โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันพุธที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

ความเชื่อเรื่องผู้หญิงห้ามเข้าโบสถ์

Posted: 27 Dec 2017 07:57 AM PST

 

"โบสถ์" ในที่นี้ผมหมายถึงสถานที่ทำพิธีกรรมของพระสงฆ์ในพุทธศาสนา โบสถ์นั้นเป็นพื้นที่ทางศาสนา ผมเข้าใจว่า แรกเริ่มเดิมที สถานที่ทำสังฆกรรมเป็นเพียงขอบเขตพื้นที่ภายในอารามที่สงฆ์สมมติขึ้นที่เรียกว่า "สีมา" เพื่อใช้เป็นที่ทำสังฆกรรม เช่น การทำพิธีอุปสมบท การฟังสวดปาฏิโมกข์ ต่อมาถึงได้มีการทำสถานที่ตรงนั้นให้มีหลังคากันแดดกันฝน เรียกว่า "โรงอุโบสถ" และได้มีการพัฒนาโรงอุโบสถเป็นตัวอาคารในรูปทรงแบบต่างๆ อย่างที่เห็นในปัจจุบัน แม้สถานที่สีมาจะกลายมาเป็นอุโบสถ แต่ก็ยังคงมีจุดประสงค์เดิม คือ เป็นที่สำหรับทำพิธีกรรมของสงฆ์

ถามว่า พิธีกรรมของพระสงฆ์ในพุทธศาสนาเข้มงวดกวดขันถึงกับต้องกำหนดให้ทำภายในเขตอุโบสถเท่านั้นหรือไม่ คำตอบคือ มีระเบียบพุทธบัญญัติให้การทำสังฆกรรมต้องทำในเขตที่สงฆ์สมมติขึ้นเป็นสีมา หรือโบสถ์นั้นจริงๆ หากทำไม่ถูกที่ถูกทางตามที่พระวินัยกำหนด ย่อมมีผลทำให้สังฆกรรมเสียหาย คือ สังฆกรรมไม่สำเร็จ หรือ ใช้ไม่ได้ ผมขออภัยที่คำตอบดังกล่าวนี้อาจไม่ถูกใจใครหลายคน (inconvenient truth) กล่าวตามคำสอนของพุทธศาสนาที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับความเชื่อเรื่องความขลัง หรือศักดิ์สิทธิ์ การทำสังฆกรรมในเขตพื้นที่กำหนดก็เพื่อให้เกิดความถูกต้องตามที่พระวินัยบัญญัติเท่านั้นละครับ ไม่ใช่เพื่อความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ในทางอิทธิปาฏิหาริย์อะไรดังที่หลายคนอาจจะเข้าใจผิด แต่แม้กระนั้น ช่วงที่พระสงฆ์กำลังใช้ที่นั้นทำพิธีกรรมทางสงฆ์ก็จำเป็นต้องระมัดระวังไม่ให้บุคคลภายนอกที่ไม่ได้เกี่ยวข้องในพิธีกรรม เข้าไปในเขตหัตถบาส หรือเขตที่พระสงฆ์กำลังนั่งรวมกันทำพิธี เพราะหากบุคคลภายนอกที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไป จะส่งผลทำให้สังฆกรรมเสียหายได้เช่นกัน แต่ความเข้มงวดนี้ก็ใช้เฉพาะในช่วงเวลามีพิธีกรรมทางสงฆ์เท่านั้นนะครับ นอกเหนือจากช่วงเวลานั้น วัดส่วนใหญ่จะเปิดให้บุคคลภายนอกเข้ากราบไหว้พระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่ภายในอุโบสถ (หากเป็นพระอารามหลวง เรียกว่า "พระอุโบสถ") ตามปกติ ยกเว้นบางวัดที่ใช้โบสถ์เป็นที่เก็บศาสนสมบัติบางอย่างอาจจะเปิดเฉพาะช่วงที่มีพิธีสงฆ์และปิดประตูในช่วงเวลาปกติไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้าไปเพื่อป้องกันการโจรกรรม ซึ่งก็ไม่ควรถูกมองว่าปัญหาอะไร เมื่อที่ตรงนั้นไม่เปิดประตูให้เข้าไปไหว้พระ เราก็ไปไหว้พระในโบสถ์ของวัดอื่นๆ ที่ท่านเปิดประตูไว้ก็ได้นี่ครับ

ตรงนี้อาจสรุปสั้นๆ ได้ว่า เท่าที่ทราบตามคำสอนทั้งฝ่ายพระธรรมและฝ่ายพระวินัยในพุทธศาสนานั้น ไม่ปรากฏมีมนุษย์คนใดถูกห้ามไม่ให้เข้าโบสถ์ ยกเว้นกรณีพระสงฆ์ทำพิธีกรรม หรือประตูโบสถ์ปิดดังที่กล่าวมาแล้ว

ทีนี้ ผลจากความเชื่อเรื่องห้ามผู้หญิงเข้าโบสถ์จนกลายเป็นข่าวดังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์/ถกเถียงโต้แย้งกันจนดังกระหึ่มในโลกเสมือนจริงอย่างสังคมโซเชี่ยลและสังคมภายนอกโลกเสมือนจริงทั่วหัวระแหงอยู่เวลานี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ดังที่ได้สรุปไปแล้ว ตามคำสอนทั้งในพระธรรมและพระวินัย ไม่ปรากฏมีมนุษย์คนใดถูกห้ามไม่ให้เข้าโบสถ์ (ผมหมายถึงการเข้าไปด้วยวัตถุประสงค์จะไหว้บูชาพระอย่างที่ชาวพุทธทั่วไปนิยมทำกันนะครับ) แต่หากสถานที่หรือชุมชนใดมีกฎระเบียบห้ามไม่ให้ผู้หญิงเข้าโบสถ์ก็ต้องบอกว่าเป็นความเชื่อของสถานที่หรือชุมชนนั้น ไม่ใช่ความเชื่อที่มีฐานมาจากคำสอนของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎก แต่จะมีฐานมาจากแนวคิดความเชื่อของลัทธิใด ผมยังไม่ทราบแน่ชัด

ตามข่าวบอกว่า เหตุเกิดในวัดแห่งหนึ่งในเขตพื้นที่จังหวัดหนึ่งในภาคเหนือ จริงๆ ประเด็นนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะจำได้ว่าเคยมีกรณีห้ามผู้หญิงเข้าบางพื้นที่ภายในองค์เจดีย์ในวัดพระธาตุดอยสุเทพจนกลายเป็นข่าวดังอยู่ช่วงหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน ชาวชุมชนในพื้นที่แถบนั้นอธิบายว่า ผู้หญิงมีสิ่งสกปรกอยู่ในสรีระ (เช่น กรณีผู้หญิงมีระดู) ซึ่งไม่เหมาะที่จะปล่อยให้เธอเข้าสู่พื้นที่ประดิษฐานสิ่งศักดิ์ที่ชุมชนนับถือ เช่น พระบรมสารีริกธาตุ หรือพระพุทธรูปเก่าแก่ (และอื่นๆ) พิจารณาดูผมขอสันนิษฐานว่า ความเชื่อแบบนี้เดิมเป็นปรากฏอยู่ในลัทธิพราหมณ์-ฮินดูที่มองว่าระดูของสตรีสามารถส่งผลกระทบต่ออานุภาพความศักดิ์สิทธิ์ของเทวรูปหรือสิ่งที่เคารพนับถืออื่นๆ สตรีจึงเป็นบุคคลต้องห้ามในเขตพื้นที่ดังกล่าว เมื่อความเชื่อนี้ซึ่งมีอิทธิพลต่อชุมชนอยู่ก่อนแล้วถูกนำมาเชื่อมโยงกับพระบรมสารีริกธาตุ หรือพระพุทธรูปอันเป็นสัญญะสำคัญอย่างหนึ่งในพุทธศาสนา สตรีก็เลยกลายเป็นบุคคลต้องห้ามในเขตพื้นที่ที่พระบรมสารีริกธาตุ หรือพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ไปด้วย

หากมองย้อนไปในอดีต เราจะพบกลิ่นอายของความเชื่อดังกล่าวนี้ปรากฏอยู่ในวรรณกรรมภาษาบาลีของล้านนาเรื่อง "มงคลทีปนี" ที่แต่งโดยพระสิริมังคลาจารย์ด้วยเหมือนกัน ดังตอนที่กล่าวถึงพระเจ้าพิมพสารที่ถูกพระโอรสคือพระเจ้าอชาตศัตรูรับสั่งให้เจ้าหน้าที่เอามีดกรีดฝ่าพระบาทเพื่อไม่ให้พระองค์เดินจงกรมทำสมาธิได้ พระสิริมังคลาจารย์อธิบายความตอนนี้ว่ามาจากบุพกรรมในอดีต คือ (1) ในอดีตชาติ พระเจ้าพิมพิสารเคยสวมฉลองพระบาทเข้าไปในพื้นที่ลานพระเจดีย์ที่มหาชนเคารพกราบไหว้ด้วยเครื่องสักการะต่างๆ และ (2) พระองค์เหยียบเสื่อลำแพนที่ปูไว้สำหรับเป็นที่นั่งของพระสงฆ์โดยไม่ได้ทรงชำระล้างพระบาทให้สะอาดเสียก่อน

แต่ความเชื่อเรื่องบุรพกรรมในอดีตของพระเจ้าพิมพิสารนี้ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นปัญหาเพราะอธิบายได้ว่า เรื่องเล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างสำหรับบอกให้รู้ว่า การปฏิบัติต่อสถานที่ หรือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนเคารพนับถืออย่างไม่เหมาะไม่ควรนั้นมีผลร้าย ไม่ว่าจะเป็นการกระทำโดยใครก็ตาม ไม่จำกัดเพศ วัย หรือชาติตระกูล

แต่กรณีที่เป็นข่าวอยู่ขณะนี้กลายเป็นปัญหาเพราะคำถามว่า ทำไมผู้หญิงจึงถูกห้ามเข้าโบสถ์ กฎการห้ามเข้าโบสถ์จะเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลและเป็นที่ยอมรับถ้าเป็นกฎระเบียบที่สากลคือ บังคับใช้กับทุกคน การสงวนกฎนี้ไว้เฉพาะผู้หญิงเป็นสิ่งที่ถูกมองว่าไม่สมเหตุสมผลและไม่น่าจะถูกต้อง โดยเฉพาะเมื่อมองเรื่องนี้ผ่านแนวคิดเรื่องสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค 

ส่วนตัวผมไม่ได้มองว่า เรื่องนี้เป็นปัญหาหนักหนาอะไร เพราะเห็นว่า ความเชื่อเรื่องพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับผู้หญิงเป็นความเชื่อเก่าแก่ที่มีอิทธิพลต่อชีวิตจิตวิญญาณของผู้คนในพื้นที่ซึ่งได้รับการปลูกฝังและถ่ายทอดกันมายาวนาน ความหมายของผมก็คือ ความเชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์เป็นความเชื่อที่ถูกส่งผ่านจากโลกในอดีต ขณะที่แนวคิดเรื่องสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคเป็นแขกหน้าใหม่ผู้มาเยือนจากต่างบ้านต่างเมืองและต่างวัฒนธรรม แม้เรื่องสิทธิฯ จะเป็นสิ่งสากลที่อารยประเทศพากันตระหนักและให้การยอมรับ แต่สำหรับสยามประเทศ พื้นที่ความเชื่อของผู้คนส่วนใหญ่ยังคงผูกติดอยู่กับโลกของอดีต

ผมคิดว่า เราคงจะได้เห็นการปะทะสังสรรค์ระหว่างอิทธิพลความเชื่อเก่าแก่กับแนวคิดใหม่ๆ ของสังคมโลกยุคใหม่เกิดขึ้นในสังคมไทยกันต่อไปอีกนาน แต่โดยส่วนอีกเช่นกัน ผมก็เชื่อว่า แนวคิดใหม่ๆ โดยคนรุ่นใหม่จะสามารถกัดเซาะวัฒนธรรมความเชื่อแบบเก่าให้สลายมลายสิ้นและประสบชัยชนะในที่สุด

ข้อเสนอสำหรับสถานการณ์ยามนี้ของผมก็คือ หากเราต้องย่างกรายเข้าไปในเขตพื้นที่ใด ก็ให้ความเคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของผู้คนในพื้นที่นั้นโดยอาจจะต้องวงเล็บเรื่องสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคเอาไว้ในใจก่อนก็เท่านั้นแหล่ะครับ

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ใบตองแห้ง: ประชาธิปไตยตู่ๆ

Posted: 27 Dec 2017 07:49 AM PST

 

"พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์ส้มซ่า" ครม.สัญจรพิษณุโลก สุโขทัย ขี่ตุ๊กตุ๊กช็อปเปอร์บิ๊กไบค์ ซื้อหมา คุยกับไก่ ชาวบ้านชมว่าหล่อกว่าในทีวี ยกให้เป็นฮีโร่ อยากให้อยู่นานๆ

นี่เป็นการหาเสียงไหม ปัดโธ่ ยังมีประกาศ คสช.ห้ามพรรคการเมืองเคลื่อนไหว จะเรียกว่าหาเสียงได้อย่างไร แถมท่านยังสำทับ อย่าเคลื่อนไหวการเมืองจนทำลายการท่องเที่ยว ใครทำถือว่าไม่ใช่คนไทย

คนอื่นห้ามเคลื่อนไหว ท่านขับเคลื่อนได้คนเดียว เพราะยังทำงานเพื่อชาติไม่สำเร็จ ต้องอยู่ไปจนกว่า "คนจนหมดประเทศ" แต่ไม่ต้องห่วง ท่านให้ของขวัญปีใหม่ ปีหน้าจะเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลง เตรียมไปสู่ประชาธิปไตย ที่มี "ธรรมาภิบาล"

ธรรมาภิบาลแปลว่าอะไร ก็แปลว่าการปกครองโดยคนดีไง จำไม่ได้หรือ ท่านเคยพูดไว้ "พี่ป้อมสอนให้ผมเป็นคนดี"

ท่านผู้นำเพิ่งยกตำราฝรั่งมาสอนคนไทย ว่าประชาธิปไตยในรูปแบบสภาผู้แทนฯ อาจหมดสมัยแล้ว กลายเป็นยุคประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม

ฟังแล้วใช่เลย สภาผู้แทนหมดสมัย ต้องใช้ สนช.แต่งตั้ง ยกมือพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ล่าสุดก็ให้ ปปช.อยู่ในตำแหน่งต่อไป แม้มีคุณสมบัติต้องห้าม ประธานปปช.เคยเป็นเลขาฯ พี่ป้อม แต่ท่านลาออกมาสมัคร ผ่านกรรมการสรรหา ผ่านมติ สนช. จะปลดง่ายๆ ได้อย่างไร

นี่ไง เรียกว่าธรรมาภิบาล อย่าใช้จิตใจคนต่ำช้ามาวัดจิตใจวิญญูชน คิดว่าประธาน ปปช.จะใช้อำนาจหน้าที่ปกป้องนาฬิกาพี่ป้อม คิดชั่วๆ อย่างนั้นได้ไง ท่านไม่ใช่นักการเมือง

ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม สภาผู้แทนหมดสมัย นายกฯ ไม่ต้องมาจากเลือกตั้งก็ได้ ใครจะตั้งพรรคใหม่ขึ้นสนับสนุนนายกฯ คนนอกก็ย่อมได้ คสช.จะสนับสนุนพรรคการเมืองใดก็มีสิทธิ เพราะลุงตู่ไม่ได้ลงเลือกตั้ง ลุงตู่แค่มีอำนาจแต่งตั้ง 244 ส.ว.

ส่วนหลังเลือกตั้ง 244 ส.ว.กับ 6 ผบ.เหล่าทัพ จะไปจับมือพรรคไหน เสนอใครเป็นนายกฯ ก็เรื่องของเขา สิทธิของเขา ลุงตู่ไม่เกี่ยว ลุงตู่สั่งใครไม่ได้ ถ้าบังเอิญ เขาโหวตให้ลุงตู่เป็นนายกฯ ต่อไป ลุงตู่ก็สั่งไม่ได้เหมือนกัน

คนไทยช่วยเข้าใจหน่อย ทั้งหมดจะเป็นไปอย่างโปร่งใส มีหิริโอตตัปปะ มีธรรมาภิบาล

ปีหน้า เศรษฐกิจการเมืองจะดีขึ้น เพราะเราจะมีประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม มีธรรมาภิบาล แถมยังมี "สิทธิมนุษยชนเป็นวาระแห่งชาติ" ปราบปรามการค้ามนุษย์ การใช้แรงงานเด็ก ฯลฯ แต่ห้ามวิจารณ์ลุงตู่เสียๆหายๆ ไม่งั้นจะเจออย่างหมวดเจี๊ยบ โดนข้อหาเผยแพร่ความเท็จออนไลน์ บ่อนทำลายความมั่นคงของชาติ

ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม คือประเทศต้องสงบราบคาบ ห้ามขัดแย้ง ห้ามคิดต่าง ประชาชนมีส่วนร่วม โดยให้ความร่วมมือกับทางราชการ ทหาร ตำรวจ มหาดไทย กอ.รมน. ประชาชนจงเชื่อฟังและให้ความร่วมมือกับรัฐบาล แล้วรัฐบาลจะดูแลให้เกิดความเท่าเทียมเป็นธรรม ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง อย่าเรียกร้องต้องการอำนาจ อย่าประท้วงให้วุ่นวาย เกิดเป็นคนไทย ต้องรักความเป็นไทย เห็นคุณค่าในตัวเอง เรามีหน้าที่ทำมาหากิน เสียภาษี และบริจาคทำบุญ ก็ทำไป

นั่นคือวิถีนำไปสู่ความสุขความเจริญ ไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้า ตามวิถีประชาธิปไตยแบบตู่ๆ หรือที่สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เคยใช้คำว่า ประชาธิปไตยอัตลักษณ์ไทย ตามแบบประชาธิปไตยอัตลักษณ์จีน

น่าเสียดาย เมื่อ 50 ปีก่อน ทหารรุ่นนั้นยังโง่อยู่ ไม่รู้จักประดิษฐ์คำว่าประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม อัตลักษณ์สฤษดิ์ ถนอม ประภาส

 

ที่มา: คอลัมน์ทายท้าวิชามาร นสพ.ข่าวหุ้น

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ผบ.ทบ.พร้อมส่งเครื่องบินรับ 'ตูน' กลับกทม. ยันไม่ถือว่าสิ้นเปลืองเมื่อเทียบกับสิ่งที่ตูนทำ

Posted: 27 Dec 2017 07:46 AM PST

ผบ.ทบ.ย้ำพร้อมส่งเครื่องบินรับตูนกลับกทม. ย้ำไม่ถือว่าสิ้นเปลืองเมื่อเทียบกับสิ่งที่ตูนทำ ขณะที่นักวิ่งโครงการก้าวทยอยเดินทางกลับแล้ว เผย 'ตูน' ยังสุขภาพแข็งแรงไม่ได้บาดเจ็บรุนแรง แต่เจ้าตัวขอพักต่อที่เชียงรายอีก2-3วัน

27 ธ.ค. 2560 หลังจากวันที่ 25 ธ.ค.ทีผ่านมา อาทิวราห์ คงมาลัย หรือ "ตูน บอดี้สแลม" และทีมงานก้าวคนละก้าว เพื่อ 11 โรงพยาบาลทั่วประเทศ จาก อ.เบตง จ.ยะลา ถึง อ.แม่สาย จ.เชียงราย แล้ว รวมระยะทางกว่า 2,215 กิโลเมตร จากระยะทางตามกำหนดการที่ 2,191 กิโลเมตร ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. - 25 ธ.ค.2560 รวมเวลากว่า 386 ชั่วโมง ขณะที่ยอดบริจาคกว่า 1,140 ล้านบาท แล้วนั้น

วันนี้ (27 ธ.ค.60) สำนักข่าวไทย รายงานว่า พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวถึงการส่งเครื่องบินลำเลียง C 295 W หรือ คาซ่า ไปรับคณะโครงการก้าวคนละก้าวเพื่อ 11 โรงพยาบาล ที่นำโดย  ตูน บอดี้สแลม ว่า เจ้าหน้าที่ได้เตรียมการรอรับกลับอย่างเต็มที่ แต่เท่าที่ทราบตูนขออยู่ดูแลรักษาตัวและพักผ่อน 2-3  วัน ส่วนคณะใหญ่จะทยอยกลับวันนี้(27 ธ.ค.) โดยประสานงานกันอย่างต่อเนื่อง แต่จะให้ตูนตัดสินใจตามสะดวก 

"การส่งเครื่องบินกองทัพบกไปรับตูนไม่ถือว่าสิ้นเปลือง เมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งที่ตูนได้ทำให้กับโรงพยาบาลทั้ง 11 แห่ง ซึ่งมีโรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าด้วย อีกทั้งเครื่องบิน C 295 มีวงรอบฝึกบินทุกสัปดาห์อยู่แล้ว ขอขอบคุณตูนที่ถือเป็นผู้ปลุกกระแสการออกกำลังกาย และทำให้คนในชาติรู้สึกดีต่อกันในช่วงเทศกาลปีใหม่ ส่วนกองทัพบกจะให้อะไรกับตูนหรือไม่ ขอให้ตูนบอกมาว่าอยากได้อะไร กองทัพบกยินดีทุกอย่าง โดยในวันพรุ่งนี้(28 ธ.ค.) ผมจะให้กำลังพลกองทัพบก 2 นายที่ร่วมวิ่งกับทีมก้าวคนละก้าวเข้าพบ เพื่อให้กำลังใจ" ผู้บัญชาการทหารบก กล่าว

ขณะที่โพสต์ทูเดย์ รายงานว่า วันนี้ ทีมงานนักวิ่งที่วิ่งเคียงข้างตูนตลอดเส้นทางจาก อ.เบตง จ.ยะลา ถึงปลายทางที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย อาทิ อิทธิพล สมุทรทอง, ส.อ.สุพิศ จันทรัตน์, แพทย์หญิงสมิตดา สังขะโพธิ์ หรือหมอเมย์ ที่ดูแลสุขภาพตูน ได้เดินทางกลับโดยเครื่องบินที่ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงรายแล้วเมื่อเวลาประมาณ 16.45 น. ขณะที่ตูนและก้อย รัชวิน แฟนสาวยังไม่ได้เดินทางกลับแต่อย่างใด

แพทย์หญิงสมิตตา กล่าวว่า สุขภาพของตูน ยังแข็งแรงและไม่ได้มีอาการบาดเจ็บมากนัก ส่วนอาการปวดเมื่อยถือเป็นเรื่องปกติของคนที่วิ่งมาในระยะทางไกลๆ ส่วน ตูน จะกลับมาวิ่งระยะทางไกลได้อีกหรือไม่นั้นคงไม่สามารถบอกได้ เพราะขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละคนที่มีความแตกต่างกัน โดยกรณีของตูน นั้นคงต้องตรวจร่างกายอีกครั้งก่อน

ด้านอิทธิพล กล่าวว่า ตูนขอพักต่อที่ จ.เชียงราย อีกราว 2-3 วันโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่เท่าที่ได้ดูสภาพของตูนแล้วพบว่าหลังการวิ่งครั้งนี้แล้วสุขภาพยังดีมากและไม่มีความผิดปกติ โดยวันก่อนที่จะไปทำพิธีบายศรีสู่ขวัญที่ไร่เชิญตะวันยังมีการนัดหมายกันว่าจะวิ่งไปโดยตรวจเส้นทางได้ไกล 31 กิโลเมตร แต่เมื่อถึงวันจัดงานก็พากันวิ่งไม่ไหวแต่ก็ไม่ได้เกิดจากการบาดเจ็บแต่เกิดจากการสะสมอันเกิดจากการที่วิ่งมาไกลแล้วหยุดวิ่งกระทันหันเท่านั้น 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'อีอีซี' ในมุมร้ายที่ไม่เคยมอง

Posted: 27 Dec 2017 07:39 AM PST

 

ถ้ามอง "อีอีซี" หรือ EEC (Eastern Economic Corridor) ในแง่ร้ายที่สุด ก็ต้องบอกว่า EEC ที่รัฐบาลกำลังตั้งความหวังนั้น สุดจะ "ซี้ซั้ว" และ "ซี้แหงๆ"  ผมก็อยากจะเป็นฝ่ายคิดผิดไปเหมือนกัน  ผมไม่อายและจะดีใจด้วยซ้ำไปว่า EEC ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ผมคิด  แต่โปรดฟังความอีกข้างสักนิด  จะได้เผื่อใจไว้บ้าง

การวางผังเมืองแบบเปะปะในโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ทำให้การพัฒนาพื้นที่ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร การพัฒนาบางอย่างดูไม่สมเหตุสมผล จะคุ้มกับงบประมาณที่ลงทุนหรือไม่ ควรศึกษาให้ดี มิฉะนั้นอาจประสบเภทภัยมากกว่าวาสนา  วันนี้ผมจึงขอติงโครงการอีอีซี ไม่ใช่ว่าผมไม่รักชาตินะครับ ผมลูกจีนแต่รักแผ่นดินเกิดคือเมืองไทยครับ  ผมจำเป็นต้องติงโครงการ 'ซีซั้ว' นี้ในทำนอง 'ติเพื่อก่อ' เพื่อเราจะได้ไม่หลงวาดฝันหวานจนพากันลงเหวนั่นเอง

โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ Eastern Economic Corridor หรือเขียนย่อว่า EEC ผมจึงขอเขียนเป็นภาษาไทยว่า 'อีอีซี' เพื่อให้ง่ายและสั้นลง  โครงการนี้ครอบคลุม 3 จังหวัดคือฉะเชิงเทรา ชลบุรีและระยอง  ก่อนหน้านี้ ผมก็เคยวิพากษ์ไว้บ้างแล้ว แต่ครั้งนี้จะมองในมุมเพิ่มเติมที่ไม่ซ้ำกัน โดยใช้แผนที่ที่ทางราชการใช้อธิบายหรือ 'โฆษณาชวนเชื่อ' โดยตรง

จากแผนที่ที่ประกอบนี้ มีระบุจะสร้างเมืองใหม่ฉะเชิงเทรา พัทยา และระยอง  การสร้างเมืองใหม่ ดูเป็นการแก้ปัญหาความยุ่งยากของเมืองเก่าด้วยการ (หนีปัญหา) ไปสร้างเมืองใหม่  แต่ในความเป็นจริงในโลกนี้ ไม่เคยมีการสร้างเมืองใหม่สำเร็จยกเว้นเมืองเก่าถูกทำลายลง เช่น อยุธยา หรือเปลี่ยนราชวงศ์ เป็นต้น  ยิ่งเป็นเมืองหลวงทางเศรษฐกิจ ยิ่งย้ายไม่ได้ เช่น นครนิวยอร์กกับกรุงวอชิงตันดีซี นครซิดนีย์กับกรุงแคนบรา และนครย่างกุ้งกับเมืองเนปิดอว์ เป็นต้น

มีใครเคยเห็นอังกฤษคิดสร้างกรุงลอนดอนใหม่หรือไม่ ฝรั่งเศสก็ไม่มีโครงการสร้างกรุงปารีสใหม่ อิตาลีก็ไม่เคยมีกรุงโรมใหม่ในหัวเลย  เมืองที่เขาอยู่กันมาเป็นพันๆ ปี ก็ไม่เคยคิดจะย้ายหนีปัญหา  กรุงอัมสเตอร์ดัมที่อยู่ใต้ระดับน้ำทะเล ก็ยังอยู่ได้สบายๆ  แต่นักวางแผนไทยกลับมีแนวคิดแบบยอมจำนน  เขาไม่ตระหนักว่าขืนสร้างเมืองใหม่ไปก็ร้าง แก้ปัญหาเมืองเก่าไม่ได้ แถมยังถมงบฯ ไปสร้างเมืองใหม่อย่างไร้ค่าอีก น่าสมเพชไหมล่ะครับ

หันมาดูเส้นทางรถไฟสายอนาถที่ต้องผ่านไปยังจังหวัดฉะเชิงเทราแล้วยิ่งหดหู่  เราจะเชื่อมภาคกรุงเทพมหานครและปริมณฑลกับภาคตะวันออกโดยเฉพาะชลบุรีและระยอง แต่ผ่าไปอ้อมฉะเชิงเทราให้เมื่อยตุ้มเล่นซะงั้น  ถ้าคิดอย่างมีบูรณาการ ต้องทำทางด่วนและรถไฟจากระยอง พัทยา แล้วทะลุจากตัวเมืองชลบุรีผ่าทะเลแถวปากน้ำบางปะกงมาขึ้นฝั่ง แล้วเชื่อมกับบางนา-ตราดตรง กม.36 ที่สามารถเชื่อมต่อไปถนนกรุงเทพ-ชลบุรีสายใหม่อยู่แล้ว  แบบนี้ต่างหากที่ทำให้การเชื่อมต่อมีประสิทธิภาพสูงสุด

มาดูที่ตั้งของ Robotics หรือแหล่งผลิตหุ่นยนต์ ที่ตั้งของ Smart Electronics ที่ตั้งของ Modern Automative หรือแหล่งผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และอื่นๆ  ก็เหมือนเอามาแปะลงส่งเดชไว้ให้ดูทั่วๆ ในแผนที่หรืออาจตามแปลงที่ดินที่เอกชนเสนอ แต่ไม่รู้จะได้ทำจริงหรือไม่  แทนที่จะวางไว้เปะปะสับสนอยู่กลางทุ่งรุกพื้นที่เกษตรกรรม กิจการแบบนี้เอามาไว้ใกล้ๆ กรุงเทพมหานครก็ได้  เพราะแรงงานมีฝีมือก็มาก  ไม่เห็นจำเป็นต้องทุ่มทำโครงการอีอีซีด้วยงบประมาณมหาศาลซึ่งยังไม่รู้จะได้คุ้มเสียหรือไม่

ที่ตลกร้ายก็คือ Logistics Hub หรือศูนย์ขนถ่ายสินค้า ผ่าแอบไปอยู่ฉะเชิงเทราห่างจากย่านกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการขนส่งทางทะเลผ่านท่าเรือ 3 แห่งคือแหลมฉะบัง สัตหีบ และมาบตาพุด และห่างสนามบินอู่ตะเภา  สงสัยว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยหรือเอกชนรายใดมีที่ดินแถวนั้นหรืออย่างไร  หลายคนคงงงเหมือนที่ผมซึ่งจบปริญญาเอกด้านการวางแผนพัฒนาเมืองมายังงง  สิ่งที่รัฐทำควรมีความมีเหตุมีผลมากกว่านี้ และควรแจกแจงข้อมูลอย่างโปร่งใส จึงจะดี

ส่วนศูนย์เทคโนโลยีทางการเกษตรและศูนย์แปรรูปอาหารที่แปะไว้รวม 4 จุดนั้น ก็ไม่ทราบว่าแปะเพื่อเติมเต็มแผนที่ให้ไม่ว่างกลวงโบ๋หรืออย่างไร  ศูนย์แบบนี้ควรมีที่จันทบุรี หรือจังหวัดหลักๆ ด้านการเกษตรทั่วประเทศด้วยซ้ำไป  ผมก็ได้แต่ภาวนาให้ระเบียงเศรษฐกิจที่จับทุกภาคส่วนมายำร่วมกัน จะประสบความสำเร็จในที่สุด แม้ว่าโครงการนี้จะดูเป็นแบบดูเป็นแบบ 'มาม่า' 'ยำยำ' และ 'ไวไว' (เน้นแบบ top-down' ปนเปและเอาเร็วเข้าว่า)

ดังนั้นผมจึงเป็นห่วงโครงการระเบียงเศรษฐกิจนี้ ใครขืนไปบ้าจี้ทุ่มลงทุนโดยไม่ศึกษาให้ดี หวังว่าราคาบ้าน ที่ดิน อสังหาริมทรัพย์จะพุ่งกระฉูดเหมือนสมัย 'น้าชาติ' เมื่อ 30 ปีก่อน อาจผิดหวังอาจประสบเภทภัยมากกว่าวาสนาได้  ผมก็ได้แต่หวังให้ทางราชการปรับปรุงแผนแม่บทโครงการนี้ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

อให้ทุกท่านโชคดีกับการลงทุน (อย่างรอบรู้) ในอีอีซี

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กวีประชาไท: ลิเก คนดี สี่จุดศูนย์

Posted: 27 Dec 2017 07:26 AM PST


 

"ยุคคนดี"สี่จุดศูนย์ ลุ้นทางออก
ติดในคอก กองไฟ สุมไล่หนู
ไร้สิทธิ์เสียง ผู้คน ต่างทนดู
ซุกซอกรู คับแคบ แอบหายใจ

"ยุคหัวหงอก" สีดอกเลา เมาอำนาจ
ขุดประวัติศาสตร์ สั่งสอน ย้อนสมัย
"ประชาทาส"ถึงจุด ฉุดไม่ไป
ลิเกใหม่ ลิเกเก่า เล่าเรื่องเดิม

"ยุคกฎหมาย"รับใช้โจร กดบนหัว
เสียงความกลัว เขย่าขวัญ บรรเลงเพิ่ม
เเก้กฎหมาย ขยายกฎหมู่(กู) ขู่เหิมเกริม
อุ้มส่งเสริม ชั้นชน บนหอคอย

"ยุคกล้ำกลืน"คืนความสุข ถูกกำหราบ
แล้วสร้างภาพ ปรองดอง น้องเกี่ยวก้อย
ไร้สามารถ เลยบัดซบ กลบเกลื่อนรอย
ตะคอกถ่อย ใส่หน้า ประชาชน

"ยุคธำรง วินัย" ใช้การซ่อม(ซ้อม)
ซวยถึงตาย ก็จงพร้อม ยอมรับผล
สมองหาย เครื่องในกลวง ล้วงด้วยกล
นั่นแค่คน อ่อนแอ จึงแพ้ไป

"ยุคทหาร ด้าน+หนา กว่าที่คิด
ตอแหลเห็น เป็นนิจ ติดนิสัย
วาทะกรรม ปราบโกง โยงใส่ใคร
ยิ่งสาวไส้ การโกง โยงเข้าตัว

"ยุคสังคม สังคัง"อ้างรักชาติ
ยกอำนาจ ที่ถือ ใส่มือชั่ว
ปชต. เสรีภาพ กลับเกลียดกลัว
เลวสุมหัว ลอบกัด ร่วมชัทดาวน์

"ยุคคนดี " กลิ้งกลวง ลวงกลับกลอก
ทรัพย์สินงอก พอกล้น จนอื้อฉาว
สามปีโกง-กินไม่พอ ขออยู่ยาว
สืบทอดสาว อำนาจ ปล้นชาติไทย

สวัสดี ปีใหม่ ไร้ทางออก
คอติดปลอก คอกผุด หมุดหน้าใส
ประชาทาส รับกรรม ความบรรลัย
ลิเกใหม่ จมปลัก หนักกว่าเดิม..

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เสียงจากเครือข่าย ‘กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ’ (ภาคใต้) ทำไมเราต้องปกป้อง?

Posted: 27 Dec 2017 04:20 AM PST

หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเป็นของคนไทยทุกคน มันช่วยชีวิตพวกเขาจากโรคภัยไข้เจ็บ และการล้มละลาย นี่คือสิ่งที่ผู้คนจากภาคต่างๆ ในเครือข่าย 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' คิดและเชื่อ คือคำตอบของคำถามว่า ทำไมพวกเขาเหล่านี้จึงต้องออกมาปกป้องระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า

ไปฟังเสียงของพวกเขา

จุฑา สังขชาติ จากสมาคมผู้บริโภคสงขลา


หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าสำคัญอย่างไร ทำไมจึงต้องออกมาปกป้อง

หลักประกันสุขภาพสุขภาพถ้วนหน้ามีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นระบบที่เข้ามาช่วยดูแลประชาชนในยามเจ็บป่วยให้เข้าถึงการรักษาพยาบาลโดยไม่ทำให้ครอบครัวเป็นภาระจนล้มละลาย ก่อนจะมีหลักประกันสุขภาพฯ เวลาไปโรงพยาบาลก็ต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลเอง ถ้าเป็นหวัดราคาก็ไม่สูง แต่ถ้าเป็นโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูงเป็นหลักแสนหรือล้านบาท เช่น โรคไต โรคหัวใจ ภาระค่าใช้จ่ายก็ทำให้ชาวบ้านหรือประชาชนทั่วไปที่เจ็บป่วยโรคเหล่านั้นล้มละลายได้ แต่เมื่อมีหลักประกันสุขภาพขึ้นมาภาวะเหล่านี้ก็หายไป คนป่วยสามารถไปโรงพยาบาลได้ไม่ว่าจะเป็นโรคอะไร เพราะเป็นสิทธิที่ใช้ได้ เป็นเงินจากภาษีของเรา

ในพื้นที่มีกลุ่มผู้ป่วยที่เป็นโรคคีโมฟีเลีย หรือโรคเลือดออกง่ายหยุดยาก ที่เมื่อ 4-5 ปี ทางเครือข่ายฯ เพิ่งรู้ว่าผู้ป่วยมีการรวมกลุ่มกัน เขาก็เล่าว่าโรคนี้เป็นโรคที่มีค่าใช้จ่ายในการรักษาสูงมาก ยาที่ต้องใช้แต่ละครั้งมีราคาเป็นหลายหมื่นบาทและต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง ผู้ประสานงานเครือข่ายของเขาเล่าให้ฟังว่าลูกเขาป่วยเป็นโรคนี้ จนตอนนี้อายุ 20 กว่า ถ้าคิดค่ารักษาตั้งแต่ต้นก็เป็นหลักล้าน ถ้าให้จ่ายเองก็คงต้องขายทรัพย์สมบัติเพื่อรักษาลูก หรืออย่างผู้ป่วยที่เป็นเครือข่ายผู้ป่วยเอชไอวี ราคาค่ายาต้านไวรัส แต่ละคนก็มีราคาหลัก 3-5 พันบาท แล้วแต่สูตรยาแต่ละคน ถ้าต้องจ่ายเองก็หาเงินมาจ่ายค่ายาไม่ได้ ถ้าไม่มีเงินก็คงไม่ไปรักษา หรือไม่ก็ต้องขายทรัพย์สมบัติมารักษาตัวเอง แต่พอมีหลักประกันสุขภาพฯ ก็ทำให้คุณภาพชีวิตผู้ป่วยดีขึ้น สามารถใช้ชีวิตได้ปกติ อยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้
 

ปีที่ผ่านมามีการขับเคลื่อนอะไรบ้างเพื่อปกป้องระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า

ทางเครือข่ายฯ ได้มีการประชุม แลกเปลี่ยนสถานการณ์ระหว่างกัน ประเด็นที่จะถูกพูดถึงคือหลักประกันสุขภาพฯ จะยังคงอยู่ไหม และพบว่าความมั่นคงระบบหลักประกันสุขภาพฯ มันสั่นคลอน ถูกทั้งผู้นำและผู้มีอำนาจสั่นคลอนระบบ พูดว่าระบบหลักประกันสุขภาพฯ เป็นภาระงบประมาณของประเทศ และมีนโยบายที่มีแนวโน้มจะทำให้ระบบหลักประกันสุขภาพฯ เป็นระบบสงเคราะห์กับคนยากจน คนที่ทำบัตรคนจนเท่านั้น อาจทำให้คนอื่นๆ ที่ไม่เข้าเกณฑ์เหล่านั้นไม่สามารถใช้สิทธิ์ได้

กลุ่มในพื้นที่ที่เป็นเครือข่ายที่ผลักดันกฎหมายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติตั้งแต่แรก ในตอนนี้ก็ยังติดตามสังเกตการณ์การมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในกลไกต่างๆ มีศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติภาคประชาชนที่ทำงานร่วมกันกับ สปสช. ทำหน้าที่เผยแพร่ความรู้ให้ประชาชนและทำงานร่วมกับ สปสช. ให้ประชาชนเข้าถึงการบริการมากที่สุด ทางเครือข่ายฯ ยังได้เชื่อมกับกลุ่มเครือข่าย 9 ด้านที่บัญญัติตามกฎหมายอยู่แล้ว เช่น เครือข่ายผู้หญิง ผู้สูงอายุ กลุ่มเครือข่ายเกษตร แรงงาน ชุมชนแออัดต่างๆ เพื่อทำให้เขาเข้าใจระบบและเข้าไปมีส่วนร่วม ทำให้ทุกคนคิดว่าเป็นเรื่องของตัวเอง เป็นสิทธิของเรา เป็นเรื่องใกล้ตัว และต้องเข้าไปมีส่วนร่วมพัฒนาให้ระบบดีขึ้น อันไหนที่มีปัญหาก็แก้กันไป อันไหนที่ต้องพัฒนาก็สร้างกระบวนการพัฒนาระบบต่อไป ทำให้เครือข่ายทำงานใกล้ชิดกันมากขึ้น ซึ่งเครือข่ายก็คิดว่าการมีหลักประกันสุขภาพฯ ที่แข็งแรง มั่นคงเป็นผลประโยชน์ที่มีร่วมกัน


ประเด็นที่ต้องเฝ้าจับตาในอนาคต

รัฐบาลมีแนวคิดที่จะแก้กฎหมายหลักประกันสุขภาพ มีทั้งประเด็นที่จะทำให้ระบบหลักดีขึ้นและแย่ลงที่ต้องเรียนรู้และติดตาม กระบวนการให้ความเห็นในระดับภูมิภาคที่ผ่านมา ประชาชนเข้าไปแสดงความเห็นยากจากกระบวนการที่จำกัดและซับซ้อนซึ่งทางเครือข่ายได้ติดตามเวทีให้ความเห็นระดับภูมิภาคอย่างใกล้ชิด และได้แจ้งรัฐบาลไปแล้วถึงข้อกังวลต่างๆ ที่ไม่อยากให้แก้ไข แต่ทางรัฐบาลเองก็ไม่ได้ฟังเสียงเหล่านี้เท่าไหร่ ทางเครือข่ายก็ต้องติดตามต่อ เพราะไม่รู้ว่ารัฐบาลจะแก้หรือออกกฎหมายที่ขัดกับเจตนารมย์เดิมของหลักประกันสุขภาพเมื่อไหร่

บุคคลแห่งปีของประชาไท ประจำปี 2017 นี้ มาเป็นทีม พวกเขาคือ 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' ซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันของผู้คนมากหน้าหลายตา ท่ามกลางความพยายามทำลายหลักการของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของรัฐบาล คสช.และรัฐราชการ 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' ออกมาเคลื่อนไหว เฝ้าระวัง ปกป้อง และยันสถานการณ์เอาไว้อย่างสุดกำลัง สำหรับสถานการณ์ในปีหน้าที่พอจะเห็นเค้าลางว่า หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าจะยิ่งเผชิญการคุกคามที่หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ คงไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่า 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' กำลังยืนขวางระหว่างรัฐบาลและกลุ่มคนที่ต้องการทำลายกับผู้คน 48 ล้านคนที่ได้รับการดูแลหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และคอยย้ำเตือนว่าการรักษาพยาบาลคือสิทธิของประชาชนที่รัฐไม่อาจพรากมันไปได้



บุคคลแห่งปี 2017: 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' ภูมิคุ้มกันสวัสดิการสุขภาพเพื่อทุกคน
บุญยืน ศิริธรรม: ประวัติศาสตร์หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าภาคประชาชน
กรรณิการ์ กิจติเวชกุล: ภัยคุกคามที่สุดต่อระบบหลักประกันสุขภาพฯ คือการที่รัฐมองคนไม่เท่ากัน
นิมิตร์ เทียนอุดม: "เพราะวิธีคิดตั้งต้นของรัฐเริ่มจากความไม่เป็นธรรม" กับปัญหาในระบบหลักประกันสุขภาพฯ
นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี: หลักประกันสุขภาพฯ คือสิทธิที่ถอยหลังกลับไม่ได้

 

เสียงจากเครือข่าย 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' (ภาคเหนือ) ทำไมเราต้องปกป้อง?
เสียงจากเครือข่าย 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' (ภาคตะวันตก) ทำไมเราต้องปกป้อง?
เสียงจากเครือข่าย 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' (ภาคกลาง) ทำไมเราต้องปกป้อง?
เสียงจากเครือข่าย 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' (ภาคอีสาน) ทำไมเราต้องปกป้อง?
เสียงจากเครือข่าย 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' (ภาคตะวันออก) ทำไมเราต้องปกป้อง?

 

เสียงจากเครือข่าย 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' (ภาคใต้) ทำไมเราต้องปกป้อง?
เสียงจากเครือข่าย 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' (ภาคเหนือ) ทำไมเราต้องปกป้อง?
เสียงจากเครือข่าย 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' (ภาคตะวันตก) ทำไมเราต้องปกป้อง?
เสียงจากเครือข่าย 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' (ภาคกลาง) ทำไมเราต้องปกป้อง?
เสียงจากเครือข่าย 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' (ภาคอีสาน) ทำไมเราต้องปกป้อง?
เสียงจากเครือข่าย 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' (ภาคตะวันออก) ทำไมเราต้องปกป้อง?

 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เสียงจากเครือข่าย ‘กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ’ (ภาคเหนือ) ทำไมเราต้องปกป้อง?

Posted: 27 Dec 2017 04:17 AM PST

หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเป็นของคนไทยทุกคน มันช่วยชีวิตพวกเขาจากโรคภัยไข้เจ็บ และการล้มละลาย นี่คือสิ่งที่ผู้คนจากภาคต่างๆ ในเครือข่าย 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' คิดและเชื่อ คือคำตอบของคำถามว่า ทำไมพวกเขาเหล่านี้จึงต้องออกมาปกป้องระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า

ไปฟังเสียงของพวกเขา

สุภาพร ถิ่นวัฒนากูล กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ ภาคเหนือ

หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าสำคัญอย่างไร ทำไมจึงต้องออกมาปกป้อง

สาเหตุที่เราต้องเข้าไปมีส่วนในการปกป้องเป็นเพราะว่าเราเป็นคนหนึ่งที่ร่วมล่ารายชื่อในปี 2544-2545 เพื่อให้มีการทำนโยบายดังกล่าว ถามว่าตอนนั้นเราเข้าใจหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ามากขนาดไหน ก็ยังไม่เข้าใจอะไรมาก รู้แค่ว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับสังคมไทยคือการทำให้ทุกคนเท่าเทียมกัน เพราะการมีระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเหมือนกันน่าจะเป็นเรื่องดี การที่เราได้มีโอกาสเข้าร่วมกระบวนการแบบนั้น ไปรณรงค์ ไปล่ารายชื่อ ไปสร้างความเข้าใจ มันทำให้เราเกิดความรู้สึกว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นจากความต้องการของประชาชนจริงๆ ซึ่งนี่คือจุดเริ่มต้นสำคัญที่ทำให้รู้สึกว่า ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเป็นสิ่งจำเป็น

อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าต้องลุกขึ้นมาเพื่อปกป้องระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าคือ มันได้พิสูจน์แล้วว่าระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าสามารถช่วยเหลือคนได้จริงๆ ตัวอย่างที่เราได้เห็นคือพี่น้องภาคเหนือ พี่น้องเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยเอชไอวี กลุ่มผู้ป่วยเรื้อรัง กลุ่มผู้ป่วยโรคหัวใจ เราพบว่าคนเหล่านี้ได้ประโยชน์ จากเดิมที่ต้องล้มละลายเมื่อเจ็บป่วย ต้องคิดว่าจะหาเงินจากไหนมาจ่ายค่ารักษาพยาบาล แต่ช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่เกิดขึ้นจากการมีส่วนร่วมของประชาชนมันแก้ปัญหาให้เราได้จริง คนที่ป่วยไม่ต้องทุกข์ทรมานเรื่องค่ารักษาพยาบาล เพราะแค่ทุกข์จากภัยไข้เจ็บก็เป็นเรื่องแย่แล้ว ระบบหลักประกันสุขภาพสามารถแก้โจทย์ตรงนี้ได้ และไม่ได้แก้ปัญหาให้เฉพาะคนจน คนทุกข์คนยากเท่านั้น แต่มันรวมคนทุกคนและดูแลทุกคนตามสิทธิที่พึ่งมีพึงได้

เหตุผลข้อต่อมาคือเพราะเราเห็นพลังและการมีส่วนร่วมของประชาชนในส่วนต่างๆ ที่ลุกขึ้นมาช่วยกันปกป้องระบบ ตัวอย่างง่ายๆ ในระบบหลักประกันถ้วนหน้า มันไม่มีแค่ว่าเราต้องเข้าไปรักษาในโรงพยาบาลอย่างเดียว แต่มีเรื่องการบริหารจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพท้องถิ่น การทำเรื่องส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค คนเล็กคนน้อยในชุมชนก็ลุกขึ้นมาช่วยกันทำงานเหล่านี้ เข้ามาบริหารจัดการ มาดูแล และทำอย่างไรให้ประชาชนเข้าถึงสิทธิ ทั้งหมดนี้ทำให้เรารู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เราต้องเข้ามามีส่วนร่วมและปกป้อง ใครจะเปลี่ยนเจตนารมณ์ ใครจะมาทำให้ระบบนี้หายไป เรายอมไม่ได้


ปีที่ผ่านมามีการขับเคลื่อนอะไรบ้างเพื่อปกป้องระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า

มีสองเรื่องใหญ่ที่พวกเราพยายามทำในปีที่ผ่านและจะต้องทำต่อในปีถัดไปคือเรื่องของการแก้ไขกฎหมายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ตรงนี้คือหัวใจสำคัญ เพราะในปีที่ผ่านมามีความพยายามของทั้งกระทรวงสาธารณสุขหรือใครต่อใครที่พยายามบอกว่า กฎหมายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติต้องมีการแก้ไข ซึ่งพวกเราไม่ได้ปฏิเสธการแก้ไข เราเห็นด้วยเพราะมีบางเรื่องต้องแก้ แต่มันกลายเป็นว่าสิ่งที่ควรจะแก้ กลับไม่แก้ แต่ดันไปแก้สิ่งที่ไม่ควรแก้ นี่คือภาระกิจหลักที่กลุ่มเราพยายามผลักดัน

สิ่งที่สองคือ เรามีโอกาสเข้าไปร่วมในคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ในส่วนของบอร์ดควบคุมคุณภาพระดับประเทศ เราก็พยายามชวนองค์กรต่างๆ เข้ามามีส่วนร่วม เพราะงานของหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าประการหนึ่งคือการทำให้ประชาชนลุกขึ้นมาคุ้มครองสิทธิของตัวเอง ทำให้มีการจัดตั้งหน่วยรับเรื่องร้องเรียนตาม พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มาตรา 50(5) คือทำอย่างไรก็ได้ให้ประชาชนมีหน่วยในการร้องเรียน เพราะมาตรา 50(5) เป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญที่พวกเราภาคประชาชนรวมตัวกันและยกระดับตัวเอง เป็นหน่วยงานรับเรื่องร้องเรียน หน้าที่เราคือการสนับสนุนคนทำงานในหน่วยดังกล่าวให้มีความสามารถเพิ่มมากขึ้น มีข้อมูลข่าวสารที่จะเป็นช่องทางให้ประชาชนเข้ามาเรียกร้องสิทธิได้ และประสานให้หน่วยงานเหล่านี้ได้ทำงานร่วมกับโรงพยาบาล เพื่อช่วยกันพัฒนาหน่วยบริการ

และสุดท้ายการขับเคลื่อนที่สำคัญในปีที่ผ่านมาคือ กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งมีหลายภาคส่วน เราพยายามแลกเปลี่ยนข้อมูลกันอย่างต่อเนื่องว่ามีสถานการณ์อะไรที่อาจส่งผลกระทบต่อระบบ และพวกเราจะช่วยกันทำอย่างไรเพื่อที่จะสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจ
 

คิดว่าอะไรคือภัยคุกคามต่อระบบหลักประกันสุขภาพมากที่สุด

ตอนนี้เรื่องใหญ่ที่สุดคือการแก้กฎหมาย ซึ่งเราเชื่อว่าประเด็นที่ประชาชนอยากให้แก้จะไม่เกิดขึ้นในการแก้ไขกฎหมาย เพราะกระบวนการที่ผ่านมาไม่มีความชอบธรรมและไม่ยุติธรรม ยกตัวอย่างง่ายๆ ประเด็นที่ประชาชนยืนยันว่าควรมีการแก้ไขคือเรื่องการร่วมจ่าย ที่ผ่านมากลับไม่ได้รับการใส่ใจเลย ซึ่งพวกเราเห็นว่าควรแก้ไขโดยตัดประโยคที่ระบุว่าประชาชนต้องร่วมจ่ายออกไป แต่ที่สุดแล้วในกระบวนการแก้ไขกฎหมายประโยคนี้ก็ยังคงอยู่ หมายความเราไม่มีหลักประกันเลยว่าอนาคตข้างหน้าจะมีการให้ประชาชนร่วมจ่ายหรือไม่

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องการจัดกลไกโครงสร้างใหม่ เนื่องจากเวลานี้กระทรวงสาธารณสุขพยายามจะดึงบทบาท และอำนาจการจัดการดูแลระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าไปไว้ในมือของตนเอง ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขถูกแยกบทบาท โดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ก็มีบทบาทของตัวเอง โดยขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขเสนอให้มีสิ่งที่เรียกว่า ซุปเปอร์บอร์ดหรือคณะกรรมการสุขภาพระดับประเทศ ที่คุมอำนาจอยู่ที่กระทรวงสาธารณสุข ให้อำนาจทำหน้าที่การกำกับดูแลระบบหลักประกันสุขภาพทั้งหมด และลดบทบาท สปสช. ลง ซึ่งกลไกนี้กำลังมีการนำเสนอผ่านคณะกรรมการปฏิรูปด้านสาธารณสุข หากกลไกนี้เกิดขึ้น ก็จะทำให้บรรดาองค์กรต่างๆ ที่มีหน้าที่ดูแลด้านสุขภาพตามบทบาทของตัวเองเปลี่ยนไป โดยเฉพาะ สปสช. จะถูกลดบทบาทลงมาก

สิ่งที่เป็นภัยอีกประการคือการสนับสนุนงบประมาณ ขณะนี้รัฐมักจะให้ข้อมูลว่าระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเป็นภาระ รัฐต้องดูแลคนจำนวนมาก ดังนั้น การจัดสรรงบประมาณ แทนที่จะเพิ่ม รัฐบาลกลับคิดว่าระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าควรให้สิทธิเฉพาะคนจนเท่านั้น คนที่ขึ้นทะเบียนคนจนควรได้รับการดูแล ถ้าคิดแบบนี้มันจะทำให้ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่เราเคยพูดกันว่า เป็นการเฉลี่ยทุกข์ เฉลี่ยสุข ทุกคนเท่ากัน ไม่มีคนรวย ไม่มีคนจน เปลี่ยนไป ซึ่งแนวโน้มของรัฐบาลชุดนี้จะสนับสนุนงบประมาณให้กับกระทรวงสาธารณสุขลดลงเพราะความเชื่อแบบนี้


ข้อเสนอ?

สิ่งที่เราทำกันอยู่คือการเฝ้าระวังและจับตากันอยู่ตลอดว่า การแก้ไขกฎหมายจะเข้าไปในชั้นพิจารณาของ คณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อไหร่ ตอนนี้เราก็พยายามอบรมให้ความรู้ความเข้าใจกับประชาชน เพราะหากประชาชนยังไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกำลังจะกระทบสิทธิของตัวเอง เราก็ไม่อาจขับเคลื่อนได้อย่างมีพลังเพราะขาดแนวร่วม

นอกจากนี้ เราก็พยายามช่วยกันเขียนจดหมายส่งไปที่สำนักงานเลขานุการ ครม. ว่าพวกเราไม่เห็นด้วยกับกระบวนการแก้ไขกฎหมายและเนื้อหา พร้อมทั้งขอให้รัฐบาลที่จะได้เข้ามาหลังการเลือกตั้งเป็นผู้แก้ไขกฎหมายนี้แทน

 

บุคคลแห่งปีของประชาไท ประจำปี 2017 นี้ มาเป็นทีม พวกเขาคือ 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' ซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันของผู้คนมากหน้าหลายตา ท่ามกลางความพยายามทำลายหลักการของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของรัฐบาล คสช.และรัฐราชการ 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' ออกมาเคลื่อนไหว เฝ้าระวัง ปกป้อง และยันสถานการณ์เอาไว้อย่างสุดกำลัง สำหรับสถานการณ์ในปีหน้าที่พอจะเห็นเค้าลางว่า หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าจะยิ่งเผชิญการคุกคามที่หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ คงไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่า 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' กำลังยืนขวางระหว่างรัฐบาลและกลุ่มคนที่ต้องการทำลายกับผู้คน 48 ล้านคนที่ได้รับการดูแลหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และคอยย้ำเตือนว่าการรักษาพยาบาลคือสิทธิของประชาชนที่รัฐไม่อาจพรากมันไปได้



บุคคลแห่งปี 2017: 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' ภูมิคุ้มกันสวัสดิการสุขภาพเพื่อทุกคน
บุญยืน ศิริธรรม: ประวัติศาสตร์หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าภาคประชาชน
กรรณิการ์ กิจติเวชกุล: ภัยคุกคามที่สุดต่อระบบหลักประกันสุขภาพฯ คือการที่รัฐมองคนไม่เท่ากัน
นิมิตร์ เทียนอุดม: "เพราะวิธีคิดตั้งต้นของรัฐเริ่มจากความไม่เป็นธรรม" กับปัญหาในระบบหลักประกันสุขภาพฯ
นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี: หลักประกันสุขภาพฯ คือสิทธิที่ถอยหลังกลับไม่ได้

เสียงจากเครือข่าย 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' (ภาคใต้) ทำไมเราต้องปกป้อง?
เสียงจากเครือข่าย 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' (ภาคตะวันตก) ทำไมเราต้องปกป้อง?
เสียงจากเครือข่าย 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' (ภาคกลาง) ทำไมเราต้องปกป้อง?
เสียงจากเครือข่าย 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' (ภาคอีสาน) ทำไมเราต้องปกป้อง?
เสียงจากเครือข่าย 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' (ภาคตะวันออก) ทำไมเราต้องปกป้อง?

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เสียงจากเครือข่าย ‘กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ’ (ภาคตะวันตก) ทำไมเราต้องปกป้อง?

Posted: 27 Dec 2017 04:06 AM PST

หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเป็นของคนไทยทุกคน มันช่วยชีวิตพวกเขาจากโรคภัยไข้เจ็บ และการล้มละลาย นี่คือสิ่งที่ผู้คนจากภาคต่างๆ ในเครือข่าย 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' คิดและเชื่อ คือคำตอบของคำถามว่า ทำไมพวกเขาเหล่านี้จึงต้องออกมาปกป้องระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า

ไปฟังเสียงของพวกเขา

พงษภัทร หงส์สุขสวัสดิ์ จากกลไกประสานงานหลักประกันสุขภาพประชาชนเขต 5 ราชบุรี
 

หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าสำคัญอย่างไร ทำไมจึงต้องออกมาปกป้อง

ในฐานะที่ทำงานคลุกคลีกับด้านนี้ หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเป็นที่พึ่งให้คนได้ ผมเป็นคนที่ใช้บัตรทองคนหนึ่ง ผมไม่ต้องกังวลเวลาไปโรงพยาบาล เวลาป่วย หลักประกันสุขภาพฯ เป็นสิ่งที่ทำให้ผมเข้าโรงพยาบาลอย่างไม่ต้องกลัว ถ้าเป็นสมัยก่อน ผมจะกังวลมากว่าถ้าผมป่วยขึ้นมา เงินจะพอไหม คนแถวบ้านผม เวลาป่วยก็ไม่ค่อยไปโรงพยาบาลกันเพราะต้องจ่ายเต็ม การจ่ายเต็มเป็นภาระอย่างหนึ่งของคนหาเช้ากินค่ำ ผมรู้สึกว่าต้องปกป้องบัตรทอง เพราะมันเป็นที่พึ่งของเราได้ มันช่วยเราได้ และที่สำคัญ มันเกิดจากภาษีที่เราจ่ายไป มันคือระบบของเรา เราต้องปกป้อง


คิดว่าอะไรคือภัยคุกคามต่อระบบหลักประกันสุขภาพมากที่สุด

หน่วยที่มีหน้าที่รับผิดชอบมองไม่ออกว่าหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าดีกับประชาชนยังไง แต่ทุกคนมองเรื่องระบบเศรษฐกิจมากกว่าคุณภาพชีวิตคน สถานการณ์ที่พี่ตูน (อาทิตวราห์ คงมาลัย หรือตูน บอดี้สแลม) ต้องมาวิ่ง ทุกคนบริจาคให้ อันนี้เป็นสิ่งดี แต่ทำไมพี่ตูนต้องมาวิ่ง กระทรวงสาธารณสุขทำไมต้องเอาเงินไปบริจาคให้พี่ตูน ทั้งที่ตัวเองมีหน้าที่ในเรื่องนี้โดยตรง ทำไมไม่ดูว่าหน่วยบริการประสบปัญหาอะไร และกระทรวงสาธารณสุขจะเข้าไปช่วยอย่างไร

ที่ผ่านมาสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ไม่เคยได้งบตามที่เสนอ มีปรับลดตลอดหรือไม่ก็เท่าเดิมกับปีก่อนๆ ทั้งที่สถานการณ์เปลี่ยน การจ่ายเงินไม่พอในระบบ บวกกับคนที่เกี่ยวข้องเชิงนโยบายมองไม่ทะลุว่าจริงๆ หน้าที่ของตัวเองอยู่ตรงไหน และจะมีวิธีการจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร กลายเป็นทุกอย่างไปลงที่ สปสช. ที่ต้องรับผิดชอบทุกอย่าง ทั้งที่มี 3 ระบบคือสิทธิสวัสดิการการรักษาพยาบาลของข้าราชการ สิทธิประกันสังคม และสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งรัฐบาลให้การดูแล ถึงแม้ว่าระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติจะเป็นระบบที่ดูแลคนมากกว่าทุกระบบ แต่ได้เงินน้อยกว่าทุกระบบ ขณะที่ระบบสวัสดิการข้าราชการเงินจ่ายมากที่สุด ดูแลคนน้อยที่สุด ชี้ให้เห็นว่าระบบการจัดสรรงบประมาณหรือนโยบายของหน่วยงานที่รับผิดชอบเองไม่ได้ตอบโจทย์การแก้ปัญหา


ข้อเสนอ?

ถ้าจะทำให้เกิดการจัดการที่ดี อย่างแรก เรื่องการจัดสรรงบประมาณต้องจัดสรรให้เพียงพอ สอง การให้คนในพื้นที่มาร่วมจ่ายไม่ใช่ทางออก การให้คนมาร่วมจ่ายเยอะๆ ในหน่วยบริการ ทำให้สุดท้ายกลับไปสู่ภาวะเดิมก่อนมีหลักประกัน คนต้องพะวงในการจะเข้ารักษา ตอนนี้ผู้ป่วยโรคไตก็ต้องร่วมจ่ายแล้ว ผมเสนอว่าแนวคิดเรื่องการร่วมจ่ายควรตัดออกไป

ส่วนวิธีการที่จะให้มีเงินเข้าระบบเพียงพอ ผมคิดว่ามีเยอะแยะ เช่น ภาษีน้ำตาลหรือภาษีเหล้า บุหรี่ เพราะสิ่งเหล่านี้ก็ไปทำลายสุขภาพของคน ควรจะเอาเงินส่วนนี้มาช่วยดูแลสุขภาพของคน ที่สำคัญคือการทำให้คนหันมาดูแลสุขภาพตัวเองให้มากขึ้น ทุกวันนี้ เรามองว่าคนจะเข้ารับการรักษายังไง แต่ไม่เคยมองว่าคนจะดูแลสุขภาพยังไง

และสุดท้ายคือการทำให้ระบบการรักษาลดความเหลื่อมล้ำลง จะทำยังไงให้คนเข้าโรงพยาบาลหมอไม่ต้องถามว่าใช้สิทธิอะไร ถ้าทำให้เกิดการรักษามาตรฐานเดียวกัน ระบบเดียวกัน ทุกคนก็จะมีสิทธิเท่าเทียมกัน ไม่แยกว่าคนไหนจนหรือรวย

บุคคลแห่งปีของประชาไท ประจำปี 2017 นี้ มาเป็นทีม พวกเขาคือ 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' ซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันของผู้คนมากหน้าหลายตา ท่ามกลางความพยายามทำลายหลักการของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของรัฐบาล คสช.และรัฐราชการ 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' ออกมาเคลื่อนไหว เฝ้าระวัง ปกป้อง และยันสถานการณ์เอาไว้อย่างสุดกำลัง สำหรับสถานการณ์ในปีหน้าที่พอจะเห็นเค้าลางว่า หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าจะยิ่งเผชิญการคุกคามที่หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ คงไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่า 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' กำลังยืนขวางระหว่างรัฐบาลและกลุ่มคนที่ต้องการทำลายกับผู้คน 48 ล้านคนที่ได้รับการดูแลหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และคอยย้ำเตือนว่าการรักษาพยาบาลคือสิทธิของประชาชนที่รัฐไม่อาจพรากมันไปได้

บุคคลแห่งปี 2017: 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' ภูมิคุ้มกันสวัสดิการสุขภาพเพื่อทุกคน
บุญยืน ศิริธรรม: ประวัติศาสตร์หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าภาคประชาชน
กรรณิการ์ กิจติเวชกุล: ภัยคุกคามที่สุดต่อระบบหลักประกันสุขภาพฯ คือการที่รัฐมองคนไม่เท่ากัน
นิมิตร์ เทียนอุดม: "เพราะวิธีคิดตั้งต้นของรัฐเริ่มจากความไม่เป็นธรรม" กับปัญหาในระบบหลักประกันสุขภาพฯ
นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี: หลักประกันสุขภาพฯ คือสิทธิที่ถอยหลังกลับไม่ได้

เสียงจากเครือข่าย 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' (ภาคใต้) ทำไมเราต้องปกป้อง?
เสียงจากเครือข่าย 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' (ภาคเหนือ) ทำไมเราต้องปกป้อง?
เสียงจากเครือข่าย 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' (ภาคกลาง) ทำไมเราต้องปกป้อง?
เสียงจากเครือข่าย 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' (ภาคอีสาน) ทำไมเราต้องปกป้อง?
เสียงจากเครือข่าย 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' (ภาคตะวันออก) ทำไมเราต้องปกป้อง?

 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เสียงจากเครือข่าย ‘กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ’ (ภาคกลาง) ทำไมเราต้องปกป้อง?

Posted: 27 Dec 2017 03:59 AM PST

หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเป็นของคนไทยทุกคน มันช่วยชีวิตพวกเขาจากโรคภัยไข้เจ็บ และการล้มละลาย นี่คือสิ่งที่ผู้คนจากภาคต่างๆ ในเครือข่าย 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' คิดและเชื่อ คือคำตอบของคำถามว่า ทำไมพวกเขาเหล่านี้จึงต้องออกมาปกป้องระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า

ไปฟังเสียงของพวกเขา


อรกัลยา พุ่มพุ่ง หัวหน้าสำนักงาน/ผู้ประสานงานองค์กรเครือข่ายผู้หญิงเพื่อสุขภาพภาคกลาง จังหวัดปทุมธานี
 

หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าสำคัญอย่างไร ทำไมจึงต้องออกมาปกป้อง

หลักประกันสุขภาพเป็นเรื่องของชาวบ้านเราในชุมชน ในฐานะที่เราทำงานชุมชนเรื่องนี้มันสำคัญมาก พอมีข่าวออกมาก็มีชาวบ้านเข้ามาถามเรื่องการจะแก้ไขบัตรทอง แก้ไข พ.ร.บ. ต่างๆ นานา เราต้องตอบคำถามชาวบ้านทุกวันเพราะทุกคนกลัว หลักประกันสุขภาพปีนี้เป็นปีที่ 15 อะไรที่มันอยู่มา 10 ปีขึ้นไป ชาวบ้านก็ชินแล้ว เขาชินกับการที่เวลาป่วยไปโรงพยาบาลไม่ต้องจ่ายเงิน พวกเราเวลาทำงานก็จะบอกให้ชาวบ้านรู้ว่าหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เรามีสิทธิอะไรบ้าง ชาวบ้านเขาเข้าใจมาเป็น 10 ปีแล้ว

จริงๆ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติของเราดีอยู่แล้ว สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เป็นคนจัดซื้อยา เป็นผู้บริหารจัดการตรงนี้ มันดีอยู่แล้ว เราพยายามจะบอกรัฐบาลว่ามันดีอยู่แล้วไม่ต้องแก้ หรือข้อไหนมันอ่อนอาจจะต้องปรับแก้ก็โอเค เราพยายามจะเข้าไปคุยกับรัฐบาล แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับ ไม่มีการร่วมลงความเห็นด้วยกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ทำให้เราต้องลุกมาเคลื่อนไหวเอง ไม่ได้เพื่อเราคนเดียว แต่เพื่อลูกหลานเรา


มาร่วมเป็นเครือข่ายกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพได้อย่างไร

กลุ่มคนรักหลักประกันฯ มาจากเครือข่ายต่างๆ เรามาจากเครือข่ายผู้หญิงเพื่อสุขภาพภาคกลาง และเราเห็นว่ากลุ่มคนรักหลักประกันฯ ไม่ได้มีผลประโยชน์ส่วนตัวใดๆ เขาทำกันด้วยใจ เราและครอบครัวก็ใช้บัตรทอง อยู่ในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เราก็เลยเข้ามาร่วมตั้งแต่ปี 2555

ส่วนเครือข่ายผู้หญิงเพื่อสุขภาพ เรารวมกลุ่มกันตั้งแต่ปี 2554 เราเน้นเรื่องผู้หญิงกับเด็กในชุมชน แต่ตอนนี้ไม่ใช่แค่ผู้หญิงและเด็กแล้ว มันรวมถึงทุกคน สุขภาพของคนในชุมชนมันสำคัญ ทั้งสุขภาพกายและใจ เราดูแลเรื่องสุขภาพของคนในชุมชน เราเลือกคนที่มีอุดมการณ์เดียวกันกับเรา รวมตัวกัน ทำงานในชุมชน พอเป็นองค์กรเราก็เริ่มเขียนโครงการขอทุน ทางกลุ่มเราดูแลเรื่องสุขภาพ เรื่องยุติความรุนแรงในสตรี เรื่องสิทธิหลักประกันสุขภาพ สิทธิคุ้มครองผู้บริโภค หรือใครที่ทำงานใช้สิทธิประกันสังคม พอเริ่มเกษียณมาเราก็ช่วยให้เขาเข้าใจเรื่องสิทธิบัตรทอง หรือเด็กที่ไม่ได้แจ้งเกิดเราก็พยายามทำให้เขาได้ขึ้นชื่อในทะเบียน จากคนไร้สถานะก็กลายเป็นคนมีสถานะและเข้าสู่ระบบบัตรทอง
 

คิดว่าอะไรคือภัยคุกคามต่อระบบหลักประกันสุขภาพมากที่สุด

เราไม่อยากใช้คำว่าภัยคุกคาม แต่ด้วยความไม่ชัดเจนของคนแก้ระบบ ถ้าเขาชัดเจน เช่นเขาประกาศว่าไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร ร่วมจ่ายก็ไม่ได้จ่ายเยอะ ชัดเจนว่าจ่ายเท่าไหร่ ถ้าเขาบอกว่าไม่ได้แก้ไขอะไรแต่ขอให้ชาวบ้านเวลาไปรักษาในโรงพยาบาลก็ช่วยจ่าย 30 บาทละกัน มันก็จะชัดเจน แต่นี่ไม่ชัดเจน ไม่รู้เลยว่าที่เขาจะแก้ ทำไมต้องแก้ แก้แล้วมันดียังไง เวลาถามก็ใช้อารมณ์พูดกับเรามากกว่าว่าพวกคุณเป็นกลุ่มคนรักหลักประกันฯ เป็นนักเรียกร้อง อะไรพวกคุณก็ไม่เอา  ประเทศไทยเดินหน้าไม่ได้ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าถ้าบัตรทองคงอยู่เหมือนเดิมแล้วทำไมประเทศไทยจะเดินหน้าไม่ได้ เราไม่เข้าใจ กลุ่มเราไม่เข้าใจว่าทำไมต้องแก้


ข้อเสนอ?

เราเสนอไปเยอะมาก เสนอให้เรียกพวกเราซึ่งเป็นตัวแทนภาคประชาชนมาคุยกัน มีทั้งที่เห็นด้วย เห็นต่าง แล้วก็เสนอแนะ มี 14 ข้อที่เรารวบรวมมา (เปิด 14 ประเด็น กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพเห็นค้านแก้ กม.บัตรทอง) ถ้าท่านนายกฯ ตั้งโต๊ะ เรียกพวกเราเข้าไปคุย ให้พวกเราอธิบายให้ฟัง เราก็จะยินดีมาก แต่นี่ท่านไม่ยอมเจอ ยื่นหนังสือก็ไม่รับ พยายามไปพบ พยายามเอารายชื่อของชาวบ้านที่ไม่เห็นด้วยไปให้ดู แต่ไม่มีใครสนใจเรา ดูเหมือนพวกเราเป็นคนไร้ตัวตนในสายตาของเขา รัฐบาลทุกรัฐบาลไม่ใช่แค่รัฐบาลนี้ ถ้าไม่คุยกับประชาชน เราก็เห็นว่ามันตามมาด้วยการก่อม็อบ การประท้วง แต่ไม่มีใครอยากมาก่อม็อบ มาประท้วงหรอก ถ้าเขาอยากคุยกับเราดีๆ

 

บุคคลแห่งปีของประชาไท ประจำปี 2017 นี้ มาเป็นทีม พวกเขาคือ 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' ซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันของผู้คนมากหน้าหลายตา ท่ามกลางความพยายามทำลายหลักการของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของรัฐบาล คสช.และรัฐราชการ 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' ออกมาเคลื่อนไหว เฝ้าระวัง ปกป้อง และยันสถานการณ์เอาไว้อย่างสุดกำลัง สำหรับสถานการณ์ในปีหน้าที่พอจะเห็นเค้าลางว่า หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าจะยิ่งเผชิญการคุกคามที่หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ คงไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่า 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' กำลังยืนขวางระหว่างรัฐบาลและกลุ่มคนที่ต้องการทำลายกับผู้คน 48 ล้านคนที่ได้รับการดูแลหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และคอยย้ำเตือนว่าการรักษาพยาบาลคือสิทธิของประชาชนที่รัฐไม่อาจพรากมันไปได้



บุคคลแห่งปี 2017: 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' ภูมิคุ้มกันสวัสดิการสุขภาพเพื่อทุกคน
บุญยืน ศิริธรรม: ประวัติศาสตร์หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าภาคประชาชน
กรรณิการ์ กิจติเวชกุล: ภัยคุกคามที่สุดต่อระบบหลักประกันสุขภาพฯ คือการที่รัฐมองคนไม่เท่ากัน
นิมิตร์ เทียนอุดม: "เพราะวิธีคิดตั้งต้นของรัฐเริ่มจากความไม่เป็นธรรม" กับปัญหาในระบบหลักประกันสุขภาพฯ
นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี: หลักประกันสุขภาพฯ คือสิทธิที่ถอยหลังกลับไม่ได้

 

เสียงจากเครือข่าย 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' (ภาคใต้) ทำไมเราต้องปกป้อง?
เสียงจากเครือข่าย 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' (ภาคเหนือ) ทำไมเราต้องปกป้อง?
เสียงจากเครือข่าย 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' (ภาคตะวันตก) ทำไมเราต้องปกป้อง?
เสียงจากเครือข่าย 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' (ภาคอีสาน) ทำไมเราต้องปกป้อง?
เสียงจากเครือข่าย 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' (ภาคตะวันออก) ทำไมเราต้องปกป้อง?

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เสียงจากเครือข่าย ‘กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ’ (ภาคอีสาน) ทำไมเราต้องปกป้อง?

Posted: 27 Dec 2017 03:44 AM PST

หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเป็นของคนไทยทุกคน มันช่วยชีวิตพวกเขาจากโรคภัยไข้เจ็บ และการล้มละลาย นี่คือสิ่งที่ผู้คนจากภาคต่างๆ ในเครือข่าย 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' คิดและเชื่อ คือคำตอบของคำถามว่า ทำไมพวกเขาเหล่านี้จึงต้องออกมาปกป้องระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า

ไปฟังเสียงของพวกเขา

ปฏิวัติ เฉลิมชาติ ผู้ประสานงานเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคภาคอีสาน

หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าสำคัญอย่างไร ทำไมจึงต้องออกมาปกป้อง

หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเป็นสมบัติของประชาชนที่พากันขับเคลื่อนตั้งแต่สมัยรัฐธรรมนูญปี 2540 ในมาตรา 52 เรื่องการเข้าถึงการรักษาพยาบาลในฐานะสิทธิขั้นพื้นฐาน นำไปสู่การระดมความเห็นว่าอยากเห็นระบบหลักประกันสุขภาพในไทยเป็นแบบใด จนออกมาเป็น พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 ทำให้ประชาชนได้รับบริการสุขภาพที่มีคุณภาพมาตรฐานอย่างถ้วนหน้า ไม่ใช่การสงเคราะห์หรือการร้องขอ ทำให้ผู้ป่วยที่แต่เดิมจะไปรักษาพยาบาลต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่าย บางคนต้องขายทรัพย์สินเงินทองมาจ่ายค่ารักษา แต่พอมีหลักประกันสุขภาพ ทำให้ประชาชนที่เจ็บไข้ได้ป่วย หรือเป็นโรคที่มีค่าใช้จ่ายในการรักษาสูงก็เข้าถึงการรักษาพยาบาลโดยไม่ประสบภาวะล้มละลายเพราะค่ารักษาพยาบาล เคยมีกรณีของผู้ป่วยโรคหัวใจและโรคไตที่ร้องเรียนเข้ามาที่เครือข่ายผู้บริโภคภาคอีสานที่ผู้ป่วยเป็นผู้รับเหมา มีทรัพย์สินหลักสิบล้านขึ้นก็ต้องนำเงินส่วนหนึ่งมาใช้จ่ายเป็นค่ารักษาพยาบาลหมดไปหลายล้าน แต่พอมีสิทธิประโยชน์ของผู้ป่วยโรคไตมาคุ้มครองเขาก็ไม่มีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย
 

ปีที่ผ่านมามีการขับเคลื่อนอะไรบ้างเพื่อปกป้องระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า

ในช่วงปีที่ผ่านมา ผมและเครือข่ายฯ ได้ทำวงพูดคุย ให้ข้อมูลและความรู้กับเครือข่ายภาคประชาชนต่างๆ เช่น กลุ่มสภาองค์กรชมชน กลุ่มผู้ป่วยเรื้อรัง ผู้สูงอายุ ผู้พิการ แรงงานนอกระบบ ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ให้พวกเขารู้ว่ามีสถานการณ์ที่ทำให้ระบบหลักประกันสุขภาพเปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งไปยื่นหนังสือแสดงเจตจำนงและข้อสังเกตในการแก้กฎหมายหลักประกันสุขภาพต่อศูนย์ดำรงธรรมแต่ละจังหวัดในประเด็นที่จะมีการแก้กฎหมายซึ่งถือเป็นภัยคุกคามอย่างมาก และเล่าว่า เสียงสะท้อนต่อการแก้กฎหมายที่ตนได้ยินมาคือความกังวลว่าอาจจะต้องมีการร่วมจ่าย แล้วถ้ามี จะต้องจ่ายเท่าไหร่


คิดว่าอะไรคือภัยคุกคามต่อระบบหลักประกันสุขภาพมากที่สุด

สิ่งที่เป็นภัยคุกคามต่อระบบหลักประกันสุขภาพในปีหน้าคือเรื่องการแก้กฎหมายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่ยังคาราคาซังกันอยู่ ทางเครือข่ายก็คงจะมีการรณรงค์ สื่อสารกับสังคมในประเด็นที่ยังมีความเห็นต่าง 3 ประเด็นที่ยิ่งแก้ยิ่งแย่ ได้แก่ เรื่องสัดส่วนคณะกรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือบอร์ด สปสช. การแยกเงินเดือนในงบค่าเหมาจ่ายรายหัว และเรื่องการร่วมจ่าย จึงต้องกลับมาคุยกันก่อนในประเด็นที่เห็นต่างแต่ละประเด็น
 

สิ่งที่จะทำหลังจากนี้

ในต้นปี 2561 ทางกลุ่มในภาคอีสานจะรณรงค์เรื่องการแก้กฎหมายหลักประกันสุขภาพว่าประชาชนจะได้หรือเสียประโยชน์อย่างไร และจะมีแผนการทำงานร่วมกับเครือข่ายต่างๆ รวมถึงจัดกิจกรรมเดินรณรงค์จากกรุงเทพฯ มายังภาคอีสาน

บุคคลแห่งปีของประชาไท ประจำปี 2017 นี้ มาเป็นทีม พวกเขาคือ 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' ซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันของผู้คนมากหน้าหลายตา ท่ามกลางความพยายามทำลายหลักการของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของรัฐบาล คสช.และรัฐราชการ 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' ออกมาเคลื่อนไหว เฝ้าระวัง ปกป้อง และยันสถานการณ์เอาไว้อย่างสุดกำลัง สำหรับสถานการณ์ในปีหน้าที่พอจะเห็นเค้าลางว่า หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าจะยิ่งเผชิญการคุกคามที่หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ คงไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่า 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' กำลังยืนขวางระหว่างรัฐบาลและกลุ่มคนที่ต้องการทำลายกับผู้คน 48 ล้านคนที่ได้รับการดูแลหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และคอยย้ำเตือนว่าการรักษาพยาบาลคือสิทธิของประชาชนที่รัฐไม่อาจพรากมันไปได้

บุคคลแห่งปี 2017: 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' ภูมิคุ้มกันสวัสดิการสุขภาพเพื่อทุกคน
บุญยืน ศิริธรรม: ประวัติศาสตร์หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าภาคประชาชน
กรรณิการ์ กิจติเวชกุล: ภัยคุกคามที่สุดต่อระบบหลักประกันสุขภาพฯ คือการที่รัฐมองคนไม่เท่ากัน
นิมิตร์ เทียนอุดม: "เพราะวิธีคิดตั้งต้นของรัฐเริ่มจากความไม่เป็นธรรม" กับปัญหาในระบบหลักประกันสุขภาพฯ
นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี: หลักประกันสุขภาพฯ คือสิทธิที่ถอยหลังกลับไม่ได้

เสียงจากเครือข่าย 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' (ภาคใต้) ทำไมเราต้องปกป้อง?
เสียงจากเครือข่าย 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' (ภาคเหนือ) ทำไมเราต้องปกป้อง?
เสียงจากเครือข่าย 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' (ภาคตะวันตก) ทำไมเราต้องปกป้อง?
เสียงจากเครือข่าย 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' (ภาคกลาง) ทำไมเราต้องปกป้อง?
เสียงจากเครือข่าย 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' (ภาคตะวันออก) ทำไมเราต้องปกป้อง?

 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เสียงจากเครือข่าย ‘กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ’ (ภาคตะวันออก) ทำไมเราต้องปกป้อง?

Posted: 27 Dec 2017 03:33 AM PST

หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเป็นของคนไทยทุกคน มันช่วยชีวิตพวกเขาจากโรคภัยไข้เจ็บ และการล้มละลาย นี่คือสิ่งที่ผู้คนจากภาคต่างๆ ในเครือข่าย 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' คิดและเชื่อ คือคำตอบของคำถามว่า ทำไมพวกเขาเหล่านี้จึงต้องออกมาปกป้องระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า

ไปฟังเสียงของพวกเขา

สุภาวดี วิเวก จากกลไกศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพประชาชนภาคตะวันออก


หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าสำคัญอย่างไร ทำไมจึงต้องออกมาปกป้อง

หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเป็นเรื่องของรัฐสวัสดิการซึ่งทุกคนต้องหวงแหน เพราะเดิมเวลาเจ็บป่วยถ้าไม่มีเงินก็ต้องไปยืมเงินเป็นหนี้ เป็นสิน ขายไร่ ขายนา ปัจจุบัน ประชาชนเข้าถึงสิทธิมากขึ้น เราที่เป็นแกนนำก็อยากปกป้องสิทธินี้ไว้ คนยากคนจนก็สามารถเข้าถึงสิทธินี้ได้ เพราะมันมีทั้งคุณภาพและมาตรฐานมีคณะกรรมการตั้งแต่ระดับตำบลขึ้นไปจนถึงระดับประเทศและประชาชนได้เข้าไปมีส่วนร่วม

เราทำงานด้านราชการ แต่พอมาทำก็สามารถช่วยผลักดันนโยบายต่างๆ เราเข้าไปเป็นกรรมการระดับตำบลถึงระดับเขต การมีส่วนร่วมคิดร่วมทำร่วมตัดสินใจทำให้มีชุดสิทธิประโยชน์ใหม่ๆ จนปัจจุบันก็จะเป็นเรื่องไต เรื่องมะเร็ง เรื่องเอดส์ ผู้ป่วยเหล่านี้ที่เป็นผู้ป่วยเรื้อรังก็สามารถเข้าถึงยาได้มากขึ้น ต่อมาพอเราทำแล้วก็รู้สึกว่ามันควรจะขยายให้ครอบคลุมทั้งจังหวัด ก็ชวนเพื่อนให้ลองมาทำดู ปรากฏว่าเขาทำแล้วเขารู้สึกชอบ และจริงๆ เราไม่ได้ทำแค่เฉพาะจังหวัด แต่จังหวัดข้างเคียงก็ทำเพราะเป็นเครือข่ายกันทั้งประเทศ เราส่งข้อมูลให้กัน ช่วยเหลือกัน เป็นการทำงานเชื่อมโยงกันทั้งประเทศ
 

ปีที่ผ่านมามีการขับเคลื่อนอะไรบ้างเพื่อปกป้องระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า

เราไปช่วยเป็นตัวแทนในส่วนภาคประชาชน เข้าไปนั่งเป็นกรรมการในมาตรา 41 และกรรมการอื่นๆ หรือในส่วนโรงพยาบาล คนที่เข้ารับการรักษาและใช้สิทธิบัตรทองต้องใช้เวลาเป็นวันๆ กว่าจะได้รับการรักษา พอเราเข้าไปนั่งเป็นกรรมการ เราก็ไปสะท้อนปัญหาของประชาชน ในการสะท้อนของเราก็สะท้อนอย่างเป็นกลาง เป็นทั้งผู้ให้และผู้รับ เลยมองว่าเวลาเราเชื่อมกับหน่วยบริการในพื้นที่เพื่อให้คนเข้าถึงสิทธิมากขึ้น แล้วมีการพัฒนาร่วมกันเวลามีปัญหาเราก็จะเป็นตัวแทนฝั่งประชาชนเข้าไปนั่งและพูดถึงปัญหา แล้วเราก็นำสิ่งที่รับฟังมาจากผู้ให้บริการไปอธิบายให้ชาวบ้านเข้าใจ เวลาเกิดปัญหาเราจะเป็นตัวกลางในการผลักดันปัญหาให้ไปสู่การพัฒนาในระบบ ผลักดันตั้งแต่ในระบบพื้นที่ เขต ไปจนถึงส่วนกลาง


คิดว่าอะไรคือภัยคุกคามต่อระบบหลักประกันสุขภาพมากที่สุด

การแก้กฎหมาย ถ้าระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเปลี่ยนไป จากนี้จะทำให้ปัญหาของคนจนเข้าไม่ถึงสิทธิมากขึ้น กลับไปสู่วังวนเดิม ไม่ได้พัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ ในขณะที่นานาประเทศบอกว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่ทำระบบหลักประกันสุขภาพที่ดีมาก คิดว่ามันน่าจะพัฒนาต่อๆ ไป แต่ถ้าการแก้กฎหมายครั้งนี้ไม่ได้ฟังเสียงเล็กเสียงน้อย ทำไปตามใบสั่ง อันนี้อาจจะเกิดผลกระทบแน่นอน สิ่งที่เราผลักดันคือเรากำลังปกป้องเสียงของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการยื่นหนังสือหรือการรณรงค์
 

บุคคลแห่งปีของประชาไท ประจำปี 2017 นี้ มาเป็นทีม พวกเขาคือ 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' ซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันของผู้คนมากหน้าหลายตา ท่ามกลางความพยายามทำลายหลักการของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของรัฐบาล คสช.และรัฐราชการ 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' ออกมาเคลื่อนไหว เฝ้าระวัง ปกป้อง และยันสถานการณ์เอาไว้อย่างสุดกำลัง สำหรับสถานการณ์ในปีหน้าที่พอจะเห็นเค้าลางว่า หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าจะยิ่งเผชิญการคุกคามที่หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ คงไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่า 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' กำลังยืนขวางระหว่างรัฐบาลและกลุ่มคนที่ต้องการทำลายกับผู้คน 48 ล้านคนที่ได้รับการดูแลหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และคอยย้ำเตือนว่าการรักษาพยาบาลคือสิทธิของประชาชนที่รัฐไม่อาจพรากมันไปได้



บุคคลแห่งปี 2017: 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' ภูมิคุ้มกันสวัสดิการสุขภาพเพื่อทุกคน
บุญยืน ศิริธรรม: ประวัติศาสตร์หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าภาคประชาชน
กรรณิการ์ กิจติเวชกุล: ภัยคุกคามที่สุดต่อระบบหลักประกันสุขภาพฯ คือการที่รัฐมองคนไม่เท่ากัน
นิมิตร์ เทียนอุดม: "เพราะวิธีคิดตั้งต้นของรัฐเริ่มจากความไม่เป็นธรรม" กับปัญหาในระบบหลักประกันสุขภาพฯ
นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี: หลักประกันสุขภาพฯ คือสิทธิที่ถอยหลังกลับไม่ได้

เสียงจากเครือข่าย 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' (ภาคใต้) ทำไมเราต้องปกป้อง?
เสียงจากเครือข่าย 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' (ภาคเหนือ) ทำไมเราต้องปกป้อง?
เสียงจากเครือข่าย 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' (ภาคตะวันตก) ทำไมเราต้องปกป้อง?
เสียงจากเครือข่าย 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' (ภาคกลาง) ทำไมเราต้องปกป้อง?
เสียงจากเครือข่าย 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' (ภาคอีสาน) ทำไมเราต้องปกป้อง?

 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

#MeToo ฉบับชาวไร่ เมื่อแรงงานภาคเกษตรในสหรัฐฯ จัดตั้งกลุ่มต้านละเมิดทางเพศ

Posted: 27 Dec 2017 03:07 AM PST

กระแส #MeToo กลายเป็นหนึ่งในการเคลื่อนไหวทางสังคมที่แพร่ขยายเป็นวงกว้างในช่วงปีที่ผ่านมา เริ่มจากการที่ผู้คนในวงการบันเทิงออกมาเปิดโปงเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศที่เกิดจากการใช้อำนาจในระบบชายเป็นใหญ่ ตามมาด้วยวงการอื่นๆ สื่อสหรัฐฯ Truth-out นำเสนออีกหนึ่งวงการที่พูดถึงเรื่องนี้กันมาก่อนหน้าคือกลุ่มคนทำงานในไร่นาของอเมริกันและนำเสนอว่าพวกเขามีระบบจัดการเคลื่อนไหวต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศอย่างไร


By Wolfmann (Own work) [CC BY-SA 4.0], via Wikimedia Commons

27 ธ.ค. 2560 ลูเป กอนซาโล อาจจะไม่ใช่ดาราดังของฮอลลิวูด แต่เธอก็เรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้กับปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็น #MeToo ชาวไร่ เธอเป็นแรงงานข้ามชาติที่ทำงานในไร่มะเขือเทศ บนพื้นที่ชุมชนอิมโมคาลี รัฐฟลอริดา เธอบอกว่าผู้หญิงอย่างเธอไม่มีเวทีให้พูด เป็นคนธรรมดาเสียงไม่ดัง รู้สึกไร้ตัวตนและขาดโอกาส อย่างไรก็ตาม เธอก็สามารถรวมกลุ่มผู้ที่ประสบปัญหาถูกล่วงละเมิดทางเพศในที่ทำงานเพื่อต่อสู้กับปัญหานี้ได้

"แน่นอนว่า มันเป็นเรื่องสำคัญมากที่จะให้ความสนใจกับความเจ็บปวดของผู้หญิงทุกคน โดยเฉพาะผู้หญิงที่ทำงานในอุตสาหกรรมและอยู่ในสังคมที่ไม่ได้รับการคุ้มครอง ไม่มีสิทธิขั้นพื้นฐาน ในที่ๆ การล่วงละเมิดแพร่ไปทั่ว" กอนซาโล กล่าวต่อสื่อ Truth-out คนทำงานในไร่อย่างพวกเธอก็ต้องเผชิญกับการล่วงละเมิดทางเพศในที่ทำงานเช่นกัน นั่นทำให้พวกเธอเริ่มพยายามจัดตั้งโครงการเพื่อรักษาสิทธิของตัวเอง

กลุ่มชาวไร่กว่า 5,000 ชีวิตรวมตัวกันเป็นสหพันธ์คนงานแห่งอิมโมคาลี (CIW) พวกเขาส่วนใหญ่เป็นคนงานข้ามชาติที่มาจากเม็กซิโก กัวเตมาลา และเฮติ ใช้เวลามากกว่า 20 ปีในการต่อสู้กับการใช้แรงงานทาสสมัยใหม่ในไร่มะเขือเทศ ในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 2000  พวกเขาเป็นหนึ่งในกลุ่มแรงงานที่ถูกกดขี่มากที่สุดนสหรัฐฯ พวกเขาต่อสู้กับบรรษัทใหญ่อย่างทาโกเบลล์และยัมแบรนด์ หลังจากที่บอยคอตต์ทาโกเบลล์เป็นเวลา 4 ปี CIW ก็สามารถเอาชนะและทำให้มีค่าแรงกับสภาพการจ้างงานที่ดีขึ้นได้

พวกเขายังได้จัดตั้งโครงการแฟร์ฟู้ดในปี 2554 ที่ทำให้บรรษัทอาหารยักษ์ใหญ่ทำตามข้อเรียกร้องของคนงานในการทำให้สถานที่ทำานปลอดการใช้ความรุนแรง การคุกคาม การใช้แรงงานทาส รวมถึงการล่วงละเมิดทางเพศด้วย โดยขอให้มีการเปิดฮอตไลน์สายด่วนให้คนงานสามารถร้องเรียนการกระทำผิดเหล่านี้ได้ตลอด 24 ชม. รวมถึงยังมีเรื่องเกี่ยวกับการให้การศึกษากันเองในหมู่แรงงานด้วย โดยที่กอนซาโลเรียกระบบนี้ว่าเป็นการให้คนงานสอดส่องดูแลเพื่อปกป้องสิทธิด้วยตัวเอง

กอนซาโลเปิดเผยว่าอุตสาหกรรมที่กดขี่และกฎหมายผู้อพยพที่รุนแรงทำให้คนทำงานในไร่เหล่านี้เสี่ยงมากต่อการถูกใช้ความรุนแรงทางเพศ การที่คนงานบางส่วนพูดได้แต่ภาษาแม่ของตัวเองยังทำให้เกิดกำแพงภาษาในการสื่อสารเรื่องของตนเอง ขณะที่บางคนก็ไม่ได้มีเอกสารรับรองทำให้ไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย

ฮิวแมนไรท์วอทช์เคยรายงานผลสำรวจเมื่อปี 2555 พบว่าหญิงแรงงานข้ามชาติที่ทำงานในไร่นาในสหรัฐฯ ถูกข่มขืนและล่วงละเมิดทางเพศในที่ทำงานสูงมาก และการที่ร้อยละ 70 ของพวกเขาไม่มีเอกสารรับรองทำให้กลัวถูกลงโทษหรือส่งตัวกลับประเทศจึงร้องเรียนเรื่องของตัวเองไม่ได้ นายจ้างจึงฉวยโอกาสกับพวกเธอได้โดยลอยนวลพ้นผิด ในงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในปี 2553 ระบุว่าแรงงานหญิงชาวเม็กซิกันที่ทำงานในฟาร์มในรัฐแคลิฟอร์เนียเคยถูกล่วงละเมิดทางเพศร้อยละ 80

ช่วงที่มีกระแสการเปิดโปงการล่วงละเมิดทางเพศในปีนี้ องค์กรแคมเปซินาสำหรับแรงงานเกษตรกรรมหญิงเขียนจดหมายเปิดผนึกถึงฮอลลีวูดว่าในฐานะตัวแทนของผู้หญิง 700,000 คนที่ทำงานในไร่นาทั่วสหรัฐฯ พวกเธอไม่ได้ทำงานภายใต้แสงสว่างจ้าหรือบนจอยักษ์ พวกเธอทำงานอยู่ในซอกหลืบของสังคม ในท้องไร่และโรงบรรจุภัณฑ์ อยู่นอกสายตาผู้คนส่วนใหญ่ในประเทศ แต่ถึงกระนั้นพวกเธอก็ประสบปัญหาเดียวกันกับดาราฮอลลีวูดเหล่านั้นจากการที่คนมีอำนาจบีบเค้นทางเศรษฐกิจ ร่างกายและจิตใจ ให้พวกเธอถูกล่วงละเมิด

กลุ่มแรงงานข้ามชาติเหล่านี้ยังมีการให้ความรู้เรื่องปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศในระดับคนงานด้วยกันเองผ่านโครงการแฟร์ฟู้ด หนึ่งในคนงานชาวเม็กซิกัน เนลี รอดริดจ์ อธิบายว่าเมื่อหัวหน้างานเรียกร้องให้ใครก็ตามมีเพศสัมพันธ์ด้วยเพื่อแลกกับงานนั่นก็ถือเป็นการล่วงละเมิดทางเพศ รวมถึงการพูดจาเชิงหยาบโลนล่วงล้ำ นอกจากนี้ยังมีการเสริมพลังให้พวกเธอสามารถพูดเรื่องเหล่านี้ออกมาเพื่อปกป้องสิทธิและเรียกร้องการคุ้มครองในที่ทำงานของตัวเองได้

ทั้งนี้ในช่วงเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา CIW ยังเปิดให้มีพิพิธภัณฑ์เคลื่อนที่ชื่อ "เก็บเกี่ยวอย่างไร้ความรุนแรง" โดยมีการเน้นให้เห็นถึงปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศภายใต้อุตสาหกรรมอาหารยักษ์ใหญ่เช่นเวนดีส์ ที่ยังไม่ยอมเข้าร่วมโครงการแฟร์ฟู้ดของพวกเขา รอดริดจ์กล่าวว่าการให้ความรู้และการขยายกิจกรรมออกไปภายนอกทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม คนงานเกษตรกรรมชายก็เริ่มเข้ามามีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงด้วยการช่วยเหลือต่อสู้เพื่อหยุดการล่วงละเมิดทางเพศกับแรงงานภาคเกษตร

นอกจากภาคการเกษตรแล้ว กลุ่มคนงานค่าแรงขั้นต่ำในที่อื่นๆ ของสหรัฐฯ ก็เริ่มออกมาพูดต่อต้านความรุนแรงทางเพศด้วยเช่นกัน แดเนียลา คอนเทรราส จากสหพันธ์แรงงานคนทำงานบ้านแห่งสหรัฐฯ กล่าวว่าการที่เธอได้เล่าเรื่องของเธอเองทำให้เกิดการสร้างพื้นที่ให้แรงงานคนทำงานบ้านได้ก้าวออกมาพูดเรื่องของตนเองและทำให้สังคมมองเห็นคุณค่าของแรงงานค่าแรงต่ำ ผู้อพยพ และหญิงผิวดำ

อนา โอรอซโก ฝ่ายจัดตั้งด้านสตรีนิยมและความเป็นธรรมทางเพศสภาพขององค์กรสหพันธ์ความยุติธรรมกล่าวว่ามันเป็นเรื่องสำคัญที่ #MeToo จะนำสู่การเคลื่อนไหว ไม่ใช่แค่เพียงกระแสชั่ววูบ นั่นหมายถึงต้องมีการรับฟังผู้คนระดับล่างๆ ที่ต้องเผชิญกับอุปสรรคในชีวิตประจำวันด้วย

รอดริดจ์กล่าวว่าสมาชิกของ CIW จะดำเนินการต่อไปโดยอาศัยโครงการแฟร์ฟู้ดในการทำให้คนทลายกรอบวัฒนธรรมความเงียบและความกลัวและทำให้คนมีพลังในการที่จะพูดออกมา

 

เรียบเรียงจาก

#MeToo in the Fields: Farmworkers Show Us How to Organize Against Sexual Violence, Truth-Out, 25-12-2017
http://www.truth-out.org/news/item/43016-metoo-in-the-fields-farmworkers-show-us-how-to-organize-against-sexual-violence

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เพื่อไทยยื่นศาลรธน. ตีความคำสั่ง คสช. 53/2560 ด้านประชาธิปัตย์เตรียมยื่นเช่นกัน

Posted: 27 Dec 2017 01:48 AM PST

เรื่องไกร ลีกิจวัฒนะ ฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทยยื่นคำร้องขอศาล รธน. ตีความคำสั่งหัวหน้าคสช. 53/2560 ปมรีเซตสมาชิกพรรคการเมือง ขัด รธน. หรือไม่ ด้านอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เผย เตรียมยื่นเช่นกัน หากฝ่ายกฎหมายพบปัญหา พร้อมเตือนผู้มีอำนาจอย่าเดินซ้ำรอยระบอบทักษิณ ใช้อำนาจรัฐเพื่อพวกพ้วง

27 ธ.ค. 2560 เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการกระทำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กรณีออกคำสั่งคสช. ที่ 53/2560 เรื่องการดำเนินการตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ(พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง เป็นการกระทำที่จำกัดสิทธิหรือเสรีภาพบุคคลที่เป็นสมาชิกพรรคการเมืองหรือไม่ เป็นการกระทำที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 45 ประกอบมาตรา 77 วรรคสอง  และการออกคำสั่งดังกล่าวเป็นการกระทำอันต้องห้ามตามความในมาตรา 5 หรือไม่  นอกจากนี้ยังขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้คำสั่ง คสช.ที่ 53/2560  สิ้นผลไป โดยไม่มีผลใช้บังคับได้มาตั้งแต่แรก หรือเสมือนไม่เคยมีคำสั่งดังกล่าว

"การที่คำสั่งดังกล่าวเป็นการบังคับให้สมาชิกพรรคการเมืองจะต้องทำหนังสือยืนยันการเป็นสมาชิกเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก ซึ่งมีทั้งการเขียนเป็นเอกสาร และต้องส่งหลักฐานประกอบนั้น ประชาชนสามารถทำได้หรือไม่ เป็นการละเมิดสิทธิเขาหรือไม่ เพราะในความเป็นจริงแล้วควรจะเป็นหน้าที่ของพรรคการเมืองตรวจสอบว่าสมาชิกพรรคมีคุณสมบัติหรือขาดคุณสมบัติ ไม่ใช่เรื่องที่จะเป็นภาระของสมาชิกพรรคการเมือง ดังนั้น การออกคำสั่งดังกล่าวขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 45 ที่ห้ามคนที่ไม่ใช่สมาชิกพรรคการเมืองมาสั่งการพรรคการเมือง" เรืองไกร กล่าว

เรืองไกร กล่าวว่า คำสั่งนี้ยังขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 77 วรรคสองด้วย เพราะไม่ได้รับฟังความคิดเห็นจากสมาชิกพรรคการเมืองก่อน จึงมาร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้มีคำสั่งให้คำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 53/2560 สิ้นผลไป ไม่เช่นนั้นจะมีการใช้อำนาจตามมาตรา 44 ออกคำสั่งลบล้างกฎหมายหรือออกเป็นกฎหมายโดยไม่ผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติ  อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยยกเลิกคำสั่งหรือประกาศคณะปฏิวัติที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายมาแล้วหลายฉบับ  ครั้งนี้จึงมาขอพึ่งศาลรัฐธรรมนูญ

ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการรีเซตสมาชิกพรรคการเมือง เพื่อเอื้อประโยชน์ให้พรรคทหารหรือไม่ เรืองไกร กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ ส่วนจะเอื้อใครหรือไม่ไม่ทราบ ซึ่งเรื่องดังกล่าวแม้จะดูเหมือนว่าเป็นประโยชน์ต่อพรรคการเมืองเก่า แต่กลับทำให้เกิดภาระกับพรรคการเมืองเก่าในการยืนยันการเป็นสมาชิกพรรคการเมือง แต่เป็นเรื่องง่ายสำหรับพรรคการเมืองใหม่

ขณะที่อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายของพรรคพิจารณาข้อกฎหมายว่าคำสั่งคสช.ที่ 53/2560 เรื่องการดำเนินการตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ว่ามีเนื้อหาใดที่เข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งจะทราบผลหลังปีใหม่ว่าจะยื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยหรือไม่ ทั้งนี้ การจะยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญต้องมีเหตุผลข้อเท็จจริงที่เข้าข่ายยื่นได้ ซึ่งเท่าที่เห็นคำสั่งคสช. เป็นคำสั่งที่ยาวเป็นพิเศษและเนื้อหาขัดกันในตัว มีความไม่ชัดเจนหลายเรื่อง ฝ่ายกฎหมายกำลังดูในรายละเอียดถึงผลที่เกิดขึ้น

"ถ้าเข้าเงื่อนไขที่ขัดรัฐธรรมนูญก็มีความเป็นไปได้ที่จะยื่นศาลรัฐธรรมนูญ โดยต้องดูว่ากระทบสิทธิของบุคคลหรือไม่ ซึ่งเจ้าตัวคนที่ได้รับผลกระทบต้องเป็นผู้ยื่น การจะยื่นศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ ไม่ใช่ความต้องการส่วนตัว ยื่นไปก็ต้องมีน้ำหนักพอที่จะยื่นได้ ไม่ยื่นพร่ำเพรื่อหรือยื่นไปอย่างนั้นเพื่อให้มีคดีแน่นอน และเมื่อมีเหตุยื่นได้ก็อยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยอย่างไร โดยจะดูข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมา ถ้าไม่มีเหตุยื่นก็ไม่ยื่นแน่นอน แต่ถ้ายื่นต้องมีน้ำหนักให้ศาลพิจารณา" หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว

อภิสิทธิ์  กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีปัญหาดำเนินการตามกฎหมาย กติกาเขียนอย่างไรก็พยายามปฏิบัติ และยังไม่เห็นอุปสรรค มีแต่พรรคตั้งใหม่บ่น เพราะกระทบจากการที่คสช.ไม่ปลดล็อค อย่างไรก็ตาม การออกคำสั่งคสช.ครั้งนี้ไม่ใช่ปลดล็อค แต่เป็นการเพิ่มล็อค ทำให้ช้าไปอีกสามเดือนจนเป็นปัญหากับพรรคใหม่ ขอยืนยันว่าพวกตนไม่ติดใจที่จะมีพรรคการเมืองใหม่เกิดขึ้น เพราะเป็นประชาธิปไตย ยอมรับการแข่งขันตลอดเวลา แต่ขอให้แข่งขันด้วยการสร้างศรัทธาไม่ใช่เอาเครื่องมือต่าง ๆ มาทำลายคนอื่น

หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า คำสั่งคสช.ที่ออกมาเหมือนไม่เข้าใจโรดแมปของตัวเอง ทั้ง ๆ ที่ประธานกรธ. ซึ่งเป็นหนึ่งในแม่น้ำห้าสายรู้ว่าต้องออกกฎหมายสี่ฉบับจากนั้นเหลือเวลา 150 วัน ต้องจัดการเลือกตั้งจึงรีบผลักดันให้กฎหมายกกต.และพรรคการเมืองบังคับใช้ก่อน เพื่อให้มีเวลาปรับตัวให้ทุกคนเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งได้ เป็นสิ่งที่คิดอย่างดีและรอบคอบแล้ว แต่คำสั่งนี้เหมือนไม่เข้าใจตัวเอง เท่ากับต้องทำหลายอย่างซ้อนกัน จึงเป็นการแก้ปัญหาให้กับบางคนมากกว่าการแก้ปัญหาอย่างถูกจุด

 "ถ้าคิดใช้อำนาจรัฐเพื่อเอื้อประโยชน์ทางการเมือง ก็เดินกลับสู่ยุคระบอบทักษิณ จะหวังอะไรกับการปฏิรูปและธรรมาภิบาล ถ้ามีปัญหาพรรคใหม่ก็หาทางแก้ไป แต่ถ้าเมื่อไหร่ใช้อำนาจรัฐที่เบ็ดเสร็จพิเศษไม่สามารถตรวจสอบถ่วงดุลได้ บ้านเมืองเสียหาย ส่วนรวมเสียหาย บรรทัดฐานสำหรับอนาคตก็เสียหาย คนทำต้องรับผิดชอบ หากยึดหลักธรรมาภิบาลต้องโปร่งใส ตรงไปตรงมา รับผิดชอบ มีประสิทธิภาพ ลองไปดูว่าสิ่งที่รัฐบาลทำเข้าเกณฑ์เหล่านี้หรือไม่ การใช้อำนาจเบ็ดเสร็จไม่ควรใช้พร่ำเพรื่อ ควรทำในเรื่องใหญ่ ๆ ทำแล้วไม่ต้องเปลี่ยนซ้ำแล้วซ้ำอีกและไม่เอื้อประโยชน์ใคร เรื่องได้เปรียบเสียเปรียบพรรคประชาธิปัตย์ไม่กังวล เพราะสู้ในสถานการณ์เสียเปรียบมาหลายรูปแบบ จึงไม่โวยวายหรือร้องขอ แต่ที่พูดต้องการรักษาหลักการบ้านเมือง ถ้าเสียเปรียบจากหลักการที่ถูกต้องพรรคยินดี แต่ถ้าไม่ถูกต้องไม่เป็นธรรมาภิบาลก็ต้องคัดค้าน ไม่ว่าจะได้เปรียบหรือเสียเปรียบ" อภิสิทธิ์ กล่าว

หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ปริญญา เทวานฤมิตกุล รองอธิการบดีมาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิเคราะห์ว่าคำสั่งดังกล่าวมีผลทำให้ส.ส.ย้ายพรรคได้โดยไม่ต้องลาออกจากพรรคเดิม ทำได้โดยไม่ยืนยันการเป็นสมาชิก เสมือนเป็นการเซ็ตซีโรส.ส.ว่า คงสะดวกขึ้น แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะไม่ว่าจะเป็นใคร อยากอยู่พรรคใหม่ ไปลาออกก็ไม่มีใครห้ามได้อยู่แล้ว แต่กรณีนี้อาจจะช่วยคนที่ไม่กล้าสู้หน้าที่จะมาลาออกเท่านั้น 

"หากมีการใช้อำนาจรัฐจนทำให้การเลือกตั้งไม่เที่ยงธรรม ประเทศชาติจะเสียหาย ติดหล่มกับประชาธิปไตยที่เดินหน้าไม่ได้ ที่ผ่านมาเราคาดหวังมาตลอดว่าภายใต้การปฏิรูปประเทศเราจะได้ระบบการเมืองที่ดี สภาและรัฐบาลที่ดี ถ้าไม่สามารถนับหนึ่งจากการเลือกตั้งที่เที่ยงธรรมได้ก็ไม่ถึงเป้าหมาย จึงขอว่าอย่าเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ประโยชน์ส่วนพวก ขอให้คิดถึงระยะยาว ประเทศมีปัญหามาตลอดเพราะไม่คิดถึงหลักการและธรรมาภิบาล" อภิสิทธิ์ กล่าว

 

ที่มาจาก; สำนักข่าวไทย 1 , 2

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ACT เปิด 10 ประเด็นคอร์รัปชันปี 60 ที่คนไทยยังต้องเฝ้าจับตา

Posted: 26 Dec 2017 11:43 PM PST

องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ เปิด 10 ประเด็นคอร์รัปชัน ตั้งแต่ทุจริตที่เกี่ยวกับคนใกล้ชิดรัฐบาล ส่วยภูเก็ต อภิสิทธิ์ชนกับการบังคับใช้กฎหมายไม่เป็นธรรม ไปจนถึง การปฏิรูปตำรวจ กฎหมาย ป.ป.ช. ฉบับใหม่ และกฎหมายปราบโกงที่หายไป ฯลฯ

27 ธ.ค.2560 เฟซบุ๊กองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) เผยแพร่ 10 อันดับประเด็นคอร์รัปชันในสังคมไทย พร้อมเชิญชวนให้สังคมได้ร่วมแชร์ ความคิดเห็นและข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในประเด็นต่าง ๆ เพื่อนำเสนอรัฐบาล ในการร่วมแก้ไขปัญหาต่อไป โดยกำหนดว่าผู้สนใจสามารถร่วมแสดงความคิดเห็นสามารถส่งมาทางช่องทางออนไลน์ต่างๆ เช่น เฟซบุ๊ก และไลน์แอด ขององค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ ในช่วง 28 ธ.ค. 60 - 15 ม.ค. 61 นี้

สำหรับ 10 ประเด็น จับตาคอร์รัปชัน ที่องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ จัดขึ้นนั้นประกอบด้วย 

1. การทุจริตที่เกี่ยวกับคนใกล้ชิดรัฐบาล

การแสดงบัญชีทรัพย์สินของรัฐมนตรีตามกฎหมาย ป.ป.ช. (กรณีแหวนและนาฬิกาหรู) การซื้อเครื่องตรวจจับความเร็วรถยนต์แบบมือถือ การเหมาเที่ยวบินไปประชุมที่ฮาวาย การอนุมัติให้เอกชนใช้ป่าชุมชนไปสร้างโรงงานและอีกหลายเหตุการณ์ที่ตกเป็นข่าวในช่วงที่ผ่านมา แต่การชี้แจงจากผู้เกี่ยข้องหลายกรณียังขาดความชัดเจน ตรงไปตรงมาและไม่ทันท่วงที จึงเป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์หาความจริงต่อไป

2. ส่วยภูเก็ต

ส่วยและสินบนยังเป็นปัญหารุนแรงที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ กล่าวกันว่าเราสามารถเจอคอร์รัปชันทุกรูปแบบที่มีในประเทศไทยได้ที่จังหวัดนี้ ดังนั้นหากรัฐบาลทุ่มเทขจัดปัญหาคอร์รัปชันที่ภูเก็ตให้สำเร็จได้ ก็สามารถนำไปมาตรการเหล่านั้นไปปราบคอร์รัปชันในทุกจังหวัดได้เช่นกัน

3. คดีเงินทอนวัด เงียบและไม่คืบหน้า

เป็นพฤติกรรมคอร์รัปชันที่สั่นคลอนความรู้สึกของคนไทย เพราะมีอัตราสินบนแต่ละครั้งมากถึงร้อยละ 85 อีกทั้งมีผู้เกี่ยวข้องที่เป็นพระชั้นผู้ใหญ่และข้าราชการสำนักพระพุทธศาสนาจำนวนมาก แต่ขณะนี้ดูเหมือนไม่มีความคืบหน้าทางคดี ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลพฤติกรรมการทุจริตอย่างชัดเจน ทำให้สังคมเกรงว่าเรื่องจะเงียบหายไปในที่สุด

4. คดีสินบนโรลล์ รอยส์

การทุจริตข้ามชาติที่เกี่ยวโยงกับรัฐวิสาหกิจชั้นนำอย่าง การบินไทย ปตท. และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค แน่นอนว่าคดีอย่างนี้ต้องมีนักการเมืองใหญ่ระดับชาติเป็นผู้บงการ แม้ว่าบริษัทโรลส์ รอยส์ผู้จ่ายสินบนจะถูกทางการอังกฤษสอบสวนดำเนินคดีมากว่าสี่ปี และเรื่องเพิ่งมาถูกเปิดเผยในประเทศไทยได้ประมาณปีเศษ ถึงวันนี้เรายังไม่เห็นความคืบหน้าจาก ป.ป.ช. อัยการ และ ป.ป.ง. ว่าคดีไปถึงไหน ทำไมจึงยังไม่ได้รับข้อมูลจากต่างประเทศ สรุปว่าจะเอาคนโกงมาลงโทษได้หรือไม่

5. คดีทุจริตสวนปาล์มน้ำมัน ของ ปตท. ที่ประเทศอินโดนีเซีย

การขาดทุนที่ประมาณว่ามากกว่าสองหมื่นล้านบาท จากการนำเงินไปลงทุนใน โครงการสวนปาล์มที่อินโดนีเซีย ของ ปตท. เชื่อว่าจะมีผู้เกี่ยวข้องที่เป็นนักการเมืองระดับชาติผู้กุมอำนาจเบื้องหลังรัฐวิสาหกิจแห่งนี้อย่างยาวนานร่วมกับอดีตผู้บริหารระดับสูง ถึงวันนี้นอกจากจะยังไม่มีการระบุตัวคนโกงหรือคดีไปถึงไหน แต่สื่อมวลชนที่พยายามเกาะติดและเปิดโปงเบื้องหลังกำลังโดนคุกคามจากการสืบเสาะหาข้อมูลมาเปิดเผยต่อสาธารณะ

6. การปฏิรูปตำรวจยังอึมครึม

ตำรวจเป็นหน่วยราชการอันดับต้นๆ ที่ถูกระบุว่ามีการคอร์รัปชันมาก ทำให้ความยุติธรรมในสังคมถูกบิดเบือน ดังนั้นประชาชนจึงคาดหวังที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของตำรวจ แต่นอกจากข่าวตามสื่อมวลชนแล้ว สังคมกลับไม่เคยได้รับรู้ "แนวทางการปฏิรูปตำรวจ" หรือความคืบหน้าใดๆอย่างเป็นทางการเลย

7. อภิสิทธิ์ชนกับการบังคับใช้กฎหมายไม่เป็นธรรม

ข่าวการหลบหนีหรือไม่ถูกนำตัวขึ้นศาลดำเนินคดีของนักการเมืองและคนโกงที่ร่ำรวยหรือมีอิทธิพล เพราะสามารถติดสินบนเจ้าหน้าที่เพื่อแลกกับการช่วยเหลือเป็นพิเศษ หรือบางรายถ้าต้องติดคุกก็สามารถซื้อหาอภิสิทธิ์ได้ เช่น การได้ไปอยู่ในสถานพยาบาล การได้เลื่อนชั้นนักโทษ ลดโทษ พักโทษและได้รับอภัยโทษเร็วขึ้น เหล่านี้ล้วนเป็นประเด็นที่ต้องจับตาและหาทางแก้ไข เพื่อให้ประชาชนมั่นใจว่า คนโกงต้องได้รับการลงโทษ

8. กฎหมาย ป.ป.ช. ฉบับใหม่

ป.ป.ช. เป็นองค์กรหลักในการต่อต้านคอร์รัปชัน แต่ความมีประสิทธิภาพและความเป็นธรรมในการใช้อำนาจยังเป็นเรื่องที่ถูกตั้งคำถามจากสังคมตลอดมา โดยในการแก้ไขกฎหมายครั้งล่าสุดนี้ก็ยังมีข้อกังขาเกี่ยวกับบทบาทอำนาจและวิธีปฏิบัติงานที่ลดความเข้มข้นลงหลายประเด็น รวมทั้งการแก้ไขบทเฉพาะกาลเพื่อต่ออายุการดำรงตำแหน่งกรรมการ ป.ป.ช. ที่ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ

9. รัฐธรรมนูญ มาตรา 63

มาตรานี้เป็นหัวใจของรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง ที่กำหนดให้รัฐต้องให้การสนับสนุนประชาชนในการรวมตัวกันต่อต้านคอร์รัปชันโดยได้รับการปกป้องจากรัฐ โดยก่อนหน้านี้รัฐบาลมอบหมายให้ ป.ป.ท. ไปดำเนินการร่างกฎหมายขึ้นมาฉบับหนึ่ง แต่เมื่อร่างเสร็จแล้วกลับไม่ใช้ หากแต่ให้นำหลักการทำนองเดียวกันไปเขียนเพิ่มเติมไว้ในกฎหมาย ป.ป.ช. จำนวน 4 มาตรา และเขียนเพิ่มเติมในกฎหมาย ป.ป.ท. อีก 8 มาตรา ซึ่งวิธีการนี้นอกจากจะไม่เข้มข้นครอบคลุมเมื่อเทียบกับการมีกฎหมายเฉพาะแล้ว ยังอาจเป็นวิธีการที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 278 ได้

10. กฎหมายปราบโกงที่หายไป

อนาคตที่ไม่ชัดเจนของ พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารสาธารณะ (พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารฯ 2540 เดิม) และ พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม ทั้งๆ ที่กฎหมายนี้เป็นเครื่องมือสำคัญในการเอาชนะคอร์รัปชันที่ได้รับการเห็นชอบจาก สปช. และ สปท. รวมทั้งอยู่ในแผนของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศฯ แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่รู้ว่าเรื่องไปถึงไหน รัฐบาลจะสนับสนุนจริงจังหรือไม่ และจะดำเนินการอย่างไรต่อไป

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

หวั่นแรงงานกัมพูชาถูกละเมิดสิทธิ หลัง MOU ส่งแรงงานก่อสร้างไปกาตาร์

Posted: 26 Dec 2017 08:18 PM PST

กลุ่มภาคประชาสังคมออกมาแสดงความกังวลเกี่ยวกับสภาพชีวิตแรงงานก่อสร้างในประเทศการ์ตา หวั่นถูกละเมิดสิทธิ์แม้กัมพูชามีแรงงานถูกส่งไปแถบตะวันออกกลางมาแล้วอย่างต่อเนื่อง ด้านกระทรวงแรงกัมพูชาระบุแม้จะลงนาม MOU แต่ข้อตกลงยังไม่มีผลในทางปฏิบัติ

ที่มาภาพประกอบ: wikimedia.org

เว็บไซต์ khmertimeskh.com รายงานว่าเมื่อวันที่ 24 ธ.ค. 2560 ที่ผ่านมาในงานเสวนาเกี่ยวกับความปลอยภัยของแรงงานข้ามชาติในงานประเภทก่อสร้าง โดยเป็นการร่วมจัดระหว่างศูนย์กลางกลุ่มสิทธิแรงงาน (labour rights group Central) และสมาพันธ์สหภาพแรงงานสร้างตึกและอุตสาหกรรมไม้แห่งกัมพูชา (Building and Wood Workers Trade Union Federation of Cambodia: BWTUFC) เพื่อให้แรงงานทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเดินทางออกไปทำงานต่างประเทศอย่างปลอดภัย โดยมีคนงานก่อสร้างเข้าร่วมเสวนากว่า 60 ชีวิต

Dy Thehoya เจ้าหน้าที่โครงการจากศูนย์กลางกลุ่มสิทธิแรงงานอธิบายว่าในปี 2559 ทางประเทศกาตาร์ได้แจ้งมายังกระทรวงแรงงานกัมพูชาว่ามีความต้องการแรงงานชาวกัมพูชา 33,000 คน เพื่อไปทำงานในไซต์งานก่อสร้างของกาตาร์ จึงเป็นการกระตุ้นให้ภาคประชาสังคมออกมาแสดงความกังวล เกี่ยวกับสภาพความเป็นอยู่แรงงานในกาตาร์

"เรายังไม่รู้แน่ชัดว่าจะมีการส่งแรงงานกัมพูชาไปทำงานที่กาตาร์จริงหรือไม่ แต่ถึงอย่างไรเราได้จัดงานเสวนานี้ขึ้นมาเพื่อให้พวกเขารับรู้รายละเอียดและสามารถค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการทำงาน ก่อนตัดสินใจเดินทางไปทำงานได้" Thehoya กล่าว ทั้งยังเสริมอีกว่ามีหลายกรณีที่แรงงานจากประเทศอย่างเนปาลต้องทนทุกข์อยู่กับการถูกละเมิดสิทธิในกาตาร์

"คนงานจากเนปาลต้องทนทุกข์ในกาตาร์ หลายคนถึงกับต้องเสียชีวิต ดังนั้นเราจึงต้องการแบ่งปันข้อมูลเหล่านี้ให้กับพวกเขาได้รับรู้"

Yan Thy เลขาธิการ BWTUFC มองว่าแรงงานบางคนไม่เข้าใจถึงปัญหาที่จะตามมา พวกเขาตกลงไปทำงานโดยไม่ได้ไตร่ตรอง เมื่อใครมีการเสนอคำสัญญาว่าจะจ่ายค่าแรงงที่สูงแก่พวกเรา

"ทำงานในชุมชนดีกว่าเดินทางออกไปทำงานในต่างประเทศ" เขากล่าว "เพราะพวกเขาไม่รู้แน่ชัดเกี่ยวกับสภาพการทำงานที่กาตาร์ เราหวังว่างานเสวนานี้จะเตือนให้พวกเขาฉุดคิดว่าเขาควรจะไปทำงานหรือไม่"

โดยรัฐมนตรีกระทรวงแรงงานของกัมพูชาได้ออกมายืนยันว่า ถึงแม้ทางการจะได้ลงนามข้อตกลง MOU ในการจัดส่งแรงงานให้ทางกาตาร์แล้ว แต่ข้อตกลงนั้นยังไม่มีผลในทางปฏิบัติแต่อย่างใด

ข้องตกลงดังกล่าวที่ได้ลงนามกันไปนั้น ซึ่งเริ่มแรกทางรัฐบาลกาตาร์แจ้งความต้องการแรงงานมากถึง 100,000 คน จนได้ข้อตกลงระหว่างกาตาร์และกัมพูชาวว่าแรงงานชาวกัมพูชา 33,000 คน จะถูกส่งไปทำงานตามโครงการต่าง ๆ ในกาตาร์ รวมถึงในโครงการฟุตบอลโลก 2022 ที่จะจัดขึ้นที่กรุงโดฮาเมืองหลวงของกาตาร์ด้วย

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น