โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันอาทิตย์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

บทกวี : ความตายไม่มีชื่อ

Posted: 01 Aug 2010 01:31 PM PDT

<!--break-->

กระสุนลั่นปังฝังร่างวีรชน
ใบไม้ร่วงหล่นผู้คนร่ำไห้
ถนนเส้นนั้นชื่อ “ประชาธิปไตย”
กี่ศพจากไป, กี่คนจดจำ

 

กี่วันเวลาแห่งต่อสู้
ฟ้าดินย่อมรู้คุณค่าความหมาย
อีกกี่น้ำตาอีกกี่ความตาย
ฟ้าสางสดใสจึงจะคืนมา

 

หยุดวันเวลาแห่งความพ่ายแพ้
หยุดความอ่อนแอสู้เพื่อวันใหม่
วันหนึ่งคนพาลจักต้องปราชัย
ต่อทัพยิ่งใหญ่ทัพแห่งประชา

 

เพื่อนเอยวันนี้พี่น้องเราตาย
อย่าให้จากไปอย่างไร้คุณค่า
ปลุกขวัญคนยากเช็ดคราบน้ำตา
ออกจากบ้านมาจับมือถือปืน

 ออกจากบ้านมาจับมือถือปืน!

 

                                                          ปราโมทย์ แสนสวาสดิ์

 

 

 

 

 

 

 

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ตุ๊กกี้ เจ้าหญิงขายกบ กับความงามมาตรฐานนางงามและสังคมชายเป็นใหญ่

Posted: 01 Aug 2010 01:24 PM PDT

<!--break-->

เห็นโปสเตอร์หนังเรื่องนี้นานแล้ว ก่อนหนังจะเข้า แรกเห็นก็รู้สึกว่าน่าสนใจโดยเฉพาะเมื่อมีภาพคุณตุ๊กกี้สวมมงกุฎที่เต็มไปด้วยรังนกบนศรีษะ ตัวโตอยู่กลางโปสเตอร์พื้นขาวสะอาด ยิ่งขับเน้นให้คุณตุ๊กกี้ดูโดดเด่นอย่างมาก ยิ่งชวนให้ผู้เขียนอยากดูหนังเรื่องนี้ โดยคาดหวังว่าหนังเรื่องนี้อาจจะพลิกโฉมหน้าหนังไทยที่มีแต่เรื่องรัก ๆใคร่ๆ และมีแต่นางเอกหน้าตาจิ้มลิ้ม โดยหันมาปั้นนางเอกหน้าตาสามัญในบทที่แปลกออกไปบ้าง

เมื่อคิดได้เช่นนั้น ผู้เขียนก็หวังเต็มที่กับการรับชมคุณตุ๊กกี้ ผู้ที่มีความงามร่วมสมัย (กับคนส่วนใหญ่ในสังคม ที่ไม่ได้สวยเพอเฟ็กต์ในแบบฉบับของนางงาม) ในบทบาทของนางเอก โดยหวังว่าหนังเรื่องนี้จะเป็นการเปิดมิติใหม่ในเรื่องของความงาม ให้มีความหลากหลายมากขึ้น โดยปั้นให้คุณตุ๊กกี้ที่มีอาชีพตลกหญิงและต้องยอมรับว่าสังคมมองเธอว่าไม่งามเท่าไหร่นั้น เป็นนางเอกที่งามในแบบฉบับของเธออย่างให้เกียรติ

แม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่าการนำเอาคนที่ไม่งาม ขี้ริ้ว หรือแม้แต่ตลก มารับบทแปลก ๆ ที่ปกติจะเป็นบทของพระเอกนางเอกรูปงาม เช่นในบทของเจ้าชาย เจ้าหญิงนั้น ในทางนิเทศศาสตร์นับว่าเป็นจุดขายหนึ่ง และเรียกเทคนิคการทำหนังเช่นนี้ว่า เป็นการนำเสนอความอุจาดเป็นจุดขาย กระนั้น ผู้เขียนก็แอบหวังว่าหนังเรื่องนี้คงไม่ใช่เช่นนั้นเสียทั้งหมด แม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่า คงหลีกเลี่ยงเรื่องการนำเสนอมุขตลกและการหยิบเอาความเป็นตลกของเธอมาเล่นไม่ได้

ต่อเมื่อได้มาดูเข้าจริง ผู้เขียนก็ต้องเปลี่ยนใจ เพราะหนังเรื่องนี้ก็ไม่ต่างกับหนังหลายๆ เรื่องที่หยิบจุดที่สังคมกำหนดให้เป็ด “จุดด้อย” มาเป็นจุดขาย เช่น เรื่องหน้าตา “ขี้เหร่” รูปร่าง “เตี้ย” ไม่สมส่วน และลักษณะเฉพาะบางประการของคน ในทางที่พิการต่าง ๆ ตัวเตี้ยเกินมาตรฐาน เป็นต้น หนังเรื่องนี้จึงไม่ได้ช่วยเปิดมุมมองความงามมิติใหม่ หรือความงามในแต่ละบุคคลให้แก่สังคมเลยอย่างที่ผู้เขียนคาดเดา (เอาจากโปสเตอร์ หลายท่านอาจตำหนิว่า ผู้เขียนคาดหวังกับหนังไทยมากเกินไป แต่นั่นก็คือความหวัง) อย่างไรก็ตาม เรื่องนั้นอาจจะไม่ทำให้ผู้เขียนหงุดหงิดใจเท่ากับการทับถมโดยการกระแหนะกระแหนคุณตุ๊กกี้ว่าหน้าตาไม่ใช่ “คน”

เรื่องนี้หลายคนอาจเห็นว่าเป็นเรื่องตลก เป็นเรื่องธรรมดาที่หนังไทยทำกันมานาน (และไม่รู้เมื่อไหร่จะเปลี่ยน) แต่อันที่จริงแล้ว คำพูดเช่นนั้นสะท้อนให้เห็นทัศนคติของ คนและสังคมต่อมาตรฐานและการตัดสินผู้คนในสังคมประการหนึ่ง แน่นอนว่าสังคมทุกสังคมต้องมี “กติกา” กระนั้น การมาตัดสินคนว่าคนไม่ใช่คนเพียงเพราะหน้าตาไม่งาม แม้จะเป็นการกล่าวเล่น ๆ ว่ากันให้ขบขัน กระนั้น ก็สะท้อนว่าสังคมนี้ลึก ๆ แล้ว ยังมีอคติเกี่ยวกับความงามของผู้หญิง (ที่ถูกสร้างขึ้นสมัยทุนนิยม และ ตะวันตกนิยม) ว่าต้องงามแบบฝรั่ง คือมีโครงหน้าเรียวยาว ไม่มีกรามกว้าง-หนา จมูกโด่ง มีดั้งเป็นสัน ปากบาง สูง ผิวพรรณสะอาด เป็นต้น เราจะเห็นลักษณะเช่นนี้ปรากฏเป็นคำอธิบายอยู่ในส่วนของการอธิบายผู้ดีของไทยด้วย ไม่ใช่ไพร่

กล่าวได้ว่าความงามแบบชาวบ้าน ที่เป็นธรรมชาติ ไม่ใคร่ปรุงแต่ง (ศัลยกรรม) ยังไม่เป็นที่ยอมรับ และยังถูกดูแคลน สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าสังคมนี้ยังมีความเป็นตะวันตกนิยมอย่างหนาแน่น (ตอนนี้อาจมีเกาหลีฟีเวอร์ด้วย) และ ยังมีค่านิยมชายเป็นใหญ่ไม่เสื่อมคลาย

ที่กล่าวเช่นนี้ มีหลักฐานจากหลายฉากหลายตอนของหนังสนับสนุน เช่นตอนที่องครักษ์ หรือ ครูที่ถูกจ้างมาสอน เจ้าหญิง (กำมะลอ) ตุ๊กกี้นั้นพูดเกี่ยวกับเธอ ตอนหนึ่ง เป็นตอนที่ครูสอนขี่ม้าด่าเธอต่อหน้า อย่างหน้าตาย (ไม่เกรงใจในความเป็นเจ้าหญิงของเธอเลยแม้แต่น้อย) ว่าเธอนั้นช่าง “ชิงหมาเกิด” หรือ “นี่คนรึ” และอีกหลายคำที่เป็นการไม่ให้เกียรติเธอ ทั้งในฐานะมนุษย์ ในฐานะผู้หญิง หรือแม้แต่ในฐานะ “เจ้าหญิง”

เรื่องนี้จะอธิบายได้อย่างไร คำอธิบายคำหนึ่งที่ผู้เขียนจับได้ก็คือ คุณค่าของคนอยู่ที่หน้าตา หน้าตาอย่างตุ๊กกี้นั้นไม่สมควรได้รับเกียรติใด ๆทั้งสิ้นแม้ว่าเธอมีศักดิ์เป็นเจ้าหญิงในเรื่อง ทั้งนี้เพราะ เธอไม่ได้งามแบบนางงาม แต่งามแบบทั่วไป หรือหลายคนอาจจะบอกว่าออกไปทางขี้เหร่นั่นเอง แม้กระนั้น เธอก็สมควรได้รับเกียรติในฐานะมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน การที่ผู้ชายคนหนึ่ง เป็นแค่อาจารย์สอนขี่ม้า ยืนเท้าสะเอวด่าเจ้าหญิงตุ๊กกี้ฉอด ๆ โดยไม่เกรงอาญานั้น สะท้อนให้เห็นความคิดของผู้สร้างไม่น้อยว่ายังคงวนเวียนอยู่กับความคิดชายเป็นใหญ่ ซึ่งหากผู้หญิงคนนั้นไม่อยู่ในมาตรฐานที่ชายจะให้เกียรติ ไม่ว่าจะมียศศักดิ์เท่าใด ก็ไม่สมควรได้รับเกียรติจากผู้ชายแม้ในฐานะ “คน”

อาจจะฟังดูแรงไป แต่นี่คือแนวคิดที่ผู้เขียนจับได้จากหนังเรื่องนี้หลายฉากหลายตอน นอกเหนือจากฉากอาจารย์สอนขี่ม้าแล้ว ยังรวมถึงฉากอาจารย์สอนดื่มไวน์ อาจารย์สอนเต้นรำ (รับบทโดยคุณเท่ง เถิดเทิง) รวมไปถึงฉากที่บรรดาช่างแต่งหน้าทั้งหลายที่ถูกว่าจ้างให้มาแปลงโฉมเจ้าหญิงตุ๊กกี้ให้ “งามสง่า” ที่ต่างก็แอบนินทา และ ด่าต่อหน้าในเรื่องความงามของเธอในลักษณะเดียวกัน

หนังเรื่องนี้จึงไม่ได้มีสาระอื่นใดที่เป็นประโยชน์นอกจากขบขัน (?) (แต่ก็อาจจะหวังอะไรจากหนังคอมเมอดี้มากไม่ได้ ) กระนั้น การที่หยิบเอาแต่เรื่องความงามของคุณตุ๊กกี้มาเป็นจุดขายด้วยการประณามความงามของเธอ ก็เป็นจุดที่สะท้อนให้เห็นความคิดเรื่องความงามมาตรฐาน ที่นำมาใช้ตัดสินผู้คนในปัจจุบัน และความคิดชายเป็นใหญ่ที่ยังคงมีอยู่ในสังคมแอบแฝงอยู่ในหนังเรื่องนี้ ยิ่งฉากตอนกระจกร้าวเมื่อเจ้าหญิงตุ๊กกี้ถามออกไปว่า “กระจกวิเศษบอกข้าเถิด ใครงามเลิศในปฐพี” แล้วกระจกก็แตกโผละนั้น ยิ่งสะท้อนได้อย่างชัดเจนว่า แม้แต่กระจก ก็ยังไม่ยอมรับความงามของเธอ

ความงามตามแบบมาตรฐาน (หรือ อันที่จริงน่าจะพูดว่าความงามที่ “ควรจะเป็น” ) ของหนังเรื่องนี้นั้นเป็นเช่นใด เฉลยออกมาในฉากเกือบสุดท้ายที่เป็นการเฉลยว่าเจ้าหญิงแห่งเมื่องปารังดาวีตัวจริงนั้นยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งรับบทโดย ซาร่าห์ ไคเซอร์ ผู้เข้ารอบ 10 คนสุดท้าย ผู้เข้าประกวดมิสไทยแลนด์เวิลด์ปี 2010  การปรากฏตัวของ ซาร่าห์ ในฐานะเจ้าหญิงตัวจริง ยิ่งตอกย้ำภาพตัวแทนของความงามฉบับมาตรฐานได้เป็นอย่างดี ซึ่งก็คือ ตัวแทนความงามที่ผู้หญิงควรจะเป็นของหนังเรื่องนี้ เธอสูง ขาว หน้ายาว หุ่นดี จมูกโด่งเป็นสัน ที่สำคัญเป็นลูกครึ่ง (สวิส) เป็นความงามที่ผ่านเวทีประกวดและได้รับการรับรองแล้วจากกรรมการและผู้ชายในสังคม (!)

ผู้เขียน ไม่ปฏิเสธการมีมาตรฐานหรือกติกาในสังคมเพราะจะช่วยให้สังคมมีร่องรอยในการอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ อย่างไรก็ตาม แม้จะมีมาตรฐานที่ได้รับการยกขึ้นให้เป็นกติกาของสังคม กระนั้น ก็ควรยอมรับความแตกต่าง และความสามารถสงวนความคิดต่างไว้ด้วย โดยการให้เกียรติไม่กล่าวว่าร้าย ตีตรา หรือลดทอนความสำคัญและคุณค่าของสิ่งนั้นลง การว่าร้ายสิ่งที่ผิดไปจากในลักษณะของการตัดสิน คาดโทษ และไม่ยอมรับ จะนำไปซึ่งความขัดแย้งที่ไม่มีที่สิ้นสุด และรังแต่จะสร้างความแตกแยกร้าวลึก ยากแก่การเยียวยา

สังคมไทย ขณะนี้กำลังตกอยู่ในสภาวะของการไม่ยอมรับความเห็นต่าง และใช้เพียงมาตรฐานเดียวมาตัดสินความถูกต้อง ทั้งๆ ที่เรื่องราวของสังคมเป็นเรื่องที่สลับซับซ้อน ไม่ใช่เรื่องของความงามที่เมื่อตัดสินกันแล้วก็จบไป อย่างการประกวดนางงาม หรือการกร่นด่าความงามของตุ๊กกี้ว่าเป็นปลวกบ้าง ผิดไปจากคนบ้าง ตุ๊กกี้อาจจะไม่ทำอะไร คนดูอาจจะไม่ทำอะไร เพราะการตัดสินเช่นนี้นอกจากว่าอาจสร้างความน้อยเนื้อต่ำใจให้แก่คนบางคนที่ไม่ได้งามมาตรฐานนางงามแล้ว ก็ไม่ได้สร้างความเสียหาย เสียเลือดเสียเนื้อแก่บ้านเมือง ทั้งยังอาจสร้างเสียงหัวเราะให้กับคนบางกลุ่มได้อีกด้วย แต่สำหรับเรื่องราวความแตกต่างในสังคม ไม่ใช่การตัดสินแล้วจะจบไป เพราะเกี่ยวข้องกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมากมาย หนทางหนึ่งในการประคับประคองสังคมจึงอาจต้องเริ่มกันด้วยการฟัง การไม่ตัดสินโดยมาตรฐานเดียว และการยอมรับการสงวนจุดต่าง

วกเข้าเรื่องการเมืองเสียดาย ทั้งๆ ที่วันนี้ผู้เขียนเพียงอยากวิจารณ์ภาพยนตร์เท่านั้น อันที่จริงหนังเรื่องนี้ก็มีจุดที่น่าตื่นตาตื่นใจอยู่เช่นกันในฉากแรก ๆ ที่เป็นการเปิดตัวตลาดที่เจ้าหญิงตุ๊กกี้ทำงานขายกบอยู่ ที่แสนจะเต็มแต้มไปด้วยสีสันและดีไซน์ย้อนยุค ร้านแต่ละร้านต่างแสวงหาจุดเด่นของตน เช่น ร้านขายรองเท้าก็นำรองเท้ามาปะที่ตัวเองจนเต็มไปหมดทั้งตัวเพื่อเรียกลูกค้า หรืออย่างการปรากฏตัวของนักเลงหัวไม้ ที่มีไม้อยู่บนหัวจริงๆ ก็ทำให้ชวนคิดว่า ผู้เขียนอาจจะตัดสินใจถูกก็ได้ที่เลือกเข้ามาชมหนังไทยเรื่องนี้ แต่พอถึงฉากด่าเจ้าหญิงตุ๊กกี้อย่างไม่ใช่คนแล้ว ก็รับไม่ได้จริง ๆ

 

 

 

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

นายกฯ แจงเอ็ม79 ของเก่า10เมษา-ตร.ชี้ลูกน้องเสธ.แดงเอี่ยวบึ้มบิ๊กซี ลูกสาวโอดพ่อถูกปรักปรำ

Posted: 01 Aug 2010 01:12 PM PDT

นายกฯ แจงเป็นของเก่าที่มีการยิงเข้ามาในทำเนียบฯเมื่อ10 เม.ย. ด้านที่ประชุมตำรวจระบุวางระเบิดบิ๊กซี อาจเกี่ยวพันกับแก๊งค์รถตู้ลูกน้องเสธ.แดง ขณะที่ขัตติยา สวัสดิผล ลูกสาวโอดความผิดทุกอย่างโยนให้พ่อ ชวนผู้สนใจร่วมทำบุญ 100วัน 22 ส.ค.ที่ราชบุรี

<!--break-->

1 ส.ค.53 เมื่อเวลา 10.00 น. ที่สถานีวิทยุโทรทัศน์ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ (สทท.11) ถนนวิภาวดีรังสิต นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจพบกระสุนระเบิดเอ็ม 79 ในทำเนียบรัฐบาลว่า ไม่น่าจะมีอะไรซับซ้อน คือ เมื่อวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา มีการยิงเอ็ม 79 เข้าไปที่ทำเนียบรัฐบาล ลูกหนึ่งไปตกบนหลังคา และอีกลูกหนึ่งที่พบเมื่อวันที่ 31 ก.ค. ตนเข้าใจว่าตกลงตรงคูน้ำ พอไปตรวจท่อระบายน้ำก็ไปเจอ เป็นเรื่องเก่าไม่มีอะไร ส่วนจะมีการเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยเพิ่มเติมหรือไม่นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตอนนี้ก็ดูแลเรียบร้อยดี ไม่มีอะไร

ต่อข้อถามถึงกรณี มีเหตุระเบิดเกิดขึ้นที่ จ.ชลบุรี หลังยกเลิกประกาศภาวะฉุกเฉิน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ยังไม่คิดว่าเป็นปัญหาในแง่การเดินหน้ายกเลิก พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินต่อไป ส่วนแนวโน้มจะมีการยกเลิกเพิ่มเติมอีกหรือไม่นั้น เมื่อสถานการณ์เรียบร้อยเมื่อไร ก็ให้ยกเลิก ถามว่าในจังหวัดที่ยกเลิกไปแล้วนั้น ยังมีการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงหรือไม่ ก็มี เพียงแต่ว่าจังหวัดเหล่านั้นรายงานมาว่า ผู้ที่เป็นแกนนำการเคลื่อนไหวมีแนวทางที่ชัดว่าเคลื่อนไหวโดยสันติ ไม่เป็นปัญหา สามารถเคลื่อนไหวได้ เพราะเป็นสิทธิทางการเมือง

ส่วนกรณีที่ศาลให้ประกันตัวนายวีระ มุสิกพงศ์ ประธาน นปช. และ จะมีการเดินหน้าขอประกันตัวแกนนำคนอื่นๆตามมา จะมีปัญหาหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เป็นดุลยพินิจของศาล ศาลต้องพิจารณาแล้วว่า หลังให้ประกันตัวจะมีผลอย่างไร เมื่อถามว่านายกฯ ได้คุยกับนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ที่ไปเบิกความเป็นคุณต่อนายวีระ จะมีปัญหาหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ ไม่ต้องคุย เพราะนายกอร์ปศักดิ์บอกตนมีหมายศาลเรียกมาก็ต้องไป ทั้งหมดเป็นดุลยพินิจของศาล.

 
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 31 ก.ค. ขณะที่เจ้าหน้าที่กรุงเทพมหานคร ทำการซ่อมท่อระบายน้ำและบ่อพักน้ำเสียบริเวณด้านหลังตึกนารีสโมสร หน้าร้านพัฟแอนด์พาย ใกล้ประตู 7 พบกระสุนลูกระเบิดเอ็ม 79 ไหลออกมาพร้อมกับน้ำเสียต่างๆ ทำให้เจ้าหน้าที่ตกใจรีบแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทำเนียบรัฐบาลทราบ และแจ้งไปยัง สน.ดุสิต และหน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด (อีโอดี) มาเก็บกู้และตรวจสอบทันที
 
 
  
ตร.ระบุวางระเบิดบิ๊กซี พัวพันกลุ่มลูกน้องเสธ.แดง
ขณะที่อีกด้านหนึ่ง พล.ต.อ.ภาณุพงศ์  สิงหรา ณ อยุธยา ที่ปรึกษา (สบ10)  พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น. พล.ต.ต.สุเมธ เรืองสวัสดิ์  รองผบช.น. พล.ต.ต.ปรีชา ธิมามนตรี ผบก.ส.2  พล.ต.ต.ฉันทวิทย์ รามสูต ผบก.สส. พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง ผบก.น.5  พ.ต.อ.คณิศร์ชัย มหินทรเทพ ผกก.สส.บก.น.1  พ.ต.อ.สมบัติ มิลินทจินดา ผกก.สส.บก.น.5  ฝ่ายสืบสวน สน.พญาไทและฝ่ายสืบสวน สน.ลุมพินี  กลุ่มงานเก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิด (อีโอดี)กองพิสูจน์หลักฐาน ร่วมกันประชุมคดีคนร้ายลอบวางระเบิดที่บริเวณหน้าห้างบิ๊กซี สาขาราชดำริ และเหตุระเบิดตรงข้ามโรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์
           
ก่อนเข้าห้องประชุม  พล.ต.อ.ภาณุพงศ์  เชิญสื่อมวลชน ร่วมแถลง กล่าวว่า พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รรท.ผบ.ตร. สั่งการให้ตนติดตามความคืบหน้าคดีระเบิดพร้อมทั้งปรับแผนการทำงาน โดยเน้นดำเนินการเป็น 3 ส่วน 1.ชุดสืบสวนสอบสวนให้มุ่งเน้นสืบสวนในช่วงก่อนเกิดเหตุ ขณะที่เกิดเหตุ และหลังเกิดเหตุ 2.ให้ พล.ต.ท.สัณฐาน  จัดชุดปฏิบัติการเชิงรุกกับกลุ่มผู้ต้องสงสัยต่างๆ ที่เรามีข้อมูลอยู่และได้ดำเนินการไปส่วนหนึ่งแล้ว และ 3.รรท.ผบ.ตร. เน้นย้ำให้พยายามแสวงหาความร่วมมือจากประชาชนมีการดำเนินการและได้รับผลความคืบหน้าระดับหนึ่ง  โดยเฉพาะในการดำเนินการส่วนที่ 2 ชุดสืบสวนสอบสวนผลคืบหน้า คดีระเบิดหน้าห้างบิ๊กซี ราชดำริ ท้องที่สน.ลุมพินี 

ในที่ประชุม พล.ต.ท.สัณฐาน พล.ต.ต.ฉันทวิทย์ รามสูต ผบก.สส. ร่วมกับ พ.ต.อ.มานพ น่วมลิวงศ์  ผกก.กก.3 บก.สส. พ.ต.ต.สมบูรณ์ สุขศรีดาวเดือน สว.กก.3 บก.สส. แถลงข่าวความคืบหน้าคดีระเบิดหน้าห้างบิ๊กซี ราชดำริ โดยพ.ต.ต.สมบูรณ์ กล่าวว่า เชิญตัว น.ส.ปฏิภัค หรือเป็ด เอกอภิวัชร์ อายุ 41 ปี มาสอบสวน ซึ่งคดีระเบิดหน้าห้างบิ๊กซี ราชดำริ หลังจากได้รวบรวมพยานหลักฐานพบว่า แผงวงจรไฟฟ้าที่ต่อระเบิด และสายไฟ จากการตรวจสอบปรากฏว่า ใกล้เคียงและคล้ายกันกับเหตุระเบิดและเหตุที่พบระเบิด 5 จุด ในท้องที่สน.ปทุมวัน สน.โคกคราม สน.บางชัน และสน.นางเลิ้ง 2 คดี

พ.ต.ต.สมบูรณ์ กล่าวต่อว่า แต่จุดที่สามารถขยายผลได้ คือ สน.โคกคราม ที่พบระเบิดต่างๆ ในรถเก๋งฮอนด้า ซีวิค ที่มาจอดทิ้งไว้ ที่ริมน้ำอพาร์ตเม้นต์ โดยพบแผงวงจรระเบิดที่ต่อไว้ เหมือนกับเหตุระเบิดท้องที่สน.ลุมพินี และอีก  4 สน.ดังกล่าว จากการตรวจสอบทราบว่า น.ส.ปฏิภัค เฝ้าสถานที่ที่รถนั้นจอดอยู่ หลังเชิญตัวมาสอบปากคำก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี พร้อมให้ข้อมูลเพิ่มเติมด้วยว่า นายกิตติศักดิ์ หรืออ้วน สุ่มศรี เป็นคนขับมาจอด โดยมีนายเสก ไม่ทราบชื่อและนามสกุลจริง ขับรถตู้มารับผู้ร่วมขบวนการออกไปซึ่งมีทั้งหมด  3 คน น.ส.ปฏิภัค ให้ข้อมูลด้วยว่า มีนายธนเดช หรือไก่ เอกอภิวัชร์ น้องชายตนเอง ร่วมมือด้วยโดยทั้ง 3 คนนั้นเป็นเพื่อนสนิทกัน

พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น. กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากเกิดระเบิดที่ห้างบิ๊กซี ราชดำริ ก็มีการสืบสวนย้อนรอยกลับไป จนพบว่า น.ส.ปฏิภัค พักอยู่ในห้องตรงกับรถฮอนด้า ซีวิค หลังสืบสวนสอบสวนเชิงลึกทราบว่า น.ส.ปฏิภัค ก็ออกจากห้องพักไปแล้ว จนกระทั่ง บก.สส.ก็สามารถติดตามตัวมาได้ น.ส.ปฏิภัค ก็ยอมรับว่า รถฮอนด้ามีนายเกียรติศักดิ์ เป็นเพื่อนของน้องชาย และเคยมาที่บ้านหลายครั้ง เรียกว่า เป็นแก๊งรถตู้ โดยทั้งหมดมาด้วยกัน นายอ้วน เป็นคนขับ นอกจากนี้ในที่เขี่ยบุหรี่ในรถเก๋งฮอนด้าก็ยังพบ หมายเลขโทรศัพท์ซึ่งเป็นของนายผัน ไม่ทราบนามสกุล ตนเชื่อว่า เป็นคนในเครื่องแบบขณะนี้กำลังติดตามตัวอย่างใกล้ชิด
 
พล.ต.ท.สัณฐาน กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังเชื่อมโยงมาถึงคดีที่สามารถจับกุมคนร้าย ที่ปาระเบิดที่หน้าธนาคารกรุงเทพ สาขาสีลม เป็นเด็กหนุ่มรูปหล่อสูงใหญ่ ผู้ที่นำระเบิดมาขว้างนั้นก็เป็นแก๊งรถตู้ โดยมี เสธ.ไก่ ซึ่งไม่ใช่ทหาร เป็นคนธรรมดาแต่เรียกกันว่า เสธ.ไก่ แก๊งนี้เป็นลูกน้องเสธ.แดง ทั้งหมด นี่คือกลุ่มของเสธ.แดงทั้งหมด แต่เหนือจากเสธ.แดง ก็มีอยู่ก็คือ"คนแก่"  อันนี้ต้องไปตีความเอาเองก็แล้วกัน
 
ผบช.น. กล่าวอีกว่า วงจรที่เห็นตนเชื่อว่า เชื่อมโยงกัน และคดีนี้ขึ้นกับดีเอสไอ ตนก็จะพิจารณาดูว่าจะทำอย่างไรต่อไป เบื้องต้นต้องสอบปากคำบันทึกขั้นต้นไป ส่วนนายธนเดช หรือไก่ น้องชายน.ส.ปฏิภัค ไม่ได้อยู่บ้าน จากการสืบสวนทราบว่า อยู่ทางด้านชายแดนเขมร ทั้งนี้ต้องขอบคุณน.ส.ปฎิภัค ที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี จริงๆแล้วขั้นต้นตนบอกตรงว่า คิดเอาเป็นผู้ต้องหาด้วยซ้ำไป เพราะรถมาจอดอยู่เป็นเดือนไปแจ้งไม่บอกกล่าวอะไรเลย แต่พอดูคำให้การแล้วเชื่อว่า ให้การที่เป็นประโยชน์ ซึ่งก็จะมีการติดตามจับกุมคนร้ายทั้งหมดต่อไป ถามว่า ทั้งหมดสามารถออกหมายจับได้แล้วหรือยังรวมทั้งน.ส.ปฎิภัค  พล.ต.ท.สัณฐาน กล่าวว่า การออกหมายจับหรือไม่ต้องอยู่ที่ดีเอสไอ เพราะการสอบสวนไม่ได้อยู่กับตำรวจแล้ว
 
พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า คดีระเบิดดังกล่าวมีการชี้แจงจากเหตุผล และผู้เชี่ยวชาญที่ตรวจสอบ ทั้งหมดนั้นใช้วิทยาศาสตร์นำหน้าเพื่อเชื่อมโยงคดี แต่ละคดีในอดีตตัวละครที่เกี่ยวข้องเป็นใคร เชื่อว่า ตัวละครที่เกี่ยวข้องในอดีตมาเชื่อมกับคดีที่ห้างบิ๊กซี ราชดำริ ท้องที่สน.ลุมพีนี น.ส.ปฏิภัค ก็ให้ความร่วมมือบอกข้อมูลผู้ที่เกี่ยวข้อง หน้าที่ของฝ่ายตำรวจขณะนี้รับผิดชอบในส่วนของงานสืบสวนเราก็จะสืบสวนสนับสนุนกรมสอบสวนคดีพิเศษ
 
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า จะนำคดีนี้ไปเชื่อมโยงกับกลุ่มคนร้ายที่วางระเบิดหน้าบริษัท คิงเพาเวอร์หรือไม่ พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ กล่าวว่า คดีระเบิด คิงเพาเวอร์ไม่เชื่อมโยงคดีท้องที่สน.ลุมพินี และสน.โคกคราม แต่หลักฐานทางวิทยาศาสตร์คดีระเบิดคิงเพาเวอร์ จะไปเชื่อมคดีท้องที่ สน.ประชาชื่น ขณะนี้อยู่ระหว่างผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ โดยการตรวจสอบนั้นละเอียดมาก แม้แต่การตัดสายไฟ องศาเฉียงของการตัด รอยคมต่างๆ ผู้ชำนาญของกองพิสูจน์หลักฐาน นักวิทยาศาสตร์มีความละเอียดรอบคอบ รวมทั้งกลุ่มงานเก็บกู้และตรวจวัตถุระเบิดก็ประสานกัน ซึ่งสามารถตอบคำถามความเชื่อมโยงได้
 
 
 
"ขัตติยา"โอดพ่อถูกปรักปรำโยงคนตายรับผิดหมด
น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล บุตรสาวของ พล.ต.ขัตติยะกล่าวว่า รู้สึกไม่สบายใจกับหลายเหตุการณ์ที่ตำรวจพูดว่าเหตุการณ์ระเบิดที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำของเครือข่าย
"เสธ.แดง" พล.ต.ขัตติยะ ทั้งๆ ที่บิดาได้เสียชีวิตไปแล้ว ตำรวจมีหลักฐานเชื่อมโยงอะไร ผู้ต้องสงสัยทำงานอยู่กับบิดาหรือไม่ ไม่ใช่มาปรักปรำบิดาแบบนี้ พล.ต.ขัตติยะเก่งขนาดนั้นเลยหรือ

"เป็นเรื่องไร้สาระ ตำรวจชักไปกันใหญ่ อะไรๆ ก็โยงเป็นความผิดของคุณพ่อ เป็นการให้ข่าวผิดว่าคนคนนี้เป็นคนของเสธ.แดง ทั้งที่ดิฉันเองไม่เคยรู้จักกับคนที่ตำรวจบอกมาหรือจับมาได้ มีข่าวร้ายให้พ่อแบบนี้ สภาพจิตใจเราก็ยิ่งแย่ลงไปอีก พ่อเสียชีวิตไปแล้ว น่าจะปล่อยไปได้แล้ว เขาหลุดโลกนี้ไปแล้ว อยากให้ไปด้วยดี"  น.ส.ขัตติยากล่าว และฝากเชิญชวนประชาชนที่รู้จักและสนิทกับ "เสธ.แดง" ว่า ในวันที่ 22 สิงหาคมนี้ จะทำบุญครบรอบ 100 วันให้ที่วัดสุขวนาราม จ.ราชบุรี
 

 
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ มติชนออนไลน์
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

พระราชินีทรงชื่นชม ‘นภัส ณ ป้อมเพ็ชร์’ ตอบโต้ CNN ช่วยฟื้นภาพลักษณ์ประเทศ

Posted: 01 Aug 2010 01:09 PM PDT

เว็บไซต์ไทยอีนิวส์รายงานถึงพระราชหัตถเลขาในสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถที่พระราชทานให้กับ นภัส ณ ป้อมเพชร ชื่นชมกรณีส่งจดหมายตอบโต้-ตำหนิสำนักข่าว CNN ทำข่าวด้านเดียว

<!--break-->


 

1 ส.ค.53 ทีมข่าวไทยอีนิวส์  เปิดเผยกรณีท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ทีขะระ นางสนองพระโอษฐ์ และรองราชเลขานุการในพระองค์ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้อัญเชิญพระราชหัตถเลขาในสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถฯ พระราชทานให้กับคุณนภัส ณ ป้อมเพ็ชร์ โดยพระราชหัตถเลขา ลงวันที่ 24 กรกฎาคม 2553 มีรายละเอียดว่า  

“ถึง คุณนภัส ณ ป้อมเพ็ชร์

ฉันได้อ่านจดหมายของคุณที่เขียนถึงสำนักข่าว CNN แล้ว รู้สึกภูมิใจที่คุณยืนขึ้นทำหน้าที่ของคนไทยตอบโต้นักข่าวต่างชาติอย่างองอาจ ตรงไปตรงมา แต่ก็ด้วยความสุภาพและมีเหตุผลที่ชัดเจน พอที่จะทำให้ประชาคมโลกที่ได้อ่านจดหมายของคุณต้องทบทวนความเชื่อถือที่มีต่อ CNN

ชื่นชมยิ่งที่คุณช่วยฟื้นฟูภาพลักษณ์ของประเทศชาติ

(ลายพระราชหัตถเลขาในสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถฯ)”

 

..............................
รายละเอียด กรณีการทำจดหมายชี้แจงสำนักข่าว CNN ของ นภัส ณ ป้อมเพ็ชร์

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ปรับผังรายการช่อง11 เปิดทางวิปฝ่ายค้านออกทีวีรัฐ

Posted: 01 Aug 2010 12:42 PM PDT

<!--break-->

1 ส.ค.53 ที่สถานีวิทยุโทรทัศน์ช่อง 11 (สทท.11) ถนนวิภาวดีรังสิต นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานแถลงข่าวการปรับผังและเปิดตัวรายการใหม่ของสถานี โดยผังใหม่จะเริ่มใช้ตั้งแต่ 2 ส.ค.เป็นต้นไป และจะมีการปรับอีกครั้งในช่วงเดือนตุลาคมนี้


นายองอาจกล่าวว่า หลังจากรับหน้าที่กำกับดูแลสื่อภาครัฐ มีความเห็นว่าน่าจะเปิดกว้างให้ทุกส่วนของสังคมได้ใช้สื่อในการแสดงความคิดเห็นที่หลากหลาย และใช้เหตุผลและความรู้ คิดแก้ไขปัญหากันแทนอารมณ์และความรุนแรง ในช่วงที่เกิดวิกฤต ประชาชนมีช่องทางในการเลือกรับสื่อแล้ว รัฐบาลใช้ช่อง 11 มาเพื่อใช้ชี้แจง พอวิกฤตผ่านพ้นไปก็เป็นเวลาที่จะเอาช่อง 11 มาเปิดพื้นที่ให้หลายๆ ส่วนสามารถเข้ามาใช้ได้ เพื่อให้สังคมไทยที่มีความแตกต่างสามารถอยู่ร่วมกันได้ น่าเสียดายที่ขณะนี้ยังไม่มีผู้นำฝ่ายค้านซึ่งเป็นตำแหน่งที่รับโปรดเกล้าฯ เช่นเดียวกับนายกรัฐมนตรี ถ้ามีก็พร้อมจะเปิดพื้นที่ให้มีเวลาของผู้นำฝ่ายค้านพบประชาชนเช่นเดียวกับที่นายกรัฐมนตรีมีรายการคุยกับประชาชน
 
ทั้งนี้ หลังจากปรับผังรายการใหม่แล้ว กรมประชาสัมพันธ์จะให้สถาบันการศึกษาทำโพลสำรวจชี้วัดว่ารายการที่ทำออกมาเปิดพื้นที่เพียงพอและเป็นกลางพอหรือไม่

ส่วนเรื่องการปฏิรูปสื่อนั้น นายองอาจกล่าวว่า รัฐบาลเองคงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฝ่ายสื่อและผู้เกี่ยวข้อง คาดว่าจะมีเวทีใหญ่อีกครั้ง เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกส่วนได้ออกมาแสดงความคิดเห็นกัน และจะมีคณะกรรมการปฏิรูปสื่อ ซึ่งมีนางยุบล เบ็ญจรงค์กิจ คณบดีคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้ประสานงานกับสื่อต่างๆ

ด้าน น.ส.รัตนา
เจริญศักดิ์  ผู้อำนวยการสถานีฯ กล่าวว่า รายการใหม่เป็นรายการที่เปิดพื้นที่ให้ทุกภาคส่วนของสังคมได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็น มีรายการเด่นๆ อย่าง"ตรงไปตรงมา" ออกอากาศวันจันทร์-พฤหัสบดี เวลา 22.00 น. เป็นรายการสนทนานำบุคคลหลากหลายอาชีพมาเสนอมุมมองแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์, "ฉีกกรอบ คิดกับคนรุ่นใหม่" เป็นการเสวนาและแสดงความคิดเห็นโดยวัยรุ่นและคนรุ่นใหม่ ออกอากาศวันศุกร์ เวลา 22.00 น., ฟังความรอบข้าง ระดมความคิดเห็นเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย ออกอากาศวันเสาร์ เวลา 22.00 น. และ "เวทีวิป" เป็นรายการที่เปิดให้ประธานวิปรัฐบาลและฝ่ายค้าน ร่วมสนทนากันในรายการ

ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการปรับผังรายการใหม่ของ สทท.11 ว่า นโยบายของรัฐบาลชัดเจนอยู่แล้วว่าส่วนหนึ่งของแผนการสร้างความปรองดอง (โรดแมป) พยายามเปิดโอกาสให้มีการแลกเปลี่ยนพูดคุยกัน มีรายการใหม่ๆ ทั้งที่เป็นเวทีรับฟังความคิดเห็นของชาวบ้าน ความเห็นของคนรุ่นใหม่ การเปิดให้คณะกรรมการประสานงาน (วิป) ทั้ง 2 ฝ่ายมาพูดคุยกัน ซึ่งดีกว่าไปติดอยู่กับความคิดมุมเดียวแล้วไปสู่การขัดแย้งกันบนท้องถนน
 
 
ที่มา: มติชนออนไลน์
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เภสัช จุฬาฯ ค้าน รมช.พาณิชย์ เตรียมลงนาม MOU ปราบปรามยาละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา

Posted: 01 Aug 2010 12:07 PM PDT

<!--break-->

1 ส.ค.53 จากกรณีที่ นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้พยายามให้สำนักงาน คณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุข ไปร่วมลงนามร่างบันทึกความตกลง (MOU) การป้องกันและปราบปรามยาที่ละเมิดเครื่องหมายการค้า โดยในวันอังคารที่ 3 ส.ค.นี้ จะมีการเรียกประชุม 11 หน่วยงานอีกครั้งก่อนการลงนามในปลายเดือนนี้
อย่างไรก็ตาม ผู้ช่วยศาสตราจารย์ เภสัชกรหญิง ดร.นิยดา เกียรติยอังศุลี หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการวิจัยเภสัชศาสตร์สังคม คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทำหนังสือคัดค้านการลงนามใน MOU ดังกล่าว โดยระบุว่า ข้อตกลงดังกล่าวจะขยายนิยาม “ยาปลอม” ที่เป็นปัญหาด้านความปลอดภัย ไปสู่ยาที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาด้วย ซึ่งดร.นิยดาเสนอแนะว่าขอสร้างความชัดเจนเรื่องคำนิยาม “ยาปลอม” ที่ต้องแยกแยะระหว่าง “คุณภาพและความปลอดภัย” และ “การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา” เพราะหากมีการขยายนิยาม “ยาปลอม” ให้ครอบคลุมเรื่องการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา จะก่อให้เกิดการสับสนและความเข้าใจผิด และเป็นการสกัดกั้นการแข่งขันของยาชื่อสามัญที่มีคุณภาพและถูกต้องกฎหมาย ซึ่งมีส่วนสำคัญที่ทำให้ราคายาถูกลงและเป็นธรรมมากขึ้น และช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงยาได้เพิ่มขึ้น
 

 
วันที่ 1 สิงหาคม 2553
 
เรื่อง       ร่างบันทึกความตกลงการป้องกันและปราบปรามยาที่ละเมิดเครื่องหมายการค้า
เรียน       รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายอลงกรณ์ พลบุตร)
 
                                ตามที่มีการประชุมระหว่างหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการสาธารณสุขและทรัพย์สินทางปัญญา และอุตสาหกรรมยาต่างประเทศและในประเทศ โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธานเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2553 มีการให้ความหมายอย่างชัดเจนในเรื่อง “ยาปลอม” ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติว่าด้วยยา พ.ศ. 2510 (ฉบับแก้ไข พ.ศ.2530) และไม่รวมถึงยาที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งมีพระราชบัญญัติที่เกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาคอยกำกับดูแลอยู่ แต่ต่อมาในการประชุมเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2553 ได้มีการเสนอร่างบันทึกความตกลงการป้องกันและปราบปรามยาที่ละเมิดเครื่องหมายการค้า ที่พบว่ามีส่วนที่อาจเชื่อมโยงกับงานด้านคุณภาพยา ด้วยนั้น
 
ในฐานะที่หน่วยปฏิบัติการวิจัยเภสัชศาสตร์สังคม (วจภส.) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นหน่วยวิชาการที่ติดตามและศึกษาวิจัยระบบยามาอย่างต่อเนื่อง เห็นว่าประเทศไทยมีกฎหมายที่กำกับดูแลเรื่องคุณภาพและความปลอดภัย ที่แยกจากระบบทรัพย์สินทางปัญญาอยู่แล้ว หน่วยงานของรัฐจึงควรที่จะบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพและให้เป็นไปภายใต้กรอบของกฎหมาย โดยที่คำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ   จึงใคร่ขอเสนอแนะให้เห็นถึงความสำคัญของการสร้างความชัดเจนในเรื่องคำนิยาม “ยาปลอม” ที่แยกแยะระหว่าง “คุณภาพและความปลอดภัย” และ “การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา” หากมีการขยายนิยาม “ยาปลอม” ให้ครอบคลุมเรื่องการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา จะก่อให้เกิดการสับสนและความเข้าใจผิด และสกัดกั้นการแข่งขันจากยาชื่อสามัญที่มีคุณภาพและถูกต้องกฎหมาย ซึ่งมีส่วนสำคัญที่ทำให้ราคายาถูกลงและเป็นธรรมมากขึ้น และช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงยาได้เพิ่มขึ้น อนึ่งในการประชุมสมัชชาองค์การอนามัยโลก ครั้งล่าสุด เมื่อเดือนพฤษภาคม 2553 นี้ ได้มีมติที่เกี่ยวกับการนิยาม คำว่า ’ยาปลอม’ ว่าให้มุ่งเน้นเฉพาะด้านคุณภาพยาที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ เท่านั้น มิใช่ความหมายด้านทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งประเทศไทยก็ได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนในเรื่องนี้ในการประชุมสมัชชาอนามัยโลก ในครั้งที่ผ่าน ๆ มาด้วยเช่นกัน
 
ดังนั้น ความพยายามของฯพณฯรัฐมนตรีที่จะดึงสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ที่เป็นหน่วยงานที่ดูแลด้านคุณภาพและความปลอดภัยของประชาชนและมีหน้าที่โดยตรงเกี่ยวข้องกับระบบยา มาลงนามบันทึกความเข้าใจดังกล่าว ซึ่งเป็นเรื่องของทรัพย์สินเอกชน เช่น เครื่องหมายการค้า สิทธิบัตร และทรัพย์สินทางปัญญาอื่นๆจึงไม่สมควร
 
นอกจากนี้ ความผิดของการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งร่วมทั้งการละเมิดเครื่องหมายการค้า เป็นความผิดเฉพาะบุคคล ซึ่งต้องมีเจ้าของสิทธิไปแจ้งความกล่าวโทษเจ้าหน้าที่จึงจะสามารถไปจับกุมด้วย ต่างกับฐานความผิดที่ สำนักงาน อย.ดูแลอยู่ที่สามารถจับกุมเมื่อมีการกระทำผิดได้ทันทีโดยไม่ต้องแจ้งความกล่าวโทษ เพราะเป็นเรื่องการคุ้มครองผู้บริโภค ดังนั้น จึงไม่ควรบีบบังคับให้ อย.ต้องทำหน้าที่ “ตำรวจทรัพย์สินทางปัญญา” เท่ากับเป็นการสร้างภาระทั้งด้านต้นทุนการดำเนินงานจัดการที่เป็นภาษีแผ่นดินเพื่อเป็นประโยชน์ต่อเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญา  
 
ดังนั้น ขอให้ฯพณฯรัฐมนตรี และกรมทรัพย์สินทางปัญญาทบทวนเรื่องดังกล่าว และจัดให้มีการศึกษาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากความพยายามในการดึงหน่วยงานด้านยามาทำหน้าที่การปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ทั้งในผลกระทบเชิงเศรษฐกิจ และสังคม ทั้งนี้ หน่วยปฏิบัติการวิจัยเภสัชศาสตร์สังคม ยินดีสนับสนุนข้อมูลทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนิยาม ‘ยาปลอม’ ตลอดจนการศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้อง ที่ได้ทำงานร่วมกับแผนงานสร้างกลไกเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา และแผนงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  
                                จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา
 
                                                                                                ขอแสดงความนับถือ
 
                                                           ผู้ช่วยศาสตราจารย์ เภสัชกรหญิง ดร. นิยดา เกียรติยอังศุลี        
                                                                     หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการวิจัยเภสัชศาสตร์สังคม
                                                                       คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  
 

 
 
AttachmentSize
ร่างบันทึกความตกลงการป้องกันและปราบปรามยาที่ละเมิดเครื่องหมายการค้า.pdf140.85 KB
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

This posting includes an audio/video/photo media file: Download Now

ประมวลภาพ: “คนตาย ตึก และพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ” วันอาทิตย์สีแดง

Posted: 01 Aug 2010 11:58 AM PDT

<!--break-->

วานนี้ (1 ส.ค.53) สมัชชาสังคมก้าวหน้า, กลุ่มกวีวันอาทิตย์ (สีแดง), เครือข่ายนักกิจกรรมทางสังคมเพื่อประชาธิปไตย จัดกิจกรรมโครงการศิลปะสู่อิสรภาพ ครั้งที่ 1 “คนตาย ตึก และพรก.ฉุกเฉิน” ณ อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว 

เริ่มต้นกิจกรรมแรกของวัน เมื่อเวลา 9.00 น.ด้วยเวทีเสวนา (สุดซ่า) โดยสถาบันต้นกล้า และ กลุ่ม we change ในชื่อ “สามัญชนเปลี่ยนโลก / วิถีแนวนอน การเคลื่อนไหวของแกนนอน” กับ ภควดี ไม่มีนามสกุล, สมบัติ บุญงามอนงค์, ปีเตอร์ ศรี, Tewarit Bus Maneechay โดยมี กิตติชัย งามชัยพิสิฐ ทำหน้าที่ดำเนินรายการ ต่อด้วยกิจกรรมต่างๆ ที่ต่อเนื่องตลอดทั้งวัน อาทิ การเอ่ยสำเนียงร้อยอักษร กับ กวีไพร่ๆ นำโดย วัฒน์ วรรลยางกูร, ประกาย ปรัชญา, เดือนวาด พิมวนา, วาด รวี, รางชาง มโนมัย, วฒน, ชัชชล อัจนากิตติ, เพียงคำ ประดับความ และมินิคอนเสิร์ตโดยศิลปิน วงดินเลน, วงผองเรา, สุรกิ๊ ผีน่ารัก, ดำ บุญมี, โบและผองเพื่อน กิจกรรมแหกปากหาอิสรภาพ โดย นที สรวารี จำลองเหตุการณ์ร้องเรียกหาอิสรภาพและประชาธิปไตย ภายใต้ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ

นอกจากนี้ โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) ได้มาเชิญชวนผู้เข้าร่วมกิจกรรม “ร่วมลงชื่อยกเลิกกฎหมายความมั่นคง 3 ฉบับ” ประกอบด้วย พระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ.2457 พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 และพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 โดยออกกฎหมาย “พระราชบัญญัติยกเลิกกฎหมายด้านความมั่นคงที่ขัดต่อสิทธิเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตย พ.ศ. ...” ตามช่องทางการเข้าชื่อกันเสนอกฎหมายของประชาชน 10,000 รายชื่อ 

ส่วนการแสดง คณะละครผี “ที่นี่มีคนตาย” ซึ่ง (คนแต่ง) ผีตัวเป็นๆ กระจากเข้าไปกระซิบบอกผู้เข้าร่วมกิจกรรมว่า “ที่นี่มีคนตาย” และคำถามคือ “ใครฆ่า??” โดยเครือข่ายนักกิจกรรมทางสังคมเพื่อประชาธิปไตย และละครการเมือง เรื่องถึงน้ำจะเน่าก็ยังเห็นเงาตึก โดยประกายไฟการละคร อีกทั้งยังมีทอร์คโชว์แสบๆ คันๆ นำโดย ปีเตอร์ ศรี, สมบัติ บุญงามอนงค์ พร้อมผู้เข้าร่วมอีกคับคั้ง

บรรยากาศภายในงานวันนี้ มีประชาชนสวมใส่เสื้อสีแดงเข้าร่วมกิจกรรมกันอย่างคึกคัก โดยบริเวณกลางลานถูกใช้เป็นพื้นที่แสดงศิลปะการจัดวางเถ้าถ่ายเป็นรูปร่างคน และปูผืนผ้าใบรูปพระอาทิตย์สีแดงขนาดใหญ่ ส่วนโดยรอบเป็นนิทรรศการภาพการ์ตูนล้อการเมือง โดย ทองธัช เทพารักษ์ นิทรรศการภาพเขียนจากเครือข่ายศิลปินประชาธิปไตย นอกจากนั้นยังมีภาพถ่าย “เราไม่ทอดทิ้งกัน” โดย กราบแผ่นดิน 

ทั้งนี้ ผลงานศิลปะที่จัดแสดงในวันนี้ได้ถูกนำมาประมูล เพื่อนำเงินรายได้ทั้งหมดหลังหักค่าใช้จ่ายที่จำเป็น บริจาคให้กับ “ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมเดือน เม.ย.- พ.ค.2553” (ศปช.) เพื่อสนับสนุนทนายอาสา ช่วยเหลือผู้ถูกจับกุมจาก พรก.ฉุกเฉินฯ อีกทั้ง ยังมีหนังสือ และเสื้อยืดกิจกรรมหลากรูปแบบและลวดลาย ถูกนำมาวางขายเพื่อระดมทุนในการทำกิจกรรมของนักกิจกรรมกลุ่มต่างๆ

ขวัญระวี วังอุดม นักสิทธิมนุษยชน ที่เข้าร่วมทำงานกับ ศปช.กล่าวถึงกิจกรรมในวันนี้ว่าเป็นการประชาสัมพันธ์การทำงาน และแนะนำ ศปช.ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น อีกทั้งเชิญชวนผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิฯ และญาติ เขามาให้ข้อมูลเพื่อการรวบรวมข้อเท็จจริง จากเหตุการณ์การสลายการชุมนุมเดือน เม.ย.-พ.ค.53 อันจะนำไปสู่การศึกษาปัญหาและนำเสนอเรื่องราวที่เป็นจริง เรียกร้องความยุติธรรม ให้เกิดขึ้นในสังคม โดยสามารถแจ้งเรื่องร้องเรียนได้ที่ www.peaceandjusticenetwork.org  หรือติดต่อทาง Facebook ของศูนย์ 

สำหรับรายการประมูลผลงานศิลปะในวันนี้ ขวัญระวีกล่าวว่า มีผู้ร่วมประมูลภาพถ่ายเสื้อแดงและบทกวี เป็นเงินจำนวน 33,250 บาท ซึ่งต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ร่วมสมทบทุนการทำงานของ ศปช.และขณะนี้ ศปช.อยู่ระหว่างการลงพื้นที่ในภาคต่างๆ เพื่อเก็บข้อมูล ซึ่งการแถลงข้อเท็จจริงจากการรวมรวมของ ศปช.จะมีขึ้นในวันที่ 19 ของทุกเดือน

จากนั้น เวลาประมาณ 17.30 จึงเคลื่อนย้ายกันไปร่วมกิจกรรมวันอาทิตย์สีแดง “เราเห็นคนตาย” ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย นำโดย บก.ลายจุด สมบัติ บุญงามอนงค์ และผองเพื่อนแกนนอน

ในส่วนการดูแลรักษาความเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 100 ราย ทั้งในและนอกเครื่องแบบได้มาประจำที่บริเวณ อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา ตั้งแต่ช่วงเช้า ทั้งนี้ ในช่วงบ่ายของการจัดกิจกรรมได้เกิดเหตุวุ่นวายเล็กน้อยเมื่อมีชายสวมชุดดำคนหนึ่งใช้โทรโข่งปราศรัยโจมตีรัฐบาลที่มีคำสังให้ทหารเข้าสลายการชุมนุมจนทำให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตประชาชนจำนวนมาก จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้พยายามทำการจับกุมชายคนดังกล่าว แต่กลุ่มประชาชนจำนวนมากที่มาร่วมกิจกรรมได้ทำการขัดขวาง จนทำให้เกิดการผลักดันกันขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานว่าแม้สถานการณ์จะตึงเครียดแต่ไม่มีเหตุประทะรุนแรงและชายคนดังกล่าวไม่ถูกควบคุมตัวแต่อย่างใด ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ปฎิบัติหน้าที่จนกระทั่งผู้มาร่วมกิจกรรมได้สลายตัวไปอย่างสงบ  
 

 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
  
 
 
 

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

จวกกรรมการสอบการตาย ‘สุไลมาน แนซา’ แค่ถอดบทเรียน อ้างไม่มีอำนาจชี้เหตุการตาย

Posted: 01 Aug 2010 11:10 AM PDT

ประชุมรอบที่4 กรรมการสอบกรณีนาย สุไลมาน แนซา ผู้ถูกคุมตัวและเสียชีวิตในค่ายทหาร ทำได้แค่ถอดบทเรียน-เสนอแนะป้องกันการละเมิดสิทธิในอนาคต อ้างไร้อำนาจชี้ชัดถูกฆ่าหรือฆ่าตัวตาย เรียกสอบหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเองไม่ได้

<!--break-->

 
1 ส.ค.53 ที่โรงแรมเซาเทิร์นวิว อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี นายแวดือราแม มะมิงจิ ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบการเสียชีวิต นายสุไลมาน แนซา ครั้งที่ 4/2553
นายตูแวดานียา ตูแวแมแง ผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์วัฒนธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อประชาชน ในฐานะกรรมการ เปิดเผยหลังการประชุมว่า ที่ประชุมมีมติให้กรรมการแต่ละคนทำความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชนในระหว่างการควบคุมตัวเป็นรายบุคคล โดยยกกรณีการตายของนายสุไลมาน เป็นกรณีตัวอย่าง
นายตูแวดานียา เปิดเผยต่อว่า ในหลักการคณะกรรมการชุดนี้ ไม่มีอำนาจชี้ว่านายสุไลมานถูกทำให้ตายหรือฆ่าตัวตาย แต่กรรมการทำได้เพียงแต่การศึกษาและถอดบทเรียน เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องอย่างนี้อีก
นายอาเต็ฟ โช๊ะโก กรรมการอีกคนหนึ่งกล่าวหลังการประชุมว่า คณะกรรมการชุดนี้ไม่มีความอิสระ เนื่องจากอำนาจในการเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูลยังเป็นอำนาจของ กอ.รมน.ภาค 4 สน.
นายอาเต็ฟ กล่าวต่อว่า จากการสอบถามผู้ถูกควบคุมตัวช่วงเวลาเดียวกับที่นายสุไลมานถูกควบคุมตัว ส่วนใหญ่ให้ข้อมูลว่า ถูกซ้อมทรมานในระหว่างถูกควบคุมตัวที่ศูนย์เสริมสร้างความสมานฉันท์ (ศสฉ.) จึงเป็นไปไม่ได้ที่นายสุไลมาน จะไม่ถูกซ้อมตามที่เจ้าหน้าที่อ้าง
นายสุไลมาน แนซา ถูกพบเป็นศพในสภาพแขวนคอภายใน ศสฉ. ซึ่งเป็นสถานที่ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งอยู่ภายในค่ายอิงคยุทธบริหาร อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี เมื่อวันที่ 30 พ.ค.53 หลังจากถูกควบคุมตัวมาแล้ว 9 วัน
คณะกรรมการชุดนี้ มีตัวแทนองค์กรภาคประชาสังคม และตัวแทนหน่วยงานของรัฐเป็นกรรมการ รวม 14 คน โดยคำสั่งแต่งตั้งลงนามโดย พล.ต.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรภาค 4 ส่วนหน้า (รอง ผอ.รมน.ภาค 4 สน.) ทำการแทน ผอ.รมน.ภาค 4 ลงวันที่ 22 มิ.ย.53
คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ดำเนินการตรวจสอบการเสียชีวิตของนายสุไลมาน และรวบรวมรายงานผลการตรวจสอบให้ กอ.รมน.ภาค 4 สน. ทราบ เพื่อสรุปชี้แจงให้ผู้เกี่ยวข้องและสาธารณชนทราบต่อไป โดยมีกรอบเวลาในการทำงาน 1 เดือน แต่ต้องขยายเวลาเพิ่ม เนื่องจากเลยกำหนด 1 เดือนแล้ว ต่อมานายอดิลัน อาลีอิสเฮาะ ประธานศูนย์ทนายความมุสลิมจังหวัดยะลา และนายอนุกูล อาแวปูเต๊ะประธานศูนย์ทนายความมุสลิมจังหวัดปัตตานี ได้ขอถอนตัวจากการเป็นกรรมการ
 
 ข่าวย้อนหลัง
 
 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

คนดีกับคนมีเสรีภาพ

Posted: 01 Aug 2010 09:58 AM PDT

<!--break-->

 
 
การเรียกร้อง “คนดี” โดยชนชั้นนำในสังคมไทยยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี กล่าวว่า "เราอยากเห็นคนดีมีมากขึ้นในสังคม ถ้าสัดส่วนระหว่างคนดีกับคนไม่ดียังไม่ใกล้เคียงกัน บ้านเมืองจะตกอยู่ในภาวะวุ่นวาย เพราะคนไม่ดีมากกว่าคนดี..ที่สำคัญคือจะทำอย่างไรให้สัดส่วนคนดีเพิ่มขึ้น” (http://www.matichon.co.th/news_detail.p ... =01&catid=)
 
แต่เมื่ออ่านตามเว็บไซต์ต่างๆ จะพบว่ามีความเห็นจำนวนไม่น้อยที่บอกว่าไม่อยากพูดถึง หรือกระทั่งสะอิดสะเอียดกับคำว่า “คนดี” หรือที่จริงจังมากขึ้นก็คือมีการเสนอว่า สังคมควรเรียกร้อง “ระบบที่ดี” มากกว่า “คนดี” หากต้องการเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
 
โดยที่สังคมไทยเป็นสังคมพุทธ จึงน่าสนใจว่า ความหมายของ “คนดี” ตามที่พุทธศาสนาสอน กับ “คนดี” ในจินตนาการของสังคมไทยคือคนเช่นไร?
 
ในหนังสือชื่อ An Essay Concerning Buddhist Ethics (ที่เขียนโดยคนไทย คือ ศ.ดร.สมภาร พรมทา) อธิบายว่า “ตามทัศนะของพุทธศาสนา การเป็นคนดีกับการเป็นคนมีเสรีภาพคือสิ่งเดียวกัน” (According to Buddhism, being a good person is same as being a free person.)
 
หมายความว่า การเป็นคนดีเกิดจากการกระทำสิ่งที่ดี แต่เราจะเป็นคนดีไม่ได้หากเราไม่เป็นคนที่มีเสรีภาพที่จะเลือกกระทำตามอารมณ์ หรือเหตุผล หรือเลือกระหว่างถูกกับผิด เมื่อเราเลือกที่จะกระทำตามเหตุผล เราย่อมกระทำสิ่งที่ดีหรือถูกต้อง การกระทำสิ่งที่ดีหรือถูกต้องนั่นเองที่ทำให้เราสมควรถูกยกย่องว่าเป็น “คนดี”
 
อันที่จริง “คน” ไม่ว่าจะได้รับยกย่องว่าเป็นคนดีหรือถูกตำหนิว่าเป็นคนเลว เขาคือ “คนที่มีเสรี” (a free person) การเป็นคนดีคนเลวก็เกิดจากการที่คนซึ่งมีเสรีภาพเลือกการกระทำที่สร้างให้เขาเป็นคนดีหรือเลว
 
ฉะนั้น ถ้าจะเพิ่มจำนวนคนดีในสังคม สิ่งสำคัญที่สุดเราต้องยอมรับความเป็น “คนที่มีเสรีภาพ” ของประชาชนก่อน เพราะเงื่อนไขแรกสุดของการเป็นคนดี เราจำเป็นต้องเป็น “คน” ก่อน คือเป็นคนที่มีเสรีภาพที่จะเลือกก่อน การกะเกณฑ์ให้คนต้องเชื่อฟัง ต้องสยบยอมต่ออำนาจ ปิดกั้นเสรีภาพในการรับรู้ข่าวสาร การแสดงความความคิดเห็น การแสดงออกทางการเมือง การพูดความจริง ฯลฯ คือการทำลายความเป็น “คน” เมื่อทำลายความเป็นคนแล้ว เราจะสร้าง “คนดี” ได้อย่างไร?
 
เพราะการเป็นคนดี ย่อมเรียกร้อง (Requirement) ความเป็นคนมีเสรีภาพที่สามารถจะเลือกกระทำตามเหตุผล หรือกระทำสิ่งที่ถูกต้อง และรับผิดชอบต่อผลที่ตามมาด้วยตัวของเขาเอง
 
นอกจากนี้ การเป็นคนดียังเรียกร้องความสามารถที่จะเผชิญกับความทุกข์หรือความเจ็บปวดจากการกระทำสิ่งที่ดีด้วย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การทำความดีของพระเวสสันดร ที่บริจาคช้างคู่บ้านคู่เมือง ถูกชาวเมืองปฏิเสธ ถูกเนรเทศจากเมืองไปอยู่ป่า และกระทั่งยอมเผชิญความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสที่ต้องบริจาคลูกเมียเมื่อมีผู้มาขอไปเป็นทาส
 
จึงดูเหมือนว่า การเป็นคนดีหรือการเป็นคนมีเสรีภาพนั้น บางครั้งอาจดูคล้ายกับเป็นคนโง่ เพราะต้องเดินทวนกระแสของชาวโลก คงยากที่คนทั่วไปจะเข้าใจว่าทำไมพระเวสสันดรจึงทำความดีด้วยการบริจาคลูกเมียให้ไปเป็นทาสของคนอื่น และคงยากที่คนทั่วไปจะเข้าใจว่าทำไมพระมหาชนกจึงยังคงพยายามว่ายน้ำในมหาสมุทรข้ามคืนข้ามวันอย่างเหน็ดเหนื่อยทั้งที่มองไม่เห็นฝั่ง และแน่นอนว่า เจ้าชายสิทธัตถะย่อมถูกปฏิเสธแม้กระทั่งจากพระบิดาเมื่อตัดสินใจเลือกอย่างอิสระที่จะออกเผชิญความยากลำบากในการแสวงหาทางพ้นทุกข์
 
ปกติแล้วคนทั่วไปจะลงทุนลงแรงพยายามกระทำสิ่งใด ก็ต่อเมื่อเขามองเห็นผลสำเร็จจากการกระทำสิ่งนั้น เช่นที่เรามักได้ยินคำถามเสมอว่า “ทำเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปแล้วจะได้อะไร” แต่ในทัศนะของพุทธศาสนาคนดีย่อมกระสิ่งใดเพราะเห็นว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แม้เมื่อจะต้องเผชิญความทุกข์ความเจ็บปวดจากการกระทำความดีนั้น ก็พร้อมเผชิญโดยไม่หวังผลตอบแทน
 
เมื่อวันที่ 19 ก.ค.53 “คณะเดินสันติสู่ปัตตานี” ของอาจารย์โคทม อารียา และอาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ แวะมาพักดื่มน้ำและสนทนากับนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยที่ผมสอนหนังสืออยู่ ผมรู้สึกนับถืออย่างยิ่งกับการทำ “ความดี” ของคนเหล่านั้น พวกเขาคงไม่คิดว่าเมื่อใช้เวลา 55 วันเดินเท้าถึงปัตตานีแล้ว สันติภาพในสามจังหวัดภาคใต้จะเกิดขึ้นตามมาทันที แต่ความน่าเคารพของพวกเขาอยู่ตรงที่ พวกเขาเชื่อว่าสิ่งที่พวกเขาทำเป็นสิ่งที่ดี และพวกเขามีความกล้าหาญที่จะกระทำในสิ่งที่ตนเชื่อ แม้ว่าจะเผชิญกับความยากลำบากเพียงใดก็ตาม
 
แต่ที่น่าเศร้าคือ สังคมพุทธในบ้านเราเต็มไปด้วยการโฆษณาชวนเชื่อให้ทำความดีด้วยการเอานรกมาขู่ เอาสวรรค์มาล่อ จนทำให้คนเชื่อฝังหัวว่า การทำความดีคือการหลีกหนีความทุกข์ความเจ็บปวด และแสวงหาความสุขสบาย คุณบริจาคน้อยได้บุญน้อย บริจาคมากได้บุญมาก เมื่อสั่งสมบุญเอาไว้มากๆ อนาคตเราจะร่ำรวยสุขสบาย ตายไปจะได้เสวยสุขในสวรรค์วิมาน หรือเกิดชาติหน้าจะได้เป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี หรือเป็นราชามหากษัตริย์
 
“คนดี” ในจินตนาการของชาวพุทธในบ้านเรา จึงหมายถึง คนที่มองเห็นปัญหาสังคมและการเมืองเป็น “นรก” เห็นความร่ำรวยสุขสบายเป็นสวรรค์บนดิน เห็นวัดหรือศาสนาเป็นทางผ่านไปสู่ความสุขสบายในชาตินี้และชาติหน้า ไปๆมาๆ คนดี คือ คนที่หันหลังให้สังคม ไม่ใส่ใจปัญหาบ้านเมือง ไม่มีจิตสาธารณะ มองความยากลำบากในการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมทางสังคมเท่ากับ “บาป” มองความสุขสบายร่ำรวยเท่ากับ “บุญ”
 
สุดท้ายก็บูชาเงิน นับถือเงิน นับถือความร่ำรวยเป็น “ความดี” และยกย่องคนรวย คนมีอำนาจ มียศถาบรรดาศักดิ์ คนชั้นสูง หรือคนชั้นนำทางสังคมว่าเป็น “คนดี” แล้วต่างก็แก่งแย่งไขว่คว้าหาความดีเช่นนั้น แข่งขันที่จะเป็นคนดีเช่นนั้น โดยไม่สนใจ “ความดีภาคสาธารณะ” (เช่น สิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค ความยุติธรรม ฯลฯ) ที่เราต้องร่วมกันต่อสู้ให้ได้มาด้วยสำนึกในความความเป็น “พลเมืองดี” ที่กล้าหาญเผชิญความทุกข์ ความเจ็บปวด หรือกระทั่งความตาย
 
แต่ทว่าคนดีหรือคนมีเสรีภาพตามทัศนะของพุทธศาสนา เขาไม่ได้กระทำสิ่งที่ดีเพราะหวังความสุข แต่กระทำเพราะเห็นว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ทำไมพระเวสสันดรถึงบริจาคช้างคู่บ้านคู่เมืองของตนเองให้แก่ชาวเมืองอื่น ทั้งที่รู้ว่าตนเองจะเดือดร้อนจากการต่อต้านของชาวเมืองของตนเอง ก็เพราะท่านเห็นว่าการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เป็นสิ่งที่ดีไม่ว่าเขาจะเป็นพวกเดียวกับตนหรือพวกอื่นก็ตาม
 
น่าคิดว่า ทำไมสังคมพุทธไทยกลับมีวัฒนธรรมสร้างความเกลียดชังคนสีอื่น คนชาติอื่น เพื่อแสดงว่าตนเองรักชาติ รักสถาบัน เป็นคนดี แล้วเราก็เมินเฉย กระทั่งเย้ยหยันต่อการที่คนไปผูกผ้าแดง หรือไปชูป้ายว่า “เห็นคนตายที่ราชประสงค์” หรือคนอื่นๆ ที่ยอมเจ็บปวดเพื่อกระทำสิ่งที่ถูกต้อง ทั้งที่คนกลุ่มนี้คือคนที่มีเสรีภาพหรือคนดีตามหลักคำสอนที่แท้จริงของพุทธศาสนา
 
เราเอาแต่เรียกร้อง “คนดี” ซึ่งไม่รู้ว่ามีความหมายอย่างไร แต่ไม่ยอมรับ “ความเป็นคน” ของประชาชน หรือไม่เคารพความเป็น “เสรีชน” ของประชาชนที่สามารถเลือกและรับผิดชอบด้วยวิจารณญาณของตนเอง
 
ซึ่งเท่ากับว่า เราเอาแต่เรียกร้อง “คนดี” แต่ไม่ยอมให้ประชาชนเป็น “คน” หรือเป็น “เสรีชน” ที่สามารถจะเป็นคนดี และเลือกกระทำสิ่งที่ดี พร้อมกับรับผิดชอบต่อผลของการเลือกด้วยตัวของเขาเอง!

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

YouTube ขยายความยาวคลิปวิดีโอเป็น 15 นาที

Posted: 01 Aug 2010 09:08 AM PDT

บล็อกอย่างเป็นทางการของยูทิวป์ (YouTube Blog) เว็บฝากคลิปวีดิโอชื่อดัง ประกาศเปลี่ยนข้อจำกัดความยาวของการฝากคลิปวิดีโอเป็น 15 นาที จากเดิมที่อนุญาตให้แต่ละคลิปมีความยาวเพียง 10 นาที

<!--break-->

โดย YouTube ให้เหตุผลว่า เดิมจำกัดความยาวของคลิปวีดิโอเพียง 10 นาทีเพราะปัญหาลิขสิทธิ์ แต่ปัจจุบัน YouTube ได้พัฒนาเครื่องมือในการตรวจจับเนื้อหาผิดลิขสิทธิ์ขึ้นมาหลายอย่าง ทำให้ความจำเป็นที่จะต้องจำกัดเวลา 10 นาทีน้อยลงไป สามารถเพิ่มเป็น 15 นาทีได้ในที่สุด

ในโอกาสนี้ YouTube ยังได้จัดแคมเปญเล็กๆ โปรโมทการขยายความยาวครั้งนี้ โดยชวนให้ผู้คนถ่ายวิดีโอเล่าเรื่องตัวเองภายใน 15 นาที ("15 minutes of fame") แล้วแปะแท็ก yt15minutes ก่อนวันที่ 4 สิงหาคม โดยวิดีโอบางส่วนจะถูกคัดเลือกไปโชว์บนหน้าแรกของเว็บไซต์ YouTube ด้วย

 

 

ที่มาข่าว: blognone 
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

500 คนร่วม‘วันอาทิตย์สีแดง’ จำลองโดนยิงหน้าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

Posted: 01 Aug 2010 08:44 AM PDT

<!--break-->

 
1 ส.ค.53  เมื่อเวลาประมาณ 17.30 น. กลุ่มคนเสื้อแดงประมาณ 500 คนได้ย้ายจากอนุสรณ์สถาน 14 ตุลาฯ ไปรวมตัวกันที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยปราบจลาจลอย่างละ 50 คนมาดูแลความเรียบร้อยอยู่บริเวณรอบนอก ด้านผู้ร่วมกิจกรรม มีการนำผ้าสีแดงไปผูกรอบฐานอนุสาวรีย์ฯ
หลังร่วมกันร้องเพลงชาติในเวลา 18.00น. ผู้เข้าร่วมกิจกรรมลงไปนอนกับพื้นและร้องโอดครวญ แสดงท่าทางเหมือนถูกยิงด้วยสไนเปอร์ ตามที่มีการนัดแนะกันไว้ โดยมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมบางส่วนตะโกน "ที่นี่มีคนตาย" ประกอบไปด้วย
 
นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด แกนนอนของกิจกรรม "วันอาทิตย์สีแดง" กล่าวว่า การแสดงศิลปะการจัดวางนี้เพื่อสื่อว่า ประชาธิปไตยแลกมาด้วยเลือดเนื้อของประชาชนและที่บริเวณคอกวัวเป็นที่ที่มีคนตาย เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553
สำหรับกิจกรรม "วันอาทิตย์สีแดง" ในสัปดาห์หน้า (8 ส.ค.) นายสมบัติ กล่าวว่า จะเป็นกิจกรรม "Red Runner" หรือ "แดงเข้มแข็ง" โดยจะวิ่งออกกำลังกาย ที่สวนสันติภาพ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ตั้งแต่เวลา 17.00น. เป็นต้นไป ทั้งนี้ ได้นัดแนะให้แต่งกายด้วยเสื้อแดง กางเกงและรองเท้ากีฬา
 
นายสมบัติ กล่าวถึงผลตอบรับของกิจกรรม "วันอาทิตย์สีแดง" หลายสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ค่อนข้างดี โดยเป็นกิจกรรมสั้นๆ ที่ไม่เคร่งเครียด ทำให้คนได้แสดงความรู้สึกออกมา และกล้าใส่เสื้อสีแดงมากขึ้น และกิจกรรมวันนี้ก็มีผู้มาเข้าร่วมมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา
 
บก.ลายจุด กล่าวว่า รัฐบาลพยายามประนีประนอมให้ประชาชนแสดงออกทางสัญลักษณ์เพื่อให้ประชาชนผ่อนคลายและมีที่ทางแสดงออกทางการเมือง ซึ่งเขามองว่า รัฐบาลควรส่งเสริมต่อไป ไม่ควรทำลายเพราะเป็นกิจกรรมสั้นๆ เพียง 15 นาที และเทียบกันกับกรณีของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ไปชุมนุมหน้ายูเนสโกแล้ว ถ้ารัฐบาลมองว่าทำได้ ไม่ผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็อยากให้คนเสื้อแดงทำกิจกรรมต่างๆ ได้เช่นกัน
 
ทั้งนี้ นายสมบัติ กล่าวถึงการทำกิจกรรมในรูปแบบแกนนอนด้วยว่า แกนนอนไม่ใช่แกนนำ แต่เป็นการที่นักกิจกรรมกลุ่มต่างๆ ได้ออกมาริเริ่มทำกิจกรรมของตนเองหลากหลายรูปแบบมากขึ้น อาทิ กิจกรรมตะโกน "เราเห็นคนตาย" การลงไปแสดงท่านอนตาย หรือแต่งเป็นผีที่ราชประสงค์ หรือการไปถือป้ายแสดงความไม่เห็นด้วยกับการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ของนักศึกษาที่เชียงใหม่และเชียงราย เป็นต้น   
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

หวั่นทหารคุมคลื่นความถี่ คปส.ฉะกฎหมายฉบับส.ว.จี้รัฐบาลยันร่างเดิม

Posted: 01 Aug 2010 02:26 AM PDT

<!--break-->

 
 
1 ส.ค.53 คณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ (คปส.) ร่วมกับภาคีเครือข่าย แถลงข่าวเรื่อง “ร่าง พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ ‘ฉบับทหาร’ ตอบโจทย์การปฏิรูปสื่อ? หรือเพื่อความมั่นคง ?”
 
สุเทพ วิไลเลิศ เลขาธิการ คปส. กล่าวถึงเหตุผลการแถลงข่าวครั้งนี้ว่า เนื่องจากวุฒิสภาได้พิจารณา ร่างพ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ... ในช่วงความขัดแย้งรุนแรงเมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมาและมีมติผ่านร่างออกมาในวันที่ 30 พ.ค. โดยมีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของร่างกฎหมายที่ผ่านชั้นสภาผู้แทนราษฎรหลายประการ โดยเฉพาะการเปิดช่องให้หน่วยงานความมั่นคงเข้ามาเป็นคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ซึ่งจะเป็นองค์กรจัดสรรและกำกับดูแลคลื่นความถี่ทั้งหมดในอนาคตเพื่อการปฏิรูปสื่อตามรัฐธรรมนูญ
 
สุภิญญา กลางณรงค์ รองประธาน คปส. และอดีตคณะกรรมาธิการยกร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ในชั้นสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับร่างของ ส.ว. และในการพิจารณาร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวที่กำลังจะเริ่มในสมัยประชุมนี้ ก็อยากให้สภาผู้แทนฯ ทั้งฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล ยืนยันร่างของ ส.ส. ซึ่งสะท้อนเจตนารมณ์ได้ดีกว่า เนื่องจากออกแบบที่มาของ กสทช. เป็นภาคส่วนที่สาม ได้แก่ ภาควิชาชีพ นักวิชาการ ตัวแทนภาคประชาสังคม ซึ่งไม่มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงกับคลื่นความถี่เดิมเพื่อจะปฏิรูปสื่อได้อย่างอิสระ ขณะที่ร่างพ.ร.บ.ฉบับที่ผ่านวุฒิสภากลับเพิ่ม กสทช. อีก 4 คน เป็น 15 โดยระบุว่าต้องมีประสบการณ์ด้านความมั่นคง บริหารราชการ ศาสนา ฯ แม้ถ้อยคำจะคลุมเครือแต่เดาเจตนารมณ์ได้ว่าเป็นการเปิดช่องให้ภาครัฐเข้ามา เช่น กระทรวงกลาโหม ซึ่งทำให้ขาดความเป็นอิสระ และเท่ากับไม่มีประโยชน์ที่จะตั้ง กสทช.ขึ้นมาปฏิรูปสื่อ
 
สุภิญญา กล่าวอีกว่า ส่วนที่ส.ว.เพิ่มเข้ามาและเป็นจุดอ่อนอย่างมากอีกประการ คือ การกำหนดว่า กสทช.ต้องจัดสรรคลื่นความถี่เพื่อความมั่นคงอย่างพอเพียง ซึ่งถือเปิดให้หน่วยงานความมั่นคงเข้ามาเพื่อปกป้องผลปรโยชน์เดิม และไม่มีความชัดเจนว่า “เพียงพอ” คืออะไร
 
“ตอนนี้ถ้าต้องตั้งกมธ.ร่วมสองสภา ก็อยากเรียกร้องให้ ส.ส.ยืนยันร่างเดิมของตัวเอง ถ้ายอม ร่างของ ส.ว. ก็เข้าข้อครหาว่า รัฐบาลเต็มใจ ยิมยอมต่อข้อเรียกร้องนี้เพื่อแลกกับการพึ่งพิงทหารในสถานการณ์การเมืองปัจจุบัน” สุภิญญากล่าว
 
สุภิญญายังกล่าวถึงอีกประเด็นหนึ่งว่า ส.ว. ได้แก้ไขมาตรา 78 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปหน่วยงานรัฐวิสาหกิจได้แก่ บมจ.ทีโอที และ บมจ.กสท. หรือแคท เทเลคอมฯ โดยยืดระยะเวลาการได้รายได้จากการสัมปทานคลื่นให้บริษัทมือถือหลังจากตั้ง กสทช.แล้ว จากเดิม 1 ปี เป็น 3 ปี เพื่อให้มีเวลาปรับตัว โดยการยืดเวลาดังกล่าวทำให้สองหน่วยงานนี้ไม่ต้องส่งเงินค่าสัมปทานมือถือจำนวนมหาศาลที่ได้จากเอกชนเข้าคลัง และไม่ส่งเสริมให้สองหน่วยงานนี้ปรับตัวเพื่อการแข่งขันเสียที
 
วิชาญ อุ่นอก เลขาธิการสหพันธ์วิทยุชุมชนแห่งชาติ (สวชช.) กล่าวว่า ในส่วนของผู้ทำวิทยุชุมชนก็สนับสนุนอยากให้มีร่าง พ.ร.บ.นี้ เพื่อให้มีองค์กรกำกับดูแลที่มีความชอบธรรมทางกฎหมาย เพราะที่ผ่านมาวิทยุชุมชนอยู่ภายใต้การกำกับดูแล ของ กทช. ซึ่งตั้งคณะทำงานขึ้นมาชุดหนึ่งและดูแลไม่ทั่วถึง อีกทั้งยังมีแต่อำนาจปิดสถานีที่ไม่ได้ลงทะเบียนแต่ไม่มีอำนาจให้ใบอนุญาตเพิ่มเติม นอกจากนี้ช่องว่างในการดูแลดังกล่าวยังทำให้วิทยุชุมชนหลายแห่งยังถูกปิดโดยหน่วยงานอื่นๆ ด้วย เช่น วิทยุชุมชน 12 แห่งที่จังหวัดนครศรีธรรมราชถูกปิดโดย ศอฉ. อย่างไรก็ตาม แม้จะอยากให้กฎหมายนี้ออกมาเป็นรูปเป็นร่างแต่ยังคงไม่เห็นด้วยกับที่มาของ กสทช. ที่ปรากฏในร่างของ ส.ว. เพราะเกรงว่าการทำงานของ กสทช.จะไม่เป็นอิสระ
 
“เรามีข้อสังเกตว่าหลังการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ผ่านมา บทบาทกองทัพมีมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งเข้ามามีส่วนได้ส่วนเสียกับ พ.ร.บ.นี้ด้วย” วิชาญกล่าว
 
ด้านตัวแทนผู้บริโภค ระบุว่า อยากให้ร่างพ.ร.บ.ฉบับของ ส.ว. เพิ่มเติมกลไกในการคุ้มครองผู้บริโภค โดยคงบทบาทตามมาตรา 31 ของร่างเดิมไว้ หรือทบทวนมาตรา 13 เรื่องการคุ้มครองสิทธิในร่างฉบับวุฒิสภาให้มีสาระชัดเจนในการคุ้มครองผู้บริโภค
 
 
 
รายชื่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.จัดสรรคลื่นความถี่ฯ ของวุฒิสภา  35 คน
1. พล.ต.ต.เกริก กัลยาณมิตร                                            2.นายคำนูณ สิทธิสมาน 
3.นายจรัล จึงยิ่งรุ่งเรือง                                                     4.ชรินทร์ หาญสืบสาย 
5.นายดิสทัต โหตระกิตย์                                                   6.นายต่วนอับดุลเล๊าะ ตาโอ๊ะมารียอ 
7.นายธานีรัตน์ ศิริปะชะนะ                                                8.นางนิลวรรณ เพชระบูรณิน 
9.นายบุญชัย โชควัฒนา                                                 10.นายประดิษฐ์ ตันวัฒนะพงษ์
11.นายประสาร มฤคพิทักษ์                                             12.นายประสิทธิ โพธสุธน
13.นายพีระ มานะทัศน์                                                    14.ร้อยโทภูมิศักดิ์ หงษ์หยก
15.นายมณเฑียร บุญตัน                                                  16.น.ส.รสนา โตสิตระกูล
17.พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช                                             18.นายวรินทร์ เทียมจรัส
19.นายวิทวัส บุญญสถิตย์                                               20.นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์
21.นายสมชาติ พรรณพัฒน์                                             22.นายสมชาย แสวงการ
23.นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย                                           24.นายสิงห์ชัย ทุ่งทอง
25.พล.ท.สิทธิพร ภัทรเสน                                                26.นายสิทธิศักดิ์ ยนต์ตระกูล
27.นายสิริวัฒน์ ไกรสินธุ์                                                  28.ศ.สุกัญญา สุดบรรทัด
29.พล.ท.สุจินดา สุทธิพงศ์                                               30.นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย
31.นายสุรพงษ์ ตันธนศรีกุล                                              32.พลเรือเอกสุรศักดิ์ ศรีอรุณ
33.นายอนันต์ วรธิติพงศ์                                                  34.นายอนุรักษ์ นิยมเวช
35.พลอากาศเอกอาคม กาญจนหิรัญ
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น