โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันอังคารที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

ราคายางตก 'ประยุทธ์' ชี้ปัญหาหนึ่งปลูกมากเกินไป แนะปลูก 'ทุเรียน-มังคุด' แทน

Posted: 11 Jul 2017 11:22 AM PDT

พล.อ.ประยุทธ์ ชี้รัฐบาลพยายามแก้ปัญหาราคายางพาราตกต่ำทั้งระบบ ระบุปัญหาสำคัญคือยังคงปลูกมากเกินไป ขอเกษตรกรลดพื้นที่ปลูก ปลูกพืชชนิดอื่นแทน เช่น ทุเรียนและมังคุด ย้ำหากไม่เปลี่ยนราคายางก็คงไม่สามารถขยับสูงไปมากกว่านี้

แฟ้มภาพ

11 ก.ค. 2560 รายงานข่าวระบุว่า ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาราคายางพาราตกต่ำว่า รัฐบาลพยายามแก้ปัญหาทั้งระบบ ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง ต้องยอมรับว่า ปัญหาสำคัญส่วนหนึ่งของไทยคือ ยังคงมีพื้นที่ปลูกยางมากเกินไป และยังพบว่ามีการปลูกในพื้นที่บุกรุกถึง 3 ล้านไร่ แต่รัฐบาลคงไม่สามารถสั่งให้หยุดปลูกได้ทั้งหมด เพราะจะส่งผลกระทบทำให้เกิดความเดือดร้อน  อยากให้เกษตรกรลดพื้นที่การปลูกยางลงและหันไปปลูกพืชชนิดอื่นแทน เช่น ทุเรียน และมังคุดที่มีราคาสูง เพราะหากไม่เปลี่ยนแปลง ราคายางก็คงไม่สามารถขยับสูงไปมากกว่านี้ได้ 

"ทำไมไม่ตัดยางแล้วปลูกผลไม้อื่นบ้างในบางพื้นที่ มันก็จะมีรายได้ตรงนี้ขึ้นมา ถ้าไม่แก้ไขตรงนี้ ราคายางก็อยู่แค่นี้ มันไม่มีขึ้นหรอก วันโน้นกับวันนี้คนละเวลากัน โลกมันไม่ใช่แบบเดิมแล้ว โลกมันเปลี่ยนแล้ว อย่าไปคิดแบบเต่าล้านปีกันเลย" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

ส่วนกรณีที่ต้องการให้ยางมีราคากิโลกรัมละ 70 บาทนั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ต้องพิจารณาจากปริมาณยางว่ามีมากเพียงใด เพราะหากมียางทั้งในสต็อกของไทยและในตลาดโลก คงเป็นไปได้ยากที่จะทำให้ราคาสูงขึ้น รัฐบาลคงไม่สามารถนำงบประมาณไปซื้อยางมาเก็บไว้ได้ทั้งหมด เพราะส่วนหนึ่งยังมียางอยู่ในสต็อกที่ยังไม่ได้ขายออกไป และยังไม่จำเป็นต้องใช้มาตรา 44 ในการแก้ปัญหา เพราะสามารถสั่งการให้หน่วยงานต่าง ๆ นำยางไปใช้งานได้ เบื้องต้นให้ทางทหารช่าง นำยางไปใช้ในการทำถนน ที่ขณะนี้สามารถเพิ่มสัดส่วนได้ถึงร้อยละ 15 แต่จะต้องเพิ่มงบประมาณให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ด้วย นอกจากนั้นยังต้องเพิ่มการใช้ประโยชน์ในส่วนของสาธารณสุข กีฬา แต่ต้องจัดทำแผนการดำเนินงานและเพิ่มงบประมาณเช่นเดียวกัน  ซึ่งแนวทางทั้งหมดจะมีการหารืออีกครั้งที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในวันพรุ่งนี้ (12 ก.ค.) 

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า สำหรับความร่วมมือในการแก้ปัญหาร่วมกันของ 3 ประเทศ ที่ไทยได้ส่งตัวแทนไปพูดคุยนั้น  ที่ประชุมเห็นว่าการทำให้ราคายางสูงขึ้นนั้นทำได้ยาก เป็นผลจากปริมาณยางของไทยมีมากเกินไป ในขณะที่ทั้ง 3 ประเทศได้ปรับลดพื้นที่ปลูกยางของตนเองลงกว่าร้อยละ 50 รัฐบาลจึงต้องปรับปริมาณการผลิตยางของไทยให้เหมาะกับทั้ง 3 ประเทศ และอีกปัญหาหนึ่งคือการที่ 3 ประเทศมองว่าเสถียรภาพทางการเมืองมีผลต่อราคายางพารา โดยเฉพาะกับตลาดการซื้อขายล่วงหน้า จึงขออย่าให้มีการเคลื่อนไหวกดดันในขณะนี้ และสิ่งสำคัญนอกจากมาตรการช่วยเหลือแล้ว เกษตรกรต้องช่วยเหลือตัวเองและร่วมมือในการปฏิบัติตามแนวทางและมาตรการที่อนุมัติมา เพราะสิ่งที่พยายามทำคือการแก้ไขทั้งระบบ โดยไม่ใช้วิธีอุดหนุนที่เป็นการแก้ปัญหาปลายทางเพียงอย่างเดียว   

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กมธ. วิสามัญกฎหมายพรรคการเมือง ยันปรับไพรมารี่โหวตเพื่อป้องกันทุจริต

Posted: 11 Jul 2017 06:39 AM PDT

กมธ.วิสามัญพิจารณาร่างกฎหมายพรรคการเมือง ระบุ ปรับการเลือกผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งของพรรคการเมือง ให้เป็นกิจการภายในพรรค ให้หัวหน้าพรรคเป็นผู้รับผิดชอบหากเกิดทุจริต ย้ำ ม่ขัดแย้งกับ กรธ. มั่นใจ สนช. ไม่คว่ำร่าง

11 ก.ค. 2560 เว็บข่าวรัฐสภา รายงานว่า พลเอก สมเจตน์ บุญถนอม อดีตประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยพรรคการเมือง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ชี้แจงถึงกรณีที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) มีข้อโต้แย้งในกระบวนการไพรมารีโหวตว่าการให้สาขาพรรคกับผู้แทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด คัดเลือกผู้สมัครอาจทำให้เกิดขั้นตอนคัดเลือกที่ไม่สุจริต ซึ่งกรรมาธิการพร้อมจะปรับปรุงขั้นตอนดังกล่าวให้มีความชัดเจน โดยให้ขั้นตอนการคัดเลือกผู้สมัครเป็นกิจการภายในพรรค ที่หัวหน้าพรรคต้องเป็นผู้รับผิดชอบกระบวนการคัดเลือกให้ถูกต้องตามกฎหมาย โดย กกต. ไม่มีอำนาจเข้าไปแจกใบเหลืองใบแดงในขั้นตอนไพรมารีโหวต เพราะหากให้ กกต.เข้าไปดำเนินการย่อมจะเสมือนว่า กกต. ไปรับรองความชอบธรรมการจัดทำไพรมารีโหวต อย่างไรก็ตาม หากมีความไม่ชอบธรรมเกิดขึ้นในขั้นตอนเลือกผู้สมัคร ผู้ไม่ได้รับความชอบธรรมสามารถฟ้องร้องดำเนินคดีได้โดยให้หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรครับผิดชอบร่วมด้วย ขณะเดียวกัน หากโยงไปถึงผู้ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. แล้ว แต่พบว่าเป็นผู้สมัครระบบไพรมารีโหวตอย่างไม่ถูกต้อง ย่อมต้องถูกลงโทษ และมีผลให้พ้นสภาพ ส.ส. ด้วย

พลเอก สมเจตน์ กล่าวถึงกรณีที่ กรธ. มีข้อกังวลถึงการกำหนดให้หัวหน้าพรรคการเมือง ต้องลงเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อในลำดับที่ 1 เท่านั้น ซึ่งจะเป็นการจำกัดสิทธิหัวหน้าพรรคในการลงเลือกตั้งแบบแบ่งเขตด้วยว่า ขอยืนยันว่าในการพิจารณาของกรรมาธิการร่วมอาจมีการเปิดช่องไว้ ให้หัวหน้าพรรคการเมือง สามารถลงเลือกตั้งแบบระบบแบ่งเขตได้ แต่จะต้องเข้ากระบวนการไพรมารีโหวตด้วยเช่นกัน พร้อมกันนี้  ยืนยันว่ากรรมาธิการไม่มีข้อขัดแย้งกับ กรธ. และเห็นว่าระบบไพรมารีโหวต เป็นหลักการสำคัญสำหรับร่างกฎหมายพรรคการเมือง จึงมั่นใจว่า สนช. จะไม่คว่ำร่างกฎหมายหลังกรรมาธิการร่วมพิจารณาเสร็จสิ้น

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ครม.ไฟเขียว ช็อปเครื่องบินขับไล่อีก 8 ลำ 8.8 พันล้าน 'ประวิตร' ย้ำกองทัพปฏิรูปมาตลอด

Posted: 11 Jul 2017 04:48 AM PDT

ประวิตร เผยที่ประชุม ครม.รับทราบจัดซื้อเครื่องบินขับไล่ T-50TH ในระยะที่ 2  จำนวน 8 เครื่อง เพื่อให้ครบ 12 เครื่อง วงเงินประมาณ 8,800 ล้านบาทเศษ 'ประยุทธ์' ระบุตรวจสอบได้หากมีข้อสงสัย

 KAI T-50  เป็นเครื่องบินฝึกขับไล่ขั้นสูงที่ บริษัท KAI ของเกาหลีใต้ พัฒนาขึ้น ที่มาภาพประกอบ http://rach1968.blogspot.com/2015/09/t-50th.html

11 ก.ค. 2560 หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม) วันนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกล่าวว่า ที่ประชุม ครม.รับทราบ การจัดซื้อเครื่องบินขับไล่ T-50TH ในระยะที่ 2  จำนวน 8 เครื่อง เพื่อให้ครบ 12 เครื่อง วงเงินประมาณ 8,800 ล้านบาทเศษ งบประมาณผูกพัน 3 ปี ให้กับกองทัพอากาศ ซึ่งมีการอนุมัติก่อนหน้านี้แล้ว กองทัพอากาศจัดเตรียมงบประมาณไว้แล้ว เป็นการซื้อทดแทนเครื่องบินรุ่น L-39 ที่ใช้มากว่า 20 ปี การจัดซื้อเป็นแบบจีทูจี และเป็นไปด้วยความโปร่งใส  

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวถึงการอนุมัติจัดซื้อเครื่องบินฝึกขับไล่ดังกล่าวด้วยว่า เป็นโครงการผูกพันที่อนุมัติตั้งแต่ปีงบประมาณ 2558 และยืนยันถึงความจำเป็นในการจัดซื้อ เพื่อป้องกันการสูญเสีย 

"เครื่องบินฝึกที่ประจำการในปัจจุบันเป็นรุ่นเก่า และการจัดซื้อเป็นไปตามขั้นตอน สามารถตรวจสอบได้หากมีข้อสงสัยเรื่องการทุจริต โดยไม่ได้ผูกมัดให้จัดซื้อจากประเทศใด" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

ประวิตรย้ำกองทัพปฏิรูปมาตลอดอยู่แล้ว

ต่อกรณีที่ จตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ออกมาเรียกร้องให้มีการปฏิรูปกองทัพ หลังมีารตั้งคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจนั้น  พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า กองทัพปฏิรูปมาตลอดอยู่แล้ว ทุกเรื่อง ปฏิรูปมาตลอดเลย ไม่มีอย่างไหนที่จะไม่ปฏิรูปเลย ปฏิรูปมาตลอดเลย 
แฟ้มภาพ
 
"ที่ทำรัฐประหารนี่ก็ไม่ได้ทำนะ แยกกันไม่ให้คนทะเลาะกันเท่านั้นเอง จะไปปฏิรูปอะไร ไม่ได้เจตนาที่จะมาปฏิวัติ ผมว่าทหารเดี๋ยวนี้ไม่ทำแล้ว"  พล.อ.ประวิตร กล่าว
 
ต่อคำถามที่ว่าการเรียกร้องให้ปฏิรูปกองทัพนั้นเพื่อไม่ให้ทหารเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองนั้น  พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า "ก็ไม่อยากจะเกี่ยวอยู่แล้ว ทหารเขาไม่อยากจะเกี่ยวอยู่แล้ว เดี๋ยวก็เลิกแล้ว พอเลือกตั้งแล้วก็จบ"
 
สำหรับคำถามที่ว่าพูดได้ไหมว่าจะไม่มีรัฐประหารอีแล้วนั้น พล.อ.ประวิตร กล่าวอีกว่า "พูดได้อย่างไรเราก็ไม่รู้ แล้วแต่เหตุการณ์ต่างๆ ใช่ไหม ประชาชนเรียกร้องอย่างนี้ อย่างคราวที่แล้วอย่างนี้แล้วจะทำอย่างไร 

 

เรียบเรียงจาก สำนักข่าวไทย  และมติชนออนไลน์ 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ซูเปอร์ฮีโร่ LGBTQ เชื้อสายละตินคนแรกของ 'มาร์เวล' กับการต่อสู้ทางอัตลักษณ์ในโลกจริง

Posted: 11 Jul 2017 04:48 AM PDT

อเมริกา ชาเวซ เป็นชื่อของซูเปอร์ฮีโร่หญิงเควียร์คนล่าสุดจากค่ายมาร์เวลคอมิคส์ในนามฮีโร่คือ 'มิส อเมริกา' แต่ทว่านอกจากแบบทดสอบทางการต่อสู้และทางชีวิตที่ตัวละครต้องเผชิญแล้ว ผู้แต่งที่สร้างตัวละครตัวนี้ก็ต้องเผชิญกับความท้าทายของเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมเช่นกัน ว่าเธอมีดีแค่ขายอัตลักษณ์ที่ดูเป็นชายขอบจริงหรือไม่

ที่มาภาพจาก en.wikipedia.org

11 ก.ค. 2560 ค่ายการ์ตูนอเมริกัน มาร์เวลคอมิคส์ นำเสนอตัวละครใหม่ชื่อ อเมริกา ชาเวซ เธอคือฮีโรที่ชื่อ "มิสอเมริกา" (Miss America) คนที่สอง ก่อนหน้านี้เธอเคยปรากฏตัวในการ์ตูนซีรีส์อื่น แต่เพิ่งมีการ์ตูนซีรีส์เกี่ยวกับเธอเองเมื่อตั้งแต่เดือน มี.ค. ที่ผ่านมา 

สิ่งที่ทำให้ชาเวซโดดเด่นคือเธอเป็นผู้มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ) ชาวเชื้อสายละตินอเมริกันคนแรกที่มีเนื้อเรื่องเฉพาะของตัวเอง ผู้อ่านจำนวนมากแสดงความยินดีที่มาร์เวลนำเสนอตัวละครชาเวซโดยหวังว่าตัวละครนี้จะเปิดพื้นที่ให้มีการพูดคุยเรื่องผู้อพยพ เรื่องอัตลักษณ์ และเรื่องเพศวิถี ในช่วงที่สหรัฐฯ กำลังอยู่ภายใต้ความตึงเครียดทางสังคมและการเมือง

อเมริกา ชาเวซ ไม่ได้มุ่งอยู่กับเรื่องของอัตลักษณ์อย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องของการค้นพบตัวเองด้วย ในเว็บไซต์ของมาร์เวลระบุว่าชาเวซเป็นซูเปอร์ฮีโร่ที่ต่อสู้กับเหล่าร้าย อีกทั้งยังเป็นผู้ที่เชื่อในเรื่องการศึกษาและการสำรวจตัวเอง

ซีรีส์การ์ตูนนี้มีผู้เขียนบทคือนักเขียนนิยาย แก็บบี ริเวียรา และวาดโดย โจ ควินโยนส์ เรื่องนี้ทำให้สื่อออนไลน์หลายแห่งเกิดความสนใจ จากที่เธอมีอัตลักษณ์ซ้อนทับกันทั้งความเป็นชาวละตินและความเป็นผู้มีความหลากหลายทางเพศ โดยที่ริเวียราเปิดเผยว่าไม่เพียงแค่ชาเวซเท่านั้นที่จะเป็นตัวแทนของผู้หญิง ชาวละติน และชาวเควียร์ผู้ไม่จำกัดกรอบทางเพศ ยังมีตัวละครอื่นๆ รอที่จะทดสอบเธอทั้งทดสอบพลังพิเศษและทดสอบความเข้มแข็งจากภายในตัวพวกเขาเอง

ริเวียราเปิดเผยอีกว่าเธอมีเจตนาที่จะสะท้อนรูปลักษณ์ของผู้คนที่หลากหลายขึ้น เป็นตัวแทนของเพศต่างๆ มากขึ้น และจะมีตัวละครหลายเชื้อชาติทั้งคนดำ อะโฟร-ละติน (ชาวละตินที่มีเชื้อสายแอฟริกัน) ชาวเอเชีย รวมถึงคนที่เป็นลูกผสมและอะไรที่อยู่ระหว่างนั้น ริเวียราบอกอีกว่าการสร้างตัวละครนี้ขึ้นมาทำให้ความฝันของเธอเป็นจริงในแง่ที่ได้เห็นผู้หญิงที่เป็น "แบบเดียวกันเธอ" คือเป็นหญิงที่ไม่ใช่คนผิวขาวที่มีความซับซ้อนและไม่ได้ต้องรูปร่างเพรียว

แต่การเน้นเรื่องอัตลักษณ์ของเธอมากเกินไปก็ทำให้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ออกมาเหมือนกันว่ามันกลายเป็นสิ่งที่รบกวนเนื้อเรื่อง มีบางคนวิจารณ์เรื่องนี้ว่า "เอาประเด็นเพศสภาพมาก่อน เอาเนื้อเรื่องมาทีหลัง" และบ้างก็วิจารณ์ว่าเอาเรื่องอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาเวซขึ้นนำหน้าเรื่องอื่นๆ จนทำให้ตัวละครดูไม่มีพัฒนาการ หญิงชาวละตินผู้หนึ่งก็วิจารณ์เรื่องนี้ว่าแค่นำคนที่ดูเป็นชายขอบมาใช้ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ผู้อ่านเอาตัวเองเข้าไปสวมเป็นตัวละครนั้นๆ ได้ แต่ต้องมีเนื้อเรื่องที่และการวางตัวละครที่ดีด้วย

อย่างไรก็ตามมีช่องยูทูบของกลุ่มชาวละตินชื่อ Pero Like ซึ่งทำร่วมกับ Buzzfeed พูดถึงเรื่องที่ฮีโร่ผู้เป็นเสมือนตัวแทนของพวกเขาในโลกนิยายภาพทำให้พวกอนุรักษ์นิยมฝ่ายขวาออกมาดิ้นได้ ผู้ดำเนินรายการบอกว่า "มันตลกพอสมควรเลยที่ตัวละครที่มีชื่อว่าอเมริกาสามารถกระตุ้นให้พวกอนุรักษ์นิยมฝ่ายขวาแสดงความเกลียดชังอย่างมากได้"

 

เรียบเรียงจาก

Marvel's Queer Latina Superhero Prompts Praise, Criticism and Everything in Between, Global Voices, 04-07-2017

https://globalvoices.org/2017/07/04/marvels-queer-latina-superhero-prompts-praise-criticism-and-everything-in-between/

ข้อมูลเพิ่มเติมจาก

https://en.wikipedia.org/wiki/Miss_America_(America_Chavez)

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

มติ ก.ต. เอกฉันท์ 'ชีพ จุลมนต์' ขึ้น ปธ.ศาลฎีกาคนที่ 44

Posted: 11 Jul 2017 04:16 AM PDT

คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม มีมติเอกฉันท์  'ชีพ จุลมนต์' ขึ้นประธานศาลฎีกาคนที่ 44 

11 ก.ค. 2560 จากกรณีเมื่อวันที่ 6 ก.ค.ที่ผ่านมา อนุกรรมการตุลาการประชุมเพื่อพิจารณากลั่นกรองเพื่อเสนอชื่อบุคคลขึ้นเป็นประธานศาลฎีกาคนที่ 44 ซึ่ง อนุ กต.ลงมติเอกฉันท์ รับบัญชี 1 ครั้งที่ 2 ให้ ชีพ จุลมนต์ เป็นประธานศาลฎีกา โดยอนุ กต.จะนำชื่อ ชีพ เสนอให้คณะกรรมการตุลาการพิจารณาแต่งตั้งในวันนี้ (11 ก.ค.60)

ล่าสุด สื่อหลายสำนักรายงานตรงกันว่า วันนี้ (11 ก.ค.60) ที่ประชุมคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม มีการประชุมวาระพิจารณาเห็นชอบบัญชีรายชื่อที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอชื่อ ชีพ จุลมนต์ รองประธานศาลฎีกาอาวุโสลำดับสอง ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานศาลฎีกา คนที่ 44 ซึ่งระหว่างพิจารณาวาระดังกล่าว ชีพ ในฐานะคณะกรรมการตุลาการซึ่งเป็นผู้ที่ถูกเสนอชื่อได้ออกจากห้องประชุม ทำให้ ก.ต.จาก 15 คน เหลือ 14 คน เป็นผู้พิจารณาวาระต่อไป

โดยเมื่อเวลา 14.40 น. มีรายงานว่าที่ประชุม ก.ต.มีมติเอกฉันท์ 14-0 เห็นชอบให้ ชีพ ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานศาลฎีกา คนที่ 44 ต่อไป 

ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ สืบพงษ์ ศรีพงษ์กุล โฆษกศาลยุติธรรม เปิดเผยว่า วันนี้ (3 ก.ค.60) เวลา 09.30 น. ในการประชุม ก.ต. ครั้งที่ 13/2560 ที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องการโยกย้ายแต่งตั้ง ศิริชัย วัฒนโยธิน ประธานศาลอุทธรณ์ ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานศาลฎีกา ในวาระ 1 ต.ค. 2560 ซึ่งคณะอนุกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมประจำชั้นศาลทุกชั้นศาลได้กลั่นกรองเสนอความเห็นเกี่ยวกับการเลื่อนตำแหน่งดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม เพื่อประกอบการพิจารณา 

ที่ประชุม ก.ต. เห็นว่า ในการพิจารณาแต่งตั้งผู้บริหารจะต้องคำนึงถึงความรู้ความสามารถในการบริหารงานศาลไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าหลักอาวุโส ซึ่งเป็นไปตามระเบียบคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม ว่าด้วยหลักเกณฑ์การแต่งตั้ง การเลื่อนตำแหน่ง การโยกย้ายแต่งตั้งและการเลื่อนเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งข้าราชการตุลาการ พ.ศ. 2554 โดยที่ประชุม ก.ต. ได้มีการอภิปรายอย่างกว้างขวางและพิจารณาแล้วมีมติเป็นเอกฉันท์ไม่เห็นชอบในการแต่งตั้งให้ ศิริชัย วัฒนโยธิน ประธานศาลอุทธรณ์ ดำรงตำแหน่งประธานศาลฎีกา เนื่องจากเป็นผู้ที่ไม่เหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งดังกล่าว แม้จะเป็นผู้ที่มีอาวุโสสูงสุดก็ตาม

สำหรับ ชีพ จุลมนต์ นั้น 'คมชัดลึกออนไลน์' รายงานประวัติด้วยว่า ปัจจุบัน อายุ 63 ปี ซึ่งมีระยะเวลาการดำรงตำแหน่งอีก 2 ปี จนกว่าจะเกษียณราชการในอายุ 65 ปี  ซึ่งจบการศึกษาปริญญาตรี นิติศาสตร์บัณฑิตเกียรตินิยมอันดับ 2  ม.รามคำแหง และปริญญาโทรัฐศาสตร์บัณฑิต จุฬาฯ ซึ่ง ชีพ นับเป็นนิติศาสตร์บัณฑิตจาก ม.รามคำแหง คนแรกที่ได้เข้าดำรงตำแหน่งสูงสุดประมุขตุลาการนี้ 
 
โดยส่วนของการปฏิบัติราชการตำแหน่งผู้พิพากษานั้น ชีพ ก็เป็นองค์คณะพิจารณาคดีสำคัญที่อยู่ในความสนใจของประชาชน เช่น ได้เป็นผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน ในองค์คณะ 9 คนของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดีโครงการจำนำข้าวที่มีอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตกเป็นจำเลย  

อีกทั้งยังเป็นผู้พิพากษา 1 ใน 9 องค์คณะคดีฮั้วประมูลและปฏิบัติหน้าที่มิชอบระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจี ที่มี บุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ – อดีตนักการเมือง-เอกชน รวม 28 รายเป็นจำเลยด้วย

และเป็นองค์คณะในคดีสลายการชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ปี 2551 ซึ่งมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ที่ ป.ป.ช. ยื่นฟ้องอดีตนายกฯ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ , บิ๊กจิ๋ว พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ , พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีต ผบช.น.ตกเป็นจำเลยด้วยอีกสำนวนซึ่งคดีรอฟังผลตัดสินในวันที่ 2 ส.ค.นี้

 

เรียบเรียงจาก ผู้จัดการออนไลน์ คมชัดลึกออนไลน์ และ ไทยพีบีเอส

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สื่อรัฐบาลจีนอ้างเกมออนไลน์ 'คิงออฟกลอรี' มีเนื้อหา 'บิดเบือนประวัติศาสตร์'

Posted: 11 Jul 2017 04:02 AM PDT

ถึงแม้ว่าจีนจะเป็นประเทศที่ปิดกั้นทางอินเทอร์เน็ตอย่างมาก แต่เกมออนไลน์ในจีนก็จัดเป็นหนึ่งในธุรกิจไอทีที่ใหญ่และเติบโตอย่างรวดเร็วมีผู้เล่นอยู่มากถึง 2 ใน 3 ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในจีนทั้งหมด 457 ล้านคน แต่เมื่อไม่นานมานี้จีนเริ่มสยายกงเล็บเข้าไปพยายามควบคุมเกมออนไลน์สัญชาติตัวเองอีกครั้ง โดยอ้างเรื่องเด็กติดเกม และอ้างเรื่องการทำให้เนื้อหาประวัติศาสตร์ "เสื่อมเสีย"

เมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2560 บริษัทเทนเซนต์ (Tencent) ซึ่งเป็นบริษัทไอทียักษ์ใหญ่ในจีนเจ้าของเกมออนไลน์หลายเกมในจีนรวมถึงเกมดังอย่าง "คิงส์ออฟกลอรี" (King of Glory) ออกนโยบายใหม่จำกัดเวลาตามอายุผู้เล่นเพื่อรับกับการที่รัฐบาลจีนแสดงความกังวลเกี่ยวกับเรื่องเด็กติดเกม 

เทนเซนต์ออกนโยบายใหม่กำหนดให้ผู้เล่นอายุต่ำกว่า 12 ปี เล่นได้เพียงไม่เกิน 1 ชั่วโมงต่อวัน เยาวชนที่อายุมากกว่านี้เล่นได้ไม่เกิน 2 ชั่วโมงต่อวัน รวมถึงเพิ่มระบบควบคุมโดยผู้ปกครองและทำให้ระบบการยืนยันตัวตนเข้มงวดขึ้นด้วย บริษัทเกมตอบรับความกังวลของรัฐบาลโดยยอมทำให้พวกเขาเสี่ยงขาดทุน โดยที่ในจีนมีจำนวนผู้ลงทะเบียนเล่นเกมออนไลน์มากกว่า 200 ล้านบัญชี มีอยู่ร้อยละ 20 ที่เป็นเยาวขนอายุต่ำกว่า 17 ปี

แต่การพยายามควบคุมเกมโดยรัฐบาลจีนก็ไม่เพียงแค่เรื่องการจำกัดเวลา อ้างว่ากลัวเด็กติดเกมเท่านั้น พวกเขายังพยายามเข้าไปยุ่งกับเนื้อหาของเกมด้วย รัฐบาลจีนแสดงความกังวลว่าเนื้อเรื่องของเกมจะมีการ "ทำให้ประวัติศาสตร์จีนเสื่อมเสีย" จากมุมมองของรัฐบาล

พีเพิลเดลี หนังสือพิมพ์ของรัฐบาลจีนนำเสนอบทบรรณาธิการเรียกร้องให้มีการควบคุมเนื้อหาเกมมากขึ้นโดยอ้างว่าเกมออนไลน์กำลังตัดขาดจาก "วัฒนธรรมจีน" เนื้อความของบท บก. พีเพิลเดลี ระบุแสดงความไม่พอใจที่เกมออนไลน์บรรยายประวัติศาสตร์ในลักษณะ "ขี้เล่น" หรือ "ล้อเลียน" โดยอ้างว่าการทำเช่นนี้เป็นการ "ละทิ้งประวัติศาสตร์ตามธรรมเนียมประเพณี"

อย่างไรก็ตามสื่อโกลบอลวอยซ์วิลเลจระบุว่า เรื่องที่ประเทศจีนขาดการให้ความหมายทางประวัติศาสตร์ร่วมกันกลายเป็นประเด็นใหญ่ที่มีการวิพากษ์วิจารณ์มาตั้งแต่ปี 2555 โดยที่ทางพรรคคอมมิวนืสต์จีนผูกขาดการตีความประวัติศาสตร์เอาไว้ที่ตัวเองคนเดียวใครที่ตีความประวัติศาสตร์เบี่ยงเบนออกไปจากของพรรคจะถูกกล่าวหาว่า "บิดเบือน" หรือ "ทำให้ประวัติศาสตร์เสื่อมเสีย"

บล็อกเกอร์ชื่อ เจียจื้อเฉียน เขียนถึงเรื่องนี้ว่าเทนเซนต์อาจจะกำลังพยายามออกจากแนวทางเน้นทำกำไรสูงสุดแล้วพยายามเป็นกิจการเพื่อสังคมมากขึ้น แต่ทว่าในประเทศจีนที่ผู้คนไม่สามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างเสรีแล้วสิ่งใดกันที่จะสะท้อนสังคมในแบบที่ผู้คนต้องการได้

นอกจากพีเพิลเดลีแล้วยังมีสื่อของพรรคอมมิวนิสต์จีนอื่นๆ ที่วิจารณ์บริษัทเทนเซนต์มาตั้งแต่ต้นปี 2560 สำหรับกรณีของพีเพิลเดลี พวกเขากล่าวหาว่าคิงออฟกลอรีบั่นทอนประวัติศาสตร์จีนจากการนำตัวละครในประวัติศาสตร์มาตีความใหม่ เช่น การทำให้จิงเคอมือลอบสังหารจิ๋นซีฮ่องเตเป็นหญิงสาวที่ดูยั่วยวนและได้รับความนิยมในหมู่ผู้เล่น

เกมคิงออฟกลอรี เป็นเกมแนววางแผนการต่อสู้ด้วยการควบคุมตัวละคร "ฮีโร่" หรือผู้เล่นแต่ละฝ่ายเข้าต่อสู้แบบที่เรียกว่า "โมบา" (Multiplayer Online Battle Arena) แบบเดียวกับเกมลีคออฟเลเจนด์และแผนที่ "ดีเฟนส์ออฟดิแอนเชียนส์" ที่ผู้คนรู้จักในชื่อ "โดตา" (DOTA) ของเกมวอร์คราฟ 3 เกมแนวนี้มักจะไม่เน้นเนื้อเรื่องมากแต่จะเน้นการแข่งขันระหว่างทีม โดยผู้เล่นแต่ละคนมักจะเลือกใช้ "ฮีโร่" ในความหมายของตัวละครนำที่พวกเขาชื่นชอบความสามารถและเลือกเพราะเหมาะกับวิธีการ่เล่นของพวกเขามากกว่าจะเลือกเพราะเนื้อหาตัวละคร

แต่ก็ไม่แน่ใจว่าสื่อรัฐบาลจีนจะมีความเข้าใจเกมแนวนี้มากขนาดไหน จากที่พีเพิลเดลียังเรียกร้องให้มีหน่วยงานกำกับดูแลเกมออนไลน์เพื่อให้เป็นไป "ในแง่บวก" มากขึ้น หลังจากที่หลายปีที่แล้วมีการออกกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมไม่ให้มีการติดเกมออนไลน์แต่พีเพิลเดลีอ้างว่าไม่มีการบังคับใช้จริงจัง

อย่างไรก็ตามชาวเน็ตจีนในเว็บไซต์โซเชียลมีเดียจีน Weibo ก็แสดงความคิดเห็นไว้ว่า "อย่างพีเพิลเดลีไม่มีหน้าที่จะมาพูดถึงเรื่องการฉกฉวยและบิดเบื่อนปะวัติศาสตร์หรอก" บ้างก็แสดงความคิดเห็นในเชิงประชดประชัน

การออกนโยบายใหม่ตามใจรัฐบาลจีนของเทนเซนต์ทำให้พวกเขาราคาหุ้นตกลงร้อยละ 4 สูญเสียไปราว 10,000 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง หรือราว 43,000 ล้านบาท จากเดิมที่คิงออฟกลอรีเคยเป็นเกมที่ทำายได้สูงสุดในจีนนับตั้งแต่ออกสู่ตลาดในปี 2558 แม้ว่าหลังจากนั้นราคาหุ้นของเทนเซนต์จะค่อยๆ สูงขึ้นอย่างช้าๆ อีกครั้งแต่ราคาหุ้นของบริษัทที่เกี่ยวกับเกมอื่นๆ ก็ร่วงลงหลังจากมีการพยายามออกมาตรการควบคุมเกมตามใจรัฐบาลจีน

หลังจากเทนเซนต์ออกมาตรการควบคุมบัญชีผู้ใช้ใหม่ก็มีผู้เล่น 340,000 คน ถูกจำกัดไม่ให้เข้าเกมได้ในชั่วโมงที่ผู้คนเข้าไปเล่นเกมจำนวนมาก จนถึงตอนนี้มีอยู่ 450,000 บัญชีที่ลงทะเบียนด้วยระบบให้มีผู้ปกครองควบคุม อย่างไรก็ตามมาตรการเช่นนี้เองก็อาจจะไม่สามารถสกัดกั้นเยาวชนได้เสมอไปเพราะกฎเช่นกลับทำให้เกิดช่องทางให้คนขายบัญชีผู้เล่นแบบผู้ใหญ่ให้กับเยาวชนใช้เช้าสู่เกมได้

 

เรียบเรียงจาก

In China's Ideological Battle, 'King of Glory' Game is a Top Target, Global Voices, 06-07-2017

https://globalvoices.org/2017/07/06/in-chinas-ideological-battle-king-of-glory-game-is-a-top-target/

ข้อมูลเพิ่มเติมจาก

https://en.wikipedia.org/wiki/Online_gaming_in_China

https://en.wikipedia.org/wiki/King_of_Glory

https://en.wikipedia.org/wiki/Multiplayer_online_battle_arena

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สิ้น 'แวหามะ แวกือจิก' ผอ.สถานีวิทยุมีเดียสลาตัน

Posted: 11 Jul 2017 03:49 AM PDT

แวหามะ แวกือจิก หรือ แบมะ ผู้อำนวยการสถานีวิทยุมีเดียสลาตัน เจ้าของรายการโลกวันนี้ เสียชีวิตแล้ว โดยเขาถือเป็นผู้มีบทบาทในการสื่อสารทำความเข้าใจกับชาวบ้าน ผู้สื่อสารความคิดของประชาชนต่อคู่ขัดแย้งในพื้นที่ชายแดนใต้

แวหะมะ แวกือจิก ผู้อำนวยการมีเดียสลาตัน (แฟ้มภาพ)

11 ก.ค.2560 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า แวหามะ แวกือจิก หรือ แบมะ วัย 53 ปี ผู้อำนวยการสถานีวิทยุมีเดียสลาตัน เจ้าของรายการโลกวันนี้ (DUNIA HARI INI) ผ่านสถานีวิทยุมีเดียสลาตัน เสียชีวิตแล้ว เมื่อเวลา 03.00 น วันที่ 11 ก.ค 60 ซึ่ง แวหามะ ป่วยเป็นโรคมะเร็งลำไส้ มาแล้ว 3 ปี

โดยจะมีการละหมาดญานะซะห์ เวลา 15.00 น. (บ่ายสามโมง ) ที่มัสยิดนูรูลเอนซาน (มัสยิดปะกาฮะรัง หมู่ที่ 1 ก่อนขึ้นสะพานสูง) และจะฝังมายัตที่กูโบร์โต๊ะอาเยาะห์ จะบังติกอ จ.ปัตตานี

สำหรับมีเดียสลาตันเป็นสื่อท้องถิ่นที่มีอิทธิพลต่อชาวบ้านรากหญ้า ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และเกาะติดสถานการณ์การเมืองและประเด็นความไม่สงบมาโดยตลอดตั้งแต่เมื่อก่อตั้งปี 2551 ก่อนที่จะถูกปิดหลังรัฐประหารปี 57 และกลับมาอีกครั้งเมื่อต้นปี 59

โดยประชาไทได้เคยสัมภาษณ์เขาไว้เมื่อปี 58 ในฐานะผู้มีบทบาทสูงในการสื่อสารทำความเข้าใจกับชาวบ้าน ผู้สื่อสารความคิดของประชาชนต่อคู่ขัดแย้งทั้งสองฝ่าย ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการพูดคุยที่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนมากขึ้น ( อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม สัมภาษณ์ มีเดียสลาตัน: ประชาชนต้องได้ส่งเสียงในกระบวนการสันติภาพ ปาตานี)
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สุรพศ ทวีศักดิ์: ปัญหาความมีเหตุผลแบบพุทธไทย

Posted: 11 Jul 2017 01:03 AM PDT

เมื่อมีผู้ถามว่า พระเล่นเฟซบุ๊ก เช่นไปเที่ยวสถานที่ต่างๆ แล้วถ่ายภาพลงในเฟซบุ๊ก (เป็นต้น) ถือว่าเหมาะสมหรือไม่?

อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ตอบว่า

"...ท่านเข้าใจว่าท่านเป็นพระภิกษุหรือเปล่า คำว่าภิกษุคือผู้เห็นภัยในสังสารวัฏฏ์ เมื่อเห็นภัยก็สละเพศคฤหัสถ์เพราะรู้จักตัวเองว่าสามารถจะศึกษาธรรมะอบรมปัญญาในเพศบรรพชิต...แล้วท่านจะมีเฟซบุ๊กไปทำไม อย่างนั้นไม่สงบ ไม่เป็นไปเพื่อความสงบด้วย..." 

 ที่มา: http://www.dhammahome.com/audio/topic/10607

แน่นอนว่าคำตอบของอาจารย์สุจินต์ตอบบนหลักการของธรรมวินัยชัดเจน และสามารถอ้างหลักธรรมและวินัยมากมายในพระไตรปิฎกมาสนับสนุนความถูกต้องของคำตอบนี้ แต่สำหรับบางคนอาจเห็นว่า คำตอบเช่นนี้เป็นคำตอบที่ยึดภาพพจน์ของพระภิกษุตามคัมภีร์มากไป ไม่เปิดกว้างต่อความเปลี่ยนแปลงของโลกปัจจุบัน

สำหรับผู้อ่านที่อาจไม่คุ้นชื่ออาจารย์สุจินต์ ผมขอคัดข้อความที่กล่าวถึงอาจารย์ในประวัติของท่านมาให้อ่านดังนี้

" อาจารย์สุจินต์ได้บรรยายพระอภิธรรมและวิปัสสนากรรมฐาน  ให้เป็นที่เข้าใจได้ง่ายสำหรับคนสมัยปัจจุบัน  และสามารถนำมาปฏิบัติเป็นปกติในชีวิตประจำวันตามความเป็นจริงของแต่ละคน  ทั้งชีวิตแบบบรรพชิตและคฤหัสถ์  โดยไม่ต้องกระทำสิ่งใดให้ผิดปกติขึ้นมา  และไม่ต้องปลีกตัวหลีกหนีจากหน้าที่การงานและสังคม  อีกทั้งท่วงทำนองและน้ำเสียงการบรรยายที่ชัดเจน กังวาน  และมีเหตุผลสืบเนื่องต่อกันตามลำดับ ชวนแก่การสนใจและติดตาม อนึ่ง ประการที่สำคัญที่สุดคือ การบรรยายธรรมของอาจารย์สุจินต์เป็นการบรรยายโดยยึดถือตามหลักธรรมของพระไตรปิฎก  และอรรถกถาอย่างเคร่งครัด  อันส่งผลให้พระและคฤหัสถ์จำนวนมากมีความเข้าใจในพระอภิธรรมและวิปัสสนากรรมฐานอย่างถูกต้องตามพระไตรปิฎกและอรรถกถา "

อ่านข้อความนี้แล้ว ทำให้ผมนึกถึงที่อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์เคยเขียน (ประมาณ) ว่า พระพิมลธรรม (อาจ อาสโภ) คือผู้ริเริ่มการศึกษาอภิธรรมขึ้นในวงการพุทธศาสนาไทย ความสำคัญคือการศึกษาอภิธรรมเป็นการเปิดพื้นที่ให้กับ "อำนาจนิยามความจริง" ทางพุทธศาสนาขึ้นมาใหม่ที่ท้าทายจารีตอำนาจนิยามความจริงแบบพระที่สืบทอดมาจากยุคปฏิรูปธรรมยุติกนิกาย เพราะการเปิดการศึกษาอธิธรรมส่งผลให้มีฆราวาสจำนวนมากได้เรียนอภิธรรมอย่างแตกฉาน ขณะเดียวกัน "ผู้หญิง" ก็มีโอกาสเรียนและกลายเป็นอาจารย์สอนอภิธรรมที่ได้รับการยอมรับนับถือกว้างขวางอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

อาจารย์สุจินต์คือหนึ่งในอาจารย์สอนอภิธรรมที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ซึ่งต้องถือว่าเป็นสตรีที่มีบทบาทเป็นผู้นำทางปัญญาในพุทธศาสนาที่หาได้ยาก คำบรรยายที่พูดถึงอาจารย์สุจินต์ตามที่ผมยกมาบอกให้เราทราบว่า บทบาทผู้นำทางปัญญาของอาจารย์สุจินต์เกิดจากการศึกษาพระไตรปิฎกและอรรถกถาอย่างแตกฉาน แล้วนำหลักคำสอนในพระไตรปิฎกมาสู่การปฏิบัติวิปัสสนา

พูดง่ายๆ คือนำคำสอนในพระไตรปิฎกแปรมาสู่การปฏิบัติในชีวิตประจำวัน และการปฏิบัติอะไรในทางเจริญสติ เจริญปัญญา ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินชีวิตที่ดีในฐานะฆราวาสหรือนักบวชต้องสามารถนำไปตรวจสอบความถูกต้องได้ตามหลักคำสอนในพระไตรปิฎก

สำหรับคนที่ไม่ชอบอภิธรรมหรือมีมุมมองต่อพระไตรปิฎกอย่างวิพากษ์แบบท่านพุทธทาสที่เสนอว่า จะฉีกเนื้อหาพระไตรปิฎกส่วนที่ไม่จำเป็นต่อการทำความเข้าใจทุกข์และความดับทุกข์ทิ้งสัก 30-60 เปอร์เซ็นต์ก็ได้ อาจไม่ชอบวิธียืนยันความถูกต้องของพระไตรปิฎกแบบอาจารย์สุจินต์ แต่อย่างไรก็ตาม การนำเสนอเนื้อหาพระไตรปิฎกแบบอาจารย์สุจินต์ก็มีลักษณะเชิงวิพากษ์อยู่ด้วย และมี "ศรัทธา" หรืออารมณ์ความรู้สึกที่เห็นคุณค่าในมิติด้านจิตวิญญาณของพุทธศาสนาอย่างชัดเจน

ที่สำคัญมากคือ อาจารย์สุจินต์อ้างคำสอนพุทธะ หรือธรรมวินัยในพระไตรปิฎกได้อย่าง make sense หรือมีความหมาย และมีความเป็นเหตุเป็นผลมากกว่าพระไทยโดยทั่วไป

เวลาเราพูดถึง "ความเป็นเหตุเป็นผล" หรือ rationality ในกรอบของความเป็นสมัยใหม่ (modernity) เราหมายถึง ความเป็นเหตุเป็นผลที่เชื่อมโยงกับความเป็นวิทยาศาสตร์ และการมีเสรีภาพในการถกเถียงโต้แย้ง หรือหักล้างได้ แต่นักคิดบางคนก็มองว่าความเป็นเหตุเป็นผลอาจไม่ได้อิงอยู่กับความเป็นวิทยาศาสตร์อย่างเดียว แต่มันมีความเป็นเหตุเป็นผลในชุดความเชื่ออื่นๆ ที่นอกเหนือจากวิทยาศาสตร์ก็ได้ เช่นความเป็นเหตุเป็นผลของชุดความเชื่อทางศาสนาที่เรียกว่า "ธรรมวินัย" ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเป็นวิทยาศาสตร์อย่างจำเป็น

แต่ปัญหาคือ เมื่อเกิดการปฏิรูปธรรมยุติกนิกายช่วงที่สยามกำลังปรับตัวเผชิญกับอิทธิพลความเป็นสมัยใหม่แบบตะวันตกนั้น ได้มีการทำให้พุทธศาสนามีความเป็นเหตุเป็นผลแบบสมัยใหม่ 2 ส่วนหลักๆ คือ ส่วนแรกตีความคำสอนในพระไตรปิฎกว่ามีเหตุผลสอดคล้องกับวิทยาศาสตร์ ส่วนที่สองสร้างระบบปกครองสงฆ์แบบระบบราชการสมัยใหม่ ที่กำหนดให้พระมีตำแหน่งและอำนาจทางกฎหมาย แต่ความเป็นเหตุเป็นผลที่สร้างขึ้นใหม่นี้ไม่ได้เกี่ยวใดๆ กับความคิดเรื่อง "เสรีภาพ" กล่าวคือ รัฐไม่ได้ให้หลักประกันเสรีภาพทางความคิดเห็นและเสรีภาพทางการเมืองในการใช้เหตุผลวิพากษ์วิจารณ์ โต้แย้งได้แบบที่เกิดขึ้นในสังคมตะวันตก

แปลว่า ความเป็นเหตุเป็นผลแบบสมัยใหม่ของพุทธศาสนาที่สร้างขึ้นผ่านขบวนการปฏิรูปธรรมยุติกนิกาย ก็เป็นเพียง "ความเป็นเหตุเป็นผลแบบสมัยใหม่อย่างไทยๆ" ที่ไปไม่ถึงการสร้างหลักประกันเสรีภาพ จึงทำให้ "เหตุผล" ไม่สามารถทำงานได้จริงหรือได้เต็มที่มาจนกระทั่งทุกวันนี้

ผลก็คืออำนาจทางกฎหมายในระบบปกครองสงฆ์ ได้กลายเป็นอำนาจที่ควบคุมและลดทอนเสรีภาพทางศาสนา และเป็นอำนาจที่ไม่ได้อิงอยู่กับ "ความชอบธรรม" ตามหลักธรรมวินัยในพระไตรปิฎก แม้จะอ้างว่าเป็นอำนาจที่ทำหน้าที่รักษาความถูกต้องของธรรมวินัยในพระไตรปิฎก แต่เมื่อไม่อิงความชอบธรรมตามหลักธรรมวินัยในพระไตรปิฎก ก็ไม่ใช่อำนาจของสังฆะตามพุทธบัญญัติ หรือตามที่ "ออกแบบ" ไว้ในพระไตรปิฎก

เมื่อเป็นเช่นนี้ การอ้างธรรมวินัยในพระไตรปิฎกภายใต้ระบบปกครองสงฆ์ที่ไม่อิงความชอบธรรมตามธรรมวินัยในพระไตรปิฎก จึงไม่ต่างอะไรกับอำนาจที่ไม่ได้มาจากความชอบธรรมตามระบอบประชาธิปไตยอ้างหลักการประชาธิปไตย คือไม่ make sense หรือไม่มีความหมายตามหลักการที่อ้างได้จริง และไม่มีความเป็นเหตุเป็นผล

ยกตัวอย่างเช่น มหาเถรสมาคมอ้างว่า คณะสงฆ์ไทยที่ถือเคร่งตามหลักธรรมวินัยในพระไตรปิฎกทำการบวชภิกษุณีไม่ได้ เพราะไม่เป็นไปตามหลักพระธรรมวินัยในพระไตรปิฎกที่คณะสงฆ์ไทยยึดถือ พออ้างแบบนี้ก็ย่อมเกิดคำถามตามมาทันทีว่า แล้วที่คณะสงฆ์ไทยมียศศักดิ์ มีตำแหน่ง อำนาจทางกฎหมาย มีรายได้รายเดือนจากรัฐ (เงินนิตยภัตจากภาษีประชาชน) มีรถเบนซ์ส่วนตัว มีบัญชีเงินฝากส่วนตัว ฯลฯ เป็นไปตามหลักพระธรรมวินัยในพระไตรปิฎกอย่างไรหรือ นี่คือตัวอย่างของการอ้างธรรมวินัยอย่างไม่ make sense หรือไม่มีความหมายตามหลักการที่อ้างได้จริงและไม่มีความเป็นเหตุเป็นผล เพราะสิ่งที่อ้างกับสถานะตามเป็นจริงของผู้อ้างขัดกันในระดับรากฐาน

ต่างจากการอ้างธรรมวินัยแบบอาจารย์สุจินต์ที่ make sense หรือมีความหมายและเป็นเหตุเป็นผล เนื่องจากอาจารย์สุจินต์อยู่ในสถานะที่สามารถ "ซื่อตรง" ต่อหลักการของธรรมวินัยได้จริง เพราะอาจารย์อยู่นอกระบบปกครองสงฆ์ ซึ่งแปลว่าอาจารย์ไม่ได้ถูกระบบกำหนดให้มีสถานะ ตำแหน่ง อำนาจที่ขัดหลักการพื้นฐานของธรรมวินัย จึงอ้างธรรมวินัยบนจุดยืน หรือบนหลักการของธรรมวินัยได้อย่างไม่ขัดแย้งในตัวเอง หรือไม่ขัดขาตัวเอง 

ฉะนั้น การอ้างธรรมวินัยจาก "คนนอกระบบ" แบบอาจารย์สุจินต์ จึงเผยให้เห็นปัญหาความไม่ make sense หรือความไร้ความหมาย ความไม่เป็นเหตุเป็นผลของประเพณีหรืออำนาจในการอ้างธรรมวินัยของ "คนในระบบ" ของพุทธศาสนาไทยได้อย่างชัดเจนล่อนจ้อน

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อดีต ส.ส.ปชป. ถาม 'ประยุทธ์' เข้าใจบรรษัทภิบาลไหม ตั้งบอร์ดรัฐวิสาหกิจมีแต่ทหารเพียบ

Posted: 11 Jul 2017 12:29 AM PDT

รัชดา อดีต ส.ส.ปชป. ถาม 'ประยุทธ์' เข้าใจบรรษัทภิบาลดีแค่ไหน ตั้งบอร์ดรัฐวิสาหกิจ เหน็บว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง มีแต่ทหารเข้ามานั่งเพียบ บางแห่งมี 4-6 คน ขณะที่ 3 ปียุค คสช. ทหารนั่ง ปธ.บอร์ดเพิ่มขึ้น 5 เท่า

รัชดา ธนาดิเรก อดีต ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ 

11 ก.ค. 2560 ไทยรัฐออนไลน์ รายงานว่า เมื่อวันที่ 10 ก.ค. ที่ผ่านมา รัชดา ธนาดิเรก อดีต ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีการตั้งคณะกรรมการ (บอร์ด) ดูแลหน่วยงานรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง ซึ่งพบว่า รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ตั้งบรรดานายพลทหารเข้าไปเป็นบอร์ดกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจทุกแห่งจำนวนมาก ว่า การตั้งบอร์ดรัฐวิสาหกิจแบบนี้ต้องถามรัฐบาลว่า มีนโยบายจริงจังที่จะให้มีบรรษัทภิบาลมากน้อยแค่ไหนกัน (corporate governance) เพราะเห็นรายชื่อบอร์ด หรือกรรมการรัฐวิสาหกิจทุกแห่งแล้ว ตั้งคำถามว่ารัฐบาลนี้เข้าใจคำว่า บรรษัทภิบาลมากน้อยแค่ไหน อย่างไร คนจะขึ้นมาเป็นบอร์ดนั้นไม่ใช่มาเซ็นชื่อและรับเบี้ยประชุม หรือเป็นแค่ตรายางให้ฝ่ายบริหาร แต่มีหน้าที่สำคัญ คือ ต้องกำกับดูแลฝ่ายบริหารให้ดำเนินการไปสู่ผลประกอบการที่ดี รวมถึงกำหนดทิศทาง ตรวจสอบความโปร่งใสและการปฏิบัติตามกฎระเบียบของฝ่ายบริหาร ปกป้องผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียขององค์กรด้วย

"เมื่อเข้าไปดูรายชื่อแล้วจะพบว่า จิ้มไปตรงไหนก็เจอทหารนั่งเป็นบอร์ดอย่างน้อยรัฐวิสาหกิจละสองคน บางแห่งมีสี่ถึงหกคน เช่น บริษัทการบินไทย (มหาชน) บริษัทท่าอากาศยานไทย (มหาชน) และองค์กรการไฟฟ้าต่างๆ ไม่ใช่ว่าทหารไม่เก่งหรือทหารไม่ดี แต่ต้องยอมรับว่าไม่มีใครเก่งทุกเรื่องรู้ทุกเรื่อง ดังนั้น คนเป็นบอร์ดต้องมีประสบการณ์และความเข้าใจในธุรกิจขอองค์กรนั้นๆ การอยู่รอดทางธุรกิจต้องแข่งกันที่วิสัยทัศน์ ข้อมูล และความรอบคอบ คนไม่เคยทำธุรกิจเลยจะมากำกับดูแลองค์กรขนาดใหญ่ มีมูลค่าเป็นพันเป็นหมื่นล้านไหวหรือ แต่นี่ก็แต่งตั้งกันมา แปลว่า ไม่ได้ตระหนักถึงหน้าที่อันสำคัญของกรรมการบริษัท หรือคิดแต่เพียงอยากสนับสนุนพรรคพวกตนเอง ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว มันจะต่างกับที่ได้กล่าวหานักการเมืองว่า แทรกแซงรัฐวิสาหกิจเอาแต่คนใกล้ตัวอย่างไร ทั้งที่จริงมีผู้มีประสบการณ์และคุณสมบัติตรงและผ่านการอบรมด้านนี้โดยตรงพร้อมให้รัฐบาลสรรหาไปทำหน้าที่กรรมการบริษัท มองคนเก่งที่เขาไม่ได้อยู่ในเครื่องแบบบ้าง รัฐวิสาหกิจจะได้ทีคนเหมาะสมมาดูแลองค์กรให้เป็นแหล่งรายได้ให้รัฐบาลจริงๆ เสียที และขอฝากบอร์ดการท่าอากาศยานชุดนี้ด้วย ดูท่าทีจะเพิกเฉยต่อข้อค้นพบของ สปท.ที่พบว่า มีการทุจริตทำให้รัฐเสียประโยชน์หมื่นกว่าล้าน ทั้งๆ ที่เรื่องนี้คือหน้าที่โดยตรง" รัชดา กล่าว

3 ปียุค คสช. ทหารนั่ง ปธ.บอร์ดเพิ่มขึ้น 5 เท่า ประยุทธ์แจงเข้าไปสังเกตการณ์

โดยเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา บีบีซีไทย ได้เปิดเผยข้อมูลเนื่องในวาระครบรอบ 3 ปีการรัฐประหารของ คสช. ท่ามกลางกระแสการปฏิรูป หนึ่งในองค์กรที่มีการปฏิรูปคือ รัฐวิสาหกิจ แต่ปรากฏว่า 3 ปีที่ผ่านมา จำนวนทหารนั่งเป็นประธานในคณะกรรมการ (บอร์ด) รัฐวิสาหกิจเพิ่มขึ้น 5 เท่า เป็น 16 แห่ง ส่วน จำนวนทหารและอดีตทหารเข้าเป็นกรรมการในบอร์ดเพิ่มขึ้นเกือบ 100% ใน 40 รัฐวิสาหกิจ
 
ขณะที่ต่อมา 6 มิ.ย.60 พล.อ.ประยุทธ์ ได้ตอบว่า ช่วงที่ผ่านมา ก็มีปัญหาภายในบอร์ดรัฐวิสาหกิจ ก็ได้มีการจัดให้ทหารเข้าไปนั่งสังเกตการณ์ ไม่ใช่ไปนั่งยกมือแสดงความคิดเห็น หลายเรื่องรัฐบาลก็ได้แก้ไขปัญหาไปแล้วโดยได้รับข้อมูลเป็นสัดส่วนของกรรมการในบอร์ดตามกฎหมายอยู่แล้ว ไม่ใช่เป็นการเอาทหารเข้าไปนั่งในบอร์ดจำนวนมาก แล้วตัดส่วนอื่นออกและเป็นบอร์ดกรรมการทั่วไปไม่ได้เป็นบอร์ดกรรมการเฉพาะทาง
 
สำหรับรายละเอียดของรายงานดังกล่าวของ บีบีซีไทย ระบุว่า จากการตรวจสอบรายชื่อบอร์ดรัฐวิสาหกิจ 56 แห่ง จากชุดก่อนหน้าที่ คสช. จะเข้ามา ผ่านรายงานประจำปี ปี 2556 ของทุกรัฐวิสาหกิจ กับชุดปัจจุบัน ผ่านรายงานประจำปี 2559 หรือเว็บไซต์ของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ พบว่ารายชื่อทหารที่เข้ามานั่งในบอร์ดรัฐวิสาหกิจ มีจำนวน "เพิ่มขึ้น" จาก 42 คน ใน 24 แห่ง เป็น 80 คน ใน 40 แห่ง หรือเกือบหนึ่งเท่าตัว และจำนวนรัฐวิสาหกิจที่มี "ประธานบอร์ด" เป็นทหาร ไม่ว่าจะยังรับราชการอยู่หรือเกษียณอายุราชการแล้ว เพิ่มขึ้นจาก 3 แห่ง เป็น 16 แห่ง หรือมากกว่า 5 เท่าตัว
 
นอกจากนี้ ทหารบางคนนั่งในบอร์ดรัฐวิสาหกิจมากกว่า 1 แห่ง" บางคนเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ควบคู่กันไปด้วย ทำให้เกิดข้อสงสัยเรื่องประสิทธิภาพในการทำงาน เนื่องจากต้องทำงานหลายแห่งในเวลาเดียวกัน

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

แพทย์ชนบทจับตาแก้ ก.ม.บัตรทอง 3 ประเด็น ‘ร่วมจ่าย-แยกเงินเดือน-จัดซื้อยา’

Posted: 10 Jul 2017 11:54 PM PDT

ประธานแพทย์ชนบท เผย 3 ประเด็นสำคัญในการแก้ไขกฎหมายบัตรทอง ระบุ สธ.มีเจตนาชัดในการปลุกผีดิบร่วมจ่าย ณ จุดบริการ ประกาศสู้ ไม่ยินยอมให้แยกเงินเดือนบุคลากรจากงบเหมาจ่าย ย้ำหากยอมให้กระทรวงหมอจัดซื้อยาเอง จะซ้ำรอยทุจริต 1,400 ล้านบาท

 
11 ก.ค. 2560 รายงานข่าวแจ้งว่า นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบท กล่าวว่า ก่อนจะมีระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) มีปัญหาสุขภาพ 3 เรื่องใหญ่ๆ ได้แก่ 1.ความเสมอภาคเท่าเทียม ทั้งระหว่างคนเมืองกับชนบทและแต่ละภูมิภาค และปัญหาระหว่างกองทุนต่างๆ ในเรื่องชุดสิทธิประโยชน์ที่รัฐให้การดูแล 2.คุณภาพของบริการ 3.ประสิทธิภาพของระบบ
 
นอกจากนี้ ก่อนหน้านี้ประเทศไทยจัดระบบบริการตามโครงสร้างของกระทรวงมหาดไทย (มท.) และผูกติดระบบบริการกับหน่วยบริการที่ถูกสร้างขึ้นมาในแต่ละพื้นที่ เช่น บางจังหวัดมีโรงพยาบาลระดับโรงพยาบาลจังหวัดจำนวน 3-4 แห่ง อัตรากำลังข้าราชการก็แปรไปตามขนาดของโรงพยาบาลโดยที่ไม่ได้สนใจภาระงานที่เกิดขึ้นจริง บางจังหวัดมีภาระงานน้อยแต่มีโรงพยาบาลและข้าราชการมากรัฐก็ดูแลมาก ซึ่งในอดีตพบว่าภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นภาคที่ได้รับการดูแลจากรัฐน้อยที่สุด นั่นหมายความว่าประชาชนภาคอีสานก็ย่อมได้รับการดูแลน้อยกว่าภาคอื่นๆ
 
นพ.เกรียงศักดิ์ กล่าวว่า ทั้งหมดจึงนำมาซึ่งความคิดในการปฏิรูประบบเปลี่ยนจากระบบอนาถาหรือขอทานบริการมาเป็นการให้สิทธิแก่ประชาชน โดยเริ่มจากนำงบประมาณทั้งหมดมาหารด้วยจำนวนประชากรทั้งหมด ซึ่งจะทำให้โรงพยาบาลขนาดเล็กได้รับเงินเพิ่มขึ้นและสามารถเหลือเงินไปจ้างลูกจ้างชั่วคราวมาให้บริการประชาชนในชนบท ฉะนั้นหลักการสำคัญของบัตรทองก็คือ 1.เราต้องการให้เกิดความเป็นธรรมในทุกมิติ 2.คุณภาพการบริการจะเกิดขึ้นได้เม็ดเงินต้องเพียงพอ 3.การบริการมีประสิทธิภาพภายใต้กลไกการควบคุมโดยอำนาจของผู้ซื้อบริการ
 
"ถ้ามันตกอยู่ในมือของกระทรวงสาธารณสุข พอมีงบประมาณมาก็โกงงบประมาณกัน พอมีรถพยาบาลมาก็โกงรถพยาบาลกัน ตั้งราคาที่สูงเกินจริง ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลชุดไหนสีไหน เหมือนกันหมดคือไปซื้อของที่ไม่อยากได้แต่เรียกส่วนต่างได้ ซึ่งปรากฏการณ์เหล่านี้จะทำให้ชาวบ้านไม่สามารถเข้าถึงบริการ ไม่สามารถเข้าถึงยาได้" นพ.เกรียงศักดิ์ กล่าว พร้อมกล่าวด้วยว่า หากไม่มีการควบคุมการบริการที่มีประสิทธิภาพโดยอำนาจของผู้ซื้อ อำนาจการต่อรองราคาก็จะไม่เกิดขึ้น โดยสิ่งที่เห็นชัดตั้งแต่ก่อนและหลังมี สปสช.ก็คือกรณีการทำสิทธิเหนือสิทธิบัตรยา (ซีแอล) ที่ทำให้บริษัทยาลดราคาลงจำนวนมาก หรือยกตัวอย่างกรณีเลนส์ตาซึ่งในอดีตคนไข้ต้องผ่าเอง แต่ตั้งแต่มี สปสช.ต่อรองราคาจากข้างละกว่าหมื่นบาทเหลือแค่ 2,800 บาท นั่นเพราะ สปสช.จัดซื้อเป็นจำนวนมากและจัดซื้อจริง
 
นพ.เกรียงศักดิ์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้มีความพยายามพลิกฟื้นผีดิบการร่วมจ่ายขึ้นมาอีกครั้งโดยส่อเจตนาชัดเจน ส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับการร่วมจ่าย ณ จุดบริการ เพราะจะทำให้แพทย์กลายเป็นซาตานโดยไม่รู้ตัว เพราะแทนที่จะตรวจคนไข้อย่างญาติมิตรพี่น้องก็กลายเป็นว่าต้องถามสิทธิของเขาก่อน แพทย์ก็จะเกิดบาปขึ้นไม่รู้ตัว
 
นอกจากนี้ ประเด็นที่สำคัญที่สุดก็คือเรื่องการแยกเงินเดือนบุคลากรออกจากงบเหมาจ่ายรายหัว ขอประกาศจุดยืนว่าอย่างไรแล้วเงินเดือนก็ต้องอยู่ในเงินเหมาจ่ายรายหัวไม่สามารถแยกได้ เพราะหากแยกออกไปแล้วโรงพยาบาลในเมืองก็จะไม่เกิดสำนึกทางการเงิน เวลาใครขอย้ายจากชนบทไปอยู่ในเมือง เมืองก็จะรับทันทีเพราะไม่ต้องจ่ายเงินอะไร แต่ถ้ายังรวมอยู่ในรายหัวเหมือนเดิม โรงพยาบาลเมืองก็จะประเมินแล้วว่าคนของตัวเองเยอะเกิน อาจจะไม่รับเพิ่มดีกว่า ตรงนี้จะเป็นแรงช่วยดันไว้ช่วยชะลอไม่ให้แพทย์ไหลจากชนบทไปสู่เมืองได้เร็วขึ้
 
"ต้องขอบคุณภาพประชาชนที่เข้าใจประเด็นต่างๆ และออกมาร่วมต่อสู้ และแพทย์ชนบทก็ไม่ได้หนีไปได้ ก็ยังร่วมต่อสู้อยู่ตรงนี้ โดยเรื่องที่สำคัญก็คือเรื่องการร่วมจ่าย เรื่องการแยกเงินเดือน และเรื่องการจัดซื้อยา หากไม่ต่อสู้แล้วยอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้น เราเกิดปัญหาอย่างแน่นอน โดยเฉพาะเรื่องการจัดซื้อยาหากยังปล่อยให้อยู่ในมือกระทรวงสาธารณสุข มันก็จะเกิดปรากฏการณ์อย่างที่พวกเราหลอนกันอยู่ คือมีงบมา 1,400 ล้านบาท นักการเมืองสั่งได้ รัฐมนตรีสั่งได้ สั่งให้ข้าราชการไปซื้อในสิ่งที่ไม่จำเป็น ทั้งๆ ที่งบประมาณเป็นภาษีของเรา ฉะนั้น 3 ประเด็นนี้คือประเด็นสำคัญ หากจะมีการปรับแก้กฎหมายก็ต้องทำให้ 3 เรื่องนี้ดีขึ้น ไม่ใช่ทำให้มันสวนทางกัน"นพ.เกรียงศักดิ์ กล่าว
 
ทั้งนี้ เพจชมรมแพทย์ชนบท กำลังติดตามการกันงบค่าเสื่อม 30% ไว้ที่ส่วนกลาง โดยทำหนังสือเปิดผนึกถึง นพ.โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข  ลงวันจันทร์ที่ 10 ก.ค.ความว่า 
 
"ตามที่ท่านได้ แจ้งในบอร์ด สปสช.เมื่อวันที่ 3 ก.ค.2560 ท่านขอให้บอร์ด สปสช.แก้ไขประกาศ เกณฑ์การจัดสรร งบค่าเสื่อมให้กับโรงพยาบาลต่างๆเสียใหม่
 
จากเดิมงบนี้จะต้องกระจายลงไปสู่หน่วยบริการต่างๆ ร้อยละ90 กันไว้ร้อยละ 10 ดูในภาพรวม และทำให้หน่วยบริการต่างๆมีงบในส่วนนี้เพิ่มขึ้น กระจายอย่างเป็นธรรม ลดปัญหาการจัดสรรที่อาจส่อไปในทางทุจริต กินหัวคิว ทั้งระดับบน เขต จังหวัดได้
 
แต่ท่านกลับทำหนังสือถึงเลขา สปสช.ให้เสนอบอร์ดเพื่อแก้ไขประกาศ ให้กันไว้ถึง 30 เปอร์เซนต์ เหลือไปโรงพยาบาลต่างๆเพียง 70 เปอร์เซนต์
 
ยังไม่ทันไร ก็เห็นแล้วว่าท่านคิดอะไร การรวบอำนาจมีจริง การแก้ กฏหมายบัตรทอง ส่อเค้าลางแห่งความไม่เป็นธรรมในระบบสุขภาพเกิดขึ้น ย้อนยุคสมัยทุจริตยา ค่าเสื่อม ไทยเข้มแข็ง รถพยาบาลฉาว ประวัติศาสตร์นี้ คนในกระทรวงบางคนไม่เคยจดจำ
 
ท่านเคยเอาเรื่องนี้ไปเสนอใน กรรมการ 7*7 หรือไม่ ทั้งๆที่ท่านนั่งหัวโต๊ะ
ท่านเคยเอาเรื่องนี้ไปเสนอในอนุกรรมการการเงินการคลังหรือไม่ เพราะทุกเรื่องเกี่ยวกับการจัดการด้านหลักประกันต้องผ่านกรรมการกลั่นกรองชุดนี้ก่อน แล้วอยู่ๆท่านเอาไปเสนอในบอร์ด
 
ไม่น่าเชื่อว่ากรรมการ 7*7 ที่ให้เป็นเวทีเพื่อเสนอความเห็นโดยมีตัวแทนทั้งจากโรงพยาบาล และ สปสช. ที่ รมว.สธ.เป็นผู้แต่งตั้ง ปลัด สธ.เป็นประธานเอง แต่ท่านกลับรวบรัดใช้อำนาจลัดขั้นตอน
 
เขียนด้วยมือลบด้วยเท้า
 
จึงขอเรียกร้องให้ท่านปลัดโสภณ ถอนเรื่องนี้กลับไปโดยเร็ว และหากยืนยันตามความคิดของท่าน พวกเราชมรมแพทย์ชนบท โรงพยาบาลชุมชน จะขอคัดค้านอย่างถึงที่สุด
 
งบลงทุนในกระทรวงสาธารณสุข ที่กระจายไม่เป็นธรรม ไม่เหมาะสม ในมือปลัดกระทรวงสาธารณสุข กว่า 10,000 ล้าน ยังไม่พออีกหรือ
 
ท่านกำลังจะรีดเลือดปู
 
ท่านกำลังดูดไอติม จนเหลือแต่ ไม้ไอติม
 
 หากเป็นอย่างนี้แล้ว งบจะยังคงไปถึงโรงพยาบาลอีกหรือ?"

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น