ประชาไท | Prachatai3.info |
- คุยกับ ‘กฤษกร ศิลารักษ์’ ชีวิต วิธีคิดและความในใจของผู้ถูกเรียก ‘ปรับทัศนคติ’ 18 ครั้ง
- ใบตองแห้ง: เกี่ยวก้อยกิมมิค
- 1968: ปีเปลี่ยนโลก
- ของเก่าเก็บ? ตรวจบัญชีทรัพย์สินย้อนหลังไม่พบ 'ประวิตร' ยื่นรายการ นาฬิกาหรู ให้ ป.ป.ช.
- วงเสวนาสื่อฯ เผยการทำงานในภาวะไร้สิทธิฯ เป็นหนทางหายนะของอาชีพสื่อ
- สัมภาษณ์ 15 นาทีรู้ผล กกต. ใหม่ ได้แล้ว 5+1 รายชื่อ
- ผบ.ทสส. ยันได้ผลสอบปม 'น้องเมย' ตาย และปรับการธำรงวินัยให้เข้ากับปัจจุบัน เร็วๆ นี้
- ครม.อนุมัติร่างปฏิญญาฯ สิ่งแวดล้อม เตรียมประกาศ- ปชช.จ่อชุมนุมค้านร่าง พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อมฯ พรุ่งนี้
- กลุ่มกบฏฮูติสังหารอดีตประธานาธิบดี 'ซาเลห์' หลังประกาศย้ายข้างอยากเจรจาซาอุฯ
- เผยยอดพลเรือนเสียชีวิตจากปฏิบัติต้านไอซิส มากกว่าที่กองทัพสหรัฐฯ ระบุ 7 เท่า
- 50 องค์กรในสหรัฐฯ แถลงกรณีความรุนแรงในฮอนดูรัส-ร้องสอบทุจริตเลือกตั้ง
- 'หมอเลี้ยบ' ชี้ 3 ปัจจัยทำ รพ.ขาดทุน อย่าพูดง่ายๆ ต้องดูให้ชัดว่ามีสาเหตุจากอะไร
- [สปอยล์] เต๋อ-นวพล คุยกับคนดูว่าด้วยเบื้องหลังการทำหนัง Die Tomorrow
คุยกับ ‘กฤษกร ศิลารักษ์’ ชีวิต วิธีคิดและความในใจของผู้ถูกเรียก ‘ปรับทัศนคติ’ 18 ครั้ง Posted: 05 Dec 2017 09:51 AM PST เรื่องราวของที่ปรึกษาสมัชชาคนจนกรณีเขื่อนปากมูลเมื่อถูกสามเหล่าทัพเรียกตัวเข้าค่ายรวม 18 ครั้ง เผยประสบการณ์ทหารกดดันจนแม่และเพื่อนร่วมงานขว้างโทรศัพท์ทิ้ง เปิดแนวคิด วิธีต่อรองทหาร ติดงานก็ไม่ไป ชี้เลื่อนนัดศาลได้ทำไมจะเลื่อนนัดทหารไม่ได้ ระบุจุดอ่อน คสช. คือมุ่งสู่ประชาธิปไตย ประชาสังคมต้องอธิบายให้ได้ว่าเรานำเทรนด์ การถูกเรียกตัวเข้าค่ายทหาร 'ปรับทัศนคติ'กลายเป็นหนึ่งในกิมมิคที่มาคู่กับรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตั้งแต่แรกเริ่มของการยึดอำนาจ แต่ไม่บ่อยครั้งที่ชีวิตของคนที่ถูกเรียกตัวเข้าค่ายหลายครั้งหลายหนจะถูกพูดถึง ป้าย-กฤษกร ศิลารักษ์ ที่ปรึกษาสมัชชาคนจนกรณีเขื่อนปากมูล เป็นอีกหนึ่งคนที่มีบทบาทในเวทีภาคประชาชนมายาวนาน และได้ตกเป็นเป้าหมายของการดำเนินคดีและการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐยาวนานพอกัน ตราบจนขณะนี้เขาโดนคำสั่งเรียกตัวเข้าค่ายทหารไปแล้วถึง 18 ครั้ง พร้อมทั้งโดนฟ้องหมิ่นประมาทสองคดีจากเอกชนและผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีจากการเคลื่อนไหวของเขา ประชาไทคุยกับกฤษกรในฐานะผู้ถูกเรียกตัวบ่อยครั้งถึงชีวิต จิตใจ แนวคิดการต่อรอง การพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ทหาร มุมมองต่อการขับเคลื่อนมวลชน ความกลัวและความกดดันในการทำงานและใช้ชีวิตอยู่ภายใต้รัฐบาลทหารที่เรียกตัวบุคคลเข้าค่ายทหารเป็นว่าเล่นจนวันนี้ยอดทะลุไปถึงหลักพันคนแล้วในวันที่ประตูเขื่อนปากมูลปิดสนิทก่อนที่มันควรจะเป็น เฉกเช่นเดียวกับบานประตูสู่ประชาธิปไตยที่ประเดี๋ยวเปิดประเดี๋ยวปิดตามใจหัวหน้ารัฐบาล ทำไมถึงถูกเรียกตัวได้ถึง 18 ครั้งเนื่องจากผมทำงานเคลื่อนไหวกับชาวบ้านโดยเฉพาะชาวบ้านที่ปากมูล และการเคลื่อนไหวไม่ได้เริ่มต้นหลังรัฐประหาร แต่มันก็มีการเคลื่อนไหวรุนแรงมาตลอดตั้งแต่สมัยคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หรือสมัยคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สมัยคุณอภิสิทธิ์เรายึดรถไฟ สมัยคุณยิ่งลักษณ์เราก็ยึดรถไฟ ไปชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาลนับครั้งไม่ถ้วน เป็นเรื่องปรกติ หลังรัฐประหาร ไทยพีบีเอสเขาจัดเวทีเรื่อง เสียงที่คุณต้องฟังก่อนปฏิรูป แล้วทหารก็ไปแสดงอำนาจอิทธิพลล่วงเกินผู้ดำเนินรายการคือคุณณาตยา (ณาตยา แวววีรคุปต์ ที่ถูกเจ้าหน้าที่ทหารรายงานต่อผู้บริหารไทยพีบีเอสเนื่องจากไม่พอใจการดำเนินรายการดังกล่าวของเธอ อ่านต่อ) ซึ่งเราก็มองว่าการกระทำแบบนั้นมันคุกคามเสรีภาพเกินไป ไม่ใช่การละเมิด แต่เป็นการคุกคามเสรีภาพของคน เราก็ออกแถลงการณ์ ซึ่งทำให้ทหารไม่พอใจและเชิญเราไปปรับทัศนคติ แล้วก็ทราบทีหลังว่าครั้งนั้นค่อนข้างหนัก เพราะทางทหารขอให้ปิดเฟสบุ๊ค ซึ่งเราก็ปิดบัญชีส่วนตัวแต่บัญชีของเครือข่ายเรายืนยันว่าจะไม่ยอมปิด สมัชชาคนจนกรณีเขื่อนปากมูล จัดงานชุมนุมทุกปี เช่นกรณีเดือน เม.ย. เราจัดงานหยุดเขื่อนโลกทุกปี รัฐบาลทหารก็ห้ามทุกปี เราก็ฟัง แต่หยุดไม่ได้ การจัดทุกปีก็ถูกทหารเรียกมาคุยและขอให้ไม่จัด เราก็ทำตามไม่ได้เพราะมันเป็นประเพณีที่ทำกันมา 20 กว่าปีแล้ว ส่วนการเคลื่อนไหวใหญ่ๆ ที่จะมีทุกปีคือการจัดกิจกรรมยาวตั้งแต่เดือน เม.ย.-มิ.ย. เป็นช่วงการเรียกร้องให้เปิดประตูเขื่อนก็จะมีการชุมนุมลากยาวไป มันห้ามไม่ได้เพราะคุณไม่ให้เปิดประตูเขื่อน แต่ทุกครั้งที่มีการชุมนุมหรือมีแผนจะชุมนุมก็จะมีทหารไปห้ามปรามทุกครั้ง แต่ทุกครั้งที่ไปเราก็เรียนว่าเราต้องทำเพราะมันเป็นเรื่องวิถีชีวิตชาวบ้าน รวมๆ ก็มีการเรียกไปพูดคุยทั้งหมด 18 ครั้ง เป็นทั้งการเรียกเข้าไปคุยทั้งแบบส่วนตัวและเรียกทั้งแกนนำชาวบ้าน แต่ก็ไปแค่ 11 ครั้ง ก็ยอมรับว่าเราต้องทำมาหากิน มีภารกิจมากมาย การที่ท่านเรียกไปพบวันนั้นวันนี้เราก็ทำตามไม่ได้ทั้งหมด ก็ช่วยไม่ได้ถ้าเราติดภารกิจก็ค่อยไป ภารกิจหลักของเราคือการทำงานกับชาวบ้าน สำนักงานของทหารท่านก็อยู่ที่เดิมตลอดเราก็ไปวันไหนก็ได้ ถ้าอยากคุยก็ค่อยไป แต่จะให้ไปปุ๊บปั๊บเลยไม่ได้ ต้องทำงานของเราก่อน อีก 7 ครั้งทำไมไม่ได้ไปการเรียกตัวให้ไปพบก็มีอยู่ 3 รูปแบบ หนึ่ง ส่งกำลังสามฝ่าย ประกอบด้วยทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครองลงไปตามล่าตัว ซึ่งเราก็ไม่ได้อยู่ตลอดเวลา ทำให้เขาไม่เจอเรา สอง การส่งหนังสือเชิญ การออกหนังสือเชิญก็จะให้ทหารเอาไปให้ สาม การแจ้งผ่านระบบ คือแจ้งผ่านเจ้าหน้าที่ปกครอง เจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อให้เราเข้าไปพบ ที่เราไปได้แค่ 11 ครั้ง เพราะว่าบางทีเราแจ้งว่าเราจะชุมนุม คุณก็บอกว่าให้เราไปพบเดี๋ยวนี้ แล้วเราจะชุมนุมอีก 3 วัน แต่คุณมาบอกว่าให้ไปพบวันพรุ่งนี้ เราก็ไปไม่ได้เพราะติดงานอยู่ เดี๋ยวเสร็จงานแล้วจะไปพบ แล้วพอเราจะไปพบท่านก็บอกว่าไม่เป็นไรแล้ว ไม่ต้องมา แต่ทุกครั้งเราก็ไม่ได้ไปตามนัดสักครั้งเพราะเราต้องยืนยันว่าเราต้องทำงานตัวเองก่อน แม้แต่ศาลเองถ้าเราไม่สะดวกเรายังขอเลื่อนได้เลย ท่านก็เป็นทหาร เราไม่สะดวกเราก็เลื่อนได้ มันเป็นหลักการทั่วไป ท่านว่างแต่ผมไม่ว่างมันก็ช่วยไม่ได้ ถ้างานเสร็จ สะดวกก็ไป เราก็ทำแบบนี้ ท่านก็ไม่ได้ใหญ่กว่าศาลมั้ง งานทุกอย่างมีการวางแผนมาแล้ว แล้วทหารจะมาบอกว่าไปวันนั้นวันนี้มันก็ไม่ได้หรอก จากทั้งหมด 18 ครั้ง ส่วนใหญ่ถูกเรียกด้วยเหตุผลอะไรร้อยละ 75 มาจากโพสต์เฟสบุ๊ค จากทั้งทหารบก เรือ อากาศ อันที่สองมาจากการขับเคลื่อน มันเป็นแอคชั่นต่อจากเฟสบุ๊ค อันที่สามมาจากเรื่องของระบบการเปลี่ยนตัวบุคคล ผู้ว่าฯ เปลี่ยน ผบ. เปลี่ยน เขาก็เรียกเราไปพบ มันไม่มีเหตุผลเลย ตลอดเวลา 3 ปี ครอบครัว คนใกล้ตัวมีท่าทีอย่างไรบ้างลูกเมียโอเค แต่แม่หวั่นไหว ลูกเข้มแข็ง ไม่มีปัญหา ภรรยาก็โอเค ตั้งแต่เคลื่อนไหวครั้งแรกผมก็พาครอบครัวไปด้วย ลูกผมเคยขึ้นเวทีไปเป็นโฆษกต่อหน้าคนเป็นพันมาแล้ว ตอนนั้นเขาอยู่มัธยมต้น พูดง่ายๆ ครั้งแรกถ้าแม่ไม่ขอร้องให้ไปพบทหารผมจะไม่ไป แต่พวกนี้ไปเฝ้า แล้วไปกดดันให้แม่บอกให้ผมไปพบ ทีนี้เราต้องไปตามคำที่แม่บอก มันแย่ ไม่งั้นเราไม่ไปหรอก แต่มันไปกดดันให้แม่โทรหาเรา วิธีที่เขาทำคือเถื่อนมาก คือไปที่บ้าน แล้วแม่ก็บอกว่า ไม่รู้เบอร์ จำเบอร์ไม่ได้ว่าลูกเบอร์อะไร มันไม่เชื่อ ทีนี้หญิงชราอายุ 60 จะไปจำอะไรได้ มันก็ไปไล่ให้แม่กดโทรศัพท์ แม่ก็กดบ้างไม่กดบ้าง แกกดไม่เป็น สุดท้ายแม่ขว้างโทรศัพท์ใส่กำแพงบ้าน โทรศัพท์ก็เจ๊งไป หาเบอร์กันไม่เจอ การทำแบบนั้นมันถ่อยมาก มันคุกคามมาก คือคุณถามแล้วติดต่อไม่ได้มันก็ควรจบแค่นั้น ไม่ใช่แค่นั้น มีครั้งหนึ่งที่ทหารไปหาผมที่สำนักงาน แล้ววันนั้นมียามเข้าเวร เราก็ไม่รู้ยังไงวันนั้นออกไปกินข้าวพักหนึ่งพอดี ทีนี้คนที่เฝ้าอยู่ก็บอกว่าทหารมาหา เราก็เลยให้บอกว่าเราไม่อยู่ ไปลงพื้นที่ ก็ไปลงพื้นที่จริงๆ นะ ถ้าทหารขอเบอร์ผมก็ขออนุญาตไม่ให้เบอร์ แต่ทหารก็ไปขู่แก แกก็บอกตรงๆ ว่าให้เบอร์ผมไม่ได้ ไม่งั้นจะถูกผมไล่ออกเพราะผมเป็นผู้จัดการ สุดท้ายแกก็ขว้างโทรศัพท์ใส่กำแพง ดีว่าโทรศัพท์ไม่แพง เครื่องละห้าหกร้อย พอไปค่ายแล้ว เขาให้คุณทำอะไรบ้างไปทำเอ็มโอยูว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง เช่น ไม่แสดงความเห็นทางการเมือง ไม่ไปอภิปรายทางการเมือง ไม่เข้าร่วมเวทีวิชาการทางการเมือง ไม่จัด ไม่นำพา สอง ไม่มีการทำกิจกรรมเคลื่อนไหวที่ขัดต่อคำสั่ง คสช. มีอยู่ประมาณ 4-5 ข้อ อีกข้อหนึ่งก็ห้ามออกนอกราชอาณาจักรหากไม่ได้รับความเห็นชอบจากหัวหน้า คสช. ที่ผ่านมาเราก็ไม่ได้ทำตาม นอกจากนั้นก็มีการเรียกไปคุยกันทั่วไปว่าสิ่งที่ทำตอนนี้ คสช.เป็นห่วงว่าจะเข้าข่ายผิดกฎหมาย ผิดคำสั่ง ยุ่งยากใจเพราะจะต้องดำเนินการตามกฎหมาย เช่น ไม่ให้ชุมนุมเกิน 5 คน แต่มันก็ช่วยไม่ได้ ตอนปี 2558 ที่ไปชุมนุมหน้าศาลากลาง จ.อุบลฯ เราก็ไปกันพันกว่าคน คุณบอกว่าผิดกฎหมาย เราก็บอกว่าชาวบ้านเรียกร้องมาก่อน ส่วนคำสั่ง คสช. นั้นเพิ่งมามีทีหลัง มันมีสองครั้ง ครั้งแรกในปี 2558 เดือน มิ.ย. เราก็บอกว่าคุณต้องเปิดเขื่อน ชาวบ้านก็ชุมนุมกัน ก็มีการตั้งด่านราว 20-30 ด่าน เริ่มตั้งแต่ที่ อ.พิบูลมังสาหาร ชาวบ้านก็จัดขบวนมาอย่างดี มีธงมีอะไรมา พอมีด่านชาวบ้านก็ไม่จอด พอไม่จอดตำรวจก็เปิดด่านเพราะด่านไม่ใช่ด่านปิด ชาวบ้านก็ขับตามกันไป ไม่ได้จอด เขาก็หาว่าเราฝ่าฝืนคำสั่ง ก็ช่วยไม่ได้เพราะคำสั่งมาทีหลังการกระทำ ได้เรียนรู้อะไรจากการถูกเรียกตัวหลายครั้งขนาดนี้ผมเข้าสู่วงการก่อนมีการรัฐประหารของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) เมื่อปี 2549 มันมีจุดสำคัญตรงที่ช่วงนั้น คมช. คุมอำนาจสั้นๆ แล้วตั้งท่านสุรยุทธ์ (จุลานนท์) เป็นนายกฯ การบริหารงานระหว่างรัฐบาลกับ คมช. ค่อนข้างจะแยกกันอยู่ ที่ผ่านมาไม่เห็นการใช้กลไกมาทำงานที่เกี่ยวข้องกับมวลชน ทั้งยังไม่มีการประกาศคำสั่งคณะปฏิวัติที่มีผลยาวนานอย่างกรณีคำสั่ง คสช. ที่ 5/2557 ไม่ให้มีการเคลื่อนไหว ชุมนุมทางการเมืองซึ่งมีผลอย่างมาก ครั้งก่อน (รัฐประหาร 2549) ไม่เคยมีการเรียกคนนั้นคนนี้เข้าไปปรับทัศนคติโดยเฉพาะชาวบ้านที่เคลื่อนไหวเรื่องปากท้อง พอมาเรียกแล้วเรียกบ่อยจนน่าเกลียด ทำให้เป็นการคุกคามค่อนข้างรุนแรง แม้การเรียกไปคุยจะไม่มีการเรียกหรือจำกัดพื้นที่แต่ก็มีผลทางจิตวิทยาว่า การที่ทหารเรียกไปพบทำให้มวลชนค่อนข้างประหวั่นพรั่นพรึงพอสมควร การที่ทหารไปคุยกับผู้นำการชุมนุมหรือผู้นำองค์กรถึงบ้านเป็นเรื่องไม่ถูกต้องและเป็นอุปสรรคกับการทำงานภาคประชาชนมาก อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าการที่เขาเรียกเรา 18 ครั้งและบังคับให้เราไปพบเขาได้ 11 ครั้ง ก็สะท้อนว่าเขาไม่สามารถควบคุมได้อย่างเบ็ดเสร็จ การเคลื่อนไหวต้องเดินหน้าต่อเพียงแต่มีข้อจำกัดมากขึ้นเท่านั้น ในมุมกลับ ผมคิดว่าถ้ามีการคุกคามมากขึ้นในขณะที่ระยะเวลาลากยาวมาขนาดนี้ ในขณะที่ปัญหาชาวบ้านไม่ได้รับการแก้ไข มันจะเป็นแรงสวิงกลับ ผมคิดว่าฝ่ายทหารต้องคิดว่าการที่คุณเรียกใครต่อใครไปหลายครั้งไม่ได้ทำให้เขากลัว แต่คุณต่างหากที่ต้องคิดหนักว่าการใช้วิธีการเหล่านี้ไม่สามารถควบคุมเขาได้ อาจต้องคิดให้มากขึ้นว่าอำนาจที่มีอยู่ไม่สามารถที่จะควบคุมสิทธิที่จะดำเนินการอย่างบริสุทธิ์ของชาวบ้านได้ เห็นความเปลี่ยนแปลงของเจ้าหน้าที่ทหารไหมนับตั้งแต่วันแรกที่โดนเรียกตัวในช่วงสามปีนี้มี ผบ.มทบ. สองคน ท่านแรกค่อนข้างที่จะใช้อำนาจเยอะ มีคำสั่งไปแล้วก็ต้องควานให้เจอ มันมีครั้งหนึ่งที่เขาออกหมายไปเรียกแกนนำชาวบ้านแล้วเรียกมาผิดตัว ชื่อนายทวี ทองเทพเหมือนกัน แต่เป็นคนละคนกัน ชาวบ้านไม่รู้เรื่องก็พลอยโดนไปด้วย วิธีการก็คือเขาให้ปลัดอำเภอเอารถไปรับจากบ้านมาที่ มทบ.22 ตอนช่วงปี 2557-2558 เข้มข้นมาก พอมาปี 2559-2560 ก็ดีขึ้นหน่อย มีหนังสือแจ้งล่วงหน้า หลังแจ้งเสร็จก็ค่อยส่งทหารลงไป และไปไม่เอิกเกริก มีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาด้วย 2-3 คัน ไม่ใช่สนธิกำลังกัน นุ่มนวลขึ้นเยอะ การมาคุยที่ มทบ.22 ค่อนข้างให้เกียรติเพราะชุดหลังมีการมาให้ข้อมูลแลกเปลี่ยนทั่วไป ไม่คุกคามเหมือนแรกๆ องค์ประกอบการคุยก็ครบส่วน คือมีส่วนทหารที่ประกอบด้วยฝ่ายบัญชาการ ฝ่ายคุมกำลัง ฝ่ายเสนาธิการ ฝ่ายทหารพระธรรมนูญ แล้วก็มีฝ่ายปกครองและฝ่ายตำรวจ ก็ต่างกันอยู่ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร อาจเพราะคนนั่งหัวโต๊ะเปลี่ยนไปเลยทำให้รูปแบบเปลี่ยนไป บรรยากาศดีขึ้น จะเกี่ยวกับรัฐบาลหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่คนหัวโต๊ะเปลี่ยน 11 ครั้งที่ไปมาคือ มทบ.22 ที่เดียว ค่ายสรรพสิทธิ์ประสงค์ อยู่ที่อุบลฯ รัฐประหารมีอิทธิพลต่อการดำเนินงานของคุณมากน้อยขนาดไหนมันเปลี่ยนไปเยอะอยู่ ใหญ่ๆ ก็ยุ่งยากมากขึ้น เราต้องอธิบายมากขึ้น ในขณะที่การอธิบายกับทหารไม่ได้เพิ่มพูนสติปัญญาและไม่ได้ทำให้เกิดวิธีการแก้ปัญหา แต่มันเป็นภาวะที่ไม่มีทางออก ไม่มีครั้งใดที่ไปหาทหารแล้วคุณบอกว่าคุณสามารถแก้ไขปัญหาชาวบ้านได้ แต่คุณบอกว่ารัฐบาลชุดนี้ต้องการแก้ไขปัญหา ให้อยู่ในความสงบ การอยู่ในความสงบ ไม่ต้องทำอะไร แต่คุณก็ไม่ทำอะไรเหมือนกันมันไม่ใช่ทางออก มันเป็นการสร้างภาระความยุ่งยากมากขึ้น สอง ไม่มีการกระทำของรัฐบาลชุดไหนที่เข้าไปยุ่งกับชีวิตส่วนตัว รัฐบาลชุดนี้แย่มาก ไปทำให้ครอบครัวโดยเฉพาะแม่ตกใจ เป็นเรื่องที่ผมรับไม่ได้ คุณมีปัญหา ไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวก็อยู่ที่ตัวคนทำ ครั้งแรกที่ทหารไปที่ 7 พื้นที่ที่คิดว่าเราจะอยู่ รวมทั้งบ้านด้วย แล้วการไปบ้านคือไปกันสามฝ่าย ทั้งทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง แล้วพอไปก็ไม่รู้ที่อยู่บ้าน ก็ให้กำนันพาไป กำนันก็ไปหาผู้ใหญ่บ้านเพราะกำนันเองก็ไม่รู้จักบ้านแต่บังเอิญกำนันไม่เจอผู้ใหญ่บ้าน กำนันเลยไปประกาศเสียงตามสายเพื่อจะเรียกผู้ใหญ่บ้านที่เกี่ยวข้าวอยู่ให้มาพบ คนทั้งหมู่บ้านออกมาดูว่ายกกำลังกันมาทำอะไร กองกำลังสามฝ่ายยกกันมาประมาณ 20 กว่าคน ซึ่งมันแย่มาก นอกจากนั้นยังไปคุกคามชาวบ้านและเพื่อนร่วมงาน ไปคุยกับชาวบ้าน คุยกับแกนนำ ครอบครัว ญาติพี่น้องแกนนำ ไปบอกว่าการทำแบบนี้ผิดกฎหมาย ผิดคำสั่ง คสช. แบบนั้นแบบนี้ ทำให้เกิดภาระยุ่งยาก เกิดความกังวลใจของญาติพี่น้องของผู้นำ มันไม่ควรที่จะเกิดขึ้น หนักที่สุดโดนอะไรกับตัวขบวนมีสองครั้งที่มาขอพบฝ่ายการเมืองที่ทำเนียบ มากันไม่เยอะ ประมาณ 20 กว่าคน พอมาแล้วเขาจะให้ชาวบ้านไปยื่นเรื่องที่ศูนย์ดำรงธรรมของทำเนียบ เราก็ไม่ยื่นเพราะไม่ได้มาร้องเรียนแต่มาตามเรื่อง พอไม่ยื่นเราก็นั่งรอตรงประตูทำเนียบ ทีนี้ทหารมากันใหญ่เลย ชาวบ้านก็นั่ง แต่ก็ไม่กล้าทำอะไรชาวบ้าน ครั้งที่สาม ที่อุบลฯ ชาวบ้านบอกว่าจะไปกัน 30 คน แต่เขามองว่าชาวบ้านอาจจะมาเยอะ เลยตั้งกองกำลังกัน 500-600 คน แต่ชาวบ้านไปแค่ 30 คน เอากำลังมากันเยอะจนนักข่าวหัวเราะ ก็เราบอกแล้วแต่เขาไม่เชื่อ เขาคิดว่าเราจะมาเยอะ จะทำลับ ลวง พราง สุดท้ายก็ขำแตก ครั้งล่าสุดคือปีนี้ น่าจะช่วง ก.ค. มีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีจากปนัดดา (ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล) เป็นออมสิน (ออมสิน ชีวะพฤกษ์) เราก็บอกว่าเราไม่เอาออมสิน เราก็ไปทำเนียบ เขาก็จะให้เราไปยื่นเรื่องที่ศูนย์ดำรงธรรม เราก็บอกว่าเราไม่ยื่น เราจะขอพบรองนายกฯ วิษณุ เครืองาม ทีนี้ไม่ได้ไป ตรงหน้าเชิงสะพานชมัยมรุเชฐจะมีตู้ไปรษณีย์ เราก็บอกว่าไม่ไป แต่ให้ขึ้นไปบนตึก คุยกับเจ้าหน้าที่เพื่อจะแจ้ง เราก็บอกว่าแจ้งเยอะแล้ว ไม่แจ้ง เราเลยทิ้งจดหมายไว้ใต้ตู้ไปรษณีย์ เขาก็หาว่าเราไม่ให้เกียรติ ก็เขาให้เราไปคุยกับเจ้าหน้าที่ซี 3 ที่รับเรื่องราวร้องทุกข์ เราจะคุยทำไม กลับมาก็โดนเรียกตัว มีวิธีต่อรองกับทางการอย่างไรบ้างเวลาถูกเรียกตัวเรื่องเรียกตัวนี่ถูกเรียกจากทั้งทัพบก ทัพเรือ ทัพอากาศ ทหารบกนี่เป็น มทบ.22 ทหารอากาศคือกองบิน 21 ซึ่งเป็นกองทัพอากาศในอุบลฯ ส่วนทหารเรือดูแลพรมแดนแม่น้ำโขง ทีนี้ทหารบกก็อย่างที่เล่า ทหารอากาศมีครั้งหนึ่งที่ รมต. ปนัดดา ไปอุบลฯ ในเรื่องปากมูล เราก็แถลงว่าเราอยากเจอปนัดดา ในฐานะที่มาอุบลฯ จะไม่เจอชาวบ้านปากมูลไม่ได้ ทีนี้ฝ่ายราชการก็ไม่ยอมให้เจอ เราก็ถามว่าถ้าจะเจอปนัดดาจะเจอที่ไหนได้บ้าง เพราะว่าสนามบินอุบลฯ เข้าออกได้ทางเดียว ถ้าเราจะเจอเราจะดักที่สนามบิน แล้วคุณจะทำอย่างไร จากเคสนี้ทำให้ทหารอากาศเรียกตัวไป ส่วนทหารเรือ เมื่อปี 2559 มันมีการบังคับใช้กฎหมายประมงเรื่องการห้ามจับปลาในฤดูวางไข่ ที่ผ่านมาตรงนั้นไม่เคยมีการห้ามแบบนี้ เราเลยรู้สึกรับไม่ได้ เลยอยากจะไปจับภาพที่ทหารเรือไปไล่จับชาวบ้าน ก็โพสต์เฟสบุ๊คไลฟ์ไป ทำให้ ผบ. ทหารเรือที่คุมโซนแถวนั้นมาเรียกตัว แต่การพบทหารเรือนี่นำไปสู่คำถามที่ผ่านมาว่าได้ข้อสรุปอะไรบ้าง อันนี้ไม่รู้นะ คือเรารู้ว่าทหารเรือจะไปจับชาวบ้าน เราก็โพสต์ขู่เลยว่าเราจะไปดักจับทหารเรือ เตรียมเฟสบุ๊คไลฟ์อย่างดีเลย แต่มันไม่มีใครมา ทีนี้ ที่โขงเจียมมีร้านกาแฟอยู่ร้านเดียว ทั้งเมืองมีร้านเดียวซึ่งเป็นร้านที่เราชอบไปนั่งกินกาแฟ แล้วนิสัยเราคือ เข้าไปก็ถ่ายรูป กินกาแฟ เช็คอิน พอผ่านไป 5 นาทีทหารก็มาประกบแล้วก็แจ้งว่าผู้การฯ ขอเชิญไปพบพรุ่งนี้ น้องที่ไปด้วยกันก็ตกใจ เราก็ติดต่อทนาย ติดต่อทีมงานต่างๆ เราก็ไม่ว่างด้วย ก็ตอบกลับไปว่าขอพิจารณาก่อนว่าจะไปหรือไม่ไป พอวันหลังเราก็โพสต์บอกตั้งแต่เช้าก่อนเวลานัดว่าเราติดงาน ขอเลื่อนไปอีกสามวัน เปลี่ยนเวลาจากเช้าเป็นบ่ายเพื่อรอทีมทนายมา พอตอนบ่ายถึงเวลานัดตามที่แจ้งในเฟสบุ๊คเราก็ขับรถเข้าไปที่ทำการทหารเรือ ทหารก็บอกว่า ผู้การให้มาตอนหนึ่งทุ่ม เราก็กลับออกมาแล้วแจ้งไปว่าหนึ่งทุ่มมันนอกเวลางาน ไม่สะดวก เพราะเราทำงานหนักเราอยากพักผ่อน ถ้าประสงค์จะพบอีกให้แจ้งผ่านเฟสบุ๊คมาอีกทีหนึ่ง ก็ไม่มีการแจ้ง สุดท้ายก็ไม่ได้เจอกัน เราไปถึงหน้าค่ายแล้วนะ ตอนนั้นเราไปกับศูนย์นักกฎหมายสิทธิฯ แต่ไม่ได้เจอ ก็เลยพากันไปกินส้มตำแล้วก็กลับ มันไม่ใช่เทคนิคอะไรหรอก แต่คำสั่งที่เขาสั่งมามันไม่ได้ถามไถ่ว่าเราสะดวกไม่สะดวก บอกให้เราไปตามเวลา และให้เชิญชาวบ้าน มีครั้งหนึ่งที่เขาเชิญชาวบ้านไป 14 คน เราก็ถามว่าจะเชิญชาวบ้านไปทำไม เราไปเองดีกว่า ถ้าผมไปแล้วไม่ได้อะไร ก็ให้เชิญชาวบ้านไปเพราะชาวบ้านไม่ใช่ผู้ต้องหา เราก็ไม่ให้ชาวบ้านไป แต่เราก็ให้เกียรติ ถ้าบอกว่าไม่ไปกันหลายคนก็ต้องทำตามนั้น แต่การที่เราไม่ไปก็ดีอย่างหนึ่ง เพราะหนังสือส่วนมากไม่ให้เตรียมตัว ไม่เคยมีที่ส่งมาวันนี้แล้วให้ไปอีกสามวัน แบบนี้ใช้ไม่ได้ เรามีงานอยู่แล้วว่าต้องทำอะไร มันเป็นไปไม่ได้ที่จะสั่งแบบนี้ แม้แต่ศาลยังมีเวลาตั้ง 15 วัน 7 วัน แล้วยังเลื่อนได้ เราไม่ได้ขัดคำสั่ง แต่เราไม่สะดวก ไม่ได้ขัดคำสั่ง แต่จะไปวันหลัง ถ้าการเรียกตัวมีผลทางจิตวิทยาแล้วทำไมยังเลือกที่จะยังอยู่ทำงานในพื้นที่ต่อคือการเคลื่อนไหวชาวบ้านมันไม่ได้เพิ่งเกิด ชาวบ้านผ่านบรรยากาศการรัฐประหาร ผ่านบรรยากาศการคุกคาม ถ้าเทียบกับปัจจุบันยังเบากว่าแรกๆ ในยุคของการสร้างเขื่อนช่วงก่อนรัฐบาล คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ในปี 2534 ยุคแรกแยกไม่ออกเลยว่าใครเป็นใคร ทั้งนายทุน เอกชน มือปืน ใครต่อใครก็มา ตอนนั้นโหดกว่านี้เยอะ ทำให้ชาวบ้านเติบโต ผ่านสถานการณ์ที่พีคสุดมาแล้ว บรรยากาศแบบนี้ไม่ได้บั่นทอนอะไรเขาหรอก และที่สำคัญคือ เขาสู้มาถึงวันนี้ 27 ปี แล้วเขาก็ยังมีระบบการรวมกลุ่ม มีผู้เดือดร้อนจริง เพียงแค่เงื่อนไข บรรยากาศทางการเมืองจะมาจำกัดบ้างในบางด้าน แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะเป้าหมายหลักคือการเรียกร้องความเป็นธรรม ตราบใดที่ความเป็นธรรมยังไม่เกิดมันก็ต้องมีการเรียกร้องต่อไป ไม่มีทางหยุดเขาได้หรอก ผมมองว่า สิ่งที่ฝ่ายผู้มีอำนาจเริ่มรู้คือ คุณไม่มีทางหยุดชาวบ้านได้ คุณจัดการผมเสร็จมันก็มีคนอื่นมาเรื่อยๆ ไม่มีทางล้มขบวนการได้ มันเป็นขบวนการที่เป็นธรรมชาติเพราะมีชาวบ้านเดือดร้อน ฝ่ายผู้มีอำนาจเลยคิดว่าถ้าไปทำอะไรที่มันเลยเส้นมันน่าจะมีผลลบมากกว่าผลบวก นอกจากนั้นสิ่งที่ชาวบ้านสมัชชาคนจนทำมามันได้รับการยอมรับจากคนในสังคมว่าคนกลุ่มนี้ไม่ได้ฝักใฝ่การเมืองฝ่ายใด ผมว่าตรงนี้เป็นต้นทุนที่สำคัญที่ทำให้ฝ่ายกุมอำนาจปัจจุบันคิดหนักพอสมควรว่าจะวางท่วงทำนองในการทำปฏิบัติการลงมาอย่างไร นอกจากการใช้อำนาจกับกองกำลังของทหารแล้วยังมีการใช้กลไกทางกระบวนการยุติธรรม ทั้งการยัดข้อหา พ.ร.บ.ประชามติ การสร้างขบวนการเพื่อทำเรื่องคดีหมิ่นประมาท มันเป็นแค่เศษเสี้ยวเท่านั้น ไม่ได้ไปยับยั้งขบวนการทั้งหมดได้หรอก ที่เรารอดถึงวันนี้เป็นเพราะเครือข่าย คอนเนคชั่นหรือชื่อเสียงที่มีหรือเปล่าเครือข่ายสำคัญมาก พวกเราทั้งฐานะขบวนชาวบ้านและส่วนตัวไปช่วยสนับสนุนขบวนชาวบ้านทั่วประเทศทั้งที่สำเร็จและไม่สำเร็จ คนเหล่านี้เขาไม่ทิ้งเราหรอก ตรงนี้เป็นจุดสำคัญที่ทำให้เขารู้ว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเรา คนเหล่านี้ไม่ทิ้งเราหรอก เขาเลยค่อนข้างระมัดระวังพอสมควร เป็นเพราะพื้นที่เป็นทำเลทองที่ทหาร นายทุน ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันหรือเปล่าที่ทำให้รอดถึงทุกวันนี้อันนี้พูดยาก แต่เข้าใจได้ว่าพื้นที่ปากมูลมันเป็นการเคลื่อนไหวที่น่าจะเป็นรูปแบบขบวนการที่ต่อเนื่องและยาวนานมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย แล้วก็มีมวลชน มีชาวบ้าน มากกว่านั้นที่นั่นไม่ได้สู้อย่างโดดเดี่ยว ที่นั่นมีเครือข่าย แนวร่วมจากหลายสาขา หลายอาชีพ หลายกลุ่ม อันนี้น่าจะเป็นเกราะที่ทำให้เราปลอดภัยถึงวันนี้ได้ มีคำแนะนำให้ภาคประชาชนที่ขับเคลื่อนประเด็นต่างๆ ในสภาวะการเมืองอย่างนี้บ้างไหมพูดตรงๆ นะ คือมันไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก สิ่งที่คุยกับคนที่มาเรียกตัวทุกครั้ง จะเรียกว่าเป็นบุคลิกก็ได้ ถ้าคนที่คุยกับผมตำแหน่งต่ำกว่าระดับนายพันผมก็จะบอกเขาว่า ท่านครับ อันนี้เป็นเรื่องระหว่างองค์กรกับองค์กร ท่านเป็นทหาร เราเป็นภาคประชาสังคม ท่านน่าจะให้เกียรติเราบ้าง พวกยศนายร้อยมาเราไม่คุย เราก็ว่าท่านไม่ธรรมดาเรารู้อยู่ แต่ท่านตัดสินใจอะไรไม่ได้หรอก ท่านเป็นลูกน้องเขา ต้องให้คนที่ใหญ่กว่านี้มา ที่ผ่านมาทำแบบนี้ก็ไม่เห็นน่ากลัวอะไรเลยนะ เราต้องมั่นใจว่าเรามีอำนาจของภาคประชาชนที่บริสุทธิ์ ซึ่งต้องบอกให้เขารู้และให้เขาปฏิบัติตามด้วย ที่เขาทำมาก็ที่บอกไป แต่ไม่ได้บอกแบบก้าวร้าว บอกให้เขาเข้าใจว่าระดับนายร้อย นายสิบ ระดับปฏิบัติเขาตัดสินใจไม่ได้ เรื่องระดับองค์กรต้องให้ผู้บริหารตัดสินใจ ให้เขาเข้าใจระบบเรา ทุกครั้งที่ผมไป ผบ. ต้องนั่งหัวโต๊ะเอง แต่เราอย่าก้าวร้าว ต้องใช้ท่วงทำนองที่เป็นมิตรและเป็นเหตุเป็นผล อย่าปฏิเสธการคุยกับชั้นผู้น้อย จงคุยกับเขาให้เขาเข้าใจว่าเราและเขาควรทำหน้าที่อะไร และให้เขาทำในสิ่งที่ควรจะเป็นในเชิงองค์กร มันไม่น่ากลัว สอง ตราบใดที่เรามีเจตนาบริสุทธิ์ ต้องอธิบายว่าเราเชื่อในประชาธิปไตย มันมีสิ่งหนึ่งที่เป็นจุดอ่อนของ คสช. คือ คสช. ยอมรับหลักการประชาธิปไตยที่ดีและกำลังไปสู่มัน เราก็ต้องบอกให้เขารู้ว่าสิ่งที่เราทำอยู่คือประชาธิปไตยซึ่ง คสช. ยังไปไม่ถึงเรา ต้องอธิบายให้เขารู้ และยกรูปธรรมให้เขาเห็นว่าเราอยู่ในประชาธิปไตยแล้ว คุณยังไปไม่ถึงเรา คุยกับเขาแล้วอธิบายให้เขาเข้าใจ การที่เราปฏิเสธ หลบลี้ มันไม่ถูก ก็คุยกับเขาซะในทางหลักการว่าผู้บริหารท่านจะเอาขนาดไหน เอาประชาธิปไตยหรือเปล่า คุณบอกเราว่ายังไม่ถึงเวลา เอ้า ก็เราไปล่วงหน้าคุณ คุณตามหลังเรามา เราไม่ได้ผิด คุณต่างหากที่ตามเรามาไม่ทัน จะทำอะไรก็แล้วแต่ ครอบครัวต้องเข้าใจในสิ่งที่คุณทำ อธิบายกับทหาร โครงสร้างอำนาจรัฐให้มาก และต้องอธิบายกับครอบครัวให้เข้าใจมากกว่า พอเขาเข้าใจแล้วเขาไม่มีคำถามหรอก แต่คุณชัดเจนหรือยังว่าคุณอธิบายคนอื่นได้ ปัญหาคือเราสามารถอธิบายได้หรือเปล่า มันต้องทันคนเหล่านี้ ทหารไม่ได้ศึกษาสังคม การเมืองอะไรมากมาย อย่าไปด่าระดับปฏิบัติ เพราะว่าพวกนี้ไม่รู้หรอก ระบบสายบังคับบัญชาเขาเป็นอย่างนั้น ก็ต้องอธิบายกับเขาว่าอะไรเป็นอะไร ถ้าเขาไม่เข้าใจก็อย่าแปลกใจ เพราะเขาไม่ได้ถูกทำให้เข้าใจอย่างนั้น แต่ถ้าเขาฟังแล้วเข้าใจก็ถือเป็นกำไรของเรา อย่ารำคาญกับการอธิบาย ผมคิดว่าสิ่งนี้สำคัญ ผมว่าพรรคพวกเราไม่ค่อยอธิบายมากกว่ามั้ง ใช้วิธีการปฏิเสธแล้วก็มองว่าคนพวกนี้ไม่มีวันเข้าใจ คนไม่รู้ไม่ผิด ชาวบ้านไม่รู้ว่ามีโครงการลงมา ไม่ผิด ตรรกะเดียวกัน ทหารไม่รู้จักประชาธิปไตยแล้วเขาผิดเหรอ ชาวบ้านและทหารต่างทำในสิ่งที่เขาเข้าใจ ณ ขณะนั้น เราทำงานกับชาวบ้าน ถ้าชาวบ้านไม่รู้ เราก็ต้องฝึกฝนชาวบ้าน สร้างความสนใจให้ชาวบ้านรู้ ใช้สิทธิ์ ทหารไม่รู้เพราะผู้บังคับบัญชาสั่งให้รู้แบบนี้ เขาก็ใช้สิทธิ์ตามคำสั่งที่เขารู้มา มันก็ไม่ใช่เรื่องผิดของเขา มันเป็นเพียงการปะทะกันแค่นั้นเอง เขามาละเมิดเรา แต่ถ้าเรามองมากกว่านั้นมันก็คือเขาไม่รู้ เขาไม่เข้าใจ ถ้าเราไม่ทำให้เขารู้และเข้าใจเขาก็จะไม่เข้าใจต่อไป แต่ก็ต้องยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำให้เขาเข้าใจ มันก็เหมือนทำงานกับชาวบ้านแหละ ต้องใช้เวลาเท่าไหร่กว่าชาวบ้านจะเข้าใจ สองปีสามปีก็ไม่มากไม่น้อยหรอกถ้าจะให้ทหารเข้าใจประชาธิปไตย ชาวบ้านสร้างขบวนการมาแต่ละกลุ่มก็ใช้เวลาสามปีถือว่าเร็วไปด้วยซ้ำ เจอเรียกตัว 18 ครั้ง กลัวถูกอุ้มหาย ถูกฆ่าทิ้งบ้างไหมกลัว ไม่ได้ประมาท มีพรรคพวกที่รู้จักกันถูกอุ้มหายเยอะ และมีสัญญาณบางอย่างว่าเราก็อันตราย ก็ระวังตัวอยู่ ทุกย่างก้าวระมัดระวังตลอด การโพสต์เฟสบุ๊ค การเคลื่อนไหวต่างๆ ถูกคิดมาอย่างถี่ถ้วนแล้ว การจะไปแต่ละที่ในช่วง 3 ปีมานี้มันถูกออกแบบไว้ระดับหนึ่ง แต่ก็มีการเปลี่ยนทุกอย่างตลอดเวลา เรื่องความปลอดภัยตอนนี้ตั้งอยู่บนความคิดที่ว่า การอุ้มหายเกิดขึ้นได้ การขึ้นศาลเกิดขึ้นได้ แต่สิ่งที่ต้องสรุปตอนนี้คือ ถ้าหยุดเคลื่อนไหวเมื่อไหร่จะเป็นอันตราย เพราะเขาจะไล่เราเข้าสู่มุมมืด ถ้าเข้าสู่มุมมืดเมื่อไหร่นี่อันตรายมาก อันนี้แล้วแต่คนจะคิด บางคนก็บอกว่า มากไปก็ถอยบ้าง ผมคิดตรงข้ามว่า ถ้าเราถอยเมื่อไหร่จะเป็นอันตราย เราต้องมั่นใจในสภาพที่คุณอยู่ ถ้าคุณมั่นใจก็ต้องเดินไปบนเส้นทางนั้น ในมุมผม คนที่โดนรุกหนักคือคนที่ถึงจังหวะหนึ่งแล้วถอย แม้แต่ไอ้ไผ่ (ดาวดิน) มันถอยนาทีสุดท้าย มันเลยรับสารภาพไง พอมันสารภาพแล้วการต่อรองทางการเมืองมันไม่มีจริง ผมอาจจะคิดผิดในสถานการณ์นี้ ไผ่อาจจะคิดถูกก็ได้ แต่ที่เห็น ณ เวลานี้คือ ไผ่พัวพันเยอะมาก ชีวิตทั้งชีวิตนี้ไม่รู้จะได้อิสรภาพเมื่อไหร่ ทั้งคดี 112 คดียกป้าย พอถอยหนึ่งคดีแล้วมันพันไปเรื่อย มันไม่มีสัจจะในหมู่โจรไง กรณีไผ่เป็นกรณีที่นักเคลื่อนไหวต้องคิดกันว่าการที่ไผ่ยอมรับสารภาพ ฝ่ายอำนาจมันไม่ได้ยอม ผมก็ยืนในจุดที่ผมไม่ยอมตลอด ไผ่มันอาจจะคิดผิด เราอาจจะคิดถูกก็ได้ ซึ่ง ณ เวลานี้อาจเป็นอย่างนั้น แต่พรุ่งนี้อาจไม่ใช่ก็ได้ เหนื่อยแทนมันฉิบหาย สิ่งที่คนทำงานพวกนี้ต้องตระหนักคือ จุดที่คุณปลอดภัยที่สุดคือท่ามกลางประชาชน ตราบใดที่เขายังรักและศรัทธาคุณอยู่ ประชาชนจะปกป้อง แล้วเวลาไปหาทหารที่ค่ายทำไมไม่เอาคนไปเยอะๆการที่เราไม่ไปเยอะมันทำให้เขาศรัทธาเรามากขึ้น ว่าเราไม่ได้สร้างภาระให้เขา เราแบกรับภาระเอง การเอาชาวบ้านไปด้วยมันมีผลลัพธ์หลังจากนั้น ซึ่งคนไม่มอง การเอาชาวบ้านไปด้วยมันได้ในภาพ แต่หลังจากกลับมา และถ้าไปหลายครั้งมันเป็นภาระชาวบ้านแล้วพวกเขาจะหวั่นไหว สมมติว่าถ้าเขาขยายผลจากนายป้าย ไปหานายสี นายสา พอถึงจุดนั้น นายเอ นายบี จะหายไป แต่พอมีแต่นายป้ายไป คนอื่นมันยังอยู่ แต่ตราบใดที่เราไม่สามารถจะรักษาคนทั้งหมดได้ถ้าเขาไม่มั่นใจว่าเราปกป้องคุ้มครองเขาได้ แต่ถ้าเขารุ้สึกว่าเขาอยู่กับเราแล้วปลอดภัย เขาก็จะอยู่ต่อไป การสร้างภาระมันก็ได้ช่วงหนึ่ง แต่เวลาผ่านไปเขาจะรู้สึกว่าเป็นภาระและผละจากเราไป เราต้องการรักษาจิตวิทยามวลชน เราเลยยอมเจ็บปวดแทนเขาให้เขาทิ้งเราไม่ได้ มันเป็นอารมณ์แบบนั้นมากกว่า ไม่ต้องสร้างภาระให้ชาวบ้าน นักเคลื่อนไหวในแนวทางสันติวิธี เสียอะไรก็เสียได้ แต่เป็นเรื่องยากที่จะเสียอิสรภาพของผู้ตามเพื่อแลกมาซึ่งอิสรภาพของตัวเอง ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
Posted: 05 Dec 2017 06:38 AM PST
"ใครไม่รู้จักน้องเกี่ยวก้อยถือว่าตกเทรนด์" โฆษกกลาโหมกล่าวถึงมาสคอตปรองดอง อย่างคงจะภาคภูมิใจ ใช่เลย ในโลกโซเชียล ใครไม่ล้อน้องเกี่ยวก้อยถือว่าตกเทรนด์ตุ๊กตาหน้าดำยืมมาจากกองทัพบก ลงทุนซ่อม ซัก ตัดชุดใหม่ 8,000 บาท ด้านหนึ่งก็ต้องชมว่ารู้จักประหยัด แต่อีกด้านก็เหมือนรู้แก่ใจ ไม่รู้จะลงทุนไปทำไม เมื่อเป็นแค่กิมมิคที่ใครก็รู้ว่าไม่เป็นจริง กระนั้น เท่าที่มีตัวเลขยืนยัน 3 ปี รัฐบาลใช้งบปรองดองไป 1,331 ล้านบาท ส่วนใหญ่ใช้ผ่าน กอ.รมน.3 ปีผ่านไป ปรองดองอาจสำเร็จก็ได้ แต่เป็นในมุมกลับ ดังที่มีข้อเสนอ 2 พรรคใหญ่จับมือต้านนายกฯ คนนอก คนที่คุณก็รู้ว่าใคร แม้ไม่สำเร็จเพราะยังด่ากันไม่เลิก แต่ 2 พรรคก็รุมถล่มรัฐบาล คสช.โดยอัตโนมัติ ไม่เหมือนพรรคชาติพัฒนาที่ชม ครม.ใหม่งามตั้งแต่หัวจดบั้นท้าย มีอย่างที่ไหน ตำรวจพบวัตถุระเบิดที่ฉะเชิงเทรา ใครเอาใส่กล่องไปทิ้งไม่รู้ อ้างว่าเชื่อมโยง "โกตี๋" ซึ่งมีข่าวตายไปแล้ว พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็เอามาเป็นเหตุว่าปลดล็อกการเมืองยาก อาจต้องปลดล็อกใกล้เลือกตั้ง พูดอย่างนี้ ไม่ใช่แค่แกนนำ นปช. พรรคเพื่อไทย วิรัตน์ กัลยาศิริ ฝ่ายกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ ก็ออกมาโวยลั่น อย่าเอามาอ้างตีขลุม ยิ่งยืดเวลา เครดิต คสช.ยิ่งลดลง ไม่แปลกอะไรที่ ปชป.กลายเป็นไม้เบื่อไม้เมารัฐบาล เพราะ 4 คำถาม 6 คำถาม แสดงความต้องการอยู่ยาวไปจนหลังเลือกตั้ง โดยจะสนับสนุนพรรคการเมืองใหม่ ซึ่งวันนี้โผล่หัวมาแล้ว 1 รายคือพรรคของไพบูลย์ นิติตะวัน แม้ดูจะยังไม่ใช่ของจริง ครม.สัญจรใต้ ว้ากชาวประมง ปะทะม็อบเทพา ก็กลายเป็นจุดเปลี่ยน ต่อท่าทีของนักเคลื่อนไหวภาคประชาชน NGO ซึ่งส่วนใหญ่เคยเป่านกหวีดปิดสนามบินโค่นระบอบทักษิณออกบัตรเชิญรัฐประหาร แต่ 3 ปีผ่านไป รัฐราชการเป็นใหญ่ ใช้อำนาจจัดการความขัดแย้งด้วยนโยบายแข็งกร้าว ก็ทำให้มาถึงจุดปะทุ ซึ่งต่อให้ยกเลิกโรงไฟฟ้าถ่านหิน ก็ไม่กลับไปเหมือนเดิม แหม ขนาดพิภพ ธงไชย เรียกร้องให้ลุงตู่ลาออก จะเหมือนเดิมได้ไง ถึงแม้ไม่ค่อยมีใครแยแสพิภพ ธงไชย แล้วก็ตามแน่ละ ภาคประชาชนก็มี 2 ขั้ว นักศึกษาประชาชนประชาธิปไตยใหม่ ไผ่ ดาวดิน คัดค้าน คสช.มานานแต่ถูกตีตราว่าแดง พลัง 2 ข้างคงรวมกันยาก แต่ก็มีลักษณะเดียวกับ 2 พรรคคือต่างคนต่างกระหนาบ กระนั้นในภาพรวม สถานการณ์รัฐบาลยังไม่ถึงขั้นย่ำแย่ เพราะกองทัพ รัฐราชการ อำนาจต่างๆ ยังจำเป็นต้องผนึกกำลังหนุนหลัง พล.อ.ประยุทธ์ แบบเดียวกับคนชั้นกลางระดับบนคนมั่งมี ภาคธุรกิจ กลัวความไม่มั่นคง มองไม่เห็นอนาคต ก็ยังอยากอยู่อย่างนี้ไปก่อน ขณะที่พลังทางสังคมอ่อนแอ ผู้คนสนใจการเมืองหรือเรื่องส่วนรวมน้อยกว่าเรื่องอื้อฉาวข่าวดารา รัฐบาลจึงจะอยู่ไปอย่างนี้แหละ เดี๋ยวก็รอรับพี่ตูน เดี๋ยวก็เข้าเทศกาลท่องเที่ยวจับจ่าย ปัจจัยสำคัญยังเป็นเรื่องเศรษฐกิจปากท้อง ว่า ครม.ใหม่จะแก้ปัญหาระดับฐานรากได้ไหม ในขณะที่คนรุมวิพากษ์มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้หวาดไหวกระทั่งเอาตัว "มาร์ค พิทบุล" ไปปรับทัศนคติ อยู่ได้ ยื้อได้ ยังพอไหว แต่จะลงอย่างไร นั่นคือปัญหาใหญ่ ในภาวะที่ 2 พรรค 2 ข้างต่างรุมกระหนาบ การสืบทอดอำนาจผ่านการเลือกตั้งยิ่งเป็นไปได้ยาก จนไม่อยากปลดล็อกนั่นไง ถ้าลงไม่ได้ ไม่สามารถเป็นไปตามโรดแมปมรสุมใหญ่ก็จะโหมเข้าใส่
ที่มา: https://www.kaohoon.com/content/204510 ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
Posted: 05 Dec 2017 03:44 AM PST
หากนึกถึงช่วงจังหวะของความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญๆ ในโลก คนจำนวนมาก อาจจะไม่นึกถึง ปี ค.ศ 1968 หลายคนคงจะลืมความหมายและความสำคัญของปีนี้ไปแล้ว เพราะเวลา 50 ปีที่ผ่านมา ก็ได้ทำให้เราได้พบได้เห็นอะไรที่แปรเปลี่ยนไปมากมายจนอดีตหลายส่วนได้หลุดจากไปจากความทรงจำ แม้ว่าโลกปัจจุบันจะเปลี่ยนแปลงไปจากปี 1968 อย่างมาก ในอีกด้านหนึ่ง เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนในโลกวันนี้ ได้ยืนอยู่บนฐานที่สำคัญอันมาจากเหตุการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นเมื่อ 49-50 ปีก่อน แม้ในกลุ่มชนชั้นนำไทยปัจจุบัน (ซึ่งส่วนใหญ่ก็มีอายุระหว่าง 60-70 ปี ) ก็ล้วนแล้วแต่ได้รับอิทธิพลและผลกระทบจากเวลาของอดีตนี้ทั้งสิ้น คำถามที่ต้องอธิบาย คือ เกิดอะไรขึ้นในปี 1968ภายหลังจากสงครามโลกยุติลง แม้โลกจะตกอยู่ในสภาวะความหวาดกลัวต่อ "สงครามเย็น" ที่ได้เริ่มต้นก่อตัวขึ้นมา แต่ในอีกด้านหนึ่ง การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของโลกเสรีก็ได้สร้าง "ความหวัง"ชุดใหม่ให้แก่ผู้คน โดยเฉพาะในสหรัฐ และยุโรป ซึ่งเป็นความหวัง ที่จะมีโอกาสเลื่อนสถานะเปลี่ยนแปลงชนชั้นของตนเอง การไหลเข้าสู่เมืองเพื่ออนาคตที่ดีกว่าเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง คนยากจนที่เข้าไปเสี่ยงตายด้วยการเป็นทหารในสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็คืนสู่สังคมด้วยความหวังอย่างเต็มเปี่ยมว่า ตนและลูกหลานจะได้โอกาสของชีวิตที่ดีขึ้น สภาวะความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างคนกลุ่มใหม่ ที่ได้เหมือนว่าจะได้โอกาสของชีวิตกว้างขวางมากขึ้น กับความเป็นจริงของสถาบันอนุรักษ์นิยมที่ไม่ได้ถูกทำลายไปพร้อมกับสงคราม เห็นได้ชัดเจนจากจำนวนประชากรที่เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลทำให้เกิดความต้องการการเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยเพิ่มมากขึ้น แต่รัฐในยุโรปกลับไม่สามารถเพิ่มมหาวิทยาลัยได้ทันความต้องการของผู้คน มิหนำซ้ำ มหาวิทยาลัยเดิมก็ยังคงปกครอง และสอนนักศึกษาด้วยกรอบความคิดแบบเก่าๆ ยังคง กีดกันประชาชนคนชั้นล่าง ไม่ให้เข้ามามีชีวิตนักศึกษาอย่างที่ควรจะเป็น ความหวังที่เกิดขึ้นจากความเชื่อในความเสมอภาค กลับถูกหักหลังจากความพยายามรักษาสถานะเดิมของกลุ่มชนชั้นสูง ที่สืบเนื่องความเป็นชนชั้นมาตั้งแต่ก่อนสงคราม จึงทำให้คนหนุ่มสาวรุ่นนั้น มีปฏิกิริยาอย่างรุนแรงต่อสถาบันสถาปนา( Establishment ) ทั้งหลาย พวกเขาแสวงหา และพบทางเลือกในการต่อสู้กับสถาบันสถาปนา อันได้แก่ ความคิดฝ่ายซ้าย ไม่ว่าจะเป็นเหมาอิสต์ เลนินนิสต์ หรือ ทรอสกี้ยิสต์ งานเขียนของนักคิดฝ่ายซ้ายจำนวนหนึ่งได้ถูกหยิบมาศึกษา เช่น งานเขียนของโรซ่า ลักเซมเบอร์ก พร้อมไปกับการสมาทานความคิดฝ่ายซ้าย การขับเคี่ยวกับระหว่าง โลกเสรี ( สหรัฐ) และ โลกคอมมิวนิสต์ ( รัสเซีย/จีน) ก็ส่งผลต่อกลุ่มคนหนุ่มสาวรุ่นนั้นอย่างมาก ในด้านหนึ่ง พวกเขาต่อต้านสงครามเวียตนามที่สหรัฐเป็นผู้นำ (ขบวนการคนหนุ่มสาว/นักศึกษาในเยอรมนีเปรียบเทียบ US=SS ) อีกด้านหนึ่ง การรุกรานประเทศเชคโกสโลวาเกียของรัสเซีย ก็ทำให้คนหนุ่มสาวไม่สามารถรับความคิดฝ่ายซ้ายแบบสตาลินผู้นำรัสเซียในขณะนั้นได้ หมายความว่าพวกเขาได้หลุดออกจากกรอบคิดมหาอำนาจทั้ง 2 ฝ่าย และสามารถสร้างความคิดชุดใหม่ได้ การต่อต้านกระแสอนุรักษ์นิยมและการต่อต้านทุกอย่างที่เป็นของสถาบันสถาปนา (Establishment) เกิดการปะทุขึ้นทั่วทั้งยุโรป และสหรัฐ กลุ่มคนหนุ่มสาวและนักศึกษาในฝรั่งเศสได้รับความร่วมมือในการประท้วงจากกลุ่มแรงงานอย่างกว้างขวาง ในเยอรมนีก็เช่นเดียวกัน ที่มีความร่วมมือกันระหว่างนักศึกษากับผู้ใช้แรงงาน ส่วนในสหรัฐ การเคลื่อนไหวของคนผิวดำในนามของการต่อสู้เพื่อสิทธิพลเมือง (Civil rights movement) ก็เกิดขึ้นร่วมไปกับการเคลื่อนไหวต่อต้านสงครามเวียตนาม การเคลื่อนไหวต่อต้านอย่างเป็นรูปธรรม เช่น การระดมคนเดินขบวน/การยึดเมือง ( เช่น ปารีส) อาจจะกินเวลาไม่นานมากนัก รวมไปถึงว่าผลลัพท์ทางการเมืองในหลายประเทศก็เรียกได้ว่าล้มเหลว เช่น การเลือกตั้งในประเทศฝรั่งเศสหลังการประท้วงก็ยังคงเป็นชนชั้นนำเดิม แต่ผลจากการเคลื่อนไหวในช่วงนี้ได้ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมอย่างไพศาลที่ส่งผลสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน การต่อสู้กับสถาบันสถาปนา Establishment ในปี 1968 ได้ทำให้อำนาจที่ครั้งหนึ่งจำกัดตัวอยู่กับชนชั้นนำเท่านั้น ก็ได้กระจัดกระจายมากขึ้น กลุ่มคนผู้ไม่เคยมีเสียง ไม่เคยมีพื้นที่ในสังคมสามารถแสดงตัวขึ้นอย่างเท่าเทียมมากขึ้น กลุ่มผู้หญิงสามารถรวมตัวกันและสร้างพลังความเป็นหญิงได้อย่างเข้มแข็งและกว้างขวาง กลุ่มเพศที่สามได้ก้าวข้ามพรมแดนของมายาคติทางเพศ กลุ่มชนชั้นล่างได้ใช้สิทธิความเป็นพลเมืองต่อรองกับรัฐอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ที่สำคัญ การต่อสู้กับสถาบันสถาปนาของคนหนุ่มสาวในวันนั้นได้ทำให้เกิดกระบวนการสร้าง"ความรู้ชุดใหม่" ที่มุ่งเน้นการ " คืนการตัดสินใจ" ให้แก่ผู้คนและสังคม อันได้แก่ การตั้งคำถามและข้อสงสัยกับ "ความรู้และความจริง" ที่สถาบันสถาปนา Establishment สร้างขึ้น (และทำให้ผู้คนเชื่อว่าเป็นความรู้ความจริงอย่างสมบูรณ์) ว่าเป็นเพียง " ความรู้/ความจริง" ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับอำนาจของสถาบันสถาปนาทั้งสิ้น อำนาจที่ผูกขาดการอธิบาย "ความรู้/ความจริง" ได้เสื่อมสลายลงไป ในวันนี้ แม้ว่าการหวนคืนสู่อำนาจของฝ่ายสถาบันสถาปนาจะปรากฏขึ้นในหลายพื้นที่ แต่เชื่อว่าไม่สามารถที่จะจรรโลงไปได้นานสักเท่าใด เพราะสังคมโลกได้ก้าวมาไกลเกินกว่าที่จะหวนกลับครับ
เผยแพร่ครั้งแรกใน: http://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/643262 ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ของเก่าเก็บ? ตรวจบัญชีทรัพย์สินย้อนหลังไม่พบ 'ประวิตร' ยื่นรายการ นาฬิกาหรู ให้ ป.ป.ช. Posted: 05 Dec 2017 03:38 AM PST ตรวจสอบรายงานการยื่นบัญชีทรัพย์สินกับ ป.ป.ช. ย้อนหลัง ถึง ปี 51 ไม่พบ พล.อ.ประวิตร ยื่น นาฬิกาข้อมือราคาแพง เข้าในรายการ แม้เจ้าตัวระบุเป็น ของเก่าเก็บที่มีมานานแล้ว ก็ตาม 5 ธ.ค.2560 จากกรณีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ แหวนเพชร และนาฬิกาข้อมือราคาแพง ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่สวมใส่ถ่ายรูปหมู่คณะรัฐมนตรีเมื่อวานนี้ (4 ธ.ค.2560) ว่าไม่มีในรายการทรัพย์สินที่แจ้งต่อ ป.ป.ช. นั้น เมื่อเข้ารับตำแหน่ง รมว.กลาโหม ต.ค.57 อ่านรายละเอียด https://www.nacc.go.th/download_acc/asset_report/s_201410310853170.pdf PPTV รายงานว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตร กล่าวถึงเรื่องนี้เพียงสั้นๆ ว่า นาฬิกาและแหวนเป็นของเก่าเก็บที่มีมานานแล้ว ที่ผ่านมาสวมแหวนวงนี้มาโดยตลอด มีน้ำหนักเพียง 1 กะรัต แต่เมื่อวานนี้เป็นเรื่องบังเอิญที่แหวนกระทบกับแสงแดดจนเกิดแสงสะท้อนต่อหน้าสื่อมวลชนพอดี ส่วนเฟซบุ๊กแฟนเพจ CSI LA โพสต์ภาพพร้อมข้อความว่า ที่อเมริกาคนที่มีปัญญาซื้อนาฬิกายี่ห้อ Richard Mille ใส่ ต้องเป็นพวกดารา Hollywood หรือนักร้องดังๆ เท่านั้น เพราะนาฬิกาข้อมือเรือนนี้ ราคาเเพงเรือนละอย่างน้อย 10 ล้านบาท เเต่ที่เมืองไทย ถ้ามีอาชีพเป็นนายพลคุณก็สามารถซื้อได้ คำถามคือว่า คุณต้องมีรายได้ต่อปีเท่าไหร่ ถึงกล้าซื้อนาฬิกาเรือนละ 10 ล้านบาท ขณะที่บีบีซีไทย รายงานว่า "ดร.บอย" คอลัมนิสต์ประจำนิตยสารนาฬิกา QP บอกกับบีบีซีไทยว่า นาฬิกาของ พล.อ.ประวิตร น่าจะเป็นรุ่น RM 010 ซึ่งราคาไม่ต่ำกว่า 3 ล้านบาท แต่ไม่ใช่รุ่นที่ราคาถึง 10 ล้านบาท แบบที่นักแสดงและผู้มีชื่อเสียงระดับโลกใส่ อย่างที่หลายฝ่ายพูดถึง ผู้สื่อข่าวประชาไท ตรวจสอบการแสดงบัญชีทรัพย์สิน / หนี้สิน ของ พล.อ.ประวิตร ย้อนหลัง กับ ป.ป.ช. เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีในรัฐบาลนี้ (รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา) และรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อปี 51 ก็ไม่พบการแสดงรายการทรัพย์สินที่เป็นนาฬิกาดังกล่าวแต่อย่างใด เมื่อเข้ารับตำแหน่ง รมว.กลาโหม เมื่อ 22 ธ.ค. 2551 โดยในส่วนที่ระบุเป็นทรัพย์สินอื่นๆ ที่ราคาตั้งแต่ 2 แสนขึ้นไปนั้น คือ เช็คธนาคาร มูลค่า 1 ล้านบาทดูรายละเอียด https://www.nacc.go.th/download_acc/asset_report/minD7.pdf
เมื่อพ้นจากตำแหน่ง รมว.กลาโหม ครบ 1 ปี ใันวันที่ 9 ส.ค. 2555 ดูรายละเอียดเพิ่มเติม https://www.nacc.go.th/download_acc/asset_report/se_201210040818550.pdf ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
วงเสวนาสื่อฯ เผยการทำงานในภาวะไร้สิทธิฯ เป็นหนทางหายนะของอาชีพสื่อ Posted: 05 Dec 2017 03:17 AM PST อดีตผู้สื่อข่าวประชาไทเผย การอยู่ภายใต้ความกลัวจนเคยชินอาจเป็นหนทางหายนะของสื่อมวลชน ขณะที่ผู้สื่อข่าววอยซ์ทีวีแลกเปลี่ยนประสบการณ์ แค่อ่านรายงานการดำเนินคดีมาตรา 116 ก็ถูก กสทช. ตักเตือน ด้านประวิตร โรจนพฤกษ์ ระบุย้ำในงานเขียนทุกครั้งว่า เผด็จการทหารไม่มีความชอบธรรม
มุทิตา เชื้อชั่ง: ภาวะไร้สิทธิเสรีภาพอาจเป็นหนทางหายนะของสื่อมวลชน
มุทิตา เริ่มต้นด้วยการกล่าวว่า ปัจจุบันเธอไม่ได้ทำงานประจำเป็นผู้สื่อข่าวที่สำนักข่าวประชาไทแล้ว แต่ก็ยังคงทำรายงานข่าว หรือสกู๊ปข่าวอยู่บ้าง ซึ่งครั้งนี้จะมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำงานที่สำนักข่าวประชาไททั้งหมด 12 ปี ตั้งแต่ประชาไทเริ่มก่อตั้ง
นิติธรเริ่มต้นทำข่าวตั้งแต่ช่วงปลายปี 2556 ซึ่งเป็นจุดก่อตัวของความขัดแย้งซึ่่งท้ายที่สุดนำมาสู่การรัฐประหาร โดยช่วงนั้นเขาทำข่าวอยู่ที่สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ติดตามประเด็นของภาคประชาสังคม จากนั้นไม่นานก็ย้ายมาเป็นผู้สื่อข่าวที่วอยซ์ทีวีช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2557 เท่ากับว่าตั้งแต่เริ่มทำงานเป็นผู้สื่อข่าวสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศอยู่ในสภาวะไม่ปกติมาตลอด |
สัมภาษณ์ 15 นาทีรู้ผล กกต. ใหม่ ได้แล้ว 5+1 รายชื่อ Posted: 05 Dec 2017 03:10 AM PST ได้รายชื่อ 5+1 กกต.ชุดใหม่ หลังใช้เวลาสัมภาษณ์คนละ 15 นาที ขณะที่อีก 1 รายชื่อประธานศาลฎีกานัดประชุมสรรหาพรุ่งนี้ ด้านประธาน สนช. ในฐานะกรรมการสรรหาเผยสาเหตุที่หลายรายชื่อไม่ผ่านเข้ารอบสัมภาษณ์ เป็นเพราะคุณสมบัติไม่ผ่านเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด 5 ธ.ค. 2560 เมื่อเวลา 09.00 น. ที่รัฐสภา คณะกรรมการสรรหากรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่มีชีพ จุลมนต์ ประธานศาลฎีกา เป็นประธาน ได้ประชุมกรรมการสรรหาเพื่อให้ผู้สมัครที่มีคุณสมบัติ และไม่มีลักษณะต้องห้าม ผ่านการคัดเลือกจำนวน 15 คน มาสัมภาษณ์หรือแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่เกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้ง โดยแต่ละคนใช้เวลาไม่เกิน 15 นาที พรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในฐานะกรรมการสรรหาฯ ให้สัมภาษณ์ก่อนเริ่มการประชุม ถึงกรณีคนที่มีความรู้ความสามารถหลายคนไม่ผ่านเกณฑ์เรื่องคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม อาทิ พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา อดีต ผบช.น. , พีรศักดิ์ หินเมืองเก่า อดีตผู้ว่าฯ นครศรีธรรมราชว่า เรื่องคุณสมบัติก็เป็นไป ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2560 ส่วนคนที่ไม่ผ่านเกณฑ์น่าจะขาดคุณสมบัติ ที่กำหนดว่า "จะต้องเป็นผู้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงาน หรืออธิบดี ไม่น้อยกว่า 5 ปี" ซึ่งก็ต้องดูว่าตำแหน่งของผู้สมัครตรงตามที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ เรื่องนี้ที่ประชุม สนช.เคยมีการพิจารณาไว้แล้ว ส่วนอีกประเด็นคือการได้รับแจ้งจากนายทะเบียนหลักทรัพย์เกี่ยวกับการถือหุ้นในสื่อ ที่ถือเป็นคุณสมบัติต้องห้ามโดยศาลปกครองเคยมีคำวินิจฉัยไว้และนำเป็นบรรทัดฐานตลอดมา ซึ่งก็น่าเห็นใจเพราะท่านเหล่านั้นอาจไม่ได้ตั้งใจทำธุรกิจสื่ออย่างจริงจัง แต่การที่มีหุ้นหรือเป็นกรรมการก็ถือเป็นคุณสมบัติต้องห้าม พรเพชร กล่าวอีกว่า เรื่องคุณสมบัติต้องดูตามกฎหมาย ไม่สามารถตีความเป็นอย่างอื่นไปได้ อย่างไรก็ตามทราบมาว่า ขณะนี้มีผู้ร้องเรียนเรื่องการไม่ผ่านเกณฑ์คุณสมบัติเข้ามาแล้ว ซึ่งตนยังไม่ทราบว่าเป็นใคร โดยเลขานุการคณะกรรมการสรรหาฯ จะรายงานต่อที่ประชุมกรรมการสรรหาในวันนี้ คาดว่าหลังจากรับฟังความคิดเห็นของผู้สมัครเสร็จสิ้นแล้วที่ประชุมอาจจะพิจารณาในเรื่องนี้ด้วย หากว่าเรื่องที่ผู้สมัครร้องเรียนเป็นไปตามที่ร้องเรียน ก็จะต้องมีการแก้ไขให้ถูกต้อง แต่หากเป็นเรื่องคุณสมบัติก็ต้องยึดตามกฎหมาย ทั้งนี้หลังจากได้สัมภาษณ์ผู้เข้ารับการสรรหาครบทั้งหมดแล้ว สุดท้ายได้บุคคลที่มีความเหมาะสมเข้ามาเป็นกกต.ชุดใหม่ครบทั้ง 5 คนแล้ว ประกอบด้วย ศาสตราจารย์เรืองวิทย์ เกษสุวรรณ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ ,ฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช.,รองศาสตราจารย์อิสสรีย์ หรรษาจรูญโรจน์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ ,นางชมพรรณ์ พงษ์เจริญ สุธีรชาติ ทนายความ และประชา เตรัตน์ อดีตรองปลัดกระทรวงมหาดไทย ส่วนอีก 2 คนซึ่งจะมาจากการสรรหาโดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ขณะนี้ได้แล้ว 1 คนคือ ฉัตรไชย จันทร์พรายศรี ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ส่วนอีก 1 คน ประธานศาลฎีกาได้นัดประชุมใหญ่พิจารณาคัดเลือกในวันพรุ่งนี้ ซึ่งครั้งนี้มีผู้สมัคร 2 คนคือ ปกรณ์ มหรรณพ ผู้พิพากษาศาลฎีกา และ ประพาฬ อนมาน ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลอุทธรณ์ ทั้งนี้หลังจากได้รายชื่อครบทั้ง 7 คนแล้ว คณะกรรมการสรรหาจะต้องส่งรายชื่อให้ที่ประชุม สนช.ให้ความเห็นชอบ หาก สนช.ไม่เห็นชอบบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ก็ต้องกลับไปเริ่มกระบวนการสรรหาใหม่ เรียบเรียงจาก : คมชัดลึกออนไลน์ , ครอบครัวข่าว 3 ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ผบ.ทสส. ยันได้ผลสอบปม 'น้องเมย' ตาย และปรับการธำรงวินัยให้เข้ากับปัจจุบัน เร็วๆ นี้ Posted: 05 Dec 2017 02:32 AM PST ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเผยการสอบสวนกรณีการเสียชีวิตของ นตท.ภคพงศ์ มีความคืบหน้าอย่างมาก ยันได้ผลเร็วๆ นี้ ขณะที่การปรับการธำรงวินัยให้เข้ากับปัจจุบันก็เช่นกัน ส่วน ตร.รอผลชันสูตรศพรอบ 2 ก่อนสรุปสำนวน น้องเมย หรือ ภคพงศ์ ตัญกาจน์ นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 ที่เสียชีวิตอย่างเป็นปริศนา 5 ธ.ค.2560 ความคืบหน้ากรณี น้องเมย หรือ ภคพงศ์ ตัญกาจน์ นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 ที่เสียชีวิตอย่างเป็นปริศนา เมื่อวันที่ 17 ต.ค. 2560 จนก่อให้เกิดเสียงวิพากษณ์วิจารณ์ในสังคมจำนวนมากนั้น ล่าสุดวันนี้ พล.อ.ธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) เปิดเผยว่า การสอบสวนกรณีการเสียชีวิตของ นตท.ภคพงศ์ มีความคืบหน้าอย่างมาก โดยได้สอบถามข้อมูลจากผู้เกี่ยวข้อง และนักเรียนเตรียมทหารที่อยู่ในเหตุการณ์ได้เกือบครบถ้วนแล้ว แต่คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงยังไม่ได้รายงานผลขึ้นมา เชื่อว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆ นี้ ส่วนการเชิญผู้ปกครองของ นตท.ภคพงศ์ มาพูดคุย เพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติมนั้น พล.อ.ธารไชยยันต์ กล่าวว่า กองบัญชาการกองทัพไทยได้ติดต่อผู้ปกครองมาตั้งแต่แรกแล้ว แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้มีการพูดคุยกัน สำหรับการปรับปรุงระเบียบการฝึกต่างๆ ตามนโยบายของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อยู่ระหว่างการดำเนินการ โดยมีคณะกรรมการที่จัดตั้งขึ้นพิจารณาในรายละเอียด แต่ยังไม่ได้ข้อสรุป ส่วนการปรับปรุงการธำรงวินัยในการฝึกช่วงนี้ดำเนินการไปถึงไหนแล้วนั้น พล.อ.ธารไชยยันต์ กล่าวว่า คณะกรรมการได้ประชุมร่วมกับเหล่าทัพเรียบร้อยแล้ว ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่ง มีคณะกรรมการขึ้นมาดูรายละเอียดต่างๆ ว่าอะไรต้องปรับปรุงให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งเมื่อเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้วก็จะรายงานตนเอง และจะแล้วเสร็จเร็วๆ นี้ ขณะที่ พ.ต.อ.นิพนธ์ พานิชเจริญ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรนครนายก เปิดเผย สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ถึงความคืบหน้าคดีการเสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำ ของ ภคพงศ์ ว่า ขณะนี้ในส่วนของพยานได้สอบปากคำครบทั้งหมดแล้ว โดยเหลือเพียงรอผลการผ่าชันสูตรรอบที่ 2 จากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม มาประกอบสำนวนคดีเท่านั้น โดยขณะนี้ยังไม่มีการดำเนินคดีอาญากับบุคคลใด เนื่องจากต้องรอผลการตรวจพิสูจน์สาเหตุการเสียชีวิตและหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ อย่างละเอียดก่อน พร้อมยืนยันไม่หนักใจในการทำคดีเนื่องจากตำรวจยึดตามพยานหลักฐานข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ที่มา : สำนักข่าวไทย และสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ครม.อนุมัติร่างปฏิญญาฯ สิ่งแวดล้อม เตรียมประกาศ- ปชช.จ่อชุมนุมค้านร่าง พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อมฯ พรุ่งนี้ Posted: 05 Dec 2017 02:08 AM PST ครม. อนุมัติ ร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรีของ UNEA 3 เตรียมประกาศ ย้ำไทยตื่นตัวแก้ปัญหามลพิษ ตามนโยบายของรัฐบาล ยุทธศาสตร์ 20 ปี และยุทธศาสตร์การจัดการมลพิษ 20 ปี ขณะที่ภาค ปชช. เตรียมชุมนุมค้านร่าง พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อมฯ พรุ่งนี้ 5 ธ.ค. 2560 เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล รายงานผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้ (4 ธ.ค.60) โดยมีประเด็นหนึ่ง คือ ครม. มีมติรับทราบ เห็นชอบ และอนุมัติ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เสนอ ดังนี้ 1. รับทราบองค์ประกอบคณะผู้แทนไทยในการเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ 3 (The third session of the United Nations Environment Assembly: UNEA 3)ระหว่างวันที่ 4 – 6 ธ.ค. 2560 ณ กรุงไนโรบี สาธารณรัฐเคนยา (โดยมีเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรแห่งประเทศไทยประจำสหประชาชาติ ณ กรุงไนโรบี สาธารณรัฐเคนยา เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย) 2. เห็นชอบร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรีของ UNEA 3 3. เห็นชอบกรอบคำมั่นโดยสมัครใจที่ประเทศไทยจะประกาศ 4. อนุมัติให้หัวหน้าคณะผู้แทนไทยหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมให้การรับรองในร่างปฏิญญาฯ ดังกล่าว และ 5. หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างปฏิญญาฯ ที่มิใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ต่อประเทศไทย ให้เป็นดุลยพินิจของหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเป็นผู้พิจารณาโดยไม่ต้องนำกลับไปเสนอคณะรัฐมนตรีใหม่จนสิ้นสุดการประชุม สำหรับสาระสำคัญของเรื่องนั้น 1. องค์ประกอบคณะผู้แทนไทยที่จะเข้าร่วม UNEA 3 ประกอบด้วย เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรแห่งประเทศไทยประจำสหประชาชาติ ณ กรุงไนโรบี สาธารณรัฐเคนยา หัวหน้าคณะผู้แทนไทย และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีก 5 หน่วยงาน ได้แก่ ผู้แทนกรบควบคุมมลพิษ ผู้แทนกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ ผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข ผู้แทนสำนักความร่วมมือด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล รายงานด้วยว่า ร่างปฏิญญาฯ เป็นเอกสารที่แสดงถึงการตระหนักว่ามลพิษที่เกิดขึ้นในทุกรูปแบบทั้งทางอากาศ ดิน และน้ำ ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ สังคม ระบบนิเวศ เศรษฐกิจ ความมั่นคง และความอยู่รอดของมนุษย์ และยังเชื่อมโยงกับปัญหาอื่นและเกี่ยวข้องกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งการแก้ไขปัญหามลพิษเป็นการส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศ ทั้งการต่อสู้ความยากจน การปรับปรุงให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น การสร้างงานที่เหมาะสม การปรับปรุงให้สิ่งมีชีวิตทั้งบนบกและในน้ำให้ดีขึ้น และการลดภาวะโลกร้อน ในการนี้รัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมร่วมกันให้คำมั่นว่าจะดำเนินงานเพื่อป้องกัน บรรเทาและจัดการแก้ไขปัญหามลพิษ โดยการพัฒนาองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ นำข้อมูลเชิงประจักษ์มาเป็นพื้นฐานและให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้าร่วมในการตัดสินใจดำเนินงานตามข้อตกลงพหุภาคีด้านสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่ โดยประเทศไทยจะประกาศคำมั่นโดยสมัครใจเพื่อให้นานาชาติทราบว่าประเทศไทยมีความตื่นตัวในการแก้ปัญหามลพิษ โดยมีกรอบคำมั่นโดยสมัครใจที่ยึดตามนโยบายของรัฐบาล ยุทธศาสตร์ 20 ปี และยุทธศาสตร์การจัดการมลพิษ 20 ปี โดยจะนำเสนอผลการดำเนินงานของรัฐบาลที่เป็นรูปธรรมชัดเจน ทั้งนี้ การประชุมฯ ได้กำหนดให้มีการรับรองปฏิญญาระดับรัฐมนตรีในช่วงการประชุมระดับสูง ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า พรุ่งนี้ (6 ธ.ค.60) เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป เครือข่ายประชาชนเพื่อการพั โดยให้เหตุผลเพิ่มเติมว่า ตามที่รัฐบาลโดยกระทรวงทรั อย่างไรก็ตาม แม้ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
กลุ่มกบฏฮูติสังหารอดีตประธานาธิบดี 'ซาเลห์' หลังประกาศย้ายข้างอยากเจรจาซาอุฯ Posted: 05 Dec 2017 01:19 AM PST กลุ่มกบฏฮูตีในเยเมนที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านกล่าวอ้างว่าพวกเขาสังหารอดีตประธานาธิบดีอาลี อับดุลเลาะห์ ซาเลห์ เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. ที่ผ่านมา สาเหตุเพราะต้องการลงโทษที่ซาเลห์ย้ายข้างหันไปสนับสนุนให้เกิดสันติภาพกับซาอุดิอาระเบีย มีการแพร่ภาพศพของอดีตประธานาธิบดีซาเลห์ผ่านช่องโทรทัศน์ของกลุ่มกบฏฮูตีหลังจากที่กลุ่มติดอาวุธอ้างว่าพวกเขาสังหารซาเลห์ขณะที่พยายามหลบหนีออกจากกรุงซานา เมืองหลวงของเยเมน ซาเลห์ปกครองเยเมนมานานเป็นเวลา 30 ปี และถูกบังคับให้ลาออกในช่วงที่เกิดการปฏิวัติอาหรับสปริงเมื่อปี 2554 ฮูตีเปิดเผยว่าพวกเขาสังหารซาเลห์ในขณะที่เขากำลังเดินทางออกจากซานาไปยังบ้านเกิดของเขา ซาเลห์พร้อมกับผู้นำระดับสูงคนอื่นๆ ในพรรคการเมืองของเขา กลุ่มติดอาวุธฮูตีติดตามพวกเขาไปด้วยรถหุ้มเกราะ 20 คัน จากนั้นจึงสังหารซาเลห์พร้อมกับทุกคนที่ไปกับเขา โดยมีการแพร่ภาพศพของซาเลห์เลือดไหลนองแพร่กระจายไปทั่วโซเชียลมีเดีย สงครามกลางเมืองในเยเมนเป็นการสู้รบกันโดยมีสองประเทศที่พยายามแผ่ขยายอิทธิพลคือซาอุดิอาระเบียและอิหร่าน โดยที่ก่อนหน้านี้บ้านของซาเลห์เคยถูกทำลายในการสู้รบระหว่างกองกำลังฮูตีและกองกำลังที่ภักดีต่อซาเลห์ กองกำลังแนวร่วมนำโดยซาอุฯ ก็เคยใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดใส่ฐานที่มั่นของฮูตีใกล้กับสนามบินของเมืองและใกล้กับกระทรวงกิจการภายใน โดยเป็นปฏิบัติการที่ซาอุฯ พยายามยับยั้งไม่ให้ฮูตียึดครองเมืองหลวงได้โดยสมบูรณ์แต่ก็ไม่เป็นผล เดอะการ์เดียนระบุว่าการเสียชีวิตของซาเลห์อาจจะยิ่งทำให้ซาอุฯ ยิ่งตอบโต้หนักกว่าเดิมเพราะอยากต่อต้านอิทธิพลของอิหร่านออกจากเยเมน จากที่ก่อนหน้านี้กลุ่มกองกำลังผู้ภักดีต่อซาเลห์กับกลุ่มฮูติทำสนธิสัญญาความร่วมมมือกันในแบบที่ไม่ค่อยเต็มใจยาวนานเป็นเวลา 3 ปี แต่ในช่วงที่ผ่านมาทั้งสองฝ่ายก็กลับมาสู้รบกันอีกเนื่องจากความเป็นพันธมิตรระหว่างสองฝ่ายนี้ขาดสะบั้นลง กาชาดสากลระบุว่าการสู้รบรอบล่าสุดส่งผลให้มีพลเรือนเสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 125 ราย เมื่อช่วง 5 วันที่ผ่านมา ทางกาชาดยังเปิดเผยอีกว่าพวกเขาต้องดิ้นรนอย่างมากในการทำให้สถานพยาบาลทำการต่อไปได้ในกรุงซานา โดยพวกเขาต้องการเข้าถึงคลังเก็บสินค้าและเครื่องมือทางการแพทย์ ขณะที่ตอนนี้การลำเลียงความช่วยเหลือเข้าไปในเยเมนเป็นไปได้อย่างยากลำบากมาก ซาเลห์ประกาศผ่านทางโทรทัศน์เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. ที่ผ่านมาว่าเขาต้องการย้ายข้างในสงครามกลางเมืองและพยายามหาวิธีให้เกิดการเจรจาหารือกับกลุ่มแนวร่วมซาอุฯ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จากเดิมที่เขาร่วมมือกับฮูตีต่อสู้กับกลุ่มแนวร่วมนี้มาตั้งแต่ปี 2558 แต่ซาเลห์ได้ประกาศผ่านทางโทรทัศน์ว่าเขาจะไม่เชื่อฟังคำสั่งจากกลุ่มกบฏนี้อีก เดอะการ์เดียนระบุว่ามีการคาดการณ์ถึงการย้ายข้างของซาเลห์ในครั้งนี้ว่าเป็นเพราะทูตของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เชื้อชวนให้ซาเลห์ย้ายข้างได้สำเร็จ อีกสาเหตุหนึ่งอาจจะเป็นเพราะในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาความสัมพันธ์ระหว่างซาเลห์กับฮูตีแย่ลงเรื่อยๆ เพราะฮูตีพยายามสังหารลูกของซาเลห์ ปีเตอร์ ซาลิสบูรี ผู้เชี่ยวชาญด้านเยเมนจากองค์กรนักวิเคราะห์ชัทแธมเฮาส์กล่าวว่าพอไม่มีซาเลห์แล้วซาอุฯ จะยากลำบากมากขึ้นในการสร้างข้อตกลง ซาอุฯ อาจจะวางมือแต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าสหรัฐฯ จะบอกให้ซาอุฯ ทำอะไรบ้างด้วย มีความเป็นไปได้ที่ความรุนแรงอาจจะหนักขึ้น เดอะการ์เดียนระบุอีกว่าในช่วงเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา ทางการซาอุฯ มีความพยายามกำจัดกลุ่มกบฏฮูตีหนักขึ้นหลังจากที่มีการยิงขีปนาวุธที่ทำในอิหร่านจากฐานที่มั่นของฮูตีโดยเล็งเป้าหมายใส่สนามบินนานาชาติในกรุงริยาดเมืองหลวงของซาอุฯ ทำให้ซาอุฯ โต้ตอบด้วยการสกัดกั้นเส้นทางเสบียงสินค้าไม่ให้เข้าไปยังท่าเรือในเมืองที่มีฮูติยึดครองอยู่จนเกิดภาวะขาดแคลน สถานการณ์ด้านมนุษยธรรมในเยเมนตอนนี้กำลังย่ำแย่ ผู้ประสานทางของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ต้องเรียกร้องให้มีการหยุดการสู้รบช่วงกลางวันเพื่อให้พลเรือนที่ติดอยู่ในอาคารท่ามกลางการสู้รบบนท้องถนนสามารถออกไปหาอาหารและน้ำดื่มได้
เรียบเรียงจาก Yemen Houthi rebels kill former president Ali Abdullah Saleh, The Guardian, 04-12-2017
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
เผยยอดพลเรือนเสียชีวิตจากปฏิบัติต้านไอซิส มากกว่าที่กองทัพสหรัฐฯ ระบุ 7 เท่า Posted: 05 Dec 2017 12:53 AM PST องค์กรตรวจสอบและองค์กรสิทธิฯ ระบุตัวเลขพลเรือนผู้เสียชีวิตจากปฏิบัติการทิ้งระเบิดในอิรักและซีเรียช่วงราว 3 ปีที่ผ่านมา เกือบหกพันราย มากกว่าที่ทางการสหรัฐฯ ประเมินเอาไว้ 7 เท่า เรียกร้อง 'ปฏิบัติการต่อต้านกลุ่มไอซิส' โปร่งใส-รับผิดชอบมากกว่านี้ 5 ธ.ค. 2560 คอมมอนดรีมส์ สื่อนอกกระแสจากสหรัฐอเมริกา นำเสนอข้อมูลจากองค์กรตรวจสอบความโปร่งใสกองทัพสหรัฐฯ และองค์กรสิทธิมนุษยชน โดยระบุว่า กลุ่มตรวจสอบอย่างแอร์วอร์ส (Airwars)ประเมินตัวเลขพลเรือนผู้เสียชีวิตจากปฏิบัติการโจมตีทางอากาศต่อต้านกลุ่มก่อการร้ายไอซิส ว่ามีมากกว่าที่ทางการสหรัฐฯ ระบุไว้ 7 เท่า องค์กรแอร์วอร์ส เป็นองค์กรที่นักข่าวรวมกลุ่มกันเพื่อติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสงคราม พวกเขาสำรวจตัวเลขพลเรือนผู้เสียชีวิตจากปฏิบัติการโจมตีทางอากาศในอิรักและซีเรียในช่วงระหว่างเดือน ส.ค. 2557 ถึง ต.ค. 2560 พบว่ามีพลเรือนเสียชีวิต 5,961 ราย ข้อมูลของแอร์วอร์สต่างจากข้อมูลของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ที่ประเมินว่ามีตัวเลขพลเรือนเสียชีวิต 801 ราย เป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นจากเดิม 484 รายจากการประเมินเมื่อ 6 เดือนที่แล้ว ทางรัฐบาลสหรัฐฯ กล่าวว่าพวกเขากำลังพยายามตีตัวเลขจากรายงานจำนวนมากที่ระบุถึงการสูญเสียโดยไม่ได้ตั้งใจ รัฐบาลสหรัฐฯ บันทึกว่าเป็นไปได้ที่จะมีตัวเลขพลเรือนผู้เสียชีวิตจากปฏิบัติการทางอากาศรวมแล้วประมาณ 1,800 ราย ซึ่งยังถือว่าน้อยกว่าจากการประเมินของแอร์วอร์ส อีกองค์กรหนึ่งที่ประเมินตัวเลขพลเรือนผู้เสียชีวิตจากปฏิบัติการของสหรัฐฯ คือแอมเนสตี อินเตอร์เนชันแนล มีการประเมินเมื่อเดือน ก.ค. ที่ผ่านมาว่ามีกลุ่มผู้เสียชีวิตที่ไม่ใช่กองกำลังติดอาวุธอยู่มากกว่า 5,800 ราย ซึ่งเป็นผลจากปฏิบัติการของกลุ่มแนวร่วมต่อต้านไอซิสในประเทศอิรักและซีเรีย รวมถึงรายงานว่าสหรัฐฯ ล้มเหลวในการ "ใช้ความระมัดระวังเพื่อคุ้มครองพลเรือนอย่างมีประสิทธิภาพ" แอมเนสตีฯ รายงานว่ากลุ่มแนวร่วมปฏิบัติการต่อต้านไอซิสโปรยใบปลิวในเขตเมืองที่ถูกควบคุมโดยไอซิสระบุเตือนให้อยู่ห่างจากกลุ่มไอซิสและให้ตากเสื้อผ้าเด็กไว้บนดาดฟ้าอาคารเพื่อระบุว่าเป็นที่อยู่อาศัยของพลเรือน แต่ทว่าวิธีการเตือนเช่นนี้ไม่ได้คำนึงถึงสภาพชีวิตของผู้คนตามความเป็นจริงในการถูกปกครองภายใต้กลุ่มไอซิส เช่นในกรณีทางฝั่งตะวันตกของโมซูลที่ประชาชนทั่วไปไม่สามารถออกห่างจากพวกไอซิสได้ อีกทั้งพวกไอซิสยังจะสังหารทุกคนที่มีใบปลิวอยู่ในมือ และบ้านที่มีการตากเสื้อผ้าเด็กบนดาดฟ้าก็ยังคงถูกโจมตีทางอากาศอยู่ดี ก่อนหน้านี้นิวยอร์กไทม์ยังระบุในรายงานเมื่อเดือน พ.ย. ที่ผ่านมาว่าปฏิบัติการต่อต้านไอซิสของสหรัฐฯ เป็น "สงครามที่มีความโปร่งใสน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกัน" พวกเขาระบุว่ามีจำนวนพลเรือนผู้เสียชีวิตมากกว่าตัวเลขที่รัฐบาลรายงานไว้ถึง 31 เท่า ถึงแม้ว่าปฏิบัติการที่มีสหรัฐฯ หนุนหลังจะทำให้กลุ่มไอซิสสูญเสียการควบคุมเมืองใหญ่ๆ สองเมืองคืออัลรัคคาและโมซูล แต่การทิ้งระเบิดของสหรัฐฯ ก็ทำให้เกิดการนองเลือดต่อพลเรือนเพิ่มมากขึ้น เช่น ในเขตหนึ่งของโมซูลมีพลเรือนเสียชีวิตอย่างน้อย 150 ราย แอร์วอร์สยังประเมินว่ามีเด็กถูกสังหารในปฏิบัติการยึดอัลรัคคา 119 ราย ในเรื่องนี้ทำให้แอมเนสตีฯ ระบุผ่านโซเชียลมีเดียเรียกร้องให้มีการรายงานจำนวนพลเรือนผู้เสียชีวิตอย่างโปร่งใสมากกว่านี้และให้ปฏิบัติการของแนวร่วมต่อต้านไอซิสมีความรับผิดชอบมากกว่านี้
As Military Obscures Bloodshed, Number of Civilians Killed by US Bombs Soaring, Say Watchdogs, Common Dreams, 01-12-2017
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
50 องค์กรในสหรัฐฯ แถลงกรณีความรุนแรงในฮอนดูรัส-ร้องสอบทุจริตเลือกตั้ง Posted: 05 Dec 2017 12:32 AM PST องค์กรภาคประชาสังคมสหรัฐฯ จำนวนมากออกแถลงการณ์กรณีความขัดแย้งเรื่องผลการเลือกตั้งในฮอนดูรัส ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว ชี้เป็นผลพวงต่อเนื่องจากที่สหรัฐฯ เคยสนับสนุนรัฐประหารในปี 2552 เรียกร้องให้สหรัฐฯ หยุดสนับสนุนฝ่ายความมั่นคงของฮอนดูรัส และให้มีการสืบสวนอย่างอิสระต่อข้อกล่าวหาโกงการเลือกตั้งและความรุนแรงจากรัฐ ในไม่กี่วันที่ผ่านมา ชาวฮอนดูรัสจำนวนมากออกมาประท้วงแสดงความไม่พอใจต่อการกระทำของรัฐบาลที่พวกเขามองว่าเป็นการพยายาม "ขโมย" การเลือกตั้งจากพวกเขาไปโดยการยืดเยื้อไม่ยอมประกาศผลการเลือกตั้ง หลังจากที่มีการให้ประชาชนไปลงคะแนนมาแล้วตั้งแต่วันที่ 26 พ.ย. ที่ผ่านมา การนับคะแนนที่ยืดเยื้อมาเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ทำให้มีประชาชนออกมาชุมนุมแสดงความไม่พอใจและถูกปราบปรามอย่างรุนแรงในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้ประท้วงกังวลว่าจะมีการโกงผลโหวตโดยฝ่ายพรรคเนชันแนลซึ่งนำโดยฮวน ออร์ลันโด เฮอร์นันเดซ พรรคฝ่ายขวาที่มีอำนาจหลังการรัฐประหารที่มีสหรัฐฯ หนุนหลังเมื่อปี 2552 โดยในช่วงหลังเลือกตั้งไม่นาน ผลการนับคะแนนเอียงข้างไปในทางฝ่ายซ้าย (Libre-PINU) นำโดย ซัลวาดอร์ นาสรัลลา เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2560 องค์กรสิทธิมนุษยชน 50 องค์กรในสหรัฐฯ ร่วมกันออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ฮอนดูรัสมีความโปร่งใสในกระบวนการเลือกตั้ง เอลิซ โรเบิร์ตส จากองค์กรผู้ประสานงานประจักษ์พยานแห่งสันติสหรัฐฯ (National Coordinator of Witness for Peace) ระบุว่าหลังจากที่พวกเขาสังเกตการณ์และบันทึกเหตุการณ์การเลือกตั้งในฮอนดูรัสช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาพวกเขาก็มีความกังวลเกี่ยวกับกระบวนการเลือกตั้งและการใช้ความรุนแรงโดยรัฐ รวมถึงการทุจริต ไร้ความโปร่งใสในกระบวนการเลือกตั้ง โดยชี้ว่า สหรัฐฯ ก็มีส่วนเกี่ยวข้องจากการให้งบแก่หน่วยงานความมั่นคงและให้อาวุธกับทางการฮอนดูรัสในการใช้ความรุนแรงกับประชาชน มีผู้ร่วมงานของพวกเขาในฮอนดูรัสมองว่านี่เป็น "ช่วงระยะสุดท้ายของการรัฐประหาร" ที่สหรัฐฯ เคยหนุนหลัง โรเบิร์ตส เรียกร้องให้ประชาชนชาวสหรัฐฯ และรัฐบาลสหรัฐฯ หันมาสนับสนุนการสืบสวนอย่างอิสระในกรณีที่มีข้อกล่าวหาว่ามีการโกงการเลือกตั้งและความรุนแรงจากรัฐ และเรียกร้องสหรัฐฯ เลิกสนับสนุนกองกำลังความมั่นคงของฮอนดูรัส เหตุความรุนแรงในฮอนดูรัสส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตไปแล้วอย่างน้อย 7 ราย และมากกว่า 20 รายได้รับบาดเจ็บ หนึ่งในกรณีที่เสียชีวิตเป็นหญิงวัยรุ่นอายุ 19 ปี ที่ถูกสังหารจากเหตุการณ์ที่กองทัพเปิดฉากยิงใส่ผู้ประท้วงที่ไม่มีอาวุธ มีการประกาศเคอร์ฟิวตั้วแต่วันที่ 30 พ.ย. เป็นต้นมา อีกทั้งยังมีรายงานว่ามีการกวาดต้อนจับกุมผู้คนด้วย กลุ่มนักสิทธิมนุษยชนโต๊ะกลมแห่งฮอนดูรัสระบุว่าการกระทำของรัฐบาลถือเป็น "การก่อการร้ายโดยรัฐต่อประชาชน" ชุงหวาหง ผู้อำนวยการบริหารขององค์กรคนรากหญ้านานาชาติ (Grassroots International) กล่าวว่า การรัฐประหารในฮอนดูรัสเมื่อปี 2552 ที่รัฐบาลสหรัฐฯ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยนั้นทำให้ 8 ปีของฮอนดูรัสเต็มไปด้วยความรุนแรง ความยากจนแบบดิ่งลงเรื่อยๆ และเกิดการปราบปรามผู้ต่อต้านอย่างโหดเหี้ยม ในฐานะที่พวกเขาเป็นกลุ่มองค์กรที่มีฐานอยู่ในสหรัฐฯ พวกเขาจะปล่อยให้รัฐบาลสหรัฐฯ และฮอนดูรัสก่อโศกนาฏกรรมซ้ำๆ อย่างการทำลายประชาธิปไตยต่อไปไม่ได้ กลุ่มองค์กรภาคประชาสังคมในสหรัฐฯ ที่ร่วมลงนามในครั้งนี้นอกจากองค์กรคนรากหญ้านานาชาติและองค์กรผู้ประสานงานประจักษ์พยานแห่งสันติสหรัฐฯ แล้ว ยังมีองค์กรอื่นๆ เช่น องค์กรสตรีเพื่อสันติภาพโค้ดพิงค์ (Code Pink) องค์กรสำนักงานมิตรภาพแห่งอเมริกา (The Friendship Office of the Americas) ที่ทำงานด้านความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนสหรัฐฯ กับนิคารากัว และฮอนดูรัส ฯลฯ ขณะที่สื่อทั่วโลกรายงานข่าวสถานการณ์ฮอนดูรัสในแบบที่ทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจต่อคณะตุลาการศาลว่าด้วยการเลือกตั้งระหว่างประเทศ (TSE) ซึ่งถูกแต่งตั้งโดยพรรคผู้นำรัฐบาลให้มาดูแลการเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม TSE ระบุว่าสาเหตุที่การนับคะแนนในตอนแรกพรรคแนวร่วมฝ่ายซ้ายดูจะเป็นคนนำ แต่พอถึงช่วงกลางสัปดาห์พรรคเนชันแนลเหมือนจะตีตื้นขึ้นมาได้นั้นเป็นเพราะว่าในช่วงกลางสัปดาห์มีการนับคะแนนจากกลุ่มพื้นที่ที่สนับสนุนพรรคเนชันแนล พวกเขาเชื่อว่าถ้านับคะแนนจากพื้นที่ที่สนับสนุนนาสรัลลาแห่งพรรคแนวร่วมฝ่ายซ้าย ด้วยแล้วก็อาจจะทำให้พรรคแนวร่วมฝ่ายซ้ายเป็นฝ่ายนำต่อไปได้ ทาง TSE ระบุอีกว่าสาเหตุที่การนับผลคะแนนล่าช้าเป็นเพราะการลงคะแนนในพื้นที่ชนบทมีความล่าช้าและคอมพิวเตอร์ขัดข้อง ทำให้เกิดการหยุดนับคะแนนชั่วคราว 10-12 ชั่วโมง มาริโอ โลโบ หัวหน้าผู้พิพากษาประจำ TSE กล่าวว่าพวกเขาจะต้องทำตามข้อเรียกร้องของฝ่ายค้านในเรื่องความโปร่งใส ไม่เช่นนั้นกระบวนการจะล่าช้าไปอีกและทำให้เกิดข้อกังขาต่อความชอบธรรมของกระบวนการ ในแถลงการณ์ของกลุ่มภาคประชาสังคมสหรัฐฯ ยังระบุถึงสิทธิของชนพื้นเมืองและเกษตรกรผู้ต่อสู้ปกป้องผืนดินของตัวเองแบบที่เรียกว่าคัมเปซินา โดยที่ซินดี ไวสเนอร์ จากกลุ่มสมาพันธ์เพื่อความเป็นธรรมระดับโลกของชาวรากหญ้า (Grassroots Global Justice Alliance) บอกว่าแม้จะถูกข่มขู่แต่ก็ยังออกมาเลือกตั้งเพราะต้องการแสดงให้เห็นว่าพวกเขาอยากปกป้องผืนดินของตัวเอง ปกป้องสิทธิมนุษยชนและต้องการความเปลี่ยนแปลง โดยในแถลงการณ์ยังเรียกร้องให้เคารพต่อสิทธิของคนกลุ่มนี้ที่มักจะถูกปราบปรามจากกองทัพรัฐบาลฮอนดูรัสด้วย
Honduras troops shoot dead teenage girl amid election crisis protests, The Guardian, 02-12-2017 US Outrage Grows at Risk of Honduran Election Theft, 50 Groups Join Call, 02-12-2017 Honduras election: Tensions high as vote count delayed, Aljazeera, 01-12-2017
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
'หมอเลี้ยบ' ชี้ 3 ปัจจัยทำ รพ.ขาดทุน อย่าพูดง่ายๆ ต้องดูให้ชัดว่ามีสาเหตุจากอะไร Posted: 04 Dec 2017 11:59 PM PST หมอเลี้ยบชี้กระแสดราม่า 'ตูน บอดี้สแลม' วิ่งหาเงินช่วยโรงพยาบาลอาจเป็ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่ 5 ธ.ค.2560 รายงานข่าวแจ้งว่ากลุ่มอาสาวิชาการ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้จัดเสวนาวิชาการเรื่อง "งบ'สาธารณสุข กับเรื่องที่คุณควรรู้" ร่ นพ.สุรพงษ์ กล่าวว่า ตูนออกมาวิ่ง 2 ครั้ง ครั้งแรกปี 2559 เพื่อหาเงินช่ "หลายยุคของกระทรวงสาธารณสุขเป็ สำหรับประเด็นเรื่ นพ.สุรพงษ์ ยกตัวอย่างในประเด็ "เกิดอะไรขึ้น คน 2 แสนคนเท่ากัน แต่จำนวนเตียงที่รองรับไม่เท่ "ฉะนั้นต้องมานั่งไล่ดูทุกแห่ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
[สปอยล์] เต๋อ-นวพล คุยกับคนดูว่าด้วยเบื้องหลังการทำหนัง Die Tomorrow Posted: 04 Dec 2017 08:29 PM PST หมายเหตุ: เรียบเรียงจากเวที Q&A ถาม-ตอบเรื่องการกำกับและเขียนบทหนังกับ เต๋อ-นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ ผู้กำกับภาพยนตร์ Die Tomorrow เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2560 ที่ SFW เซ็นทรัลเวิลด์ หลังจบภาพยนตร์ ในรอบ 17.00 น. ดำเนินรายการโดย นคร โพธิ์ไพโรจน์ กองบรรณาธิการนิตยสารไบโอสโคป
ตัวละคร ภายใน / โรงฉายภาพยนตร์โรงที่ 8 / กลางคืน |
You are subscribed to email updates from ประชาไท. To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google, 1600 Amphitheatre Parkway, Mountain View, CA 94043, United States |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น