ประชาไท | Prachatai3.info |
- กองทัพพม่าขอโทษ SSA เหตุมีปะทะกัน หลังเจรจาสันติภาพ
- ยูโร 2012: บางแง่มุมเกี่ยวกับ 16 ทีมที่คุณควรรู้ (กลุ่ม B)
- 5 กองทัพกะเหรี่ยงเห็นชอบใช้ธงผืนเดียวกัน
- สัก กอแสงเรือง ได้รับเลือกเป็นประธานสรรหากรรมการนโยบายไทยพีบีเอส
- พนัส ทัศนียานนท์
- พันธมิตรฯ ประกาศชัย ปิดชุมนุมชั่วคราว-นัดปักหลัก “มัฆวานฯ” 5 มิ.ย. แดงเชียงใหม่ขยับบุกประชาธิปัตย์
- บก.ลายจุด: "ต้านรัฐประหาร" @ทวิตภพ ณ บัดนาว
- คนงาน "มอลลิเก้" บุกกระทรวงจี้รัฐ คุยนายจ้าง อย่าอ้าง "300" ตัดสวัสดิการ
- ถอดคำตอบจากคำพิพากษาว่าด้วย‘ตัวกลาง’ กับ ‘ความมั่นคง’ บันทึกคดีฉบับ ilaw
- รวมปฏิกิริยา-ข้อเรียกร้องจากนานาชาติหลังกรณีการตัดสิน 'จีรนุช'
- เฟซบุ๊กมีปัญหา ผู้ใช้บริการอาจเข้าไม่ถึงแอคเคาท์ราว 2 ชม.
- รอบโลกแรงงานพฤษภาคม 2555
- แถลงการณ์สมาคมนักข่าว เรื่อง การรายงานข่าวสถานการณ์ชุมนุม
- โสภณ พรโชคชัย: รัฐประหารคือการทุจริตทำลายชาติ
- คดีข้อพิพาทระหว่างบิ๊กซีกับเทสโก้: คดีประเดิมกฎหมายการแข่งขันทางการค้าไทย
กองทัพพม่าขอโทษ SSA เหตุมีปะทะกัน หลังเจรจาสันติภาพ Posted: 01 Jun 2012 02:45 PM PDT กองทัพพม่าส่งหนังสื พล.ท.เจ้ายอดศึก ประธานสภากอบกู้รัฐฉาน RCSS ผู้นำกองทัพรัฐฉาน SSA เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ กองทัพพม่าได้มีหนังสือขอโทษเป็ นอกจากนี้ พล.ท.โซวิน รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้ เมื่อวันที่ 23 พ.ค. มีรายงานว่า ได้เกิดเหตุปะทะกันระหว่ ทั้งนี้ กองทัพรัฐฉาน SSA และรัฐบาลพม่าได้เจรจาลงนามหยุ อย่างไรก็ตาม หลังการประชุมเจรจาสันติภาพระดั
'ขุนทุนอู' ได้รับรางวัลประชาธิปไตยจากสหรัฐ เจ้าขุนทุนอู วัย 69 ปี หัวหน้าพรรคสันนิบาตแห่งชาติไทใหญ่เพื่อประชาธิปไตย SNLD (Shan National League for Democracy) อดีตนักโทษการเมืองพม่า ได้รับรางวัลประชาธิปไตยจากสภาคองเกรสของสหรัฐ (The US congressional Democracy Award) สมาชิกพรรค SNLD เปิดเผยว่า เจ้าขุนทุนอู ได้รับแจ้งว่าเขาได้รับเลือกเป็นหนี่งในผู้ได้รับรางวัลด้านประชาธิปไตยจากสภาสหรัฐ ซึ่งรางวัลดังกล่าวจะมีพิธีมอบในวันที่ 18 มิ.ย. นี้ แต่ยังไม่แน่ใจว่าเจ้าขุนทุนอู จะมีโอกาสเดินทางไปรับรางวัลนี้หรือไม่ เนื่องจากเขายังไม่ได้รับหนังสือเดินทางออกนอกประเทศจากรัฐบาล ทั้งนี้ นอกจากเจ้าขุนทุนอู แล้ว มีอดีตแกนนำนักศึกษาพม่าที่ร่วมการประท้วงใหญ่ในปี 2531 ได้รับรางวัลดังกล่าวด้วย และกำลังรอรับหนังสือเดินทาง จากรัฐบาลเพื่อเดินทางไปรับรางวัลเช่นเดียวกัน ด้านนายจายเล็ก โฆษกพรรค SNLD กล่าวว่า หากเจ้าขุนทุนอู ได้รับหนังสือเดินทาง เขาจะเดินทางไปรับรางวัลในวันที่ 18 มิ.ย. จากนั้นเขาได้วางกำหนดจะเข้าพบหารือกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐ ระหว่างวันที่ 19-22 มิ.ย. ด้วย ทั้งนี้ เจ้าขุนทุนอู เป็นนักต่อสู้เพื่อเสรีภาพและประชาธิปไตยของชาวรัฐฉาน เป็นบุตรของเจ้าจ่าส่ง น้องชายเจ้าจ่าแสง เจ้าฟ้าองค์สุดท้ายแห่งเมืองสี่ป้อ โดยเจ้าขุนทุนอู เป็นผู้นำพรรค SNLD ซึ่งเคยชนะการเลือกตั้งเป็นอันดับสองรองจากพรรค NLD ของซูจี ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2533 แต่รัฐบาลเผด็จการทหารพม่าขณะนั้นไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง เมื่อปี 2548 เจ้าขุนทุนอู พร้อมด้วยนักการเมืองคนสำคัญของไทใหญ่อีก 8 คน ถูกทางการพม่าจับกุมในข้อหาคิดก่อการกบฏ สมคบกลุ่มคนนอกหมาย บ่อนทำลายชื่อเสียงประเทศ ทั้งหมดถูกศาลตัดสินจำคุกตั้งแต่ 75 – 106 ปี และได้รับการปล่อยตัวเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา หลังรัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดีเต็งเส่ง ประกาศแผนสันติภาพประเทศ
ชมภาพ / อ่านข่าวย้อนหลังได้ที่ http://www.khonkhurtai.org/
"คนเครือไท" เป็นศูนย์ข่าวภาคภาษาไทยเครือข่ายสำนักข่าวอิสระไทใหญ่ หรือ สำนักข่าวฉาน (SHAN – Shan Herald Agency for News) มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ยูโร 2012: บางแง่มุมเกี่ยวกับ 16 ทีมที่คุณควรรู้ (กลุ่ม B) Posted: 01 Jun 2012 02:05 PM PDT สำหรับคอกีฬา เราลองมารู้จักบางแง่มุมของ 16 ประเทศที่จะร่วมโม่แข้งในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปนอกเหนือจากเรื่องฟุตบอล ขอนำเสนอเกร็ดเล็กๆ ของประเทศในกลุ่ม B เนเธอร์แลนด์, เดนมาร์ก, เยอรมัน และโปรตุเกส เนเธอร์แลนด์ พิษเศรษฐกิจบีบนายกลาออก – นายกรัฐมนตรี Mark Rutte แสดงความรับผิดชอบทางการเมือง ด้วยการยื่นหนังสือลาออกต่อสมเด็จพระราชินี Beatrix หลังจากล้มเหลวที่ไม่ได้รับเสียงสนับสนุนในรัฐสภา ในการผ่านมาตรการตัดลดงบประมาณขาดดุลของประเทศ (หรือที่เรียกกันว่านโยบายรัดเข็มขัด) ซึ่งก่อนหน้านี้ผู้นำของกรีซ โปรตุเกส ไอร์แลนด์ สเปน และอิตาลี ก็ถูกบีบให้ต้องออกจากตำแหน่งเพราะภาวะติดหล่มทางเศรษฐกิจของยุโรป อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์มองว่าเนเธอร์แลนด์ ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 5 จาก 17 ประเทศ ในกลุ่มยูโรโซน ยังมีลู่ทางฟื้นตัวได้ไวกว่าหลายๆ ประเทศ โดยเนเธอร์แลนด์เป็นประเทศผู้ให้กู้มากกว่าผู้กู้เงินจากชาติยุโรปทั้งหมด ซึ่งมีความสำคัญเพราะชาติยุโรปที่ประสบวิกฤตหนี้คือประเทศที่จำเป็นต้องกู้เงินจากประเทศ อื่นๆเป็นจำนวนมหาศาลในแต่ละปี โดยเนเธอร์แลนด์มีกำหนดจะจัดการเลือกตั้งในวันที่ 12 ก.ย.นี้ เดนมาร์ก นายกหญิงคนแรก– เช่นเดียวกับประเทศไทย เดนมาร์กพึ่งจะมีนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก และยังถือเป็นครั้งแรกในรอบเกือบทศวรรษที่ฝ่ายค้านเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง Helle Thorning-Schmidt วัย 44 ปีจากพรรคการเมืองแนวซ้ายกลางอย่างพรรค Socialdemokraterne รวบรวมเสียงพันธมิตรทางการเมืองเพื่อจัดตั้งรัฐบาลได้ โดยสามารถได้ 89 ที่นั่ง จากทั้งหมด 179 ที่นั่ง (โดยพันธมิตรประกอบไปด้วย Socialdemokraterne, Det Radikale Venstre, Socialistisk Folkeparti และ Enhedslisten) ส่วนพรรครัฐบาลเก่าอย่างพรรค Venstre พรรคการเมืองแนวเสรีนิยม ถึงแม้จะเป็นพรรคการเมืองที่ได้รับเลือกผู้แทนมากที่สุด แต่ก็สามารถรวบรวมเสียงจากพรรคพันธิมิตรได้เพียง 86 ที่นั่ง แต่หลังจากการประกาศผลการเลือกตั้ง อดีตนายกอย่าง Lars Løkke Rasmussen ก็ออกมายอมรับผลการเลือกตั้งอย่างโดยดี (ทั้งๆ ที่พรรคของเขาได้รับเลือกมากที่สุด) อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์ระบุว่าชัยชนะของ Thorning-Schmidt นั้นมาพร้อมกับความคาดหวังของประชาชนชาวเดนมาร์กกว่า 5.6 ล้านคนทั่วประเทศ โดยเฉพาะการแก้ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำที่สุดนับตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา ทั้งนี้ในการหาเสียงพรรค Socialdemokraterne ได้สนับสนุนมาตรการเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ ขึ้นภาษีคนรวย และให้ทุกคนทำงานเพิ่มขึ้นวันละ 12 นาที โดยระบุว่า ชั่วโมงการทำงานที่เพิ่มขึ้นในแต่ละสัปดาห์จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศได้ เยอรมัน หัวหอกอัดยูเครน – ต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา Dirk Niebel รัฐมนตรีการพัฒนาของเยอรมัน ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ Die Welt ว่าต้องการส่งสารทางการเมืองไปถึงรัฐบาลยูเครนว่าเหตุใดเขาจึงยกเลิกแผนการที่จะเดินทางไปร่วมชมเกมการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2012 ที่มีทีมชาติเยอรมันลงแข่งขันด้วยที่ประเทศยูเครน ทั้งที่รัฐบาลยูเครนเคยแสดงความต้องการที่จะยกระดับเรื่องสิทธิมนุษยชนให้เป็นไปในทางเดียวกันกับมาตรฐานของประเทศในยุโรป แต่ขณะนี้เรื่องดังกล่าวกลับร้ายแรงยิ่งนักและเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องที่จะมากักขังผู้คนไว้ในคุกเพราะความผิดทางการเมือง (ซึ่งหมายถึงกรณีของนาง Yulia Tymochenko ที่เราจะอภิปรายกันต่อไปเมื่อกล่าวถึงยูเครน) นักการเมืองของเยอรมันอีกหนึ่งรายคือ ประธานาธิบดี Joachim Gauck ก็ได้ปฏิบัติกับยูเครนอย่างที่สามารถเอาไปตั้งข้อสงสัยได้ว่า นี่เป็นการแสดงความพยายามบอยคอตส์ โดย Gauck ปฏิเสธคำเชิญไม่ไปร่วมประชุมที่เมือง Yalta เมืองทางใต้ของยูเครนเมื่อเดือนที่ผ่านมา ภารกิจของพี่เบิ้ม –มาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจยุโรปด้วยแผนการออกพันธบัตรยูโร (Eurobonds) ภายใต้การผลักดันของประธานาธิบดี François Hollande แห่งฝรั่งเศสนั้นกำลังเป็นที่กล่าวขวัญว่าอาจจะช่วยแก้ปัญหาที่ยุโรปกำลังเผชิญอยู่ โดยพันธบัตรยูโรมีการระดมทุนคล้ายกับการออกพันธบัตรทั่วไปของแต่ละประเทศ ทว่าแตกต่างตรงที่ทั้ง 17 ประเทศในกลุ่มยูโรโซนจะเป็นผู้ค้ำประกันหนี้ร่วมกันทั้งหมด โดยแบ่งตามสัดส่วนตามที่ตกลงกันไว้ ซึ่งอาจขึ้นอยู่กับสัดส่วนของเงินที่ได้ไปจากการประมูลพันธบัตรยูโร ทั้งนี้เยอรมันรู้ดีว่าพันธบัตรยูโรคือหนทางช่วยเหลือทุกประเทศในกลุ่มยูโรโซนที่เกิดปัญหาเศรษฐกิจยกเว้นเยอรมนีเพียงชาติเดียวเท่านั้น โดยเยอรมันจะเป็นผู้เสียประโยชน์แทบจะทุกด้าน กับการนำตัวเองไปค้ำประกันหนี้ก้อนใหญ่ร่วมกัน โดยเฉพาะชาวเยอรมันผู้เสียภาษี จะตั้งคำถามตามมาว่าเหตุใดเยอรมันจึงต้องมาแชร์หนี้กับประเทศที่ไม่มีวินัยการคลังอื่นๆ ด้วย ซึ่งอาจสร้างความไม่พอใจของประชาชน และอาจเป็นความเสี่ยงสำคัญทางการเมืองที่รัฐบาลเยอรมันไม่ต้องการเผชิญในวันเลือกตั้งครั้งหน้า แต่นี่อาจจะเป็นภารกิจที่เลี่ยงไม่ได้ของพี่ใหญ่ของกลุ่มประเทศยูโรโซนอย่างเยอรมัน “นักเตะทีมชาติ” ลืมจับมือ "ประมุข" ของประเทศ – เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาสื่อได้ประโคมข่าวเรื่องที่ Bastian Schweinsteiger นักเตะทีม Bayern Munich และทีมชาติเยอรมัน ลืมจับมือกับประธานาธิบดี Joachim Gauck แห่งเยอรมนี หลังจากที่ทีมของเขาพ่ายแพ้ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกให้กับ Chelsea โดยสื่อได้ประโคมข่าวภาพหลักฐานเห็นชัดว่า Schweinsteiger มีสภาพมองไม่ออกแล้วว่าใครเป็นใครบ้าง เมื่อต้องขึ้นไปรับเหรียญรางวัลรองชนะเลิศ แล้วก็ยังมองผ่าน ประธานาธิบดีของประเทศตนเอง ซึ่งได้ยื่นมือมาให้สัมผัสตามธรรมเนียมปฏิบัติเมื่อขึ้นรับรางวัล โดยภาพนี้ปรากฏอยู่ตามหน้าหนังสือพิมพ์หลายฉบับของเยอรมันในวันต่อมา ท้ายสุด Schweinsteiger ได้ออกแถลงการณ์ผ่านทางสโมสร Bayern Munich ต้นสังกัดว่าหากใครเป็นตัวเขาในช่วงเวลานั้น คงเข้าใจความรู้สึกว่า อยู่ในโลกของตัวเองโดยไม่สนใจอะไรเลย หลังจากที่ต้องพบกับความผิดหวังมาอย่างมาก เขารู้สึกตกใจและอยู่ในอารมณ์ผิดหวังจนมองไม่เห็นมือของประธานาธิบดีที่ยื่นออกมาให้จับ ทั้งนี้เขาเองต้องขอโทษอย่างมากที่เกิดเหตุการณ์ที่ไม่เหมาะสมแบบนี้ขึ้นมา และอยากขอโทษท่านประธานาธิบดีของเยอรมันด้วย อนึ่ง Gauck พึ่งขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีต่อจาก Christian Wulff เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา หลังจากที่ Wulff ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่ง หลังอัยการร้องขอให้รัฐสภายกเลิกเอกสิทธิ์คุ้มครองการถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย กรณีที่เขาเคยรับสินบนเงินกู้เพื่อสร้างบ้านให้เพื่อนของภรรยาในอดีตก่อนมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ทั้งนี้ตำแหน่งประธานาธิบดีของเยอรมนีไม่ได้มีอำนาจในทางบริหารใดๆ นอกจากการเป็นเพียงประมุขที่เป็นตัวแทนทางด้านพิธีการของประเทศเท่านั้น โปรตุเกส วิกฤตเศรษฐกิจ (อีกเช่นกัน) - นี่เป็นประเทศที่สาหัสอีกหนึ่งประเทศ สำหรับวิกฤตเศรษฐกิจในยุโรป โดยโปรตุเกสเป็นประเทศที่ 3 ในยูโรโซน ที่ต้องขอความช่วยเหลือทางด้านการเงินจากต่างประเทศ (ต่อจากกรีซ และไอร์แลนด์) และการเมืองภายในของโปรตุเกสก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลง โดยในปี 2011 พรรค Partido Socialista (PS) พรรคการเมืองแนวสังคมนิยมที่เป็นรัฐบาลต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2005 ถึงคราวหมดอำนาจลง หลังจากที่นายกรัฐมนตรี Jose Socrates ประกาศลาออกเนื่องจากมาตรการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจถูกคัดค้านจากสภา จากนั้น Pedro Passos Coelho ได้นำพรรค Partido Social Democrata (PSD) ซึ่งเป็นพรรคการเมืองแนวซ้ายกลาง จัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ และทำให้ตัวเขาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ -- ถือว่าเป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองเนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจ แต่ทั้งนี้รัฐบาลใหม่ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ รวมถึงยังมีแรงต้านจากประชาชนในการนำนโยบายรัดเข็มขัดมาใช้ โดยเฉพาะข้อตกลงการปฏิรูปตลาดแรงงาน ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะลดจำนวนวันหยุดพักร้อน และลดเงื่อนไขให้นายจ้างไล่พนักงานออกได้ง่ายขึ้น โดยเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาก็มีประชาชนร่วมแสนกว่าคนออกมาแสดงพลังประท้วงร่วมแสนคน และมีการประท้วงนัดหยุดงานทั่วประเทศอีกในเดือนมีนาคม โดยแกนนำการประท้วงคือกลุ่มสหภาพแรงงานที่มองว่านโยบายรัดเข็มขัดของรัฐบาลจะนำไปสู่การตัดสวัสดิการต่างๆ และจะทำให้คนโปรตุเกสตกงานเพิ่มขึ้นด้วย ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
5 กองทัพกะเหรี่ยงเห็นชอบใช้ธงผืนเดียวกัน Posted: 01 Jun 2012 01:18 PM PDT กองกำลัง 5 กลุ่มในรัฐกะเหรี่ยงหารือร่วมกันที่เมืองผาอัน ก่อนเห็นพ้องร่วมกันว่าจะใช้ธงชาติกะเหรี่ยงแบบเดียวกัน ภายใต้หลักการเพื่อความสามัคคี และหากมีความขัดแย้งจะแก้ปัญหาด้วยสันติวิธี สำนักข่าวกะเหรี่ยง รายงานว่า กองกำลังกะเหรี่ยงเห็นพ้องร่วมกันในหลักการเพื่อความสามัคคี โดยตัดสินใจจะใช้ธงผืนเดียวกัน และพยายามลดความคัดแย้งระหว่างกลุ่มผ่านการเจรจาอย่างสันติ โดยทุกกลุ่มตกลงจะใช้ธงแถบสีน้ำเงิน ขาว แดง ซึ่งปัจจุบันถือเป็นธงชาติของชาวกะเหรี่ยง ทั้งนี้ ผู้แทนของกองกำลังกะเหรี่ยงทั้ง 5 กลุ่ม ได้พบกันเมื่อ 28 พ.ค. ที่เมืองผาอัน เพื่อหารือกันว่าจะดำเนินงานเพื่อสันติภาพร่วมกันอย่างไร โดยมีผู้นำทางศาสนาเป็นผู้ดำเนินการให้มีการหารือกัน ทั้งนี้กองกำลังกะเหรี่ยงที่เข้าร่วมหารือทั้ง 5 กลุ่ม ประกอบด้วย สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง หรือ เคเอ็นยู (Karen National Union - KNU) กองกำลังสันติภาพกะเหรี่ยง หรือ เคพีเอฟ (Karen Peace Force - KPF) กองทัพปลดปล่อยแห่งชาติกะเหรี่ยง สภาสันติภาพเคเอ็นยู (KNLA/KNU Peace Council), กองกำลังกะเหรี่ยงพุทธประชาธิปไตยโกละทูบอ (Democratic Karen Buddhist Army’s Klo Htoo Baw) และกองกำลังกะเหรี่ยงพิทักษ์ชายแดน (BGF) ซึ่งขึ้นกับกองทัพพม่า บาทหลวงโรเบิร์ต ฮเทว หนึ่งในผู้จัดการประชุม กล่าวกับสำนักข่าว Karen News ว่า "ตัวแทนทั้ง 5 จากกองทัพกะเหรี่ยงทั้ง 5 กลุ่ม เห็นชอบร่วมกันว่า พวกเขาจะสามัคคีกันภายใต้ธงชาติของประชาชนกะเหรี่ยง จะหลีกเลี่ยงความขัดแย้งด้วยกำลังอาวุธ และถ้ามีความขัดแย้งเกิดขึ้นจะใช้สันติวิธีในการหาทางออก" บาทหลวงผู้นี้กล่าวด้วยว่า ถ้ากองกำลังกะเหรี่ยงทั้ง 5 กลุ่มเห็นข้อดีของการทำงานร่วมกัน อนาคตของชาวกะเหรี่ยงทั้งหมดน่าจะดีขึ้น ทั้งนี้กองกำลังกะเหรี่ยง 4 กลุ่ม ได้ทำข้อตกลงหยุดยิงกับรัฐบาลพม่าแล้ว ส่วนอีกกลุ่มที่เป็นกองกำลังพิทักษ์ชายแดนนั้นขึ้นตรงกับกองทัพพม่า ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
สัก กอแสงเรือง ได้รับเลือกเป็นประธานสรรหากรรมการนโยบายไทยพีบีเอส Posted: 01 Jun 2012 12:05 PM PDT ไทยพีบีเอส จัดประชุมเพื่อกำหนดกรอบการทำงานในการสรรหากรรมการนโยบายทดแทนผู้ที่กำลังจะครบวาระ โดยที่ประชุมเสนอสัก กอแสงเรือง ขึ้นตำแหน่งประธาน ส่วน ผอ.สสส. นั่งเลขานุการ เปิดรับสมัครกรรมการนโยบาย 7 มิ.ย – 8 ส.ค. 55 นี้ ใน เว็บไซต์ไทยพีบีเอส รายงานเมื่อ 1 มิ.ย. ว่า คณะกรรมการสรรหากรรมการนโยบาย องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) หรือ ไทยพีบีเอส จาก 15 องค์กร ได้จัดให้มีการประชุมนัดแรก เพื่อกำหนดกรอบการทำงานในการสรรหากรรมการนโยบายทดแทนผู้ที่จะครบวาระในวันที่ 2 สิงหาคม 2555 จำนวน 5 คน จาก 9 คน โดยที่ประชุมเสนอให้ นายสัก กอแสงเรือง นายกสภาทนายความ ดำรงตำแหน่งประธาน และ ดร. วิลาสินี อดุลยานนท์ ผู้อำนวยการสำนักรณรงค์สื่อสารสังคม สสส. เป็นเลขานุการ นายสัก กอแสงเรือง ประธานคณะกรรมการสรรหา กรรมการนโยบาย กล่าวเชิญชวนผู้สนใจมาสมัครเป็นกรรมการนโยบาย ส.ส.ท. ระหว่างวันที่ 7 มิถุนายน - 8 สิงหาคม 2555 เพื่อให้ได้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถมาบริหารองค์กรนี้ “กรรมการนโยบาย เป็นตำแหน่งที่สำคัญมาก เพราะจะเป็นผู้กำหนดแนวทางการบริหารขับเคลื่อนไทยพีบีเอส ซึ่งเป็นสื่อสาธารณะที่คนไทยทั้งประเทศร่วมเป็นเจ้าของ ให้ทำหน้าที่ได้ตามกฎหมาย และเป็นไปเพื่อประโยชน์ของสังคมส่วนร่วม จึงอยากเชิญชวนผู้สนใจมาสมัครเพื่อรับการคัดเลือก ในเวลาเดียวกันก็อยากให้ภาคประชาชนได้ร่วมกันติดตาม ตรวจสอบ รวมทั้งส่งข้อมูลและเสนอแนะความเห็นมาให้คณะกรรมการสรรหาฯ เพื่อให้กระบวนการสรรหาฯ เป็นไปโดยรอบด้านที่สุด” นายสักกล่าว สำหรับกำหนดการรับสมัคร กรรมการนโยบาย ส.ส.ท. จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 7 มิถุนายน - 8 สิงหาคม 2555 โดยจะประกาศหลักเกณฑ์และรายละเอียดการสมัครทาง www.thaipbs.or.th และเผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อต่างๆ ซึ่งผู้ที่ผ่านการพิจารณาขั้นต้น จะต้องเตรียมตัวเพื่อรับการคัดเลือกในรอบแสดงวิสัยทัศน์ วันที่ 27 กรกฎาคม 2555 ทั้งนี้ กรรมการนโยบาย ส.ส.ท. ที่ครบวาระ ได้แก่ ด้านบริหารจัดการองค์กร 2 คน คือ นพ.พลเดช ปิ่นประทีป และนางจินตนา พันธุฟัก ด้านการส่งเสริมประชาธิปไตย การพัฒนาชุมชนหรือท้องถิ่น การเรียนรู้และศึกษาการคุ้มครองและพัฒนาเด็ก เยาวชนหรือครอบครัว หรือการส่งเสริมสิทธิของผู้ด้อยโอกาสทางสังคม จำนวน 3 คน คือ นางมัทนา หอมละออ รศ.ดร. อรศรี งามวิทยาพงศ์ และนายกมล กมลตระกูล ส่วนผู้แทนกรรมการสรรหา จาก 15 องค์กร ตามที่ระบุในพระราชบัญญัติ ส.ส.ท. ได้แก่ ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า นายสัก กอแสงเรือง ซึ่งได้รับเลือกเป็นประธานคณะกรรมการสรรหากรรมการนโยบายไทยพีบีเอสนั้น ก่อนหน้านี้ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น ส.ว. แบบสรรหา เมื่อเดือน เม.ย. พ.ศ. 2554 และต่อมาเมื่อวันที่ 9 มี.ค. 2555 กกต. ได้มีมติ ให้เพิกถอน นายสัก ออกจากตำแหน่ง ส.ว.สรรหา เนื่องจากขัดต่อรัฐธรรมนูญ เนื่องจากพ้นการเป็น ส.ว.ครั้งแรกไม่ถึง 5 ปี ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
Posted: 01 Jun 2012 11:24 AM PDT การที่ศาลรธน.มีคำสั่งให้สภาผู้แทนราษฎรระงับการพิจารณาร่างแก้ไข รธน.มาตรา 291 ถือได้ว่าเป็นการกระทำที่ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นการก้าวก่ายการใช้อำนาจหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งขัดต่อหลักการแบ่งแยกอำนาจการปกครองระบอบประชาธิปไตย ตุลาการที่ออกคำสั่งดังกล่าวจึงมีลักษณะเข้าข่ายที่อาจถูกถอดถอนตามบทบัญญัติมาตรา 270 ได้ ฉะนั้น จึงขอเสนอให้มีการรณรงค์เพื่อร่วมกันเข้าชื่อถอดถอนตามกระบวนการที่ รธน.บัญญัติไว้ เฟซบุ๊ก พนัส ทัศนียานนท์ อดีตคณบดี นิติศาสตร์ มธ. และ สว.เลือกตั้งปี 2540 |
พันธมิตรฯ ประกาศชัย ปิดชุมนุมชั่วคราว-นัดปักหลัก “มัฆวานฯ” 5 มิ.ย. แดงเชียงใหม่ขยับบุกประชาธิปัตย์ Posted: 01 Jun 2012 06:40 AM PDT พันธมิตรฯ แถลงประกาศชัยชนะ กดดันสภาฯเลื่อนวาระ กม.ปรองดอง สำเร็จ พร้อมขอบคุณศาลรัฐธรรมนูญ ระงับชำเรา รธน.50 ประกาศปิดเวทีชุมนุมชั่วคราว ก่อนปรับระดับชุมนุมนัดปักหลักพักค้างสะพานมัฆวานฯ 5 มิ.ย.จตุพรเตือนเสื้อแดงรับมือ รปห. ด้านเสื้อแดงเชียงใหม่บุกพรรคประชาธิปัตย์อ้างไม่พอใจป่วนสภาเตรียมจี้ กกต.ยุบพรรค 1 มิ.ย. 55 - ASTV ผู้จัดการออนไลน์รายงานว่าเมื่อเวลา 17.55 น.นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้อ่านแถลงการณ์ฉบับที่ 4/2555 พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เรื่อง “คัดค้านกฎหมายล้างผิดให้กับระบอบทักษิณ” โดยมีเนื้อหาดังนี้ ตามที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้จัดการชุมนุมตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคม - 1 มิถุนายน พ.ศ.2555 ตามที่ได้ประกาศในแถลงการณ์ฉบับที่ 3/2555 “เรื่องการปฏิรูปประเทศไทย และกำหนดการเคลื่อนไหวต่อไป” เมื่อวันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ.2555 ณ อาคารลุมพินีสถาน ณ สวนลุมพินีนั้น แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขอกราบขอบพระคุณพี่น้องประชาชนทุกหมู่เหล่าที่ได้สนับสนุนและเข้าร่วมการชุมนุมครั้งนี้ จนประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์อีกครั้งหนึ่ง โดยการชุมนุมครั้งนี้ สามารถหยุดยั้งการประชุมพิจารณาร่างพระราชบัญญัติปรองดองแห่งชาติ ได้เป็นผลสำเร็จ จนถึงขั้นสภาผู้แทนราษฎร ไม่สามารถประชุมได้ตลอดวันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ.2555 และได้เลื่อนการประชุมใหม่อีกครั้งไปเป็นวันที่ 6-7 มิถุนายน พ.ศ.2555 ดังนั้น เราจึงขอประกาศอย่างเป็นทางการ ว่า การชุมนุมระหว่างวันที่ 30 พฤษภาคม - 1 มิถุนายน พ.ศ.2555 เป็นชัยชนะอีกขั้นตอนหนึ่งของพี่น้องประชาชนที่เข้าร่วมการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นที่ประจักษ์ชัดเจน นอกจากนี้ การที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ฝ่ายรัฐบาล ที่เสนอกฎหมายเพื่อล้มล้างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2555 โดยการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 นั้น ปรากฏว่า ในบ่ายวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ.2555 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ลงมติรับคำร้องและสั่งให้สภาผู้แทนราษฎร ชะลอการพิจารณนั้น เราขอกราบขอบพระคุณตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่ได้ดำเนินการช่วยหยุดยั้งการล้มล้างรัฐธรรมนูญได้ทันเวลา ก่อนที่จะลงมติในวาระที่ 3 ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงตามมาอย่างแน่นอน จากสถานการณ์ดังกล่าวข้างต้นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขอกำหนดขั้นตอนการเคลื่อนไหวลำดับต่อไปดังนี้ 1.เนื่องจากการประชุมสภาผู้แทนราษฎร และกฎหมายปรองดองแห่งชาติ ที่ลบล้างความผิดให้กับคนในระบอบทักษิณได้ยุติไปแล้ว และจะกลับมาพิจารณาอีกครั้งในเช้าวันที่ 6 และ 7 มิถุนายน พ.ศ.2555 ประกอบกับช่วงเวลาระหว่างวันที่ 2-4 มิถุนายน พ.ศ.2555 เป็นช่วงเวลาที่พุทธศาสนิกชนจะได้มีโอกาสทำบุญเนื่องในวันวิสาขบูชา แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จึงมีมติให้ปิดเวทีการชุมนุมหลังการอ่านแถลงการณ์ฉบับนี้เป็นต้นไป และให้พี่น้องประชาชนผู้ชุมนุมกลับบ้าน เพื่อออมแรงพักผ่อนและเตรียมความพร้อมในการชุมนุมครั้งต่อไป 2.แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เห็นว่า ร่างพระราชบัญญัติปรองดองแห่งชาตินั้น ถือเป็นความรับผิดชอบของสภาผู้แทนราษฎร และเป็นความรับผิดชอบของนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้นำฝ่ายบริหาร ที่มาจากเสียงข้างมากของสภาผู้แทนราษฎร และสภาผู้แทนราษฎรฝ่ายรัฐบาลก็จะยังคงให้มีการพิจารณากฎหมายดังกล่าวต่อไป ดังนั้น จึงเห็นสมควรให้ปรับระดับการชุมนุมโดยให้มาชุมนุมแบบปักหลักพักค้างที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ ตั้งแต่วันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ.2555 เวลา 15.00 น.เป็นต้นไป และพร้อมเคลื่อนย้ายมวลชนไปทุกที่ตามสถานการณ์ที่เหมาะสมต่อไป 3.ในระหว่างคืนนี้จนถึงวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ.2555 หากพี่น้องประชาชนผู้ชุมนุมท่านใด ต้องการที่จะปักหลักพักค้างในกรุงเทพมหานคร ขอเชิญปักหลักพักค้างร่วมกับกองทัพธรรมมูลนิธิได้ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ด้วยจิตคารวะ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย วันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ.2555 บริเวณชุมนุม หน้ารัฐสภา ถนนอู่ทองใน กรุงเทพมหานคร "จตุพร" ปูดข่าวทหารเตรียมจับตัว "ยิ่งลักษณ์" คุมตัวราบ 11 ซัด ปชป. จนตรอกป่วนหวัง "ปฏิวัติ" เว็บไซต์เดลินิวส์รายงานว่าที่ห้างสรรพสินค้าอิมพีเรียล ลาดพร้าว เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 1 มิ.ย. นางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธาน นปช. พร้อมด้วยนายจตุพร พรหมพันธุ์ นพ.เหวง โตจิรา แกนนำ นปช. ร่วมกันแถลงข่าว โดยนางธิดา กล่าวว่า วันนี้ถึงเวลาสำคัญของประเทศไทยเป็นเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญเป็นทางแยกว่าประเทศไทยจะไปทางไหน ขอให้มวลชนจับตาดูให้ดีแล้วเตรียมพร้อมเต็มที่ หากจับตาดูการระดมพลใหญ่ของฝ่ายตรงข้าม จะเห็นกระบวนการของพรรคประชาธิปัตย์ที่เหมือนจะแตกแยกกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กลับมารวมกันอีกครั้งโดยใช้วิชาโจร กระบวนการของฝ่ายตรงข้ามไม่ใช่การต่อต้าน พ.ร.บ.ปรองดอง แต่ต้องการล้มล้างรัฐบาลและการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ดังนั้นในสถานการณ์นี้รัฐบาลจะต้องบริหารประเทศอย่างระมัดระวัง โดยรัฐบาลต้องตระหนักว่าจะเป็นพรรคของมวลชนหรือคำนึงถึงผลประโยชน์ของคนบางส่วน ขอเรียกร้องพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลให้บริหารจัดการอำนาจรัฐให้เหมาะสมและสมบรูณ์ "สำหรับคนเสื้อแดงขอให้เตรียมพร้อมในที่ตั้ง เตรียมพร้อมคือพร้อมทางความคิด ต้องมีวุฒิภาวะขอให้มีวินัยและมีระบบจัดตั้งของเรา" นางธิดา กล่าว ทางด้านนายจตุพร กล่าวว่า ที่ผ่านมาภาพการปรองดองระหว่างรัฐบาลและอำมาตย์เป็นภาพหลอกลวง ตนเคยพูดแล้วว่ามีการพูดกันในวันเกิดของนักการเมืองคนหนึ่งที่ทรยศต่อพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเกิดก่อนตน 1 วัน ให้ไปดูนักการเมืองคนไหนที่เกิดวันที่ 4 ต.ค. โดยพูดกันว่ารัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะอยู่ได้ไม่เกินเดือน มิ.ย.นี้ ขอให้ทุกคนเตรียมความพร้อม ถ้านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส. สุราษฎร์ธานี ไม่รู้ว่าจะมีการรัฐประหารเกิดขึ้น เขาจะกล้าปล่อยให้สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์แสดงความต่ำช้าในรัฐสภา โดยการบุกเข้าไปปิดล้อมประธานรัฐสภาหรือไม่ สิ่งที่เขาทำเพราะเขารู้ว่าสงครามนี้จะจบลงด้วยการปฏิวัติรัฐประหารเท่านั้นเขารู้ว่าปลายทางจะมีการคว่ำกระดาน เขาถึงแสดงเต็มที่เพราะรู้ว่ากระดานจะคว่ำด้วย นายจตุพร กล่าวอีกว่า ตนรู้ว่ารัฐบาลนี้ถูกหลอกเหมือนกับที่รัฐบาล พ.ต.ท. ทักษิณเคยถูกหลอกมา ซึ่งตนไม่พร้อมถูกหลอกด้วย วันที่ 19 ก.ย. คนรอบข้าง พ.ต.ท.ทักษิณยืนยันว่าจะไม่มีการปฏิวัติ ซึ่งคนรอบข้างล้วนทรยศ พ.ต.ท.ทักษิณทั้งสิ้น วันนี้ทหารเองก็ยังอยู่ในกลุ่มอำมาตย์เช่นเดิมโดยไม่เปลี่ยนแปลง “วันนี้การข่าวของผม ซึ่งเป็นทหารแตงโมให้ข้อมูลมาว่า มีการเตรียมบ้านวีไอพีในกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ เป็นที่ไว้สำหรับไว้สำหรับคุมตัวนายกรัฐมนตรี เหมือนกับที่เคยทำในสมัยรัฐบาลพล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกรัฐมนตรี จึงฝากถามเรื่องนี้ไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทน์โอชา ผบ.ทบ.ด้วย อย่างไรก็ตามหัวหน้าคณะปฏิวัติอาจไม่ใช่พล.อ.ประยุทธ์ แต่ก็เป็นพวกเดียวกับ พล.อ.ประยุทธ์นั่นเอง และขอฝากไปยังพรรคเพื่อไทยที่หลายคนกำลังห่วงเรื่องตำแหน่งรัฐมนตรี ว่าต่อไปจะมีรัฐบาลอยู่หรือไม่ จะมีประโยชน์อะไรถ้าได้ตำแหน่งรัฐมนตรีแล้วไม่มีรัฐบาลเหลืออยู่” นายจตุพร กล่าว นายจตุพร กล่าวอีกว่า ขณะนี้การชุมนุมกดดันรัฐสภาของกลุ่มพันธมิตรฯ ก็เหมือนกับการชกหน้านายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์กลุ่มนิติราษฎร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หรือการยุให้คนเสื้อแดงออกไปปะทะกับกลุ่มพันธมิตรฯ ที่สวนลุมพินี เพราะต้องการให้คนออกมาฆ่ากัน เราจึงต้องไม่ทำอย่างที่เขาต้องการนอก จากนี้ยังมีกลุ่ม ส.ว. 40 ที่ออกมาระบุว่าจะมีกลุ่มเสื้อแดงไปก่อกวนการชุมนุมของพันธมิตรฯ ที่หน้ารัฐสภา ซึ่งต้องระวังในเรื่องการจัดตั้งแดงเทียมไปดำเนินการตามที่เขาระบุ การที่กลุ่มพันธมิตรฯ กับพรรคประชาธิปัตย์ที่ไม่เอาผีกันแล้วกลับมาคืนดีกันได้ โดยมีคนล้มละลายเป็นแกนนำการชุมนุมและประกาศว่าจะช่วยนายอภิสิทธิ์เป็นครั้งสุดท้าย ถือเป็นความกระจอกของทั้งพันธมิตรฯ และพรรคประชาธิปัตย์ โดยอยู่ภายใต้การกำกับของโปรโมเตอร์คนเดียวกัน เพราะวันนี้พันธมิตรฯ ไม่มีคนแล้ว ที่เห็นมาร่วมกันอยู่นั้นคือคนที่พรรคประชาธิปัตย์ระดมมา และเรื่องนี้ไม่ใช่การปิดล้อมรัฐสภาเพื่อต่อต้าน พ.ร.บ.ปรองดอง แต่เป็นการปิดล้อมเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศ วันนี้ทุกคนต้องการสร้างสถานการณ์ให้นำไปสู่การรัฐประหารทั้งสิ้น “ขอให้คนเสื้อแดงทั้งประเทศจงเก็บเสื้อผ้า แพ็กกระเป๋า เติมน้ำมัน เตรียมเสบียงให้พร้อม เพราะทันทีที่มีการปฏิวัติเกิดขึ้น ไม่มีทางเลือกอื่นในเมื่อเขาต้องการให้ประเทศนี้ไปสู่หายนะ เราจงมาทำสงครามครั้งสุดท้ายกัน ขอให้บรรดาแกนนำในแต่ละจังหวัด เตรียมพร้อมโดยไม่ประมาท และอย่าให้เขามาจับตัวแกนนำไปได้ ที่สำคัญสำหรับคำสั่งที่จะมีไปยังคนเสื้อแดงนั้น ขอให้ฟังคำสั่งจาก 3 คน คือ อาจารย์ธิดา นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.เกษตรและสหกรณ์ และผมเท่านั้น แต่หาก 3 คนนี้ถือฆ่าตายหรือจับกุมตัวไปแกนนำทุกคนก็พร้อมทำหน้าที่ต่อ โดยหากมีการปฏิวัติเกิดขึ้นเราจะใช้อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเป็นฐานที่ตั้งในการต่อสู้ และขอให้คนเสื้อแดงทั้งหมดไปรวมตัวที่นั่น และขอให้คนเสื้อแดงทุกหมู่บ้าน ทุกจังหวัดให้ปิดล้อมรถทหาร และชักชวนให้เขาเข้ามาอยู่ข้างประชาชน วันนี้เขาไม่เคารพเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน แต่เลือกใช้พรรคประชาธิปัตย์ที่แพ้เลือกตั้งมา 20 กว่าปี จะฆ่าประชาชนเสียงข้างมากให้เหลือแต่เสียงข้างน้อยหรือไม่ จึงอยากถามว่าเหตุใดจึงไม่ฟังเสียงของคนส่วนใหญ่ในประเทศ” นายจตุพร กล่าว ขณะที่นายยศวิริศ ชูกล่อม แกนนำ นปช. กล่าวว่า ทราบว่ามีการเตรียมการของฝ่ายตรงข้ามเตรียมเสื้อแดงไว้ให้มวลชนใส่เพื่อปะทะกับมวลชนของตัวเอง เพื่อให้อำนาจอื่นเข้ามาดูแล นปช.จึงขอความร่วมมือนปช.ทั้งประเทศให้เตรียมตัวอยู่ในที่ตั้งก่อน ไม่ให้เคลื่อนไหวไปที่รัฐสภา แต่หากมีการรัฐประหารเกิดขึ้นขอให้คนเสื้อแดงไปรวมตัวกันที่ศาลากลางจังหวัด ก่อนเคลื่อนมาที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ทั้งนี้สำหรับการจัดงานครึ่งทศวรรษความจริงวันนี้ที่ธันเดอร์โดม เมืองทองธานี ในวันที่ 2 มิ.ย. นี้ แกนนำสามเกลอจะขึ้นทำหน้าที่ในเวลา 13.00-15.00 น. จากนั้นในช่วงค่ำจะมีการสังสรรค์ถึงเวลา 24.00 น ขอย้ำให้นปช.มาที่ธันเดอร์โดม แล้วอย่าไปที่อื่น อย่าไปเฉี่ยวที่พันธมิตรอยู่เด็ดขาด เสื้อแดงบุก ปชป.เชียงใหม่ อ้างไม่พอใจป่วนสภาเตรียมจี้ กกต.ยุบพรรค ด้านแนวหน้ารายงานว่าเมื่อเวลา 12.30 น.นายกฤษณ พรมบึงรำ พร้อมด้วยสมาชิกกลุ่มเสื้อแดงเชียงใหม่ 51 จำนวน 100 คน ได้นำรถยนต์เครื่อยขยายเสียงพร้อมกับมอเตอร์ไซด์จำนวนกว่า 50 คัน เดินทางมาประท้วงที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ สาขาเชียงใหม่ ถ.ซุปเปอร์ไฮเวย์ หมู่ที่ 1 ต.ช้างเผือก อ.เมือง จ.เชียงใหม่ นายกฤษณ พรมบึงรำ แกนนำเชียงใหม่ 51 กล่าวว่า ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 30-31 ที่ผ่านมา ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ได้แสดงพฤติกรรมที่คนเสื้อแดงรับไม่ได้ เช่นการไล่ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎรและคว้างเอกสารใส่เมื่อวันที่ผ่าน ดังนั้น หลังจากที่มาประท้วงหน้าที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์แล้วจะเดินไปยื่นหนังสือที่ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)จ.เชียงใหม่ เพื่อจะขอยื่นหนังสือยุบพรรคประชาธิปัตย์ต่อไป เนื่องจาก ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ มีพฤติกรรมที่เป็นปฏิปักษ์ต่อระบบประชาธิปไตย ที่ไม่เคยปรากฏในประเทศไทยมาก่อน ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
บก.ลายจุด: "ต้านรัฐประหาร" @ทวิตภพ ณ บัดนาว Posted: 01 Jun 2012 05:19 AM PDT ขออนุญาตแถลงข่าวเรื่อง "ต้านรัฐประหาร" @ทวิตภพ ณ บัดนาว ตลอดทั้งวันของวันนี้ เต็มไปด้วยกระแสข่าวการเตรียมการรัฐประหาร อันสืบเนื่องจากการชุมนุมของ พธม. และ ท่าทีของ ปชป. ในสภา การชุมนุมของ พธม. เพื่อต้าน พรบ ปรองดอง ผมมองว่า เป็นเรื่องเข้าใจได้ และ พธม. ต้องแสดงตน เพราะผูกตัวเองไว้กับเรื่องทักษิณมาหลายปี แม้ พธม. จะมีกำลังมวลชนเหลือไม่มาก แต่การประสานเครือข่ายกับ ปชป. ในนามของ สยามสามัคคี เกิดขึ้นได้ แม้จะเดินแยกกันมาระยะหนึ่งแล้ว อย่างน้อยที่สุด ภาพรวมการเคลื่อนไหวครั้งนี้ประกอบด้วย 2 กลุ่มใหญ่ คือ พธม. และ ปชป. โดย พธม. ออกตัวให้ก่อนนอกสภา ส่วน ปชป. เล่มเกมในสภา เหตุการณ์ 2 วันก่อนในสภาของ ปชป. แสดงให้เห็นว่า ทุ่มสุดตัว เกหมดหน้าตัก ไม่ต้องไว้ฟอร์มหน้าตาของพรรค เพื่อสร้างสถานการณ์ในสภาว่าไม่ใช่คำตอบ การที่ ส.ส. ชาย 3 คนเดินขึ้นไปบนบันลังก์แล้วฉุดกระชากประมุขฝ่ายนิติบัญญัติให้ลงจากเก้าอี้ เป็นการแสดงถึงการล้มอำนาจในสภา ซึ่งน่าสังเวชใจ การที่ ส.ส. รังสิมา ลากเก้าอี้ประธานสภาฯ ไปซ่อน ยิ่งตอกย้ำว่า เขาไม่ยอมให้มีการประชุมสภา ไม่รวมถึงการโยนแฟ้มและบีบคอ สส จิรายุ ภาพเน่าสนิทพฤติกรรมของ ส.ส. ปชป. ใน 2 วันที่ผ่านมา ไม่ต้องสงสัยว่า นี่เป็นความรู้เห็นและเตรียมการของ ปชป. โดยมีผู้ใหญ่ในพรรคส่งสัญญาณเต็มที่ งานนี้ถือว่า คงลงหน้าตักมากสุดคือ ปชป. เพราะแก้ผ้าเล่นกันไพ่เสี่ยง ยอมแลกกับภาพลักษณ์เจ้าหลักการและยึดมั่นในระบอบรัฐสภาของตนเอง ทิ้งไพ่เรื่องที่ต้องพิจารณาคือการลงแรงของ ปชป. รอบนี้ จะเหมือนกับตอน ไม่ส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งเมื่อปี 49 เพื่อล้มเกมเลือกตั้งหรือไม่ คำถามจึงมีอยู่ว่า ปชป. ลงทุนสูงขนาดนี้ หวังแค่ล้ม พรบ ปรองดอง หรือว่าคิดไกลกว่านั้น หาก ปชป.และ พธม. คิดจะล้มอะไรบางอย่างที่มากกว่า พรบ. ปรองดอง พวกเขาจะต้องมีตัวช่วยสำคัญ คือ ทหาร มีผู้วิเคราะห์ว่า การรัฐประหารโดยทหารเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก ความเป็นไปได้มากสุดคือ การรัฐประหารโดยกฎหมาย วันนี้เราเห็นศาล รธน. เคลื่อนแล้ว ศาล รธน. ได้รับคำร้องเรื่องการแก้ไข รธน ผิด รธน หรือไม่ และให้เลื่อนการแก้ไขออกไปก่อน การรุกกลับของฝ่ายตรงข้าม พท. (ทักษิณ) เกิดขึ้นจากบรรยากาศ 2 ขา ระหว่างเสื้อแดง กับ พท. เดินขัดกัน มีการเคลื่อนไหวในระดับผู้บังคับบัญชากองกำลังของท่าน ทั้งประชุมและการทำ Poll เช็คความรู้สึกของ ปชช ในกรณีในสภา เมื่อบ่ายวันนี้ จตุพร และ นปช. แถลงข่าว ประกาศชัด ทักษิณโดนหักหลัง นปช. ชิงแถลงข่าวผ่านเครือข่ายสื่อของเสื้อแดงทั้งหมด ทั้งทีวีจอแดงและวิทยุชุมชน ย้ำให้เตรียมพร้อมระดับสูงสุด จตุพรบอกว่า มีการเตรียมบ้าน VIP ที่ราบ 11 คาดว่า เหมือนตอนจับพลเอกชาติชาย แต่งานนี้ทหารจะจับนายกฯ หญิงคนแรก รัฐบาลเตรียมความพร้อมโดยการสั่งการในทางลับ ให้เตรียมพื้นที่เชียงใหม่สำหรับทำฐานบัญชาการหากเกิด รปห (ข่าววงใน พท) การ รปห. (รัฐประหาร) จะต้องทำในช่วงที่รัฐบาลมีกระแสตกต่ำ แต่ตอนนี้กระแสตกต่ำคือ ฝ่ายค้าน ตกสุดขีด หากเกิดการรัฐประหาร ความยากที่สุดของคนทำคือ การรับมือกับฝ่ายต่อต้าน ที่ไม่ใช่กองกำลัง แต่่เป็นมวลชน และต้องตอบคำถามสังคมโลก กรอบระยะเวลาของการรัฐประหาร คือ 3 สัปดาห์ หรือ ในเดือน มิ.ย. นี้ ซึ่งต้องขึ้นอยู่ว่ากระแสสูง ตอบรับเพียงใด เมื่อพิจารณาการเคลื่อนไหวต่าง ๆ โดยรวม ก็ทำให้วิเคราะห์ได้ว่า โอกาสที่จะเกิด รปห. มีความเป็นไปได้ พอ ๆ กับจะไม่เกิดขึ้น อำมาตย์เดินเกมพลาด 19 ก.ย. กำจัดทักษิณแต่สร้างขบวนการเสื้อแดงขึ้นมาจนใหญ่โต ยักษ์หลับเอาใส่ตะเกียงลำบากกว่าทักษิณ นอกจากนั้น การรัฐประหาร ยังมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ แรงต้านสำคัญตรงนี้คือ ชนชั้นกลาง หากผลักคนชั้นกลางไปเข้าทางเสื้อแดงจะยิ่งไปกันใหญ่ เศรษฐกิจยึดโยงกับเศรษฐกิจโลก ยิ่งในสภาวะการณ์ที่เศรษฐกิจโลกทดถอย การรัฐประหารยิ่งทำลายตัวเองให้อ่อนแอ ไปกันใหญ่ การแถลงของ นปช. ในฐานะองค์กรนำ จึงยึดเอาหลักป้องกันสูงสุด ส่งสัญญาณไปในระดับหมู่บ้าน ที่ขณะนี้มีเครือข่ายอย่างกว้างขวาง มีความเสี่ยงที่เกี่ยวกับ รปห. อีกอย่างคือ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของฝ่ายทหาร ซึ่งมีกันมาตลอด 5 ปี ในยุคบูรพาพยัคฆ์เรืองอำนาจ การขาดเอกภาพในกองทัพระหว่างบูรพาพยัคฆ์และวงศ์เทวัญ กระหึ่มขึ้นในเหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย. 53 เมื่อเศษระเบิดขว้าง M67 ไปอยู่ในร่างทหาร 2 นาย คนที่จ่อคิว ผบ.ทบ. แทนพลเอกประยุทธ ที่มีผลงานเด่นในช่วย เม.ย. - พ.ค . 53 ก็นั่งรออยู่ แต่อายุราชการพลเอกประยุทธยาวเกิน ปัจจัยเรื่องการรัฐประหารนั้น มีปัจจัยซ้อนกันหลายประเด็น นี่ยังไม่รวมเรื่องจิตนิยมประเภทคำทำนายและการสะเดาะเคราะห์ที่คุยกันหลังไมค์ ต่อไปเป็นการเสนอแนวทางและข้อเสนอต่อสถานการณ์รัฐประหาร คือ เฝ้าระวัง ตื่นตัว สื่อสาร เครือข่าย คิดปฏิบัติการ การเฝ้าระวัง ให้ทำการติดตามการเคลื่อนไหวต่าง ๆ เช่น จากญาติที่เป็นทหาร หรือ สัญญาณใด ๆ ที่เกี่ยวข้อง การตื่นตัว โดยการไม่นิ่งนอนใจต่อสถานการณ์ ให้มีการติตามวิเคราะห์พูดคุยกันอย่างกว้างขวาง กรณีหากเกิดการรัฐประหาร จะเกิดผลดีผลเสียอย่างไร การสื่อสาร ให้ใช้เครือข่ายสื่อสารทุกรูปแบบที่มี หากมีการรัฐประหาร ทำการต่อต้าน ไม่ว่าจะใน Social Network หรือแม้แต่ฝาผนังห้องน้ำ การต่อต้านการรัฐประหารโดยแกนนำทำได้ยาก เพราะถูกไล่ล่า จึงต้องกระบวนการธรรมชาติ จนกว่าจะตั้งหลักได้จึงมีแกนนำ การต่อต้านรัฐประหาร ให้ทำทั้งในมิติทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม เป้าหมายคือ การปฏิเสธและก่อกวนอำนาจรัฐที่ไม่ชอบธรรม การต่อต้านรัฐประหารไม่ควรต้านบนความเสี่ยงด้วยชีวิต ติดคุก ถูกจับ เดี๋ยวก็ปล่อย แต่อย่าไปแลกกับกระสุน ทหารมาให้หลบ แล้วออกมาใหม่เวลาเขาไป พื้นที่การต่อสู้แม้จะกำหนดให้อนุเสาวรีย์ ปชต. เป็นพื้นที่สัญลักษณ์ แต่ในความเป็นจริง คงยากที่จะเข้าไป ณ จุดนั้น ดังนั้นทุกที่ ๆ พอเป็นไปได้ การต่อต้านรัฐประหาร ต้องเข็มข้นต่อเนื่องให้ได้ใน 2 สัปดาห์แรก สื่อทั่วโลกจะจับตาปฏิกริยาของปชช ให้แสดงออกทุกวิถีทาง ทันทีที่การรัฐประหารเกิดขึ้น ให้ทุกคนใช้สัญลักษณ์สีดำ สวมเสื้อดำ ฉีดสเปรย์สีดำตามผนัง เป็นรูปพระอาทิตย์ การต่อต้านรัฐประหารครั้งนี้ ขอให้สายพิราบได้ทำหน้าที่อย่างถึงที่สุด สายเหยี่ยวไม่ควรยุ่ง ให้เป็นการต่อต้านที่ศิวิไลซ์ที่สุด แพ้ก็ไม่เป็นไร การปิดประเทศทำไม่ได้ มีคนบ้าเท่านั้นที่คิด การเลือกตั้งก็ต้องกลับมาโดยเร็ว ถึงวันนั้นจงเลือกพรรคที่มีความกล้าหาญในการต่อสู้จริง ๆ จบ การแถลงข่าว "ต้านรัฐประหาร" ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
คนงาน "มอลลิเก้" บุกกระทรวงจี้รัฐ คุยนายจ้าง อย่าอ้าง "300" ตัดสวัสดิการ Posted: 01 Jun 2012 03:54 AM PDT
(1 มิ.ย.55) คนงานสหภาพแรงงานมอลลิเก้ เข้าพบ สาโรจน์ ศิรวัชรินทร์ ผู้อำนวยการกลุ่มงานประนอมข้อพิพาทแรงงานและข้อขัดแย้ง และ สมภพ มาลีแก้ว นักวิชาการแรงงานชำนาญการพิเศษ สำนักแรงงานสัมพันธ์ เพื่อร้องเรียนปัญหานายจ้างลดสวัสดิการ รวมถึงเปลี่ยนแปลงข้อตกลงสภาพการจ้างโดยพลการ ณัฐปภัสร์ แก้วทอง ประธานสหภาพแรงงานมอลลิเก้เฮลท์แคร์ กล่าวว่า ความเดือดร้อนนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อวันที่ 26 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยนายจ้างทำหนังสือเปลี่ยนแปลงข้อตกลงสภาพการจ้าง ซึ่งมีการลดการจ่ายโบนัสและค่าตัดชิ้นงาน มาให้พนักงานแต่ละคนเซ็น โดยให้เหตุผลว่า นโยบายค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทนั้นทำให้บริษัทต้องมีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 40% จึงต้องลดสวัสดิการคนงานลง อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงข้อตกลงสภาพการจ้างดังกล่าวทำโดยไม่ได้คุยกับสหภาพแรงงานโดยตรง สหภาพฯ จึงได้ทำหนังสือคัดค้านและเจ้าหน้าที่จากสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานสมุทรปราการเข้ามาไกล่เกลี่ย ทำให้บริษัทยกเลิกประกาศดังกล่าวไป แต่ต่อมายังคงมีความพยายามกดดัน ข่มขู่พนักงานเป็นรายบุคคลให้เซ็นยินยอมรับการตัดลดค่าจ้างสวัสดิการ ทั้งยังมีการย้ายพนักงาน 13 คนที่ไม่ยอมเซ็นไปอยู่ในตำแหน่งงานที่ไม่ตรงกับทักษะ ณัฐปภัสร์ กล่าวว่า สหภาพแรงงานฯ จึงเรียกร้องให้รัฐมนตรีกระทรวงแรงงานเร่งพูดคุยกับนายจ้าง เพื่อให้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยหยุดเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้าง หยุดกลั่นแกล้งพนักงานที่ไม่ยอมลงลายมือชื่อด้วยการโยกย้ายให้ไปทำงานในจุดต่างๆ และหยุดสร้างแรงกดดันด้วยวิธีการเรียกเข้าพบ ข่มขู่ คุกคาม เลือกปฏิบัติ "เอกสารของบริษัทได้รายงานว่าในปี 2553 บริษัทมีรายได้จากผลประกอบการทั่วโลก 949 ล้านยูโร จ่ายค่าจ้างให้กับพนักงานทั่วโลกทุกระดับเพียง 156 ล้านยูโร จากพนักงาน 7,000 คน ที่มีอยู่ทั่วโลก" แถลงการณ์ของสหภาพฯ ระบุ เยาวภา ดอนเส จากสหพันธ์แรงงานนานาชาติกิจการเคมีภัณฑ์, พลังงาน, เหมืองแร่, แรงงานทั่วไปในประเทศไทย กล่าวว่า อยากเรียกร้องให้กระทรวงแรงงานคุยกับนายจ้างให้เคารพกฎหมายไทย พร้อมชี้ว่า มอลลิเก้เป็นบริษัทอันดับ 5 ของโลกในกิจการเสื้อผ้าห้องผ่าตัด และมีโรงงานผลิตใน 9 ประเทศทั่วโลก ได้แก่ เบลเยี่ยม สาธารณรัฐเช็ค โปแลนด์ ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส มาเลเซีย อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา ซึ่งล้วนแต่มีค่าจ้างสูงกว่าประเทศไทยทั้งสิ้น นอกจากนี้ อยากเรียกร้องให้หยุดกดดันคนงานด้วย เพราะที่ผ่านมา มีการกดดันโดยย้ายงาน อาทิ จากแผนกบรรจุหีบห่อไปทำแผนกซ่อมบำรุง ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายจากการทำงานได้ หลังรับฟังปัญหา สาโรจน์ ศิรวัชรินทร์ ผู้อำนวยการกลุ่มงานประนอมข้อพิพาทแรงงานและข้อขัดแย้ง สำนักแรงงานสัมพันธ์ กล่าวว่า เรื่องที่ได้รับรู้มาตรงกับที่คนงานเล่า โดยผลจากนโยบายค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทนี้ ไม่ได้เกิดเฉพาะกับกรณีมอลลิเก้เท่านั้น หลายบริษัทนายจ้างก็มองว่าเป็นการเพิ่มต้นทุนเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมาย ถูกก็คือถูก ผิดก็คือผิด จากนี้จะสรุปปัญหากับเจ้าหน้าที่แรงงานจังหวัดและคุยกับนายจ้าง ก่อนหน้านี้ เวลา 9.00น. คนงานจากสหภาพแรงงานมอลลิเก้กว่า 30 คนได้เดินขึ้นอาคารกระทรวงแรงงานไปจนถึงชั้น 6 ซึ่งเป็นที่ทำการสำนักรัฐมนตรี เพื่อขอพบนายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงานได้เจรจาให้หยุดการใช้เสียง โดยอ้างว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่หวงห้าม ต่อมา 10.55 น. ทางสหภาพตัดสินใจส่งตัวแทนเข้าร้องเรียนกับเจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงานที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทมอลลิเก้ เฮลท์ แคร์ (ประเทศไทย) จำกัด ทำการผลิตเสื้อคลุมแพทย์ผ่าตัด ผ้าคลุมผ่าตัด แขนเสื้อชนิดพิเศษ กางเกงชุดผ่าตัด มีพนักงานประจำราว 1,500 คน เป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน 600 คน ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ถอดคำตอบจากคำพิพากษาว่าด้วย‘ตัวกลาง’ กับ ‘ความมั่นคง’ บันทึกคดีฉบับ ilaw Posted: 01 Jun 2012 03:39 AM PDT ที่มา: http://freedom.ilaw.or.th/th/case/112 30 พฤษภาคม 2555
ศาลนัดอ่านคำพิพากษาคดีผู้ให้บริการเว็บบอร์ดประชาไท เวลาประมาณ 9.45 น. จำเลย ทนายความ และผู้สังเกตการณ์คดีทุกคนจึงเดินไปยังห้องพิจารณาคดี 704 ภายในห้องพิจารณาคดีมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคอยดูแลอยู่ทั้งภายในและ ภายนอกห้อง 4-5 คน เจ้าหน้าที่ศาลเดินตรวจผู้เข้าร่วมสังเกตการณ์พร้อมประกาศว่า ให้ผู้ที่พับแขนเสื้อปลดแขนเสื้อออก ให้ปิดโทรศัพท์มือถือ และห้ามมิให้นั่งไขว่ห้าง ผู้พิพากษากำพล รุ่งรัตน์ พร้อมด้วยผู้พิพากษานิตยา แย้มศรีขึ้นบัลลังก์เมื่อเวลา 10.11 น. ฝ่ายโจทก์และอัยการไม่ได้มาศาล ศาลเริ่มอ่านคำพิพากษาผ่านเครื่องขยายเสียง ระบุว่า คดีดังกล่าวโจทก์ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นผู้ดูแลเว็บไซต์ หรือ “เว็บมาสเตอร์” ประชาไท จงใจสนับสนุนหรือยินยอมให้มีข้อความที่มีเนื้อหาดูหมิ่นกษัตริย์ ราชินี และรัชทายาท อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร จำนวน 10 กระทู้ (ในที่นี้ จะอ้างถึงสิบกระทู้ดังกล่าว โดยใช้คำว่า เอกสารหมาย จ.23-32) จำเลยให้การปฏิเสธ รายละเอียดคำพิพากษาสรุปได้ในประเด็นต่างๆ ดังนี้ กระทู้ทั้งสิบกระทู้ อยู่ในเว็บบอร์ดประชาไทจริงหรือไม่ นอกจากนี้ จำเลยยังเคยเป็นพยานในคดีเบนโตะ (หมายเหตุ - คดีเบนโตะเป็นอีกคดีหนึ่งในเว็บบอร์ดประชาไทที่มีสมาชิกถูกฟ้อง ซึ่งกระทู้ดังกล่าวก็ปรากฏเป็นเอกสารหมาย จ.32 ที่ฟ้องจีรนุชในฐานะผู้ให้บริการด้วย) จำเลยได้ไปให้การเป็นพยานในคดีดังกล่าวในฐานะผู้ให้บริการและยอมรับว่ามี กระทู้ดังกล่าวอยู่ในเว็บไซต์ประชาไทจริง และศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าเนื้อหาทั้งสิบกระทู้เป็นไปในทำนองดูหมิ่นกษัตริย์ ราชินี และรัชทายาท เข้าข่ายการกระทำความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ จำเลยเป็นผู้โพสต์ข้อความเหล่านั้นหรือไม่ จำเลยเป็นผู้ให้บริการตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 15 หรือไม่ ความรับผิดชอบของตัวกลาง: การประสานระหว่างกระทรวงไอซีทีและผู้ดูแลเว็บ ข้อมูลจากพยานโจทก์จากกระทรวงไอซีทีซึ่งเป็นผู้ยื่นคำร้องต่อศาลให้ระงับการ เข้าถึงยูอาร์แอลดังกล่าวนั้น ก็พบว่าเป็นการยื่นคำร้องหลังจากที่มีผู้ลบกระทู้ตามหมาย จ. 23-31 ออกจากเว็บบอร์ดประชาไทแล้ว ทำให้เมื่อกระทรวงไอซีทีแจ้งให้ประชาไทปิดกั้นข้อมูลเหล่านั้น ประชาไทก็ไม่อาจดำเนินการปิดกั้นข้อมูลดังกล่าวได้อีก ความรับผิดชอบตัวกลาง: กรณีพยานแวดล้อมส่อเจตนา ความรับผิดชอบตัวกลาง: ภาระและต้นทุนของตัวกลาง หากปริมาณกระทู้มีมากจนเกินความสามารถของจำเลย ก็เป็นหน้าที่ของจำเลยในฐานะผู้อำนวยการ ที่จะจัดหาลูกจ้างเพื่อดำเนินการตามภาระหน้าที่ที่จำเลยรับผิดชอบ ที่จำเลยนำสืบว่า หลังรัฐประหารมีผู้แสดงความเห็นในเว็บบอร์ดประชาไทมากขึ้น และเพิ่มมาตรการในการดูแลมากขึ้นโดยกำหนดให้ผู้ที่จะเข้าไปโพสต์ข้อความได้ จะต้องเป็นสมาชิกก่อน และเพิ่มการตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่ของประชาไท และหากพบข้อความที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย ก็จะนำข้อความดังกล่าวออก มีวิธีให้แจ้งลบข้อความ และเพิ่มมาตรการให้อาสาสมัครที่เป็นสมาชิกเว็บบอร์ดประชาไทตรวจสอบเว็บไซต์ ประชาไท ซึ่งหากพบข้อความที่ไม่เหมาะสมก็สามารถเอาข้อมูลออกได้โดยไม่ต้องรับอนุญาต จากใครก่อนนั้น กรณีดังกล่าวก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของการทำหน้าที่ของจำเลยในฐานะผู้ให้บริการ อินเทอร์เน็ต แต่ก็ยังไม่เพียงพอ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ของประชาไท อาสาสมัคร และสมาชิก ที่จำเลยมอบหมายให้ทำหน้าที่เข้าไปตรวจสอบข้อมูลที่นำเข้าในเว็บไซต์ประชาไท ดังกล่าว ไม่มีหน้าที่และความรับผิดชอบตามกฎหมายกำหนด ทั้งไม่มีหน้าที่ผูกพันกับจำเลยไม่ว่าเป็นไปตามสัญญาหรือนิติกรรมอื่นๆ จึงอาจปล่อยปละละเลยหรือเพิกเฉยไม่ดำเนินการตรวจสอบตามที่ได้รับมอบหมายไว้ ดังนั้น ภาระหน้าที่ของจำเลยในการควบคุมดูแลมิให้มีการกระทำความผิดในฐานะผู้ให้ บริการมีอยู่เช่นใดก็ยังคงมีอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนที่ว่า เว็บไซต์ประชาไทดำเนินงานภายใต้มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน จุดประสงค์เพื่อนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง ที่เน้นเรื่องสิทธิมนุษยชนและส่งเสริมประชาธิปไตยนั้น ศาลก็ยอมรับว่า สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของพลเมืองซึ่งให้การ รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เพราะเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงธรรมาภิบาลและความ เป็นประชาธิปไตยของประเทศ หรือองค์กรนั้นๆ การวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชนทั้งด้านบวกและด้านลบแล้ว ย่อมเป็นโอกาสในการนำไปปรับปรุงประเทศ องค์กร และตนเองให้ดียิ่งๆขึ้น แต่เมื่อจำเลยเปิดช่องทางให้มีการแสดงความคิดเห็นในระบบคอมพิวเตอร์ที่จำเลย เป็นผู้ให้บริการและอยู่ในความดูแลของจำเลย จำเลยย่อมมีหน้าที่ในการตรวจสอบข้อคิดเห็นหรือข้อมูลที่อาจกระทบกระเทือนถึง ความมั่นคงของประเทศ รวมทั้งสิทธิเสรีภาพของผู้อื่นที่ต้องเคารพเช่นกัน เมื่อปรากฏว่าจำเลยยินยอมให้มีการนำข้อคิดเห็นหรือข้อมูล ตามที่ปรากฏอยู่ในเอกสารหมาย จ.32 ลงในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของจำเลยดังที่วินิจฉัยมาข้างต้น จำเลยจึงมิอาจอ้างถึงสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นดังกล่าวเพื่อให้ หลุดพ้นจากความรับผิดได้ ความรับผิดชอบตัวกลาง: ระยะเวลาเป็นตัวกำหนดความรับผิด ทั้งนี้ ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 15 ก็มิได้บัญญัติไว้ชัดแจ้งเกี่ยวกับระยะเวลาว่าควรมีระยะเวลาเท่าใดจึงจะถือ ว่าผู้ให้บริการยินยอมให้มีการกระทำความผิดในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความ ควบคุมของตน นอกจากนี้ กฎหมายก็ไม่ได้กำหนดระยะเวลาในการแจ้งเตือนให้ผู้ดูแลเว็บไซต์ดำเนินการ แก้ไขกรณีที่มีการนำข้อความที่ไม่เหมาะสมเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ตของผู้ให้ บริการ เพื่อให้ผู้ให้บริการดำเนินการปรับปรุงแก้ไขข้อมูลที่ไม่เหมาะสมที่ผู้ใช้ บริการโพสต์ กรณีจะถือว่า ผู้ให้บริการยินยอมให้มีการกระทำความผิดตามมาตรา 14 ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของตนและต้องรับผิดโดยทันทีหลังจากมี การนำเข้าข้อความที่ไม่เหมาะสมสู่ระบบอินเทอร์เน็ตของตัวกลางนั้น นับว่าไม่เป็นธรรมแก่ผู้ให้บริการในฐานะตัวกลาง แต่ผู้ให้บริการเองจะอ้างว่าไม่ทราบถึงการกระทำความผิด โดยมิได้คำนึงถึงภาระหน้าที่และความรับผิดชอบในฐานะผู้ดูแลเว็บไซต์หรือเว็บ มาสเตอร์เพื่อให้หลุดพ้นจากความผิดดังกล่าว และทำให้กฎหมายไม่มีสภาพบังคับนั้น ย่อมไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย เมื่อพิจารณาจากจำนวนกระทู้และความเห็นที่แลกเปลี่ยนในแต่ละวัน กับภาระหน้าที่ในการตรวจสอบตามที่วินิจฉัยมา น่าเชื่อว่า หลังจากมีการกระทำความผิดตามมาตรา 14 ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของจำเลยแล้ว หากจำเลยใส่ใจดูแลและตรวจสอบตามหน้าที่และความรับผิดชอบของจำเลยแล้ว ควรจะใช้เวลาในการตรวจสอบข้อความภายในระยะเวลาอันสมควร ตามที่อาจพึงคาดหมายได้ว่าจำเลยรู้อยู่ว่ามีการนำข้อมูลเข้าสู่ระบบ คอมพิวเตอร์โดยผิดต่อกฎหมาย เพราะมิฉะนั้นแล้ว หากปล่อยเวลาให้เนิ่นนานไปกว่านี้อาจมีการนำข้อมูลที่มีลักษณะไม่เหมาะสม เผยแพร่ต่อไปไม่จบสิ้นจนก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เกี่ยวข้อง รวมทั้งก่อให้เกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศ เมื่อปรากฏว่า เอกสารตาม จ.23-31 อยู่บนเว็บบอร์ดเป็นเวลา 11,1,3,2,2,1,3,2 และ 1 วัน ตามลำดับ ซึ่งอยู่ในกรอบเวลาอันควรในการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยในฐานะเป็นผู้ควบคุม องค์กร จึงไม่อาจฟังได้ว่า จำเลยได้ล่วงรู้ถึงการนำเข้าสู่ข้อมูลคอมพิวเตอร์ตามหมาย จ.23-31 อันจะถือว่าเป็นการยินยอมให้มีการกระทำความผิด ส่วนบันทึกตามเอกสารหมายจ.32 นั้นเห็นว่า ปรากฏอยู่ในเว็บบอร์ดซึ่งอยู่ในความควบคุมของจำเลยเป็นเวลานานถึง 20 วัน ซึ่งเกินเวลาอันควรที่จำเลยจะตรวจสอบพบ ตลอดจนนำข้อมูลดังกล่าวออกจากระบบคอมพิวเตอร์ของจำเลย จึงเป็นการงดเว้นไม่ปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยในเวลาอันสมควร ซึ่งหากจำเลยทำหน้าที่ควบคุมดูแลกระทู้ต่างๆ เชื่อว่าจำเลยควรตรวจสอบกระทู้ตามเอกสารหมาย จ.32 ดังจะเห็นได้จากที่จำเลยนำสืบว่าเมื่อวันที่ 3 พ.ย. 2551 จำเลยได้รับหมายเรียกให้ไปให้ปากคำกระทู้ที่โพสต์โดยเบนโตะ ซึ่งกระทู้ดังกล่าวเป็นกระทู้ตามเอกสารหมายจ. 32 เมื่อจำเลยได้รับหมายเรียกจึงนำข้อมูลไปตรวจสอบในเว็บบอร์ดประชาไทพบว่ามี กระทู้ดังกล่าวจริงจึงปิดกั้นข้อมูลดังกล่าวโดยทันที ซึ่งย่อมแสดงอยู่ในตัวว่า หากจำเลยทำหน้าที่ตรวจสอบในเว็บบอร์ดตามหน้าที่ที่รับผิดชอบ ก็สามารถพบเห็นกระทู้ที่มีลักษณะไม่ประสงค์ได้โดยไม่ยาก แต่จำเลยกลับปล่อยให้กระทู้ดังกล่าวอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์นานถึง 20 วัน และหากว่าจำเลยไม่ได้รับหมายเรียกให้ไปให้ปากคำดังกล่าวก็ไม่แน่ว่า กระทู้ดังกล่าวตามหมายจ. 32 จะคงอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ไปอีกนานเพียงใด กรณีย่อมถือได้ว่าจำเลยให้ความยินยอมโดยปริยายในการนำเข้าข้อมูลตามเอกสาร หมายจ. 32 เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ เมื่อข้อมูลดังกล่าวมีลักษณะที่เป็นความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14(3) จำเลยในฐานะผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตย่อมมีฐานะเป็นผู้กระทำความผิด ส่วนที่จำเลยนำสืบว่า หลังจากได้รับแจ้งข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ จำเลยตรวจสอบข้อมูลจากเว็บบอร์ดและปิดกั้นข้อมูลจากเอกสารหมายจ.32 โดยทันทีนั้น ก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากมีการกระทำความผิด และไม่อาจทำให้จำเลยหลุดพ้นจากความรับผิดได้ ศาลอ่านคำพิพากษาเสร็จสิ้นเมื่อเวลาราว 10.45 น. พร้อมประกาศว่าคดีดังกล่าวมีคำพิพากษาฉบับย่อเผยแพร่
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
รวมปฏิกิริยา-ข้อเรียกร้องจากนานาชาติหลังกรณีการตัดสิน 'จีรนุช' Posted: 01 Jun 2012 03:37 AM PDT หลังจากการตัดสินคดีพ.ร.บ. คอมพ์ของผอ. เว็บไซต์ประชาไท มีปฏิกิริยาจากองค์กรสิทธิมนุษยชนหลายแห่งรวมถึงนานาชาติอย่างอียู โดยนอกจากจะประณามผลการตัดสินของศาลแล้ว ยังเรียกร้องให้มีการแก้ไขพ.ร.บ.คอมพ์ด้วย สืบเนื่องจากการตัดสินคดีของจีรนุช เปรมชัยพรเมื่อวันพุธที่ผ่านมา (30 พ.ค. 55) ในมาตรา 14 และ 15 ของพ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำผิดทางคอมพิวเตอร์ ที่ศาลพิพากษาจำคุก 1 ปี ปรับ 30,000 บาท แต่จำเลยให้การเป็นประโยชน์ จึงลดโทษจำเลย 1 ใน 3 เหลือจำคุก 8 เดือน ปรับ 20,000 บาท และจำเลยไม่เคยกระทำความผิดให้รอลงอาญา 1 ปีนั้น คำตัดสินดังกล่าว นำมาซึ่งปฏิกิริยาจากองค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ เช่น Freedom House, Human Rights Watch, International Commission of Jurists และ Asian Human Rights Commission ที่ออกแถลงการณ์ต่อกรณีคำพิพากษาดังกล่าวทันที โดยส่วนใหญ่มีจุดยืนแสดงความกังวล ซึ่งจะส่งผลให้เกิดบรรยากาศของความกลัวในสังคมไทย โดยเฉพาะในหมู่ผู้ประกอบการด้านอินเทอร์เน็ตในเศรษฐกิจข้อมูลข่าวสารของไทย นอกจากนี้ องค์กรสิทธิบางแห่งยังเรียกร้องให้รัฐบาลไทยแก้ไขพ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ด้วย องค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน ระบุว่าพ.ร.บ. คอมพิวเตอร์มีบทลงโทษที่ไม่สมเหตุผลเช่นเดียวกับกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ "บทลงโทษดังกล่าวเสมือนเป็นการข่มขู่ต่อผู้ที่โฮสต์และประกอบการอินเทอร์เน็ตในประเทศไทย เพราะพวกเขาอยู่ภายใต้กฎหมายนี้ ซึ่งอาจจะนำไปตีความในทางที่ไม่สมเหตุผล" นอกจากนี้ ยังเรียกร้องให้รัฐบาลไทยยกเลิกข้อกล่าวหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพต่อผู้สื่อข่าวอาวุโสนสพ. เดอะ เนชั่น ประวิตร โรจนพฤกษ์ด้วย ศูนย์เพื่อส่งเสริมประชาธิปไตยและเทคโนโลยี ที่ตั้งอยู่ในกรุงวอชิงตัน ดีซี สหรัฐอเมริกา ชี้ว่า การตัดสินลงโทษจีรนุชนับว่าเป็นการส่งสัญญาณที่น่าสะพรึงกลัวต่อตัวกลางอินเทอร์เน็ตในประเทศไทยว่า ต่อไปนี้คุณจะต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ผู้ใช้ของคุณกระทำ โดยซินเธีย วอง ผู้อำนวยการโครงการเสรีภาพอินเทอร์เน็ตสากล กล่าวว่า "การลงโทษเว็บมาสเตอร์เพียงเพราะเนื้อหาจากผู้ใช้ ไม่เพียงแต่ไม่เป็นธรรมเท่านั้น เนื่องจากเธอเป็นเพียงผู้ส่งสาร แต่ยังเป็นการข่มขู่การแสดงออกของผู้ใช้ เพราะมันจะทำให้เว็บไซต์อื่นๆ ต้องรีบเอาโพสต์ของผู้ใช้ลงถ้ามันมีโอกาสละเมิดกฎหมาย หรืออาจจะไม่เปิดให้มีส่วนการแสดงออกของผู้ใช้เลยก็ได้" พันธมิตรสื่อในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลไทยแก้ไขมาตรา 15 ในพ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ เพื่อคุ้มครองตัวกลางอินเทอร์เน็ตว่า พวกเขาจะได้รับการปฏิบัติอย่างมีเหตุมีผล และให้มีการระบุแนวทางการใช้กฎหมายให้ชัดเจนด้วย ฟรีดอมเฮาส์ องค์กรจัดลำดับเสรีภาพสื่อในโลก ตั้งอยู่ที่สหรัฐอเมริกาชี้ว่า การตัดสินคดีของจีรนุชแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลไทยไม่ให้คุณค่าของการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออกของพลเมือง และระบุว่า ประเทศไทยต้องทำให้การหมิ่นประมาททั้งออนไลน์และออฟไลน์ไม่เป็นอาชญากรรม เพื่อให้สอดคล้องกับกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ที่ประเทศไทยได้ลงนามไว้เมื่อปี 2539 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนเอเชีย เรียกร้องให้รัฐบาลไทยอธิบายเหตุผลของคำพิพากษาดังกล่าว ที่ทำให้สิทธิเสรีภาพการแสดงออกลดลงเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่ไทยเป็นสมาชิกในกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ที่คุ้มครองการแสดงความคิดเห็นของพลเมืองโดยไม่มีการแทรกแซงหากไม่จำเป็น (อ่านแถลงการณ์ฉบับเต็มได้ที่ ประเทศไทย: คำพิพากษาที่สำคัญอย่างยิ่งในคดีที่เกี่ยวกับเสรีภาพในการแสดงออก) องค์กรคุ้มครองสิทธินักสิทธิมนุษยชน Front Line Defenders ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงดับลิน ประเทศไอร์แลนด์ แสดงความยินดีที่จีรนุชไม่ต้องถูกจำคุก แต่ก็แสดงความกังวลถึงการใช้พ.ร.บ. คอมพ์และกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่จะถูกนำไปใช้ปิดปากนักกิจกรรม นักข่าว และนักสิทธิมนุษยชน คณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล แสดงความหวังว่า ศาลอุทธรณ์ของไทย จะตระหนักถึงข้อปัญหาทางกฎหมายของพ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ที่ไม่สอดคล้องต่อหลักสิทธิมนุษยชน และแก้ไขให้ถูกต้องได้ในอนาคต ด้านตัวแทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย ได้แสดงความกังวลอย่างมากต่อผลการตัดสิน ที่เอาผิดตัวกลางในอินเทอร์เน็ต ซึ่งจะส่งผลต่อเสรีภาพในการแสดงออกในประเทศไทย
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
เฟซบุ๊กมีปัญหา ผู้ใช้บริการอาจเข้าไม่ถึงแอคเคาท์ราว 2 ชม. Posted: 01 Jun 2012 03:23 AM PDT 1 มิ.ย. 2555 บีบีซีรายงานเมื่อเวลา 9.12 ของประเทศอังกฤษ (หรือ 15.12 น. ของประเทศไทย) เฟซบุ๊กกำลังเผชิญปัญหาทำให้ผู้ใช้บริการจำนวนมากเข้าไม่ถึงเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยปัญหาดังกล่าวทำให้ผู้ใช้หลายรายไม่สามารถเข้าถึงได้ราว 2 ชม. โดยผู้ใช้เฟซบุ๊กจำนวนมากกล่าวถึงปัญหาของการเข้าหน้าเฟซบุ๊กซึ่งต้องใช้เวลานานมากในการโหลดหน้าเว็บ ทั้งนี้ บีบีซีรายงานว่าเฟซบุ๊กได้ขออภัยและดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวแล้ว อย่างไรก็ตาม บีบีซีรายงานว่ามีความเห็นในเชิงลบต่อปัญหาทางเทคนิคที่เกิดขึ้น ผ่านทวิตเตอร์ เว็บข่าวและเว็บบล็อก โดยผู้ใช้ทวิตเตอร์รายหนึ่งกล่าวว่า “เฟซบุ๊กกำลังทำตัวเหมือนราคาหุ้นของตัวเอง คือกำลังดิ่งลง” ทั้งนี้ หลังจากเฟซบุ๊กเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แนสแด็กในวันที่ 18 พ.ค. ที่ผ่านมา ราคาหุ้นก็ร่วงลงมาเรื่อยๆ จนถึงล่าสุดนี้ร่วงลงเกือบ 23% นับจากวันเปิดตัว
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
Posted: 01 Jun 2012 03:23 AM PDT ผู้นำมาเลย์ ประกาศปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเดือนละ 9,000-8,000 / สหภาพแรงงานนิวซีแลนด์เรียกร้องขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ / กาตาร์จะอนุญาตให้ตั้งสหภาพแรงงาน / แพทย์ศรีลังกาผละงานประท้วง ขอเพิ่มค่าครองชีพ / แรงงานธุรกิจท่องเที่ยวกรีซประท้วงแผนลดค่าจ้าง ผู้นำมาเลย์ ประกาศปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเดือนละ 9,000-8,000 1 พ.ค. 55 - มาเลเซียประกาศเตรียมนำนโยบายค่าแรงขั้นต่ำมาใช้เป็นครั้งแรก ทั้งนี้เพื่อเป็นการสนับสนุนครัวเรือนที่มรีายได้น้อยและท่ามกลางการคาดหมายว่ารัฐบาลอาจเลื่อนให้มีการเลือกตั้งเร็วขึ้น ทั้งนี้ แรงงานในภาคเอกชนในมาเลเซีย เฉพาะในรัฐที่ตั้งอยู่บนคาบสมุทรมาลายูจะได้รับรายได้ขั้นต่ำ 900 ริงกิตต่อเดือน (ประมาณ 9,000 บาท) ขณะที่แรงงานในรัฐซาราวักและซาบาห์ จะได้รับรายได้ต่อเดือน 800 ริงกิต (8,000 บาท) ซึ่งเชื่อว่าจะมีแรงงานกว่า 3.2 ล้านคน ที่ได้รับประโยชน์ โดยปัจจุบันค่าแรงขั้นต่ำในมาเลเซีย อยู่ที่เดือนละ 760 ริงกิต ซึ่งเป็นตัวแทนของผู้มีรายได้น้อยในมาเลเซีย และเป็นค่าแรงที่ได้จากภาคการผลิต โดยมาเลเซีย ซึ่งเป็นชาติที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งเป้าหมายว่าจะมีสถานะเป็นชาติร่ำรวยภายในปี 2020 เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของจีน ที่เป็นศูนย์กลางการผลิตของโลก ที่เตรียมปรับค่าแรงขั้นต่ำขึ้นอย่างน้อย 13 เปอร์เซ็นต์ ภายใน 5 ปี เนื่องในโอกาสวันแรงงานสากล นายนาจิบ ราซัก นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ได้ประกาศนโยบายเอาใจผู้ใช้แรงงานและกลุ่มผู้มีรายได้น้อยในประเทศ คือการกำหนดอัตราค่าแรงขั้นต่ำขึ้นเป็นครั้งแรกในมาเลเซีย โนายนาจิบย้ำว่านโยบายดังกล่าวถือเป็นก้าวสำคัญในประวัติศาสตร์มาเลเซีย โดยการประกันรายได้ขั้นต่ำจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และสามารถรองรับค่าครองชีพที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศได้ ถึงแม้ว่าการกำหนดอัตราค่าแรงขั้นต่ำดังกล่าวจะเป็นข่าวดีสำหรับประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศ แต่นักวิเคราะห์กล่าวว่า ค่าแรงที่สูงขึ้นอย่างมากนี้ อาจกลายเป็นภาระหนักสำหรับภาคธุรกิจ โดยเฉพาะบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก ซึ่งต้องแบกรับค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น นอกจากนี้ ค่าแรงจำนวนประมาณ 30 ริงกิต หรือ 300 บาทต่อวัน ซึ่งบังคับใช้ในซาราวักและซาบาห์นั้น ยังเป็นค่าแรงที่แพงเกินจริงและไม่สอดคล้องกับรายจ่ายสำหรับประชาชนในชนบทอีกด้วย นอกจากนี้ หลายฝ่ายยังมองว่า การออกนโยบายเอาใจแรงงานในครั้งนี้ เป็นการหาเสียงล่วงหน้าของรัฐบาล ซึ่งกำลังอยู่ในภาวะตกต่ำอย่างหนัก ทั้งจากปัญหากรณีอื้อฉาวการทุจริตคอรัปชั่นของบุคคลในรัฐบาล ทั้งนี้ รัฐบาลซึ่งมีกำหนดการเลือกตั้งทั่วไปกระทั่งเดือนมีนาคมปีหน้า เชื่อว่าอาจเลื่อนการเลือตั้งให้เร็วขึ้น ภายในอีก 2-3 เดือนข้างหน้านี้ ซึ่งปัจจัยหนึ่งในนั้นคือการประท้วงของกลุ่มเบอร์ซิห์ 3.0 เมื่อวันที่ 28 เม.ย.ที่ผ่านมา ที่ต้องการเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งที่เป็นอิสระและยุติธรรม สหภาพแรงงานนิวซีแลนด์เรียกร้องขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 1 พ.ค. 55 - เวลลิงตัน 1 พ.ค.- สหภาพแรงงานในนิวซีแลนด์เรียกร้องโดยอ้างสถิติของทางการว่า ควรปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ เพื่อไม่ให้คนกลุ่มนี้กลายเป็นคนยากจน นายจอห์น รีออล เลขาธิการสหภาพแรงงานด้านบริการและอาหารแห่งชาติกล่าวว่า ค่าแรงที่เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยยังไม่มากพอที่จะช่วยเหลือแรงงานค่าแรงขั้นต่ำจำนวนมากที่มีชีวิตยากลำบาก ขณะที่นายจ้างภาครัฐและภาคเอกชนกลับมีเงินเดือนเพิ่มขึ้นอย่างน่าพอใจ และคนรวยที่สุดในประเทศ 150 คน มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 20 นายรีออลอ้างสถิติของทางการนิวซีแลนด์ที่ว่า แรงงานได้รับค่าจ้างเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 2 ในปีการเงินสิ้นสุดเดือนมีนาคม ดัชนีค่าใช้จ่ายแรงงานระบุว่า อัตราเงินเดือนและค่าจ้างในภาคเอกชนเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.1 สูงที่สุดในรอบ 3 ปี ส่วนภาครัฐเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.6 แต่เมื่อรวมทั้งลูกจ้างและนายจ้างในภาครัฐและภาคเอกชนพบว่า ค่าแรงปีการเงินสิ้นสุดเดือนมีนาคมเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 3.8 สูงที่สุดนับตั้งแต่ปีการเงินสิ้นสุดเดือนมีนาคม 2553 ที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 3.9 กาตาร์จะอนุญาตให้ตั้งสหภาพแรงงาน โดฮา 1 พ.ค.- กระทรวงแรงงานกาตาร์เผยว่า จะอนุญาตให้ตั้งสหภาพแรงงานเพื่อปกป้องสิทธิแรงงาน และจะยกเลิกระบบอุปถัมภ์สำหรับแรงงานต่างชาติ นายฮุสเซน อัล มุลลา ปลัดกระทรวงแรงงานเผยกับหนังสือพิมพ์อะลาหรับว่า สหภาพแรงงานซึ่งจะเป็นอิสระจากกระทรวงแรงงานจะบริหารงานโดยชาวกาตาร์ ทำหน้าที่รับเรื่องร้องเรียนของแรงงานและคุ้มครองสิทธิแรงงาน ส่วนแรงงานชาวต่างชาติมีสิทธิลงคะแนนในสหภาพแรงงาน แต่ไม่สามารถดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการบริหาร โครงการตั้งสหภาพแรงงานนี้อยู่ระหว่างรอการอนุมัติจากเจ้าผู้ครองรัฐกาตาร์ นอกจากนี้ทางการยังจะยกเลิกระบบอุปถัมภ์สำหรับแรงงานต่างชาติที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก เพราะกำหนดให้แรงงานต่างชาติทุกคนต้องมีนายจ้างท้องถิ่นอุปถัมภ์ ส่งผลให้ถูกนายจ้างควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จ แรงงานต่างชาติบางรายถูกยึดหนังสือเดินทางและไม่ให้เปลี่ยนงาน ทางการจะแทนที่ระบบนี้ด้วยสัญญาจ้างงานระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างในระหว่างที่กำลังทยอยเพิ่มการจ้างงาน 1 ล้านคนเพื่อเตรียมรับการเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกปี 2022 ปัจจุบันกาตาร์มีประชากร 1.5 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นชาวกาตาร์ไม่ถึง 300,000 คน อินเดีย..นักบินนัดหยุดงานประท้วง 9 พ.ค. 55 - สายการบินแห่งชาติ แอร์ อินเดีย ของอินเดีย ต้องยกเลิกเที่ยวบินนานาชาติ 4 เที่ยวเมื่อวานนี้ หลังนักบินประมาณ 150 คน พากันผละงานประท้วงต่อต้านผู้บริหารที่ไม่ยอมจ่ายเงินเดือนที่ยังค้างจ่าย และสภาพการทำงานที่ย่ำแย่ เจ้าหน้าที่ของแอร์อินเดีย เปิดเผยว่า สายการบินได้ไล่นักบิน 10 คนออก และสั่งให้นักบินที่ประท้วงด้วยการนัดหยุดงานกลับมาทำงานภายในเย็นวานนี้ การนัดหยุดงานอาจสร้างความเสียหายหนักให้กับปฏิบัติการบินระหว่างประเทศของแอร์อินเดีย ช่วงก่อนหน้าฤดูวันหยุดสูงสุดของอินเดีย แอร์อินเดียที่เลื่องชื่อเรื่องขาดประสิทธิภาพ มีนักบินทั้งสิ้นประมาณ 1,500 คน ในแต่ละวัน แอร์อินเดียจะให้บริการเที่ยวบินระหว่างประเทศ 50 เที่ยว และเที่ยวบินภายในประเทศ 400 เที่ยว รัฐบาลอินเดียเพิ่งจะประกาศว่าจะให้เงินกู้เพื่อการฟื้นฟูมูลค่า 6,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯกับแอร์อินเดียที่มีปัญหา โดยเงินจำนวนนี้มีกำหนดจะถูกอัดฉีดเข้าไปในสายการบินตลอดช่วง 8 ปีข้างหน้า ปัจจุบันแอร์อินเดียขาดทุนปีละประมาณ 1,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ขณะที่บริษัทต้องต่อสู้กับมรดกของการควบรวมกิจการที่บริหารไม่ดีในปี 2550 ค่าใช้จ่ายด้านหนี้สิน และจำนวนบุคลากรที่มากเกินไป นักบินกำลังเจรจาขอเงินเดือนเพิ่ม และการส่งเสริมงาน แต่การเจรจาล้มเหลว ทำให้นักบินประมาณ 150 คน พร้อมใจกันลาป่วย แอร์อินเดียประกาศว่า กำลังจัดการให้ผู้โดยสารเดินทางไปกับเที่ยวบินของสายการบินอื่น แพทย์ศรีลังกาผละงานประท้วง ขอเพิ่มค่าครองชีพ 11 พ.ค. 55 - แพทย์ในศรีลังกาพากันผละงานประท้วง เพื่อเรียกร้องขอขึ้นค่าครองชีพรายเดือน ส่งผลให้การรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลรัฐหลายแห่งล่าช้า แพทยสมาคมแห่งศรีลังกาแถลงว่า แพทย์ตัดสินใจผละงานประท้วงในวันนี้ เนื่องจากรัฐบาลไม่ทำตามคำสัญญาว่าจะเพิ่มเงินตอบแทนพิเศษ ค่าล่วงเวลา และค่าเดินทางให้กับแพทย์ หลังเคยรับปากไว้เมื่อปี 2551 ว่า จะขึ้นค่าครองชีพให้จาก 15,000 รูปี (3600 บาท) เป็น 29,000 รูปี (6,900 บาท) ขณะที่คนไข้ซึ่งเดินทางมารักษายังโรงพยาบาลรัฐในศรีลังกาต่างประสบปัญหาในการบริการ ส่วนโรงพยาบาลเอกชนเปิดดำเนินการตามปกติ คนงานกัมพูชากว่า 40,000 กำลังทำงานอยู่ในมาเลเซีย 12 พ.ค. 55 - ปัจจุบันมีคนงานหญิงชาวเขมรกำลังทำงานบ้านอยู่ในมาเลเซียถึง 30,000 คน กับอีกกว่า 10,000 คนกำลังทำงานรับจ้างในแขนงอื่นๆ ทั้งหมดเป็นคนวานที่เดินทางไปทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย สำนักข่าวกัมพูชารายงานโดยอ้างตัวเลขอย่างเป็นทางการจากบริษัทจัดส่งคนงานไปทำงานในต่างประเทศ ทั้งนี้ยังไม่รวมคนงานที่ลักลอบไปทำงานอย่างผิดกฎหมาย ที่คาดว่าจะมีจำนวนมากไม่แพ้กัน ชาวกัมพูชายังคงออกจากประเทศไปหางานทำในประเทศเพื่อนบ้านอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าการลงทุนของต่างชาติในประเทศนี้จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นทุกปีก็ตาม จำนวนมากลักลอบทำงานอย่างผิดกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทยที่มีชายแดนติดกัน ตามตัวเลขของกระทรวงแรงงานในกรุงพนมเปญเมื่อปีที่แล้ว มีคนงานาวเขมรไปขึ้นทะเบียนแรงงานในประเทศไทยราว 80,000 คน แต่ฝ่ายไทยเชื่อว่ายังมีอีกจำนวนเท่าๆ กันที่ลักลอบทำงานโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย รวมทั้งแรงงานข้ามแดนประเภทไปเช้าเย็นกลับหรือแรงงานที่เข้าไปแสวงหางานทำระยะสั้นๆ ตามฤดูกาล นายวงโซ้ต (Vong Saut) รัฐมนตรีแรงงานกัมพูชาได้พบหารือกับดาโต๊ะเสรีสุบรามาเนียม (Datuk Seri S Subramaniam) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรมนุษย์มาเลเซียในวันศุกร์ 11 พ.ค.นี้ ในกรุงพนมเปญ เพื่อร่วมกันหาทางดูแลคนงานชาวเขมรในประเทศนั้น ทั้งกลุ่มที่ถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย สองฝ่ายมีกำหนดจะลงนามในบันทึกช่วยความจำฉบับหนึ่งเกี่ยวกับการคุ้มครองแรงงานต่างด้าวในมาเลเซีย สำนักข่าวกัมพูชากล่าว ปัจจุบันในกัมพูชามีบริษัทจัดหางานต่างประเทศราว 30 แห่ง และทางการได้เข้มงวดกวดขันให้เป็นไปตามกฎระเบียบต่างๆ ขณะเดียวกันก็ชักชวนให้ชาวเขมรหางานทำในประเทศ แทนการออกไปทำงานในต่างแดน ที่มีค่าใช้จ่ายสูงและต้องพรากจากครอบครัว กัมพูชากำลังเป็นเจ้าภาพจัดการแระชุมรัฐมนตรีแรงงานกลุ่มอาเซียน ในวันเดียวกันนายโซ้ตได้พบหารือกับรัฐมนตรีแรงงานสิงคโปร์ กับรัฐมนตรีแรงงานเวียดนามด้วย สำนักข่าวของรัฐบาลกล่าว. ชาวสเปนนับแสนคน ไม่พอใจมาตรการรัดเข็มขัดของรัฐบาล รวมตัวประท้วงใจกลางเมืองหลวง 14 พ.ค. 55 - ตำรวจได้ใช้กำลังบังคับให้กลุ่ม ลอส อินดิกนาดอส ออกไปจากจตุรัสโซล เมื่อเวลา 04.45 น. ตามเวลาในท้องถิ่น หรือราว 09.45 น. ตามเวลาในไทย แต่ผู้ประท้วงได้ไปชุมนุมกันใหม่อีกในเวลา 22.00 น. ตามเวลาในท้องถิ่น หรือราว 03.00 น. ตามเวลาในไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อจะจับจองจตุรัสโซล เป็นสถานที่ปักหลักชุมนุมประท้วงไปจนถึงวันที่ 15 พฤษภาคม โดยไม่ยอมออกไปไหน ตำรวจเปิดเผยว่า มีประชาชน 72,000 คน ได้ก่อการประท้วงทั่วประเทศสเปน เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเป็นการประท้วงที่บาร์เซโลน่า 3 หมื่นคน และกรุงมาดริดอีก 22,000 คน ผู้ประท้วงคนหนึ่ง บอกว่า คาดว่าจะมีประชาชนเข้าร่วมเรื่อยๆ ในทุกๆ วัน ซึ่งเป็นคนทุกวัยและหลากหลายแนวคิด แต่ต่อสู้เพื่อสิ่งเดียวกันคือ สวัสดิการสังคม เมื่อวันอาทิตย์ ตำรวจได้จับผู้ประท้วงไป 18 คน ที่ปักหลักประท้วงกันที่ ปัวร์ต้า เดล โซลเรียกร้องให้ยุติในสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าเป็นมาตรการที่ยึดมั่นในหลักการจนเกินไป นายกรัฐมนตรี มาเรียโน่ ราฮอย ได้ปกป้องมาตรการรัดเข็มขัดที่เข้มงวดของรัฐบาลของเขาว่ามีจุดมุ่งหมายเพื่อแก้ไขการคาดการณ์ทางเศรษฐกิจที่ร้ายแรงของสเปน ซึ่งเป็นเพียงวันเดียว หลังจากชาวสเปนนับหมื่นคน ออกไปชุมนุมประท้วงตามถนนสายต่างๆ เพื่อแสดงพลังต่อต้านการรับมือวิกฤติที่เลวร้ายที่สุดในรอบหลายทศวรรษของประเทศ สื่อมวลชนสเปน รายงานว่า ตำรวจได้ขับไล่ผู้ประท้วงออกจากสถานที่สาธารณะในเมืองอื่นๆ ในช่วงเช้าวันอาทิตย์ รวมทั้ง วาเลนเซีย , ซาราโกซ่า , ปัลม่า เด มายอร์ก้า เมื่อปีที่แล้ว ได้มีการชุมนุมประท้วงแบบเดียวกัน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม ที่นำไปสู่การปักหลักประท้วง ลอส อินดิกนาดอส ในจตุรัสของเมืองต่างๆ เช่น มาดริด และบาร์เซโลน่าที่ยืดเยื้อยาวนานหลายสัปดาห์ สเปนได้เข้าสู่ภาวะล่อแหลมเป็นครั้งที่สอง นับตั้งแต่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจโลกถดถอย และอัตราการว่างงานของสเปนก็สูงที่สุดในกลุ่ม 17 ประเทศ ที่ใช้เงินสกุลยูโร หลังจากผลตอบแทนพันธบัตรระยะ 10 ปี ของสเปน พุ่งขึ้นสูงถึง 6 เปอร์เซ็นต์ และรัฐบาลได้หันไปใช้มาตรการรัดเข็มขัดเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการตัดลดงบประมาณด้านสวัสดิการสังคม , สาธารณสุขและการศึกษา นับตั้งแต่รัฐบาลของนายราฮอยก้าวเข้าสู่อำนาจในปีนี้ เมื่อวันศุกร์ รัฐบาลได้แจ้งบรรดาธนาคารต่างๆ ของสเปนว่า จะต้องจัดสรรเงินอีก 3 หมื่นล้านยูโร เพื่อให้ครอบคลุมความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นกับบรรดาผู้ถือครองอสังหาริมทรัพย์ที่เจอพิษเศรษฐกิจ และสั่งให้ดำเนินการตรวจสอบบัญชีอิสระเกี่ยวกับหนี้ทั้งหลาย เพื่อความพยายามเรียกคืนความเชื่อมั่นใจภาคการธนาคารของประเทศ ILO เตือนทั่วโลกอาจมีตกงานเพิ่ม 75 ล้านคน 23 พ.ค. 55 - องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) รายงานระบุว่า คนหนุ่มสาวที่มีการศึกษาและทักษะ มักถูกผลักให้ไปเป็นพนักงานพาร์ทไทม์ หรือไม่ก็แรงงานไร้ฝีมือ และเตือนให้ระวังวิกฤตการณ์ดังกล่าว ซึ่งอาจสร้างภาพลวงตาที่ว่ากลุ่มคนดังกล่าวมากกว่า 6 ล้านคน กำลังท้อแท้กับการหางานทำ โดยแนะนำให้รัฐบาลประเทศต่างๆ ดำเนินนโยบายการสร้างงานมาปฏิบัติเป็นลำดับต้นๆ รวมถึงการพัฒนาฝีมือแรงงาน และการลดภาษีสำหรับลูกจ้าง รายงานในหัวข้อ Global Employment Trends for Youth หรือแนวโน้มการจ้างงานทั่วโลกสำหรับคนวัยรุ่น ชี้ว่า ในปีนี้คาดว่าเกือบร้อยละ 13 ของกลุ่มคนที่มีอายุระหว่าง 15 - 24 ปี หรือเกือบ 75 ล้านคน จะไม่มีงานทำ แม้ว่าตัวเลขดังกล่าวจะลดลงจากจุดสูงสุดเมื่อปี 2009 ก็ตาม และเชื่อว่าวิกฤตครั้งนี้จะต่อเนื่องไปจนถึงปี 2016อย่างไรก็ดี เมื่อมองในแง่ดี พบว่า หนุ่มสาวที่ยังไม่มีงานทำหลายราย เลือกที่จะศึกษาต่อ ขณะที่อีกบางส่วนเลือกทำงานที่ไร้ทักษะ เนื่องจากไม่สามารถหางานในสาขาที่ตนเรียนมาได้ ซึ่ง ILO ยังระบุว่า คนหนุ่มสาวกว่า 6 ล้านคนทั่วโลกได้ถอดใจที่จะหางานทำ และเริ่มมีแนวโน้มที่จะแยกตัวออกจากสังคมเพิ่มขึ้น โดย ILO เสนอแนะให้มีการปรับลดอัตราภาษี และแรงจูงใจอื่นๆ แก่ภาคธุรกิจ เพื่อให้มีการจ้างคนหนุ่มสาวเข้าทำงาน และเสนอโปรแกรมฝึกอบรมสำหรับแรงงานมือใหม่ เพื่อช่วยให้การทำงานเป็นไปด้วยความราบรื่น HP ประกาศแผนเลิกจ้างงานครั้งใหญ่ 24 พ.ค. 55 - บริษัทฮิวเลตต์-แพคการ์ด (HP) เปิดเผยเมื่อวานนี้ (23 พ.ค.)ว่าบริษัทมีแผนการเลิกจ้างงานครั้งใหญ่ พร้อมกับเปิดเผยรายงานผลประกอบการรายไตรมาสล่าสุด บริษัทเผยว่า แผนการเลิกจ้างพนักงานกว่า 27,000 คน ซึ่งเป็นจำนวน 8% ของพนักงานทั้งหมด ณ วันที่ 31 ต.ค.2554 เป็นส่วนหนึ่งของแผนการปรับโครงสร้างองค์กร ซึ่งคาดว่าการเลิกจ้างจะเสร็จสิ้นภายในปีงบการเงิน 2557 นายเม็ก วิทแมน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฮิวเลตต์-แพคการ์ด กล่าวว่า “การปลดพนักงานเป็นเรื่องที่ทำได้ยากเนื่องจากคนจำนวนมากต้องถูกเลิกจ้าง แต่ก็เป็นความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการเพื่อปรับปรุงการปฏิบัติงานและทำให้สถานะทางการเงินของบริษัทดีขึ้นในระยะยาว เราตั้งเป้าหมายให้ฮิวเลตต์-แพคการ์ดมุ่งไปสู่การคงสถานะผู้นำในระดับโลก และนำเสนอมูลค่าสูงสุดให้แก่ลูกค้าและผู้ถือหุ้นของเรา" ในขณะเดียวกัน บริษัทเสนอแผนการเกษียณอายุก่อนกำหนด ดังนั้น ยอดพนักงานที่จะถูกปลดออกจากบริษัท จะขึ้นอยู่กับจำนวนพนักงานที่เข้าร่วมโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดดังกล่าวด้วย ฮิวเลตต์-แพคการ์ดคาดการณ์ว่า แผนการปรับโครงสร้างองค์กรนี้จะช่วยให้บริษัทออมเงินได้ 3.0-3.5 พันล้านดอลลาร์ เมื่อสิ้นสุดปีงบการเงิน 2557 ซึ่งเงินส่วนใหญ่จะถูกนำไปลงทุนต่อในบริษัท สำนักข่าวซินหัวรายงานเพิ่มเติมว่า บริษัทยักษ์ใหญ่แห่งวงการคอมพิวเตอร์และไอทีแห่งนี้ คาดว่าจะใช้เงินออมเพื่อหนุนการลงทุนในการสร้างนวัตกรรมใหม่ในส่วนงานหลักที่บริษัทตั้งเป้าหมายทางกลยุทธ์ไว้ คือ ธุรกิจ core printing และการวางระบบส่วนบุคคล, การประมวลผลที่อิงกับความต้องการของผู้ใช้ (cloud computing), การประมวลผลข้อมูลขนาดมหึมา, การป้องกันความปลอดภัย รวมถึง ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ การจัดเก็บข้อมูล และระบบเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ในองค์กร ลูกจ้างรบ.นอร์เวย์ประท้วงขอขึ้นค่าแรงหนแรกในรอบเกือบ 30 ปี 24 พ.ค. 55 - ลูกจ้างของรัฐบาลนอร์เวย์ ก่อเหตุประท้วงเป็นครั้งแรกในรอบ 28 ปี หลังการเจรจาเรื่องค่าจ้างล้มเหลวไม่เป็นท่า ส่งผลให้โรงเรียน ศูนย์ดูแลเด็ก และองค์กรของรัฐอีกหลายแห่งต้องปิดทำการ ถือเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนักในสังคมของดินแดนพระอาทิตย์เที่ยงคืนแห่งนี้ รายงานข่าวระบุว่า ลูกจ้างของรัฐบาลกลางนอร์เวย์และรัฐบาลท้องถิ่นราว 25,000-30,000 คน จากทั้งหมด 600,000 คนทั่วประเทศ ยืนยันจะขยายการประท้วงของพวกตนออกไปจนกว่าการเจรจาเรื่องการปรับขึ้นค่าจ้างจะมีความชัดเจนมากขึ้น โดยให้เหตุผลว่าอัตราการปรับเพิ่มของค่าจ้างแรงงานในภาครัฐ มีความล้าหลังกว่าในภาคเอกชนอย่างมาก ท่ามกลางกระแสข่าวที่ระบุว่า ทางตัวแทนฝ่ายลูกจ้างต้องการให้ภาครัฐพิจารณาปรับเพิ่มค่าจ้างที่อัตราเฉลี่ย 4 เปอร์เซ็นต์ในปีนี้ สวนทางกับท่าทีของทางการนอร์เวย์ที่ระบุอัตราค่าจ้างในปี 2012 นี้ อาจเพิ่มได้เพียง 3.75 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ก่อนจะปรับเพิ่มเป็น 4.0 เปอร์เซ็นต์ในปีหน้า ทั้งนี้ นอร์เวย์ซึ่งมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจถึง 1.4 เปอร์เซ็นต์ ในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ ถือเป็นเพียงไม่กี่ประเทศในยุโรปที่ไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติหนี้สินของกลุ่มยูโรโซนมากนัก พนักงานรถไฟบราซิลหยุดงานประท้วง 24 พ.ค.55 - นครเซาเปาโลแทบกลายเป็นอัมพาตเมื่อพนักงานของบริษัทรถไฟใต้ดินหลายพันคนหยุดงานประท้วง จนทำให้รถไฟใต้ดินที่มีผู้โดยสารใช้บริการถึงวันละกว่า 4 ล้านคนต้องหยุดวิ่ง ส่งผลให้ประชาชนต้องประสบความยากลำบากในการเดินทาง โดยหันไปใช้รถแท็กซี่และรถขนส่งมวลชนแทน ในขณะที่การจราจรบนท้องถนนติดขัดเป็นทางยาว 249 กม.ทั่วเมือง สร้างความไม่พอใจให้กับผู้ใช้บริการรถไฟ โดยมีอย่างน้อยเกือบ 2,000 คนชุมนุมประท้วงด้วยการปิดกั้นถนน ขว้างปาก้อนหิน และกรีดยางล้อรถโดยสารประจำทาง ทำให้ตำรวจต้องใช้ระเบิดแก๊สน้ำตาและกระสุนยางสลายกลุ่มผู้ประท้วง สหภาพพนักงานรถไฟใต้ดิน บอกว่า พนักงาน 8,000 คนจากเกือบ 9,000 คนหยุดงานประท้วงเพื่อเรียกร้องการขึ้นเงินเดือน 20% ทำให้มีรถไฟเพียงไม่กี่ขบวนที่สามารถให้บริการและจอดแวะบางสถานีเท่านั้น แต่สุดท้ายสหภาพพนักงานยอมยุติการผละงานประท้วง โดยยอมรับข้อเสนอของบริษัทที่จะขึ้นเงินเดือนให้ 6.9% เพิ่มมูลค่าในคูปองแลกอาหารที่แจกให้กับพนักงาน และเพิ่มเงินอุดหนุนค่าอาหารสำหรับครอบครัวพนักงาน การผละงานประท้วงนาน 5 ชั่วโมงเมื่อวานขึ้นแม้ศาลแรงงานมีคำสั่งเมื่อวันอังคารว่าจะต้องมีพนักงานทั้งหมดทำงานในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน และอย่างน้อย 85% ทำงานในช่วงเวลาอื่นของวัน ซึ่งหากฝ่าฝืน สภาพแรงงานจะต้องถูกปรับเงินวันละ 5 หมื่นดอลลาร์ ก่อนหน้านี้ในช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา มีพนักงานรถไฟใต้ดิน และพนักงานขับรถโดยสารประจำทางหยุดงานประท้วงในอีก 6 เมืองเช่นกัน แรงงานธุรกิจท่องเที่ยวกรีซประท้วงแผนลดค่าจ้าง 27 พ.ค. 55 - แรงงานธุรกิจท่องเที่ยวในกรีซชุมนุมประท้วงไม่พอใจแผนปรับลดค่าจ้างลงกว่า 40% พนักงานโรงแรมหลายร้อยคน รวมทั้งบริกร พนักงานทำความสะอาด คนครัว และผู้บริหาร ชุมนุมกันกลางกรุงเอเธนส์ ประกาศผละงาน 24 ชั่วโมง เพื่อประท้วงแผนปรับลดค่าจ้างแรงงานลงกว่า 40% ตามนโยบายประหยัดรัดเข็มขัดของรัฐบาล ทั้งนี้ กลุ่มผู้ประท้วงต่างอ้างว่า แทบทุกคนต้องมีภาระค่าใช้จ่ายเท่าเดิม ขณะที่ธุรกิจการท่องเที่ยวในกรีซแต่ละปีมีช่วงเวลาอยู่แค่ 5 เดือน แต่ทุกคนต้องทำงานเก็บเงินใช้กันตลอดทั้งปี หากถูกลดรายได้ลงกว่า 40% ต้องเผชิญวิกฤติอย่างแน่นอน นอกจากนั้น กลุ่มผู้ประท้วงยังประกาศขยายการชุมนุมออกไปอีก ถ้าเงื่อนไขไม่ได้รับการตอบสนองจากภาครัฐ ขณะที่ฤดูกาลท่องเที่ยวของกรีซกำลังมาถึง OECD เรียกร้องอิตาลีเร่งอนุมัติแผนปฏิรูปตลาดแรงงาน 28 พ.ค. 55 - นายแองเจล กูร์เรีย เลขาธิการองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัมนาเศรษฐกิจ (OECD) ได้เรียกร้องให้รัฐบาลอิตาลีอนุมัติการปฏิรูปตลาดแรงงานโดยเร็ว โดยแผนปฏิรูปนี้จะทำให้เป็นการง่ายขึ้นที่บริษัทต่างๆจะปลดพนักงานในช่วงเศรษฐกิจขาลง นายกูเรียกล่าวว่า แม้ว่าการปฏิรูปแรงงานของนายมาริโอ มอนติ นายกรัฐมนตรีอิตาลี อยู่ในทิศทางที่ถูกต้องแล้ว แต่เขาต้องเร่งดำเนินการ ซึ่งขณะนี้แผนการปฏิรูปอยู่ในระหว่างการหารือในวุฒิสภาอิตาลี โดยแผนนี้จะอนุญาตให้พนักงานที่ถูกปลดออกจากงานด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจสามารถกลับเข้าทำงานได้ก็ต่อเมือมี"เหตุผลที่เหมาะสม"เท่านั้น แผนการปฏิรูปนี้เป็นส่วนสำคัญของแผนการปฏิรูปโดยรวมของรัฐบาลและจะเป็นการส่งสัญญาณต่อตลาดว่า รัฐบาลยังคงมีการดำเนินการแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ OECD เปิดเผยว่า แนวโน้มการขยายตัวของอิตาลีจนถึงปี 2560 จะอ่อนแอกว่าในประเทศที่พัฒนาแล้วอื่นๆ และเศรษฐกิจของอิตาลีจะหดตัวรุนแรงกว่าที่รัฐบาลคาดในปีนี้ อันเนื่องมาจากการขึ้นภาษี ชาวอิตาลีประท้วงแผนรัดเข็มขัด 29 พ.ค. 55 - ชาวเมืองเบอร์กาโม ทางตอนเหนือของอิตาลีหลายร้อยคน เดินขบวนประท้วงมาตรการรัดเข็มขัดของรัฐบาลอิตาลี ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีมาริโอ มอนติ ในช่วงที่นายกรัฐมนตรีของประเทศเดินทางเยือนเมืองนี้ พร้อมทั้งกล่าวโจมตีนายมอนติ ในช่วงที่เขา ปราศัยเพื่อชี้ให้เห็นถึงข้อดีของอัตราจัดเก็บภาษีใหม่ ที่มีเป้าหมายเพื่อลดการขาดดุลงบประมาณของประเทศ การชุมนุมประท้วง ทำท่าว่าจะบานปลาย จนเจ้าหน้าที่ตำรวจ ต้องเข้ามาตรึงกำลัง แต่ผู้ชุมนุมประท้วง ก็ยังคงจุดไฟตามจุดต่างๆ และนำแบงก์ยูโรปลอมไปติดตามกำแพงทั่วเมือง ซึ่งการเคลื่อนไหวครั้งนี้ มีขึ้นหลังจากรัฐบาลของนายมอนติ ตัดสินใจขึ้นการจัดเก็บภาษี มูลค่ารวม 3 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อแก้ปัญหาขาดดุลงบประมาณของประเทศ พร้อมทั้งควบคุมรายจ่ายของหน่วยงานรัฐตลอดจน ควบคุมหนี้สาธารณะไม่ให้เพิ่มขึ้น ปัจจุบัน หนี้สาธารณะของอิตาลี มีสัดส่วนประมาณ 120 % ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี) ช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่หน่วยงานด้านภาษีของอิตาลี เผชิญแรงกดดันอย่างหนัก และ "อีควิทาเลีย" ซึ่งเป็นหน่วยงานเก็บภาษี ค่าธรรมเนียม ตลอดจนค่าปรับต่างๆ ตกเป็นเป้าการโจมตีและถูกขู่ จากกลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจและวิกฤติหนี้ของประเทศมาตลอด แม้การพุ่งเป้าโจมตีไปที่เจ้าหน้าที่หน่วยงานด้านภาษี จะเป็นเรื่องที่หลายฝ่ายออกมาประณาม แต่บรรดาผู้สังเกตุการณ์ส่วนใหญ่ ก็เห็นใจบรรดาผู้เสียภาษีที่ต้องจ่ายภาษีเพิ่มขึ้นมาก และโจมตีรัฐบาลที่ตัดสินใจดำเนินการเรื่องนี้ด้วยท่าทีแข็งกร้าว ก่อนหน้านี้ ฟิทช์ เรตติ้ง บริษัทจัดอันดับชั้นนำ ระบุว่า มีแนวโน้มที่ฟิทช์ จะปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือทุกชาติในยูโรโซน ถ้าหากกรีซ ออกจากยูโรโซน โดยประเทศที่มีแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือในเชิงลบ และมีความเสี่ยงมากที่สุด ที่จะถูกปรับลดอันดับลงในไม่ช้า ได้แก่ฝรั่งเศส, อิตาลี, สเปน,ไซปรัส, ไอร์แลนด์, โปรตุเกส, สโลเวเนีย และเบลเยียม ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
แถลงการณ์สมาคมนักข่าว เรื่อง การรายงานข่าวสถานการณ์ชุมนุม Posted: 01 Jun 2012 03:02 AM PDT
"...มีความห่วงใยการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกที่อาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดหรือยุยงส่งเสริมให้เกิดความแตกแยกอันเนื่องมาจากการรายงานข่าวเชิงแข่งขัน การใช้ความรู้สึกนึกคิดส่วนตัว โดยเฉพาะการใช้สื่อสังคมออนไลน์ อาทิ ตั้งคำถามทำนองการชุมนุมเป็นการสร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน และไม่ตรวจสอบข่าวที่อ่อนไหวต่อสังคม"
หมายเหตุ: วันนี้ (1 มิ.ย. 55) เว็บไซต์สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย มีการเผยแพร่แถลงการณ์ของคณะกรรมการควบคุมจริยธรรม สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เรื่อง การรายงานข่าวสถานการณ์ชุมนุม โดยมีรายละเอียดดังนี้
แถลงการณ์คณะกรรมการควบคุมจริยธรรม สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เรื่อง การรายงานข่าวสถานการณ์ชุมนุม จากเหตุการณ์ทางการเมืองในปัจจุบัน นับตั้งแต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ และโดยเฉพาะการเสนอร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ พ.ศ. .... ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ทำให้เกิดความขัดแย้งทั้งในและนอกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีแนวโน้มบานปลายเป็นสถานการณ์ยืดเยื้ออันสืบเนื่องมาจากการชุมนุมของประชาชนที่คัดค้านร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวกอรปกับบทเรียนที่ได้เคยเกิดขึ้นมาแล้วจากสถานการณ์ในอดีต ด้วยเหตุดังกล่าว คณะกรรมการควบคุมจริยธรรม สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย มีความห่วงใยการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกที่อาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดหรือยุยงส่งเสริมให้เกิดความแตกแยกอันเนื่องมาจากการรายงานข่าวเชิงแข่งขัน การใช้ความรู้สึกนึกคิดส่วนตัว โดยเฉพาะการใช้สื่อสังคมออนไลน์ อาทิ ตั้งคำถามทำนองการชุมนุมเป็นการสร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน และไม่ตรวจสอบข่าวที่อ่อนไหวต่อสังคม จึงขอให้สมาชิกระลึกถึงหน้าที่ของตนตามข้อบังคับสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ฯ ข้อ ๗ ที่ให้ปฏิบัติตามหลักจริยธรรมแห่งวิชาชีพฯ และระมัดระวังการรายงานข่าวในสถานการณ์อ่อนไหว ดังนี้ (๑) กรณีข่าวสารที่ล่อแหลมต่อความรู้สึกนึกคิดของประชาชน สมาชิกพึงใช้วิจารณญาณเป็นพิเศษในการนำเสนอ และยึดหลักจริยธรรมแห่งวิชาชีพอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนนำเสนอ (๒) คำนึงถึงอยู่เสมอว่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ย่อมสะท้อนฝักฝ่าย สมาชิกพึงหลีกเลี่ยงการนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่มีลักษณะยั่วยุให้เกิดความรุนแรงและต้องไม่เป็นการสร้างความเกลียดชังระหว่างคนในสังคม (๓) สมาชิกพึงระมัดระวังการตกเป็นเครื่องมือในการรายงานข่าวของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอันจะนำไปสู่ความเข้าใจผิดของประชาชน และส่งผลให้สถานการณ์บานปลาย (๔) การรายงานข่าวที่บริบทมีการเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ โดยเฉพาะเป็นการรายงานบนสื่อสังคมออนไลน์ ควรระบุวัน เวลา และสถานที่ เพื่อป้องกันการเข้าใจผิดจากประชาชนผู้รับสารอันเนื่องมาจากเวลา สถานที่ และเหตุการณ์ต่างกัน (๕) การนำเสนอข้อมูลข่าวสาร โดยเฉพาะบนสื่อสังคมออนไลน์ สมาชิกพึงแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าข้อมูลใดเป็นข่าว และข้อมูลใดเป็นความเห็นและเมื่อเกิดข้อผิดพลาดใดใดอันเนื่องมาจากการนำเสนอ สมาชิกพึงแก้ไขและนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องทันที คณะกรรมการควบคุมจริยธรรม สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ๑ มิถุนายน ๒๕๕
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
โสภณ พรโชคชัย: รัฐประหารคือการทุจริตทำลายชาติ Posted: 01 Jun 2012 02:54 AM PDT “ . . . .ก็ยังมีเพื่อนผมอีกคนหนึ่ง ได้คุยกับผม ท่านเป็นนายทหาร เป็นชั้นนายพล ต้องพูดว่า การปฏิวัติครั้งหนึ่ง ๆ พวกคณะปฏิวัติร่ำรวยกันมหาศาล ถ้าใครปฏิวัติแล้วมีเงินไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท ถือว่ามือตกมาก ทำให้ผมมีความรังเกียจในการปฏิวัติรัฐประหารมากมายเหลือเกิน” ที่มา: http://www.youtube.com/watch?v=IujjrQ1vniM ข้างต้นเป็นคำกล่าวของนายโสภณ จันเทรมะ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ ในระหว่างการอภิปรายในหัวข้อ “ยุทธศาสตร์การเปลี่ยนทัศนคติของประชาชนให้ต่อต้านการทุจริต” เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2554 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมของนักศึกษาหลักสูตรนักบริหารยุทธศาสตร์การป้องกันและการปราบปรามการทุจริตระดับสูง รุ่นที่ 2 ของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ซึ่งผู้เขียนได้เข้าศึกษาและจบการศึกษาไปแล้ว ที่เป็นเช่นนี้ คงเป็นเพราะว่าในการทำรัฐประหารครั้งหนึ่ง ๆ คณะรัฐประหารมีอำนาจเบ็ดเสร็จที่จะทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องมีใบเสร็จรับเงิน และไม่ต้องได้รับการตรวจสอบ ตัวอย่างเช่น คณะรัฐประหารสามารถเบิกเงินจากคลังหลวงออกมาใช้สอยตามอัธยาศัย เพื่อการยึดอำนาจ การรักษาอำนาจที่ยึดมา และเผื่อไว้เพื่อการหนีออกนอกประเทศ หากรัฐประหารนั้น ๆ กลายเป็นกบฏ แต่หากสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ก็ได้เงินไปใช้สบาย ๆ โดยไม่จำเป็นต้องส่งคืนคลัง โดยนัยนี้รัฐประหารก็คือการทุจริตในรูปแบบหนึ่ง เป็นการโกงเงินของประเทศชาติและประชาชน เอาไปใช้เพื่อการยึดอำนาจให้กับกลุ่มของตนโดยไม่ต้องส่งคืนคลังหลวง ดังนั้นจึงจะเห็นได้ว่าไม่เคยมีรัฐประหารครั้งใดในประวัติศาสตร์ที่แสดงรายรับรายจ่ายเพราะถือเป็นความลับแห่งชาติ แต่ในความเป็นจริงก็คือความลับในการปฏิบัติการยึดอำนาจของกลุ่มผลประโยชน์ของตนเองเป็นสำคัญ ที่ร้ายแรงไปกว่านั้นก็คือรัฐประหารเป็นการกระทำทุจริตที่กลับกลายเป็นว่าถูกต้องตามกฎหมาย เพราะมีอำนาจเหนืออำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการของประชาชนที่ถูกล้มล้างไปเพราะอำนาจรัฐประหาร นอกจากการทุจริตแล้ว ยังสามารถสั่งฆ่า สั่งยึดทรัพย์ หรือสั่งทำลายหรือให้รางวัลแก่ใครก็ได้โดยเสมือนชอบด้วยกฎหมาย และสุดท้ายคณะรัฐประหารเองรวมทั้งการกระทำทั้งปวงของคณะรัฐประหารก็มักได้รับการนิรโทษกรรมไปในที่สุด อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงนั้น รัฐประหารก็คือความเถื่อนหรืออนารยะ เพราะรัฐประหารกระทำการด้วยการใช้กำลังอาวุธมาล้มล้างรัฐธรรมนูญ และยึดอำนาจอธิปไตยไปจากปวงชนชาวไทย ในระหว่างทำการ คณะรัฐประหารมักจะหาข้ออ้างมากมายเพื่อสร้างความชอบธรรมในการยึดอำนาจเดิมที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่การใช้กำลังพลและกำลังอาวุธที่เหนือกว่ามาเอาชนะจนสามารถยึดอำนาจได้สำเร็จ และทำให้ฝ่ายตรงข้ามกลายเป็นฝ่ายกบฏหรือฝ่ายที่ไม่ชอบธรรม ย่อมแสดงถึงความเถื่อน และความไม่ชอบด้วยหลักนิติรัฐของคณะรัฐประหารเอง และด้วยกำลังพลและกำลังอาวุธที่เหนือกว่า จึงปิดปากวิญญูชนได้ (ชั่วคราว) โดยที่ธรรมชาติสำคัญของการรัฐประหารก็คือการใช้อำนาจโดยปราศจากการตรวจสอบและไม่ต้องมีใบเสร็จรับเงิน จึงกลายเป็นบ่อเกิดของการทุจริตและประพฤติมิชอบ ผู้ที่ต้องการอำนาจและผลประโยชน์ที่ชิงความได้เปรียบเหนือบุคคลอื่น จึงต้องเข้าหาคณะรัฐประหารซึ่งมีอำนาจสูงสุด การทุจริตต่าง ๆ จึงเกิดขึ้นตามมา และด้วยเหตุนี้ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา คณะรัฐประหารหรือผู้เผด็จการต่าง ๆ จึงมักกลายสภาพเป็นทรราช ที่ถือเอาประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่ตั้งมากกว่าประโยชน์ของประเทศชาติ ยิ่งกว่านั้น หลังจากการทำรัฐประหาร ผู้ที่ได้ประโยชน์หรือ ‘ส้มหล่น’ ก็คือผู้ที่ร่วมปลุกปั่นสร้างสถานการณ์ให้เกิดรัฐประหาร บุคคลเหล่านี้ก็จะได้รับลาภยศ ถูกแต่งตั้งให้เป็นตุลาการบ้าง กรรมการในองค์กรอิสระที่ถูกอำนาจรัฐประหารครองงำบ้าง หรือสภา ‘เปรซิเดียม’ (เอาไว้ออกกฎหมายเข้าข้างพวกเดียวกัน) ที่แต่งตั้งกันเองโดยคณะรัฐประหารตามอำเภอใจโดยไม่ผ่านกระบวนการที่ถูกต้อง หรือไม่ผ่านการเลือกตั้งจากประชาชน บุคคลเหล่านี้ได้อำนาจมาจากปากกระบอกปืนของฝ่ายรัฐประหารโดยแท้ นี่คืออีกบริบทหนึ่งของการโกงกินทรยศต่อชาติ ดังนั้นเราจะไปตั้งความหวังว่าจะมีคณะรัฐประหารใดกระทำการเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญเหนือผลประโยชน์ของกลุ่มของตนเฉกเช่น ‘พระเอกขี่ม้าขาว” นั้น ย่อมเป็นความหวังที่เลื่อนลอย เป็นความหลงผิดเป็นชอบ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว หรือเป็นเพียงการโฆษณาชวนเชื่อของคณะรัฐประหารและสมุนของคณะรัฐประหารนั้น ๆ เท่านั้น เพราะเนื้อแท้ของการัฐประหารก็คือการแย่งชิงผลประโยชน์ทางการเมือง ไม่ใช่การอภิวัฒน์เช่นการปฏิวัติ พ.ศ.2475 ที่คณะราษฎรกระทำการเพื่อประเทศไทยโดยตรง ที่สำคัญรัฐประหารสร้างความวิบัติซ้ำซ้อนให้กับประเทศไทย ทำให้ความน่าเชื่อถือของประเทศไทยตกต่ำ กลายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนเช่นประเทศด้อยพัฒนาระดับล่าง ๆ ของโลก ที่มักใช้กำลังอาวุธขู่เข็ญเพื่อเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐ แทนที่จะรอคอยการเปลี่ยนแปลงตามกลไกทางการเมืองเช่นอารยะประเทศ ทำให้เกียรติภูมิของประเทศลดลง โอกาสการลงทุนของชาวต่างประเทศในไทยก็ลดน้อยลงไปด้วย อาจกล่าวได้ว่าการทุจริตอื่นอาจส่งผลเสียเฉพาะจำนวนเงินที่ปล้นหรือลักไป แต่รัฐประหารจะส่งผลเสียเป็นเท่าทวีต่อประเทศชาติ ถ้าประเทศไทยเกิดรัฐประหารอีกครั้งหนึ่ง ไทยก็จะตกต่ำยิ่งกว่าพม่าที่เพิ่งเริ่มมีประชาธิปไตย คนไทย (บางส่วน) ไม่ควรหลงผิดไปเห็นดีเห็นงามกับอำนาจนอกระบบ จนสร้างความแตกแยกให้กับคนในชาติ ไทยควรเข้าสู่สังคมอารยะ รู้จักเกรงใจประชาชนเจ้าของประเทศ เลิกคิด เลิกส่งเสริมการทำรัฐประหารกันได้แล้ว ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
คดีข้อพิพาทระหว่างบิ๊กซีกับเทสโก้: คดีประเดิมกฎหมายการแข่งขันทางการค้าไทย Posted: 01 Jun 2012 02:46 AM PDT ผู้เขียนได้ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับกฎหมายการแข่งขันทางการค้ามาเป็นเวลากว่า 15 ปีตั้งแต่ก่อนที่จะมีการตรา พ.ร.บ. การแข่งขันทางการค้า ในปี พ.ศ. 2542 และได้เห็นความล้มเหลวในการบังคับใช้กฎหมายนี้ตลอด 13 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากสำนักแข่งขันทางการค้า ซึ่งสังกัดกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ไม่มีการดำเนินคดีกับธุรกิจรายใดแม้แต่รายเดียว ปล่อยให้พฤติกรรมผูกขาดและกีดกันการแข่งขันที่มีอยู่อย่างแพร่หลายในตลาดดำเนินไปได้อย่างเสรี ส่งให้ราคาสินค้าหรือบริการหลายประเภทปรับตัวสูงเกินควร หากแต่กลับเลือกที่จะไปควบคุมราคาข้าวแกงตามฟูดคอร์ทและขายของแข่งกับเอกชนอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เหตุผลหลักของความล้มเหลวในการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้ คือ ประธานคณะกรรมการดังกล่าว ซึ่งคือ รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์หลายรายที่ผ่านมาไม่เคยให้ความสนใจแก่การบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้ซึ่งมุ่งในการควบคุมพฤติกรรมทางการค้าของธุรกิจขนาดใหญ่ ที่มักมีเส้นสายโยงใยทางการเมือง ดังนั้น เมื่อได้ทราบข่าวว่า บริษัทเอกชนรายหนึ่งได้ตัดสินใจฟ้องคดีแพ่งเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายจากการกระทำของคู่แข่งที่เห็นว่าเป็นการละเมิดกฎหมายฉบับนี้เป็นครั้งแรก ผู้เขียนจึงขอแสดงความเห็นในเชิงวิชาการกับกรณีดังกล่าว คดีที่กล่าวถึง คือ บิ๊กซีได้กล่าวหาว่า เทสโก้ซึ่งเป็นผู้มี ‘อำนาจเหนือตลาด” มีพฤติกรรมทางการค้าที่เป็น “การแทรกแซงการประกอบธุรกิจของผู้อื่น โดยไม่มีเหตุผลอันควร” ตามมาตรา 25(4) และที่ไม่เป็นการ “แข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรม” ตาม มาตรา 29 แห่ง พ.ร.บ. การแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542 เนื่องจากเทสโก้ (1) ประกาศรับคูปองของห้างคาร์ฟูร์มูลค่า 80 บาท โดยเพิ่มมูลค่าส่วนลดบนคูปองให้เป็น 2 เท่าคือ 160 บาทต่อคูปองเพื่อซื้อสินค้าในห้างเทสโก้ และ (2) โฆษณาให้ผู้บริโภคที่ถือบัตรสมาชิก คาร์ฟูร์ไอวิช ส่งข้อความสั้นไปยังเทสโก้เพื่อรับบัตรกำนัลมูลค่า 200 บาท โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องเป็นสมาชิกบัตร Club Card ของเทสโก้โลตัส ผู้เขียนมีความเห็นว่า การกระทำของเทสโก้มุ่งเป้าไปในการแย่งชิงลูกค้าของคู่แข่งอย่างชัดเจน หากแต่ว่า พฤติกรรมดังกล่าวไม่น่าจะเป็นการละเมิดมาตรา 25(4) ว่าด้วยการใช้อำนาจเหนือตลาดในการ “แทรกแซงการประกอบธุรกิจของผู้อื่นโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร” เนื่องจากเหตุผลสองประการ ประการแรก ผู้เขียนยังไม่แน่ใจว่าเทสโก้เป็นผู้ประกอบการที่มีอำนาจเหนือตลาด ซึ่งหมายถึงการมีส่วนแบ่งตลาดมากกว่าร้อยละ 50 ตามเกณฑ์ที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศหรือไม่ ตามหลักที่เป็นสากล การกำหนดขอบเขตของตลาดสินค้าหรือบริการหนึ่งใดเพื่อคำนวณส่วนแบ่งตลาดนั้น จะต้องเริ่มจากการทดสอบว่า หากเทสโก้ขึ้นราคาสินค้าในห้างร้านของตนร้อยละ 5 เป็นระยะเวลาหนึ่ง (โดยส่วนมากประมาณ 6 เดือน ถึง 1 ปี) ลูกค้าจะยังคงซื้อสินค้าของเทสโก้ต่อไป หรือ หันไปซื้อสินค้าที่ร้านค้าอื่นๆ หากลูกค้าตอบว่าจะไปซื้อสินค้าที่อื่น ไม่ว่าจะเป็น บิ๊กซี ร้านขายของชำข้างบ้าน ห้างสรรพสินค้า ธุรกิจค้าออนไลน์ ฯลฯ ก็จะต้องนำรายได้ของแหล่งที่จำหน่ายสินค้าเหล่านั้นมารวมอยู่ในขอบเขตของตลาด และนำรายได้มารวมกันในการคำนวณหาส่วนแบ่งตลาดของเทสโก้ด้วย เนื่องจากสินค้าที่เทสโก้ขายมีความหลากหลายทั้งที่เป็นสินค้าอาหาร อุปกรณ์ไฟฟ้า เสื้อผ้า ฯลฯ การวิเคราะห์ขอบเขตของตลาดของเทสโก้จะต้องแยกตลาดตามประเภทของสินค้าจะเหมารวมกันไม่ได้อีกด้วย เช่น ในกรณีของสินค้าเครื่องเขียน จะต้องนับรวมการแข่งขันของ Office Depot ด้วย หรือในกรณีของอาหารอาจต้องนำรายได้ของร้านซุปเปอร์มาร์เก็ต เช่น ท๊อปส์ หรือ โฮมเฟรชมาร์ท มารวมด้วย เป็นต้น ทำให้ส่วนแบ่งตลาดของร้านค้าขนาดใหญ่อาจไม่ได้สูงมากนัก โดยเฉพาะสำหรับสินค้าที่มีช่องทางจำหน่ายปลีกที่หลากหลาย เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ประการที่สอง มาตรา 25 เป็นเรื่องของพฤติกรรมของผู้ประกอบการที่มีอำนาจเหนือตลาดที่มุ่งในการจำกัดการแข่งขันในตลาด เช่น การขายพ่วงเหล้า เบียร์ ทำให้การแข่งขันในตลาดเบียร์มีจำกัดเพราะผู้ค้าปลีกถูกบังคับให้ซื้อเบียร์พ่วง จึงไม่สามารถขายเบียร์ยี่ห้อของคู่แข่งได้ แต่ในกรณีนี้ ยังไม่ชัดเจนว่า พฤติกรรมที่มีการร้องเรียนทั้งสองข้อจะทำให้เกิดการผูกขาดหรือจำกัดการแข่งขันในตลาดที่ส่งผลเสียต่อผู้บริโภคได้อย่างไร เพราะผู้บริโภคมิได้ถูกบังคับให้ซื้อสินค้าหรือบริการใดๆ ที่ไม่ต้องการ หากแต่ได้รับส่วนลดเท่านั้น ผู้เขียนเข้าใจว่า ประเด็นในการร้องเรียนดังกล่าวน่าจะเป็นเรื่องจริยธรรมหรือมาตรฐานทางการค้ามากกว่าการผูกขาด ผู้บริหารของบิ๊กซีเองก็ให้ข่าวว่าที่ฟ้องก็เพื่อที่จะให้เกิด “กรณีศึกษาเกี่ยวกับจรรยาบรรณและมาตรฐานของการดำเนินการ ตลาด ที่ทุกบริษัทน่าจะมุ่งดำเนินการตลาดอย่างสร้างสรรค์ และให้เกียรติเพื่อนร่วมธุรกิจ”[i] ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นแล้ว อาจจะต้องพิจารณาว่า พฤติกรรมดังกล่าวเข้ามาตรา 29 หรือไม่ มิใช่มาตรา 25(4) มาตรา 29 เป็นเรื่องของพฤติกรรมการค้าที่ไม่เป็นธรรมที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ไม่เกี่ยวกับการผูกขาดตลาด จึงไม่ต้องมีการพิสูจน์ส่วนแบ่งตลาดดังเช่นในมาตรา 25 มาตรา 29 นี้เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็น “มาตราครอบจักรวาล” เนื่องจากมีใจความค่อนข้างกว้างและไม่มีหลักเกณฑ์ว่าพฤติกรรมลักษณะใดเป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรม ทำให้ผู้บังคับใช้กฎหมายจะต้องใช้ดุลยพินิจว่า การกระทำที่มีการร้องเรียนนั้นดำเนินการไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการกลั่นแกล้งคู่แข่งหรือแย่งชิงลูกค้าอย่างไม่เป็นธรรม หรือ เป็นเพียงการแข่งขันในตลาดเสรีอันที่เอื้อประโยชน์ต่อผู้บริโภค นิยามของ “การค้าที่ไม่เป็นธรรม (unfair trade practice)” ในกฎหมายว่าด้วยการแข่งขันทางการค้าในต่างประเทศมักหมายถึงพฤติกรรมทางการค้าที่เป็นการสร้างความได้เปรียบทางการค้าโดยไม่ชอบธรรม เช่น การโฆษณาเท็จ การโจรกรรมข้อมูลของบริษัทคู่แข่ง การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของคู่แข่ง การทำลายภาพพจน์ของคู่แข่ง ฯลฯ ซึ่งส่วนมากมีกฎหมายอื่นๆ ควบคุมอยู่แล้ว นอกจากนี้แล้ว ยังรวมถึงพฤติกรรมที่เป็นการใช้อำนาจต่อรองที่เหนือกว่าเอาเปรียบคู่ค้า เช่น การที่ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่เลือกปฏิบัติในการวางสินค้ายี่ห้อของตนเองกับสินค้ายี่ห้ออื่นๆ เป็นต้น พฤติกรรมเหล่านี้มิได้ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกน้อยลง หากแต่เป็นการกระทำที่เป็นการเอาเปรียบคู่ค้าที่มีอำนาจต่อร้องทางธุรกิจน้อยกว่าจึงไม่เป็นธรรม พฤติกรรมของเทสโก้ที่มีการร้องเรียนมานั้นดูเหมือนจะไม่เข้าในนิยามที่กล่าวมาเพราะบิ๊กซีมิได้มีอำนาจต่อรองน้อยกว่าเทสโก้ อนึ่ง การรับคูปองส่วนลดของคู่แข่งเป็นเรื่องธรรมดาในประเทศที่การแข่งขันในตลาดรุนแรง เช่นในสหรัฐอเมริกานั้น ธุรกิจค้าปลีกจำนวนมากมีนโยบายในการรับคูปองของคู่แข่งอย่างเปิดเผยเพียงแต่ท่านกูเกิ้ลคำว่า “redeeming competitors’ coupon” ก็จะพบเวบไซต์จำนวนมาก รวมถึงเวบไซต์ของ บริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่อย่าง Walmart ที่ประกาศชัดเจนว่าจะรับคูปองส่วนลดของคู่แข่ง แต่ ไม่ยอมรับคูปองส่วนลดของคู่แข่งที่จำกัดสาขาที่สามารถใช้คูปองได้ [ii] ปั๊มป์น้ำมันบางแห่งไม่เพียงรับคูปองส่วนลดของคู่แข่ง หากแต่จะเพิ่มส่วนลดของคูปองของคู่แข่งเป็นเท่าตัว[iii] ในลักษณะเดียวกับพฤติกรรมของเทสโก้ที่ถูกร้องเรียน ผู้เขียนเห็นว่า พฤติกรรมในการใช้คูปองของคู่แข่งจึงควรถูกมองว่าเป็นการสะท้อนถึงการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการในตลาดที่รุนแรงอันจะส่งผลประโยชน์ต่อผู้บริโภค ซึ่งประเทศไทยไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าใดนัก เพราะผู้ประกอบการไทยส่วนมากมักหลีกเลี่ยงการแข่งขันแบบเผชิญหน้าดังกล่าว โดยเฉพาะในตลาดที่มีผู้ประกอบการสองรายที่ใหญ่เท่าๆ กันมักจะฮั้วกันเพื่อเอาเปรียบผู้บริโภคมากกว่าที่จะแข่งขันกัน ดังนั้น เราควรส่งเสริมแทนที่จะตำหนิการแข่งขันของธุรกิจ แม้วิธีการอาจดูจะไร้ความปราณีกับคู่แข่งบ้าง แต่การผูกขาดก็ไม่เคยปราณีผู้บริโภคเช่นกัน ประเด็นสำคัญอยู่ที่การกำกับให้เกิดการแข่งขันเสรีอย่างมีจริยธรรมตั้งแต่ต้นทางจึงจะเกิด”ราคา”ที่เป็นธรรมกับผู้บริโภค. [i] ยักษ์ค้าปลีกแลกหมัด “บิ๊กซี” ฟ้อง “เทสโก้” เรียกค่าเสียหาย 415 ล้าน ASTV โดย ผู้จัดการออนไลน์ 14 สิงหาคม 2554 [ii] http://ingoodcents.com/stores/walmart [iii]http://www.pocketyourdollars.com/2011/05/get-cheaper-gas-super-america-doubles-gas-coupons-save-0-15gallon-at-exxonmobil/ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
You are subscribed to email updates from ประชาไท To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น