โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันพุธที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์

“ราชินี” ตรัส “ในหลวง” ทรงแข็งแรงดี ทรงห่วงปัญหาน้ำ ชวนคนไทยปลูกต้นไม้ลดโลกร้อน

Posted: 11 Aug 2010 07:04 AM PDT

สมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงมีพระราชดำรัสต่อคณะบุคคลผู้เข้าเฝ้าถวายพระพรเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ทรงเผยถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระพลานามัยแข็งแรงดีแล้ว รอกายภาพบำบัด ก่อนออกจากโรงพยาบาล ตรัสปลื้มใจประชาชนร่วมลงนามถวายพระพร ทรงย้ำ"ในหลวง"ห่วงปัญหาน้ำ ทรงติดตามสถานการณ์ตลอดเวลา ชวนคนไทยช่วยกันปลูกต้นไม้ ลดภาวะโลกร้อน พร้อมทรงชื่นชมสาวท้องแก่ใจเด็ดช่วยจับโจรขโมยรถ
      
เมื่อเวลา 17.45 น.วันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ.2553 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินไปยังศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พร้อมด้วย สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ พระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา และ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ พระราชทานพระราชวโรกาสให้คณะบุคคลต่างๆ รวม 450 คณะ จำนวน 15,215 คน เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
      
ทั้งนี้ คณะบุคคลที่จะเข้าเฝ้าฯ ประกอบด้วย คณะรัฐมนตรี นำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายตุลาการ ข้าราชการ พลเรือน ทหาร ตำรวจ ผู้แทนรัฐวิสาหกิจ องค์กรอิสระ สภา สถาบัน สมาคม ชมรม มูลนิธิ ลูกเสือชาวบ้าน และประชาชนทั่วไป รวมทั้งสิ้น 450 คณะ จำนวน 15,215 คน
      
เมื่อเสด็จฯ ถึง ได้เสด็จฯ ขึ้นที่ประทับ จากนั้น ท่านผู้หญิง มนัสนิตย์ วณิกกุล พระราชเลขานุการในพระองค์ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ กราบบังคมทูลรายงานสรุปคณะบุคคลที่ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท และขอพระราชทานพระราชานุญาตให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้กราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคล ในนามผู้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท
      
“ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานพระราชวโรกาสเบิกคณะบุคคล ซึ่งประกอบด้วย ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ นิสิต นักศึกษา พ่อค้า ประชาชน และผู้แทนมูลนิธิ สมาคม สโมสร องค์กรต่างๆ รวม 450 คณะ จำนวน 15,215 คน เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท เพื่อถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2553
      
ลำดับต่อไป ขอพระราชทานเบิก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นผู้กราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคล ในนามผู้ที่เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ณ ทีนี้ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ”
      
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคลในนามผู้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท
       
“ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในนามของพสกนิกรทุกหมู่เหล่า มีความปลื้มปีติ สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น ที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้พระราชทานพระราชวโรกาสให้ปวงข้าพระพุทธเจ้าเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในศุภวาระเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม พุทธศักราช 2553
      
ปวงข้าพระพุทธเจ้า และประชาชนชาวไทย ต่างชื่นชมโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง ที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงพระเกษมสำราญ มีพระสุขภาพพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง และทรงมุ่งมั่นประกอบพระราชกรณียกิจนานัปการ เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาประชาราษฎร์ตลอดมา
      
ตลอดระยะเวลากว่า 60 ปี ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงดำรงสิริราชสมบัติ และได้ทรงพระวิริยะ อุตสาหะ ปฏิบัติบำเพ็ญพระราชกรณียกิจ โดยมิทรงย่อท้อต่อความลำบากตรากตรำพระวรกาย แม้ในท้องถิ่นทุรกันดารห่างไกล ซึ่งได้ทรงพระกรุณาพระราชทานโครงการหลายพันโครงการพัฒนาท้องถิ่นและราษฎรในชนบทอย่างยั่งยืน เพื่อให้ทวยราษฎร์มีความร่มเย็นเป็นสุขโดยถ้วนหน้า ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้ทรงเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทเป็นคู่พระบารมี และทรงประกอบพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่ ทั้งที่เป็นงานสนองพระราชปณิธานและพระราชดำริ ตลอดจนพระบรมราโชบายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นการแบ่งเบาพระราชภารกิจ และยังทรงงานตามโครงการที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงพระราชดำริริเริ่มเป็นจำนวนมากด้วย
      
ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้ทรงพระกรุณาพระราชทานโครงการหลายหลากด้าน ทั้งด้านการศึกษา การพระศาสนา การแพทย์ และสาธารณสุข การเกษตรกรรม การอนุรักษ์ฟื้นฟูและเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรม อันเป็นสมบัติแห่งทรัพย์สินทางปัญญาของภูมิภาคต่างๆ ได้พระราชทานโครงการฟื้นฟูดูแล ปกป้องดิน น้ำ และป่า เพื่อให้ฟื้นคืนความอุดมสมบูรณ์ เช่น โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ โครงการป่ารักน้ำ โครงการฟาร์มตัวอย่าง โครงการธนาคารอาหารชุมชน และอื่นๆ อีกมาก
      
ทั้งนี้ ด้วยพระมหากรุณาที่จะให้ราษฎรมีความรู้ และมีแหล่งสำหรับประกอบอาชีพให้ได้ผลดี สามารถยกระดับความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตให้สูงขึ้น ซึ่งเป็นการเอื้ออำนวยให้ราษฎรทั้งปวงมีวิถีชีวิตที่ผาสุกและร่มเย็น โดยเฉพาะโครงการศิลปาชีพ นอกจากจะส่งเสริมอาชีพของราษฎร และฟื้นฟูภูมิปัญญาของท้องถิ่นทั่วประเทศไว้เป็นสมบัติทางศิลปวัฒนธรรมของชาติและปวงชนแล้ว โครงการนี้ยังเผยแพร่พระเกียรติคุณให้เป็นที่ประจักษ์แซ่ซ้อง สดุดี ทั้งในประเทศและนานาประเทศทั่วโลก
      
พระมหากรุณาธิคุณของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ไม่ได้แผ่ปกเศียรเกล้าเฉพาะอาณาประชาราษฎร์ หากแต่ยังแผ่ปกสรรพชีวิตทั้งสัตว์และพืชพันธุ์นานาชนิด เพื่อไม่ให้สูญพันธุ์ และให้ดำรงอยู่อย่างยั่งยืน เป็นคุณูปการแก่ระบบนิเวศและสภาวะแวดล้อม ตลอดจนธรรมชาติของผืนแผ่นดินในภูมิภาคต่างๆ เป็นต้นว่า ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ศึกษาวิจัยเพื่ออนุรักษ์หิ่งห้อย เต่าทะเล ปลา หอยทับทิม หอยตลับ นก ไก่ฟ้า ช้าง กล้วยไม้ป่าของไทย ตลอดจนพืชพันธุ์ธัญญาหารอื่นอีกมาก
      
ปวงอาณาประชาราษฎร์ทั่วทุกภูมิภาคล้วนประจักษ์ชัดแจ้งในน้ำพระราชหฤทัยเปี่ยมด้วยพระเมตตาเอื้ออาทรในทุกข์สุขของปวงชน ทรงพระกรุณาพระราชทานพระราชานุเคราะห์แก่พสกนิกรผู้ประสบความทุกข์ยาก หรือประสบภัยต่างๆ ทุกหมู่เหล่า โดยไม่ทรงเลือกเชื้อชาติ ศาสนา หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ด้วยทรงพระเมตตาว่า ทุกคนล้วนเป็นพสกนิกรภายใต้ร่มพระบารมี พระมหากรุณาธิคุณ และพระราชจริยวัตรอันงดงามยิ่งนี้ ล้วนประทับและจารึกในดวงใจของปวงชนชาวไทย โน้มนำให้เกิดความสำนึกกตัญญูกตเวที และความจงรักภักดีต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท รวมทั้งพระเกียรติคุณได้แผ่ไพศาลเป็นที่ประจักษ์แก่ชาวโลก ซึ่งต่างแซ่ซ้องสาธุการ และได้ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายรางวัลเฉลิมพระเกียรติแด่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท เป็นจำนวนมาก
      
ณ มหามงคลสมัย เฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม พุทธศักราช 2553 นี้ ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานพระราชานุญาต น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระพรชัยมงคล ขออัญเชิญคุณพระศรีรัตนตรัย และอานุภาพสรรพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากล โปรดอภิบาลบันดาลดล ให้สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระเกษมสำราญ ทรงพระเจริญพรั่งพร้อมด้วยจตุรพิธพรชัย มีพระราชประสงค์จำนงหมายสิ่งใด ขอจงสัมฤทธิ์ สมดั่งพระราชหฤทัยปรารถนาทุกประการ ทรงสถิตเป็นพระมิ่งขวัญร่มเกล้าปวงข้าพระพุทธเจ้า และพสกนิกรชาวไทยตราบนิรันดร์กาล ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ”
      
จากนั้นสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชดำรัสตอบ
      
“ข้าพเจ้าขอขอบคุณท่านนายกรัฐมนตรี คณะรัฐบาล และท่านทั้งหลาย ซึ่งเป็นผู้แทนของข้าราชการทุกหมู่เหล่า ทั้งฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายตุลาการ พลเรือน ตำรวจ ทหาร รัฐวิสาหกิจ องค์กรอิสระ สภา สถาบัน สมาคม ชมรม มูลนิธิลูกเสือชาวบ้าน และประชาชนทุกหมู่เหล่าจากทุกจังหวัดทั่วประเทศ รวมจำนวน 15,215 คน ที่พร้อมใจกันเดินทางมาอวยพรข้าพเจ้าในวันนี้ คำกล่าวของท่านนายกรัฐมนตรีในนามของประชาชนไทยทั้งประเทศ ทำให้ข้าพเจ้ามีกำลังใจยิ่งขึ้น ขอขอบคุณผู้มีน้ำใจอีกหลายท่านที่จัดอาหารและน้ำดื่ม มาช่วยสำหรับบริการประชาชนจำนวนมาก ที่เดินทางมาอวพรข้าพเจ้า และยังต้องขอบคุณทุกหน่วยงาน ทุกกลุ่มบุคคล ที่บำเพ็ญสาธารณกุศล สาธารณประโยชน์ ประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเด็กเล็ก หรือผู้ใหญ่ ที่จัดกิจกรรมหรือทำสิ่งดีๆ เพื่อบ้านเมือง หรือช่วยเหลือคนไทยด้วยกัน เพื่อเป็นของขวัญวันเกิดแก่ข้าพเจ้า เช่น มูลนิธิเพื่อสนับสนุนการผ่าตัดหัวใจเด็ก ได้จัดทำโครงการผ่าตัดและรักษาเด็กที่เป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด ตั้งแต่ปี 2552-2555 ขณะนี้ช่วยมาได้ 333 รายแล้ว แต่ตั้งเป้าหมายจะช่วยเด็กโรคหัวใจให้ได้ถึง 800 คน โรงพยาบาลรามาธิบดี จัดทำโครงการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด เทิดไท้คู่ขวัญองค์ราชัน-ราชินี สืบต่อจากโครงการเปลี่ยนถ่ายไขกระดูกเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา บรมราชินีนาถ โครงการปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ โครงการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และการปลูกต้นไม้นานาชนิดของหลายหน่วยงาน โครงการปลูกหญ้าแฝก การบริจาคโลหิต การพัฒนาวัด มัสยิด และโรงเรียน การไถ่ชีวิตโค-กระบือ โครงการรักษาผู้ป่วยออทิสติก โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายของกองทัพเรือ  กองทุนแม่ของแผ่นดิน เพื่อสนับสนุนการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในหมู่บ้านและชุมชน ของกระทรวงยุติธรรม การอุปสมบทพระภิกษุ และบรรพชาสามเณร เป็นจำนวนมากทั่วประเทศ และยังมีอีกมากมายหลายโครงการ ซึ่งข้าพเจ้าไม่สามารถกล่าวถึงได้ครบถ้วน ข้าพเจ้าปลื้มใจที่ชาวไทยพร้อมใจกันทำความดีเพื่อข้าพเจ้า จึงขอขอบคุณทุกท่านไว้ ณ ที่นี้ อีกครั้งหนึ่งด้วย ยาวหน่อยนะคะ อย่าหลับเสียก่อน
      
หลายเดือนมานี้ข้าพเจ้าอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประทับอยู่ที่นั่น ขณะนี้พระสุขภาพดีขึ้นมากแล้ว แต่หมอยังให้ทรงทำกายภาพบำบัดต่อไป เพื่อให้ทรงพระดำเนินได้แข็งแรงก่อนที่จะเสด็จฯ ออกจากโรงพยาบาล
      
ข้าพเจ้าปลื้มใจที่มีประชาชนมาถวายพระพร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นจำนวนมากทุกวัน วันละหลายพันคน ทั้งที่มาเป็นรายบุคคล เป็นครอบครัว หรือเป็นหมู่คณะ มีทุกเพศ ทุกวัย ทุกเชื้อชาติ ศาสนา มาจากต่างจังหวัดไกลๆ ตั้งแต่เหนือจดใต้ หรือต่างประเทศ ก็มี เช่น เร็วๆ นี้ มีชายคนหนึ่ง วัย 45 ปี เป็นชาวอังกฤษ ใช้เวลากว่า 3 เดือน ขี่จักรยานไปรอบโลก เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระองค์ท่าน เขาได้มาลงนามถวายพระพร และให้สัมภาษณ์ว่า เขารักพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และรักเมืองไทยมาก
      
นอกจากประชาชนจะมาลงนามถวายพระพรแล้ว ยังได้นำสิ่งของมากมายมาถวายเป็นกำลังพระทัย เช่น พระพุทธรูป ดอกไม้ พวงมาลัย ผลไม้ เงิน และจดหมายถวายพระพร เป็นต้น ไม่ต่างอะไรเลยกับเวลาที่พระองค์ท่านเสด็จฯ เยี่ยมราษฎรในต่างจังหวัด เป็นบรรยากาศแห่งความผูกพันระหว่างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับประชาชน ที่ข้าพเจ้าซาบซึ้งใจมาก
      
ข้าพเจ้าได้ทราบว่าหลายคนทำทุกอย่างที่เชื่อว่าจะทำให้ทรงแข็งแรงขึ้น เช่น หนูน้อยคนหนึ่ง อายุแค่ 5 ขวบ คุณแม่เล่าว่า พอบอกว่าจะมาถวายพระพรที่โรงพยาบาลศิริราช เพราะในหลวงไม่สบาย หนูน้อยวิ่งกลับไปหยิบหนังสือนิทาน แล้วบอกคุณพ่อ คุณแม่ ว่า จะไปอ่านให้ในหลวงฟัง จะได้หายเร็วๆ ทราบมาว่าเวลาที่เขาไม่สบาย คุณแม่เขาเคยอ่านนิทานให้ฟัง ความจริงหนูน้อยคนนี้ยังอ่านหนังสือไม่ออกเลย แต่ฟังนิทานเรื่องนี้มาหลายรอบจนจำได้ขึ้นใจ ก็อ่านจากความจำของตน พลิกอ่านไปทีละหน้าเหมือนอ่านได้จริงๆ น่าเอ็นดูมาก
      
บางคนก็มานั่งสวดมนต์ถวาย บางคนมาแทบทุกวันจนเจ้าหน้าที่จำได้ เด็กเล็กคนหนึ่งมาสีไวโอลินถวาย บางครอบครัวร่วมกันพับนกเป็นร้อยเป็นพันตัว เพื่อถวายพระพรให้พระชนมายุยืนยาว เป็นต้น
      
สิ่งเหล่านี้สื่อถึงความรัก ความห่วงใย ที่ประชาชนมีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อย่างชัดเจน ซึ่งข้าพเจ้าก็เชื่อเช่นเดียวกับประชาชนว่าสามารถช่วยให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงแข็งแรงขึ้นได้จริงๆ
      
สำหรับเงินที่ประชาชนถวายมาคนละเล็กคนละน้อย ซึ่งรวมแล้วก็เป็นเงินก้อนใหญ่ หลายล้านบาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่โรงพยาบาลศิริราช เพื่อสงเคราะห์ผู้ป่วยที่เดือดร้อน ส่วนพวงมาลัยและดอกไม้ ข้าพเจ้ารับเป็นธุระมาจัดถวาย เช่น ได้ส่งไปบูชาพระประธานตามวัดต่างๆ เป็นการนำกุศลไปสร้างกุศลเพิ่ม ซึ่งผู้ถวายทุกคนจะได้โดยเสด็จพระราชกุศลกับพระองค์ท่าน ข้าพเจ้าเองก็ร่วมอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วย
      
ระหว่างที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประทับที่ศิริราช ทรงปฏิบัติพระราชกิจตามปกติ เช่น พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้บุคคลต่างๆ เฝ้าฯ หลายครั้ง ท่านนายกรัฐมนตรีก็ได้ไปเฝ้าฯ หลายครั้งแล้ว เพื่อทรงติดตามปัญหาความทุกข์ยากของประชาชนทั่วประเทศ เรื่องที่ทรงห่วงมากระยะนี้ก็เรื่องน้ำ ปัญหาเรื่องน้ำ ตั้งแต่ตอนที่ฝนทิ้งช่วง ประชาชนประสบปัญหาภัยแล้ง ต้องทรงส่งฝนหลวงไปช่วย จนถึงขณะนี้ฝนตกมาแล้ว ก็ยังทรงติดต่อตามข่าวและสถิติทุกอย่าง เพื่อเตรียมการไว้สำหรับป้องกัน หรือแก้ปัญหาต่างๆ ที่อาจจะมีมาอีก
      
ฝนหลวง คือ วิธีการทำให้เกิดฝน ซึ่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงค้นและพัฒนามาตั้งแต่ พ.ศ.2498 เพื่อช่วยประชาชนในท้องถิ่นที่ขาดแคลนน้ำ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำฝนหลวงได้ทุกพื้นที่ ทุกเวลา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รับสั่งว่า ไม่ใช่ทำได้ง่ายๆ ทรงอธิบายว่า ต้องมีเมฆ และความชื้นในอากาศเพียงพอจึงจะทำได้
      
โครงการฝนหลวงมีผลงานเป็นที่รู้จักกันดี และเป็นที่เรียกร้องของประชาชนเสมอ ในยามที่ฝนทิ้งช่วงนานๆ จนเกิดปัญหาภัยแล้ง อย่างในปีนี้ น้ำต้นทุนในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั่วประเทศมีปริมาณน้อย และลดลงอย่างรวดเร็ว ปริมาณฝนสะสมตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 28 กรกฎาคมนี้ มีน้อยกว่าปีที่แล้วถึง 1 ใน 4 ทางราชการได้ออกประกาศเตือนให้ชาวนา ชาวไร่ ลดการปลูกพืชฤดูแล้ง พยายามปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อยแทน แต่ประชาชนก็ยังปลูกมากกว่าที่ทางราชการวางแผนไว้ถึง 60 กว่าเปอร์เซ็นต์ ส่วนมากเป็นการปลูกข้าวนาปรัง ซึ่งต้องใช้น้ำมากเสียด้วย ข้าพเจ้าก็เห็นใจและเข้าใจชาวนา เพราะเมื่อข้าวได้ราคา และนาว่าง ก็อยากจะปลูกข้าวต่อไป แม้จะทราบว่าน้ำไม่พอ บางคนก็ยอมเสี่ยง เผื่อว่าโชคดี ฝนอาจจะมาเร็ว แต่เมื่อฝนไม่ตก ข้าวก็เหี่ยวแห้งรอวันตาย
      
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงติดตามเรื่องสถานการณ์น้ำอยู่ตลอดเวลา แม้ระหว่างประทับพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช ก็ไม่ทรงว่างเว้นเลย เดือนมิถุนายนนี้ ทรงขอให้สำนักฝนหลวงและการบินเกษตร ตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงพิเศษในภาคเหนือ  4 แห่งด้วยกัน ภาคอีสาน 1 แห่ง ภาคกลาง 1 แห่ง เพื่อเพิ่มน้ำให้เขื่อนใหญ่ 5 แห่ง คือ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนอุบลรัตน เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน จ.พิษณุโลก และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ระดับน้ำก็กระเตื้องขึ้นมา และพื้นที่แห้งแล้งภายนอกก็ลดลง การทำฝนหลวงนี้เป็นที่สนใจนานาชาติอย่างกว้างขวาง และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงจดสิทธิบัตรการทำฝนหลวงไว้แล้ว ใครจะใช้เทคโนโลยีฝนหลวงต้องขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตก่อน
      
หลายชาติมาศึกษาดูงานในประเทศไทย บ้างก็ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตใช้เทคโนโลยีฝนหลวง เช่น เมื่อเร็วๆ นี้ ทางรัฐควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเป็นรัฐที่ค่อนข้างแห้งแล้งอยู่เสมอ ได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตใช้เทคโนโลยีฝนหลวง พระองค์ท่านก็พระราชทาน แสดงให้เห็นว่า พระมหากรุณานั้นมิได้จำกัดอยู่เพียงราษฎรในประเทศไทยเท่านั้น แต่แผ่กว้างไปถึงชาวโลกด้วย ซึ่งข้าพเจ้าก็ภาคภูมิใจที่พระปรีชาสามารถของพระองค์ท่าน มีส่วนช่วยดับทุกข์ของเพื่อนมนุษย์ในนานาประเทศ ซึ่งบางประเทศนั้นก็มีชื่อเสียงทางเทคโนโลยีด้านอื่นๆ ยิ่งกว่าประเทศไทยด้วยซ้ำไป
      
และจากที่บ้านเราฝนแล้งมาระยะหนึ่ง ต่อไปนี้จะมีข่าวดีที่พึงต้องระวังไปพร้อมกัน เพราะมีแนวโน้มของสภาพอากาศ ว่า ตั้งแต่เดือนสิงหาคม-ตุลาคม ปีนี้ ประเทศไทยจะมีฝนมากกว่าปกติ ข่าวดีก็คือเราจะได้มีน้ำสำรองไว้ใช้ในปีหน้า แต่ที่ควรระวังคือปัญหาน้ำป่าไหลหลากและน้ำท่วม ที่จะตามมา ดังที่เราเห็นเป็นข่าวอยู่บ่อยๆ ในระยะนี้
      
เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม นี้เอง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้คณะผู้บริหารสถาบันสารสนเทศน้ำและการเกษตร เข้าเฝ้าฯ กราบบังคมทูลรายงานสรุปสถานการณ์น้ำ ได้รับสั่งให้ย้ำทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเรื่องน้ำทั่วประเทศ ให้ช่วยกันวางแผนเพื่อรับมือปัญหาน้ำที่ขาดแคลนเป็นประจำทุกฤดูแล้ง และจะขาดแคลนมากขึ้นในอนาคต โดยให้คำนึงถึงการประสานประโยชน์ไม่เน้นด้านใดด้านหนึ่งมากเกินไป
      
เวลาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงงานเกี่ยวกับโครงการพระราชดำริ พระองค์ท่านจะต้องใช้แผนที่เป็นคู่มือทุกครั้ง ในห้องทรงงานที่พระตำหนักทุกๆ แห่งทั่วประเทศ จะมีแผนที่ประเทศไทยขนาดใหญ่ติดฝาห้อง และแผนที่ที่ขยายเฉพาะส่วน ก็มีอีกหลายแผ่น ฉบับที่ทรงถือติดพระหัตถ์นั้น ความจริงมีขนาดใหญ่มาก เพราะทรงนำแผนที่มาต่อกันถึง 9 แผ่น หรือ 9 ระวาง แต่ทรงหาวิธีพับแบบพิเศษจนมีขนาดที่ทรงถือได้สะดวก และพลิกออกมาทอดพระเนตรได้ง่าย ทรงตรวจสอบแผนที่เสมอ ไม่ว่าจะเสด็จฯ ที่ไหน แม้ขณะทรงขับรถเองก็มีแผนที่วางอยู่ข้างพระองค์ตลอดเวลา ถ้าประทับเฮลิคอปเตอร์จะทอดพระเนตรสภาพพื้นที่จริงเบื้องล่าง เปรียบเทียบไปกับแผนที่ตลอดทาง ไม่มีการหลับเด็ดขาด เสด็จฯ ไปถึงที่หมายแล้วจะทรงถามชาวบ้านว่า ชื่อหมู่บ้าน แม่น้ำลำคลอง หรือถนน ตรงกับแผนที่ไหม มีหมู่บ้านใดเกิดขึ้นมาใหม่บ้าง ถ้ามีข้อมูลที่ต่างไปจากแผนที่ จะโปรดฯ ให้นายทหารแผนที่จดไว้และนำไปแก้ไขในการพิมพ์แผนที่ครั้งต่อไปให้ถูกต้อง หากมีโครงการสร้างเขื่อนหรืออ่างเก็บน้ำ ทรงสามารถคำนวณพื้นที่รับน้ำคร่าวๆ ได้จากแผนที่ของพระองค์เอง ทรงชำนาญมากจนทอดพระเนตรความสูงต่ำของภูมิประเทศได้ราวกับทอดพระเนตรพื้นที่จริง นักวิชาการหลายท่านทราบดีถึงพระปรีชาสามารถด้านการทรงงานแผนที่ของพระองค์ท่านดี และความที่ทรงแม่นยำในแผนที่นี้ ทำให้ข้าราชการที่ปฏิบัติงานด้วย พลอยกระตือรือร้น ศึกษาหาความรู้เรื่องแผนที่ไปด้วย
      
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริเริ่มโครงการเพื่อช่วยเหลือประชาชนไว้เป็นจำนวนมากทุกภาค อย่างโครงการอ่างเก็บน้ำเขาเต่า อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ทรงเริ่มเมื่อ พ.ศ.2506 จากนั้น ระหว่างประทับที่วังไกลกังวล ได้เสด็จฯ เยี่ยมราษฎรในพื้นที่ จ.เพชรบุรี และราษฎรในพื้นที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นประจำ ทรงพบว่า ปัญหาหลัก คือ ดินเป็นทราย ปลูกพืชไม่ค่อยขึ้น จึงทรงพระราชดำริริเริ่มโครงการเกษตรขึ้นหลายแห่ง เช่น ที่หุบกระพง ดอนขุนห้วย ที่สำคัญคือ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทราย จ.เพชรบุรี ซึ่งทดลองการปรับปรุงบำรุงสภาพดิน จากดินที่แห้งแข็ง จนสามารถปลูกพืชเศรษฐกิจได้หลายชนิด และทรงสร้างอ่างเก็บน้ำไว้แก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำในพื้นที่ด้วย ผลงานสำคัญ เพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง ในภาคกลางก็เช่น เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ และเขื่อนขุนด่านปราการชล เป็นต้น
      
สมัยก่อน เมื่อครั้งที่ยังไม่ได้สร้างเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ กรุงเทพฯ และปริมณฑลต้องประสบน้ำท่วม เนื่องจากน้ำเหนือหลาก พร้อมกับน้ำทะเลหนุนอยู่เสมอ วันที่ 7 พฤศจิกาย พ.ศ.2538 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงชวนหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมชลประทาน จ.สมุทรปราการ กรมทางหลวง กรมเจ้าท่า กรมอุทกศาสตร์และกองทัพเรือ ให้ร่วมกันวางโครงการขุดลอกคลองลัดโพธิ์ เพื่อบรรเทาปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯ และปริมณฑล เนื่องจากแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ในเขต จ.สมุทรปราการ มีลักษณะโค้ง อ้อม ระยะทางประมาณ 18 กิโลเมตร คลองลัดโพธิ์เดิมกว้างประมาณ 10 กว่าเมตร ลึก 1-2 เมตร ถ้าปรับปรุงคลองลัดโพธิ์ ซึ่งเชื่อมต่อด้านเหนือโค้งและปลายโค้งได้ ก็จะสามารถใช้เป็นทางลัด ระบายน้ำเหนือได้เร็ว เพราะระยะทางสั้นเพียง 600 เมตรเท่านั้น กรมชลประทานจึงดำเนินการตามพระราชดำริ เมื่อ พ.ศ.2546 เสร็จใน พ.ศ.2548 โดยมีประตูระบายน้ำควบคุมน้ำที่ไหลผ่าน ไม่ให้มากเกินไป และป้องกันน้ำเค็มไหลย้อน
      
โครงการคลองลัดโพธิ์ ได้ช่วยลดระดับน้ำหลากในลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง และลดระยะเวลาน้ำท่วมขังลง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงปลาบปลื้ม ชื่นชมโครงการนี้มาก และมีพระราชดำริให้ศึกษาการใช้พลังงานน้ำที่ระบายผ่านคลองให้เกิดประโยชน์ กรมชลประทาน และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จึงร่วมกันประดิษฐ์เครื่องกำเนิดไฟฟ้าพลังงานจลน์ และชุดสำเร็จของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าพลังงานจลน์ ขึ้น รวมทั้งยื่นขอจดสิทธิบัตรงานทั้ง 2 ชิ้น ในพระปรมาภิไธยด้วย
      
ภาคเหนือ พระราชกิจ คือ โครงการหลวง เริ่มเมื่อ พ.ศ.2512 วัตถุประสงค์หลัก คือ เปลี่ยนอาชีพของชาวไทยภูเขา จากการปลูกฝิ่นและทำไร่เลื่อนลอย ซึ่งทำให้สูญเสียพื้นที่ป่าอย่างรวดเร็ว ไปเป็นการปลูกพืชผัก ผลไม้เมืองหนาวแทน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ต้องเสด็จฯ ไปตามดอยสูงต่างๆ เป็นร้อยๆ ครั้ง บางครั้งทรงขับรถพระที่นั่งไปตั้งหลายชั่วโมง ที่สูงและกันดาร จนทางรถไปไม่ถึง ก็เสด็จฯ โดยเฮลิคอปเตอร์ จากนั้นก็ทรงพระดำเนินไปตามดอยอีกหลายกิโลเมตร ข้าพเจ้าขอเติมว่า ข้าพเจ้าติดตามไปด้วยตลอดเวลา ทอดพระเนตรสภาพความเป็นอยู่ของชาวเขาอย่างใกล้ชิด โดยมี หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี เป็นผู้ช่วยคนสำคัญ
      
ขณะนี้โครงการหลวงประสบผลสำเร็จแล้ว ผลผลิตทางการเกษตรของโครงการหลวง มีจำหน่ายอย่างแพร่หลาย ประชาชนสามารถศึกษาโครงการพระราชดำริของภาคเหนือได้ ที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ จ.เชียงใหม่
      
ส่วนภาคใต้ โครงการพระราชดำริเริ่มใน พ.ศ.2516 จากการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทอดพระเนตรเห็นสภาพพรุหลายแห่ง ซึ่งมีพื้นที่เป็นล้านๆ ไร่ อยู่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ขึ้นมาถึง จ.นครศรีธรรมราช ก่อให้เกิดปัญหาน้ำเปรี้ยว ดินเปรี้ยว ประชาชนทำการเกษตรได้ยาก ทรงทดลองใช้วิธีต่างๆ ในการปรับสภาพดินนอกเขตพรุ ทำให้ดินหายเปรี้ยว ที่สำคัญ วิธีการแกล้งดิน นี่ทรงตั้งให้เองว่าทรงทำวิธีการแกล้งดินมัน โดยเร่งให้ดินเปรี้ยวเร็วขึ้นอีก ใช้วิธีทำให้น้ำท่วมและแห้งสลับกันไป
      
หลังจากดินเปรี้ยวถึงที่สุดแล้ว ก็ปรับปรุงดิน โดยใช้น้ำจืดชะล้างบ้าง ใช้ปูนขาวบ้าง ดินก็ค่อยๆ ดีขึ้น จนชาวบ้านสามารถปลูกข้าวได้เพิ่มขึ้น จากไร่ละ 5 ถัง เป็น 50 ถัง และสามารถปรับปรุงที่นาที่ถูกทิ้งร้างมาถึง 20-30 ปี ให้นำมาใช้ประโยชน์ได้มากกว่าแสนไร่
      
ศูนย์ศึกษาโครงการพระราชดำริที่สำคัญในภาคใต้ คือ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง จ.นราธิวาส
      
โครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช สมัยโบราณ จ.นครศรีธรรมราช ของเรา เคยเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของภาคใต้ และเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญแห่งหนึ่ง ต่อมามีปัญหาน้ำแล้ง น้ำท่วม และน้ำเค็ม ชาวบ้านทำการเกษตรได้น้อยลง พ.ศ.2521 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จึงมีพระราชดำริในการแก้ไขปัญหาสืบต่อมา โดยให้ดำเนินโครงการหลายโครงการ อาทิ ขุดคลองระบายน้ำต่างๆ สร้างประตูระบายน้ำ เพื่อช่วยระบายน้ำที่ท่วมในหน้าฝนลงทะเล ส่วนหน้าแล้ง ก็ช่วยกั้นน้ำทะเลไม่ให้รุกเข้ามาในแผ่นดิน ทำให้เดี๋ยวนี้น้ำไม่ท่วมตลาด อ.ปากพนัง แล้ว จากที่แต่ก่อนน้ำท่วมแทบทุกปี และยังช่วยให้ชาวบ้านทำการเกษตรได้มากขึ้น เช่น ทำนา ทำสวนผลไม้ ปลูกพืชผักต่างๆ และทำนากุ้ง คิดเป็นพื้นที่ที่ใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น ประมาณ 1 ล้าน 9 แสนไร่ บางที่ เช่นที่ อ.หัวไทร  สามารถทำนาได้ถึงปีละ 3 ครั้ง
      
ภาคอีสาน ภูพานราชนิเวศน์ พระตำหนักสร้างเสร็จใน พ.ศ.2519 ปัญหาสำคัญของภาคนี้ คือ พื้นที่เป็นที่ราบสูง ขาดแคลนน้ำ สภาพดินเป็นทราย และใต้ผิวดินหลายพื้นที่มีเกลือสินเธาว์ โดยรวมแล้วทำให้มีสภาพแห้งแล้ง หลายพื้นที่ทำการเพาะปลูกอะไรไม่ได้ แต่บางพื้นที่มีปัญหาน้ำจากแม่น้ำหลายสายหลากมาท่วมในฤดูฝน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้จัดทำโครงการชลประทานตามพระราชดำริขึ้นเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นอ่างเก็บน้ำขนาดต่างๆ ประกอบกับคลองส่งน้ำ เพื่อให้ราษฎรทำการเกษตรได้ เช่น สร้างประตูระบายน้ำหลายแห่งเพื่อเก็บกักน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง  นอกจากนี้ การฟื้นฟูสภาพป่าต้นน้ำลำธาร การปรับปรุงบำรุงดิน สามารถศึกษาโครงการพระราชดำริได้ ที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพาน จ.สกลนคร
      
เรื่องป่านี้ข้าพเจ้าก็พูดถึงเป็นประจำ และไม่ย่อท้อที่จะพูดต่อไป เพื่อชักชวนให้คนไทยรักษาป่า อย่าตัดไม้ทำลายป่า จะทำให้ฝนฟ้าแล้งได้ การมีป่าทำให้มีน้ำ เพราะป่าเป็นต้นน้ำลำธารของแม่น้ำทุกสายในประเทศไทย ต้นไม้ช่วยดูดซับน้ำไว้ใต้ดิน ช่วยต้านความแรงของน้ำป่า เป็นแหล่งของสมุนไพรและของป่า และเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า และช่วยลดภาวะโลกร้อนไว้ได้ด้วย ดังนั้นการที่ท่านทั้งหลายช่วยปลูกป่าทั่วประเทศ จึงเป็นประโยชน์มาก
      
ทีนี้ข้าพเจ้าขอเล่าอีกเรื่องหนึ่ง เพื่อนของข้าพเจ้าเป็นชาวต่างประเทศ ก็เป็นทางภาคเอเชีย เขามาเฝ้าฯ เป็นทางการ เขาก็พูดกับข้าพเจ้าว่า คนไทยเป็นยังไงนะชอบตัดป่าเสียจริงๆ คนลาวไม่เข้าใจ เดี๋ยวๆ คนไทยก็เข้าไปตัดป่าของตัวเสียทีจนป่าตัวเองจนป่าตัวเองจะหมด แล้วยังข้ามไปจะไปตัดลาว เขาบอกลาวไม่มีวันยอมหรอก ให้มาตัดป่าของลาว เขาพูดกับข้าพเจ้าอย่างนี้ เขาแปลกใจว่าทำไมคนไทยถึงไม่รู้จักประโยชน์ของป่า ที่ว่าทำให้มีน้ำพอใช้
      
โครงการปะการังเทียม ปีที่แล้วข้าพเจ้าเล่าให้ท่านทั้งหลายฟังว่า โครงการทำปะการังเทียมนั้นได้ผลดียิ่ง นักประดาน้ำได้ลงไปถ่ายรูปมาให้ดู น่าตื่นเต้นมากที่ได้เห็นว่ามีฝูงปลานานาชนิดเข้ามาอาศัย แม้แต่ปลาที่หายาก เช่น ปลาหมอทะเล ตัวใหญ่ขนาด 2-3 เมตร ก็เข้ามาอาศัย ปลาจาระเม็ดสีเทาขนาดใหญ่ ปลาช่อนทะเล และปลากุเลา ก็เข้ามาอยู่ด้วย ซึ่งปะการังเทียมนี่ทิ้งก็ไม่ลึกนัก ข้าพเจ้าได้ความรู้นี้จากผู้เชี่ยวชาญของประมง (ชื่ออะไร) ดร.จรัลธาดา ข้าพเจ้าไม่ลืมชื่อท่าน แต่วันนี้เกิดหลงๆ ไป ตามประสาอายุ 78 ค่ะ
      
ปลาช่อนทะเล ปลากุเลา ก็เข้ามาอยู่ด้วย ข้าพเจ้าว่าปลาคงตื่นเต้นกับบ้านใหม่เหมือนกัน มีท่อคอนกรีตของกรมทางหลวง ก็ส่งมาให้ ให้ทิ้งเป็นปะการังเทียม รถขนขยะของกรุงเทพมหานคร และตู้รถไฟของการรถไฟแห่งประเทศไทย ทุกฝ่ายช่วยกันทั้งนั้น ให้ข้าพเจ้าทิ้งปะการังเทียม เพื่อเหล่าปลาจะได้มาสร้าง มาเลือกอพาร์ตเมนต์ของเขา ได้ข่าวว่าปลาชอบจับจองที่สุด คือ ชอบตู้รถไฟมากเป็นพิเศษ แหมมันมากันใหญ่เลย อู้หู แล้วชาวบ้านที่ธรรมดาแล้วเขาบอกข้าพเจ้า ปรับทุกข์กับข้าพเจ้าว่า เขายากจน เป็นชาวประมงเล็กๆ มีเรือเล็กๆ ไม่ใช่มีเรือใหญ่ที่จะออกไปในน้ำลึกได้ ก็มีเรือเล็กๆ เพราะฉะนั้นหากินลำบาก ยากจน ข้าพเจ้าก็ไปปรึกษาทางกรมการประมง ก็ได้เกิดการทิ้งปะการังเทียมนี้ขึ้น
      
โครงการปะการังเทียมนี้ช่วยประหยัดน้ำมันให้ชาวประมงพื้นบ้านได้ 10-20 เปอร์เซ็นต์ และมีรายได้เพิ่มขึ้น 20-30 เปอร์เซ็นต์ ทำให้กลุ่มประมงพื้นบ้าน ตั้งแต่ปัตตานี ถึงนราธิวาส หลายร้อยคน ลงชื่อกันเป็นหางว่าว เขียนจดหมายมาขอให้ข้าพเจ้าช่วยจัดทำปะการังเทียมเพิ่มเติม ข้าพเจ้าก็ยังปรารภกับทุกคนว่า ข้าพเจ้าเองไม่รู้เรื่องเลยเกี่ยวกับปะการังเทียม เป็นกรมประมงทั้งนั้น
      
ท่านทั้งหลายก็ว่า คราวนี้หน่วยงานไหนเล่าจะมาช่วยข้าพเจ้าได้ ปรารภไปไม่นาน ผู้ช่วยก็มา หลายหน่วยร่วมมือกัน ร่วมใจบริจาคสิ่งของที่ชำรุด ใช้การไม่ได้ สำหรับทำปะการังเทียม การรถไฟแห่งประเทศไทย สนับสนุนตู้รถสินค้าเพิ่มขึ้นอีก จำนวน 273 ตู้ กรุงเทพมหานคร สนับสนุนรถเก็บขยะที่ใช้ไม่ได้แล้ว อีกจำนวน 198 คัน กองทัพบก สนับสนุนรถถังจำนวน 25 คัน กองบัญชาการกองทัพไทย สนับสนุนรถบรรทุก 3 คัน สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สนับสนุนงบประมาณดำเนินงาน และกรมประมงเป็นหน่วยประสานงาน
      
ปีนี้จัดทำที่ จ.ปัตตานี 9 จุด และ จ.นราธิวาส 6 จุด เริ่มงานวันที่ 30 กรกฎาคม ที่ผ่านมา และเสร็จเรียบร้อยแล้วในช่วงวันเกิดของข้าพเจ้านี่เอง
      
การทำปะการังเทียมนี้มีคณะกรรมการดูแลทางด้านยุทธศาสตร์การเดินเรือการประมงและสิ่งแวดล้อม ซึ่งศึกษาผลกระทบต่อคุณภาพน้ำ และแหล่งอาศัยของสัตว์ทะเลอย่างรอบคอบ พบว่าไม่ก่อให้เกิดการปนเปื้อนของโลหะหนักในสัตว์น้ำ ส่วนรถชุดใหม่ที่ส่งไปทำปะการังเทียม ก็ผ่านการทำความสะอาดเป็นอย่างดี ไม่มีคราบน้ำมัน คราวนี้มีรถชนิดต่างๆ ให้เลือกมากมาย คงต้องดูว่าปลาจะชอบอาศัยอยู่ในรถชนิดไหน แล้วปีหน้า ข้าพเจ้าจะมาเล่าให้ท่านฟังอีก คราวนี้ รถไฟของการรถไฟฯ
      
โครงการฟาร์มทะเลตัวอย่าง หลายปีมาแล้วมีผู้ที่ใจบุญมากคือ คุณวาสนา เทพหัสดิน ณ อยุธยา ได้ยกที่ดินให้ข้าพเจ้าแปลงหนึ่ง ที่ ต.บางแก้ว อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี เนื้อที่ถึง 82 ไร่เศษ เป็นเนื้อที่ติดชายทะเล ข้าพเจ้าปรึกษา ดร.จรัลธาดา กรรณสูตร ผู้เชี่ยวชาญการประมง ดร.จรัลธาดา บัดนี้ ได้มาทำงานถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ อยู่ เธอก็วางแผนงานและดูแลให้ โดยได้รับความร่วมมือจากนักวิชาการของกรมประมง และช่วยสนับสนุนที่ดิน 82 ไร่ นั้น ให้เป็นฟาร์มทะเลตัวอย่าง โครงการนี้รัฐบาลของนายกรัฐมนตรี โดยคุณกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นำเงินจากโครงการเพื่อสาธารณประโยชน์มาสนับสนุน และอีกส่วนมาจากเงินที่ประชาชนมอบให้ข้าพเจ้าไปทำการกุศล
      
ฟาร์มทะเลตัวอย่างนี้จะเพาะเลี้ยงสัตว์ทะเลและพืชทนเค็มนานาพันธุ์ เพื่อให้ชาวประมงและผู้สนใจได้ใช้เป็นแหล่งศึกษาและเรียนรู้ และนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมแก่สภาพท้องถิ่นของตนต่อไป และยังเป็นที่ที่ช่วยให้คนมีงานทำเพิ่มขึ้นด้วย ฟาร์มทะเลตัวอย่าง ดร.จรัลธาดา แบ่งเป็น 4 เขต ตามช่วงความเค็มของน้ำทะเล คือ 1 เขตน้ำกร่อย ใช้เพาะเลี้ยงปลาที่เติบโตในน้ำกร่อยได้ เช่น ปลากะพงขาว ปลานวลจันทร์ทะเล ปลากระบอก ปลาม้า เป็นต้น
      
2 เขตน้ำปกติ ใช้เพาะเลี้ยงปลาทะเล เช่น ปลาหมอทะเล ปลาช่อนทะเล ปลาตะคองเหลือง และปลาทู อันนี้ข้าพเจ้าไม่ได้ทราบเอง เขาใคร่มาบอกมาอย่างนี้ ในคลองผันน้ำของ 2 เขตนี้ ปลูกสาหร่ายทะเลหลายชนิด เช่น สาหร่ายมงกุฎหนาม สาหร่ายเม็ดพริก และสาหร่ายผมนาง เพื่อต่อไปจะได้ทดลองเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อเป็นครั้งแรก ปลูกพืชทนเค็มสูงตามคันบ่อ เช่น มะพร้าว ผักเบี้ย และโกงกาง เขตน้ำเค็มจัดมาก เพาะเลี้ยงไรน้ำเค็ม 4 เขตนาเกลือ ใช้ทำน้ำทะเลผง สำหรับนำไปผสมน้ำจืด ให้เป็นน้ำทะเลเพื่อเลี้ยงสัตว์ทะเลในที่ต่างๆ ได้ โครงการนี้คาดแล้วว่าจะเสร็จต้นปี 2554 และจะเปิดให้ประชาชนเข้าไปศึกษาดูงาน ซึ่งข้าพเจ้าหวังว่า ต่อไปจะช่วยเพิ่มปริมาณสัตว์ทะเล และเป็นอาหารให้กับประชาชนได้
      
เดือนมิถุนายนปีที่แล้ว ข้าพเจ้าได้จัดให้แสดงโขน ตอนพรหมมาศขึ้น ที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ตามคำเรียกร้องของประชาชนอีกครั้งหนึ่ง แสดงอีกครั้งหนึ่ง ที่ขอให้จัดแสดงซ้ำ ปีนี้ประชาชนเรียกร้องมาอีก ข้าพเจ้าจึงเลือกตอนใหม่มาให้ชมกัน คือตอนนางลอย ซึ่งเป็นตอนที่สนุกสนานเป็นที่นิยมมาแต่โบราณ คราวนี้ได้จัดสร้างเครื่องแต่งกายผู้แสดงนำ โขนตัวนางขึ้นมาใหม่อย่างสวยงาม เพราะของเก่าๆ หมดแล้ว มีแต่ของฝ่ายชายเท่านั้นที่ยังดี เพิ่มจากตอนพรหมมาศที่ได้สร้างเครื่องแต่งกายของโขนตัวพระเป็นส่วนใหญ่ โขนตอนนางลอยใช้เทคนิคสมัยใหม่ แสดงการเหาะของนางเบญจกายกับหนุมานอย่างน่าหวาดเสียวมาก เรียกเสียงปรบมือจากผู้ชมได้ดังสนั่น โขนตอนนางลอยสำเร็จได้ด้วยความทุ่มเทแรงกายใจของครู และเจ้าหน้าที่จากวิทยาลัยนาฏศิลป์ กรุงเทพฯ สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ สำนักการสังคีตกรมศิลปากร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ วิทยาเขตเพาะช่าง ครูโขนผู้มีความชำนาญสูง นักแสดงรุ่นใหญ่ รุ่นเยาว์ที่ฝึกหัดขึ้นมาใหม่อย่างเข้มข้น วงดนตรีปี่พาทย์ ผู้ขับร้องและผู้พากษ์บท การแสดงโขนที่ผู้ชมชมด้วยความสนุกสนาน และจบไปในเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงเท่านั้น เบื้องหลังการแสดงต้องเตรียมงานกันเป็นปีๆ เช่น เสื้อผ้า เครื่องประดับต้องปักทั้งนั้น แล้วหัวโขนต้องตกแต่งมาล่วงหน้า 3-4 ปี รวมทั้งฉากแต่ละฉากต้องใช้เวลาในการจัดสร้าง นักแสดงฝึกเยาวชนรุ่นใหม่ขึ้นมาเตรียมไว้สำหรับเป็นศิลปินเอกรุ่นต่อไป มีการคัดเลือกนักแสดงจากวิทยาลัยนาฏศิลป์ทั่วประเทศ โดยครูโขนเรียงหน้าเป็นกรรมการ เด็กๆ จะไม่ทราบล่วงหน้าเลยว่าครูจะทดสอบอะไร พอออกไปยืนแล้วปี่พาทย์ขึ้นเพลงอะไรต้องรำได้ทันที ดังนั้นทุกคนต้องมีไหวพริบและสามารถพร้อมอยู่ในตัวเสมอ เด็กที่ผ่านการคัดเลือกมาแล้ว ครูโขนยังมาฝึกฝนท่ารำให้อีกเป็นเวลานาน จนสามารถถ่ายทอดศิลปะการแสดงชั้นสูงของไทยออกมาได้อย่างสวยงามที่สุด
      
การจัดแสดงโขนนี้ยังทำให้เกิดช่างทำหัวโขนขึ้น ช่างปักสะดึงกลึงไหม และช่างต่างๆ ที่ช่วยกันทำเครื่องแต่งกายโขน อีกเป็นจำนวนมากซึ่งไม่ใช่ของง่ายเลย ทุกคนได้รับการปลูกฝังให้ใช้ความประณีต พิถีพิถันอย่างยิ่ง ที่จะผลิตงานตามรูปแบบโบราณให้ออกมาเป็นงานฝีมือชั้นคุณภาพ และเมื่อถึงเวลานี้ก็สบายใจได้แล้วว่าจะมีนักแสดงและช่างฝีมือที่พร้อมจะช่วยสืบทอดโขน ซึ่งเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมของชาติไทยให้ยืนยงคงอยู่ต่อไป
      
ข้าพเจ้าชื่นใจมากที่โขนกลับมาเป็นที่นิยมแล้ว เพราะบัตรเข้าชมโขนนางลอย หมดเร็วมากจนต้องเตรียมเปิดแสดงใหม่ในเดือนพฤศจิกายนนี้ ใครยังไม่ได้จองบัตร ก็เตรียมจองได้แล้ว และปีต่อไปคงต้องเลือกตอนใหม่มาแสดงอีก
      
สุดท้ายนี้ ข้าพเจ้าอยากจะเล่าเรื่องที่แสดงว่าสังคมไทยของเราไม่เคยแล้งคนดีมีน้ำใจเลย ไม่เคยเลย เนื่องจากข้าพเจ้าได้ทราบข่าวว่า เมื่อวันที่ 5 สิงหาคมนี้ ตอนกลางวัน คุณธิติมา ยุราวรรณ อายุ 33 ปี ซึ่งตั้งครรภ์ได้ 9 เดือนแล้ว ได้สร้างวีรกรรม ขับรถของตนเองติดตามคนร้ายที่ขโมยรถยนต์ของนายทหารเรือหญิงนอกราชการคนหนึ่ง จากห้างสรรพสินค้าย่านบางแค เก่งเหลือเกิน คุณธิติมา เพราะท้องก็แก่ ตั้ง 9 เดือนแล้ว ขับรถไป วิทยุรายงานตำรวจไปตลอดทาง จนตำรวจสามารถติดตามรวบตัวคนร้ายไว้ได้ และเจ้าทุกข์ก็ได้รถคืน
      
ข้าพเจ้าขอสรรเสริญคุณธิติมา ซึ่งใจเด็ดพอที่จะขับรถตามคนร้ายไป นับว่าเป็นตัวอย่างของคนดี ของคนไทยเรา คนดีที่หายากจริงๆ ข้าพเจ้าทราบว่า คุณธิติมามีกำหนดคลอดบุตรในวันที่ 12 สิงหาคมนี้ ซึ่งตรงกับวันเกิดของข้าพเจ้าพอดี ข้าพเจ้าขออวยพรให้คุณธิติมา ผู้กล้าหาญ มีความสุขความเจริญ คิดสิ่งใดสมความปรารถนา และบุตรชายของเธอ ที่เธอตั้งชื่อไว้ล่วงหน้าว่า “น้องฮีโร่” ก็ขอให้มีความกล้าหาญ เด็ดเดี่ยว เติบโตขึ้นเป็นพลเมืองดีของชาติ เหมือนคุณแม่ด้วยเช่นกัน
      
ข้าพเจ้าขอขอบคุณท่านทั้งหลายที่มาให้พร และให้กำลังใจในวันนี้ และขอขอบพระคุณชาวไทยทั้งประเทศ ที่ร่วมกันทำความดีในเดือนสิงหาคม เพื่อเป็นของขวัญวันเกิด หรือเป็นกุศลแก่ข้าพเจ้า ขอให้ความดีทั้งปวงได้รับการสานต่อให้งอกงามยิ่งๆ ขึ้นไป เพื่อยังประโยชน์ให้แก่คนไทยและประเทศไทยสืบไป ขอให้พรทุกประการที่ท่านทั้งหลายมอบให้ข้าพเจ้า จงตอบสนองทุกท่าน และเป็นปัจจัยส่งให้ทุกท่านแคล้วคลาดจากผองภัย เจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน พบแต่ความเป็นสิริมงคลตลอดไป"
      
จากนั้นเสด็จฯ กลับพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ก่อนประทับพระราชอิริยาบถ ณ ห้องกระจก และเสด็จฯ ออก ณ ห้องทอง พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชทานพระราชวโรกาสให้คณะองคมนตรีและภริยา จำนวน 30 คน ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายพระพรชัยมงคล

ที่มาข่าว:

“ราชินี” ตรัส “ในหลวง” ทรงแข็งแรงดี ทรงห่วงปัญหาน้ำ ชวนคนไทยปลูกต้นไม้ลดโลกร้อน (ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 11-8-2553)
http://manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9530000111579

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

อัยการส่งฟ้องศาลแล้ว 19 นปช.คดีก่อการร้าย

Posted: 11 Aug 2010 06:54 AM PDT

11 ส.ค. 53 - อัยการนำสำนวนคดีก่อการร้ายส่งฟ้องต่อศาลอาญาแล้ว ประกอบด้วยผู้ต้องหา 19 คน รวมถึง "วีระ มุสิกพงษ์-จตุพร พรหมพันธุ์-ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ-นพ.เหวง โตจิราการ" พร้อมกับสำนวนคดียุยงปลุกปั่น มี 1 ผู้ต้องหา คือ "สมชาย ไพบูลย์" ซึ่งครบกำหนดฝากขังในวันนี้ โดยศาลนัดสอบคำให้การในวันที่ 16 ส.ค. ทั้งนี้ในคดีก่อการร้าย ดีเอสไอส่งฟ้องต่ออัยการมีผู้ต้องหาทั้งสิ้น 25 คน ซึ่งเหตุที่อัยการส่งฟ้องศาล 19 คน เนื่องจากที่เหลืออีก 6 คน ยังไม่ได้ตัวผู้ต้องหา จึงยังไม่ส่งฟ้อง

จตุพรซัด อสส.รับใบสั่งลั่นชุมนุมหน้าอัยการแน่

ที่รัฐสภา นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) กล่าวถึงกรณีที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.ยุติธรรม ทำหนังสือถึงอัยการสูงสุดเพื่อให้เร่งรัดสั่งฟ้องคดีของแกนนำนปช.ว่า ล่าสุดอัยการสูงสุดก็เร่งรัดคดีและน่าจะสั่งฟ้องภายในเย็นวันนี้ ทั้งที่ยังไม่ถึงวันครบกำหนดฝากขัง 84 วัน ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 7 ก.ย. และที่ผ่านมาก็ไม่ได้ให้ความเป็นธรรมต่อผู้ถึงกล่าวหา ไม่มีการสอบพยานทั้งชั้นพนักงานสอบสวน หรือพนักงานอัยการ เป็นคนละมาตรฐานโดยสิ้นเชิงกับคดีของกลุ่มพันธมิตรฯ อัยการสูงสุดวันนี้กลายเป็นองค์กรทาส ประชาชนพึ่งหวังไม่ได้ และไม่แน่ใจว่าต่อไปศาลจะพึ่งได้หรือไม่ สำนวนคดีก่อการร้ายที่เขียนไว้ตนนำมาเปิดเผยไม่ได้ แต่เห็นแล้วต้องบอกว่าโหลยโท่ย กุข่าวสร้างพยานเท็จอย่างเลวร้ายที่สุด เป็นมนุษย์ไม่น่าจะใส่ร้ายกันได้ถึงเพียงนี้ หน่วยงานที่ทำถือว่าเลวทรามต่ำช้า ปั้นพยานเท็จมาเดินเรื่องใส่ร้ายกันในหลายกระบวนการ อย่างนี้จะปรองดองกันได้อย่างไร จะปฏิรูปด้วยการบีบให้คนจนตรอกไม่มีทางเลือกอย่างนั้นหรือ

นายจตุพร  กล่าวว่า กรณีที่จะชุมนุมหน้าสำนักงานอัยการสูงสุด ก็เพื่อทวงถามความเป็นธรรม และต้องการทราบเหตุผลการกระทำต่างๆของอัยการสูงสุด นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด ควรลาออกได้แล้ว เพราะตัวเองเป็นตัวประกันคดีขายสินทรัพย์ ปรส. กว่า 8 หมื่นล้านบาท ถูกต่อรองในการทำหน้าที่จนขายความสง่างาม ส่วนจะเดินทางไปชุมนุมวันไหนนั้น ขอให้พวกเราได้คิดกันให้ตกผลึกเสียก่อน ตราบใดที่แผ่นดินยังไม่กลบหน้าต้องสู่ต่อไป อย่างไรก็ตามการไปชุมนุมที่อัยการสูงสุด คงไม่มีประโยชน์อะไรต่อรูปคดีแล้ว แต่จะไปเพื่อทวงถามเกียรติภูมิของอัยการสูงสุด ไปถามว่ายังเป็นองค์อิสระหรือเป็นองค์กรทาสในเรือนเบี้ย หรือตกเป็นตัวประกันของใคร พร้อมทั้งถามถึงการปฏิบัติแบบ 2 มาตรฐานที่ทำกับนปช.และกลุ่มพันธมิตรฯ

นายจตุพรกล่าวว่า สำหรับนายพีระพันธุ์ ได้ดำเนินการหลายอย่างที่ไม่ชอบมาพากล ซึ่งก็ขอให้เตรียมตอบกระทู้ของตนในสัปดาห์หน้า นอกจากนายพีรพันธุ์จะแทรกแซงอัยการแล้ว ยังโทรศัพท์ไปถึงนายประจวบ สังข์ขาว ซึ่งเป็นพยานปากสำคัญในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งไม่รู้ว่าโทรไปหาเพื่ออะไรและโทรไปในฐานะอะไร ตนมีพร้อมหมดแล้วทั้งเบอร์โทร วันเวลาในการโทร ซึ่งตนจะนำเบอร์โทรศัพท์มาเปิดเผยในวันถามกระทู้ นอกจากนี้ยังสั่งให้ดีเอสไอนำข้อมูล และคำให้การพยานซึ่งอยู่ในขั้นตอนการคุ้มครองพยานตามพรบ.คุ้มครองพยาน ให้กับทีมกฎหมายในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ เป็นการช่วยเหลือกันให้พรรคประชาธิปัตย์รู้ข้อสอบก่อน และเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรม ต่อไปใครจะกล้ามาเป็นพยาน หากถูกนำความลับมาเปิดเผย จนอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต ถือเป็นเรื่องไม่ถูกต้องกระทำเกินเลย เป็นพฤติกรรมมดลอบกัด ผิดทั้งมิติทางกฎหมายและทางจริยธรรม เบื้องต้นนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ได้ไปร้องต่อปปช.ว่านายพีรพันธุ์ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบข้อหาดำเนินการเร่งรัดให้อัยการสั่งฟ้องคดีของแกนนำนปช.แล้ว ส่วนกรณีการสั่งดีเอสไอให้เอาข้อมูลและคำให้การพยานมาให้ทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ในคดียุบพรรค ตนก็จะดำเนินคดีต่อไป

นายจตุพร  กล่าว  ถึงกรณีที่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาไม่รับอุทธรณ์คดียึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาท พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯว่า เรื่องนี้เมื่อศาลมีมติชัดเจนแล้วก็ถือเป็นข้อยุติที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ และคงไม่ได้ทำให้กลุ่มคนเสื้อแดงเกิดอาการขวัญเสีย และไม่มีผลต่อการดำรงอยู่ของคนเสื้อแดง เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่ได้มีการใช้เงินของอดีตนายกฯ การดำเนินการหรือเคลื่อนไหวใดๆ ก็เป็นการนำเงินมาจากการระดมทุนกันเองทั้งการจัดคอนเสิร์ต จัดกิจกรรม ขายของที่ระลึก ฉะนั้นกลุ่มคนเสื้อแดงก็ยังคงเดินหน้าต่อไปได้อย่างไม่มีปัญหา

ที่มาข่าวเรียบเรียงจาก:
อัยการส่งฟ้องศาลแล้ว 19 นปช.คดีก่อการร้าย (สำนักข่าวไทย, 11-8-2553)
http://www.mcot.net/cfcustom/cache_page/89011.html

จตุพรซัดอสส.รับใบสั่งลั่นชุมนุมหน้าอัยการแน่ (เดลินิวส์, 11-8-2553)
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=8&contentID=84520

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

จดหมายเปิดผนึก "อนุดิษฐ์" จี้ "ธาริต" แจงไม่สั่งฟ้อง “ประชัย”

Posted: 11 Aug 2010 06:12 AM PDT

11 ส.ค. 53 - น.อ. อนุดิษฐ์ นาครทรรพ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร เขต 5 พรรคเพื่อไทย ส่งจดหมายเปิดผนึก ถึงนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ให้พิจารณาตอบข้อซักถามกรณีที่ดีเอสไอสั่งไม่ฟ้องกรณีที่นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ผู้บริหารบริษัททีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ตลาดหลักทรัพย์

 

 

11 สิงหาคม 2553

เรื่อง โปรดพิจารณาตอบข้อซักถามเพื่อประโยชน์ของสาธารณะ

เรียน อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ

ตาม ที่ท่านได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนมาโดยตลอดว่าท่านมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง ตามที่คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ มีความเห็นสั่งไม่ฟ้องกรณีที่มีการกล่าวหา นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ผู้บริหารบริษัททีพีไอโพลีน จำกัด(มหาชน) กระทำความผิดตามกฎหมายตลาดหลักทรัพย์โดยยืนยันว่า นิติกรรมที่ปรากฎในสำนวนการสอบสวนระหว่างนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ และนายประจวบ สังข์ขาวไม่เป็นนิติกรรมอำพราง โดยเสนอความเห็นไปยังพนักงานอัยการเพื่อพิจารณาสั่งการต่อไปและท่านพร้อมให้ มีการตรวจสอบการทำงานของกรมสอบสวนคดีพิเศษตลอดเวลานั้น

เนื่องจากคดี ที่มีการกล่าวหาดังกล่าวนอกจากจะเป็นเรื่องที่ประชาชนทั่วไปมีความสนใจไม่ ใช่เพียงเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองที่เป็นแกนนำรัฐบาลเท่านั้น แต่ลักษณะการกระทำผิดดังกล่าวเป็นการกระทำผิดในตลาดหลักทรัพย์ที่มีความ สำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ อีกทั้งยังมีความผิดอื่นๆที่เกี่ยวข้องอันเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อ กฎหมายหลายบท โดยเฉพาะมีความผิดที่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองอีกส่วนหนึ่งด้วย

ดังนั้น เพื่อให้เกิดความชัดเจนและถือเป็นหลักธรรมาภิบาลของหน่วยงานสืบสวนสอบสวนที่ มีความสำคัญอย่างยิ่งของประเทศ พรรคเพื่อไทยในฐานะที่ได้มีสมาชิกของพรรคร้องเรียนเรื่องดังกล่าวด้วยจึงขอ ทราบรายละเอียดในเรื่องดังกล่าวต่อท่านดังนี้

๑.เนื่อง จากการกระทำในคดีนี้นอกจากจะเป็นความผิดตามกฎหมายตลาดหลักทรัพย์แล้ว ยังมีความผิดตามกฎหมายอื่นอีกกรมสอบสวนคดีพิเศษได้มีการพิจารณาด้วยหรือไม่

๒.กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้สั่งไม่ฟ้องใครในความผิดฐานใด ตามตัวบทมาตราใด

๓.เหตุที่สั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้งหมดในคดีนี้เพราะเหตุใด

๔.กรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้งมีความเห็นว่า กรณีดังกล่าวเป็นความผิด และส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดพิจารณาโดยต่อมามีความเห็นร่วมกันว่า นิติกรรมที่ บริษัททีพีไอโพลีนฯกระทำขึ้นกับบริษัทเมซไซอะฯ เป็นนิติกรรมอำพราง และได้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรคไปแล้วกรมสอบสวนคดีพิเศษได้ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายอย่างไรบ้างหรือไม่

๕.คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้พิจารณาพยานหลักฐานที่มีอยู่ในสำนวนการสอบสวนครบถ้วน รอบด้านแล้วหรือไม่

๖.ในฐานะอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษและหัวหน้าพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญาได้มีความเห็นทางคดีสั่งไม่ฟ้องไปแล้ว ใช่หรือไม่

กระผม ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใคร่ขอความกรุณาจากท่าน เพื่อโปรดพิจารณาตอบข้อซักถามดังกล่าวข้างต้นเพื่อประโยชน์ต่อสาธารณชน ที่มีความรู้สึกเคลือบแคลงสงสัย ให้เกิดความกระจ่างและขอขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้

ขอแสดงความนับถือ
น.อ. อนุดิษฐ์ นาครทรรพ
( อนุดิษฐ์ นาครทรรพ )
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร เขต 5 พรรคเพื่อไทย

 

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

รายงานพิเศษ: คลี่ปมเยี่ยวยาใต้ (ตอนที่1) สารพันปัญหาเงินเป็นตัวตั้ง

Posted: 11 Aug 2010 05:54 AM PDT

รายงานชุดคลี่ปมเยี่ยวยา สารพันปัญหาเงินเป็นตัวตั้ง นำเสนอภาพรวมและปัญหาเรื่องการใช้เงินงบประมาณในการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้

 

ตลอดช่วง 6 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้เมื่อเดือนมกราคม 2547 เป็นต้น รัฐบาลไทยได้ทุ่มงบประมาณในการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผละกระทบไปแล้วมากกว่า 2,225 ล้านบาท
งานกับเงินเยียวยาวันนี้ยังมีปัญหามากมาย ในขณะที่สถิติผู้ได้รับผลกระทบทั้งเสียชีวิต บาดเจ็บ ทรัพย์สินเสียหาย ถูกจับกุม ควบคุมตัวดำเนินคดีก็ยิ่งพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สถิติความไม่สงบภาคใต้ยังพุ่ง
ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ (Deep South Watch) ได้รายงานว่า ช่วง 73 เดือนตั้งแต่มกราคม 2547 ถึงมกราคม 2553 เกิดเหตุความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้รวม 9,446 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตประมาณ 4,100 คน บาดเจ็บ 6,509 คน รวม 10,609 คน มีผู้ได้รับผลกระทบจากความสูญเสียประมาณ 53,045 คน
ในกลุ่มผู้เสียชีวิตเป็นคนมุสลิมมากกว่าพุทธ คิดเป็นร้อยละ 58.95 (2,417 คน) ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บส่วนใหญ่เป็นคนพุทธมากกว่ามุสลิม คิดเป็นร้อยละ 59.82 (3,894 คน)
งบประมาณเยียวยา
 
แต่ละปีรัฐได้เพิ่มงบประมาณเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบมากขึ้นเรื่อยๆ ยกเว้นในปี 2552 ที่ลดลง แต่ก็เชื่อว่าในปี 2553 นี้ มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากสถานการณ์รุนแรงมาตั้งแต่ต้นปี
 
ทว่า งบประมาณ 2,225 ล้านบาทดังกล่าว ก็น้อยนิดถ้าเทียบกับงบประมาณในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้งหมด ซึ่งตลอด 5 ปีงบประมาณที่ผ่านมาที่สูงถึง 109,396 ล้านบาท
 
ขณะที่พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2554 ที่ผ่านวาระแรกของสภาผู้แทนราษฎรไปแล้ว ได้จัดสรรมาใช้ในการแก้ปัญหาและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ 19,102 ล้านบาท หากร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ผ่าน จะทำให้มีการใช้งบประมาณดับไฟได้พุ่งไปถึง 1.25 แสนล้าน
 
สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แจกแจงงบประมาณในการเยียวยาแยกเป็นรายปีตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2547 จนถึงสิ้นเดือน กันยายน 2552 รวมทั้งสิ้น 2,225,318,527 บาท
 
กลไกการเยียวยา
ตั้งแต่ปี 2547 ถึง 2550 รัฐบาลไทยมีมติเกี่ยวกับการช่วยเหลือเยียวยาคนของรัฐที่ได้รับผลกระทบจนรวม 14 ครั้ง เมื่อสถานทวีความรุนแรงขึ้น ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก รัฐบาลไทยได้เพิ่มการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนเข้าไปด้วย
มติคณะรัฐมนตรีครั้งสำคัญคือ การแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายและอำนวยการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบสืบเนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ กยต. เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2548 พร้อมกำหนดหลักเกณฑ์การช่วยเหลือ ซึ่งต่อมามีการปรับปรุงอีกหลายครั้ง จนได้หลักเกณฑ์ที่ใช้อยู่ปัจจุบัน
กยต.ยังได้ตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาอีก 5 ชุด หนึ่งในนั้น คือ คณะอนุกรรมการพิจารณาหลักเกณฑ์และอำนวยการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบสืบเนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เป็นประธาน
สำหรับหน่วยงานที่รับผิดชอบหลักในการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ คือ สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงมหาดไทย ผ่านผู้ว่าราชการจังหวัด กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
ส่วนหน่วยงานสำคัญในพื้นที่ คือ ศูนย์ช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบฯ จังหวัดทั้ง 4 จังหวัดคือ สงขลา ปัตตานี ยะลาและนราธิวาส และศูนย์ช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบฯ ประจำอำเภอทุกอำเภอใน 3 จังหวัดและ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา
หน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทุกเขตในพื้นที่ (สพท.) สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด (ปภ.จ.) สำนักงานท้องถิ่นจังหวัด และผู้แทนกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ (กสส.) กระทรวงยุติธรรม 
ประเภทเงินเยียวยา
สำหรับเงินช่วยเหลือเยียวยาของทางราชการ ได้แบ่งประเภทของเงินออกเป็น 10 กลุ่ม ดังนี้ (ดูตารางหลักเกณฑ์การเยียวยา)
-           เงินช่วยเหลือ ซึ่งเป็นเงินก้อนใหญ่ที่สุด มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจและลดผลกระทบจากเหตุการณ์ไม่สงบ โดยให้เป็นเงินก้อนครั้งเดียว
-           เงินทุนประกอบอาชีพ เพื่อการประกอบอาชีพใหม่ แต่ต้องยื่นความจำนงเฉพาะ
-           เงินฟื้นฟูสมรรถภาพ เพื่อฟื้นฟูร่างกายสำหรับผู้บาดเจ็บหรือทุพพลภาพ
-           เงินช่วยเหลือผู้พิการ จ่ายเป็นรายเดือนตามระดับความพิการ
-           เงินยังชีพรายเดือน จ่ายให้กับเด็กที่ประสบเหตุและบุตรของผู้ได้รับผลกระทบที่เสียชีวิต บาดเจ็บสาหัสหรือทุพพลภาพ เพื่อให้สามารถยังชีพได้ระหว่างการศึกษา โดยจ่ายเป็นรายเดือนจนจบการศึกษา
-           เงินสงเคราะห์ครอบครัว จ่ายครั้งเดียว
-           เงินครอบครัวอุปถัมภ์ จ่ายให้กับครอบครัวที่อุปถัมภ์เด็กกำพร้า เนื่องจากบิดาและมารดาเสียชีวิตทั้งคู่จากเหตุการณ์ไม่สงบ โดยได้รับเป็นรายเดือน
-           เงินทุนการศึกษาเป็นรายปีต่อเนื่อง สำหรับเด็กที่ประสบเหตุ เด็กกำพร้า หรือเด็กที่ได้รับผลกระทบเนื่องจากบิดามารดาหรือผู้อุปการะเสียชีวิต บาดเจ็บสาหัส ทุพพลภาพระยะยาว โดยจ่ายเป็นรายปีจนจบการศึกษา
เงินเยียวยาไม่ใช่มรดก
นายแพทย์สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะนะ จังหวัดสงขลา ในฐานะกรรมการมูลนิธิเพื่อการเยียวยาและสร้างความสมานฉันท์ชายแดนใต้ หรือ มยส. กล่าวว่า เงินช่วยเหลือเยียวยา มีเป้าหมายเพื่อให้คนที่อยู่ข้างหลังมีชีวิตอยู่ต่อไปด้วยความยากลำบากน้อยที่สุด ดังนั้นเงินดังกล่าวจึงไม่ใช่มรดก
“ผู้นำศาสนาแจ้งชัดว่า ไม่ใช่เงินมรดก และไม่ต้องแบ่งตามกฎหมายมรดกตามหลักศาสนาอิสลาม อีกทั้งต้องไม่นำไปจ่ายหนี้ให้แก่เจ้าหน้าที่ก่อนจัดสรรให้ทายาทด้วย” นายแพทย์สุภัทร กล่าว
ใครคือผู้ได้รับผลกระทบ
เมื่อมีนโยบายและหลักเกณฑ์การเยียวยาแล้ว ก็จำเป็นต้องมีผู้ได้รับการเยียวยา แล้วใครคือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบที่ทำให้ต้องได้รับการเยียวยาจากความสูญเสียหรือความเสียหายที่เกิดขึ้นบ้าง
ในกรณีนี้ คณะอนุกรรมการพิจารณาหลักเกณฑ์และอำนวยการให้ความช่วยเหลือเยียวยาฯ ได้ระบุประเภทผู้ได้รับผลกระทบอย่างกว้างๆ ดังนี้
1.คนไทยที่มีชื่อยู่ในทะเบียนบ้าน 2.บุคคลต่างด้าวที่เข้าเมืองอย่างถูกต้องตามกฎหมาย 3.ผู้มาประสบเหตุจากการกระทำของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา 4.เหตุการณ์ที่ทำให้เสียชีวิต บาดเจ็บและทรัพย์สินเสียหาย เฉพาะทรัพย์สินที่ไม่ได้ทำประกันภัย
ขณะเดียวกัน มีการกำหนดระดับความเสียหายที่เกิดจากความไม่สงบด้วย ซึ่งมีหลายระดับความรุนแรง ทั้งการบาดเจ็บ เสียชีวิต ทรัพย์สินเสียหาย
กล่าวสำหรับความเสียหายต่อร่างกาย กยต.ได้มีการแบ่งออกเป็น 5 ระดับ ซึ่งจะทำได้รับสิทธิประโยชน์แตกต่างกัน ได้แก่
1.เสียชีวิต
2.ทุพพลภาพ หมายถึง พิการหรือขาดความสามารถในการประกอบกิจวัตรประจำวัน เป็นต้น
3.บาดเจ็บสาหัส ใช้ระยะเวลาพักรักษาเกิน 20 วัน
4.บาดเจ็บธรรมดา ใช้ระยะเวลาพักรักษา 8 – 20 วัน และ
5.บาดเจ็บเล็กน้อย ใช้เวลาพักรักษาตัว ไม่เกิน 7 วัน
การรับรอง 3 ฝ่าย
หลักเกณฑ์สำคัญอีกประการหนึ่งที่คณะอนุกรรมการพิจารณาหลักเกณฑ์และอำนวยการให้ความช่วยเหลือเยียวยาฯ กำหนดขึ้นในการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบคือ การรับรอง 3 ฝ่าย เยียวยาคือ หมายความว่า จำเป็นต้องมีเอกสารรับรองเหตุการณ์ไม่สงบจากทั้งตำรวจ ทหารและฝ่ายปกครอง
อันเป็นการรับรองเพื่อยืนยันว่า เป็นผู้ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้จริง ซึ่งจะดำเนินการภายใน 7 วัน โดยผู้ลงนามในใบรับรอบ 3 ฝ่าย ได้แก่ ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจ (ฉก.) ในพื้นที่ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธร และนายอำเภอ
หากมีการรับรองเพียง 2 ฝ่าย ก็จะจ่ายเงินช่วยเหลือให้ครบ 100 % ทันที แต่หากมีการรับรองเพียงฝ่ายเดียว หรือ ไม่มีใครรับรองเลย ก็จะไม่มีการจ่ายเงินช่วยเหลือหรือหากมีการจ่ายไปก่อน 25 % ในเบื้องต้นก็ให้ยุติการจ่าย โดยไม่เรียกเงินคืน
แต่หากเป็นทรัพย์สินที่เสียหาย ก็จะมีการประชุมประเมินราคาทรัพย์สินก่อน
จากนั้นก็ให้รอผลการตัดสินสุดท้ายว่า เป็นคดีความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้หรือไม่ หากความสูญเสียที่เกิดขึ้น เป็นคดีความมั่นคงก็ให้จ่ายเงินช่วยเหลือจนครับ 100 % ต่อไป โดยหน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการมอบเงินเยียวยาคือผู้ว่าราชการจังหวัด
ในการรับรอง 3 ฝ่ายนั้น เป็นปัญหาพอสมควร เนื่องจากบางเหตุการณ์มีความคลุมเครือ เจ้าหน้าที่ไม่กล้ารับรอง แต่ญาติผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บเชื่อว่าเป็นเหตุการณ์ไม่สงบ ทำให้คำร้องเรียนค้างการพิจารณาของคณะอนุกรรมการพิจารณาหลักเกณฑ์และอำนวยการให้ความช่วยเหลือเยียวยาฯ เป็นจำนวนมาก
นายภาณุ อุทัยรัตน์ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการชุดนี้ ระบุว่า นับตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา มีเรื่องค้างพิจารณา 492 เรื่อง ซึ่งเป็นกรณีผู้ได้รับผลกระทบที่ตกสำรวจด้วย คิดเป็น 1 ใน 3 ของคำร้องทั้งหมด
นอกจากนี้ยังมีอีก 89 เรื่องต้องนำมาทบทวนคำรับรอง 3 ฝ่าย ใหม่ โดยในการพิจารณาหรือทบทวนคำรับรองใหม่นั้น ก็ต้องเชิญหน่วยงานในพื้นที่พิจารณาร่วมกัน

 
6 ปี ใช้งบเยียวยา 2.2 พันล้าน
 
ข้อมูลจากสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สามารถแจกแจงงบประมาณในการเยียวยาแยกเป็นรายปีตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2547 จนถึงสิ้นเดือน กันยายน 2552 ได้ดังนี้
 
ปี 2547 เงินช่วยเหลือและเงินชดเชย 25,027,500 บาท
 
ปี 2548 เงินช่วยเหลือและเงินชดเชย 93,673,334 บาท นอกจากนี้ยังมีเงินเยียวยาตามแผนงานภายใต้คณะกรรมการนโยบายและอำนวยการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบสืบเนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ กยต. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 297,002,975 บาท รวม 390,676,309 บาท
 
ปี 2549 เงินช่วยเหลือและเงินชดเชย 192,836,890 บาท เงินเยียวยาตามแผนงานภายใต้ กยต.277,272,124 บาท รวม 470,109,014 บาท
 
ปี 2550 เงินช่วยเหลือและเงินชดเชย 298,858,998 บาท แผนงานภายใต้ กยต. 189,486,340 บาท รวม 488,345,338 บาท
 
ปี 2551 เงินช่วยเหลือและเงินชดเชย 360,277,297 บาท แผนงานภายใต้ กยต. 217,726,890 บาท รวม 578,004,187 บาท
 
ปี 2552 เงินช่วยเหลือและเงินชดเชย 253,305,079 บาท แผนงานภายใต้ กยต.
 
รวม 6 ปีงบประมาณใช้เงินไปทั้งสิ้น 2,225,318,527 บาท
 
 

 

 
คณะกรรมการเยียวยาฯ
 
คณะกรรมการนโยบายและอำนวยการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบสืบเนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ กยต. ตั้งขึ้น เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2548 โดยมีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาอีก 5 ชุด ได้แก่
 
1.คณะอนุกรรมการพิจารณาหลักเกณฑ์และอำนวยการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบสืบเนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เป็นประธาน
 
2.คณะอนุกรรมการเฉพาะกิจเพื่อประสานการติดตามผู้สูญหายและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบเฉพาะกรณี
 
3.คณะอนุกรรมการโครงการดูแลเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบด้านจิตใจใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้
 
4.คณะอนุกรรมการประชาสัมพันธ์การช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ และ
 
5.คณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือเยียวยาเด็กกำพร้าและสตรีหม้ายที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบ
 
 

 
หลักเกณฑ์การเยียวยา
ตารางหลักเกณฑ์ช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบสืบเนื่องจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวดชายแดนภาคแดน ตามมติ คณะรัฐมนตรีและระเบียบรกระทรวงการคลัง
รายการ
ผู้ได้รับผลกระทบ
เสียชีวิต (บาท)
ทุพพลภาพ (บาท)
บากเจ็บ (บาท)
หน่วยงานที่รับผิดชอบ
สาหัส
ธรรมดา
เล็กน้อย
1.เงินช่วยเหลือ
ข้าราชการ ลูกจ้างประจำ/ชั่วคราว พนังกานรัฐวิสาหกิจ เจ้าห้าที่ของรัฐ
500,000
500,000
50,000
50,000
50,000
สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี(สปน.)/จังหวัด
ทหาร ตำรวจ อาสาสมัคร กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล สารวัตรกำนัน
500,000
500,000
50,000
50,000
50,000
ประชาชนผุ้ปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือราชการในการรักษาความสงบในพื้นที่ อสม./ช.ร.บ. และอาสาสมัครที่ได้รับการแต่งตั้งจากส่วนราชการ
200,000
80,000
50,000
30,000
10,000
ประชาชนทั่วไป
100,000
80,000
50,000
30,000
10,000
2.เงินทุนผู้ประกอบอาชีพ
ผู้ได้รับผลกระทบได้รับบาดเจ็บ บาดเจ็บสาหัส หรือทุพพลภาพ
รายละ ไม่เกิน 15,000 บาท
3.เงินฟื้นฟูสมรรถภพ
ผู้ได้รับผลกระทบได้รับบาทเจ็บสาหัส หรือทุพพลภาพ
-
200,000
-
-
กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
4.เงินช่วยเหลือผู้พิการจ่ายเป็นรายเดือน
ผู้ได้รับผลกระทบฯ ทุกประเภท
-
1,000-3,000 (ตามระดับความพิการ)
-
-
5.เงินยังชีพรายเดือน
เด็กประสบเหตุและบุตรผู้ได้รับผลกระทบที่เสียชีวิต บาดเจ็บสาหัสหรือทุพพลภาพ จนจบการศึกษา
อนุบาล/ประถมศึกษา 1,000 บาท ปีละ 12,000 บาท
เด็กเล็ก/กศน./มัธยมศึกษา 1,500 บาท ปีละ 18,000 บาท
อุดมศึกษา 2,500 บาท ปีละ 30,000 บาท
6.เงินสงเคราะห์ครอบครัว
ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบฯ (ยกเว้นข้าราชการ)
บาดเจ็บ 3,000 บาท เสียชีวิต 6,000 บาท
7.เงินครอบครัวอุปถัมภ์
ครอบครัวที่อุปการะเด็กกำพร้า เนื่องจากบิดาและมารดาเสียชีวิตทั้งคู่ จากเหตุการณ์ความไม่สงบฯ
อุปการะ 1 คนๆ ละ 2,000 บาท/เดือน/ครอบครัว
 
อุปการะ 3 คนขึ้นไปเหมาจ่ายเดือนละ 5,000 บาท
8.เงินทุนการศึกษารายปีต่อเนื่อง
เด็กที่ประสบเหตุ เด็กกำพร้าหรือเด็กที่ได้รับผลกระทบเนื่องจากบิดา มรดา หรือผู้อุปการะเสียชีวิต บาดเจ็บสาหัส ทุพพลภาพในระยะยาว
เด็กเล็ก/กศน. 5,000 บาท
อนุบาล/ประถมศึกษา 6,000 บาท
มัธยมศึกษา 10,000 บาท
อุดมศึกษา 20,000 บาท
กระทรวงศึกษาธิการ
 

หน่วยงาน
การช่วยเหลือ
1.กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ (คสส.)
1.เสียชีวิตไม่เกิน 100,000 บาท (ยกเว้นข้าราชการ)
- ค่าตอบแทนกรณ๊ผู้เสียหายเสียชยีวิต 50,000 บาท
- ค่าจัดการศพ 20,000 บาท
- ค่าอุปการะเลี้ยงดู 30,000 บาท
 
2.บาดเจ็บ (จ่ายตามใบเสร็จ)
1) ค่ารักษาพยาบาลตามจริงไม่เกิน 30,000 บาท
2) ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพตามจริงไม่เกิน 20,000 บาท
3) ขาดผลประโยชน์ทำมาหกินวันละไม่เกิน 200 บาท (1 ปี)
2.กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)
1.เสียชีวิต
1) หัวหน้าครอบครัว/ผู้หาเลี้ยงครอบครัว 40,000 บาท
2) สมาชิกในครอบครัว 15,000 บาท
2. บาดเจ็บสาหัส
เงินช่วยเหลือ 3,000 บาท
3. บาดเจ็บเล็กน้อย
เงินช่วยเหลือ 2,000 บาท
4. ทุพพลภาพ 10,000 บาท
5. อัคคีภัย
1) เพลิงไหม้ทั้งหลัง ไม่เกิน 30,000 บาท
2) เพลิงไหม้บางส่วน ไม่เกิน 20,000 บาท

 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

"ไพบูลย์" สำนึกผิดเปรียบนายกเป็น "อภิสิทธัตถะ" เตรียมขอขมามหาเถระสมาคม

Posted: 11 Aug 2010 05:41 AM PDT

เมื่อวันที่ 11 ส.ค. คณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ เป็นประธานคณะกรรมาธิการฯ ได้พิจารณากรณีคำพูดที่ไม่เหมาะสมของ นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ที่กล่าวเปรียบเทียบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เสมือน "อภิสิทธัตถะ" โดยนายไพบูลย์ได้เดินทางมาชี้แจงด้วยตัวเอง โดยมีพระเทพดิลก เลขาธิการศูนย์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทยและประธานศูนย์พิทักษ์ พระพุทธศาสนา ผู้เสนอญัตติเข้าร่วมรับฟังด้วย

นายไพบูลย์ กล่าวว่า ไม่ได้ มีเจตนาจะลบหลู่พระพุทธศาสนา ยอมรับว่าคำพูดของตนได้สร้างความกังวลให้กับหลายฝ่าย ซึ่งตนก็รับรู้ถึงความกังวลเหล่านี้ และยินดีที่จะขอโทษในสิ่งที่ได้กระทำลงไป ขณะที่พระเทพดิลก กล่าวว่า เมื่อนายไพบูลย์สำนึกผิด ในสิ่งที่ได้กระทำผิดพลาดไปแล้วก็ไม่ติดใจอะไร เพียงแต่อยากให้ นายไพบูลย์ ไปขอขมาต่อมหาเถระสมาคมที่รู้สึกกังวล และไม่สบายใจในเรื่องนี้อย่างมาก ซึ่งนายไพบูลย์ ตอบรับว่าพร้อมจะไปขอขมาต่อมหาเถระสมาคมด้วยตัวเองในวันที่ 20 ส.ค. นี้

ที่มาข่าว:
ไพบูลย์ สำนึกเปรียบนายฯ "อภิสิทธัตถะ" (ไทยรัฐ, 11-8-2553)
http://www.thairath.co.th/content/pol/102899

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

รายงานพิเศษ ‘จังหวัดระนอง’ ตะเข็บชายแดน พื้นที่นำร่องสู่ “การจดทะเบียนการเกิดถ้วนหน้า”

Posted: 11 Aug 2010 05:33 AM PDT

สถาบันวิจัยและพัฒนาเพื่อเฝ้าระวังสภาวะไร้รัฐ (SWIT) ร่วมกับคณะกรรมการคาทอลิกเพื่อผู้อพยพย้ายถิ่น (NCCM) จังหวัดระนอง  ได้จัดเวทีรวบรวมสถานการณ์การจดทะเบียนการเกิด และแลกเปลี่ยนประสบการณ์เพื่อการจดทะเบียนการเกิดถ้วนหน้า ครบขั้นตอนและถูกต้องในพื้นที่จังหวัดระนอง (พื้นที่ต้นแบบ) เพื่อสำรวจสถานการณ์การจดทะเบียนการเกิดและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ปัญหา ในเรื่องการจดทะเบียนการเกิดในพื้นจังหวัดระนองด้วยเล็งเห็นว่าระนองเป็น พื้นที่ชายแดนที่ประสบปัญหาเรื่องการจดทะเบียนรับรองการเกิดของเด็ก และเป็นพื้นที่เสี่ยงต่อปัญหาการตกอยู่ในภาวะไร้รัฐของบุคคลได้ง่าย แต่จังหวัดระนองโดยความร่วมมือของภาคราชการ ภาคเอกชน และองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) กลับมีสถิติในการแก้ปัญหาได้รวดเร็วกว่าที่คาดไว้ ดังนั้นหากสามารถรวบรวมปัญหาที่มีอยู่ และแนวทางวิธีแก้ปัญหาที่ผ่านมาก็อาจส่งผลให้จังหวัดระนองกลายเป็นพื้นที่ ต้นแบบ นำร่องสู่ การจดทะเบียนการเกิดที่ถ้วนหน้า ครบขั้นตอนและถูกต้องได้

และการดำเนินการเพื่อสำรวจสถานการณ์การจดทะเบียนการเกิดในพื้นที่จังหวัด ระนองนี้ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาองค์ความรู้และกลไกการทำงานเครือข่ายด้านสถานะ บุคคล และสิทธิเพื่อผลักดันการจดทะเบียนการเกิดถ้วนหน้า ซึ่งดำเนินการโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาเพื่อเฝ้าระวังสภาวะไร้รัฐ (SWIT) โดยได้รับการสนับสนุนจากโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิต แรงงานข้ามชาติและผู้มีปัญหาสถานะบุคคล (คพรส.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาพ (สสส.)

เวทีดังกล่าวนี้จัดขึ้นในวันที่ 29 กรกฏาคม 2553 ณ เฮอริเทจ แกรนด์ คอนแวนชั่น อำเภอเมือง จังหวัดระนอง ซึ่งมีตัวแทนจากสาธารณสุขจังหวัด หน่วยงานด้านสถานพยาบาลในจังหวัดระนอง เทศบาล อำเภอต่าง ๆ และตัวแทนผู้ซึ่งมีปัญหาด้านสถานะบุคคลเข้าร่วม ประมาณ 20 คน

ดรุณี  ไพศาลพาณิชย์กุล นักกฎหมาย สถาบันวิจัยและพัฒนาเพื่อเฝ้าระวังสภาวะไร้รัฐ กล่าว ในเวทีว่า มนุษย์ทุกคน นอกจากการมีตัวตนในทางข้อเท็จจริงแล้ว การจดทะเบียนการเกิด จะช่วยให้เด็กหรือคนๆ หนึ่งถูกมองเห็นโดยสายตาของกฎหมาย โดยรับรู้การมีตัวตนของเขาผ่านทางระบบการบันทึกทะเบียนราษฎรของรัฐ ทำให้บุคคลไม่ตกอยู่ในสภาวะไร้รัฐ และบุคคลผู้นั้นจะมีเอกสารระบุทราบตัวบุคคลของตนเพื่อเข้าถึงสิทธิต่าง ๆ ได้สะดวกขึ้น ทั้งสิทธิการศึกษา สิทธิในการสุขภาพ ประกอบกับฐานข้อมูลดังกล่าว จะเป็นประโยชน์ต่อการบริหารจัดการประชากร และอาจถูกใช้เพื่องานความมั่นคงของรัฐ เพราะเมื่อรัฐทราบจำนวนคนเกิดก็ย่อมง่ายต่อการจัดระเบียบประชากร

อย่างไรก็ตามการจดทะเบียนการเกิดประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ  1.ถ้วนหน้า คือ เด็กและอดีตเด็กทุกคนที่เกิดและปรากฏตัวในประเทศไทยจะต้องได้รับการจด ทะเบียนการเกิด โดยจะต้องเป็นไปตามข้อ 2. คือ ครบขั้นตอน ซึ่งประกอบไปด้วย 3 ขั้นตอนคือ การได้รับหนังสือรับรองการเกิด การแจ้งเกิด และการมีชื่อในทะเบียนบ้านหรือทะเบียนประวัติ และข้อ 3. ถูกต้อง คือ การจดทะเบียนการเกิดและการได้รับเอกสารระบุทราบตัวบุคคลจะต้องถูกต้องตรงตาม ข้อเท็จจริงของเด็กหรือบุคคลนั้นๆ

“นอกจากนี้ เอกสารพิสูจน์ทราบตัวบุคคลที่ได้รับจากการจดทะเบียนการเกิด หรือแม้กระทั่งหนังสือรับรองการเกิด จะเป็นเอกสารที่ทำให้บุคคลตามเอกสารเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์สถานะบุคคลได้ ง่ายขึ้น ลดความเสี่ยงต่อการตกอยู่สถานะคนไร้สัญชาติ โดยทุกภาคส่วนของสังคมจำต้องทำความเข้าใจว่า สิทธิในการจดทะเบียนการเกิด และ สถานะทางกฎหมายบุคคลเป็นคนละเรื่องกัน มนุษย์ทุกคนมีสิทธิได้รับการจดทะเบียนการเกิด” ดรุณี กล่าว
 
กิติวรญา รัตนมณี อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า สิทธิในการได้รับการจดทะเบียนการเกิด กับ สถานะทางกฎหมายบุคคลเป็นคนละเรื่องกัน มนุษย์ทุกคนมีสิทธิได้รับการจดทะเบียนการเกิด แต่ใช่ว่ามนุษย์ทุกตนที่ได้รับการจดทะเบียนการเกิดในประเทศไทย จะมีสถานะเป็นคนสัญชาติไทย เพราะในเรื่องสถานะทางกฎหมายว่าเป็นคนสัญชาติใดจะต้องขึ้นอยู่กับข้อเท็จ จริงของบุคคลนั้นประกอบ เช่น ข้อเท็จจริงเรื่องวันเวลาที่เกิด  บิดา มารดา และกฎหมายสัญชาติแห่งรัฐที่บังคับใช้ในช่วงเวลาที่เกิด สำหรับประเทศไทยได้จำแนกบุคคลโดยอาศัยสถานะทางกฎหมายของบุคคลเป็น 5 กลุ่ม คือ คนไร้รัฐหรือไร้เอกสารระบุทราบตัวบุคคล คนซึ่งมีข้อเท็จจริงเป็นคนสัญชาติไทยแต่ได้รับการบันทึกผิด คนต่างด้าวเกิดในประเทศไทย คนต่างด้าวเกิดนอกประเทศไทย และคนซึ่งเป็นแรงงานต่างด้าวสามสัญชาติ

ในช่วงการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ทำงานและปัญหาที่พบนั้น ตัวแทนจากโรงพยาบาลจังหวัดระนอง ได้เล่าถึงการทำงานของโรงพยาบาล คือ โรงพยาบาลระนองจะมีบันทึกหน้าห้องคลอด หรือ “ทะเบียนคนคลอด” ที่บันทึกว่ามีใครมาคลอดบุตรที่โรงพยาบาล บันทึกนี้จะไม่มีการทำลายเว้นแต่สูญหายโดยเหตุสุดวิสัย เช่น น้ำท่วม ไฟไหม้ ย้ายตึก ปลวกกิน โดยของโรงพยาบาลระนองนั้นด้วยเหตุที่มีการย้ายตึกประมาณ ปี พ.ศ. 2542-2543 ทะเบียนคนคลอดบางส่วนจึงหายไป เหลือเพียงส่วนที่บันทึกปลายปี พ.ศ. 2541 เป็นต้นมา

สำหรับแนวปฏิบัติของโรงพยาบาลระนองในการที่จะออก ท.ร.1/1และลงลายมือชื่อผู้ทำคลอดให้ก็ต่อเมื่อมารดาของเด็กได้มาตัดสายสะดือ ที่โรงพยาบาลระนอง  หากตัดสายสะดือมาแล้วแต่ให้โรงพยาบาลเป็นผู้ทำความสะอาดรก เช่นนี้ ก็ไม่อาจจะออก ท.ร.1/1 ให้ได้ในกรณีที่ทำ ท.ร.1/1 หาย หรือ อำเภอ เทศบาลมีหนังสือส่งมาขอให้ออก ท.ร.1/1 ให้ โรงพยาบาลก็ยินดีออก ท.ร.1/1 ให้ใหม่ภายใต้เงื่อนไขว่ามีพยานหลักฐานยืนยันชัดเจนว่าเกิดที่โรงพยาบาลจริง

ปัญหาที่พบในเรื่องการออกหนังสือรับรองการเกิด (ท.ร. 1/1) ของโรงพยาบาลระนองก็คือ มารดาเด็กซึ่งเป็นชาวพม่าไม่นำ ท.ร.1/1 ไปแจ้งเกิด หรือลืมรับ ท.ร.1/1 หรือจงใจไม่รับเนื่องจากไม่ทราบว่าต้องนำไปแจ้งเกิดเด็ก แต่เมื่อโรงพยาบาลชี้แจงให้ทราบว่าต้องรับไปเพื่อแจ้งเกิดเด็กที่เทศบาล หรือ อำเภอ ก็ยังไม่ยอมรับเช่นเดิม ปัจจุบันมีจำนวนกว่า 100 ราย สันนิษฐานว่าเป็นเพราะมารดา บิดาชาวพม่าอาจจะยังไม่ตระหนักถึงความสำคัญในการแจ้งเกิดเด็ก หรืออาจกลัวการที่ต้องติดต่อกับหน่วยงานราชการไทย เพราะเกรงว่าจะโดนจับ ส่วนใหญ่ของการขอ ทร. 1/1 ย้อนหลังนี้มักจะแจ้งชื่อบิดา มารดา ของเด็กไปตรงกับที่แจ้งไว้คราวที่คลอด กรณีนี้โรงพยาบาลแก้ปัญหาโดยให้ผู้ขอไปแจ้งความก่อน แล้วจึงมาดำเนินการขอท.ร.1/1

อย่างไรก็ตามตัวแทนจากโรงพยาบาลกระบุรีได้เล่าถึงวิธี การแก้ปัญหาในเรื่องการออก ท.ร. 1/1 บางส่วนเพื่อแลกเปลี่ยนกับโรงพยาบาลอื่น ๆ คือ โรงพยาบาลกระบุรีจะเย็บ ท.ร.1/1 ติดกับสมุดแม่และเด็กเพื่อให้มารดาเด็กนำกลับไป และในกรณีที่ชื่อบิดามารดาซึ่งแจ้งไว้ในสมุดสีชมพูแม่และเด็กไม่ตรงกับที่ แจ้งใน ท.ร.1/1 ทางโรงพยาบาลจะเขียนตามที่แจ้งไว้ในท.ร.1/1 โดยเขียนกำกับท้ายชื่อว่า “เขียนตามคำบอกเล่าของพ่อแม่” และสำหรับค่าบริการทางการแพทย์นั้นคิด 300 บาทต่อวัน แต่ถ้ามารดานำสูติบัตรเด็กมาแสดงแก่โรงพยาบาลภายใน 7 วัน ก็จะได้รับเงิน 300 บาทคืน โดยวิธีคืนเงินนี้ใช้ทั้งคนไทย และคนต่างชาติ แต่จะไม่ใช้กับมารดาเด็กที่ไม่มีบัตรอะไรเลย เป็นการกระตุ้นให้มารดานำทร.1/1 ไปจดทะเบียนการเกิด ซึ่งโรงพยาบาลระนองก็ใช้วิธีนี้เช่น กันแต่เปลี่ยนเป็นเก็บเงินไว้ก่อน 704 บาท เมื่อเด็กมีสูติบัตรแล้วก็จะมีสิทธิในหลักประกันสุขภาพ จึงไม่จำเป็นต้องจ่าย 704 บาท จึงได้รับเงินกลับคืนไป

ทางด้านเทศบาลเมืองระนองก็ได้นำเสนอปัญหาที่พบ คือ กรณีมาแจ้งเกิดแล้วชื่อบิดามารดาที่แจ้ง ไม่เหมือนกับใน ท.ร. 1/1 หากผิดเล็กน้อย ก็ไม่จำเป็นต้องแก้ไข แต่ถ้าแตกต่างในลักษณะที่อาจเป็นชื่อใหม่เลย เช่นนี้ ก็จะแจ้งกลับไปให้ทางโรงพยาบาลแก้ไข และถ้าบิดามารดามีเลขประจำตัว 13 หลัก แต่ถูกระงับเคลื่อนไหวทางทะเบียน เทศบาลก็จะรับจดทะเบียนการเกิดให้กับเด็ก โดยจะกำหนด เลขประจำตัว 13 หลัก ขึ้นต้นด้วยเลข 0 คือ บุคคลซึ่งไม่สถานะทางทะเบียน

ตัวแทนจากอำเภอเมืองระนอง กล่าวว่าการทำงานของอำเภอนั้นอยู่บนพื้นฐานของสิทธิมนุษยชน และความมั่นคงแห่งรัฐ ได้ยืนยันว่าหากมีท.ร.1/1 มาแสดง อำเภอก็รับฟังและจดทะเบียนการเกิดให้แน่นอน แต่ในกรณีที่นำมาเพียงสมุดแม่และเด็กนั้นไม่อาจยืนยันได้ว่าเด็กเกิดในโรง พยาบาล เพราะอาจจะเป็นแค่การฝากครรภ์เท่านั้น จึงจำเป็นต้องแสวงหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม เช่น พยานบุคคล 5-6 คนที่เห็นการเกิด ทั้งนี้ทางอำเภอเคยพบปัญหาการสวมตัว นำ ท.ร. 1/1 ของผู้อื่นมาแจ้งการเกิดของตนเอง

นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอแนะจากตัวแทนกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่งคงของมนุษย์จังหวัด ซึ่งเสนอให้มีการทำความเข้าใจกับบิดา มารดา เด็ก โดยเฉพาะคนที่เป็นชาวต่างชาติให้เข้าใจถึงการจดทะเบียนการเกิด โดยอาจจะต้องจัดทำคู่มือจดทะเบียนการเกิดเป็นภาษาต่างประเทศ

และ ชาติชาย อรเลิศวัฒนา นักกฎหมาย คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อผู้อพยพย้ายถิ่น จังหวัดระนองซึ่ง ได้ติดตามและทำงานในประเด็นการจดทะเบียนการเกิดในพื้นที่มาอย่างต่อเนื่อง ได้นำเสนอสถานการณ์ภาพรวมของการจดทะเบียนการเกิด  ซึ่งพบว่ามีเด็กทั้ง 6 กลุ่ม คือ หนึ่ง-เด็กเกิดในสถานพยาบาล สอง-เด็กเกิดนอกสถานพยาบาล สาม-เด็กถูกทอดทิ้งและเด็กเร่ร่อนหรือเด็กที่ไม่ปรากฏบุพการีหรือบุพการีทอด ทิ้ง สี่-เด็กที่เกิดในพื้นที่พักพิงชั่วคราว ห้า-เด็กไทยที่เกิดในต่างประเทศ และหก-กรณีการจดทะเบียนการเกิดภายหลังการมีชื่อในทะเบียนราษฎร ได้รับการจดทะเบียนการเกิด ทั้งนี้ในทางปฏิบัติในการดำเนินการดังกล่าวที่สำเร็จลุล่วงเกิดจากการประสาน งานอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง อย่างไรก็ดีเพื่อให้การจดทะเบียนการเกิดในพื้นที่จังหวัดระนองสามารถเป็น พื้นที่ต้นแบบได้ก็ยังต้องอาศัยการประสานความร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องต่อไป

ที่มา:
http://www.statelesswatch.org/node/215

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สมัชชาคนจนออกแถลงการณ์จี้รัฐเร่งออก พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ

Posted: 11 Aug 2010 03:39 AM PDT

เมื่อวันที่ 10 ส.ค. 53 ที่ผ่านมา สมัชชาคนจนออกแถลงการณ์ รัฐบาลต้องเร่งออก พรบ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ  กระทรวงสาธารณสุขต้องเร่งทำความเข้าใจ ผู้คัดค้านต้องหยุดเฉไฉ โดยมีเนื้อหาดังนี้

แถลงการณ์
รัฐบาลต้องเร่งออก พรบ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ  กระทรวงสาธารณสุขต้องเร่งทำความเข้าใจ  
ผู้คัดค้านต้องหยุดเฉไฉ 

จากการที่รัฐบาลได้เสนอร่าง พรบ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรักษาพยาบาล พ.ศ. .... ต่อรัฐสภา  แต่ได้มีการรวมตัวของของบุคลากรทางการแพทย์จำนวนหนึ่งเพื่อคัดค้านร่าง พรบ.นี้  โดยอ้างเหตุผลต่าง ๆนานา อาทิเช่น  จะทำให้เกิดความแตกแยกระหว่างผู้ให้บริการกับผู้ใช้บริการ  จะเกิดการฟ้องร้องแพทย์เพิ่มมากขึ้น   หรือว่าโรงพยาบาลจะต้องจ่ายเงินสมทบต้องกลายเป็นภาระของโรงพยาบาล  เป็นต้น

ซึ่งโดยแท้จริงแล้วเหตุผลของฝ่ายที่คัดค้านนั้นล้วนแล้วแต่เป็นเหตุผลเดิม ๆ ที่ฝ่ายประชาชนผู้เสนอกฎหมายได้ทำการชี้แจงข้อเท็จจริง ไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า  ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ  แต่ฝ่ายผู้คัดค้านกลับไม่ยอมรับฟัง  ยังคงย้ำคิดย้ำพูดเป็นแผ่นเสียงตกร่องอยู่เช่นเดิม   ในขณะที่กระทรวงสาธารณสุขก็ไม่ได้แสดงท่าทีที่ชัดเจนหรือออกมาทำความเข้าใจกับบุคลากรของกระทรวงแต่อย่างใด

สมัชชาคนจนเป็นองค์กรชาวบ้านองค์กรหนึ่งที่ร่วมเคลื่อนไหวผลักดันในการเสนอร่าง พรบ.นี้  เนื่องจากเราเห็นว่าที่ผ่านมามีผู้ได้รับความเสียหายจากการรักษาพยาบาลเป็นจำนวนไม่น้อย  ไม่เคยได้รับการดูแลทำให้เป็นภาระแก่ครอบครัวเป็นอันมาก  จนกระทั่งมี พรบ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๕ ที่มีบทบัญญัติในมาตรา ๔๑ ให้จ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นให้กับผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขได้โดยไม่ต้องพิสูจน์ถูกผิด   ทำให้ช่วยแบ่งเบาภาระให้กับผู้ที่ได้รับความเสียหายและครอบครัวเป็นอันมาก  และทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์และคนไข้ดีขึ้น   ดังนั้นหากมี พรบ.นี้  ที่มีการช่วยเหลือมากกว่าเงินช่วยเหลือเบื้องต้น  ก็ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้บริการมากขึ้น  

สมัชชาคนจนจึงใคร่ขอเรียกร้องต่อรัฐบาล หน่วยงานต่าง ๆ และผู้ที่เกี่ยวข้องดังนี้

๑.ขอให้รัฐบาลเร่งรัดออกพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากการรักษาพยาบาลโดยเร่งด่วน   เพราะเรื่องนี้เป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่ได้ประกาศไว้อย่างชัดเจน

๒.ขอให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งทำความเข้าใจกับบุคคลากรที่ออกมาคัดค้าน

๓.ขอให้ผู้คัดค้านหยุดเฉไฉปล่อยข่าวใส่ร้ายทำลายความชอบธรรม  แต่ได้โปรดหันหน้ามาทำความดีร่วมกันจะเป็นการสมานฉันท์อย่างแท้จริง

ด้วยจิตคารวะ
สมัชชาคนจน
๑๐  สิงหาคม ๒๕๕๓
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

นักข่าวพลเมือง: กรมชลแหกตาประชาชนรับฟังฯ ผันน้ำโขง-เลย-ชี-มูน

Posted: 11 Aug 2010 03:20 AM PDT

เมื่อวันที่ 10 ส.ค.53 ที่ผ่านมา ณ ห้องเจริญศรี 2-4 ชั้น 3  โรงแรมเซ็นทาราคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์  อำเภอเมืองจังหวัดอุดรธานี กรมชลประทานได้จัดการประชุมกลุ่มจังหวัดอุดรธานี เลย หนองคาย และหนองบัวลำภู (ยุทธศาสตร์)  ครั้งที่ 2 โครงการศึกษาความเหมาะสมและผลกระทบสิ่งแวดล้อม(EIA) และการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (SEA)  โครงการบริหารจัดการน้ำโขง-เลย-ชี-มูล  โดยแรงโน้มถ่วง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนโดยทั่วไปได้ทราบถึงขั้นตอนการทำงาน แนวทางการศึกษา ทางเลือกของการพัฒนา และที่สำคัญที่สุดคือการสร้างภาพว่าประชาชนได้มีส่วนร่วมกับโครงการดังกล่าวนั้นเอง
 
บรรยากาศในเวทีมีผู้เข้าร่วมจากหลายภาคส่วนไม่ว่าจะเป็น ผู้ว่าราชการจังหวัด หน่วยงานราชการจากส่วนต่างๆ ตลอดจนนักวิชาการ แต่เป็นที่น่าสังเกตว่ามีประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบจากโครงการดังกล่าวเข้าร่วมฟังด้วยเป็นจำนวนน้อยมาก นอกจากนี้ภายในเวทียังมีการแสดงข้อคิดเห็น ข้อเสนอ และสักถามในประเด็นข้อสงสัยต่างๆ ซึ่งหลายคำถามก็ยังให้คำตอบได้ไม่กระจ่างชัดนัก
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศในเวทีผู้จัดการโครงการและผู้เชี่ยวชาญด้านประชาสัมพันธ์ ได้กล่าวถึงการลงไปในพื้นที่ต่างๆที่จะเกิดโครงการเพื่อศึกษาข้อมูล และสอบถามความคิดเห็นของประชาชน เพื่อนำมาเป็นประโยชน์ในการวิเคราะห์โครงการ ทำให้ผู้ว่าฯนายพรศักดิ์ เจียรณัย จึงลุกขึ้นมาถามว่า “ไม่ทราบว่าทางกรมชลฯได้ลงไปในพื้นที่ตอนไหน เพราะทางหน่วยงานในท้องถิ่นยังไม่มีใครทราบมาก่อน ผมเองเป็นผู้ว่าจังหวัดเลยเอง ก็ยังไม่ทราบเรื่องนี้มาก่อน”
 
นายวิเชียร ศรีจันทร์นนท์ ประธานกลุ่มอนุรักษ์และฟื้นฟูลุ่มน้ำลำพะเนียง กล่าวว่า แม่น้ำลำพะเนียงเป็นบทเรียนของความทุกข์ยากของประชาชน ในจังหวัดหนองบัวลำภู ที่มีชีวิตหากินหาอยู่กับแม่น้ำลำพะเนียง ทุกวันนี้กรมชลประทาน ยังตอบไม่ได้เลยว่าขุดลอกลำพะเนียงหรือพัฒนาลำพะเนียงแล้วชาวบ้านหายยากจนหรือไม่ โดยเฉพาะการละเมิดสิทธิชุมชนยังไม่ถูกได้รับการแก้ไขเยี่ยวยา ระบบนิเวศน์ถูกทำลาย และตอนนี้กรมชลประทาน จะมาจัดเวทีรับฟังความเห็นโครงการผันน้ำ โดยไม่เคยสรุปบทเรียนความเสียหายที่ผ่านมาแต่จะไปข้างหน้าอีกแล้วผมในฐานะที่ได้รับผลกระทบจากการขุดลอกลำพะเนียงไม่เห็นด้วยกับการพัฒนาโครงการผันน้ำ โขง-เลย-ชี-มูน ทำไมกรมชลไม่ส่งเสริมให้เกษตรกรใช้ภูมิปัญญาดังเดิมมาใช้ในการจัดการน้ำซึ่งในหมู่บ้านเราก็ยังพอมี

นายปัญญา โคตรเพชร ชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์สิ่งอุดรธานี ตั้งข้อสังเกตของการจัดเวทีการรับฟังความคิดเห็นฯในวันนี้ว่า เป็นการผลาญงบศึกษาหรือไม่ เพราะองค์ประกอบของการจัดขาดการมีส่วนร่วมเป็นอย่างมากและคนที่ได้ประโยชน์คือบริษัทที่ปรึกษาที่ได้รับงบศึกษาไปเต็ม ทั้งๆที่รู้มาโดยตลอดว่าโครงการฯแบบนี้ไม่มีวันที่จะทำได้สำเร็จและต้องมีคนขึ้นมาคัดค้านแน่นอน ยกตัวอย่างโครงการโขง-ชี-มูน ทุกวันนี้ก็ล้มไม่เป็นท่าประเทศชาติสูญเสียงบประมาณหลายพันล้านมีใครออกมารับผิดชอบบ้าง สิ่งต่างๆเหล่านี้ภาครัฐควรจะกลับไปทบทวนศึกษาให้รอบด้านเสียก่อนที่จะผลักดันต่อไป ที่กล่าวอ้างว่าประชาชนจะได้ประโยชน์จากโครงการนี้เป็นการพูดเท็จทั้งสิ้น..นายปัญญา กล่าว

นายสุวิทย์ กุหลาบวงษ์ผู้ประสานงานศูนย์ข้อมูลสิทธิมนุษยชนและสันติภาพ (ศสส.) อีสาน กล่าวว่า การจัดรับฟังความเห็นชองประชาชนที่กรมชลประทานจัดขึ้นในวันนี้ เป็นเพียงพิธีกรรมเท่านั้นและแหกตาคนทั่วในสังคมว่าได้จัดรับฟังความคิดเห็นเรียบร้อยแล้วผ่านกระบวนการการมีส่วนร่วมตามกฎหมายรัฐธรรมนูญฯ ผม...ได้ตั้งข้อสังเกตว่าการใช้เวลาแค่ 3-4 ช.ม.มันเป็นการรวบรัด และ SEA ที่กรมชลทาน และบริษัทที่ปรึกษานำเสนอนั้นเป็นเส้นทางผันน้ำที่เลือกไว้แล้วว่าต้องเกิดขึ้นและกรมชลได้ตั้งธงไว้เรียบร้อยแล้วดังนั้นการจัดเวทีวันนี้ ทางเราจึงเห็นว่าไม่มีความเป็นธรรม ยอมรับไม่ได้ และไม่สามารถกล่าวได้ว่าเป็นการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน

นายสุวิทย์ กล่าวอีกว่า “คำถามที่ต้องค้นก็คือว่าการที่อีสานมีน้ำแล้วจะสามารถแก้ไขปัญหาความยากจนได้จริงหรือไม่ ปัญหาดินเค็ม ปัญหาการละเมิดสิทธิชุมชน หรือความไม่เป็นธรรมทางสังคม จะหมดไปหรือไม่  ไม่ใช้มีน้ำแล้วจะทำให้ปัญหาทุกอย่างหมดไปอย่างที่รัฐบาล และกรมชลประทานตั้งธงไว้ โดยไม่คิดจะศึกษาหรือสร้างความเข้าใจในมติทางสังคมและสิ่งแวดล้อม” นายสุวิทย์กล่าว

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ แถลงสนับสนุนร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองผู้เสียหายฯ

Posted: 11 Aug 2010 03:08 AM PDT

11 ส.ค. 53 - เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย และคณะกรรมการองค์กรพัฒนาเอกชนด้านเอดส์ เรียกร้อง “สนับสนุนร่าง พรบ. คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข”  โดยมีเนื้อหาดังต่อไปนี้
 
 

“เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวีฯและเครือข่ายองค์กรด้านเอดส์
เรียกร้องให้หมอชุดดำ หยุดขู่ประชาชน และหยุดใช้ประชาชนเป็นตัวประกัน” 

จากการเสนอร่าง พรบ. คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข พ.ศ. .... ที่เข้าสู่วาระการพิจารณาสมัยนิติบัญญัติถึง 7 ร่าง เมื่อดูจากเจตนารมณ์และหลักการของร่างพรบ.ฉบับดังกล่าว ที่เน้นหลักการ 3 เรื่องคือ มีการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบและผู้ได้รับความเสียหาย มีระบบพัฒนาป้องกันความเสียหาย และสนับสนุนผู้ให้บริการทำงานอย่างมีความสุขไม่ต้องกังวลเรื่องการฟ้องร้อง จะเห็นว่าหลักการของ พรบ.ฉบับดังกล่าว เป็นกฏหมายที่ตั้งอยู่บนฐานของการส่งเสริมสิทธิมนุษยชน โดยการให้สิทธิในการได้รับการเยียวยาจากรัฐ หากประสบความเสียหายจากการมารับบริการสาธารณสุข โดยที่ผู้ป่วย หรือผู้ประสบความเสียหาย และญาติ ไม่จำเป็นต้องไปดำเนินการเพื่อเรียกร้องความรับผิดชอบจากสถานบริการนั้นๆหรือ แพทย์ด้วยตนเอง ซึ่งสอดคล้องและได้รับการสนับสนุนทั้งจากนักวิชาการอิสระ นักวิชาการด้านการแพทย์ สถาบันการศึกษา และสถาบันที่เป็นแนวหน้าในการพัฒนาระบบสาธารณสุข รวมถึงการสำรวจความเห็นของประชาชนที่ได้รับรู้ข้อมูล ข่าวสาร จากช่องทางต่างๆ เช่น การสำรวจของมหาวิทยาลัยหาดใหญ่ หรือ “หาดใหญ่โพล” ที่พบว่า 82.5% ของประชาชนเห็นด้วยให้มี พรบ.ดังกล่าว และ 32.4% เห็นว่าแพทย์จะได้รับประโยชน์จาก พรบ. ฉบับนี้ ดังนั้นการออกมาเคลื่อนไหวของกลุ่มแพทย์ในขณะนี้ เป็นการเคลื่อนไหวเพื่อผลประโยชน์ของใคร โดยเจตนาเพื่อปกป้องสิทธิของแพทย์ หรือเพื่อผลประโยชน์ในแพทยสภา
 
 
เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย เครือข่ายองค์กรพัฒนาเอกชนด้านเอดส์ เห็นว่า การออกมาเคลื่อนไหวของกลุ่มแพทย์คัดค้านต่อร่างพรบ. เป็นการนำไปสู่ความสับสน และเกิดความไม่มั่นใจในการให้บริการของแพทย์ เช่นการขู่ว่าหาก พรบ. นี้ออกมาจะทำให้แพทย์ในโรงพยาบาลชุมชนไม่รับรักษาผู้ป่วย เป็นการสร้างกระแสที่มีเจตนาในการใช้อำนาจของการเป็นวิชาชีพมาต่อรอง เท่ากับเป็นการ “จับผู้ป่วยเป็นตัวประกัน” โดยกลุ่มแพทย์ดังกล่าวมีเหตุกล่าวอ้างที่ไม่มีความชัดเจนและบิดเบือนในหลายเรื่อง เช่น การอ้างว่าการออกมาสนับสนุนร่าง พรบ.ฉบับนี้ ของกลุ่มเอ็นจีโอ หรือภาคประชาชน เป็นการพยายามตั้งหน่วยงานเพื่อรองรับงบประมาณให้กับตัวเอง โดยอ้างตัวอย่างคณะอนุกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งในข้อเท็จจริงการเข้าไปเป็นคณะอนุกรรมการฯ ไม่ว่าในชุดใดของภาคประชาชน เป็นการเข้าไปทำงานผลักดันบนฐานประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง และอยู่ในสัดส่วนที่ไม่ได้มากเกินภาคส่วนอื่นๆ หากจะคิดสัดส่วนจริงๆกลับพบว่าในอาชีพทางการแพทย์กลับมีที่นั่งในคณะทำงาน คณะกรรมการ ภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพฯมากกว่าส่วนอื่นทั้งสิ้น
 
การโจมตีโดยอ้างเรื่องผลประโยชน์ของกลุ่มแพทย์ดังกล่าว เป็นการแสดงให้เห็นเจตนาที่ชัดเจนว่า ต้องการล้มร่างกฏหมายฉบับนี้ ไม่มีความจริงใจที่ต้องการให้เจตนารมณ์และหลักการของกฏหมายดังกล่าวได้เกิดขึ้นจริงในสังคมไทย ซึ่งต้องทวงถามแพทย์กลุ่มดังกล่าวว่า ณ ขณะนี้กำลังเคลื่อนไหวเพื่อใคร
 
เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ประเทศไทย ซึ่งให้บริการร่วมดูแลเพื่อนผู้ติดเชื้อฯทั่วประเทศกว่า 50,000 ราย โดยทำงานร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับโรงพยาบาลชุมชน เรารู้ดีว่าแพทย์และผู้ให้บริการทำงานหนักและเสียสละเพียงใด และยืนยันได้ว่า เราไม่เคยคิดว่าจะฟ้องร้องแพทย์หรือผู้ให้บริการ และเข้าใจดีว่าความผิดพลาดไม่ว่าจากกรณีสาเหตุใด มีโอกาสเกิดขึ้นได้ในการมารับบริการ ดังนั้นการสร้างความเข้าใจระหว่างแพทย์และผู้ป่วย ที่อยู่บนฐานความสัมพันธ์ที่ดี มีการสื่อสารสร้างความเข้าใจกรณีเกิดปัญหา และได้รับการเยียวยาเบื้องต้นโดยไม่ต้องชี้ถูกผิด เป็นแนวทางที่จะทำให้เกิดความเข้าใจระหว่างกันและทำให้ผู้ได้รับความเสียหายได้รับการดูแล และในขณะเดียวกันทำให้แพทย์ไม่ต้องกังวลต่อค่าชดเชยต่างๆ ดังนั้น เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ประเทศไทย และเครือข่ายองค์กรพัฒนาเอกชนด้านเอดส์ จึงมีข้อเรียกร้องดังนี้

1. ให้รัฐบาลทำตามการประกาศของนายกรัฐมนตรีที่ให้ไว้กับตัวแทนเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ และองค์กรพัฒนาเอกชนด้านเอดส์ เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2553 ว่าจะไม่มีการถอนร่าง พรบ. และให้ดำเนินการพิจารณาการออกพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากบริการสาธารณสุขตามวาระของการพิจารณากฏหมายในสมัยประชุมนิติบัญญัติ และต้องไม่ดำเนินการใดๆที่นำไปสู่การชะลอการพิจารณาร่าง พรบ. ฉบับดังกล่าว
2. ให้กระทรวงสาธารณสุข ในฐานะผู้ดูแลระบบสาธารณสุขของประเทศ แสดงจุดยืนต่อร่าง พรบ. ฉบับดังกล่าว พร้อมทั้งดำเนินการสร้างความเข้าใจต่อบุคคลากรภายใต้สังกัดอย่างเร่งด่วน
3. ให้กลุ่มแพทย์ที่ออกมาเคลื่อนไหวคัดค้าน หากมีความจริงใจและเห็นด้วยต่อหลักการของ พรบ.ฉบับดังกล่าว ต้องหยุดให้ร้าย หยุดจับผู้ป่วยเป็นตัวประกันโดยทันที
4. เพื่อแสดงให้สังคมเห็นความจริงใจของทั้งสองฝ่าย จึงเรียกร้องให้กลุ่มแพทย์ที่ออกมาเคลื่อนไหวต้องไม่สมัครเป็นกรรมการในแพทยสภาและกรรมการในชุดต่างๆภายใต้พรบ.ฉบับดังกล่าว และเรียกร้องให้แกนนำภาคประชาชนที่ออกมาเคลื่อนไหวสนับสนุน พรบ.นี้ ยืนยันที่จะไม่รับเป็นกรรมการ หรือมีตำแหน่งใดๆภายใต้ พรบ. ฉบับนี้เช่นกัน
 
 
ด้วยความสมานฉันท์
 
เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี / เอดส์ ประเทศไทย
คณะกรรมการองค์กรพัฒนาเอกชนด้านเอดส์
เครือข่ายพนักงานบริการ
เครือข่ายความหลากหลายทางเพศ

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

จับตาภาคประชาชน:คำ ผกา และจินดา บุญจันทร์ ทัศนะต่อ NGO ในขบวนภาคประชาชน

Posted: 11 Aug 2010 03:01 AM PDT

“ภาคประชาชน” ที่ไม่ใช่เรื่องใหม่ในสายตา “จินดา บุญจันทร์” และวิพากษ์ “การปฏิรูปประเทศไทย” อีเวนท์ใหม่ของภาคประชาชนโดยคำ ผกา ในซีรี่ส์ “NGO เป็นไงในขบวนการเคลื่อนไหวภาคประชาชน” โดยกลุ่มจับตาขบวนการประชาสังคมไทย
 
 
ตอน 9 คำ ผกา นักเขียนอิสระ
 
 
“ขบวนการภาคประชาชนเริ่มหมดพลังของมันไปตั้งแต่ อาจจะเป็นปัญหาเรื่องที่ทุนด้วย ที่ทำให้ขบวนการภาคประชาชนเข้ามารับทุนจากภาครัฐเข้าไปทำงานเคลื่อนไหวมากขึ้น ก็เลยทำให้หมดพลังที่จะตรวจสอบถ่วงดุลนโยบายของรัฐ ในขณะเดียวกันภาคประชาชนมองผลประโยชน์ระยะสั้น คือในแง่ที่จะลอบบี้เพื่อที่จะบรรลุผลในโครงการหรือพื้นที่ที่ตนลงไปทำงานมากกว่าจะมองปัญหาในเชิงโครงสร้าง”
 
“ปัญหาของเอ็นจีโอ อันแรกเลยคือ Romanticize ชนบทกับ Romanticize ชาวบ้าน อันที่สองคือไป Dramatize ทุนกับโลกาภิวัตน์ คือมองทุนกับโลกาภิวัตน์เป็นผู้ร้ายหมดแล้วก็มองชาวบ้านเป็นพระเอกนางเอกหมด ในขณะเดียวกันก็ใช้ชาวบ้านในฐานะเป็น Object of Sympathy คือเป็นวัตถุที่รอรับความช่วยเหลือเป็นวัตถุที่รอรับความสงสารเห็นใจ แล้วก็เป็นวัตถุแห่งความจรรโลงใจในทางสุนทรียศาสตร์ของการโหยหาชนบทใน fantasy ของชนชั้นกลางด้วย”
 
“มันเป็นเรื่องหน่อมแน้มไร้เดียงสามาก มันเป็นเรื่องอัปยศอดสูของขบวนการภาคประชาชนอย่างที่สุด เพราะคุณก็รู้ว่าที่มาของรัฐบาลนี้เป็นอย่างไร คุณก็ยังไป สังฆกรรมกับมัน คุณไม่ควรจะอยู่สู้หน้าประชาชน และไม่ควรที่จะเรียกตัวเองว่าขบวนการภาคประชาชนอีกต่อไป” ทัศนะต่อการร่วมขบวนปฏิรูปประเทศไทยของภาคประชาชน โดยคำ ผกา นักเขียนอิสระสาว
 
000 
 
 
ตอน 10 จินดา บุญจันทร์ แกนนำชาวบ้านเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก จ.ชุมพร
 
 
“ภาคประชาชนมันไม่ได้เป็นเรื่องใหม่หรอก เป็นเรื่องของกลุ่มคนที่รวมตัวกันโดยวิถีวัฒนธรรม โดยการประกอบอาชีพ หรือโดยอะไรก็ตาม มันเป็นกลุ่มคนที่ไม่ว่าโดยธรรมชาติหรือการจัดตั้งก็ตามก็ตาม แต่ว่าเป้าหมายของภาคประชาชนก็คือ เขารวมตัวกันเพื่อแก้ปัญหาของเขาที่ใกล้ตัวที่สุด ที่เขาประสบอยู่”
 
“บทบาทของพี่น้องประชาชนเป็นบทบาทคู่ ถ้าไม่มีภาคประชาชนก็ไม่มีเอ็นจีโอ”
 
“ช่วงแรกๆ บทบาทของเอ็นจีโอค่อนข้างจะแข็งตัวอยู่กับการทำงานเต็มเวลา มีองค์กรที่ตัวเองทำและรับผิดชอบ แล้วก็ค่อนข้างยึดติดกับองค์กร ในขณะที่ขบวนการภาคประชาชนยังมีความหลากหลายและซับซ้อนอยู่ในพื้นที่ ถ้าขบวนการเอ็นจีโอปรับเปลี่ยนวิถีในการทำงาน ไปทำงานร่วมกับภาคประชาชน และเป็นเนื้อเดียวกับภาคประชาชนมากขึ้น”
 
“ถ้าเขาสามารถสร้างให้คนที่อยู่ในชุมชนทำหน้าที่เสมือนเอ็นจีโอ หรือเป็นเอ็นจีโอในพื้นที่ได้ กระบวนการเอ็นจีโอก็ต้องเปลี่ยนไป” จินดา บุญจันทร์ แกนนำชาวบ้านเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก จ.ชุมพร คณะกรรมการประสานงานองค์กรชุมชนภาคใต้ (คปอ.ใต้) และผู้แทนบอร์ดภาคใต้ของสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.)
 
.............................................................
หมายเหตุ: กลุ่มจับตาขบวนการประชาสังคมไทย (Thai Social Movement Watch: TSMW) เป็นการรวมตัวกันของนักกิจกรรมทางสังคม นักพัฒนา อดีตนักพัฒนา นักศึกษา และนักวิชาการ ซึ่งมีความเกี่ยวข้อง สนใจ และห่วงใยในสภาวการณ์ของขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมไทยภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบัน
 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

กรีนพีซย้ำวิกฤตปัญหาสารพิษในคลองเชื่อมเจ้าพระยา

Posted: 11 Aug 2010 02:54 AM PDT

หน่วยศึกษาและเฝ้าระวังมลพิษทางน้ำของกรีนพีซย้ำวิกฤตปัญหาสารพิษในคลองเชื่อมเจ้าพระยา เรียกร้องภาครัฐนำมาตรการควบคุมมลพิษเชิงรุกมาใช้

สมุทรปราการ, 10 สิงหาคม 2553 นักกิจกรรมรณรงค์ของกรีนพีซลงพื้นที่คลองสำโรงซึ่งเชื่อมต่อกับแม่น้ำเจ้าพระยา ในเขตจังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งพบการปนเปื้อนสารพิษอันตราย พร้อมติดป้ายเตือนชุมชนเกี่ยวกับสารพิษปนเปื้อนในแหล่งน้ำ กรีนพีซรณรงค์ผลักดันรัฐบาลและภาคอุตสาหกรรมให้เร่งนำระบบรายงานข้อมูลการปลดปล่อยมลพิษมาใช้ รวมถึงตั้งเป้าหมาย “มลพิษเหลือศูนย์” เพื่อลดการปล่อยสารเคมีในน้ำทิ้งจากภาคอุตสาหกรรมอย่างจริงจัง (1) 
 
นักกิจกรรมกรีนพีซสวมชุดป้องกันสารพิษ เพื่อเก็บตัวอย่างตะกอนดินและลอยทุ่นที่มีข้อความติดไว้ว่า “สารพิษ อันตราย” ในคลองสำโรง นอกจากนี้ยังติดป้ายบนสะพานข้ามคลองเพื่อแจ้งให้ชุมชนทราบว่าในคลองแห่งนี้มีสารพิษชนิดใดบ้างและมีอันตรายอย่างไร กิจกรรมรณรงค์ดังกล่าวมีขึ้นหลังการเปิดเผยรายงานการตรวจสอบสารพิษอันตรายในคลองที่เชื่อมต่อกับเม่น้ำเจ้าพระยาเมื่อเดือนที่ผ่านมา ซึ่งพบโลหะหนัก สารรบกวนฮอร์โมน รวมถึงสารก่อมะเร็ง ทั้งหมดนี้ล้วนสูงกว่าค่ามาตรฐานความปลอดภัยของประเทศไทย (2) 
 
“คลองสำโรงเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความล้มเหลวของมาตรการควบคุมมลพิษและปกป้องแหล่งน้ำของประเทศ สารโลหะหนักที่ปนเปื้อนอยู่ในดิน ชี้ให้เห็นว่าสารโลหะหนักได้ถูกปล่อยลงสู่แหล่งน้ำมาเป็นเวลานาน ทุกๆวัน สารพิษหลากหลายประเภทได้ถูกปล่อยจากอุตสาหกรรม ดังนั้นปริมาณสารพิษจึงเพิ่มขึ้นสูงจนถึงระดับน่าเป็นห่วง” นายพลาย ภิรมย์ ผู้ประสานงานรณรงค์ด้านสารพิษ กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าว
 
“ตัวอย่างดินที่ปนเปื้อนจะถูกบรรจุในถังเพื่อนำไปมอบให้แก่หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงการเพิกเฉยและความไร้ประสิทธิภาพในการเฝ้าระวังติดตามการปนเปื้อนสารพิษป้องกันการปล่อยสารพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม” นายพลายกล่าวเพิ่มเติม
 
หน่วยศึกษาและเฝ้าระวังมลพิษทางน้ำหยิบยกปัญหามลพิษในคลองสำโรงมาเป็นกรณีศึกษา เนื่องจากเป็นคลองเชื่อมต่อกับแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีโรงงานอุตสาหกรรมหนาแน่นและมีคุณภาพน้ำอยู่ในภาวะวิกฤต ชุมชนริมคลองสูญเสียประโยชน์จากการใช้แหล่งน้ำ  ทั้งนี้ ระยะ 700 เมตรจากสองฝั่งคลอง มีโรงงานอุตสาหกรรมถึง 242 โรงงาน ซึ่งประกอบไปด้วยโรงงานหลายประเภท ได้แก่ โรงงานฟอกย้อม โรงงานเหล็ก โรงงานชุบเคลือบ และโรงงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้สารเคมี (3) โรงงานฟอกย้อมเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่น่ากังวล โดยพบว่าในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา อุตสาหกรรมฟอกย้อมปล่อยน้ำเสียประมาณ 17% ของปริมาณน้ำเสียทั้งหมดจากแหล่งอุตสาหกรรม หรือ 29.5% ของปริมาณความสกปรกในรูปของสารอินทรีย์ (BOD loading) ทั้งหมดที่ปล่อยจากภาคอุตสาหกรรม ซึ่งสูงสุดเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่นๆ (4)   
 
เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา กรีนพีซเปิดเผยผลการวิเคราะห์ตัวอย่างน้ำและตัวอย่างดินจากคลองสำโรงว่าปนเปื้อนสารโนนิลฟีนอล (nonyl phenols) สาร 2-เนฟทาลีนาทมีน (2-naphthalenamine) และสารไตร-ไอโซ-บิวทิลฟอสเฟต (tri-iso-butyl phosphate; TiBP)  ซึ่งส่วนหนึ่งมีแหล่งกำเนิดจากอุตสาหกรรมย้อมผ้า (5) การศึกษายังได้เปิดเผยถึงการปนเปื้อนสารโลหะหนักในปริมาณสูง ได้แก่ ทองแดง ตะกั่ว แมงกานีส นิกเกิลและสังกะสี ทั้งหมดนี้เกินค่ามาตรฐานแห่งน้ำผิวดินในประเทศไทยถึง 3-8 เท่า ตัวอย่างดินในคลองสำโรงมีการปนเปื้อนโครเมียม ทองแดง นิกเกิล ตะกั่ว และสังกะสีในระดับสูง โดยสังกะสีมีค่าสูงกว่าค่าความเข้มข้นพื้นฐานของตะกอนดินมากถึง 30 เท่า
 
“กรีนพีซเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งนำระบบการเปิดเผยข้อมูลการปล่อยมลพิษสู่สิ่งแวดล้อมมาประยุกต์ใช้เป็นกฎหมาย ซึ่งใช้หลักการความโปร่งใสด้านการรายงานข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิการเข้าถึงข้อมูลของประชาชนเป็นตัวผลักดันให้เกิดการพัฒนาการลดมลพิษในภาคอุตสาหกรรม” นายพลายกล่าวเสริม
 
มาตรการควบคุมมลพิษเชิงรุกเพื่อปกป้องทรัพยากรแหล่งน้ำเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วนอย่างยิ่งในประเทศไทย รัฐบาลควรลงมือดำเนินการดังนี้
-         นำระบบการเปิดเผยข้อมูลการปลดปล่อยมลพิษมาใช้ เช่น ทำเนียบการปลดปล่อยและเคลื่อนย้ายมลพิษ (PRTRs)
-         รวบรวมจัดทำบัญชีรายชื่อสารเคมีอันตรายที่ควรเลิกใช้
-         จัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อ ลด จำกัดการใช้ และเลิกใช้สารเคมีอันตรายในกรอบระยะเวลาที่ชัดเจน โดยมุ่งสู่เป้าหมาย “มลพิษเหลือศูนย์”
 
กรีนพีซทำงานรณรงค์ด้วยหลักการเผชิญหน้าอย่างสันติวิธี นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทัศนคติ และพฤติกรรม เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมและสันติภาพ
 
หมายเหตุ
(1) ระบบการเปิดเผยข้อมูลมลพิษ อาทิ “ทำเนียบการปลดปล่อยและเคลื่อนย้ายมลพิษ (Pollutant Release and Transfer Registers- PRTRs)” เป็นเครื่องมือทางนโยบายหรือระบบการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมโดยใช้หลักการความโปร่งใสด้านการรายงานข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิการเข้าถึงข้อมูลของประชาชนเป็นตัวผลักดันให้เกิดการพัฒนาการลดมลพิษ โดยแต่ละโรงงานต้องรายงานข้อมูลการใช้และการปล่อยสารเคมีอันตรายสู่สิ่งแวดล้อม รวมถึงการเคลื่อนย้ายกากอุตสาหกรรมเพื่อการกำจัดทำลาย ทิศทางข้อมูลดังกล่าวจะเป็นตัวชี้ว่าแต่ละโรงงานหรือภาคอุตสาหกรรมมีความคืบหน้าในการลดมลพิษได้เท่าไร สามารถชี้ให้เห็นถึงโอกาสในการพัฒนา และยังรวมการประเมินความเสี่ยงต่อสุขภาพและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม  ที่สำคัญคือประชาชนหรือชุมชนจะสามารถเข้าถึงข้อมูลเพื่อเรียนรู้ถึงมลพิษที่อยู่ในบริเวณที่อยู่อาศัย ตระหนักในการเฝ้าระวังและป้องกันอันตราย ซึ่งเป็นสิทธิพื้นฐานที่ประชาชนต้องได้รับ
รายละเอียดเพิ่มเติม http://www.greenpeace.org/seasia/th/water-patrol/reports/pollutant-release-and-transfer-register
 
“มลพิษเหลือศูนย์ (Zero Discharges)” หมายถึงการยุติการปลดปล่อยมลพิษที่เป็นสารเคมีอันตรายภายใต้กรอบระยะที่กำหนด โดยมีการตั้งเป้าหมายอย่างชัดเจนตามช่วงเวลาต่างๆ ที่สามารถชี้ให้เห็นถึงความคืบหน้าในการลดการปล่อย การบรรลุเป้าหมายสามารถทำได้โดยการนำวิธีการลดมลพิษต่างๆ มาประยุกต์ใช้ อาทิ การออกแบบผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยีการผลิตที่สะอาด การปรับปรุงกระบวนการผลิต การนำมาใช้ใหม่ และการทดแทนสารเคมีอันตรายด้วยสารเคมีที่ปลอดภัยกว่า ซึ่งสารเคมีอันตรายส่วนใหญ่จะไม่สามารถทำลายให้หมดไปหรือกำจัดได้ทั้งหมดแม้มีการบำบัด ดังนั้นการลดมลพิษจึงต้องใช้หลักป้องกันไว้ก่อน ทั้งนี้ การตั้งเป้าหมายระยะแรกอาจเริ่มจากการจัดทำบัญชีสารเคมีอันตรายที่สำคัญต่อการควบคุม ที่มีการใช้งานในภาคอุตสาหกรรม และจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อ ลด จำกัดการใช้ และเลิกใช้สารเคมีอันตรายดังกล่าว 
 
(2)  สามารถดาวโหลดรายงาน “การตรวจสอบสารเคมีอันตรายในน้ำทิ้งจากโรงงานอุตสาหกรรมฟอกย้อมและการปนเปื้อนของสารเคมีในคลองบริเวณใกล้เคียงซึ่งเชื่อมต่อกับแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ประเทศไทย พ.ศ. 2553” ได้ที่ www.greenpeace.or.th/water-sampling 
 
(3) วิเคราะห์จากฐานข้อมูลกรมโรงงานอุตสาหกรรม (ปี 2547) โดยใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Information System หรือ GIS) 
 
(4) สถาบันโรงงานอุตสาหกรรม (2550) 
 
(5) รายละเอียดเกี่ยวกับสารเคมีอันตรายที่พบ และเอกสารอ้างอิงสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ในรายงาน (2)
 
โนนิลฟีนอล (nonyl phenols; NP):  มีความคงทนและสามารถสะสมในสิ่งแวดล้อม รวมถึงในเนื้อเยื่อของปลา สิ่งมีชีวิตที่อาศัยในน้ำ และปริมาณมากเพิ่มขึ้นในแต่ละลำดับในห่วงโซ่อาหาร หนึ่งในอันตรายที่พบเห็นได้ อาทิ ผลกระทบเกี่ยวกับผลของฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งเกี่ยวข้องกับการพัฒนาด้านเพศ การสร้างอสุจิ และความเสียหายต่อดีเอ็นเอของเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์ โนนิลฟีนอลถูกจัดให้เป็นสารเคมีที่มีอันตรายในลำดับต้นๆ โดยสหภาพยุโรปภายใต้กรอบการจัดการแหล่งน้ำ นอกจากนี้ Directive 2003/53/EC ยังกำหนดว่าผลิตภัณฑ์ที่มีการปนเปื้อนของโนนิลฟีนอลมากกว่า 0.1% จะไม่สามารถวางขายในตลาดในทวีปยุโรปได้
 
2-เนฟทาลีนาทมีน (2-naphthalenamine; 2NA) ถูกจัดเป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ สารเคมีชนิดนี้ไม่ว่าจะอยู่ในรูปสารบริสุทธ์หรือเจือปนอยู่กับสารอื่นก็สามารถทำให้เกิดมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะในคนที่สัมผัสกับสารชนิดนี้ ทั้งนี้ 2NA อาจได้มาจากการสลายตัวของสีเอโซ (azo dye) บางชนิด ในทวีปยุโรปได้มีการห้ามใช้สีเอโซซึ่งสามารถสลายให้สารก่อมะเร็ง (สารอะโรมาติกเอมีน) ในสิ่งทอหรือเครื่องหนัง และมีการรณรงค์หยุดการใช้สิ่งทอที่ใช้สีเอโซซึ่งอาจเป็นตัวการที่ปล่อยสาร 2NA ในปริมาณที่เทียบเท่ากับที่ถูกห้าม
 
ไตร-ไอโซ-บิวทิลฟอสเฟต (tri-iso-butyl phosphate; TiBP) มีความเป็นพิษต่อสัตว์น้ำ และหนู (จากการทดลอง) ถูกจัดให้เป็นสารระคายเคืองต่อผิวหนังมนุษย์ ทั้งนี้ ข้อมูลความเป็นพิษของ TiBP ในมนุษย์ยังมีอยู่จำกัด
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

เทศกาลรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์แห่งประเทศไทย : ไม่ใช่เพื่อตัวบุคคล

Posted: 11 Aug 2010 02:47 AM PDT

หลังจากรางวัลซีไรต์ประจำปี 2553 นี้ มีการประกาศผลรอบแรกในวันที่ 13 กรกฎาคม 2553 ที่ผ่านมา    มีหนังสือกวีนิพนธ์เข้ารอบแรกจำนวน 6 เล่ม เรียงตามลำดับอักษรดังนี้
  1. ฉันอยากร้องเพลงสักเพลง ของ ศิริวรณ์ แก้วกาญจน์
  2. เดินตามรอย ของ วันเนาว์ ยูเด็น
  3. ในความไหวนิ่งงัน ของ นายทิวา
  4. เมืองในแสงแดด ของ โกสินทร์ ขาวงาม
  5. ไม่มีหญิงสาวในบทกวี ของ ซะการีย์ยา อมตยา
  6. รูปฉายลายชีพ ของ โชคชัย บัญฑิต
 
จากผลงานกวีนิพนธ์ที่ส่งเข้าประกวดในครั้งนี้ทั้งหมดจำนวน ผลงาน ดังรายนามต่อไปนี้
เดิน ๓๘ ก้าว ถึงนิพพาน   ฉมณคิด แผนสมบูรณ์  จงเจริญการพิมพ์
เดินตามรอย  วันเนาว์ ยูเด็น      แพรว
เทวาลัยมนสิการ  พันดา ธรรมดา   นกเช้า
เพลงใฝ่เงาฝัน  วัฒนา ธรรมกูร   สาระตน
เพียงเสียงนกบนดาวเคราะห์น้อย  แสงศรัทธา ณ ปลายฟ้า   ชายขอบ
เพียงฝุ่นทรายว่ายล่วงถึงดวงดาว     ศิลาดล  นกเช้า
เมล็ดฝัน พันธุ์กวี  สิทธิเดช กนกแก้ว   ร้อยแก้ว
เมืองในแสงแดด  โกสินทร์ ขาวงาม   ใบไม้ป่า
ตกต้องตามฤดูกาล  ยอดฉัตร บุพศิริ   ไม่ประสงค์
10  เหมือนหนึ่งมนุษย์ มีเลือดคนละสี  ธาร ธรรมโฆษณ์   ข้าวเจ้า
11  แผ่นดินที่ฉันมีวิถีจิตนิยม  ชูชาติ ครุฑใจกล้า   ธรรมเมธี
12  โลกแห่งเวลาอาลัย  ภูวดล ภูภัทรโยธิน   สมุดไทย
13  โลกแห่งรัก  กานติ ณ ศรัทธา   รูปจันทร์
14  โลกยนิทาน   ธีรภัทร เจริญสุข   นานมีบุ๊คส์
15  โลกหมุนเร็วขึ้นกว่าเดิม  กฤตย์ดิศร กรเกศกมล   นานมีบุ๊คส์
16  ใต้ดวงตะวันสีดำ  เชาว์ศิลป์ จินดาละออง   ดาริกา
17  ในความไหวนิ่งงัน  ทิวา   ออน  อาร์ต ครีเอชั่น จำกัด
18  ในท้องปลาวาฬ  มูหัมหมัดฮาริส กาเหย็ม   ไม่ประสงค์
19  ไม่มีหญิงสาวในบทกวี  ซะการีย์ยา อมตยา  หนึ่ง
20  ไฮกุ อยู่ในหัวใจเธอ  เมธา เมธี   อมตะสตูดิโอ
21  กระจกเงา-เกิดเพื่อแพ้  รุ่งฟ้า ตะวันออก    ------
22  กรีดลงแก้ม  ลัดดา สงกระสินธ์   ลูกข่าง
23  กวีนิพนธ์ของคนบ้า  กิติคุณ คัมภิรานนท์   นานมีบุ๊คส์
24  กวีนิราศแฟนตาเซีย  เชษฐภัทร วิสัยจร   สามสี่ศูนย์
25  กอปร  อุเทน มหามิตร   ชายขอบ
26  กาพย์ห่อโคลงนิราศแม่ฮ่องสอน  ภักดี ชมภูมิ่ง   พี วาทิน พริ้นติ้ง
27  ขวดใสใบเล็กทั้งสี่ใบ  นิศรัย หนูหล่อ   นาคร
28  ขวัญแม่น้ำมูล  ไศล ภูลี้   เข้มข้น
29  คณะสัตว์ประหลาด  อาณัติ แสนโท   ไม่ประสงค์
30  คนกับโลก  สองขา   มติชน
31  คนทางนี้  ไวกูณฐ์ มาลาไทย   ข้าวเจ้า
32  คำแพงรุ่นสุดท้าย   ธรรม ทัพบูรพา  ข้าวเจ้า
33  คือตัวตนของคนนี้  บัวกันต์ วิลามาศ   ขอบประเทศ
34  ฉันรักเธอ  ไพฑูรย์ พรหมวิจิตร   หนึ่ง
35  ฉันอยากร้องเพลงสักเพลง   ศิริวร แก้วกาญจน์    ผจญภัย
36  ดินแดนไม่มหัศจรรย์  พจนาถ พจนาพิทักษ์   รากแก้ว
37  ทอรัก ถักโลก  วรภ วรภา      ยิปซี
38  ทะเล่อทะล่า 2-3 บรรทัด  อุเทน มหามิตร   ชายขอบ
39  นาฎกรรมแห่งการเฝ้ามอง  เจริญขวัญ   หัวใจเดียวกัน
40  นิราศในร้านเสริมสวย  สิงหา สัตยนนท์   ภาพคำ
41  นิราศยุโรป  สฤณี อาชวานันทกุล   ชายขอบ
42  นิราศรัฐ ก. ไก่   กานต์ ณ กานท์   คอมมอนเซ็นต์ กรุ๊ป
43  นิราศหาดหินงาม  เดชา สามารถ   เม็ดทราย พริ้นติ้ง
44  บทเพลงของการโบกบิน  ชัยพร ศรีโบราณ   ราชพฤกษ์
45  บทเพลงลมบ้าหมู  สุพัฒน์ คำย้าว   ใต้ดินศยาม
46  บทกวีแห่งคืนค่ำ  กิติคุณ คัมภิรานนท์   ลายสือ
47  บทกาพย์พระรัตนตรัย  กัญญา เชื้อพุก    ---
48  บนพื้นผิวแผ่นดินที่กำลังแตกกระจาย  อรอาย อุษาสาง   ตากับยายในพระจันทร์
49  บันไดดาว  กฤษณพล ศรีบูรพา   ข้าวเจ้า
50  บางโทนสีแห่งชีวิต  โสตถิเทพ แสวงประเทือง      แพรว
51  ประเทศของเราและเรื่องเล่าหลายๆเรื่อง  อภิชาติ จันทร์แดง   ชายขอบ
52  ปรากฎการณ์  พลัง เพียงพิรุฬห์   สกอร์ปิโอ พับลิชชิ่ง
53  ผรุสวาทคำฉัน (ท์)   อินเดียน อิงค์   จรัญสนิทวงศ์การพิมพ์
54  ผืนแพรแรทอง  วันเนาว์ ยูเด็น   กุลสตรี
55  ฝั่งฟ้าประกายดาว  โรม ลาวัณย์   สิยา วรรณราชู
56  ฝากแผ่นดิน  ก้องภพ รื่นศิริ   นัดพบ
57  ฝากโลกนี้ไว้ในหัวใจเธอ  กอนกูย   ข้าวเจ้า
58  พงศาวดารพิภพ  ธีรภัทร เจริญสุข   นานมีบุ๊คส์
59  พระจันทร์ทอเหนือทุ่งข้าว  พิเชษฐ์ศักดิ์ โพธิ์พยัคฆ์   ประกายพรึก
60  พิราบสีเหลือง  ภู-ติ-รัก   โฟ-บาร์ด
61  มกรา"52  ตุล ไวฑูรเกียรติ   ชายขอบ
62  มรสุมประเทศนี้ยังยาวนาน  วิสุทธิ์ ขาวเนียม   ลายแฝด
63  มหาวิหารแห่งสุวรรณภูมิ  บัญชา อ่อนดี   พิมพ์ไพร
64  รูปฉาย ลายชีพ  โชคชัย บัณฑิต   มิ่งมิตร
65  ลมใต้ไฟ  สายธารสิโป   หัวใจเดียวกัน
66  ลมมลายู  วิสุทธิ์ ขาวเนียม   นาคร
67  ส่งลูกไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า  หทัยภรณ์ กสิกิจนำชัย   ------
68  สวนสงบ  พรชัย แสนยะมูล   ไม้ยมก
69  สัมผัสบำบัด  อรุณวดี อรุณมาศ   วิศัลยา
70  สายรุ้ง รุ่งเยือน  ณรงค์ยุทธ โคตรคำ   เคล็ดไทย
71 หนทางและที่พักพิง  อังคาร จันทาทิพย์   ผจญภัย
72  หนามที่บ่งไม่ออก  สมศักดิ์ ศรีเอี่ยมกูล   ใบตอง
73  หยาดน้ำรำพึงฝัน  ชาคร บัวเกตุ   ธรรมเมธี
74  อุดมคติแห่งสยาม  สายฝน ตรีณาวงษ์   จรัญสนิทวงศ์การพิมพ์
 
คณะกรรมการคัดเลือก

๑.อาจารย์วรรณา  นาวิกมูล
ภาควิชาวรรณคดี คณะมนุษยศาสตร์
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

๒.อาจารย์พวงแก้ว  ลภิรัตนกุล
นักวิชาการวรรณกรรม

๓.ผศ.ดร.ญาดา  อารัมภีร
นักวิชาการวรรณกรรม กรรมการสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย

๔.นายโกศล  อนุสิม
กวี นักเขียน

๕.นายสุภาพ  พิมพ์ชน
นักวิจารณ์

๖.อาจารย์ ดร. อารียา หุตินทะ
ภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์
มหาวิทยาลัยศิลปากร

๗.อาจารย์ ดร. ปรมินท์ จารุวร
ภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

คณะกรรมการตัดสิน

๑.รองศาสตราจารย์ ดร.สรณัฐ  ไตลังคะ
นายกสมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศ ไทย

๒.นางชมัยภร  แสงกระจ่าง
นายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศ ไทย

๓.นายอดุล  จันทรศักดิ์
ศิลปินแห่งชาติ  สาขาวรรณศิลป์

๔.นายประภัสสร  เสวิกุล
อดีตนายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศ ไทย

๕.รองศาสตราจารย์สุรภีพรรณ ฉัตราภรณ์
ภาควิชาภาษาอังกฤษ คณะอักษรศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

๖.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. เสาวณิต วิงวอน
ภาควิชาวรรณคดี คณะมนุษยศาสตร์
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

๗.ประธานคณะกรรมการคัดเลือก

 
หมายเหตุ ข้อมูลข้างต้นจาก http://www.thaipoetsociety.com/index.php?topic=2002.0
 
พร้อมกันนี้ยังมีข้อสังเกตของคณะกรรมการคัดเลือก ที่มีต่อหนังสือเข้ารอบแรกดังกล่าว และมีข้อสังเกตถึงภาพรวมของหนังสือที่ส่งเข้าพิจารณาคัดเลือก ซึ่งข้อสังเกตของคณะกรรมการนี่เองที่สร้างความคลางแคลงใจต่อ “สาธารณชน” ทั้งในเรื่องที่เป็นหลักการและเหตุผล และเป็นคำครหาบรรดามี ที่คณะกรรมการหรือกรรมการบางท่านถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาของการตัดสินการประกวดทุกอย่าง
แต่ข้อสำคัญที่สมควรจะกล่าวถึงมากที่สุด นอกเหนือจากพวกคำครหาเกี่ยวกับการเล่นพรรคเล่นพวก หรือผู้มีบารมีมากอำนาจที่สามารถเขียนใบสั่งให้ดันเล่มไหนเข้า ดึงเล่มไหนออกได้ตามอำเภอใจ ซึ่งดารากวีรุ่นใหญ่ไม่เคยรู้สึกรู้สาอะไร นอกจากจะยิ้มหัวพลางบ่นทีเล่นทีจริงไปทำนองว่า พอไม่ได้รางวัลก็โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง หากว่ากันตามมารยาทแล้ว เป็นคำพูดที่ไร้ความรับผิดชอบ และไม่สมควร แต่เราจะไม่สนใจมันล่ะไอ้พวกคำครหาเหล่านี้ ที่จะกล่าวนั้นคือ ปัญหาของคำว่า “สร้างสรรค์” ที่ต่างฝ่ายที่ร่วมสังฆกรรมกันล้วนบิดเบือนด้วยหลักการและเหตุผลอย่างผู้เชี่ยวชาญ
 
เคยรู้สึกไหมว่า ซีไรต์แต่ละปีที่มีการส่งประกวด ตัดสินใจ และยกยอปอปั้นกันหน้าสื่อแล้ว ค่าคุณอะไรในทางจรรโลงใจแก่สังคมนั้นหาได้ยากเต็มที ทั้งที่บางครั้งเนื้อหาของผลงานซีไรต์ปีนั้นก็บรรยายถึงความเป็นไปของสังคมอย่างแยบคาย ลุ่มลึก และชวนให้ครุ่นคิด นี่ไม่นับประเด็นทางการตลาดที่มีการสั่งซื้อสั่งพิมพ์หนังสือรางวัลซีไรต์ให้นักอ่านที่เชื่อมั่นในกระบวนการตัดสินรางวัลซื้อนะ และยังไม่ต้องนับรวมไปถึงการยอมรับในผลงานของหนังสือรางวัลซีไรต์ในวงวรรณกรรมด้วยกันเอง พอมีประกวดที ตัดสินกันทีก็ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ ถกเถียงกันที เหมือนรางวัลซีไรต์ได้ลดทอนคุณค่าของคำว่า “สร้างสรรค์” ลงทุกครั้ง ทั้งโดยหลักการและหลักปฏิบัติ
 
หลักการ
 
ฝ่ายที่ร่วมสังฆกรรมรางวัลซีไรต์มีใครบ้าง 1.ผู้ส่งผลงาน 2.สำนักพิมพ์ 3.คณะกรรมการที่รวมถึงสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทยและสมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทย 4.ผู้สนับสนุนรางวัล
 
ประเด็นก็คือ เราคุยกันไม่จบไม่สิ้นสักที เพราะประเด็นย่อยมันแยะไปหมด ทั้งที่คุยกันทุกปี ไม่รู้เป็นยังไง
แต่ประเด็นสำหรับบทความนี้ คือ ปัญหาทางเทคนิคของคำว่า “สร้างสรรค์” อันเป็นใบหน้าของรางวัล     ซีไรต์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
 
รางวัลซีไรต์ มีชื่อเต็มว่า รางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน
เรามาดูคำว่า “สร้างสรรค์” กันก่อน เพื่อคิดร่วมกันว่า อย่างไรจึงจะเป็นการสร้างสรรค์ ที่ไม่ได้มีความหมายตรงตามตัวอักษร
 
ปัญหาก็คือ มีบางคนให้คำจำกัดความของคำนี้ว่า เป็นการสร้างขึ้นใหม่ ไม่เหมือนใคร ไม่เคยมีใครทำมาก่อน อย่างกรณีมีบางคนแสดงทัศนะว่า บทกวีฉันทลักษณ์ ไม่ถือเป็นการสร้างสรรค์ เพราะรูปแบบฉันทลักษณ์นั้นมีมาแต่โบราณกาลแล้ว มันไม่ใหม่นี่หว่า ของเก่าดุ้น ๆ หรือบางคนว่า กลอนเปล่า หรือบทกวีไร้ฉันทลักษณ์ ไม่ถือเป็นกวีนิพนธ์ อันนี้เป็นตัวอย่างที่ห่างไปหน่อย แต่มันน่าขำดีที่ยังมีการพูดเรื่องอย่างนี้อยู่ในทศวรรษนี้ แล้วคำว่า “สร้างสรรค์” มันคืออะไร คำจำกัดความที่ว่า เป็นการสร้างขึ้นใหม่นั้น ใช้อธิบายได้มากน้อยแค่ไหน
 
ก่อนอื่นมาดูกันว่า ถ้าเราใช้คำจำกัดความว่า เป็นการสร้างขึ้นใหม่ ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน เป็นคำอธิบายตั้งต้น ถามว่า ภาษาที่เราใช้หรือรูปแบบการประพันธ์นั้น คุณสร้างมันขึ้นมาเองหรือ คุณไม่ได้เป็นผู้ประดิษฐ์อักษร นี่ตื้น ๆ และถามว่า สิ่งที่คุณยืนยันว่าสร้างขึ้นใหม่และยังไม่เคยมีใครทำมาก่อนนั้น มีสิ่งใดมายืนยันได้อย่างเป็นข้อเท็จจริงว่าคุณสร้างมันขึ้นจริง ไม่เคยมีใครทำมาก่อน เพราะโลกของข้อเท็จจริงมันไม่ได้พิสูจน์อยู่แล้วว่า คุณสร้างหรือคุณแค่ก๊อปปี้ หรือประยุกต์มา
 
เพราะฉะนั้นปัญหาก็คือ คำว่า “สร้างสรรค์” ไม่ได้หมายถึง การสร้างขึ้นใหม่ ไม่เหมือนใคร ไม่เคยมีใครทำมาก่อน อย่างตายตัว เพียงแต่นัยยะของคำ อาจหมายถึง การนำปัจจัยที่มีอยู่มาปรับเปลี่ยน ดัดแปลง หรือสานต่อ ต่อยอดขึ้นมาก่อให้เป็นความงามประการหนึ่ง ที่ดึงดูดใจ อะไรก็แล้วแต่ ที่ไม่ใช่ใหม่ทั้งหมดร้อยเปอร์เซ็นต์และใหม่ถอดด้ามโดยปัจเจกบริสุทธิ์ เห็นไหมล่ะว่า มีคำว่าปัจเจกเสนอหน้ามาด้วย ทั้งที่ปัจเจกบุคคลทำหน้าที่นำเอาปัจจัยที่มีอยู่มาสานต่อ ต่อยอด ไม่ได้สร้างใหม่ทั้งหมด ดังนั้น คำว่า “สร้างสรรค์โดยปัจเจก” เป็นคำที่สื่อความผิดพลาดอย่างร้ายแรงและก่อปัญหาตามมา
 
คราวนี้มาดูอีกคำหนึ่งที่เกี่ยวกับกระบวนการตัดสินรางวัลซีไรต์ เห็นไหม มีคำว่า “ตัดสิน” นี่แหละคือคำที่มีปัญหาและลดทอนคุณค่าอีกคำหนึ่ง
 
หลักปฏิบัติ
 
ลองจินตนาการดูว่า ถ้ารางวัลซีไรต์ (อาจหมายถึงรางวัลอื่นด้วย) มีกระบวนการอย่างอื่นที่จะประเมินว่าหนังสือที่ได้รางวัลคือเล่มใด โดยไม่ใช่คำว่า “ตัดสิน” คงเป็นเรื่องยาก...
 
เพราะเราต่างเคยชินอยู่กับการยกอำนาจให้ผู้อื่นตัดสินอยู่ชั่วนาตาปีแล้ว
 
ยกตัวอย่างคณะกรรมการรอบคัดเลือกได้เลือกสรรมาแล้วว่า มีหนังสือที่มีสมควรผ่านเข้ารอบมาจำนวนหนึ่ง ถามว่า คณะกรรมการใช้หลักการประเมินคุณค่าของงานอย่างไร มีกรอบมีหลักการอยู่ก่อนแล้ว อันนี้ไม่ได้แตะเรื่องรสนิยมนะ แล้วจึงนำมาประเมินโดยการคัดผลงานที่คุณภาพไม่ถึงเกณฑ์ออกไป เลือกหยิบผลงานที่เข้ากรอบให้ผ่านรอบแรกมา ใช่หรือไม่
 
ตอบตามตรงว่า นี่มันผิดมหันต์ นี่ไม่ใช่กระบวนการประเมินคุณค่างานศิลปะ แต่เป็นการลดทอนคุณค่างานศิลปะอย่างไม่น่าเชื่อว่ามันจะต่ออายุให้ตัวเองได้ยาวนานปานนี้ แต่ประธานคณะกรรมการรอบคัดเลือกและต้องทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการรอบตัดสินคนหนึ่งก็ได้ออกมาชี้แจงอย่างซื่อตรงว่า
การประเมินคุณค่าของงานศิลปะไม่ว่าแขนงใด ย่อมไม่มีสูตรสำเร็จเหมือนสูตรเคมีหรือคณิตศาสตร์ที่มีกฎเกณฑ์ตายตัว
 
อันที่จริง คำกล่าวในข่ายเดียวกันนี้ของคณะกรรมการล้วนฟังดูมีเหตุผลแต่มันใช้การไม่ได้ ข้อนี้ใคร ๆ ก็รู้ แต่ที่เขาต้องการคำตอบไม่ใช่หลักการที่คุณพูด เขาต้องการตรวจสอบจิตสำนึกของคนที่เป็นคณะกรรมการว่า มีสำนึกในกระบวนการสร้างสรรค์แค่ไหน เพราะกระบวนการประเมินคุณค่างานศิลปะอย่างสร้างสรรค์นั้น มันต้องยกเอาผลงานออกมาวางก่อน ใช้งานศิลปะเป็นสิ่งตั้งต้นในการประเมิน ไม่ใช่เอากรอบของตัวเองไปประเมินงานศิลปะ ที่เขาแสดงความกังวลกันหลายคนนั้น มันอยู่ตรงนี้ จึงเห็นได้ว่า คณะกรรมการนั่นเองที่เป็นอุปสรรคในกระบวนการสร้างสรรค์
 
เช่นนี้เราจะพอเห็นได้บ้างแล้วว่า ปัญหาของกระบวนการประเมินงานศิลปะโดยเฉพาะรางวัลซีไรต์ มีการปฏิบัติที่คลาดเคลื่อนไปจากหลักการซึ่งก็ถูกบิดเบือนอีกทอดหนึ่ง โดยเฉพาะตรงการเลือกใช้คำว่า “ตัดสินรางวัล” นั่นเอง นี่อาจเป็นเพียงปัญหาทางเทคนิคเท่านั้นแหละ แต่มันกลับไม่หยุดอยู่แค่เรื่องทางเทคนิค...
 
เพราะเมื่อคณะกรรมการรอบตัดสินเป็นผู้ตัดสินว่าหนังสือเล่มใดจะได้เป็นเดอะวินเนอร์ ทันทีทันใดกระบวนการสร้างสรรค์อย่างที่มันควรเป็นก็ตายลงทันที เนื่องจากโดยนัยยะของคำว่า “ตัดสิน” แล้ว มันได้อำนาจดุจเดียวกับผู้พิพากษา ชี้ถูกผิดดีชั่ว และยังเป็นการใช้อำนาจโดยไม่ถูกหลักการดังกล่าวข้างต้นอีกด้วย
 
และขณะเดียวกันนั่นเอง คณะกรรมการก็ยังมีหน้ามาบอกให้อ่านเล่มที่ไม่ได้เป็นเดอะวินเนอร์อย่างหน้าชื่นตาบาน จะบ้าหรือเปล่า คนอ่านที่เขาคาดหวังกับกระบวนการตรงนี้ไว้สูง เขาจะไปแสวงหาสิ่งที่ไม่ใช่ทำไมกัน เสียเวลาเปล่า.. เขาก็รอสิ รอเล่มเดียวนั่นแหละ
 
สำหรับปัญหาที่แท้จริง ที่คอยรังควานและสร้างความด่างพร้อยให้รางวัลนี้คือ คำว่า “สร้างสรรค์” นี่แหละ
 
ในเมื่อเราต่างตระหนักตรงกันว่า ไม่มีปัจเจกใดที่จะสร้างสรรค์ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ หรือไม่มีปัจเจกใดจะสร้างสรรค์ได้เทียบเท่าพระเจ้า (อันนี้ค่อนข้างงมงาย) เหมือนกับถ้าไม่มีสุนทรภู่ คงไม่มีเนาวรัตน์ ถ้าไม่มีเนาวรัตน์ จะมีจิระนันท์ไหม จะมีไพวรินทร์ไหม  ในทางกลับกัน ถ้าไม่มีจิตร ภูมิศักดิ์ โองการแช่งน้ำจะยังเป็นที่รู้จักมาถึงทศวรรษนี้หรือไม่ ฉะนั้นเราจะเห็นถึงกระบวนการสร้างสรรค์ที่ถักทอต่อยอดซึ่งกันและกันมาอย่างต่อเนื่อง หรือจะกล่าวอย่างเป็นอุดมคติหน่อยว่า สายธารแห่งการสร้างสรรค์ไม่เคยหยุดนิ่ง
 
ดังนั้น เดอะวินเนอร์ซีไรต์ที่แท้จริง ไม่ใช่เจ้าของผลงานกวีนิพนธ์เล่มนั้นเล่มนี้ หากแต่เป็นทุก ๆ องคาพยพต่างหากเล่า
 
สรุปอย่างคร่าวได้ว่า รางวัลซีไรต์ต้องเป็นรางวัลของกระบวนการสร้างสรรค์ แม้นว่าเดอะวินเนอร์จะมีเพียงเล่มเดียว แต่ขอให้สาธารณชนตระหนักว่าเป็นรางวัลแห่งกระบวนการ หาใช่รางวัลของปัจเจกบุคคลเท่านั้น
 
ลองจินตนาการดูว่า ถ้ามีผลงานส่งเข้าประกวดรางวัลนี้แค่สามเล่ม คงน่าเกลียดตายเลย เพราะฉะนั้น      ผู้ส่งผลงานเข้าร่วมประกวดรางวัลซีไรต์ จึงเป็นองคาพยพหนึ่งในกระบวนการสร้างสรรค์นี้ด้วยเช่นกัน
 
และที่อยากเสนออีกข้อหนึ่งคือ คณะกรรมการควรตระหนักด้วยว่า เจ้าของผลงานที่ตกรอบ รวมถึงสาธารณชนย่อมมีสิทธิ์เรียกร้องให้คณะกรรมการชี้แจงรายละเอียดในกระบวนการประเมินคุณค่าผลงานด้วย เขามีสิทธิ์จะซักถามจนกว่าจะพอใจ ว่าทำไมอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ใช่พอเห็นเป็นเล่มที่ตกรอบ กรรมการก็จะชี้แจงแบบเหมารวม ไม่กล้าแม้จะเอ่ยชื่อผลงาน อธิบายมาเลยไม่ได้หรือว่าผลงานเล่มนั้นบกพร่องตรงไหน เล่มนี้เขียนไม่ถูกฉันทลักษณ์ (ซึ่งเรื่องฉันทลักษณ์นี่ เท่าที่อ่านข้อสังเกตของคณะกรรมการรอบคัดเลือก ก็ชวนให้เป็นที่สงสัยอยู่หลายประการ) แต่พอเป็นเล่มที่เข้ารอบก็จะชี้แจงเป็นเล่ม ๆ เป็นเอกเทศไปอย่างชัดเจน ไม่ทราบว่าเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของคณะกรรมการหรืออย่างไร
 
นอกจากนี้ สมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทย และสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย ก็ควรจัดงานพบปะนักเขียนทุกคนที่ส่งผลงานเข้าร่วมประกวด เพื่อมาแสดงความยินดีร่วมกัน หรือเพื่อซักถามกันอย่างเป็นหลักเป็นฐาน ไม่ใช่เชิญแต่นักเขียนที่ได้เข้ารอบคัดเลือกเท่านั้น มันลดทอนคุณค่าต่าง ๆ นานาที่นักเขียน กวีพึงมีร่วมกันอย่างน่าขมขื่น
 
อีกข้อหนึ่ง คือ หนังสือที่เป็นเดอะวินเนอร์จะต้องมีการจัดพิมพ์เนื้อหาในส่วนที่ให้รายละเอียดของชื่อและเจ้าของผลงานที่ส่งประกวดทุกเล่มในปีนั้น ๆ อยู่ด้วย เช่นปีนี้ ต้องมีรายชื่อผลงานและเจ้าของผลงานทั้ง 74 ผลงานพิมพ์เพิ่มเข้ามาในเล่มที่เป็นเดอะวินเนอร์ด้วย เพราะเราพึงตระหนักว่า ถ้าไม่มีผู้ตกรอบ ก็ย่อมปราศจากเดอะวินเนอร์  
 
นี่เป็นชะตากรรมร่วมกัน หาใช่เป็นพื้นที่ให้ใบหน้าปัจเจกบุคคลงอกงามแต่เพียงผู้เดียว
 
ปัญหาเฉพาะหน้านี้ก็คือ คณะกรรมการรอบตัดสินควรสรรหากรรมวิธีที่จะนำมาซึ่งกระบวนการสร้างสรรค์ที่เอื้อประโยชน์แก่สังคมส่วนรวม ยกตัวอย่าง ถ้าท่านเห็นว่า หนังสือที่ผ่านรอบแรกเข้ามานั้น ยังไม่เป็นตอบคำถามจิตสำนึกของคำว่าสร้างสรรค์ของท่านไม่ได้ ควรมีข้อยกเว้นให้ คณะกรรมการชุดหนึ่งชุดใด กลับไปสู่กระบวนการประเมินคุณค่าในรอบคัดเลือกใหม่ได้ ไม่ใช่ว่าเขาคัดเลือกมาให้เลือกตัดสิน 6 เล่ม ท่านก็งมอยู่กับแค่ 6 เล่มนั้น โดยไม่ไยดีเล่มที่ตกรอบ เพราะไม่ใช่หน้าที่
 
แล้วจะมีหน้าออกมาบอกสาธารณชนอีกหรือว่า ควรอ่านทุกเล่ม ไม่ใช่รออ่านเฉพาะเดอะวินเนอร์เท่านั้น.
 
 
 
สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

NGOs กับการเมือง

Posted: 11 Aug 2010 02:39 AM PDT

NGOs หรือ Non Government Organizations คือ องค์กรที่ไม่ใช่องค์กรของรัฐ หรือจะเรียกองค์กรนอกรัฐก็ได้ แต่ในประเทศนี้ เราเรียกตัวเองและถูกเรียกว่า “องค์กรพัฒนาเอกชน” แรกเริ่มเดิมทีเป็นองค์กรที่เข้ามาสนใจงานสงเคราะห์คนยากคนจน รวมถึงครอบครัวผู้พิการและทหารผ่านศึกจากสงคราม ต่อมาก็พัฒนาการเรื่อยมาสอดประสานไปกับเงื่อนไขการเมือง เศรษฐกิจ ประชาคมโลก ที่เปิดมากขึ้น ทำให้นักพัฒนาเอกชนเพิ่มมากขึ้น เริ่มสนใจปัญหาเชิงลึกของสังคม การแก้ไขไปที่ต้นตอ ซึ่งก็คือปัญหาในระดับโครงสร้าง ความไม่เท่าเทียม ความไม่ยุติธรรม และพลังอำนาจต่อรองในทางการเมือง ซึ่งต่อมานำมาสู่การเคลื่อนไหวมากขึ้น ใหญ่ขึ้น หลากหลายขึ้น อาทิ เคลื่อนไหวต่อรองหรือประกันราคาข้าว เคลื่อนไหวสวัสดิภาพแรงงาน เคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิเสรีภาพรัฐธรรมนูญ ฯลฯ

ยิ่งเมื่อขบวน NGOs เติบโตเข้มแข็งในลักษณะรวมประเด็นปัญหา ทำงานเป็นขบวนแล้วร่วมขบวนเสนอแนวทางแก้ไขในระดับนโยบายการเมือง การแก้ไขกฎหมาย การเรียกร้องมาตรการต่างๆ และการร่วมกำหนดนโยบายแผนพัฒนาในอนาคต ก็ยิ่งทำให้ขบวนการ NGOs จำนวนหนึ่งทำงานและร่วมมือกันเป็นขบวนมากขึ้น มีศูนย์ประสานงานแต่ละภาค และกระจายกันลงพื้นที่ทำงานในด้านต่างๆ จากนั้นก็นำปัญหามาเคลื่อนไหว เรียกร้อง รณรงค์ให้สังคมรับรู้ ตระหนักและร่วมแก้ไขปัญหา ส่งผลให้ด้านหนึ่งหลายๆ ปัญหาได้รับการแก้ไข หลายๆ ปัญหาถูกรับรู้มากขึ้น แต่ที่น่าสนใจคือ สร้างประสบการณ์ให้ประชาชน คนรากหญ้ารู้จักและสนใจเข้ามามีส่วนร่วมในการต่อสู้เรียกร้องเพื่อปกป้องสิทธิของตนเอง กดดันทิศทางนโยบายการเมือง ผลักดันกฎหมาย นโยบายที่เอื้ออำนวยผลประโยชน์ประชาชนในระดับล่าง และตรวจสอบบทบาทการเมืองตัวแทน เป็นต้น พัฒนาการเหล่านี้ ใช้เวลาเดินอยู่หลายสิบปี กว่าจะเห็นภาพประชาชนแห่แหนมาเดินร่วมกันบนท้องถนน ซึ่งภาพเหล่านี้หากย้อนไปสัก 7-8 ปี ขึ้นไป หลายคนคงคุ้นหูคุ้นตาขบวนประชาชนกลุ่มต่างๆ ที่ปรากฏออกมาบนสื่ออาทิ สมัชชาเกษตรกรรายย่อย ภาคอีสาน (สกอ.ย.) สหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ (สกน.) เครือข่ายป่าชุมชน สหภาพแรงงาน สมัชชาคนจน (สคจ.) เครือข่ายปฏิรูปที่ดิน ฯลฯ จากนั้น ก็ถูกเรียกบทบาทและพัฒนาการนี้ในทางการเมืองว่า “การเมืองภาคประชาชน” ซึ่งต้องยอมรับว่าพัฒนาการทางการเมืองที่เข้มแข็งมากขึ้นของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย ที่ได้เดินทางมาถึงจุดนี้ จุดที่ประชาชนสนใจตื่นตัวและกล้าที่จะออกมามีส่วนร่วม แสดงจุดยืนและชูมือบนท้องถนนนั้น คุณูปการส่วนหนึ่งมาจากการสร้างและส่งเสริมโดยงานพัฒนาเอกชนตลอดระยะเวลาหลายสิบปี

ผลพวงจากการสะสมงานปัญหาในระดับโครงสร้างพบว่า นโยบายการเมืองและกลไกทำงานแบบภาครัฐที่ปราศจากการมีส่วนร่วมของประชาชน ชุมชน นั่นเองที่ทำให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำ ไม่เท่าเทียม การช่วงชิงและปล้นทรัพยากรมโหฬาร ตลอดจนการถูกละเมิดสิทธิชุมชนเรื่อยมา ทำให้ขบวน NGOs เป็นคู่ต่อสู้คู่ปรับกับรัฐบาลเรื่อยมา แทบทุกรัฐบาล โดยเฉพาะในยุคที่ผู้นำรัฐบาลเป็นนักธุรกิจใหญ่ สามารถควบคุมการบริหารงานรัฐผ่านกลไกราชการได้อย่างมีประสิทธิภาพและได้ขยายขนาดเศรษฐกิจแบบทุนนิยมออกสู่ตลาดและการค้าอย่างเต็มกำลัง ในระหว่างที่ฝ่ายการเมืองบางกลุ่มได้ประโยชน์ มีอำนาจ ก็นำมาสู่การสูญเสียอำนาจ ผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม จึงเกิดขบวนการขับไล่รัฐบาล ที่มีหลายกลุ่มเข้ามาร่วมมือ ในขณะที่ขบวน NGOs ร่วมในนามพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ต่อมาก็เรียกกันง่ายๆ รวมๆ ว่า “กลุ่มคนเสื้อเหลือง” และจากนั้นก็นำมาสู่เหตุการณ์รัฐประหารยึดอำนาจ โดย คมช.

ตลอดระยะเวลาในการขับไล่รัฐบาลทุนนิยมครั้งนั้นนอกจากบทบาท นายสนธิ ลิ้มทองกุล แล้ว บทบาท NGOs ค่อนข้างโดนเด่นสำคัญ นำโดย 5 เสือพันธมิตร จำลอง ศรีเมือง, พิภพ ธงไชย, สุริยะไส กตะศิลา, สมศักดิ์ โกศัยสุข, และ สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ นอกจากนั้นยังมีนักวิชาการสายประชาชนอีกนับพันชีวิต จากมหาวิทยาลัยทั่วประเทศร่วมลงชื่อสนับสนุนขบวนการขับไล่อดีตนายกฯ คนนี้ เพราะเชื่อว่า นี่คือประชาธิปไตยทางตรง

หลังรัฐประหารความคิด NGOs และนักวิชาการเสื้อเหลืองก็แตกโพล๊ะ จำนวนหนึ่งยุติบทบาทเนื่องจากรับสภาพความจริงเรื่องการรัฐประหารไม่ได้ เพราะถือว่านี่คือการฆาตกรรมอำพรางจิตวิญญาณประชาธิปไตย อีกจำนวนหนึ่งที่ไม่เห็นร่วมในการขับไล่ระบอบนายทุนมาแต่ต้นเพราะเห็นว่า การขับไล่เช่นนี้ เป็นการไม่เคารพระบบ กติกาและกลไกการเมืองแบบตัวแทน ซึ่งก็เสมือนทำลายระบบการเมืองแบบประชาธิปไตยด้วยเช่นกัน ในขณะที่ NGOs และนักวิชาการบางส่วนคิดว่า ต้องถอนรากถอนโคนลุยและกำจัดต่อจึงร่วมงาน ร่วมมือ ร่วมคิดกับรัฐบาลที่มาจากพรรคการเมืองเสียงข้างน้อยต่อ ส่วน NGOs และนักวิชาการเสื้อแดง กลับโดดเด่นชัดขึ้น เคลื่อนไหวทิ่มแทงแรงขึ้น ชัดเจนขึ้น รวดเร็วลุกลามเหมือนไฟลามทุ่ง โดยเฉพาะจากโซนภาคอีสานและเหนือ จนมาสู่การรวมพลคนเสื้อแดงครั้งใหญ่ เมื่อเดือนเมษา ต้นปี 2552

จากนั้นขบวนการ NGOs เมืองไทยก็เริ่มแตกแยกทางความคิดกันชัดเจนมากขึ้นๆ โดยเฉพาะช่วงระหว่างหลังจากฝ่ายพรรคการเมืองนายทุนเก่าชนะการเลือกตั้ง เมื่อปี 2550 เป็นต้นมา ทำให้ขบวนการ NGOs เสื้อเหลือง เสื้อแดง ควานหาพื้นที่สื่อทุกรูปแบบเพื่อต่อสู้และจัดตั้งมวลชนไว้เผชิญหน้า เกิดขบวนการ coppy ชี้นำขึ้นมากมายในสังคม ทุกอย่างระบาด แรง เร็ว อลหม่าน จนมาสู่การปะทะกัน ในสนามความคิดต่างๆ โดยเฉพาะในช่วงเมษา-พฤษภาเดือดปีนี้เอง (2553)

ภาพสะท้อนที่มองเห็น คือบังเกิดกองทัพตัวแทน เสื้อเหลือง เสื้อแดง ออกมาระดมข่าว ข้อมูล โจมตี ใส่กันอย่างดุเดือด แม้ว่า ที่สุดแล้วสถานการณ์เสื้อแดงจะด้อยกำลังกว่ามากก็ตาม แต่การปรากฏตัวเคลื่อนไหวของ NGOs เสื้อแดงชัดเจนขึ้นและภาพก็ใหญ่ขึ้นซึ่งจริงๆ ก็เนื่องจากสะสมตกผลึกทางความคิดร่วมกันเรื่อยมา ตั้งแต่การประกาศตนเป็นแนวร่วมไม่เอารัฐประหาร จนมา กลุ่ม นปช. สามารถปลุกพลังประชาชนให้ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วๆ ท่ามกลางการกีดกัน ก่นด่า วิจารณ์แทบทุกวิถีทางจากอำนาจฝ่ายรัฐ สื่อบางหัวและขบวนการ NGOs สายเหลืองขวาจัด นิยมเจ้า ในขณะที่ NGOs สายแดงเริ่มเสียงแผ่วในการปฏิเสธว่าไม่ได้มีจุดยืนสนับสนุนอดีตผู้นำรัฐบาลนายทุน จนในที่สุด สงครามทั้งสองสีก็เหมือนสงครามจริงๆ ต่างสร้างวาทกรรมรายวัน โจมตี และที่สำคัญมีขบวนการดึงเอาสถาบันมาเป็นเครื่องมือ แต่ข้อเสนอว่าแท้ที่จริง ว่าสาเหตุที่เคลื่อนไหวต่อสู้ เฉกเช่นเมื่อครั้งพยายามสร้าง การเมืองภาคประชาชนกลับหลุดหายไป จากนั้น ขบวนการพัฒนาประชาธิปไตยจริงๆ จังๆ เกี่ยวกับการเมืองเพื่อให้ประชาชนเลือกนั้น ก็ค่อยๆ น้อยลง มีแต่ภาพรุนแรง ก้าวร้าว หยาบคายไปทั่วพื้นที่สื่อ ซึ่งสิ่งที่พบมากขึ้นกลับเป็นข้อเสนอในเชิงจุดยืนความคิดตน

จนถึง ณ วันนี้ บทบาท NGOs กับการทำงานพัฒนาสังคมแผ่วลง เสียงกู่ก้องร้องเรียนสะท้อนปัญหาชาวบ้าน ปัญหาจากพื้นที่ ความเดือดร้อนของคนชายขอบ ล้วนแต่แผ่วเบาลง NGOs หลายคนหันไปละเลงปั่นข่าว สร้างกระแสสังคมโจมตีรายวันอยู่บนพื้นที่สื่อหรือในไซเบอร์เน็ต อาทิ ใน Facebook Hi5 Blog จนเปรอะเปื้อน !! ส่งผลให้บรรยากาศงานพัฒนาเต็มไปด้วยความอึมครึม ปิดเงียบ เก็บงำ เพราะไม่มีใครอยากก้าวล่วงออกมาจากกลุ่ม จากองค์กรของตน

อยากให้ย้อนไปยืนมองจุดยืนเดิมเมื่อครั้งตอกย้ำหนักแน่นเรื่องขบวนการการเมืองภาคประชาชน คือกระตุ้นให้ประชาชน เข้าใจ รู้สึก มีสำนึกและมีส่วนร่วมทางการเมือง เพื่อสร้างวัฒนธรรม สร้างกลไก สร้างพื้นที่ให้ประชาชนคนชั้นล่าง สร้างช่องทางสื่อสารให้ประชาชนได้เข้าถึงข้อมูลข่าวสาร ได้มีโอกาสมาร่วมกำหนด ตรวจสอบ มากขึ้น ทำให้ระบอบประชาธิปไตยได้เดินมาสู่ความเข้มแข็ง มั่นคง เพื่อกระจายผลประโยชน์ได้ทั่วถึงมากขึ้นแต่สภาพวันนี้ไม่ใช่เช่นนั้นอีกแล้ว หลายคนก้าวมาเป็นผู้ชี้นำสังคมการเมือง บ้างนำฐานมวลชนมาเคลื่อนไหวกดดัน หลายคนผันตัวเองขึ้นไปเป็นเครื่องมืออำนาจรัฐ ไปเป็นสมุนแกนนำ หลายคนไปเป็นกลไกแก้ปัญหาภาพลักษณ์มากกว่าหาทางออก หรือ ทำหน้าที่กำจัดฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล หรือคอยส่งกระแสเสียงให้ปรองดองสันติ อหิงสา และหลายคนหันหลังให้ขบวนการ NGOs ไปเสียเลย

คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ถ้า NGOs เมืองไทยจะมีหรือแสวงหาจุดยืนทางความคิด จุดยืนทางการเมือง แต่กระนั้นก็ต้องถามแนวความคิดเมื่อครั้งหนึ่งว่า คนทำงานพัฒนาเอกชนสนใจที่จะเน้นไปที่กระบวนการสร้างพลัง สร้างพื้นที่ สร้างความเข้าใจ สร้างความตระหนักในสิทธิ การมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งเป็นรากฐานประชาธิปไตยของประชาชนอย่างแท้จริง มากกว่า หรือจะพาสังคมถาโถม พาประชาชนเล่นการเมือง โดยตรง

ที่สำคัญ ปัจจุบันนี้ NGOs คิดก้าวไปไกลถึงขนาดวางยุทธวิธีช่วงชิงหรือยึดอำนาจรัฐกันไปแล้ว หรือบ้างคนก็คิดตั้งพรรคการเมืองเพื่อลงแข่งขัน แต่ทุกๆทางเลือก ล้วนแต่เป็นสิทธิ เสรีภาพ ที่ NGOs ไทยสามารถเลือกได้เพียงแค่อยากถาม ลงไปตรงๆ กลางใจในฐานะนักพัฒนาสังคม ว่าสถานการณ์เป็นเช่นนี้ เราจะพาสังคมเดินร่วมกันได้อย่างไร

อย่าบอกนะว่าคำตอบ นั้นอยู่ในสายลม ....
 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

สกอ.ยินดียกเลิกหนังสือสั่งมหาวิทยาลัยคุมเข้มละครเวทีการเมือง

Posted: 11 Aug 2010 01:32 AM PDT

รมช.ศึกษาธิการ เผยพร้อมยกเลิกหนังสือเวียนหากเนื้อหาทำให้มหาวิทยาลัย-นศ.ไม่สบายใจ ยืนยันไม่ปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นของ นศ. นายก อมธ.ชี้หนังสือ สกอ.ไม่จำกัดสิทธิ นศ.แสดงออก

 

เมื่อวันที่ 10 ส.ค.2553  นายไชยยศ จิรเมธากร รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า สำหรับกรณีที่รศ.นพ.กำจร ตติยกวี รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.)ส่งหนังสือเวียนไปยังสถาบันอุดมศึกษา เกี่ยวกับการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองของนักศึกษานั้น ตนยังไม่เห็นจดหมายเวียนฉบับดังกล่าว แต่หลังจากนี้จะให้ทางสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) ส่งมาให้ดูเนื้อหาสาระ ซึ่งหากมีการเนื้อหาที่ทำให้มหาวิทยาลัยตีความไปในทางที่ไม่ดี สร้างความไม่สบายใจแก่นักศึกษา และมหาวิทยาลัย อันนำไปสู่การจำกัดสิทธิ์ของนักศึกษา อาจจะให้มีการยกเลิกจดหมายเวียนฉบับดังกล่าว

"เชื่อว่าจดหมายเวียนฉบับดังกล่าวเกิดจากการได้รับเรื่องร้องเรียน ไม่น่าจะเกิดจากนโยบายของรัฐบาล หรือกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) หรือสกอ. เพราะรัฐบาล หรือศธ. ไม่มีนโยบายปิดกั้นความคิดเห็นของนักศึกษา มีแต่นโยบายที่สนับสนุนให้นักศึกษาได้เข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องของบ้านเมือง มากขึ้น" รมช.ศธ. กล่าว

นายกอมธ.ชี้หนังสือสกอ.ไม่จำกัดสิทธินศ.แสดงออก

นายธนพล  ทายะติ  นายกองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร(อมธ.) กล่าวว่า เรื่องที่มีการส่งจดหมายเวียนไปยังมหาวิทยาลัยต่างๆ ให้คอยสอดส่องดูแลในการแสดงความคิดเห็นของนักศึกษานั้น โดยส่วนตัวมองว่าหากเนื้อหาสาระในจดหมายดังกล่าว ไม่มีการจำกัดสิทธิ์ เชื่อว่าไม่น่าจะมีผลกระทบอะไรต่อการแสดงความคิดเห็น การจัดกิจกรรมของนักศึกษา เพราะตอนนี้แม้นักศึกษาส่วนใหญ่ให้ความสำคัญในการแสดงความคิดเห็นเรื่องเกี่ยวกับบ้านเมืองมากขึ้น แต่พวกตนก็มีแนวคิดว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ อีกทั้งเข้าใจเจตนารมณ์ของสกอ.ที่ต้องออกจดหมายเวียน  เนื่องจากมีกรณีร้องเรียนเข้ามา

"เรื่องนี้ไม่น่าจะก่อให้เกิดความแตกแยก หรือการร้องเรียนใดของกลุ่มนิสิต นักศึกษา เนื่องจากจดหมายดังกล่าว ไม่น่าจะเป็นการกีดกัน หรือปิดกั้นไม่ให้นักศึกษาแสดงความคิดเห็น หรือจัดกิจกรรมใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง" นายธนพล กล่าว

สกอ.ยินดียกเลิกหนังสือสั่งม.เข้มละครเวทีการเมือง

ดร. สุเมธ แย้มนุ่น เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.) กล่าวถึงกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา(สกอ.)ได้ทำหนังสือถึงสถาบันต่างๆให้ดูแลการจัดแสดงละครเวทีของนักศึกษา ไม่ให้สร้างความแตกแยกว่า ว่า ตนได้รายงานนายไชยยศด้วยวาจา ในฐานะกำกับสกอ.ไปแล้วว่าเป็นเรื่องที่เราขอให้มหาวิทยาลัยใช้ดุลพินิจแต่ ถ้ารัฐมนตรีช่วยว่าการศธ.เห็นว่าเป็นการไปลิดรอนสิทธิของนิสิตนักศึกษา สกอ.ก็ยินดียกเลิก

"โดยส่วนตัวผมมองว่าเรื่องนี้ไม่มีอะไรเลย เป็นแค่การออกหนังสือเวียนถึงมหาวิทยาลัยทั่วไปเพื่อเตือนให้ใช้ดุลพินิจใน การดูแลการจัดแสดงละครเวที แต่ไม่ใช่การห้ามแต่อย่างใด ซึ่งมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ก็เข้าใจดีว่าควรจะทำอย่างไร" เลขาธิการกกอ. กล่าว

ที่มาข่าว:

สกอ.ยินดียกเลิกหนังสือสั่งม.เข้มละครเวทีการเมือง (คมชัดลึก, 11-8-2553)
http://www.komchadluek.net/detail/20100810/69477/69477.html

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ศาลฎีกาไม่รับอุทธรณ์คดียึดทรัพย์ 46,000 ล้าน “พ.ต.ท.ทักษิณ”

Posted: 11 Aug 2010 12:53 AM PDT

ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามีมติไม่รับอุทธรณ์คดียึดทรัพย์46,000 ล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว

11 ส.ค. 53 - ที่ศาลฎีกา สนามหลวง นายสบโชค สุขารมณ์ ประธานศาลฎีกาเป็นประธานประชุมใหญ่ผู้พิพากษาศาลฎีกา เพื่อพิจารณาอุทธรณ์ในคดีหมายเลขแดงที่ อม.1/2553 ระหว่างอัยการสูงสุด ผู้ร้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้ถูกกล่าวหา คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ผู้คัดค้านที่ 1 กับพวก รวม 22 คน ผู้คัดค้าน เรื่องขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน (ชั้นพิจารณาอุทธรณ์) ว่า จะรับไว้พิจารณาหรือไม่ โดยพิจาณาจากคำร้องอุทธรณ์ใน 5 ประเด็น ทำนองว่า จำเลยมีพยานหลักฐานใหม่สมควรให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกากลับคำวินิจฉัย ปรากฏว่าการประชุมครั้งนี้ ผู้พิพากษาศาลฎีกา จำนวน 142 คน มาประชุมเพียง 119 คน ขาดประชุม 23 คน เนื่องจากบางท่านป่วยหรือ ลากิจล่วงหน้า จึงมีมติเสียงข้างมากดังนี้ กรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ไม่เห็นควรให้รับอุทธรณ์ 103 เสียง (จากยอด 119 เสียง) เห็นควรให้รับอุทธรณ์ 4 เสียง งดออกเสียง 12 เสียง กรณีของคุณหญิงพจมาน ผู้คัดค้านที่ 1 เห็นควรไม่รับอุทธรณ์ 101 เสียง เห็นควรให้รับ 4 เสียง ส่วนกรณีนายพานทองแท้ ชินวัตร และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่สมควรรับอุทธรณ์ 99 คน เห็นควร 2 เสียง เป็นต้น
      
ต่อมาศาลฎีกาได้ออกแถลงการณ์ว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 26 ก.พ.2553 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาให้เงินที่ได้จากการขายหุ้น และเงินปันผลหุ้นของบริษัท ชินคอร์ปปอร์เรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 46,373,678,454.70 บาท พร้อมดอกผล เฉพาะดอกเบี้ยที่ได้รับจากบัญชีเงินฝาก นับตั้งแต่วันฝากเงินจนถึงวันที่ธนาคารส่งเงินจำนวนดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน ต่อมาเมื่อวันที่ 26 มี.ค.53 ผู้ถูกกล่าวหา และผู้คัดค้านที่ 1-5 ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา และเมื่อวันที่ 27 เม.ย.53 ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา เลือกองค์คณะพิจารณาอุทธรณ์ 5 คน ประกอบด้วย นายพีรพล พิชยวัฒน์ รองประธานศาลฎีกา นายสมศักดิ์ จันทรา ประธานแผนกคดีล้มละลายในศาลฎีกา นายมานัส เหลืองประเสริฐ ประธานแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจในศาลฎีกา นายดิเรก อิงคนินันท์ ประธานแผนกคดีแรงงานในศาลฎีกา และนายฐานันท์ วรรณโกวิท ประธานแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา โดยองค์คณะผู้พิพากษาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ได้ทำบันทึกความเห็นสรุปสำนวนเสนอที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเพื่อพิจารณา ซึ่งที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้ประชุมพิจารณาแล้วมีมติว่า อุทธรณ์ของผู้ถูกกล่าวหา และผู้คัดค้านที่ 1-5 ไม่ต้องด้วยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 278 วรรค 3 ประกอบระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ว่าด้วยหลักเกณฑ์อุทธรณ์พิพากษา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในกรณีมีพยานหลักฐานใหม่ ซึ่งอาจทำให้ข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ พ.ศ.2551 ข้อ 3 – 6 จึงไม่รับไว้พิจารณา
      
ทั้่งนี้ สำหรับบรรยากาศในที่ประชุม ภายหลังจากนายสบโชค สุขารมณ์ ประธานศาลฎีกา ในฐานะประธานที่ประชุมใหญ่ผู้พิพากษาศาลฎีกาได้เปิดประชุมแล้ว ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนในชั้นพิจารณาอุทธรณ์ จึงได้แถลงเปิดประเด็นปัญหาข้อกฎหมาย รวมทั้งข้ออุทธรณ์ของผู้คัดค้านและผู้ร้อง ปรากฎว่ามีผู้พิพากษาเพียง 2 ท่าน ที่แถลงว่าสมควรรับฏีกาโดยเป็นการแถลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

 

ที่มาข่าว:
ศาลฎีกาไม่รับอุทธรณ์คดียึดทรัพย์ “พ.ต.ท.ทักษิณ” (สำนักข่าวไทย, 11-8-2553)
http://www.mcot.net/cfcustom/cache_page/88869.html

คดียุติ! ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาไม่รับอุทธรณ์ค้านยึดทรัพย์ทักษิณ (ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 11-8-2553)
http://manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9530000111242

 

สมัครรับข่าวความเคลื่อนไหวจากประชาไท ผ่านทางอีเมล ดูรายละเอียดที่ http://groups.google.com/group/prachatai-newspaper

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น