ประชาไท | Prachatai3.info |
- วุฒิสภาสหรัฐฯ โหวตคว่ำ 'ทรัมป์แคร์' ชัยชนะจากการเคลื่อนไหวของกลุ่มสิทธิคนพิการ
- ประยุทธ์ อัด 'รบ.ก่อน' เลี้ยงไข้แก้ปัญหา 'ยาง' หวังเรียกคะแนนเสียง กลายเป็นสินค้าการเมือง
- ทหารชี้ ‘ไผ่ ดาวดิน’ ไม่ยอมถูกปรับทัศนคติหลังชูป้าย ‘ค้านรัฐประหาร’ จึงถูกดำเนินคดี
- วัฒนาอัดรัฐละเมิดนิติธรรม หลังฟ้อง ม.116 เหตุโพสต์ให้กำลังใจยิ่งลักษณ์-วิจารณ์คสช.
- ทหารยิงรถชาวบ้านเจ็บ 3 ราย เข้าใจผิดคิดว่าคนร้าย ผบ.ฉก.ปัตตานียันรับผิดชอบทุกกรณี
- เมื่อปัญญาประดิษฐ์เฟซบุ๊กสร้างภาษาใหม่ขึ้นมาสื่อสารกันเองโดยที่มนุษย์ยากจะเข้าใจ
- สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 23-29 ก.ค. 2560
- ผู้ว่าฯ สระแก้วตั้งกรรมการสอบกรณีรถพ่วง 7 คันขนย้ายข้าว-สำแดงเอกสารเท็จ
วุฒิสภาสหรัฐฯ โหวตคว่ำ 'ทรัมป์แคร์' ชัยชนะจากการเคลื่อนไหวของกลุ่มสิทธิคนพิการ Posted: 29 Jul 2017 10:56 AM PDT กลุ่มพลเมืองในสหรัฐฯ เคลื่อนไหวต่อต้านทรัมป์แคร์
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (28 ก.ค. 2560) วุฒิสภาสหรัฐฯ ลงมติคัดค้านร่างข้อกำหนดสวัสดิ ในขณะที่นักวิจารณ์รายใหญ่ นักข่าวอิสระ พอล เบลสต์ ระบุว่าสิ่งที่ทำให้ทรัมป์แคร์ เมื่อเดือนที่แล้วสื่อ Vox รายงานว่ามีผู้ประท้วงจาก ADAPT ถูกจับกุมมากถึง 50 รายภายในวันเดียว มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เจ้าหน้าที่ สเตฟานี วูดวาร์ด ผู้จัดการประท้วงกับ ADAPT เล่าถึงการประท้วงว่าผู้ชุมนุ มีผู้ใช้ทวิตเตอร์หลายคนวิจารณ์
เรียบเรียงจาก Common Dreams, For Defeat of Trumpcare, Thank Disability Rights Activists, Not John McCain, 28 Jul. 2017 ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ประยุทธ์ อัด 'รบ.ก่อน' เลี้ยงไข้แก้ปัญหา 'ยาง' หวังเรียกคะแนนเสียง กลายเป็นสินค้าการเมือง Posted: 29 Jul 2017 09:13 AM PDT ประยุทธ์ ชี้ต้องปรับตัว แก้ปัญหาราคายาง ระบุมีเพียงแต่รัฐบาลนี้ ที่กล้าพูดความจริง ถ้ายังใช้การแก้ปัญหาแบบเอาตัวรอดไปวัน ๆ เลี้ยงไข้เพื่อเรียกคะแนนเสียง ยางพารา จะไม่ต่างจากสินค้าเกษตรอื่น ๆ ที่กลายเป็นสินค้าการเมือง แฟ้มภาพ เมื่อวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ตอนหนึ่งเกี่ยวกับ การแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำว่า การศึกษาปัจจัย ที่ก่อให้เกิดปัญหาอย่างรอบด้าน ยกตัวอย่าง "ยางพารา" พบว่าเราคงต้องลดปริมาณการผลิต เพิ่มการแปรรูปใช้งานให้มากยิ่งขึ้นภายในประเทศ ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ซึ่งมาตรการนี้ประเทศเพื่อนบ้านของเรา และเป็นประเทศผู้ผลิตเช่นเดียวกับไทย แต่ไม่ประสบปัญหาราคายางตกต่ำ เพราะประเทศหนึ่ง มาเลเซีย เมื่อ 30 ปีที่แล้ว เขาผลิตยางพาราเกือบล้านกว่าตัน เป็นอันดับหนึ่งของโลก เขาก็คาดการณ์ไปอนาคตแล้วว่า ความต้องในการใช้ยางพาราจะถึงทางตันเพราะมีอย่างอื่นมาแทน เขาตัดสินใจโค่นยางพาราลง ตั้งแต่เมื่อ 30 ปีที่แล้ว จนเมื่อปี 2545 เขามียางพาราอยู่แค่ 7 แสนตันเท่านั้น และเขาก็เพิ่มโรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้ยางพาราในประเทศ อยู่ที่ 4–5 แสนตัน นั่นคือผลิตยางออกมาพอดีกับที่ใช้ภายในประเทศ อีกประเทศหนึ่ง อินโดนีเซีย เขาปลูกยางพารามาก และใช้ยางในประเทศน้อย ไม่ต่างจากไทย แต่ก็ไม่มีปัญหาเหมือนเรา เพราะยางพาราของเขา เป็นยางที่อยู่ในป่า เป็นยางที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ชาวบ้านเห็นว่าราคาดี ก็เลยไปกรีดเอาออกมาขาย ตอนไหนเห็นราคาไม่ดีก็ไม่ไปกรีด เขาก็ไปทำอาชีพอย่างอื่น ดังนั้น แม้ราคายางพาราจะมีการขึ้น-ลง ก็ไม่เป็นปัญหา สำหรับเพื่อนบ้านเรา ทั้ง 2 ประเทศผู้ผลิตยางพารา เนื่องจากผลิตให้พอดีกับการใช้ภายในประเทศ ที่เหลือก็ส่งออก พร้อมกับแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า "เราต้องเพิ่มปริมาณการใช้ยางในประเทศ โดยประเทศไทย ในปี 2545 มียางพาราอยู่ 3 ล้านตัน ปัจจุบันมี 5.4 ล้านตัน แต่การใช้ยางในประเทศ ใน 15 ปีที่ผ่านมา เรายังอยู่ที่ 4–5แสนตัน ไม่เพิ่มขึ้นจากเดิมนัก นั่นก็แปลว่า เราต้องส่งออกมากขึ้น ๆ ทุกปี แต่ถ้าวันหนึ่งโลกนี้ ไม่ต้องการใช้ยางพารา มีสิ่งอื่นทดแทนที่ถูกว่า หรือดีกว่าแล้วยางพาราส่วนเกิน ราว 4–5 ล้านตัน เราจะทำอย่างไร ราคาต้องตกแน่นอนอยู่แล้ว ที่แย่กว่านั้น เกษตรกรชาวสวนยาง ของเรานั้นจะปรับตัวทันหรือไม่ แรงงานในสวนยางอีกด้วยจะทำอย่างไร หากเราไม่ตระหนัก ไม่รับรู้ในสิ่งเหล่านี้ ที่มีเพียง แต่รัฐบาลนี้ ที่กล้าพูดความจริง ถ้าวันนี้ เรายังใช้การแก้ปัญหาแบบเอาตัวรอดไปวัน ๆ หรือ เลี้ยงไข้เพื่อเรียกคะแนนเสียง เพราะยางพารา ไม่ต่างจากสินค้าเกษตรอื่น ๆ ที่กลายเป็นสินค้าการเมือง ไปแล้ว และเกิดขึ้นในบ้านเราเท่านั้น ข้าวก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง ที่ปัจจุบันไทยผลิตข้าว 30 ล้านตัน บริโภคภายใน ประเทศเพียง 10 ล้านตัน ส่งออก 20 ล้านตัน ซึ่งส่วนเกินของเรานี้ จะถูกกำหนดราคาโดยตลาดโลก ทั้งนี้ ถ้าเรายังแก้ปัญหาโดยการหว่านงบประมาณ ลงไปอุดหนุน ก็ไม่ได้ช่วยให้เกษตรกรได้รู้ถึงการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน ไม่ได้อยากเลิกปลูกยางพารา หรือปลูกให้น้อยลง โดยเฉพาะในส่วนที่เกินความต้องการ เช่น การปลูกในพื้นที่บุกรุกป่าบ้าง ไม่เหมาะกับการปลูกยางบ้าง แต่เหมาะกับการทำอย่างอื่น" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว หัวหน้า คสช. กล่าวด้วยว่า ยิ่งเราใส่เงินลงไปก็เหมือนใส่น้ำมันเข้าไปในกองไฟเหมือนสนับสนุน หรือชอบให้แห่กันปลูกยาง แล้วปัญหาก็ไม่จบ ขยายตัวขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามที่ตนยกตัวอย่างไว้ หรือถ้าเราแก้ปัญหาด้วยการประกันราคา พยุงราคา มันก็แค่ชะลอปัญหาเท่านั้น ดังนั้น วิธีการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนของรัฐบาล คือ (1) ปรับสมดุลของการผลิตกับความต้องการใช้ และ (2) เพิ่มปริมาณการใช้ภายในประเทศให้มากขึ้น ซึ่งได้ดำเนินการไปแล้ว ทั้งการลดการเพาะปลูกในพื้นที่บุกรุก เพื่อลดการผลิตและไม่ละเลยการทำผิดกฎหมาย อีกทั้งเพิ่มปริมาตรการใช้ ในประเทศ หรือตลาดในประเทศ อาทิ ยางพารา ซึ่งรัฐบาลให้ทุกกระทรวง หามาตรการส่งเสริมการใช้ยางในหน่วยงานภาครัฐ โดยล่าสุด สามารถสรุปความต้องการน้ำยางข้น 16,000 กว่าตัน และยางแห้ง 4,500 กว่าตัน คิดเป็นงบประมาณ กว่า 17,000 ล้านบาท สำหรับทำแผ่นทางปูพื้นคอกปศุสัตว์ พื้นอ่างเก็บน้ำ สระเก็บน้ำในไร่นา ลานกีฬา สนามฟุตซอล ลู่วิ่ง สนามเด็กเล่น ลานอเนกประสงค์ บล็อกยางพาราเพื่อใช้ในการก่อสร้าง ที่นอน หมอนยางพารา ยางรถยนต์ใช้ในราชการ และพื้นผิวถนน เป็นต้น วันนี้ ได้ส่งเสริมการจัดตั้งโรงงานที่จะใช้วัตถุดิบจากภาคการเกษตรของเราให้มากยิ่งขึ้น ด้วยมาตรการส่งเสริมการลงทุนของ BOI อีกด้วย พล.อ.ประยุทธ์ ย้ำว่า การแก้ปัญหายังไม่จบแต่เพียงแค่นี้ เพราะประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม มีแรงงานภาคการเกษตร อาทิ ทำสวน ไร่ นา ประมง ปศุสัตว์ และผู้ประกอบการ หรือทำงานที่เกี่ยวข้อง เป็นธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับภาคการเกษตรอีก รวมกัน เกือบครึ่งประเทศ หรือร้อยละ 40 ของประชากรไทย ราว 25 ล้านคน หรือ 6 ล้านครัวเรือน แต่เป็นภาคการผลิตที่มีสัดส่วนเพียง 8% ของ GDP ทั้ง ๆ ที่แผ่นดินไทยมีความอุดมสมบูรณ์ ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว หากเราไม่ปลูกพืชในพื้นที่สูง ไม่มีระบบชลประทาน ก็คงไม่มีปัญหาเรื่องภัยแล้ง แล้วหันมาเพาะปลูก หรือทำเกษตรที่มีคุณภาพ ลงทุนน้อยกว่า ได้ผลผลิตมากกว่า และสอดคล้องกับความต้องการของตลาด แลกเปลี่ยนค้าขายซึ่งกันและกัน ดังนั้น รัฐบาลนี้ต้องการแก้ปัญหาแบบองค์รวม โดยปฏิรูปทั้งระบบ พร้อม ๆ กัน ทั้งเรื่องน้ำ ที่ดิน สินค้าเกษตร อาชีพเสริม และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ไปสู่สิ่งที่เหมาะสมกว่า ด้วยความสมัครใจนอกจากผู้ผลิต คือ เกษตรกรแล้ว ยังมีกลางทาง พ่อค้าคนกลาง การแปรรูป แล้วก็ปลายทางในเรืองของการตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีผลกระทบจากราคาตกต่ำของผลิตผลทางการเกษตรทั้งสิ้น เราต้องมองให้ครบวงจร เพราะเป็นธุรกิจที่ต่อเนื่องกัน ทั้งในภาคการเกษตร และในธุรกิจห่วงโซ่เหล่านั้น อีกมากมาย ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ทหารชี้ ‘ไผ่ ดาวดิน’ ไม่ยอมถูกปรับทัศนคติหลังชูป้าย ‘ค้านรัฐประหาร’ จึงถูกดำเนินคดี Posted: 29 Jul 2017 08:05 AM PDT ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงาน หัวหน้ากองข่าว มทบ.23 พยานผู้กล่าวหา 'ไผ่' และ 'ดาวดิน' ให้การเป็นพยานโจทก์ระบุดาวดินช่วยชาวบ้านน่าชื่นชม แต่คัดค้าน รปห. ผิดกฎหมาย ต้องถูกปรับทัศนคติ หลังดื้อดึงไม่ยอมถูกปรับทัศนคติจึงส่งดำเนินคดี ภาพ จตุภัทร์ ชูป้าย รวมกับเพื่อนกลุ่มดาวดิน ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จ.ขอนแก่น ในโอกาสครบรอบ 1 ปี รัฐประหาร เมื่อวันที่ 22 พ.ค. 58 29 ก.ค.2560 จากเมื่อวันที่ 27 ก.ค.ที่ผ่ามา ศาลมณฑลทหารบกที่ 23 จ.ขอนแก่น ได้นัดสืบพยานโจทก์ในคดีที่ จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ 'ไผ่' กรณีตกเป็นจำเลยในข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 ร่วมกันชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คน ขึ้นไป หมายเลขคดีดำที่ 61/2559 ซึ่งโจทก์นัดพยานไว้ 2 ปาก คือ พ.อ.สุรศักดิ์ สำราญบำรุง ผู้กล่าวหา และ ร.อ.อภินันท์ วันเพ็ชร ชุดจับกุมในวันเกิดเหตุ คดีนี้สืบเนื่องมาจากจตุภัทร์ พร้อมเพื่อนนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น กลุ่มดาวดิน รวม 7 คน ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร จับกุมขณะชูป้ายต่อต้านรัฐประหาร ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จ.ขอนแก่น ในโอกาสครบรอบ 1 ปี รัฐประหาร เมื่อวันที่ 22 พ.ค. 58 และตั้งข้อหา ชุมนุมตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 โดยทั้ง 7 คน ให้การปฏิเสธ และประกันตัวไปในชั้นสอบสวน ต่อมา แสดงการอารยะขัดขืนโดยไม่เข้ารายงานตัวตามที่พนักงานสอบสวนนัด หลังจากนั้น ขณะจตุภัทร์ได้รับการประกันตัวจากศาลจังหวัดภูเขียวในคดีแจกเอกสารประชามติ เมื่อวันที่ 19 ส.ค.59 ตำรวจ สภ.เมืองขอนแก่นได้นำหมายจับในคดีนี้ ลงวันที่ 13 มิ.ย.58 ไปจับกุมจตุภัทร์ที่เรือนจำอำเภอภูเขียว จ.ชัยภูมิ นำตัวส่งอัยการศาล มทบ.23 และอัยการส่งฟ้องศาลในเวลา 20.30 น. ของวันเดียวกัน จตุภัทร์ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวเมื่อวันที่ 23 ส.ค.59 โดยวางหลักประกันเป็นเงินสด 10,000 บาท สำหรับการสืบพยานในครั้งนี้ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงาน กระบวนการพิจารณาด้วยว่า พ.อ.สุรศักดิ์ เข้าเบิกความต่อศาล จนถึงเวลา 15.00 น. ศาลจึงเลื่อนการนำ ร.อ.อภินันท์ เข้าตอบคำถามค้านทนายจำเลย หลังจากเบิกความไว้ในนัดก่อนเมื่อวันที่ 22 พ.ค. ที่ผ่านมาแล้ว ไปเป็นวันที่ 22 ส.ค.นี้ เวลา 13.30 น นอกจากนี้ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ยังได้รายงาน คำเบิกความพยานโจทก์ โดยสรุป ไว้ดังนี้ พ.อ.สุรศักดิ์ เบิกความว่า ขณะเกิดเหตุ เมื่อวันที่ 22 พ.ค. 58 พยานรับราชการอยู่ มทบ.23 ตำแหน่ง หัวหน้ากองข่าว นอกจากนี้ พยานยังปฏิบัติหน้าที่ในกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย จ.ขอนแก่น ด้านการข่าว พยานเป็นผู้กล่าวหานายจตุภัทร์ พร้อมกับพวกอีก 6 คน ในข้อหาขัดคำสั่งของ คสช. ชุมนุมทางการเมืองโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่คนอื่น ๆ หลบหนี มีนายจตุภัทร์คนเดียวเป็นจำเลยในคดีนี้ ก่อนเกิดเหตุ พยานทราบจากเฟซบุ๊กของกลุ่มดาวดินว่า มีการเชิญชวนให้เข้าร่วมกิจกรรมในวันดังกล่าวเพื่อคัดค้านรัฐประหาร และก่อนเกิดเหตุ 1 วัน เจ้าหน้าที่พบนักศึกษา 2 คน แจกใบปลิวที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จ.ขอนแก่น เพื่อเชิญชวนคนทั่วไปให้มาร่วมกิจกรรม จึงได้ได้ติดตามเฝ้าระวังความเคลื่อนไหว ในวันเกิดเหตุ พยาน รวมทั้งสารวัตรทหาร (สห.) และเจ้าหน้าที่ตำรวจ เฝ้าระวังอยู่บริเวณรอบ ๆ อนุสาวรีย์ฯ พบจำเลยกับพวกรวม 7 คน เดินทางมาที่เกิดเหตุ และชูป้ายผ้าคัดค้านรัฐประหาร ตำรวจจึงได้เข้าแจ้งว่า เป็นการกระทำผิด ให้ยุติการกระทำ แต่จำเลยกับพวกไม่ยุติ สห. และตำรวจจึงได้เชิญตัวไปค่ายศรีพัชรินทร (มทบ.23) เพื่อปรับทัศนคติ และเข้าสู่กระบวนการอบรม จำเลยกับพวกมีการขัดขืนดื้อดึง และปฏิเสธที่จะเข้าร่วมกระบวนการดังกล่าว พยานจึงได้ส่งตัวให้ สภ.เมืองขอนแก่น ดำเนินคดี เอกสารหลักฐานในคดีที่พยานได้ลงลายมือชื่อ ได้แก่ ทำบันทึกการจับกุม, บัญชีของกลาง และภาพเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุ ต่อมา พยานได้นำหลักฐานส่งพนักงานสอบสวนเพิ่มเติมเพื่อประกอบสำนวนคดี ได้แก่ บันทึกข้อตกลง และแผ่น CD บันทึกภาพเคลื่อนไหวในวันเกิดเหตุ บันทึกข้อตกลงดังกล่าวจัดทำขึ้นเมื่อครั้งที่นายกรัฐมนตรีเดินทางมาที่ จ.ขอนแก่น เมื่อวันที่ 19 พ.ย.57 และจำเลยกับพวกได้ไปชู 3 นิ้ว ไม่เอารัฐประหาร เป็นข้อตกลงระหว่างจำเลย กองกำลังฯ และผู้ปกครองนักศึกษา 5 ท่าน ว่านักศึกษาทั้ง 5 จะไม่เคลื่อนไหวทางการเมือง โดยมี ผบ.มทบ.23 และ ผวจ.ขอนแก่น เข้าร่วมพูดคุย และลงชื่อเป็นพยาน พฤติการณ์การชุมนุมของจำเลยกับพวกเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ถ้าให้ถูกต้องจะต้องขออนุญาตจากกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย จ.ขอนแก่น ก่อน ถ้าได้รับอนุญาตจึงจะจัดได้ แต่จำเลยและพวกไม่ได้ปฏิบัติ จากนั้นทนายจำเลยได้ถามค้าน ซึ่ง พ.อ.สุรศักดิ์ ได้ตอบคำถามว่า หลังจำเลยกับพวกได้แสดงออกเชิงสัญลักษณ์โดยการชู 3 นิ้ว ต่อหน้าหัวหน้า คสช. เมื่อวันที่ 19 พ.ย. 57 พนักงานสอบสวนได้จัดทำบันทึกประวัติของจำเลย โดยระบุในช่อง อาวุธ/ยานหาพนะ ว่า "ชู 3 นิ้ว" นั้น ไม่ได้หมายความว่า ชู 3 นิ้ว คืออาวุธ แต่หมายถึง การชู 3 นิ้ว เป็นสัญลักษณ์ทางการเมือง ส่วนสัญลักษณ์ดังกล่าวนั้น พยานไม่ทราบว่า หมายถึง เสรีภาพ สันติภาพ ภราดรภาพ หรือไม่ และหากหมายถึง เสรีภาพ สันติภาพ ภราดรภาพ จริง พยานก็ไม่ทราบว่า จำเลยจะสามารถแสดงออกว่าต้องการ 3 สิ่งนั้นได้หรือไม่ พยานทราบว่า จำเลยเป็นสมาชิกกลุ่มดาวดิน ซึ่งเป็นกลุ่มนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นที่รวมตัวกันทำกิจกรรมทางสังคม ในทางการข่าวก็มีปรากฏว่า กลุ่มดาวดินไปทำกิจกรรมช่วยเหลือกลุ่มชาวบ้านในจังหวัดต่างๆ ซึ่งพยานเห็นว่า พฤติกรรมดังกล่าวเป็นสิ่งที่ดี น่าชื่นชม พยานจบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ก่อนที่พยานจะเข้ารับตำแหน่ง พยานเคยกล่าวคำสัตย์ปฏิญาณว่า จะจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และจะรักษาไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งพยานเห็นว่า การรักษาระบอบประชาธิปไตยฯ เป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่พยานไม่ขอตอบว่า การที่จำเลยคัดค้านรัฐประหารเพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ และหลังการรัฐประหารในวันที่ 22 พ.ค. 57 พยานได้ทำตามที่พยานได้ให้คำปฏิญาณไว้หรือไม่ พยานยืนยันว่า ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาอย่างถูกต้อง ประชาธิปไตยกับเผด็จการที่มาจากการรัฐประหาร อย่างไหนดีกว่ากันนั้น พยานไม่ขอตอบ ถ้าจำเลยเห็นว่า ประชาธิปไตยดีกว่า ก็มีสิทธิแสดงออกในทางที่ถูกต้อง การชุมนุมเพื่อต่อต้านรัฐประหาร จะถือเป็นประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยตามมาตรา 4 ของรัฐธรรมนูญ (ชั่วคราว) พ.ศ.2557 หรือไม่ พยานไม่ขอตอบ ประกาศ คสช. ฉบับที่ 5/57 ที่ให้รัฐธรรมนูญ ปี 2550 สิ้นสุดลง และให้ ครม.ยุติการปฏิบัติหน้าที่ จะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 ฐานเป็นกบฎหรือไม่ พยานไม่ขอตอบ การนำพลเรือนขึ้นศาลทหาร และการแต่งตั้งคณะบุคคลเป็นสภานิติบัญญัติแห่งชาติทำหน้าที่แทนสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้ง ขัดกับหลักการประชาธิปไตยหรือไม่ พยานไม่ขอตอบ รวมทั้งไม่ขอตอบว่าเห็นด้วยกับการกระทำทั้ง 4 อย่างดังกล่าวมาหรือไม่ หากจำเลยเห็นว่า การกระทำทั้งหมดนั้นไม่ถูกต้อง จำเลยมีสิทธิแสดงออกได้ถ้าเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย ถ้ากฎหมายออกมาห้ามประชาชนกระทำในสิ่งที่ถูกต้อง หรือถ้ากฏหมายไม่ถูกต้อง พยานไม่ขอตอบว่า พยานจะปฏิบัติตามหรือไม่ ก่อนเกิดเหตุในคดีนี้ 1 วัน ที่พยานเบิกความว่า มีประชาชน 2 คน มาแจกใบปลิวที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยนั้น ไม่ปรากฏชื่อ-นามสกุล และพยานก็ไม่ได้เห็นข้อความในใบปลิว และที่พยานเบิกความว่า มีการโพสต์เฟซบุ๊คเชิญชวน พยานก็ไม่ได้ยื่นให้พนักงานสอบสวนเพื่อเป็นหลักฐาน การจัดกิจกรรมที่เป็นเหตุในคดีนี้ มีการส่งหนังสือเวียนในกองกำลังฯ ว่ามีการประสานแล้วว่าจะทำกิจกรรม แต่ไม่ได้ขออนุญาต และไม่ปรากฏว่ามีการส่งกำลังไปจับนักศึกษาก่อนที่จะมาทำกิจกรรม เมื่อพยานได้รับข่าวว่าจะมีการทำกิจกรรม พยานก็ได้รับคำสั่งให้ไปเฝ้าระวัง พยานไม่ได้ร่วมจับกุม เป็นเพียงผู้สังเกตการณ์อยู่ด้านนอก หัวหน้าชุดจับกุม คือ ร.อ.อภินันท์ วันเพ็ชร (ผู้บังคับกองร้อยสารวัตร มทบ.23) ซึ่งพยานเห็นขณะ ร.อ.อภินันท์ เข้าเชิญตัวจำเลยว่า เข้าเชิญโดยละมุนละม่อม โดยอ้าง ม.44 ด้วย แต่ไม่เห็นว่ามีการแสดงบัตรเจ้าหน้าที่ตาม ม.44 จะเป็นการแสดงตัวโดยการแต่งเครื่องแบบ โดยทั่วไปการเชิญไปปรับทัศนคติ จะเชิญเฉพาะคนที่ทำผิดกฎหมายเท่านั้น หากเชิญไปแล้วยินยอมปรับทัศนคติ ก็จะไม่ดำเนินคดี แต่ถ้าไม่ยอมปรับก็จะส่งดำเนินคดี ซึ่งเป็นสิทธิของผู้ที่ถูกเชิญว่า ไม่ไปก็ได้ กรณีในคดีนี้ เจ้าหน้าที่บังคับให้จำเลยกับพวกไปปรับทัศนคติ เนื่องจากไม่ยอมไปดีๆ ที่พยานเบิกความว่า ในการจับกุมนักศึกษามีการต่อสู้ขัดขืนนั้น ปรากฏตามภาพเคลื่อนไหวในแผ่นซีดี ส่วนในภาพเหตุการณ์ไม่ปรากฏภาพที่เป็นการดื้อดึงขัดขืนในระหว่างการจับกุม และที่บันทึกจับกุมไม่ระบุว่า นักศึกษามีการต่อสู้ขัดขืน เพราะทหารเห็นแก่ความเป็นนักศึกษาของจำเลยและพวก จึงพยายามลงให้เป็นความผิดน้อยที่สุด กระบวนการเชิญบุคคลไปปรับทัศนคตินั้น จะเป็นกระบวนการทางกระบวนพิจารณาความอาญาหรือไม่นั้น พยานไม่ทราบ พยานทราบเพียงว่า คนที่ถูกเชิญไปคือคนที่ทำผิดกฎหมาย ซึ่งพยานเห็นว่า ความคิดคัดค้านรัฐประหารผิดกฎหมาย และความคิดสนับสนุนรัฐประหารถูกกฎหมาย ข้อความ "คัดค้านรัฐประหาร" ในป้ายที่จำเลยชูในขณะทำกิจกรรม พยานเห็นว่า ผิดกฎหมายที่มีอยู่ในขณะนั้น แต่พยานไม่ขอตอบว่า ผิดกฎหมายใด เหตุที่พยานแจ้งความดำเนินคดีจำเลย เพราะจำเลยยืนยันว่า ไม่ได้กระทำความผิด และไม่ยอมเข้าสู่กระบวนการปรับทัศนคติ ซึ่งผู้บังคับบัญชาของพยาน สั่งการไว้ว่า ถ้ายอมรับเข้าปรับทัศนคติ แล้วตกลงว่าจะไม่เคลื่อนไหวทางการเมืองใดๆ อีก ก็จะไม่ดำเนินคดี เหมือนเมื่อครั้งที่จำเลยไปชู 3 นิ้ว ต่อหน้า หัวหน้า คสช. แม้ในครั้งนั้นจำเลยยืนยันว่าจะใช้สิทธิคัดค้านรัฐประหารต่อไปอีก แต่ ผบ.มทบ.23 และผวจ.ขอนแก่น ได้ทำความเข้าใจกับผู้ปกครองของจำเลยแล้ว ผู้ปกครองยอมรับว่า จะทำความเข้าใจกับจำเลยต่อไป การทำข้อตกลงห้ามบุคคลแสดงออกทางการเมืองเป็นการขัดรัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่ในขณะนั้นหรือไม่นั้น พยานขอตอบว่า ขัดต่อกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะนั้น หลังทนายจำเลยถามค้านเสร็จ พยานได้ตอบคำถามที่อัยการทหารถามติงว่า เหตุที่ คสช. เข้ายึดอำนาจ เนื่องจากรัฐบาลในขณะนั้น ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ความไม่สงบที่มีบุคคลเคลื่อนไหว ทำให้ประชาชนบางส่วนเดือดร้อน เมื่อ คสช.ยึดอำนาจแล้ว นอกจากกฎหมายที่ใช้บังคับตามปกติแล้ว ได้มีการออกประกาศ/คำสั่ง คสช. โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในประเทศ ซึ่งกฎหมายที่มีอยู่ในขณะนั้นไม่สามารถใช้บังคับได้ เพื่อให้ประชาชนอยู่ด้วยความสงบเรียบร้อย ข้อตกลงซึ่งห้ามจำเลยเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งพยานตอบทนายจำเลยว่า ผิดกฎหมายในขณะนั้น พยานหมายความว่า พฤติกรรมที่จำเลยทำในขณะนั้น ซึ่งขัดกับข้อตกลง เป็นการทำผิดกฎหมาย ส่วนข้อตกลงดังกล่าวนั้นเป็นข้อตกลงที่ถูกกฎหมาย เนื่องจากเป็นการสร้างความรับรู้ เพื่อไม่ให้มีการกระทำความผิดซ้ำอีก
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
วัฒนาอัดรัฐละเมิดนิติธรรม หลังฟ้อง ม.116 เหตุโพสต์ให้กำลังใจยิ่งลักษณ์-วิจารณ์คสช. Posted: 29 Jul 2017 02:00 AM PDT วัฒนาโพสต์เฟซบุ๊กปมถูก ตร.ฟ้องข้อหายุยงให้เกิดความปั่นป่วน กรณีให้กำลังใจยิ่งลักษณ์และวิจารณ์ คสช. ชี้เป็นตัวอย่างของการที่รัฐละเมิดหลักนิติธรรม เพื่อต้องการข่มขู่และปิดปากทุกคนที่ต่อสู้และไม่ยอมรับอำนาจเผด็จการ 29 ก.ค. 2560 จากกรณีตำรวจสันติบาลแจ้งความดำเนินคดีกับ วัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย กรณีโพสต์ให้กำลังใจ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในการต่อสู้คดีในโครงการจำนำข้าว โดยกล่าวหาว่ากระทำความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ซึ่งวัฒนาระบุว่า จะแสดงความเห็นต่อเรื่องนี้ในเช้าวันเสาร์ที่ 29 ก.ค. นี้ ล่าสุด วัฒนา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว 'Watana Muangsook' ในลักษณะสาธารณะภายใต้หัวข้อว่า "...กว่านี้มีอีกไหม" โดยระบุว่า พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มอบหมายให้ตำรวจสันติบาลแจ้งความต่อกองปราบปราม ให้ดำเนินคดีกับตนในข้อหาความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 กล่าวหาตนว่าได้โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊กส่วนตัว ในลักษณะยุยงให้เกิดความปั่นป่วนอีกทั้งยังวิพากษ์วิจารณ์ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
วัฒนา โพสต์ว่า ตามรัฐธรรมนูญบุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ฯลฯ รวมถึงการติดต่อสื่อสารถึงกันไม่ว่าในทางใดๆ ข้อความที่ตนโพสต์คือการแสดงความเห็นว่า การไปให้กำลังนายกยิ่งลักษณ์ถือเป็นเสรีภาพ ส่วนที่มีการเชิญชวนประชาชนก็ไม่ผิดกฎหมาย เพราะไม่ได้ชวนมาเปลี่ยนแปลงกฎหมายหรือล้มรัฐบาล หรือสร้างความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่อง หรือทำผิดกฎหมาย แต่เป็นการชวนมาเพื่อให้กำลังใจนายกยิ่งลักษณ์ซึ่งเป็นกิจกรรมตามประเพณีอันเป็นข้อยกเว้นของกฎหมายการชุมนุมสาธารณะ และที่อ้างว่ามีการวิพากษ์วิจารณ์ คสช. ก็เป็นการแสดงความคิดเห็นต่อการทำงานของบุคคลสาธารณะ ที่กินเงินเดือนจากภาษีของประชาชนถือเป็นเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเช่นกัน จึงไม่เป็นความผิดตามมาตรา 116 ตามที่กล่าวหา "นี่คือตัวอย่างของการที่รัฐละเมิดหลักนิติธรรม ซึ่งถือเป็นความเลวร้ายที่สุดเพราะกระทำโดยอาศัยอำนาจของกระบวนการยุติธรรม ทั้งหมดเพื่อต้องการข่มขู่และปิดปากทุกคนที่ต่อสู้และไม่ยอมรับอำนาจเผด็จการ จึงขอแจ้งไปยัง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และ คสช. ว่าผมเป็นบุคคลสาธารณะ มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งและไม่เคยคิดหลบหนี พวกคุณรู้ที่อยู่ของผมดีเพราะเคยส่งคนมาอุ้มผมไปควบคุมตัวในค่ายทหารหลายครั้ง ส่วนหมายเลขโทรศัพท์ผมให้ไว้กับเจ้าหน้าที่แล้ว ดังนั้น หากประสงค์จะสอบสวนหรือแจ้งข้อหาให้ติดต่อมาผมจะไปหาพวกคุณถึงที่ สิ่งที่ผมทำไม่เป็นความผิดจึงขอบอกประชาชนอีกครั้งว่าวันที่ 1 และ 25 ส.ค. ใครประสงค์จะไปให้กำลังใจนายกยิ่งลักษณ์ก็ไปได้ไม่ผิดกฎหมาย เพื่อบอกเหล่าเผด็จการว่าประชาชนยืนข้างหลักนิติธรรม รังเกียจเผด็จการที่ทำลายหลักนิติธรรมและทำให้บ้านเมืองเสียหาย ส่วนผมจะไปทั้งสองวัน ยกเว้นผมถูกจับและไม่ได้รับอนุญาตให้ประกันตัวผมก็จะส่งกำลังใจให้ท่านจากห้องขัง "มีปัญหามั้ย กลัวจัง" วัฒนา โพสต์ทิ้งท้าย
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ทหารยิงรถชาวบ้านเจ็บ 3 ราย เข้าใจผิดคิดว่าคนร้าย ผบ.ฉก.ปัตตานียันรับผิดชอบทุกกรณี Posted: 29 Jul 2017 01:20 AM PDT ทหารยิงรถชาวบ้านเจ็บ 3 ราย เข้าใจผิดคิดว่าคนร้าย ที่ ด่านตรวจบ้านกระเสาะ ผบ.ฉก.ปัตตานี รับกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นเนื่องจากเป็นช่วงเกิดเหตุการณ์และพร้อมจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ยินดีจะรับผิดชอบทุกอย่าง พร้อมมอบเงินช่วยเหลือเบื้องต้นให้กับญาติ เมื่อวันที่ 28 ก.ค.2560 เวลา 19.30 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ทหารด่านตรวจบ้านกระเสาะ ม.2 ต.กระเสาะ อ.มายอ จ.ปัตตานี กราดยิงชาวบ้านขณะขับรถยนต์กระบะผ่านด่านตรวจ ทำให้มีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ 3 ราย สาหัย 1 ราย รถยนต์เสียหาย เด็กทารกปลอดภัย โดยชาวบ้านในพื้นที่ช่วยกันนำผู้บาดเจ็บทั้ง 3 รายส่งไปยังโรงพยาบาลมายอ ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.มายอ จ.ปัตตานี เข้าตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุแล้ว ล่าสุดวันนี้ (29 ก.ค.60) มติชนออนไลน์ รายงานเพิ่มเติมว่า เมื่อเวลา 21.00 น. วันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.มายอ จ.ปัตตานี ได้รับแจ้งจาก รพ.มายอ ว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บถูกยิงเข้ามารักษาตัว จึงรีบไปตรวจสอบ พบว่าแพทย์กำลังทำการรักษา เจ๊ะยารอ อาแว อายุ 57 ปี ชาว ต.กระเสาะ อ.มายอ เนื่องจากมีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืนไม่ทราบชนิดเข้ากลางหลังทะลุปอด อาการสาหัสแพทย์ต้องรีบส่งต่อไป รพ.ปัตตานี ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 2 คนมีบาดแผลเศษกระจกบาดเล็กน้อย แพทย์ได้กลับบ้านได้ นอกจากนี้บริเวณหน้า รพ.พบรถกระบะยี่ห้อมิตซูบิชิ ไทรทัน สี่ประตู สีบอร์นเงิน จอดอยู่เมื่อตรวจสอบพบรูกระสุนบริเวณหลังคา หลังทะลุเบาะในห้องโดยสารและที่กระจกหน้าจก ภายในรถมีเลือดจำนวนมาก เจ้าหน้าที่จึงได้นำรถคันดังกล่าวไปเก็บไว้ที่ สภ.มายอ เพื่อทำการเก็บพยานหลักฐาน จากการสอบสวน อุสมาน กาแลซา 27 ปี เป็นคนขับรถคันดังกล่าว ให้การว่า ตนเป็นลูกของ นางเจ๊ะยารอ ก่อนเกิดเหตุตนมาจาก จ.ยะลาและกำลังเดินทางกลับบ้านในพื้นที่ ต.กระเสาะ โดยภายในรถมาด้วยกันรวม 6 คนซึ่งเป็นคนในครอบครัวมีทั้งผู้หญิงและเด็ก ปรากฏว่าเมื่อขับมาถึงบนถนนสายชนบท พื้นที่ ม.4 ต.เกาะจัน อ.มายอ เห็นเจ้าหน้าที่ทหาร 10 กว่านายและไม่รู้ว่ามีปะทะกัน ตนจึงขับรถผ่านด่านตรวจ จนกระทั่งได้ยินเสียงปืนจากด้านหลังและมารู้ว่าแม่ซึ่งอยู่ในรถบนเบาะหลังคนขับร้องด้วยความเจ็บปวดเมื่อตรวจดูพบว่าแม่ถูกยิง และน้องสาวบาดเจ็บเล็กน้อย 2 คนตนก็รีบขับรถพาแม่ไปโรงพยาบาล จากนั้นก็ไม่ทราบว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคืออะไร รายงานข่าวยังระบุด้วยว่า หลังเกิดเหตุ พล.ต.จตุพร กลัมพสุต ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจปัตตานี ได้เดินทางไปที่ รพ.ปัตตานี เพื่อเยี่ยมอาการผู้ได้รับบาดเจ็บแต่ไม่สามารถเข้าเยี่ยมได้เนื่องจากผู้ได้รับบาดเจ็บรักษาตัวในห้อง ไอซียู จากนั้นจึงได้เข้าไปพูดคุยกับญาติและผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์เพื่อทำความเข้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดย พ.ต.จตุพร ยอมรับกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นเนื่องจากเป็นช่วงเกิดเหตุการณ์และพร้อมจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ก่อนจะมอบเงินช่วยเหลือเบื้องต้นให้กับญาติของผู้ได้รับบาดเจ็บ พล.ต.จตุพร ชี้แจงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ช่วงเกิดเหตุทหารจากหน่วยเฉพาะกิจปัตตานี 25 จำนวน 22 นายกำลังเดินลาดตระเวนแบบจรยุทธ ริมถนนสายดังกล่าว ก่อนจะหยุดตั้งด่านลอยบนถนน ปรากฏว่ามีเสียงปืนจากฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นป่า ทหารก็มีการวางกำลังป้องกันและมีการสกัดรถไม่ให้ผ่านเพื่อความปลอดภัย ก่อนจะมีการยิงโต้ตอบกันขึ้น จังหวะนั้นก็มีรถคันกล่าวขับผ่านไป ช่วงที่มีการยิงปะทะกันและไม่รู้ว่ารถคันดังกล่าวเป็นฝ่ายไหนจนเป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ตนเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดเหตุและไม่ปฏิเสธความารับผิดชอบเพราะเป็นเรื่องสุดวิสัย ตนได้มีการพูดคุยกับผู้เสียหายเบื้องต้นก็เข้าใจกันแล้ว โดยผู้เสียหายก็ได้ฝากถึงเจ้าหน้าที่ว่า การสกัดหรือโบกรถให้จอดขอให้มีความชัดเจนมากกว่านี้ ซึ่งตนก็ขออภัยด้วยเพราะจังหวะนั้นอาจจะสกัดรถได้ไม่เต็มที่ ซึ่งจะรับไปแก้ไข ส่วนการช่วยเหลือเยี่ยวยานั้น ยินดีจะรับผิดชอบทุกอย่าง ส่วนเจ้าหน้าที่ทหารผู้ปฏิบัติและอยู่ในที่เกิดเหตุทุกนายนั้น ก็ให้พนักงานสอบสวนดำเนินการตามขั้นตอนของกฏหมาย และหากเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมายและผิดจริงในกรณีทำเกินกว่าเหตุก็ต้องรับผิด ซึ่งทุกอย่างขึ้นอยู่ตามกระบวนการของกฎหมายไม่มียกเว้น ซึ่งเราไม่ปฏิเสธการรับผิดชอบและหากมีการร้องเรียนก็จะดำเนินการตามที่ร้องเรียนมาซึ่งเป็นสิทธิของผู้เสียหายอยู่แล้ว ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
เมื่อปัญญาประดิษฐ์เฟซบุ๊กสร้างภาษาใหม่ขึ้นมาสื่อสารกันเองโดยที่มนุษย์ยากจะเข้าใจ Posted: 28 Jul 2017 06:14 PM PDT จะเป็นอย่างไรถ้าจู่ ๆ คุณเปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมาแล้ว พบว่าโปรแกรมปัญญาประดิษฐ์ที่คุ เรื่องดังกล่าวนี้เกิดขึ้นกั เฟซบุ๊กกำลังพยายามพัฒนาระบบปั ระบบปัญญาประดิษฐ์ดังกล่าวมี แล้วเหตุใดระบบปัญญาประดิษฐ์ อย่างไรก็ตามการที่ระบบปั ทั้งนี้กูเกิลยังเคยพยายามพั อย่างไรก็ตามมีเรื่องที่ชวนให้ เรียบเรียงจาก Researchers shut down AI that invented its own language, Digital Journal, 21-07-2017 AI Is Inventing Languages Humans Can't Understand. Should We Stop It?, Fast Co Design, 14-07-2017 ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 23-29 ก.ค. 2560 Posted: 28 Jul 2017 06:05 PM PDT ก.แรงงาน ดำเนินคดี 'ซีพีเอฟ' เหตุลูกจ้างเสียชีวิตในบ่อน้ำเสีย กระทรวงแรงงาน เอาผิดอาญาบริษัท ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) จำกัด ไม่ปฎิบัติตามกฎหมายความปลอดภัยฯ เป็นเหตุให้ลูกจ้างเสียชีวิตในบ่อน้ำเสีย นายสุเมธ มโหสถ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เปิดเผยถึงความคืบหน้าการดำเนินการกรณีลูกจ้าง บริษัท ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) จำกัด เสียชีวิตในบ่อน้ำเสียว่า พนักงานตรวจความปลอดภัยได้สอบข้อเท็จจริงผู้แทนนายจ้างและพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องแล้ว พบว่า นายจ้างปฏิบัติไม่ถูกต้องตามพระราชบัญญัติ ความปลอดภัย อชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ.2554 และกฎกระทรวงฯ การทำงานในที่อับอากาศ พ.ศ.2547 รวม 3 ประเด็นด้วยกัน คือ 1.ไม่แจ้งให้ลูกจ้างที่ทำงานในสภาพแวดล้อมในการทำงานที่เป็นอันตรายอันอาจเกิดแก่ชีวิตทราบอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการทำงานและไม่แจกคู่มือการปฎิบัติงานให้กับลูกจ้างทุกคน 2.ไม่จัดทำป้าย ที่อับอากาศ อันตรายห้ามเข้าไว้ที่ฝาบ่อพักกากตะกอนซึ่งเป็นที่อับอากาศ และ 3.จัดทำสิ่งปิดกั้นเพื่อไม่ให้บุคคลใดเข้าหรือตกลงไปในที่อับอากาศไม่สมบูรณ์ ทั้งนี้ ความผิดตามกฎหมายดังกล่าวจะมีอัตราโทษสูงสุดคือ จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 400,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นายสุเมธ กล่าวต่อว่า พนักงานตรวจความปลอดภัยได้ดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษบริษัท ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) จำกัด ต่อพนักงานสอบสวนแล้ว เมื่อวันที่ 19 ก.ค.ที่ผ่านมา รัฐบาลผุด one stop service ให้แรงงานกัมพูชา-เมียนมา ขึ้นทะเบียนในไทย แก้ต่างด้าวกลับประเทศ วันที่ 25 กรกฎาคม 2560 พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่า เพื่อเป็นการแก้ปัญหาแรงงานขาดแคลนในช่วงเวลานี้ จากผลกระทบจากการออก พ.ร.ก.บริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว ที่ทำให้แรงงานต่างด้าวทยอยกลับประเทศต้นทางนั้น รัฐบาลจึงมีมาตรการให้กระทรวงแรงงานดำเนินการเพิ่มเติม โดยตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค.-7 ส.ค.2560 ให้นายจ้างและลูกจ้างเดินทางไปแจ้งข้อมูลความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง โดยนายจ้างแจ้งว่ามีลูกจ้างอยู่กี่คนทำงานในตำแหน่งใดบ้างเพื่อเก็บข้อมูลไว้ ที่สำนักงานจัดหาแรงงานในจังหวัดต่างๆ และใน กทม.11 จุด ประกอบด้วย 1.กระทรวงแรงงาน 2.ไอทีสแควร์ หลักสี่พลาซ่า ถ.แจ้งวัฒนะ 3.กรมยุทธศึกษาทหารบก ตรงข้ามสถานีรถไฟสามเสน 4.สวนกีฬา รามอินทรา เขตบางเขน 5. ธัญญาพาร์ค เขตสวนหลวง 6.หอประชุม มหาวิทยาลัยกรุงเทพสุวรรณภูมิ เขตลาดกระบัง 7.สถานีขนส่งสายใต้ ชั้น 2 เขตตลิ่งชัน 8.กองความปลอดภัยด้านแรงงาน เขตตลิ่งชัน ตรงข้าม สน.ตลิ่งชัน 9.อาคารสโมสรวังนันทอุทยาน กองทัพเรือ เขตบางกอกน้อย 10.สำเพ็ง 2 พาร์ค เขตบางแค 11.ศูนย์กีฬาบางขุนเทียน เคหะชุมชนธนบุรี 3 ถนนพระราม 2 เขตบางขุนเทียน "หลังจากแจ้งเสร็จเรียบร้อย จะมีการเปิดศูนย์ one stop service สำหรับคนกัมพูชา และเมียนมา ที่เข้าเมืองมาโดยผิดกฎหมาย เดิมจำเป็นต้องกลับประเทศต้นทาง แต่กระทรวงแรงงานได้เจรจากับประเทศต้นทางให้สามารถส่งเจ้าหน้าที่มาตั้งศูนย์ร่วมกับเจ้าหน้าที่ไทยในประเทศไทยได้ แรงงานต่างด้าวกัมพูชาและเมียนมาไม่จำเป็นต้องกลับไปยังประเทศต้นทาง ซึ่งศูนย์ดังกล่าวสามารถตรวจสัญชาติ ตรวจดวงตราวีซ่า ตรวจสุขภาพ อนุญาตให้ทำงานได้ในประเทศไทย แต่สำหรับประเทศลาวยังหาข้อตกลงไม่ได้ แรงงานลาวยังต้องกลับไปดำเนินการที่ประเทศต้นทางตามเดิม แต่ทั้งนี้ หากเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และนายจ้างไม่มีการมาแจ้งข้อมูลภายในวันที่ 24 ก.ค.-7 ส.ค. 2560 แม้จะมีศูนย์ one stop service ก็ไม่สามารถดำเนินการได้เพราะไม่ได้แจ้งความประสงค์เอาไว้ แรงงานต่างด้าวจะต้องกลับไปทำเรื่องที่ประเทศต้นทางตามเดิม อย่างไรก็ตาม ศูนย์ one stop service สำหรับคนกัมพูชา และเมียนมา จะตั้งอยู่จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2561 เท่านั้น" พล.ท.สรรเสริญ กล่าว วันแรกยื่นคำขอตีทะเบียนแรงงานต่างด้าว 5.4 หมื่นคน เมื่อวันที่ 25ก.ค.2560-พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ชี้แจงถึงกรณีที่ยังมีนายจ้างและแรงงานต่างด้าวมีความเข้าใจคลาดเคลื่อน เกี่ยวกับการให้บริการของศูนย์รับแจ้งการทำงานของคนต่างด้าวว่า ศูนย์ฯ แห่งนี้เป็นศูนย์รับแจ้งสำหรับแรงงานกัมพูชา ลาว เมียนมา ที่ทำงานกับนายจ้างอยู่แล้ว แต่ไม่มีเอกสารแสดงตนใดๆ หรือไม่มีใบอนุญาตทำงานเท่านั้น "ส่วนกรณีที่แรงงานต่างด้าวประสงค์จะเปลี่ยนนายจ้างหรือเพิ่มท้องที่ สถานที่ทำงาน สามารถติดต่อได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครในเขตพื้นที่อันเป็นที่ตั้งของสถานที่ทำงานของแรงงานต่างด้าวในปัจจุบัน ไม่ต้องมาที่ศูนย์รับแจ้งการทำงานของคนต่างด้าว"พล.อ.ศิริ ชัย กล่าว ด้านนายวรานนท์ ปีติวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ศูนย์รับแจ้งการทำงานของคนต่างด้าวเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม - 7 สิงหาคม 2560 นี้ การให้บริการมี 3 ขั้นตอนคือ 1) นายจ้างหรือผู้แทนยื่นแบบคำขอจ้างคนต่างด้าวที่ศูนย์รับแจ้งการทำงานของคนต่างด้าว หรือทางอินเทอร์เน็ต หลักฐานคือสำเนาบัตรประจำตัวนายจ้าง หรือสำเนาหนังสือจดทะเบียนนิติบุคคลกรณีนายจ้างเป็นนิติบุคคล รูปถ่ายลูกจ้างคนต่างด้าว 2 นิ้ว 3 รูป และแบบคำขอจ้างคนต่างด้าว 2) นายจ้างพาลูกจ้างไปตรวจสอบคัดกรองความสัมพันธ์นายจ้าง-ลูกจ้าง 3) ถ้าพบเป็นนายจ้าง-ลูกจ้างจริงเจ้าหน้าที่ออกหนังสือรับรองเพื่อไปตรวจสัญชาติ โดยสัญชาติกัมพูชา ทางการกัมพูชากำหนดเข้ามาตรวจสัญชาติที่ประเทศไทยที่จังหวัดระยอง ในเดือนสิงหาคม2560นี้ โดยจะให้บริการในรูปแบบ One Stop Service (OSS) โดยทางการกัมพูชาจะออกเอกสารการเดินทาง (TD) ซึ่งคนต่างด้าวจ่ายค่าธรรมเนียม TD จำนวน 2,350 บาท จากนั้นไปศูนย์ตรวจสัญชาติเพื่อรับ TD ตรวจคนเข้าเมืองตรวจลงตราวีซ่า จำนวน 500 บาท สาธารณสุขตรวจสุขภาพ จำนวน 500 บาท และประกันสุขภาพ 500 บาท กรมการจัดหางานออกใบอนุญาตทำงาน จำนวน 550 บาท (ค่ายื่นคำขอ 100 + ค่าธรรมเนียมใบอนุญาต 450 บาท) ส่วนสัญชาติลาวนั้น แรงงานต้องไปสถานทูตลาวหรือกงสุลลาวประจำประเทศไทยเพื่อขอเอกสารกลับประเทศไปทำหนังสือเดินทาง และกลับเข้ามาทำงานแบบ MOU สำหรับสัญชาติเมียนมาดำเนินการได้ในประเทศไทยในรูปแบบ One Stop Service ได้ที่ 6 ศูนย์ 5 จังหวัดคือ สมุทรสาคร สมุทรปราการ เชียงราย ตาก ระนอง โดยทางการเมียนมาจะออก CI โดยคนต่างด้าวจ่ายค่าธรรมเนียม CI ล่วงหน้าได้ที่ counter service จำนวน 310 บาท จากนั้นไปที่ศูนย์ตรวจสัญชาติเพื่อตรวจสัญชาติรับ CI ตรวจคนเข้าเมืองตรวจลงตราวีซ่า จำนวน 500 บาท สาธารณสุขตรวจสุขภาพ จำนวน 500 บาท และประกันสุขภาพ 500 บาท กรมการจัดหางานออกใบอนุญาตทำงาน จำนวน 550 บาท (ค่ายื่นคำขอ 100 + ค่าธรรมเนียมใบอนุญาต 450 บาท) โดยแรงงานสามารถทำงานได้ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2561 "ซึ่งจากการเปิดให้บริการรับแจ้งการทำงานของคนต่างด้าว ตั้งแต่เมื่อวันที่ 24ก.ค.2560 ปรากฏว่าขณะนี้มีนายจ้างมายื่นคำขอจำนวนกว่า 18,000 ราย แรงงานต่างด้าว 54,000 คน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694"นายวรานนท์ กล่าวในที่สุด "งานขาย-บริการ-อาหาร" อาชีพที่นายจ้างต้องการคนร่วมงาน จ๊อบไทยดอทคอม (JobThai.com) เปิดเผยข้อมูลการหางานของนักศึกษาจบใหม่ ปีการศึกษา 2559 ทั้งระดับปริญญาตรีและอาชีวศึกษา โดยเก็บรวบรวมข้อมูลของนักศึกษาสองกลุ่ม ซึ่งใช้งานผ่านเว็บไซต์จ๊อบไทยดอทคอมประมาณ 138,000 คน หรือคิดเป็น 30% ของจำนวนนักศึกษาทั้งหมดที่จบในปีนี้ โดยเป็นระดับปริญญาตรี 117,000 คน และระดับอาชีวศึกษา 18,000 คน "แสงเดือน ตั้งธรรมสถิตย์" ผู้ร่วมก่อตั้งและหัวหน้าผู้บริหารด้านปฏิบัติการเว็บไซต์จ๊อบไทยดอทคอม ให้ข้อมูลถึงสาขาอาชีพที่นักศึกษาจบใหม่สมัครงานมากที่สุด ว่ามีความใกล้เคียงกันของกลุ่มปริญญาตรีและอาชีวศึกษา คือมีความสนใจเหมือนกันในงานธุรการ/จัดซื้อ และงานผลิต/ควบคุมคุณภาพ เห็นได้จาก 5 อันดับแรกของอาชีพที่นักศึกษาจบใหม่ระดับปริญญาตรีสมัครมากที่สุดคือ ธุรการ/จัดซื้อ 15.3%, ผลิต/ควบคุมคุณภาพ และวิศวกรรม 9.2%, บัญชี/การเงิน 8.2% และงานทรัพยากรบุคคล 7.3% ขณะที่ระดับอาชีวศึกษามีการสมัครงานมากที่สุดในสาขางานช่างเทคนิค 23.3%, ธุรการ/จัดซื้อ และงานผลิต/ควบคุมคุณภาพ 15.8%, บัญชี/การเงิน 10.9% และโลจิสติกส์และซัพพลายเชน 7.1% "หากเทียบกับปีที่แล้ว สาขาอาชีพไม่เปลี่ยนแปลงเท่าไร แต่เป็นการสลับตำแหน่งกัน อย่างวิศวกรรมจากปีที่แล้วมีคนสมัครมากที่สุด ปีนี้ตกมาอยู่อันดับ 2 เป็นเพราะคนเรียนจบด้านวิศวกรรมศาสตร์กระจายตัวไปสมัครงานเกี่ยวกับการผลิต และควบคุมคุณภาพมากขึ้น ที่น่าสนใจคือสาขาโลจิสติกส์และซัพพลายเชนที่เข้ามาติดอันดับเป็นปีแรก โดยอยู่ในอันดับ 6 ของระดับปริญญาตรี และอันดับ 5 ของอาชีวะ ซึ่งการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซเป็นแรงหนุนที่สำคัญ" จากการสำรวจเงินเดือนของนักศึกษาจบใหม่ พบว่าสายอาชีวศึกษาได้รับเงินเดือนเฉลี่ยเริ่มต้นที่ 11,000-15,000 บาท ระดับปริญญาตรีได้รับเงินเดือนเฉลี่ยเริ่มต้นที่ 11,000-25,000 บาท โดยงานวิทยาศาสตร์/วิจัยพัฒนา คว้าแชมป์ค่าจ้างเฉลี่ยสูงสุดอยู่ที่ 16,000-25,000 บาท รองลงมาคือวิศวกรรม 15,000-25,000 บาท ส่วนงานผลิต/ควบคุมคุณภาพ, บริการลูกค้าและการตลาด มีเงินเดือนเริ่มต้นเท่ากันอยู่ที่ 15,000-20,000 บาท จะเห็นได้ว่าอาชีพที่ได้เงินเดือนสูงเป็นสายงานที่เป็นทักษะเฉพาะทางและเกี่ยวข้องกับ STEM (Science, Technology, Engineering, Mathematics) อีกทั้งยังเป็นอาชีพที่ตรงกับความต้องการด้านแรงงานของประเทศที่กำลังก้าวสู่ยุค 4.0 อย่างไรก็ตาม หากมีทักษะด้านภาษาเพิ่มเติมจะสามารถอัพเงินเดือนให้สูงขึ้นได้ โดยคนที่มีทักษะด้านภาษาจะมีเงินเดือนเริ่มต้นที่ 30,000 บาท ส่วนนักศึกษาอาชีวะที่มีประสบการณ์การทำงานระหว่างเรียนสามารถเรียกเงินเดือนเพิ่มได้ด้วยเช่นกัน สำหรับสาขาอาชีพที่เปิดรับนักศึกษาจบใหม่มากที่สุด "แสงเดือน" กล่าวว่า งานขายเป็นสาขาที่นายจ้างยังต้องการแรงงานอีกมาก เพราะทุกบริษัทมีตำแหน่งงานนี้ เช่นเดียวกับงานบริการลูกค้าที่บริษัทขาดแคลนคน นอกจากนั้นจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของกลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม กลับทำให้อาชีพนี้เป็นสาขาที่มาแรงและติดอยู่อันดับ 3 ของทั้งสองกลุ่ม รวมถึงงานวิศวกรรมและช่างเทคนิคก็เป็นที่ต้องการของนายจ้างมากขึ้นจากการที่ภาครัฐมีการกระตุ้นการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมและการเกิดขึ้นของเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยสาขาที่เปิดรับนักศึกษาจบใหม่ระดับปริญญาตรีมากที่สุด ได้แก่ งานขาย 25.7%, บริการลูกค้า 9.9%, อาหาร/เครื่องดื่ม 8%, วิศวกรรม 7.2% และงานช่างเทคนิค 6.5% ซึ่งข้อมูลใกล้เคียงกับระดับอาชีวศึกษาที่เปิดรับด้านงานขายมากที่สุดอยู่ที่ 29.7% รองลงมาเป็นงานช่างเทคนิค 16.8%, อาหาร/เครื่องดื่ม 12.9%, บริการลูกค้า 7.5% และงานผลิต/ควบคุมคุณภาพ 6.6% "แสงเดือน" ให้ข้อมูลเพิ่มเติมถึงอัตราการแข่งขันของแต่ละสาขาอาชีพ ซึ่งการแข่งขันของสายอาชีวศึกษาไม่ดุเดือดเท่าของกลุ่มปริญญาตรี โดยพบว่าสาขาอาชีพที่มีอัตราการแข่งขันสูงสุดในกลุ่มนักศึกษาจบใหม่ระดับปริญญาตรี ได้แก่ งานทรัพยากรบุคคล อยู่ที่ 1:44 อันดับสองคืองานสื่อสารมวลชน 1:25 ถัดมาเป็นงานวิทยาศาสตร์/วิจัยพัฒนา 1:24 งานโลจิสติกส์และซัพพลายเชน 1:15 และงานอาจารย์/วิชาการ 1:13 ขณะที่กลุ่มอาชีวะมีการแข่งขันสูงสุดในงานบัญชี/การเงิน 1:11 งานธุรการ/จัดซื้อ และงานเลขานุการ 1:10 งานคอมพิวเตอร์/ไอที 1:7 งานโลจิสติกส์และซัพพลายเชน 1:6 และสุดท้ายคือ งานการตลาดอยู่ที่ 1:5 อย่างไรก็ตาม จากการเก็บข้อมูลยังพบอีกว่าสาขาอาชีพที่มีการแข่งขันต่ำที่สุดของระดับปริญญาตรี โดยมีอัตราการแข่งขันไม่เกิน 1:5 ได้แก่ อาหาร/เครื่องดื่ม, งานขาย, งานช่างเทคนิค, สุขภาพ/โภชนาการ และโยธา/สถาปัตย์ ส่วนทางกลุ่มอาชีวะมีอัตราการแข่งขัน 1:3 ซึ่งอยู่ในสาขาสุขภาพ/ความงาม, อาหาร/เครื่องดื่ม, งานขาย, ล่าม/นักแปลภาษา และออกแบบเว็บไซต์ เพราะตลาดมีความต้องการคนด้านนี้มาก แต่แรงงานในตลาดกลับไม่เพียงพอ "เรายังสำรวจความคิดเห็นของฝ่ายเอชอาร์จำนวน 480 คน จากองค์กรต่าง ๆ พบว่าปัญหาใหญ่ที่เจอจากการทำงานกับคนรุ่นใหม่คือคนรุ่นใหม่ไม่สามารถปรับตัวเข้าสู่โลกการทำงานได้ มีความมั่นใจในตัวเองเกินไป ไม่อดทนต่อแรงกดดันในการทำงานและคำวิจารณ์ต่าง ๆ อีกทั้งยังมีการเปลี่ยนงานบ่อย และไม่สามารถอยู่ในระเบียบวินัยขององค์กรได้" "ดังนั้นนักศึกษาจบใหม่ควรหาทิศทางให้เจอว่าจุดมุ่งหมายของตัวเองนั้นอยากทำอะไร เพื่อจะได้ทำงานอย่างมีความสุข เพราะจะส่งผลต่องานที่จะสำเร็จและมีประสิทธิภาพตามมา" ลูกหนี้ กยศ.โล่ง!! คลังยังไม่พร้อมหักเงินเดือนนี้ แม้ "พ.ร.บ.กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา" ฉบับใหม่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ 26 ก.ค. นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า แม้กฎหมายพ.ร.บ.กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาฉบับใหม่ จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 26 ก.ค.นี้ เป็นวันแรก แต่ในส่วนของภาคปฏิบัติที่กำหนดให้นายจ้าง หักเงินจากรายได้ของลูกจ้างที่เป็นลูกหนี้ในกองทุน กยศ. และนำส่งเข้าสรรพากรเช่นเดียวกับการหักภาษีในแต่ละเดือนจะยังไม่เริ่มในเดือนนี้ เพราะต้องรอหารือกับนายจ้าง และกรมสรรพากรให้พร้อมก่อน รวมถึงการพิจารณารายละเอียดของกฎหมายให้ชัดว่า ครอบคลุมของการหักเงินเดือนของลูกหนี้เก่าของ กยศ. ได้ด้วยหรือไม่ "ตามเจตนารมณ์ของการแก้กฎหมายเข้าใจว่าต้องการให้หักเงินเดือนครอบคลุมทั้งลูกหนี้กยศ.ทั้งใหม่และเก่า แต่อย่างไรก็ตามเราก็ต้องดูรายละเอียดกฎหมาย และตีความให้แน่ชัดว่าทำได้จริงหรือไม่ ดังนั้นจึงยังไม่มีการหักเงินเดือนเริ่มในวันที่ 26 ก.ค.นี้ แต่ภาครัฐจะเร่งพิจารณาให้เสร็จโดยเร็ว เพื่อให้การหักเงินเดือนลูกหนี้ มาใช้หนี้กยศ.เกิดขึ้นได้ภายในปีนี้ โดยจะทำพร้อมกันหมดทั้งในส่วนลูกหนี้ที่ทำงานในส่วนภาครัฐ และเอกชน" นายสมชัย กล่าว "ประยุทธ์" โยน สปส.แก้ปัญหา หลัง รพ.เอกชน หลายแห่งทยอยออกจากระบบประกันสังคม เมื่อวันที่ 25 ก.ค. 60 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีที่โรงพยาบาลเอกชนหลายแห่งทยอยออกจากระบบประกันสังคม ที่ให้เหตุผลว่าขาดทุน ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ใช้ประกันสังคมว่า ตรงนี้ต้องเข้าใจว่านี่คือปัญหาระบบสาธารณสุขของเรา เป็นเรื่องของสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ที่เขาจะหาทางแก้ปัญหาว่าจะทำอย่างไรต่อไป เขารับผิดชอบในเรื่องของประกันสังคม เพราะว่าเขาขาดทุนก็จะทำอย่างไร การแก้ไขปัญหาช่วงนี้ต้องไปหาโรงพยาบาลที่ใกล้เคียง ในการเข้าไปรักษาพยาบาล ที่เขามีระบบประกันสังคมไปก่อน เพราะเราไปบังคับโรงพยาบาลเอกชนเขาไม่ได้ เนื่องจากเป็นผลการประกอบการธุรกิจของเขา ซึ่งเขามีกฎหมายของเขา สปส.คงต้องไปแก้ปัญหากันต่อไป ฮอนด้ารับสมัครนิสิต นศ.ร่วมโครงการ "Honda Smart Idol" ร่วมเรียนรู้ประสบการณ์การทำงานจริงกับฮอนด้า บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เชิญชวนนิสิต นักศึกษา หนุ่มสาวคนรุ่นใหม่ ร่วมเรียนรู้ประสบการณ์การทำงานจริงกับฮอนด้า ผ่านโครงการ "Honda Smart Idol" ที่เปิดรับสมัครนิสิต นักศึกษา ที่มีความมั่นใจ บุคลิกภาพดี มีความสามารถ ไหวพริบปฏิภาณดี รักการเรียนรู้ และมีความรับผิดชอบ ในการเป็นตัวแทนของฮอนด้า แนะนำยนตรกรรมรุ่นใหม่ รวมทั้งเทคโนโลยีอันล้ำสมัยต่างๆ ให้กับผู้เยี่ยมชมบูทแสดงรถยนต์ฮอนด้าในงาน Thailand International Motor Expo ครั้งที่ 34 และงาน Bangkok International Motor Show ครั้งที่ 39 โดยตัวแทนที่ได้รับการคัดเลือกทั้ง 20 คน นอกจากจะได้เข้ารับการอบรมพัฒนาบุคลิกภาพ และเรียนรู้เรื่องเทคโนโลยียานยนต์ของฮอนด้าแล้ว ยังได้รับทุนการศึกษารวมมูลค่าทั้งสิ้น 540,000 บาทอีกด้วย นิสิต นักศึกษา ที่มีอายุตั้งแต่ 18-22 ปี และมีเกรดเฉลี่ยสะสมตั้งแต่ 2.50 ขึ้นไป สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการ Honda Smart Idol สามารถเข้าไปกรอกใบสมัครผ่านทางออนไลน์ พร้อมอัพโหลด รูปถ่ายชุดนิสิต นักศึกษา และรูปถ่ายเต็มตัว รวมถึงเอกสารใบรับรองผลการเรียน หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ www.honda.co.th/smartidol2017 ตั้งแต่วันนี้ - 15 กันยายน 2560 วอนช่วยพลทหารด้วย ! คลิปแฉ "เมียนาวาเอก" เกณฑ์กว่า 20 ชีวิตใช้แรงงาน โขกสับเยี่ยงทาส แถมหักค่าไฟคนละ 300 (26 ก.ค.) ทางเพจเฟซบุ๊ก "Social Hunter" ได้โพสต์คลิปความยาว 5 นาที ตลอดทั้งคลิปจะมีเสียงผู้หญิงคนหนึ่งด่าว่า ตำหนิ กลุ่มชายราว 5 - 6 คน แบบไม่หยุด ซึ่งทุกคนก้มหน้ารับฟังด้วยสีหน้าท่าทางสุดเซ็ง ทั้งนี้ แอดมินเพจได้ระบุข้อความว่า "แอดมินช่วยตีแผ่เรื่องนี้ด้วยนะ เมียนาวาเอก ฮะ แห่งกองทัพเรือ กดขี่ข่มเหงพลทหาร!!! น่าสงสารชีวิตพลทหารตั้งใจมารับใช้ชาติ กลับถูกเกณฑ์มาเป็นทาสให้เมียนายโขกสับ!!! กว่า 20 ชีวิต!!! เค้าเอาพลทหารไปใช้งาน ตัดค่าไฟด้วยคนละ 300 บาท ทั้งๆ ที่เอาไปใช้งาน ก่อนหน้ามีพลทหารออกมาได้ 3 คน เค้าสั่งให้ลูกน้องเค้าส่งไปอยู่ใต้ เงินเดือนก็เป็นเบี้ยเลี้ยงทหารนะครับ มันไม่ได้สุขสบายอย่างที่คนพูดกันว่ามาอยู่บ้านนาย ฟังเอาเองครับ #ผู้มีอำนาจโปรดช่วยเหลือพลทหาร @ร้านอาหาร จ.ระยอง ด้วยเจ้าครับ!!! ความจริงอีกด้านหนึ่งที่หลายคนยังไม่รู้ ในคราบนักบุญของคนบาป" สำหรับคำพูดของหญิงสาวในคลิป มีคร่าวๆ ดังนี้ "ค่าน้ำปกติเฉลี่ยอยู่ที่เดือนละ 3 - 4 พัน แต่นี่ 7 พัน เอาตัวเลขมาจากไหน พวกเอ็งนั่งเทียนกันหรอ แล้ววันก่อนบอกผมนั่งจดทุกวัน พอให้ไปเอาสมุด เพิ่งมาจด ทำไมพวกเอ็งเหลี่ยมจัดกันเหลือเกินวะ เหมือนผู้การบอกไม่มีผิดเลย แสบ ซึม ลืมดูลืมมองไปนึกว่าเป็นคนดี ไม่ธรรมดาเหมือนกันนะเนี่ย ทุกคนมีหน้าที่ แต่ดูดิ ไอนี่ให้เข้ายาม แต่ไปนอนเล่นโทรศัพท์ ปิดประตูรั้วไว้ครึ่งนึง ฉันแกล้งบอกจะไปค้างกรุงเทพฯ เห็นฉันไม่อยู่ ดีใจ ปิดประตูรั้วไว้ครึ่งนึง ตีสองฉันกลับมาไปนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ในห้อง แล้วอ้างว่ามาดูน้ำข้างหลัง กลัวฝนตก ดูดิ ฉันดูกล้องก็รู้มันทำอะไร ฉันเคยเตือนมันไปแล้วทีนึง แต่มันก็ยังทำ ฉันแค้นใจ แค้นมากเลยนะ นี่ถ้าเป็นจ่าตรี (ชื่อจ่าที่เคยรับใช้) อยู่สมัยก่อน มันโดนตบ โดนแดกทั้งวันทั้งคืนแล้ว ฉันมีจ่าอยู่คนนึง เป็นมือขวาฉันเลย ฉันไม่ต้องมายืนด่าเองหรอก ฉันยังเสียดายมันเลย เพราะฉันไล่มันไป เพราะว่ามันดีแตก มันทำเพื่อฉันทุกอย่าง แต่มันก็เอาวิชาความรู้ เอาอำนาจของฉันไปใช้ผิดที่ผิดทาง ฉันก็รับไม่ได้ แต่สิ่งที่มันควบคุมให้ฉัน ควบคุมทหารเกเร ถามคนเก่าก็ได้ว่าจ่าตรีโหดมั๊ย ฉันแค่บ่นแค่คำเดียว เอาตีนตบเลยนะ แล้วแดกพวกเอ็งข้ามคืนโน่น ตักขี้วัวขี้ควาย ลากล้อยาง ไม่ได้นอนหรอก เอ็งไม่ได้สุขสบายแบบนี้หรอกนะ เขามีมาเพื่อคุมพวกเอ็ง นี่ฉันต้องมาปากเปียกปากแฉะ แล้วมันไม่กลัวไม่เกรงใจฉันเลยนะ ฉันผิดหวังมากเลย ฉันเครียดกับพลทหารมากเลยอะ มานั่งนึก กรรมเวรอะไรวะ ฉันเป็นเมีย ผบ.สูงสุด แต่ฉันต้องมานั่งบ่นพลทหาร มันต้องถึงมือฉัน ฉันรู้สึกเหมือนศักดิ์ศรีฉันไม่มีเลยอะ มานั่งนึกถึงความดีไอ้ตรีเลย" ขยายเวลาทำงานศูนย์รับแจ้งการทำงานของคนต่างด้าว 100 ศูนย์ ถึง 20.00 น. นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงานในฐานะโฆษกกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงานได้มีการจัดตั้งศูนย์ให้บริการข้อมูลทางโทรศัพท์สายด่วน 1694 ขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้บริการทั้งประชาชนทั่วไป คนหางาน นายจ้าง/สถานประกอบการ และแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยให้สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ เป็นตัวกลางในการประสานความช่วยเหลือแรงงานต่างด้าวที่ทำงานอยู่ในประเทศไทยให้ได้รับการคุ้มครองตามมาตรฐานสากล อีกทั้งยังเป็นการแสดงเจตนารมณ์ ว่าประเทศไทยได้ร่วมแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ และเคารพในหลักสิทธิมนุษยชนอีกด้วย โดยมีล่ามภาษาอังกฤษ เมียนมา และกัมพูชา ให้บริการทางโทรศัพท์สายด่วน 1694 ตั้งแต่เวลา 08.30–16.30 น. ในวันจันทร์-ศุกร์ อย่างไรก็ตามขณะนี้กระทรวงแรงงานมีจัดตั้งศูนย์รับแจ้งการทำงานของคนต่างด้าวขึ้นทั่วประเทศ 100 ศูนย์ ที่ต้องการให้นายจ้างที่ใช้แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย 3 สัญชาติ เมียนมา กัมพูชา และลาว มาแจ้งกับทางการ สายด่วน 1694 เป็นเบอร์สำคัญในการสอบข้อมูลของนายจ้างและแรงงานต่างด้าว จึงมีการขยายเวลาการทำงานในวันจันทร์-ศุกร์ เป็นเวลา 07.30-20.00 น. และเพิ่มวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เป็นเวลา 08.00-17.00 น. จนถึงวันที่ 7 สิงหาคมนี้โดยมียอดการใช้บริการสอบถามข้อมูลเพิ่มขึ้นประมาณ 2,400 สายต่อวัน จากเดิมประมาณ 700-800 สายต่อวัน ซึ่งผลการดำเนินงาน สายด่วน 1694 ตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน-26 กรกฎาคม 2560 มีผู้ใช้บริการทั้งสิ้นจำนวน 24,397 สาย แบ่งเป็นนายจ้างไทยและประชาชนทั่วไป จำนวน 22,716 ราย โดยสอบถามการขอใบอนุญาตทำงาน 17,769 สาย การเปลี่ยนนายจ้าง 2,729 สาย การเพิ่มท้องที่การทำงาน 1,004 สาย และอื่นๆ (จัดหางานในประเทศ/ต่างประเทศ อาชีพอิสระ แนะแนวอาชีพ การขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนการคุ้มครองแรงงาน การพัฒนาฝีมือแรงงาน) 2,889 สาย ร้องเรียน ร้องทุกข์ เรื่องแรงงานต่างด้าวทำงานผิดกฎหมาย 6 สาย และแรงงานต่างด้าวมาใช้บริการจำนวน 1,681 สาย แบ่งเป็นแรงงานเมียนมา 802 สาย กัมพูชา 549 สาย ลาว 237 สาย เวียดนาม 43 สาย และแรงงานต่างด้าวพูดภาษาอังกฤษ 50 สาย "จากการเพิ่มขึ้นของผู้ใช้บริการและการตอบคำถามในแต่ละครั้งต้องใช้เวลา 3-15 นาที ต่อคนจึงส่งผลให้สายไม่ว่างหรือโทรไม่ติดก่อให้เกิดปัญหาความไม่สะดวก ล่าช้า จึงขออภัยผู้ใช้บริการ ทางสายด่วน 1694 จะพยายามตอบคำถามเข้าใจง่ายรวดเร็วมากยิ่งขึ้นเพื่อลดปัญหาดังกล่าว "นายอนันต์ชัย กล่าว กยศ.เร่งจัดเตรียมระบบรองรับแนวปฏิบัติการให้นายจ้างหักเงินเดือนผู้กู้ยืม นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เผยเร่งจัดเตรียมระบบเพื่อรองรับการกำหนดแนวปฏิบัติของนายจ้างหักเงินเดือนผู้กู้ยืม หลัง พ.ร.บ.ฉบับใหม่เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 26 ก.ค.60 โดยนายจ้างจะทำการหักเงินเดือนได้ต่อเมื่อกองทุนฯ แจ้งให้นายจ้างรับทราบอย่างเป็นทางการแล้ว โดยการกำหนดให้นายจ้างหักเงินเดือนจากรายได้ของพนักงานหรือลูกจ้างที่เป็นลูกหนี้ของกองทุนฯ เพื่อนำส่งกรมสรรพากรเช่นเดียวกับการหักภาษี ณ ที่จ่ายในแต่ละเดือนนั้น กองทุนฯ จะเดินหน้าให้ความรู้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องและประชาชน รวมถึงการเตรียมความพร้อมของระบบเพื่อรองรับการดำเนินงานตาม พ.ร.บ.ฉบับนี้ ซึ่ง พ.ร.บ.ดังกล่าวให้อำนาจกองทุนฯ ดำเนินการขอข้อมูลส่วนบุคคลของผู้กู้ยืมเงินจากหน่วยงานหรือองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน โดยจะมีการออกกฎกระทรวงและระเบียบต่างๆ ของกองทุนฯ เพื่อรองรับ พ.ร.บ.ดังกล่าว รวมถึงต้องกำหนดแนวปฏิบัติเพื่อทำความเข้าใจกับองค์กรนายจ้างและหน่วยงานอื่นๆ และเตรียมความพร้อมของระบบนำส่งเงินชำระหนี้ "เมื่อกองทุนฯ ได้ข้อมูลของผู้กู้ยืมเงินจากหน่วยงานต่างๆ กองทุนฯ จะดำเนินการแจ้งนายจ้างให้ทราบ และเมื่อนายจ้างได้รับทราบการแจ้งจากกองทุนฯ แล้ว นายจ้างมีหน้าที่หักเงินได้ของผู้กู้ยืมเงินเพื่อชำระหนี้คืนตามที่กำหนดในพระราชบัญญัติต่อไป" นายชัยณรงค์ กล่าว สำหรับ พ.ร.บ.กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ.2560 จะเป็นการช่วยเพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้กับนักเรียนนักศึกษา โดยมีการให้กู้ยืม 4 ลักษณะ คือ 1.นักเรียนนักศึกษาที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ 2.นักเรียนนักศึกษาในสาขาวิชาความต้องการหลักต่อการพัฒนาประเทศ 3.นักเรียนนักศึกษาที่ศึกษาในสาขาวิชาที่ขาดแคลน หรือมุ่งส่งเสริมเป็นพิเศษ และ 4.นักเรียนนักศึกษาที่เรียนดีเพื่อสร้างความเป็นเลิศ เพื่อรองรับการผลิตกำลังคนไปสู่ยุคประเทศไทย 4.0 ในอนาคต ซึ่งกองทุนฯ จะมีการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศขึ้นใหม่ โดยเชื่อมโยงฐานข้อมูลกับหน่วยงานอื่นๆ ให้มีความถูกต้อง สะดวก รวดเร็ว และตรวจสอบได้ในการกู้ยืม การบริหารหนี้ และการติดตามหนี้อย่างเป็นระบบ ปัจจุบันกองทุนฯ มีผู้กู้กองทุน กยศ. และกองทุน กรอ.จำนวนทั้งสิ้น 5.2 ล้านราย เป็นเงินกู้ยืม 5.5 แสนล้านบาท มีผู้กู้ที่ผิดนัดชำระหนี้ 2.1 ล้านราย โดยดำเนินคดีกับผู้กู้แล้วประมาณ 1.1 ล้านราย (ข้อมูล ณ 30 มิ.ย.60) และเมื่อวันที่ 26 ก.ค.ที่ผ่านมา พ.ร.บ.กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ.2560 เริ่มมีผลบังคับใช้แล้ว ขณะที่ปัจจุบันมีผู้โทรศัพท์ติดต่อสอบถามทั้งเรื่องการกู้ยืมและการชำระหนี้จำนวนมากกว่า 1,700 สายต่อวัน ซึ่งอาจทำให้ได้รับความล่าช้าในการให้บริการ ซึ่งกองทุนฯ ได้ปรับปรุงระบบการให้บริการและเพิ่มอัตราเจ้าหน้าที่รับโทรศัพท์ รวมถึงขยายระยะเวลาการให้บริการจนถึง 20.00 น.ของทุกวัน ซึ่งผู้กู้ยืมและประชาชนสามารถติดตามข่าวสารและสอบถามข้อมูลต่างๆ เพิ่มเติม ได้ที่ 02-016-4888 และเว็บไซต์ www.studentloan.or.th และ facebook กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา "ทปสท." ร้อง "บิ๊กตู่" แก้ปัญหาพนักงานมหาวิทยาลัย 27 ก.ค.2560 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.รัฐกรณ์ คิดการ ประธานที่ประชุมประธานสภาคณาจารย์และข้าราชการแห่งประเทศไทย(ทปสท.)และคณะได้ยื่นหนังสือถึงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมตรี ผ่านศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล รวมทั้งได้เดินทางไปยื่นหนังสือต่อผู้อำนวยการสำนักงบประมาณขอให้จัดสรรงบประมาณปรับเพิ่มเงินเดือนพนักงานมหาวิทยาลัยเป็นร้อยละ 6 ประธาน ทปสท. กล่าวอีกว่า เนื่องจากทปสท.ได้รับการร้องเรียนจากสถาบันอุดมศึกษาหลายแห่งว่าในปีงบประมาณ 2560 สถาบันได้รับการจัดสรรงบประมาณในการปรับเลื่อนเงินเดือนพนักงานมหาวิทยาลัย ในกรอบเพียงร้อยละ 4 แต่ได้รับการจัดสรรงบประมาณจริงเพียงร้อยละ 80 ของกรอบดังกล่าวอีก ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบกับสถาบันอุดมศึกษา เนื่องจากทุกปีที่ผ่านมาจะได้รับการจัดสรรร้อยละ 6 ซึ่งเท่ากับกรอบวงเงินสำหรับปรับเลื่อนเงินเดือนของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา โดยที่สถาบันอุดมศึกษาก็จะไปออกระเบียบว่าด้วยการเลื่อนเงินเดือนของพนักงาน เช่นเดียวกับของข้าราชการคือภายใต้กรอบวงเงินร้อยละ 6 เมื่อสำนักงบประมาณปรับลดวงเงินดังกล่าวลงเหลือเพียงร้อยละ 4 สถาบันจึงมีปัญหาในการนำเงินมาปรับขึ้นเงินเดือนรายปี ให้กับพนักงาน ส่งผลให้เกิดความเดือดร้อนกับพนักงานมหาวิทยาลัยด้วย "ดังนั้นพวกผมจึงขอให้ท่านพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ช่วยพิจารณาสั่งการไปยังสำนักงบประมาณให้ปรับเพิ่มการจัดสรรวงเงินในการปรับเพิ่มเงินเดือนรายปี ของพนักงานมหาวิทยาลัยในปีงบประมาณ 2561 ให้เป็นไปตามกรอบเดิมคือร้อยละ 6 ด้วย"ผศ.ดร.รัฐกรณ์ ระบุ ประธาน ทปสท. กล่าวอีกว่า ปัจจุบันพนักงานมหาวิทยาลัยถือเป็นบุคลากรกลุ่มใหญ่ในสถาบันอุดมศึกษา ปัจจุบันมีจำนวนทั้งหมด 101,281 คน แยกเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ 30,275 คน มหาวิทยาลัยในกำกับ 4,767 คน มหาวิทยาลัยราชภัฏ 4,853 คน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล 4,256 คน ส่วนข้าราชการเหลืออยู่เพียง 29,466 คน "ทั้งนี้เนื่องมาจาก มติคณะรัฐมนตรีปี 2542 ที่ต้องการให้มหาวิทยาลัยออกนอกระบบ จึงให้บรรจุพนักงานทดแทนอัตราข้าราชการที่เกษียณอายุ รวมทั้งอัตราที่บรรจุใหม่ แต่พนักงานมหาวิทยาลัยกลับไม่ได้รับการเหลียวแลจากรัฐบาล ทั้งเรื่องสถานะที่ไม่ใช่ข้าราชการและไม่ใช่ลูกจ้าง เนื่องจากต้องอยู่ภายใต้กฎหมายประกันสังคม แต่ไม่อยู่ภายใต้กฎหมายแรงงาน เพราะเมื่อถูกเลิกจ้างก็ไม่สามารถเรียกร้องค่าชดเชยใดๆได้ แถมไม่สามารถฟ้องศาลแรงงานได้"ประธานทปสท.แจกแจง ประธาน ทปสท. อธิบายอีกว่า ดังนั้น ในช่วงนี้ที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของการปฏิรูปการศึกษา และจะมีการจัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษา อยากฝากให้รัฐบาล หรือคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา ได้โปรดหันมามองและหาทางแก้ปัญหาของพนักงานมหาวิทยาลัย ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญส่วนหนึ่งในการปฏิรูปการศึกษา และปฏิรูปประเทศบ้าง ศูนย์รับแจ้งทำงาน "ต่างด้าว" 3 วัน ยื่นคำขอกว่า 1.1 แสนราย เป็นพม่ามากสุด (27 ก.ค.) นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน ในฐานะโฆษก ก.แรงงาน กล่าวว่า จากการเปิดศูนย์รับแจ้งการทำงานของคนต่างด้าวขึ้นทั่วประเทศ 100 ศูนย์ เฉพาะในกรุงเทพมหานครจำนวน 11 ศูนย์ เริ่มตั้งแต่ 24 ก.ค. จนถึงวันที่ 26 ก.ค. มีผู้มาแจ้งยื่นลงทะเบียนแรงงานต่างด้าวที่ทำงานกับนายจ้าง แต่ไม่มีเอกสารใดๆ จำนวนมาก แบ่งเป็น นายจ้างยื่นคำขอ จำนวน 39,240 ราย ผ่านทางอินเทอร์เน็ต จำนวน 4,340 ราย ยื่นที่ศูนย์ฯ 34,900 ราย จำแนกเป็นนิติบุคคล จำนวน 35,119 ราย บุคคลธรรมดา จำนวน 4,077 ราย และนายจ้างต่างชาติ จำนวน 44 ราย นายอนันต์ชัย กล่าวว่า แรงงานต่างด้าว จำนวน 118,489 คน แบ่งเป็น กัมพูชา จำนวน 29,134 คน ลาว จำนวน 16,579 คน พม่า จำนวน 72,777 คน โดยศูนย์รับแจ้งฯ ที่ยื่นคำขอมากที่สุด คือๅ ศูนย์ฯ จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 4,661 คน ศูนย์ฯ จังหวัดนครปฐม จำนวน 4,661 คน ศูนย์ฯ จังหวัดราชบุรี จำนวน 3,958 คน ศูนย์ฯ จังหวัดสมุทรปราการ 2 จำนวน 3,878 คน และศูนย์ฯ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จำนวน 3,839 คน ส่วนประเภทกิจการที่รับแจ้งคำขอจ้างคนต่างด้าวมากที่สุด คือ กิจการเกษตรและปศุสัตว์ จำนวน 9,608 คน กิจการก่อสร้าง จำนวน 6,129 คน ผู้รับใช้ในบ้าน จำนวน 3,639 คน จำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม จำนวน 3,416 คน และการให้บริการต่างๆ จำนวน 2,794 คน นายอนันต์ชัย กล่าวว่า กระทรวงแรงงานได้จัดเจ้าหน้าที่ไว้บริการจำนวนกว่า 4,000 คน และอุปกรณ์สิ่งอำนวยความสะดวกในการให้บริการ เช่น คอมพิวเตอร์สำนักงาน เครื่องถ่ายเอกสาร พัดลมไอน้ำ เครื่องขยายเสียง ฯลฯ และยังมีจุดบริการด้านพยาบาลในการปฐมพยาบาลเบื้องต้น หากผู้มาใช้บริการที่ศูนย์มีอาการเจ็บป่วย โดยศูนย์ฯ จะเปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 08.30-16.30 น. ทุกวันโดยเริ่มแจกบัตรคิวตั้งแต่เวลา 07.30 น. สำหรับเอกสารที่ใช้ประกอบด้วยใบคำขอจ้างคนต่างด้าว รูปถ่ายลูกจ้างขนาด 2 นิ้ว หน้าตรง ไม่สวมหมวก ไม่สวมแว่น จำนวน 3 พร้อมสำเนาบัตรประชาชนของนายจ้าง หากเป็นนิติบุคคลต้องแนบสำเนาหนังสือจดทะเบียนนิติบุคคล เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเอกสาร หากครบถ้วนถูกต้องจะได้รับใบนัดหมาย ซึ่งจะใช้เวลาเพียง 15 นาที และหากไม่สะดวกในการเดินทางไปที่ศูนย์นายจ้างสามารถแจ้งผ่านระบบออนไลน์ได้ทุกที่ ทุกเวลา ที่ https://wpfast.doe.go.th/fast11/user/ ทั้งนี้ นายจ้างไม่ต้องค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น หากเจ้าหน้าที่ของกระทรวงแรงงานเรียกรับผลประโยชน์จากผู้มาติดต่อจะดำเนินการลงโทษทางวินัยสถานหนัก สามารถแจ้งเบาะแสผ่านทาง ศูนย์รับแจ้งการปราบปรามการทุจริตในหน่วยทหาร หรือแจ้งที่ศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์กระทรวงแรงงาน หรือสายด่วนกรมจัดหางาน โทร 1694 ขอยืนยันอีกครั้งว่าหลังจากเปิดรับแจ้งการใช้แรงงานต่างด้าวครั้งนี้แล้ว จะไม่มีการเปิดจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวอีก จึงขอเชิญชวนนายจ้างให้รีบมาแจ้งที่ศูนย์ในภายในเวลาที่กำหนด คาดว่าเมื่อสิ้นสุดวันที่ 7 สิงหาคม จะมีผู้มายื่นคำขอเกือบ 1 ล้านคน หลังจากนั้น 8 สิงหาคม – 6 กันยายนนี้ (ระยะเวลาดำเนินการ 30 วัน) จะเป็นขั้นตอนตรวจสอบคัดกรองความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างที่มาลงทะเบียนแจ้งไว้ "จากการเปิดศูนย์ฯ พบว่ายังมีนายจ้างบางส่วนเข้าใจคลาดเคลื่อน จึงขอชี้แจงว่าศูนย์ฯ รับแจ้งเฉพาะแรงงานต่างด้าวที่ทำงานกับนายจ้างอยู่แล้วแต่ไม่มีเอกสารแสดงตน หรือไม่มีใบอนุญาตทำงานเท่านั้น ส่วนกรณีแรงงานต่างด้าวที่มีใบอนุญาตทำงานอยู่แล้วและมีความประสงค์จะเปลี่ยนนายจ้างหรือต้องการขอใบอนุญาตทำงาน สามารถติดต่อได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่เขต 1-10 โดยไม่ต้องเดินทางมาที่ศูนย์แต่อย่างใด" นายอนันต์ชัย กล่าว โบรกเกอร์แรงงานเถื่อนระบาดรับกฎหมายต่างด้าว พ.ร.บ.แรงงานใหม่ มีจุดบอด บริษัทนำเข้าแรงงานเถื่อนผุดเกลื่อนเมือง รับลงทะเบียนแรงงานต่างด้าว กระทรวงแรงงานแจงไร้กฎหมายควบคุม จี้ตรวจสอบ บริษัท-นายจ้าง เร่ขายโควตา หวั่นกระทบชื่อเสียงประเทศ อันดับเทียร์ไม่ขยับ ที่ประชุม ครม. สั่งเปิดศูนย์ One Stop Service 11 จุด บรรเทาปัญหาแรงงานขาด แม้ปัญหาการขาดแรงงานอาจจะดูคลี่คลายลงไปบ้าง ล่าสุด บรรดานายจ้างและลูกจ้างได้ทยอยเดินทางไปขึ้นทะเบียน ตามศูนย์รับแจ้ง ที่กระทรวงแรงงานเปิดไว้รับรับถึง 101 แห่ง ทั่วประเทศ ซึ่งจะสิ้นสุดการลงทะเบียนในวันที่ 7 สิงหาคมนี้ แต่อีกด้านหนึ่งก็กลับมีปัญหาใหม่เกิดขึ้นตามมา แหล่งข่าวจากบริษัทนำคนต่างด้าวมาทำงานในประเทศ ที่ขึ้นทะเบียนและได้รับอนุญาตจากกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า หลังจากที่รัฐบาลได้ประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 เมื่อปลายเดือนมิถุนายน แต่ได้เลื่อนการบังคับใช้ออกไปเป็น 1 มกราคม 2561 เพื่อผ่อนผันและอำนาจความสะดวกให้แรงงานต่างด้าวเข้าสู่ระบบอย่างถูกต้อง ส่งผลภาพรวมของบริษัทนำเข้าคนต่างด้าวมีปริมาณงานที่มากขึ้น โดยเฉพาะงานเรื่องเอกสาร งานแก้ไขเอกสาร เป็นงานในลักษณะที่เป็นเอาแรงงานเข้าประเทศมาโดยไม่ถูกต้องมาทำให้ถูกกฎหมาย แต่หลังจากที่รัฐบาลมีประกาศผ่อนผันออกมาปริมาณก็เริ่มชะลอลง ส่วนหนึ่งอาจเนื่องมาจากนายจ้างมีเวลาตั้งตัวและมีช่องทางมากขึ้น ตอนนี้นายจ้างและผู้ประกอบการอยู่ระหว่างการเร่งปรับตัว ซึ่งอุตสาหกรรมใหญ่ ๆ ได้รับผลกระทบน้อย เนื่องจากได้มีการปรับตัวมาเป็นระยะ ๆ แล้ว เช่น กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวกับสัตว์ปีก ผู้ส่งออกรายใหญ่ ได้มีการทำเอ็มโอยูแรงงานกับประเทศเพื่อนบ้านมาระยะหนึ่งแล้ว จึงไม่ค่อยมีผลกระทบหนัก จะกระทบหนักส่วนใหญ่เป็นบริษัทรายย่อย บรรดาเอสเอ็มอีซึ่งจะกระจายอยู่ในทุกภูมิภาค ธุรกิจโรงสี อุตสาหกรรมเกษตร รวมถึงบรรดาร้านอาหารที่ใช้พนักงานเป็นคนต่างด้าว อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็นปัญหาในตอนนี้ก็คือ มีบริษัทนำคนต่างด้าวมาทำงานในประเทศ ที่ไม่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากกรมการจัดหางาน หรือโบรกเกอร์เถื่อน เกิดขึ้นจำนวนมาก เนื่องจาก พ.ร.ก.แรงงานฉบับใหม่ ไม่ได้เข้ามาควบคุมในส่วนนี้ แต่จะควบคุมเฉพาะบริษัทนำคนต่างด้าวมาทำงานในประเทศ ที่ขึ้นทะเบียนและได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องจำนวน 81 บริษัท และโบรกเกอร์เถื่อนเหล่านี้ก็จะเรียกค่าบริการที่สูง คือ ตั้งแต่ 9,000-12,000 บาท จากปกติที่แรงงานต่างด้าวจะเสียค่าใช้จ่ายเพียง 2,360 บาท และเนื่องจากโบรกเกอร์เหล่านี้ไม่ได้ขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้อง เวลาเกิดปัญหาขึ้นหรือเกิดมีการหลอกลวงและมีความเสียหายเกิดขึ้นก็จะไม่สามารถตรวจสอบหรือตามหาคนมารับผิดชอบได้ นอกจากที่เป็นคนไทยแล้ว ยังมีชาวเมียนมาจำนวนหนึ่งที่แผงตัวเข้ามาทำเป็นโบรกเกอร์ในลักษณะนี้ด้วย และส่วนมากจะเปิดบริษัทดำเนินการกระจายอยู่ในหลาย ๆ พื้นที่ไม่ว่าจะเป็นย่านพระประแดง มหาชัย ปทุมธานี นนทบุรี "กระทรวงแรงงาน และกรมการจัดหางานเองก็รับทราบปัญหานี้ดี แต่ก็บอกว่าทำอะไรไม่ได้ และให้เหตุผลเพียงว่า ไม่มีกฎหมายบังคับหรือควบคุม" ขณะที่แหล่งข่าวจากบริษัทนำคนต่างด้าวอีกรายหนึ่ง กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า นอกจากนี้ ที่ผ่านมายังมีปัญหาเรื่องของการพิจารณาโควตาให้กับนายจ้างที่ต้องการใช้แรงงานต่างด้าว เนื่องจากการพิจารณาให้โควตาของนายทะเบียนที่ไม่มีมาตรฐานและไม่ได้พิจารณาจากข้อเท็จจริง ตัวอย่างเช่น ที่ผ่านมา มีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่ขายสินค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ ยื่นขอโควตาจำนวน 1,000 คน แต่นายทะเบียนให้นำเข้าได้เพียง 200 คน ตรงกันข้ามบริษัทขนาดเล็กที่ใช้แรงงาน 50-60 คน แต่ยื่นขอโควตาไป 200 คน นายทะเบียนก็อนุมัติโควตา 200 คน และบริษัทดังกล่าวก็นำโควตาแรงงานส่วนเกินที่เหลือไปขายต่อ "เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ได้บุกไปจับกุมแรงงานเถื่อนที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งบริษัทนี้ทำธุรกิจรีไซเคิลอุปกรณ์อีเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็กยื่นขอโควตาและนำเข้าแรงงานต่างด้าวเข้ามาจำนวนหนึ่ง หลังจากที่นำเข้าแรงงานไปลงที่โรงงานแล้วก็เอาส่วนที่เหลือก็เอาไปขายต่อให้กับผู้ที่ต้องการใช้แรงงานต่างด้าว ปัญหาที่เกิดขึ้น หากกระทรวงแรงงานยังไม่เข้ามาดูแลหรือเร่งแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวก็จะกลับไปเหมือนเดิม และจะต้องมานั่งแก้ปัญหาอีกมากมาย ซึ่งที่ผ่านมา รัฐบาลได้กระตุ้นและผลักดันให้นายจ้างต้องทำให้ถูกต้อง หน่วยงานราชการเองก็ต้องปฏิรูปด้วย เพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นจริง หากไม่แก้ไขอาจจะส่งผลกระทบกับเรื่องเทียร์ได้" แหล่งข่าวกล่าว พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่า เพื่อเป็นการแก้ปัญหาแรงงานขาดแคลนในช่วงเวลานี้ รัฐบาลมีมาตรการให้กระทรวงแรงงานดำเนินการเพิ่มเติม โดยตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค.-7 ส.ค. 2560 ให้นายจ้างและลูกจ้างเดินทางไปแจ้งข้อมูลความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง โดยนายจ้างแจ้งว่ามีลูกจ้างอยู่กี่คนทำงานในตำแหน่งใดบ้างเพื่อเก็บข้อมูลไว้ ที่สำนักงานจัดหาแรงงานในจังหวัดต่าง ๆ และใน กทม. 11 จุดประกอบด้วย 1.กระทรวงแรงงาน 2.ไอทีสแควร์ หลักสี่พลาซ่า ถ.แจ้งวัฒนะ 3.กรมยุทธศึกษาทหารบก ตรงข้ามสถานีรถไฟสามเสน 4.สวนกีฬา รามอินทรา เขตบางเขน 5.ธัญญาพาร์ค เขตสวนหลวง 6.หอประชุม มหาวิทยาลัยกรุงเทพสุวรรณภูมิ เขตลาดกระบัง 7.สถานีขนส่งสายใต้ ชั้น 2 เขตตลิ่งชัน 8.กองความปลอดภัยด้านแรงงาน เขตตลิ่งชัน ตรงข้าม สน.ตลิ่งชัน 9.อาคารสโมสรวังนันทอุทยาน กองทัพเรือ เขตบางกอกน้อย 10.สำเพ็ง 2 พาร์ค เขตบางแค 11.ศูนย์กีฬาบางขุนเทียน เคหะชุมชนธนบุรี 3 ถนนพระราม 2 เขตบางขุนเทียน พล.ท.สรรเสริญกล่าวว่า หลังจากแจ้งเสร็จเรียบร้อย จะมีการเปิดศูนย์ One Stop Service สำหรับคนกัมพูชา และเมียนมา ที่เข้าเมืองมาโดยผิดกฎหมายเดิมจำเป็นต้องกลับประเทศต้นทาง แต่กระทรวงแรงงานได้เจรจากับประเทศต้นทางให้สามารถส่งเจ้าหน้าที่มาตั้งศูนย์ร่วมกับเจ้าหน้าที่ไทยในประเทศไทยได้ แรงงานต่างด้าวกัมพูชาและพม่าไม่จำเป็นต้องกลับไปยังประเทศต้นทาง ซึ่งศูนย์ดังกล่าวสามารถตรวจสัญชาติ ตรวจดวงตราวีซ่า ตรวจสุขภาพ อนุญาตให้ทำงานได้ในประเทศไทย แต่สำหรับประเทศลาวยังหาข้อตกลงไม่ได้ แรงงานลาวยังต้องกลับไปดำเนินการที่ประเทศต้นทางตามเดิม แต่ทั้งนี้ หากเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และนายจ้างไม่มีการมาแจ้งข้อมูลภายในวันที่ 24 ก.ค.-7 ส.ค. 2560 แม้จะมีศูนย์ One Stop Service ก็ไม่สามารถดำเนินการได้เพราะไม่ได้แจ้งความประสงค์เอาไว้ แรงงานต่างด้าวจะต้องกลับไปทำเรื่องที่ประเทศต้นทางตามเดิม อย่างไรก็ตาม ศูนย์ One Stop Service สำหรับคนกัมพูชา และพม่า จะตั้งอยู่จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2561 เท่านั้น ผอ.รพ.รามาฯ แจงข่าว "พยาบาล" ลาออกจนปิดห้องผ่าตัด ระบุยังให้บริการตามปกติ รับมีบุคลากรเข้าออกเป็นปกติ ยังคงขาดแคลนพยาบาล นพ.สุรศักดิ์ ลีลาอุดมลิปิ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลรามาธิบดี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงกรณีกระแสข่าวลือ รพ.รามาธิบดี มีพยาบาลลาออกจำนวนมาก จนต้องมีการปิดห้องผ่าตัดหลายห้อง ว่า ตามปกติแต่ละปีจะมีบุคลากรเข้าออกหมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา โดยอัตราการลาออกจะอยู่ที่ 4 - 5% โดยมีเหตุผลหลายอย่าง ทั้งเรียนต่อ กลับภูมิลำเนา เปลี่ยนอาชีพ ซึ่งในปีนี้ไม่พบว่า อัตราการลาออกผิดปกติแต่อย่างใด จากการตรวจสอบ ห้องผ่าตัดของโรงพยาบาลมีทั้งหมด 7 แห่ง รวมทั้งหมด 65 ห้อง ซึ่งแต่ละแผนกจะมีห้องผ่าตัด เช่น ศัลยกรรม ศัลยกรรมกระดูก ตา หูคอจมูก ก็จะแยกกัน นพ.สุรศักดิ์ กล่าวว่า ส่วนที่มีบุคลากรลาออก เป็นส่วนของคลินิกพิเศษที่ไม่เกี่ยวกับการให้บริการบัตรทอง หรือ ประกันสังคม ซึ่งการลาออกของบุคลากรในส่วนดังกล่าว อยู่ระหว่างการปรับเกลี่ยกำลังคนทำให้หยุดบริการแค่เฉพาะส่วน ไม่เกี่ยวกับการให้บริการส่วนอื่นของโรงพยาบาล ทั้งห้องฉุกเฉิน ห้องผ่าตัดส่วนอื่นยังให้บริการปกติ "แต่ละปีมีบุคลากรหมุนเวียนเข้าออกเป็นปกติ ซึ่ง รพ.รามาฯ ก็มีอัตราการขาดแคลนพยาบาล เหมือนทุกที่ ซึ่งเราเร่งผลิตบุคลากรอยู่อย่างต่อเนื่อง และปัญหาดังกล่าว ทางเรามิได้นิ่งนอนใจ มีการปรับกำลังคนและผลิตบุคลากรเพิ่มอยู่ตลอด และยืนยันว่า ไม่เกี่ยวกับการให้บริการประชาชนแต่อย่างใด" นพ.สุรศักดิ์ กล่าว กระทรวงแรงงาน เผยยอดรับแจ้งต่างด้าว 4 วัน 1.52แสนราย ขณะที่ศูนย์เปิดทุกวันไม่มีหยุด นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน ในฐานะโฆษกกระทรวงแรงงาน เผยว่า ศูนย์เฉพาะกิจเพื่ออำนวยการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว ได้รายงานผลการปฏิบัติงานประจำวันที่ 27 ก.ค.60 ซึ่งเป็นวันที่ 4 ของการเปิดศูนย์รับแจ้งการทำงานของคนต่างด้าว ทั่วประเทศ 100 ศูนย์ โดยเป็นศูนย์รับแจ้งใน กทม. 11 ศูนย์ และส่วนภูมิภาค 89 ศูนย์ พบว่า ตัวเลขสะสมตั้งแต่วันที่ 24 - 27 ก.ค.60 มีนายจ้างมาแจ้งการใช้แรงงานต่างด้าวแล้ว 47,511 ราย ลูกจ้างต่างด้าว 152,718 คน โดยเป็นการจ้างแรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมามากที่สุด รองลงมากัมพูชา และลาวตามลำดับ ซึ่งจังหวัดที่มีการยื่นขอจ้างคนต่างด้าวมากที่สุด 5 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ ระยอง ปทุมธานี และเชียงใหม่ ทั้งนี้ กระทรวงแรงงาน ยืนยันว่า ศูนย์รับแจ้งการทำงานของคนต่างด้าวทั้ง 100 ศูนย์ทั่วประเทศจะเปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค. - 7 ส.ค.60 ไม่เว้นวันหยุด โดยเจ้าหน้าที่จะคอยอำนวยความสะดวกตั้งแต่เวลา 08.30 - 16.30 น. และสามารถแจ้งออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์กรมการจัดหางาน ที่ https://wpfast.doe.go.th/fast11/user/ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ผู้ว่าฯ สระแก้วตั้งกรรมการสอบกรณีรถพ่วง 7 คันขนย้ายข้าว-สำแดงเอกสารเท็จ Posted: 28 Jul 2017 03:41 PM PDT ตำรวจสระแก้วสกัดจับรถพ่วงบรรทุกข้าวสาร 7 คันอ้างนำเข้ามาจากกัมพูชา แต่ตรวจพบเป็นข้าวที่ประมูลมาปลายทางส่งบางปะกง จึงถูกแจ้งข้อหาขนย้ายข้าวออกนอกเขตอำเภอแต่ไม่มีหนังสืออนุญาตขนย้าย ด้านผู้ว่าฯ สระแก้ว สั่งตั้งคณะกรรมการสอบโดยให้พาณิชย์จังหวัดสระแก้ว รายงานให้ทราบภายใน 7 วัน กรณีที่ตำรวจ จ.สระแก้ว สกัดจับรถบรรทุกข้าวสารสำแดงเอกสารเท็จนั้น มีรายงานในช่วงข่าวภาคค่ำของสถานีโทรทัศน์ NBT สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย เมื่อคืนวันที่ 26 ก.ค. (รับชมคลิปใน NBT) โดยมีรายละเอียดว่า ตำรวจภูธรเมืองสระแก้วเร่งตรวจสอบขยายผลรถบรรทุกข้าวสารที่ถูกจับว่ามีบุคคลใดอยู่เบื้องหลังหรือไม่ เนื่องจากพบว่าข้าวทั้งหมดเป็นข้าวที่ประมูลมา ไม่ใช่การนำเข้าข้าวมาจากประเทศเพื่อนบ้านตามที่มีการสำแดงเอกสาร โดยรายงานใน NBT ระบุว่า รถบรรทุกพ่วง 7 คันบรรทุกข้าวสารถูกตำรวจภูธร สภ.เมืองสระแก้ว สกัดจับเมื่อคืนวันที่ 25 ก.ค. พร้อมควบคุมตัวคนขับรถทั้ง 7 คนมาสอบปากคำและแจ้งข้อหาขนย้ายข้าวออกนอกเขตอำเภอ ตามประกาศสำนักคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ โดยไม่มีหนังสืออนุญาตขนย้ายข้าว อันเป็นความผิดตามกฎหมาย พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ จากนั้นเจ้าของข้าวทั้งหมดรีบมาประกันตัวคนขับรถ นำรถและข้าวทั้งหมดกลับไป พ.ต.อ.ภิรมย์ จันทราภิรมย์ ผกก.สภ.เมืองสระแก้ว คนขับรถทั้ง 7 คนสำแดงเอกสารว่าข้าวทั้งหมดนำเข้ามาจากกัมพูชา แต่เมื่อตรวจสอบในเชิงลึกพบว่าเป็นข้าวหอมปทุมที่เพิ่งถูกประมูลมาในราคาถูก ปลายทางข้าวจะมาที่บริษัทแซทเทิลไลท์ จำกัด อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา เจ้าของข้าวที่แท้จริงคือบริษัทถาวรจำกัด เมื่อตรวจสอบลงไปอีกพบว่า บริษัทถาวร จำกัด ตั้งอยู่ใน จ.สระแก้ว เคยเปิดทำธุรกิจผลิตน้ำมันพืชส่งขายกัมพูชา เคยถูกร้องเรียนว่าทำให้เกิดมลพิษ แต่ก็พบว่ามาทำธุรกิจข้าว ขณะที่ นายกล้าณรงค์ พงษ์เจริญ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้วสั่งตั้งกรรมการสอบสวนการเคลื่อนย้ายข้าวในครั้งนี้ว่าเป็นข้าวมาจากที่ใด นำข้าวไปใช้ประโยชน์อย่างไร โดยให้พาณิชย์จังหวัดสระแก้ว รายงานให้ทราบภายใน 7 วัน ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
You are subscribed to email updates from ประชาไท. To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google Inc., 1600 Amphitheatre Parkway, Mountain View, CA 94043, United States |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น