยได้ หากมีข้อสงสัยว่าเป็นสินค้าที่ผลิตจากแรงงานเด็กและแรงงานบังคับ ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องให้ประเทศอื่นนำข้อมูลดังกล่าวมาเป็นเครื่องมือกีดกัน การนำเข้าสินค้ากุ้งและเครื่องนุ่งห่มจากไทยเช่นเดียวกับสหรัฐฯ ซึ่งไทยจะชี้ให้สหรัฐฯ เห็นว่า ไทยให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าว และยืนยันได้ว่า กระบวนการผลิตของไทยไม่มีปัญหาในเรื่องมาตรฐานแรงงานแน่นอน" นายยรรยงกล่าว

(ไทยรัฐ, 1-7-2553)

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น