ประชาไท | Prachatai3.info |
- สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 24 - 30 มิ.ย. 2555
- ศาลแพ่งมีคำสั่งยกคำร้องกรณีบอลยูโรจอดำ เกรงกระทบลิขสิทธิ์
- เด็กสวนนันฯ ย้ำ ไม่เอา ม.นอกระบบ
- ทายาทพระยาพหลฯ เล่าถึงคณะราษฎรในความทรงจำ ทั้งชีวิตยอมปฏิวัติ 24 มิ.ย.ได้ครั้งเดียว
สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 24 - 30 มิ.ย. 2555 Posted: 30 Jun 2012 06:44 AM PDT จัดหางานบุรีรัมย์ เตือนแรงงานระวังถูกหลอก นายอิทธิ คงวีระวัฒน์ จัดหางานจังหวัดบุรีรัมย์ ได้ออกมาแจ้งเตือนแรงงานที่ว่างงานในช่วงหน้าแล้ง ให้ระมัดระวังกลุ่มแก๊งมิจฉาชีพ สายและนายหน้าเถื่อน ที่จะฉวยโอกาสหลอกลวงไปขายแรงงานทั้งในและต่างประเทศ ที่กำลังออกอาละวาดในหลายพื้นที่ในขณะนี้ โดยจะเรียกรับผลประโยชน์จากแรงงาน โดยอ้างว่าจะสามารถฝากเข้าบรรจุ หรือได้ทำงานในตำแหน่งงานต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้แรงงานสูญเสียทรัพย์สินได้ หลังมีการสำรวจพบสถิตินักศึกษาจบใหม่ และแรงงานภาคการเกษตร ว่างงานกว่า 1 หมื่นคน ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา จ.บุรีรัมย์ ได้มีผู้ถูกหลอกไปทำงานยังต่างประเทศกว่า 190 ราย สูญเงินไปกว่า 11 ล้านบาท ซึ่งตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ มาจนถึงขณะนี้มีผู้เข้ามาร้องเรียนแล้วกว่า 60 ราย สูญเงินไปกว่า 4 ล้านบาท (ไอเอ็นเอ็น, 24-6-2555) เผยผลสอบกินค่าหัวอิสราเอลไม่มีใครผิด 25 มิ.ย. 55 - นายสง่า ธนสงวนวงศ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวถึงความคืบหน้าการสอบสวนกรณีที่มีบริษัทจัดหางานรวม 35 แห่ง เรียกเก็บค่าใช้จ่ายเดินทางไปทำงานที่ประเทศอิสราเอลเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ว่า ล่าสุดได้รับรายงานผลสรุปของคณะกรรมการสอบสวนฯ ที่มีนายโชคชัย ศรีทอง รองอธิบดีกรมการจัดหางาน ( กกจ.) เป็นประธานฯ แล้ว ผลการสอบพบว่า ไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะเอาผิดบริษัทจัดหางานใดๆได้ เพราะแม้บริษัททั้ง 35 แห่ง จะมีข่าวเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเกินกฎหมาย แต่เมื่อเรียกพยานบุคคลมาสอบถามกลับไม่พบข้อมูลที่จะเอาผิด นายสง่า กล่าวว่า รายงานดังกล่าวถือเป็น “เป็นมวยล้มต้มคนดู” เพราะตนมีหลักฐานการกระทำความผิดที่ชัดเจน กรมการจัดหางานจึงมีหน้าที่ต้องพักใบอนุญาตและดำเนินคดีทางอาญา แต่จากรายงานกลับสรุปว่า ให้พักใบอนุญาตบริษัทที่ไม่เกี่ยวข้อง ที่สำคัญยังมีบันทึกแนบท้ายเขียนช่วยทั้ง 35 บริษัท ว่าเรียกเก็บค่าใช้จ่ายตามกฎหมาย ซึ่งไม่เป็นความจริงจึงรายงานให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานรับทราบ พร้อมสั่งให้กองตรวจและคุ้มครองคนหางาน ดำเนินการแจ้งความเอาผิด ผู้เกี่ยวข้องภายใน 7 วัน ซึ่งคาดว่า อาจต้องมีการดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องมากกว่า 3,000 คดี ซึ่งเป็นการนับจำนวนผู้เสียหาย เฉพาะในช่วง รมว.แรงงาน เข้ามารับตำแหน่งจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ หากผู้เกี่ยวข้องยังฝ่าฝืน ก็จะพิจารณาแจ้งความเอาผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ต่อไป นายสง่า กล่าวอีกว่า รู้สึกผิดหวังกับการทำหน้าที่ของคณะกรรมการสอบสวนฯ เนื่องจากให้เวลาในการสอบสวนนานกว่า 2 เดือน ซึ่งนอกจากจะไม่สามารถดำเนินคดีกับทั้ง 35 บริษัทได้แล้วกลับยังไปช่วยเหลือ จึงไม่เข้าใจว่า ทำงานไม่เป็นหรือ แกล้งไม่เข้าใจ เพราะข้อมูลที่ปรากฏจากคำให้การของคนงานว่ามีการเรียกเก็บค่าใช้จ่าย 250,000 -400,000 บาท ซึ่งผิดกฎหมายชัดเจน ทั้งนี้ ตนกำลังให้ฝ่ายกฎหมายพิจารณาว่า รมว.แรงงานจะสามารถแต่งตั้งให้เป็นประธานสอบสวนเรื่องนี้เองได้หรือไม่ หากทำได้ก็จะมีการเสนอ รมว.แรงงาน พิจารณาแต่งตั้งเพื่อทำการสอบสวนต่อไป เพราะเชื่อว่าจะต้องมีข้าราชการระดับสูงร่วมรู้เห็นเป็นใจด้วย (สำนักข่าวไทย, 25-6-2555) หาแรงงานคนพิการตาม กม.บังคับไม่ได้เอกชนจี้รัฐแก้ไข ส.อ.ท.เตรียมศึกษาผลกระทบการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันทั้งที่นำร่องแล้วและจะมีผลบังคับทั่วประเทศ 1 ม.ค. 56 คาดเสร็จสิ้นปีเพื่อประเมินสถานภาพธุรกิจก่อนเสนอรัฐหามาตรการหนุน ผู้ประกอบการโวยขาดแรงงานคนพิการทำงานไม่ได้ตามที่กฏหมายกำหนดวอนรัฐเร่ง แก้ไข นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ส.อ.ท.อยู่ระหว่างการรวบรวมผลกระทบและแนวทางการปรับตัวต่อนโยบายการ ปรับเพิ่มขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันทั้งที่มีผลบังคับแล้วในส่วนของ 7 จังหวัดและที่จะมีผลบังคับทั่วประเทศในวันที่ 1 มกราคม 2556 นี้เพื่อที่จะสรุปภาพรวมในการเสนอรัฐบาล ในการหามาตรการสนับสนุนต่อไป โดยคาดว่าจะเสร็จภายในสิ้นปีนี้ " เราคงจะต้องศึกษาว่าแต่ละส่วนมีการปรับตัวอย่างไรด้วย เพราะถ้าเราดูแค่ผลกระทบอย่างเดียวคงไม่ใช่คำตอบเพราะการขึ้นค่าจ้าง เป็นสิ่งที่ธุรกิจเองที่สุดคงหลีกเลี่ยงได้ยากการปรับโครงสร้างการทำงานเป็น สิ่งสำคัญ และปัญหาแรงงานมองว่าอนาคตไทยเองจะต้องเร่งจัดการบริหารให้แรงงานตรงกับความ ต้องการของภาคอุตสาหกรรม"นายพยุงศักดิ์กล่าว นายสมมาต ขุนเศษฐ เลขาธิการสอ.ท. กล่าวว่า ขณะนี้ภาคการผลิต นอกเหนือจากจะประสบภาวะกับต้นทุนเพิ่มจากการขั้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันนำร่อง 7 จังหวัดไปแล้วบางอุตสาหกรรมยังขาดแคลนแรงงาน และอีกส่วนยังประสบปัญหาการไม่สามารถหาแรงงานคนพิการเข้าทำงานได้ตามที่ กฏหมายกำหนดที่บังคับให้สถานประกอบการที่มีการจ้างพนักงานทุก 100 คนต้องรับคนพิการเข้าทำงาน 1 คนโดยที่ผ่านมาส.อ.ท.ได้เสนอให้ฝ่ายรัฐบาลที่เกี่ยวข้องเป็นผู้จัดหาเพราะ เอกชนไม่สามารถหาแรงงานคนพิการเข้าทำงานได้แต่ปรากฏว่ารัฐก็ไม่ดำเนินการ (ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 26-5-2555) ก.แรงงานประกาศปิดตำนานค้าหัวคิวค่าแรงงานไทยในอิสราเอล นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวในงาน "ปิดตำนานค่าหัวคิวแรงงานอิสราเอล" วันนี้ (26 มิถุนายน) ว่า ที่ผ่านมามีแรงงานไทยเดินทางไปทำงานในประเทศอิสราเอล โดยส่วนใหญ่เข้าไปทำงานในภาคการเกษตร และจะถูกเรียกเก็บค่าหัวคิว ส่งผลให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงถึง 3- 4 แสนบาทต่อคน ดังนั้นกระทรวงแรงงานจึงได้ร่วมมือกับประเทศอิสราเอลและองค์การระหว่าง ประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (ไอโอเอ็ม) ดำเนินการคัดเลือกจะใช้ระบบคอมพิวเตอร์สุ่มคัดเลือกแรงงานไทย และหากผ่านสัมภาษณ์ก็จะจัดส่งไปทำงานที่อิสราเอล โดยเสียค่าใช้จ่ายไม่เกินคนละ 70,000 บาท ทั้งนึ้ทางนายจ้างอิสราเอลแจ้งว่า ต้องการจ้างงานคนไทยในจำนวน 357 อัตรา ซึ่งจากจำนวนผู้สมัครมีผู้ผ่านการสอบสัมภาษณ์และตรวจโรค 101 คน ดังนั้นกระทรวงแรงงานจึงจะจัดส่งแรงงานไทยกลุ่มนี้ไปทำงานในประเทศอิสราเอล ในช่วงเดือน มิ.ย.-ก.ค โดยจะเริ่มจัดส่งแรงงานกลุ่มแรก 22 คน ในวันที่ 27 มิ.ย.นี้ “ถือว่าในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา กระทรวงแรงงานพยายามแก้ปัญหาการเรียกเก็บค่าหัวคิวแรงงานอิสราเอลอย่างต่อ เนื่อง วันนี้ถือเป็นการปิดตำนานค่าหัวคิวแรงงานอิสราเอล หวังว่าแรงงานทุกคนที่ได้ไปทำงานอิสราเอลจะทำให้นายจ้างเชื่อมั่นในศักยภาพ ของแรงงานไทย พร้อมทั้งจะเป็นการสร้างโอกาสให้แรงงานรุ่นต่อไปสามารถเข้าไปทำงานที่ อิสราเอลได้ง่ายยิ่งขึ้น” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว ด้ายนายอิตซ์ฮัก โชฮัม เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบันมีแรงงานไทยทำงานด้านการเกษตรอยู่ในประเทศอิสราเอลประมาณ 27,000 คน โดยมีแรงงานไทยหมุนเวี ยนไปทำงานที่อิสราเอลปีละ 5,000 คน (ประชาชาติธุรกิจ, 27-6-2555) เตรียมเสนอร่าง พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ฉบับใหม่หลังกฎหมายเดิมใช้มา 37 ปี 29 มิ.ย. 55- นายชาลี ลอยสูง ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) กล่าวในงานเสวนา เรื่อง “ยุทธศาสตร์การผลักดันร่างกฎหมายแรงงานของประชาชนสู่สภา กรณี พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ ฉบับบูรณาการแรงงาน” ว่า ขณะนี้ พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ซึ่งบังคับใช้มานานกว่า 37 ปี ถือว่ามีความล้าหลัง และไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน เพราะเป็นกฎหมายที่ยังไม่สามารถคุ้มครอง และให้ความเป็นธรรมกับแรงงานส่วนใหญ่ เช่น แรงงานนอกระบบ แรงงานเกษตรพันธะสัญญา และแรงงานที่เป็นลูกจ้างภาครัฐ ที่จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับความคุ้มครองใด ๆ สำหรับสาระสำคัญของกฎหมายแรงงานฉบับบูรณาการแรงงาน คือ การเพิ่มสิทธิการเข้าถึงความคุ้มครองจากรัฐ เปลี่ยนแนวคิดแรงงานสัมพันธ์จากเดิมที่เป็นนายจ้าง และลูกจ้าง ให้กลายเป็นหุ้นส่วน มีความเสมอภาคในการตัดสินใจ และเปิดโอกาสให้แรงงานได้มีโอกาสรวมตัวและเจรจาต่อรอง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 64 และอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ไอแลโอ) ฉบับที่ 87 และ 98 หลังจากนี้ คสรท.จะทำการรวบรวมรายชื่อแรงงานจำนวน 15,000 รายชื่อ เพื่อเตรียมเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าวในเดือนสิงหาคมนี้ (สำนักข่าวไทย, 29-6-2555) เผย ป.ตรีตกงานเพียบ เหตุจบไม่ตรงความต้องการตลาดแรงงาน 29 มิ.ย. 55 - นายประวิทย์ เคียงผล อธิบดีกรมการจัดหางาน (กกจ.) กล่าวถึงมาตรการที่กระทรวงแรงงานให้การช่วยเหลือนักศึกษาระดับปริญญาตรีที่ เรียนจบมาแล้วไม่มีงานทำว่า ขณะนี้มีนักศึกษาปริญญาตรีจำนวนมากที่เรียนจบมาแล้วไม่งานทำ เนื่องจากนักศึกษากลุ่มดังกล่าวเรียนจบในสาขาที่ไม่ตรงกับความต้องการของ ตลาดแรงงาน เพราะปัจจุบันภาคการผลิตของอุตสาหกรรมมีความต้องการแรงงาน ประเภทช่าง และพนักงานทั่วไปจำนวนมาก (ประชาชาติธุรกิจ, 29-6-2555) 'บุญทรง' ยัน ค่าแรง 300 ไม่เกี่ยวอียูตัดสิทธิ์จีเอสพีไทยปี 56 เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเร่งติดตามการทบทวนขยายเวลาการให้ สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (จีเอสพี) ของสหภาพยุโรป (อียู) แก่สินค้าไทยอย่างใกล้ชิด หลังจากมีแนวโน้มว่าในปี 56 ไทยจะถูกตัดสิทธิ์ในสินค้าหลายรายการ โดยจะต้องรอผลการจัดระบบใหม่ว่าไทยจะยังได้ต่ออายุหรือไม่ แต่ยืนยันว่าการปรับขึ้นค่าแรง 300 บาทต่อวัน ไม่มีผลที่ทำให้รายได้ต่อหัวของประชากรไทยเพิ่มมากไปกว่าเกณฑ์ที่อียูจะ กำหนดใหม่ เพราะไทยมีรายได้ประชากรต่อหัวต่อปีประมาณ 4,000-5,000 เหรียญสหรัฐฯ มานานแล้ว ก่อนที่รัฐบาลจะประกาศขึ้นค่าแรงงาน 300 บาทด้วยซ้ำ “แนวทางดูแลผู้ประกอบการของกระทรวงฯ เบื้องต้นจะแบ่งสินค้าออกเป็นกลุ่ม และรับฟังความคิดเห็นจากเอกชนว่าต้องการให้ช่วยอย่างไรบ้าง หากถูกตัดสิทธิ์จริง เช่น การหาตลาดใหม่ เป็นต้น” นายบุญทรง กล่าว. (ไทยรัฐ, 29-6-2555) ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
ศาลแพ่งมีคำสั่งยกคำร้องกรณีบอลยูโรจอดำ เกรงกระทบลิขสิทธิ์ Posted: 29 Jun 2012 11:29 PM PDT ศาลแพ่งยกคำร้องที่องค์กรผู้บริโภคยื่นขอสั่งคุ้มครองชั่วคราวกรณีฟรีทีวีจอดำไม่ถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2012 เนื่องจากเกรงว่าจะกระทบลิขสิทธิ์ เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. 55 ที่ผ่านมา สำนักข่าวไทยรายงานว่าศาลแพ่งรัชดาฯ รับฟังคำสั่งคดี นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขามูลนิธิเพื่อผู้บริโภค, นางสาวบุญยืน ศิริธรรม ประธานสหพันธ์องค์กรผู้บริโภค กับพวกรวม 5 คน ในฐานะผู้บริโภคใช้บริการสาธารณะฟรีทีวีและผู้ใช้ระบบเคเบิลทีวีและดาวเทียม ยื่นฟ้องบริษัท บีอีซี-เทโร เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการช่อง 3, ททบ.5, โมเดิร์นไนน์ทีวี และ จีเอ็มเอ็ม แซท จำกัด ร่วมกันทำ ละเมิดและผิดสัญญา ขอให้ศาลไต่สวนเพื่อคุ้มครองฉุกเฉินให้จำเลยแพร่ภาพถ่ายทอดสดฟุตบอลยูโรโดยด่วน ก่อนการแข่งขันจะสิ้นสุดในวันที่ 2 กรกฎาคมนี้ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า นอกจากจะพิจารณาประโยชน์ของคู่ความทั้ง 2 ฝ่ายยังต้องพิจารณาประโยชน์และความเสียหายของผู้บริโภคที่รับชมฟรีทีวีและไม่ได้ซื้อกล่องสัญญาณจากแกรมมี่ รวมทั้งยังต้องคำนึงถึงการแข่งขันของภาคธุรกิจอย่างเสรีด้วย เมื่อแกรมมี่ได้รับสิทธิ์การถ่ายทอดมาจากสมาพันธ์ฟุตบอลยุโรปหรือยูฟ่า ก็เป็นสิทธิ์ของแกรมมี่ที่จะระงับการถ่ายทอดสัญญาณ และประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศยังสามารถรับชมการแข่งขันฟุตบอลผ่านทางสายอากาศรับสัญญาณทั่วไปและอินเทอร์เน็ต หากศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ทางยูฟ่าซึ่งอยู่นอกเขตอำนาจศาลไทย อาจใช้เป็นข้ออ้างทางลิขสิทธิ์ในการระงับการส่งสัญญาณให้ช่อง 3,5,9 อาจทำให้ผู้ชมทั่วประเทศไม่ได้รับชมการถ่ายทอดการแข่งขัน และยังกระทบต่อความน่าเชื่อถือของประเทศที่มีต่อประชาคมโลกในเรื่องการรับรองสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญญา รวมทั้งข้อตกลงระหว่างประเทศในเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาในอนาคต และอาจส่งผลต่อเนื่องไปยังการถ่ายทอดสดหรือการแข่งขันกีฬาอื่นๆ ซึ่งเป็นผลเสียที่จะเกิดความเสียหายมากกว่าจึงยังไม่สมควรที่จะมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวระหว่างการพิจารณามาใช้บังคับแก่คดีนี้ มีคำสั่งให้ยกคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราว ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
เด็กสวนนันฯ ย้ำ ไม่เอา ม.นอกระบบ Posted: 29 Jun 2012 10:56 PM PDT นศ.มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา คัดค้านการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ ระบุการดำเนินการขาดความโปร่งใส ไม่เป็นธรรม รวมทั้งขาดการมีส่วนร่วมของประชาคมสวนสุนันทา
เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. เวลาประมาณ 13.00 น. สภานักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา พร้อมด้วยนักศึกษากว่า 300 คน รวมตัวกันบริเวณหน้าตึก 31 อาคารที่ใช้เป็นห้องประชุม เพื่อคัดค้านการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบด้วยเหตุผลที่ว่า "การดำเนินการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบที่เกิดขึ้นขาดความโปร่งใสและเป็นธรรม รวมทั้งขาดการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงของประชาคมสวนสุนันทา" โดย การชุมนุมของนักศึกษาจัดขึ้นบริเวณอาคาร 31 อาคารที่ใช้จัดประชุมสภาคณะกรรมการสภามหาวิทยาลัย เบื้องต้น นายยศอนันต์ โรจนาพันธุ์พัฒน์ ประธานสภานักศึกษา มร.สส. ได้ยื่นหนังสือเปิดผนึกต่อ นายกร ทัพรังสี นายกสภามหาวิทยาลัยฯ เพื่อคัดค้านการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ พร้อมส่งตัวแทนนักศึกษาเข้าร่วมสังเกตการณ์ในที่ประชุม ในวาระที่เกี่ยวข้องกับการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบได้ จำนวนทั้งสิ้น 6 คน กลุ่มนักศึกษาที่เดินทางมารวมตัวกันทั้งหมด ได้รอส่งกำลังใจให้ตัวแทนนักศึกษาให้เข้าไปรับฟังการประชุมของสภา มหาวิทยาลัยเป็นเวลานานกว่า 4 ชั่วโมง แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะกลุ่มตัวแทนนักศึกษา ก็ยังไม่สามารถเข้าไปร่วมการประชุมได้ โดยทางสภามหาวิทยาลัยอ้างว่า ยังไม่ถึงวาระการประชุมเรื่องดังกล่าว จนเวลาประมาณ 16.00 น. นักศึกษาได้ประกาศยุติการรมตัวและยกเลิกการรอเข้าสังเกตการณ์ในที่ประชุม โดยให้ความเห็นว่า ในเมื่อนักศึกษาได้รวมตัวมาเพื่อรอขอพบแล้ว แต่ทางผู้บริหารกลับบ่ายเบี่ยงไม่ยอมเปิดการเจรจา ทำให้นักศึกษาส่วนใหญ่รู้สึกว่าไม่เห็นความสำคัญและไม่ยอมรับฟังความคิดเห็น นักศึกษา โดยที่ผ่านมาก็เกิดลักษณะเช่นนี้มาตลอด เนื่องด้วยทางผู้บริหารได้กระทำการดำเนินนโยบายการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ โดยปราศจากการรับรู้ของนักศึกษา และบุคลากรในมหาวิทยาลัย มีการเร่งเสนอร่างพระราชบัญญัติการเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับ ต่อสภามหาวิทยาลัยอย่างเร่งรีบ โดยไม่ผ่านการมีส่วรร่วมของคนในประชาคม ไม่มีการทำประชาพิจารณ์หรือการทำประชามติใด ๆ และเมื่อเวลา 16.30 นาฬิกา นักศึกษาทั้งหมดจึงได้แยกย้ายการรวมตัว โดยตลอดเวลากว่า 4 ชั่วโมงที่มีการเฝ้ารอเพื่อขอเข้าที่ประชุมของนักศึกษา ก็ได้มีนักศึกษาบางส่วนและอาจารย์บางท่าน ได้ขึ้นเวทีบริเวณหน้าตึก ประกาศเรื่องสถานการณ์ในมหาวิทยาลัยและบอกเล่าถึงลักษณะการเป็นมหาวิทยาลัย นอกระบบอยู่ตลอดเวลา รวมถึงมีการบอกเล่าถึงข้อสงสัยในการเร่งรีบออกร่างพระราชบัญญัติฯ และวิธีการที่ไม่ถูกต้องในการให้ความรู้แก่นักศึกษา การประชุม ของคณะกรรมการสภามหาวิทยาลัยดำเนินไปจนถึง 17.00 โดยจากการสอบถามกรรมการสภามหาวิทยาลัยถึงวาระที่เกี่ยวข้องกับการนำ มหาวิทยาลัยออกนอกระบบ พบว่ามีจะเลื่อนการพิจารณาลงมติการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบออกไปอีก 1 เดือน เพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้ตรวจสอบผลประชาพิจารณ์ โดยทางมหาวิทยาลัยอ้างว่ามีรายชื่อนักศึกษาที่เห็นด้วยกับการนำมหาวิทยาลัย ออกนอกระบบประมาณ 5,000 รายชื่อ ในขณะที่ทางสภานักศึกษาได้ เตรียมยื่นเรื่องขอตรวจสอบรายชื่อดังกล่าว หลังได้รับทราบว่ารายชื่อที่ได้มาทั้งหมดนั้น มาจากความยินยอมในการเห็นชอบหรือไม่ โดยหากพบว่าเป็นการนำชื่อนักศึกษามาโดยการลงรายชื่อจากโครงการอื่น หรือไม่ได้แจ้งจุดประสงค์ในการขอรายชื่อแล้ว ทางสภานักศึกษาก็คงต้องทวงสิทธิให้กับนักศึกษา เพราะเท่ากับว่าทางมหาวิทยาลัยได้ละเมิดสิทธิมนุษชนที่นำรายชื่อของนักศึกษา มาใช้เพื่อจุดประสงค์แอบอ้าง
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | |
ทายาทพระยาพหลฯ เล่าถึงคณะราษฎรในความทรงจำ ทั้งชีวิตยอมปฏิวัติ 24 มิ.ย.ได้ครั้งเดียว Posted: 29 Jun 2012 08:54 PM PDT พันตรีพุทธินาถ พหลพลพยุหเสนา จนเพราะคำนึงถึงศักดิ์ศรีพ่อ-แม่ ย้ำคำพ่อสอน“อย่าคิดว่าเป็นลูกใคร แกก็เหมือนคนอื่นเขา” พระยาพหลฯเป็นคนทั้งดุและใจดี แนะเทคนิคสยบรถถัง พร้อมวิเคราะห์เหตุที่วันที่ 24 มิ.ย.ไม่มีการนองเลือด
พันตรีพุทธินาถ พหลพลพยุหเสนา เมื่อวันที่ 27 มิ.ย.55 ที่ผ่านมา ณ อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว ราชดำเนิน พันตรีพุทธินาถ พหลพลพยุหเสนา วัย 73 ปี บุตรชายคนที่ 4 ในจำนวน 7 คน ของพลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา หัวหน้าคณะราษฎร 2475 กับท่านผู้หญิงบุญหลง ได้บรรยายพิเศษในหัวข้อ คณะราษฎรในความทรงจำ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมรำลึก 80 ปีการเปลี่ยนแปลงการปกครองและมีรัฐธรรมนูญฉบับแรกของไทยในชื่องาน “8 ทศวรรษ ประชาธิปไตย อำนาจสูงสุดยังไม่เป็นของราษฎรทั้งหลาย” ที่จัดโดยสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.)และเครือข่ายองค์กรนักศึกษา โดยพันตรีพุทธินาถ พหลพลพยุหเสนา เริ่มต้นด้วยการตั้งข้อสังเกตถึงคำว่า “คณะราษฎร” ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดทั้งที่สะกดแล้วไม่มีการันต์ แต่ได้ยินกับหูมาโดยตลอด ว่าพวกท่านเหล่านั้นเรียกตัวเองว่าคณะราษฎร (คะ-นะ-ราด) ชีวิตวัยเยาว์ที่วังปารุสกวัน พันตรีพุทธินาถ เล่าว่าตนเป็นลูกชายคนที่ 4 ในจำนวน 7 คน ของพระยาพหลพลพยุหเสนา กับท่านผู้หญิงบุญหลง เกิดที่วังปารุสกวัน ซึ่งเดิม ร.5 สร้างให้กรมขุนพิษณุโลกประชานาถ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ อยู่ เมื่อหลัง 24 มิ.ย.2475 ก็ขอมาเป็นที่ทำการของคณะราษฎร โดยตึกทางด้านถนนศรีอยุธยาเรียกว่าตึกทหาร ชั้นล่างเป็นที่ทำการของคณะราษฎรฝ่ายทหารและเป็นกองบัญชาการทหารบกด้วย เพราะคุณพ่อก็เป็นผู้บัญชาการทหารบก และครอบครัวตนอยู่ชั้นบน ส่วนอีกตึกใกล้กระทรวงศึกษาฯ ก็คือตึกพลเรือน ซึ่งมีท่านปรีดี พนมยงค์เป็นหัวหน้าฝ่ายพลเรือนทำงานอยู่ที่ตึกนั้น ส่วนพี่สาวคนโตของตนเกิดที่บ้านบางซื่อ ปี พ.ศ. 2474 นอกนั้นอีก 5 คนรวมทั้งตน มาเกิดที่วังปารุสกวันทั้งหมด ส่วนน้องคนสุดท้องเกิดที่มหาชัย (สมุทรสาคร) ตอนช่วงสงครามที่คุณพ่อให้ครอบครัวอพยพที่จวนข้าหลวงใกล้ๆกับศาลหลักเมืองมหาชัยโดยคุณพ่อทำงานอยู่ที่กรุงเทพ วันศุกร์ก็ขึ้นรถไฟที่ปากคลองสานไปมหาชัยแล้ววันอาทิตย์ก็กลับมาเพื่อมาทำงานต่อ “ปรีดี พนมยงค์ มีส่วนที่พิจารณากับคุณพ่อ (พระยาพหลฯ)ในการเลือกผู้ใดสมควรที่จะเป็นรัชการที่ 8 ต่อจากพระปกเกล้าที่สละราชสมบัติ” พันตรีพุทธินาถ บุตรชายพระยาพหลฯ กล่าว พันตรีพุทธินาถ เล่าต่อว่า คณะราษฎรไม่ว่าจะทหารหรือพลเรือนไปที่วังปารุสก์ (ปารุสกวัน) บ่อย เช่น คุณอาหลวงอดุลเดชจรัส (บัตร พึ่งพระคุณ) ท่านก็มีบ้านหลังตึกที่คุณพ่อ (พระยาพหลฯ) อยู่ที่นั่น ตนชอบซ่อกแซกตั้งแต่เล็กวันหนึ่งได้เดินเข้าไปในบ้านหลวงอดุลฯ ซึ่งที่รถท่านมีปืนว่างที่พื้น ตนก็ถามนายชาญ คือนายชาญนี้เป็นสิบตำรวจเอกชาญ ก่อนที่จะมาเป็นตำรวจเป็นทหารเสนารักษ์ และตอนหลังคอยอุ้มคอยดูแลคุณพ่อ (พระยาพหลฯ) เพราะตอนหลังเป็นอัมพาตไม่สามารถจะลุกเดินได้ตายไปครึ่งซีก นายชาญพอพลจากทหารก็ไปอยู่กับหลวงอดุลฯ ตนได้ถามนายชาญว่าปืนดังกล่าวเป็นปืนอะไร นายชาญตอบว่าปืนเล็กกล เพราะตอนนั้นหลวงอดุลฯ เป็นรองหัวหน้าเสรีไทย รองจากหลวงประดิษฐ์ฯ (ปรีดี) นามรหัสว่า "รู้ธ" (Ruth) หลวงอดุลฯ มีนามรหัสว่า “พูเลา” เวลาฝ่ายเสรีไทยหรือสัมพันธมิตรมาโดดร่มลงแล้วตำรวจจับ หลวงอดุลฯ จะให้ตำรวจเอาตัวมา ญี่ปุ่นขอตัวก็บอกไม่ได้เพราะพวกนี้ทำผิดกฎหมายไทย เพราะฉะนั้นตำรวจไทยต้องจัดการจับกุมและก็สอบสวน จริงๆ แล้วไปอยู่ที่ตึก ที่ตอนนี้ไม่มีแล้วอยู่ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง ตึกนี้อยู่ข้างกำแพงที่รถรางผ่าน เนื่องจากญี่ปุ่นระแวงคุณอาหลวงอดุลฯ จึงต้องมีปืน โดยพันตรีพุทธินาถ ยังได้เล่าถึงตนเองในวัยเด็กว่าเคยนั่งตักอาควง (ควง อภัยวงศ์) ซึ่งใครบอกว่าท่านเป็นพรรคประชาธิปัตย์ที่ว่าไม่ได้ท่า ตนขอเถียงว่าสำหรับคุณอาควง ตนเชื่อว่าท่านได้ท่า และเป็นคณะราษฎรคนหนึ่งที่ได้ท่า เพราะว่าถ้าไม่ได้คนได้ท่า 3-4 ท่านนี้คือ คุณอาหลวงพิบูลสงคราม คุณอาหลวงประดิษฐ์ คุณอาหลวงอดุลฯ และคุณอาควง ประเทศไทยอาจจะไม่เป็นอย่างทุกวันนี้ก็ได้ จนเพราะคำนึงถึงศักดิ์ศรีของคุณพ่อคุณแม่ที่ท่านสร้างสมมา พันตรีพุทธินาถ กล่าวถึงสภาพครอบครัวเมื่อพระยาพหลฯถึงแก่อสัญกรรมปี 2490 ว่า ตอนนั้นทั้งบ้านมีเงินอยู่ 127 บาท เพราะพระยาพหลฯ ไม่ใช่นักสะสม แต่ก็ไม่ใช่ไม่มีที่ดินเพราะมีที่ที่รังสิต 50 ไร่ และมีบ้านบางซื่อ แต่ในส่วนของตนเองจนเพราะว่ารับราชการทุกอย่างต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีของคุณพ่อคุณแม่ที่ท่านสร้างสมมาเพราะฉะนั้นตนไม่มีสิทธิไปทำลายคุณงามความดีที่ท่านสร้างไว้ เพราะฉะนั้นตนจึงไม่แตะอะไรทั้งนั้น ยอมให้มีการปฏิวัติได้ครั้งเดียวคือ 24 มิถุนา 75 เมื่อปี พ.ศ. 2529 พันตรีพุทธินาถ เล่าว่าตนถูกกล่าวหาว่าซ่องสุมกำลังเพื่อก่อการปฏิวัติ จึงเป็นเหตุให้ตนมียศเพียงพันตรีเพราะตนลาออกตั้งแต่ตอนนั้น โดยคนที่ย้ายตนเป็นเพื่อนกับพี่ชายตนรุ่นเดียวกับสมัคร สุนทรเวช ซึ่งคนที่ย้ายเชื่อว่าตนจะทำจริงเพราะว่าตนเป็นลูกพระยาพหลฯ และเป็นลูกน้องมนูญ (ปัจจุบันคือ มนูญกฤต รูปขจร) ตนอยู่ ม.พัน 4 กับผู้พันมนูญ พันตรีพุทธินาถกล่าวว่า “แค่ 2 อย่างนี้หรือผมต้องปฏิวัติ พี่ผมจะบอกให้ประเทศไทยปฏิวัติกี่ครั้งผมยอมให้ครั้งเดียว 24 มิถุนา 75 ที่พ่อผมกับคณะราษฎรทำ เพราะครั้งนั้นถ้าเกิดไม่สำเร็จผมก็ไม่ได้เกิดเพราะ 7 ชั่วโคตร แต่ครั้งต่อๆ มาเป็นการเปลี่ยนฝูงเหลือบเพื่อสูบเลือดเนื้อประเทศชาติ” พันตรีพุทธินาถ พหลพลพยุหเสนา ยังได้ตั้งข้อสังเกตอีกว่า “พวกที่ทำรัฐประหารจะอ้าง “ประ” 3 ตัวเหมือน นะโม ตัสสะฯ 3 จบ นี่ที่ต้องการปฏิวัติเพราะประเทศชาติมันย่ำแย่ นี่คือประตัวแรก ประตัวที่ 2 คือประชาธิปไตยมันสั่นคลอนมันไม่มั่นคงสักทีเลยต้องปฏิวัติ ไอ้ “ประ” ตัวที่ 3 คือประชาชนเดือดร้อนกันทุกย่อมหญ้าเลยต้องปฏิวัติ แต่ปฏิวัติทีไรไอ้ประ 3 ตัวไม่เคยได้อะไรเลย” นอกจากนี้พันตรีพุทธินาถยังมองอีกว่ากองทัพไทยสมัยนั้นนี่เลิศประเสริฐศรีแต่แต่งตัวเชยผ้าฝ้าย ไม่เหมือนทหารสมัยนี้ที่เหรียญตราพราวไปหมด แต่ไม่รู้ไปรบกันที่ไหนมา นิสัยส่วนตัวพระยาพหลฯ เป็นคนทั้งดุและใจดี พันตรีพุทธินาถ ยังได้เล่าถึงอุปนิสัยส่วนตัวของพ่อตัวเองคือ พลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ว่าเป็นคนทั้งดุและใจดี โดยยกตัวอย่างตัวเองโดนให้อ่าน ก.ไก่ ข.ไข่ พระยาพหลฯได้เขียนทิ้งกระดานดำไว้ให้ในตอนเช้า เย็นกลับมาจากทำงานให้ตนอ่านถ้าอ่านได้ก็จะมีการลูบหัว แต่มีอยู่วันหนึ่งตัวที่ให้ในตอนเช้าอ่านได้ แต่ตัวที่เคยอ่านมาแล้วอ่านไม่ได้ จึงโดนลงโทษโดยพู่ระหงเฆี่ยนที่น่องจนเลือดออก พอเลือดออกก็ถูกบังคับไม่ให้ร้องและเอาทิงเจอร์ลาดแผลและสั่งไม่ให้ร้องอีก ในส่วนที่ใจดีพันตรีพุทธินาถ เล่าติดตลกว่า “ที่วังปารุสก์มีทหารยามที่อยู่หน้าตึกสวมหมวกเหล็กแบบทหารฝรั่งเศส ยืนถือปืนพระราม 6 หลับ คุณพ่อโผล่หน้าต่างชั้นบนเห็น เอาเชื่อผูกตะขอห้อยลงไปเกี่ยวหมวกเหล็กดึงขึ้นมา ทหารตกใจว่า ผีหลอก ผีหลอก คุณพ่อหัวเราะ ฮา ฮา ฮ่า ฮาลั่น เพราะฉะนั้นถึงได้บอกว่ามีทั้งดุทั้งใจดี” พระยาพหลฯสอน “อย่าคิดว่าเป็นลูกใคร แกก็เหมือนคนอื่นเขา” ในเรื่องคำสอนของทั้งพระยาพหลฯ และท่านผู้หญิงบุญหลงต่อพันตรีพุทธินาถเองนั้นก็ได้เล่าว่าพระยาพหลฯได้สอนกับตนว่า “แกเป็นคน เหมือนกับคนทุกคน แกไม่ใช่ไพร่ไม่ใช่ผู้ดีอะไรทั้งนั้น และแกอย่าคิดว่าไอ้คำว่าไพร่คือคนจน คำว่าผู้ดีคือคนรวย ไม่ใช่ คนที่มีจิตใจดีมีมารยาท มีศีลธรรม มีความโอบอ้อมอารี มีระเบียบวินัย คนเหล่านั้นคือผู้ดี ไม่ว่าจะเป็นขอทานหรือว่าอะไร แต่คนมีเงินเป็นเศรษฐีมีบ้านอยู่ใหญ่โต แต่มีนิสัยไม่ดีเอาเปรียบคนอื่น อะไรต่างๆ เหล่านี้พวกนี้คือไพร่” ซึ่งพันตรีพุทธินาถยังได้กล่าวอีกว่าพระยาพหลฯ ได้สอนว่า “อย่าคิดว่าเป็นลูกใคร แกก็เหมือนคนอื่นเขา” ดังนั้นตนจึงเข้านักเรียนนายสิบได้เพราะเป็นคนเท่ากับคนอื่นเขา ตอนเข้าโรงเรียนนายสิบโดยครูก็ได้เรียกตนเองคือพันตรีพุทธินาถไปถามว่าเป็นอะไรกับเจ้าคุณพหลเนื่องจากเห็นนามสกุล ตนเองจึงบอกว่าเป็นลูก ครูคนดังกล่าวเลยถามตนว่าทำไมมาเข้าโรงเรียนนายสิบ ตนจึงตอบกลับไปว่าชอบ แต่ที่เข้าโรงเรียนนายร้อยไม่ได้เพราะสอบไม่ได้ แต่ครูคนดังกล่าวก็จะพยายามช่วยเหลือตนแต่ตนปฏิเสธ “วันที่ 24 มิ.ย.2475 นั้น พระยาพหลฯ อ่านประกาศตรงที่หมุดคณะราษฎรที่มีอยู่ในปัจจุบัน และในตอนนั้นบริเวณดังกล่าวยังเป็นกรวดอยู่ เป็นที่ฝึกทหารของพระนครซึ่งทหารทั้งพระนครทั้งหมดต้องมาฝึกรวมที่ตรงนั้น จึงนำทหารมารวมได้ในวันที่ 24 มิ.ย.” พันตรีพุทธินาถ ยืนยัน ชี้แจงประจำตระกูลรูปเสือ 3 ตัวในกงจักร เกี่ยวตราประจำตระกูลของตนที่เป็นรูปเสือ 3 ตัวในกงจักร แสดงถึงตระกูลทหารเสือ 3 รุ่น ซึ่ง ส.พลายน้อย นักเขียนแนวสารคดีชื่อดังและศิลปินแห่งชาติ พ.ศ. 2553 ที่เขียนถึงประวัติส่วนตัวของ พระยาพหลฯ และได้จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์มติชน พันตรีพุทธินาถ ได้แย้งข้อมูลดังกล่าวว่า “เสือ 3 ตัวนี่ ตัวแรกคุณปู่ ถูกแล้ว (ตามที่ ส.พลายน้อยเขียน) พระยาพหลฯ กิ่ม เสือตัวที่ 2 ไม่ใช่คุณลุงนพ ไม่ใช่พระยาพหลโยธินรามินทรภักดี แต่เป็นคุณย่า คุณย่าเป็นมอญ ของเรียกว่าคุณปู่ผมมีคุณย่า 10 คน คุณย่าผมคุณย่าจับ (พหลโยธิน) เป็นคนที่ 5 เป็นลูกแม่ทัพมอญเก่า อยู่บางไส้ไก่ ใกล้ๆบางขุนเทียน คลองมอญ ที่สมัยก่อนกษัตริย์ให้พวกมอญมาอยู่ที่นี่เพราะฉะนั้นเป็นเสือตัวกลาง และตัวเล็กนั้นใช้เสือพ่อ เพราะฉะนั้นนี่คือชาติเสือ 3 ท่านนี่คือชาติเสือซึ่งต้องไว้ลาย” ชวนเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ ฯพณฯ พลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ปัจจุบันมีอนุสาวรีย์ พระยาพหลฯ ที่ศูนย์การทหารปืนใหญ่ และมีพิพิธภัณฑ์ โดยส่วนของพิพิธภัณฑ์นั้นได้ถูกจัดสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2540 รวมถึงพัฒนาตัวอนุสาวรีย์ที่มีอยู่เดิม โดยพลเอกไพบูลย์ กาญจนพิบูลย์ ซึ่ง พันตรีพุทธินาถ เล่าว่า พลเอกไพบูลย์ ได้พยายามรวบรวมของทุกอย่างของพระยาพหลฯ จากตนเพื่อจะตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์ ซึ่งตนคิดว่าตนเองไม่มีปัญญารักษาของเหล่านั้นก็เลยมอบให้ไป จึงได้มีการสร้างพิพิธภัณฑ์ ฯพณฯ พลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ซึ่งมีอยู่แห่งเดียวที่ศูนย์การทหารปืนใหญ่ ตำบลเขาพระงาม อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี วิเคราะห์เหตุที่วันที่ 24 มิ.ย.2475 ทุกอย่างสงบเงียบไม่มีการนองเลือด พันตรีพุทธินาถได้วิเคราะห์เหตุที่วันที่ 24 มิ.ย.2475 ทุกอย่างสงบเงียบไม่มีการนองเลือดเพราะว่า ผู้ใหญ่ถูกอัญเชิญไปไว้ที่พระที่นั่งอนันตสมาคม รวมทั้งกรมพระนครสวรรค์วรพินิตซึ่งมีอำนาจล้นฟ้าขณะนั้น ก็อยู่ในกำมือของคณะราษฎรมีพระองค์ ทั้งๆ ที่ขณะนั้นประตูชนะไม่มีเลย และพระยาพหลฯ เป็นคนเข้าเฝ้ากรมพระนครสวรรค์ฯ เป็นคนสุดท้าย และโดนกรมพระนครสวรรค์ฯ ต่อว่าว่าอกตัญญูต่อราชวงศ์ทั้งที่พ่อและพี่รวมถึงตัวพระยาพหลฯราชวงศ์เป็นผู้เลี้ยงมา ขณะที่พระยาพหลฯได้กล่าวกลับไปว่า “ข้าราชการ 78 คนถูกไล่ออกเพราะอะไร” เพราะไม่มีเงินเดือนจะจ่ายตอนนั้นรัฐบาลไทยไม่มีเงินเหลือเลยต้องปลด ในขณะที่กรมพระนครสวรรค์ฯ กลับตำหนิพระยาพหลฯ และคณะราษฎรว่าไม่ควรต่อว่าราชวงศ์มากมาย ซึ่งพันตรีพุทธินาถบอกว่าพระยาพหลฯ ตอบกลับไปว่า “ในการรบกันทุกฝ่ายก็หวังเอาชนะอีกฝ่ายหนึ่ง เพราะฉะนั้นคณะราษฎรก็ต้องทำเช่นเดียวกัน แต่เสร็จเมื่อไหร่ก็จะมีการขอขมา” โดยพันตรีพุทธินาถยังย้ำว่าฝ่ายคณะราษฎรไม่ได้ของนิรโทษกรรมเพราะเป็นฝ่ายชนะ นำกษัตริย์มาอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ แต่เป็นการขอขมาแทน เลยมีการนำคณะไปขอขมา พันตรีพุทธินาถยังเล่าว่ากรมพระนครสวรรค์ฯ ได้ถามพระยาพหลฯ ว่าจะเอาแบบฝรั่งเศสหรือเปล่าซึ่งพระยาพหลฯ ตอบกลับว่า “ไม่มีความคิดเช่นนั้น ต้องการให้ประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ เพราะว่าถ้าเผื่อพระมหากษัตริย์รับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวมันก็มีโอกาสผิดพลาดเยอะแยะอย่างที่ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เพราะฉะนั้นระบอบประชาธิปไตยเท่านั้นที่จะทำให้ประเทศชาติเจริญต่อไปได้” โดยพันตรีพุทธินาถยังได้กล่าวอีกว่าพระยาพหลฯ ได้เคยขอร้องกับคณะราษฎรว่าถ้าเอาแบบฝรั่งเศสจะไม่ขอร่วมด้วย หลังจากนั้นพันตรีพุทธินาถได้เล่าว่าพระยาพหลฯ ได้ชี้แจงกับกรมพระนครสวรรค์ฯ ว่าจะมีหนังสือกราบบังคมทูลอัญเชิญเสด็จกลับมาเป็นประมุขของประเทศชาติภายใต้รัฐธรรมนูญโดยให้กรมพระนครสวรรค์ฯ ลงนามรับรองหนังสือนี้ เพราะพระปกเกล้าอยู่ที่วังไกลกังวลและทราบจากโทรเลขว่ามีการปฏิวัติและเตรียมจะไปปีนัง พอหลังจากกรมพระนครสวรรค์ฯ ลงนามรับรองก็ให้หลวงศุภชลาศัยนำเรือสุโขทัยไปที่วังไกลกังวล ซึ่งหลวงศุภชลาศัยก็ให้เรือจอดห่างจากชายฝังโดยให้ปืนเรือทุกกระบอกพร้อมที่จะระดมยิงวังไกลกังวล แล้วก็มีการสั่งไว้ว่าหากไม่เห็นสัญญาณตามเวลานัดหมายให้ระดมยิงวงไกลกังวลโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของตัวหลวงศุภชลาศัย แล้วจึงถือหนังสือไปกับเรือบดถึงชายฝั่งทหารผู้บัญชาการฝ่ายวังที่อยู่ตรงนั้นให้ทหารจับตัวหลวงศุภชลาศัยโดยหลวงศุภชลาศัยได้ชี้แจงว่ามาในนามทูตฝ่ายคณะราษฎรเพื่อนำหนังสือทูลเกล้าถวาย โดยทหารคนดังกล่าวไม่ยอม หลวงศุภชลาศัยจึงให้ทหารคนดังกล่าวส่องกล้องเพื่อมองที่เรือที่หันปืนใหญ่มาที่วังโดยขู่ด้วยว่าปืนที่วังไม่สามารถยิงถึงเรือในขณะที่ปืนจากเรือสามารถยิงมาถึงที่นี้ได้ จึงยอมให้หลวงศุภชลาศัยเข้าเฝ้า ร.7 และได้เห็นลายมือของกรมพระนครสวรรค์ฯ ที่ได้ลงนามมากับหนังสือดังกล่าว ทำให้ ร.7 ยอมกลับไปกับหลวงศุภชลาศัยโดยทีแรกจะให้เสร็จกลับทางเรือ แต่ ร.7 ไม่ไปเรียกร้องให้ทางคณะราษฎรจัดรถไฟมารับ หลวงศุภชลาศัยจึงโทรเลขกลับมาที่กรุงเทพ พระยาพหลฯ ก็มีหนังสือกลับมาว่าจะส่งรถไฟพระที่นั่งมาที่สถานีหัวหินจึงยอมมา ไม่ได้มาทางเรือ แนะเทคนิคสยบรถถัง หากมีการรัฐประหาร โดยไม่ทำลายเพราะล้วนมาจากกระเป๋าประชาชน นอกจากนี้ พันตรีพุทธินาถ ในฐานะผู้เชียวชาญด้านรถถังยังได้แนะนำวิธีในการจัดการกับรถถังหากมีการวิ่งมาในเมืองเพื่อการรัฐประหารว่า “รถถังคือหมาผู้ซื่อสัตย์ของผม เขาคือเพื่อนคู่ชีวิตในสนามรบ เพราะฉะนั้นผมถึงต้อรู้จักเขาเป็นอย่างดี ผมรักเขาเขาจึงรักผม ผมก็เลยได้เลื่อนยศขึ้นมาเพราะเขา จริงๆ แล้วเขาไม่มีวิญญาณ เขาเป็นวัสดุชนิดหนึ่ง แต่เขาเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน ถ้าฝ่ายใดไปทำลายเขาวันหนึ่งพอเหตุการณ์สงบทุกคนก็ควักกระเป๋าไปซื้อเขามาใหม่ เพราะฉะนั้นมันมีจุดอ่อนมันไม่ใช่อาวุธที่ใช้ในเมือง และเด็กพวกนั้นขับรถถังออกมาปฏิวัติมันเท่ห์ มีฝ่ายเดียวที่ยึดฝ่ายต่อสู่ไม่มี ผมหวงทรัพย์สมบัติของชาติ และเสียดายชีวิตพวกเด็กที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่กับชีวิตของพวกเราทั้งหมด เพราะฉะนั้นข้างๆ อย่าขึ้นเด็ดขาด ล้อหรือสายพาน หรือที่ชาวบ้านเรียกตีนตะขาบมันจะทับเท้าแหลกเลย ข้างหน้ามันมีปืนและปืนมันหมุนได้รอบตัว พอมันไปอยู่ข้างหน้าก็ขึ้นข้างท้าย สีสเปรย์กระป๋องเดียว ไม่ต้องไปใช้อาวุธอะไรอย่าไปเผาอย่าไปอะไร ฉีดที่เป็นกระจกทั้งหมดนั่นคือตาของคนที่อยู่ในนั้น อะไรเป็นกระจกฉีดให้หมด พอตาบอดมันก็ไปไหนไม่ได้ แล้วเคาะๆๆออกมาๆไอ้หนู นี่พ่อแม่พี่น้องแกทั้งนั้น แกจะฆ่าเขาได้หรอ แล้วก็เขกกะบานสักที เตะตูดสักที ไปกลับบ้าน” VDO Clip แนะเทคนิคสยบรถถัง หากมีการรัฐประหาร :
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
You are subscribed to email updates from ประชาไท To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น