ประชาไท | Prachatai3.info |
- สนช. มีมติประกาศให้ร่าง พ.ร.บ.การบริหารการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กฯ ใช้เป็นกฎหมาย
- กวีประชาไท: ใจถึง ย่อมถึงใจ
- นิธิ เอียวศรีวงศ์: ความก้าวหน้าท่ามกลางความล้าหลัง
- 2 องค์กรสิทธิฯ ร้องยุติการดำเนินคดีกับผู้ใช้เสรีภาพในการแสดงออก กรณีหมวดเจี๊ยบ
- สนช.เห็นชอบร่างกฎหมาย ป.ป.ช. ให้ กก.ชุดปัจจุบันอยู่จนครบวาระ 9 ปี
- หลังคสช. ขยายเวลาพรรคการเมือง ปชป.ชี้นี่คือการเซตซีโร่ เอื้อประโยชน์พรรคใหม่
- 39 ปี ซีไรต์
- มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเผยยอดร้องเรียนสินค้าบริการพุ่ง 41% ของปัญหาผู้บริโภครอบปี 60
- วิพากษ์ความคิด 'ดำรง พุฒตาล'
- ผลสำรวจพบแรงงานสิ่งทอในพม่ามีรายได้เฉลี่ยแค่ 2,867 บาท/เดือน
- นิมิตร์ เทียนอุดม: “เพราะวิธีคิดตั้งต้นของรัฐเริ่มจากความไม่เป็นธรรม” กับปัญหาในระบบหลักประกันสุขภาพฯ
สนช. มีมติประกาศให้ร่าง พ.ร.บ.การบริหารการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กฯ ใช้เป็นกฎหมาย Posted: 25 Dec 2017 12:02 PM PST สนช.มีมติประกาศให้ ร่าง พ.ร.บ.การบริหารการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนที่กระทำผิด พ.ศ. .... ประกาศใช้เป็นกฎหมาย ด้วยคะแนนเห็นด้วย 171 เสียง 25 ธ.ค. 2560 เว็บไซต์วิทยุและโทรทัศน์รัฐสภารายงานว่า วันนี้ การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่มี สุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธาน สนช.คนที่ 1 เป็นประธานการประชุม มีมติประกาศให้ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การบริหารการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนที่กระทำผิด พ.ศ. .... ประกาศใช้เป็นกฎหมาย ด้วยคะแนนเห็นด้วย 171 เสียง ไม่เห็นด้วยไม่มี งดออกเสียง 3 เสียง รายงานข่าวระบุด้วยว่า สำหรับเหตุผลที่ต้องตราร่าง พ.ร.บ. การบริหารการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนที่กระทำผิด พ.ศ. .... เนื่องจากปัจจุบันการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับเด็กและเยาวชนที่กระทำความผิดยังขาดกลไกในการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนในเชิงบูรณาการ สมควรกำหนดแนวทางในการบริหารการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูดังกล่าว เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้รับการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูและฝึกอบรมในด้านต่างๆ จึงมีความจำเป็นต้องจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลบางประการ เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองสวัสดิภาพของเด็กและเยาวชนที่กระทำผิด ตลอดจนกำหนดสิทธิ หน้าที่และประโยชน์ที่เด็กและเยาวชนควรได้รับในระหว่างการควบคุมดูแลของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน การจำแนกประเภทเด็กและเยาวชน การกำหนดมาตรฐานการดำเนินงานของเจ้าพนักงานพินิจและสถานที่ควบคุม การเตรียมความพร้อมก่อนปล่อยและกำหนดให้มีระบบสงเคราะห์ช่วยเหลือและติดตามภายหลังปล่อยจากสถานที่ควบคุม รวมทั้งจัดให้มีความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐกับเอกชนและกำหนดโทษทางอาญาสำหรับการกระทำบางอย่าง เพื่อให้การแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
Posted: 25 Dec 2017 06:47 AM PST
ใจถึงใจ มีใจ ใจจึงถึง ใจซาบซึ้ง จริงใจ ใช่เพ้อฝัน
*ซึ้งในน้ำใจเพื่อนมิตรสหายและมิตรรุ่นน้อง เขียนเมื่อ 16 ธันวาคม นอกราชอาณาจักรกะลาแลนด์ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
นิธิ เอียวศรีวงศ์: ความก้าวหน้าท่ามกลางความล้าหลัง Posted: 25 Dec 2017 06:16 AM PST
ใน ม.14 ของ "พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ.2475" หรือรัฐธรรมนูญฉบับแรกของไทย ซึ่งประกาศใช้ในวันที่ 27 มิถุนายนศกนั้น ระบุว่า "ราษฎรไม่ว่าเพศใด เมื่อมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ ย่อมมีสิทธิออกเสียง…เลือกผู้แทน…" ผู้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ซึ่งพยายามทำให้สั้น กระชับที่สุดอยู่แล้ว ยังอุตส่าห์เติมวลีว่า "ไม่ว่าเพศใด" เพื่อจะยืนยันว่ารวมทั้งผู้หญิงด้วย หากร่างในปัจจุบันก็ไม่จำเป็นต้องมีวลีนี้เลย เพราะเราทุกคนต่างเคยชินกับสิทธิเลือกตั้งอย่างสมบูรณ์ของผู้หญิงอยู่แล้ว ใน พ.ศ.2475 หรือ ค.ศ.1932 ไม่มีประเทศใดสักประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือทั้งเอเชียเลยก็ว่าได้ ที่ให้สิทธิเลือกตั้งอย่างสมบูรณ์แก่ผู้หญิง (ยกเว้นตุรกี) คำว่าสิทธิอย่างสมบูรณ์ในการเลือกตั้งไม่ได้หมายความเพียงมีสิทธิเดินเข้าคูหาไปหย่อนบัตรเท่านั้นนะครับ แต่รวมถึงสมัครรับเลือกตั้งก็ได้ด้วย ดังนั้น หากมองสิทธิสมบูรณ์ระดับนี้ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ก้าวหน้ากว่าประเทศในยุโรปอีกหลายประเทศ ซึ่งให้แต่สิทธิเลือกตั้งแก่ผู้หญิง แต่ไม่ให้สิทธิรับเลือกตั้ง และว่าที่จริงส่วนใหญ่ของยุโรป เพิ่งให้สิทธิเลือกตั้งแก่ผู้หญิงอย่างเต็มที่ก็ต่อเมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 คือนับตั้งแต่ ค.ศ.1919 เป็นต้นมา ก่อนไทยไม่เกินสิบกว่าปี แม้กระนั้นไทยก็ให้สิทธิเลือกตั้งแก่ผู้หญิงก่อนฝรั่งเศส, เบลเยียม, อิตาลี, โรมาเนีย, ยูโกสลาเวีย, สวิตเซอร์แลนด์ และลิกเตนสไตน์ รวมทั้งก่อนส่วนใหญ่ของประเทศละตินอเมริกา ความก้าวหน้าอีกอย่างในเรื่องสิทธิเลือกตั้งของสยามหรือไทย คือในรัฐธรรมนูญฉบับแรกไม่ได้กำหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิเกี่ยวกับทรัพย์สิน, การศึกษา, หรือสถานภาพทางเศรษฐกิจ-สังคมอื่นใดเลย คุณสมบัติเหล่านี้เป็นเงื่อนไขสำคัญที่ชนชั้นนำในประเทศต่างๆ มักใช้เพื่อถ่วงดุลแรงกดดันของพลเมืองในการมีส่วนร่วมทางการเมือง และต้องใช้เวลาหลายทศวรรษกว่าจะยอมเปิดกว้างให้ผู้ชายทุกคนมีสิทธิเลือกตั้งอย่างสมบูรณ์ได้ อย่างไรก็ตาม ตกถึง 1932 ในประเทศตะวันตกเกือบทุกประเทศ คุณสมบัติด้านทรัพย์สินมักไม่ถูกนับเป็นเงื่อนไขของสิทธิเลือกตั้งอันเป็นสากลแก่ผู้ชายไปหมดแล้ว จึงจะนับไทยเป็นความ "ก้าวหน้า" ได้ไม่สู้สนิทนัก แม้กระนั้นคุณสมบัติด้านทรัพย์สินและสถานภาพก็ยังถูกใช้ในการจำกัดสิทธิเลือกตั้งในประเทศอาณานิคมเอเชียและญี่ปุ่น ตราบจนญี่ปุ่นแพ้สงคราม ผู้หญิงญี่ปุ่นไม่มีสิทธิเลือกตั้งเลย ซ้ำผู้ชายเพียงประมาณไม่ถึงครึ่งหนึ่ง (บางแห่งว่าเพียง 25%) เท่านั้นที่มีสิทธิเลือกตั้ง รัฐธรรมนูญที่อเมริการ่างขึ้นต่างหากที่ให้สิทธิเลือกตั้งอันเป็นสากลแก่ชาย-หญิงญี่ปุ่น แต่กรณีญี่ปุ่นเตือนให้เราสำนึกได้ว่า เหตุใดคณะราษฎรของไทยจึงให้สิทธิเลือกตั้งอันเป็นสากลแก่พลเมืองทันที โดยเฉพาะไม่ตั้งเงื่อนไขด้านทรัพย์สินหรือสถานภาพด้านอื่นใด ทั้งนี้เพราะการปฏิวัติของสยามเกิดจากคนที่อยู่นอกแกนกลางของชนชั้นนำ ในขณะที่ในญี่ปุ่น (เช่นเดียวกับในประเทศในยุโรปตะวันตกอีกหลายประเทศ) เกิดขึ้นจากชนชั้นนำที่อยู่ในแกนกลางของอำนาจเลย ดังนั้น หากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สยามถูกกดดันให้ต้องเปิดพื้นที่ทางการเมืองแก่พลเมืองเอง ก็เป็นไปได้ว่าสิทธิเลือกตั้งอันเป็นสากลจะยังไม่มี ต้องมีคุณสมบัติด้านทรัพย์สินและสถานภาพจำกัดผู้มีสิทธิเลือกตั้งเอาไว้ในระดับหนึ่งอย่างแน่นอน การให้สิทธิเลือกตั้งแก่ผู้หญิงอย่างไม่มีข้อจำกัดใดๆ เลยนั้นเป็นความ "ก้าวหน้า" แน่ ไม่ว่าจะเปรียบเทียบกับภูมิภาคใดในโลกก็ตาม ผู้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนั้นน่าจะเป็นท่านรัฐบุรุษอาวุโสปรีดี พนมยงค์ เพียงคนเดียว สถานการณ์ก่อนการยึดอำนาจทำให้จะร่างเก็บไว้เป็นเวลานานไม่ได้ เพราะจะกลายเป็นหลักฐานเอาผิดได้ฉกรรจ์หากถูกจับได้เสียก่อน เที่ยวนำไปปรึกษาใครก็ไม่ได้ เพราะจะทำให้ความลับถูกแพร่งพราย (แม้แต่กับท่านผู้หญิงพูนสุข ท่านก็ไม่แพร่งพรายสิ่งใดเลย) ในฐานะนักเรียนยุโรป ท่านปรีดีย่อมได้รู้เห็นเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิเลือกตั้งของสตรีในหลายประเทศ แต่การตัดสินใจว่าไทยควรเดินตามนั้น ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นง่ายๆ เพราะแม้แต่ในฝรั่งเศสซึ่งท่านไปพำนักและเล่าเรียน ก็ไม่ได้ให้สิทธินี้แก่ผู้หญิง พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ เรื่องสิทธิเลือกตั้งของผู้หญิงในสมัยนั้น เป็นประเด็นที่ยังถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง ไม่มีคำตอบสำเร็จรูปให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ต้องใช้สติปัญญาคิดไตร่ตรองอย่างรอบคอบเอาเองว่า สิทธิเสมอภาคระหว่างเพศมีความสำคัญเพียงไร ผมขอออกนอกเรื่องตรงนี้ด้วยว่า ที่มักพูดกันว่าการเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทย ก็เพียงแค่ไปลอกเลียนระบบการปกครองของยุโรปมาสวมให้แก่ไทยเท่านั้น ไม่เป็นความจริงหรอกครับ เป็นการพูดตื้นๆ ของนักเรียนอเมริกันสมัยหลัง คิดเพียงแต่จะลอกหรือไม่ลอกครูอเมริกันเท่านั้น ถึงแม้ว่าแม่แบบการปกครองอาจมาจากตะวันตกจริง แต่ไม่ได้มีแม่แบบให้ลอกเพียงอย่างเดียว ยุโรปสมัยนั้นมีอะไรต้องเลือกมากทีเดียว โดยเฉพาะนับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นต้นมา มีความล้มเหลวและความสำเร็จในระบบของยุโรปหลายด้าน ซึ่งสงครามใหญ่ได้เผยให้ใครๆ ก็เห็นได้ง่าย ไม่เฉพาะแต่ด้านการเมืองการปกครองเท่านั้น แต่รวมด้านอื่นๆ เช่นเศรษฐกิจ, สังคม, หรือแม้แต่ศาสนาและศีลธรรม เกิดคำถามกับเรื่องใหญ่ๆ เหล่านี้มาก กว่าจะมาตกผลึกทางความคิดเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรก ก็ต้องผ่านการคิดและการศึกษามาอย่างกว้างขวางมาก ลองอ่านรัฐธรรมนูญฉบับแรกให้ดีเถิด จะเห็นได้ว่าเป็นรัฐธรรมนูญของระบบ "ปฏิวัติ" ที่ไม่เหมือนกับประเทศใด เอื้อต่อลักษณะเฉพาะของสังคมไทย, เอื้อต่อลักษณะเฉพาะของคณะปฏิวัติเอง ซึ่งไม่สามารถยึดอำนาจได้เด็ดขาด, แตกต่างจากรัฐธรรมนูญของระบอบปฏิวัติที่ชนชั้นนำเองเป็นผู้ยึดอำนาจการปกครอง, หรือการปฏิวัติที่นักปฏิวัติได้ชัยชนะเด็ดขาด ฯลฯ การให้สิทธิเลือกตั้งอย่างสมบูรณ์แก่ผู้หญิงจึงเป็นความก้าวหน้าอย่างมากในตัวของมันเอง ไม่ว่าจะเปรียบกับประเทศใดในภูมิภาคต่างๆ ของโลก ทั้งเป็นความคิดที่ก้าวหน้าของปัญญาชนไทยเองมากกว่าการเดินตามตะวันตกอย่างมืดบอด ที่น่าประหลาดก็คือความคิดที่ก้าวหน้าอย่างยิ่งอันนี้กลับ "ติด" ในสังคมไทย กล่าวคือ รัฐธรรมนูญที่ตามมาทุกฉบับ อาจถอยหลังในเรื่องต่างๆ หลายด้าน แต่ด้านสิทธิเลือกตั้งของผู้หญิงดำรงอยู่อย่างไม่เปลี่ยนแปลงเลยจนถึงทุกวันนี้ อย่างน้อยในทางทฤษฎี สังคมไทยยอมรับสิทธิทางการเมืองของพลเมืองอย่างเท่าเทียมกัน (ทั้งระหว่างชนชั้นและระหว่างเพศ) โดยไม่มีใครตั้งคำถามกับหลักการข้อนี้เลย อย่างน้อยก็ไม่ตั้งคำถามอย่างออกหน้า จนกระทั่งมาถึงนักคิดของ กปปส. ที่ประกาศว่าคนไม่เท่ากัน จนกลายเป็นฐานคิดหลักอันหนึ่งของรัฐธรรมนูญฉบับของคณะรัฐประหารปัจจุบัน แม้ความคิดที่ก้าวหน้าของท่านปรีดีในเรื่องนี้ดำรงอยู่สืบมาได้ แต่ก็อย่างที่รู้กันอยู่แล้วว่า ความก้าวหน้าด้านอื่นๆ ไม่ยืนยงเหมือนสิทธิเลือกตั้งอันเป็นสากลของผู้หญิง เหตุที่เป็นเช่นนี้คงมีหลายอย่าง แต่ผมอยากพูดถึงเงื่อนไขอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ประชาธิปไตยไทยล้มลุกคลุกคลานมาแต่ต้น ซึ่งไม่ค่อยได้ยินคนพูดถึงมากนัก นั่นก็คือสยามในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ล้าหลังทางการเมืองอย่างยิ่ง ไม่ต้องไปเปรียบกับประเทศตะวันตกหรอกครับ แม้แต่เปรียบกับเพื่อนบ้านในภูมิภาคเดียวกัน ซึ่งล้วนตกเป็นอาณานิคมอย่างเป็นทางการหมด ก็ยังต้องถือว่าล้าหลังทางการเมืองอย่างยิ่ง เพราะส่วนใหญ่ของอาณานิคมเหล่านั้น ล้วนมี "สภา" ในรูปแบบต่างๆ ซึ่งสมาชิกถูกสมมติให้เป็น "ตัวแทน" ของกลุ่มผลประโยชน์หลากหลายกลุ่มในสังคม ก่อนจะพูดถึงสถาบัน "ตัวแทน" เหล่านี้ในบางอาณานิคม ผมขอสรุปพัฒนาการของสถาบันเช่นนี้ในอาณานิคมอย่างสั้นๆ ไว้ก่อน ตกมาถึงศตวรรษที่ 20 คนตะวันตกเคยชินเสียแล้วกับการปกครองด้วยกฏหมาย ทำให้การตัดสินใจของบุคคลไม่ว่าจะมีตำแหน่งสูงเพียงไร ย่อมถูกจำกัดไว้ในกรอบของกฏหมายเสมอ ด้วยเหตุดังนั้นจึงคุ้นเคยกับกระบวนการตัดสินใจผ่านการปรึกษาหารือในหมู่ผู้มีอำนาจด้วยกัน นับตั้งแต่ได้ดินแดนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นอาณานิคม เจ้าอาณานิคมตะวันตกมักตั้งสภาที่ปรึกษาให้แก่ผู้ว่าราชการใหญ่ สมาชิกคือข้าราชการหรือพนักงานของบริษัทการค้าที่มายึดดินแดน ซึ่งได้รับแต่งตั้งมาจากสำนักงานใหญ่ในยุโรปให้ดำรงตำแหน่ง (เพื่อให้อำนาจของเขาเป็นอิสระจากผู้ว่าราชการใหญ่) ความเปลี่ยนแปลงของสถาบันเช่นนี้ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 และ 20 ก็คือ คนกลุ่มอื่นเรียกร้องขอเข้ามามีส่วนร่วมใน "สภา" เช่นนี้ด้วย ทีแรกก็อาจเป็นพ่อค้าฝรั่งหรือผู้ประกอบการฝรั่งในอาณานิคม ต่อมาก็พ่อค้าจีนหรืออินเดีย และในที่สุดก็ชาวพื้นเมือง เป็นสมาชิกจากการแต่งตั้งล้วนๆ ก็มีสมาชิกจากการเลือกตั้งผสมเข้ามา จนในที่สุดอาจกลายเป็นเสียงส่วนใหญ่ของสภาในบางอาณานิคม จากหน้าที่เพียงให้คำปรึกษา ก็กลายมาเป็นการอนุมัติ และพอถึงศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ก็มีอำนาจเฉพาะของตนเอง เช่น ออกกฎหมาย หรือในบางอาณานิคมถึงกับมีชาวพื้นเมืองเข้าไปร่วมในคณะรัฐมนตรี โดยเฉพาะในกระทรวงที่เจ้าอาณานิคมไม่ได้สงวนเอาไว้ ผมไม่ได้หมายความว่า สภาเหล่านั้นทำงานอย่างได้ผลดีในการปกครองตนเองนะครับ มีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้ล้มเหลว ทั้งจากเจตนาของเจ้าอาณานิคมเอง หรือเกิดขึ้นจากปัจจัยที่เจ้าอาณานิคมไม่ได้ตั้งใจให้เกิดขึ้น (ยังมีต่อ)
หมายเหตุ: เผยแพร่ครั้งแรกใน มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 15 - 21 ธันวาคม 2560 ที่มา: www.matichonweekly.com ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
2 องค์กรสิทธิฯ ร้องยุติการดำเนินคดีกับผู้ใช้เสรีภาพในการแสดงออก กรณีหมวดเจี๊ยบ Posted: 25 Dec 2017 05:48 AM PST 'ศูนย์ทนายเพื่อสิทธิ-สมาคมสิทธิเสรีภาพ' ร้องจนท.ยุติดำเนินคดีต่อผู้วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลหรือ คสช. โดยสุจริตรวมถึงกรณี ร.ท.หญิง สุณิสา หวังรักษากระบวนการยุติธรรมไม่ให้ตกเป็นเครื่องมือผู้มีอำนาจ และบังคับใช้กฎหมายอย่างสุจริตคุ้มครองสิทธิเสรีภาพประชาชน ร.ท.หญิง สุณิสา (คนกลาง) ขณะเข้ารับทราบข้อกล่าวหาเพิ่มอีก 3 กระทง เมื่อวันที่ 20 ธ.ค.ที่ผ่านมา (ที่มาภาพ Banrasdr Photo) 25 ธ.ค. 2560 จากกรณี่ช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาพ.อ. บุรินทร์ ทองประไพ ฝ่ายกฎหมายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้เข้าแจ้งความว่า ร.ท.หญิง สุณิสา ทิวากรดำรง (เลิศภควัต) โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊คส่วนตัววิพากษ์วิจารณ์การทำงานของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. และรัฐบาล เป็นการกระทำความผิดฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน และกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใด อันไม่ใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือไม่ใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต ตามมาตรา 14 พระราชบัญญัติการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และมาตรา 116 ประมวลกฎหมายอาญา รวม 2 คดี 9 ข้อความ และยังมีการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมอีกเป็นคดีที่ 3 นั้น วานนี้ (25 ธ.ค.60) ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนและสมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.) มีได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยุติการดำเนินคดีต่อบุคคลซึ่งวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลหรือ คสช. โดยสุจริตรวมถึงกรณี ร.ท.หญิง สุณิสา ทิวากรดำรง เพื่อรักษากระบวนการยุติธรรมไม่ให้ตกเป็นเครื่องมือของผู้มีอำนาจ และบังคับใช้กฎหมายอย่างสุจริตเพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน ทั้ง 2 องค์กรสิทธิยังออกความเห็น 3 ประเด็น ประกอบด้วย ข้อ 1. ตลอดระยะเวลา 3 ปี 7 เดือน ซึ่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติเข้ายึดอำนาจการปกครองประเทศ ได้ใช้กลไกกฎหมายในการควบคุมการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชน และมาตรา 116 ประมวลกฎหมายอาญา เป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่คณะรักษาความสงบแห่งชาตินำมาบังคับใช้อย่างกว้างขวางเพื่อปิดกั้นและคุกคามเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน แม้คดีจะไม่เข้าข่ายความผิดตามมาตราดังกล่าวก็ตาม อาทิเช่น คดีขันแดง คดีโพสต์แผนผังราชภักดิ์ คดีโพสต์กล่าวหาพลเอกประยุทธ์โอนเงินไปต่างประเทศ หรือคดีของประวิตร โรจนพฤกษ์ ล้วนเป็นการดำเนินคดีเพื่อให้ประชาชนหยุดวิพากษ์วิจารณ์ คสช. หรือรัฐบาล เช่นเดียวกับกรณี ร.ท.หญิง สุณิสา ทิวากรดำรง ซึ่งถูกฝ่ายกฎหมายของ คสช. ดำเนินคดีเพื่อให้ยุติการวิจารณ์รัฐบาล ข้อ 2. ประเทศไทยในฐานะรัฐภาคีของพันธกรณีระหว่างประเทศหลายฉบับ มีพันธกิจที่ต้องปฏิบัติตาม โดยรัฐไทยต้องรับรอง เคารพ คุ้มครอง และส่งเสริมให้ประชาชนสามารถใช้สิทธิเสรีภาพนั้นได้อย่างไม่เลือกปฏิบัติ สอดคล้องกับข้อ 19 แห่งกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ซึ่งรับรองว่า บุคคลมีสิทธิที่จะแสดงความเห็นโดยปราศจากการแทรกแซง รทั้งนี้ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติยังเคยมีข้อสังเกตเชิงสรุปต่อประเทศไทยเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2560 ว่า รัฐไทยควรงดเว้นการใช้พระราชบัญญัติการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ และกฎหมายอาญาเพื่อปราบปรามการแสดงความเห็นในเชิงวิพากษ์วิจารณ์และไม่เห็นพ้องกับรัฐ
ข้อ 3. เสรีภาพในการแสดงออกเป็นหัวใจสำคัญในการปกครองระบอบประชาธิปไตย ประชาชนย่อมมีสิทธิวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของบุคคลใดก็ตามซึ่งใช้ภาษีในการบริหารประเทศ การที่บุคคลอย่างในกรณีล่าสุดคือ ร.ท.หญิง สุณิสา ทิวากรดำรง ใช้เสรีภาพในการแสดงออกของตนวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐ แต่กลับถูกเจ้าหน้าที่รัฐซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้แทนของคณะรัฐประหารดำเนินคดีด้วยมาตรา 116 นั้น เป็นเครื่องบ่งชี้อันสำคัญว่าการประกาศให้สิทธิมนุษยชนเป็นวาระแห่งชาติในปี 2561-2562 ของรัฐไทยไม่เกิดผลได้จริง และการรักษากฎหมายตามที่ คสช. กล่าวอ้าง แท้แล้วคือการใช้กฎหมายเป็นอำนาจในการบั่นทอนหลักนิติรัฐของประเทศไทย ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
สนช.เห็นชอบร่างกฎหมาย ป.ป.ช. ให้ กก.ชุดปัจจุบันอยู่จนครบวาระ 9 ปี Posted: 25 Dec 2017 04:21 AM PST สนช.เห็นชอบร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ให้กรรมการ ป.ป.ช.ชุดปัจจุบันดำรงตำแหน่งจนครบวาระ 9 ปี พร้อมเห็นชอบตั้งกรรมาธิการฯ ตรวจสอบประวัติ 7 ว่าที่ กกต. ชุดใหม่ กมธ.พิจารณาร่างกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส. เผยหารือครบทุกมาตราแล้ว 25 ธ.ค. 2560 รายงานข่าวระบุว่า การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) วันนี้ เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ วาระ 3 ซึ่งสมาชิก สนช.ส่วนใหญ่ได้ลงมติเห็นชอบในทิศทางเดียวกัน ยกเว้นมตรา 178 ซึ่งเป็นไฮไลท์สำคัญที่กรรมาธิการฯ ปรับแก้ว่า ให้กรรมการ ป.ป.ช.ชุดปัจจุบันอยู่ทำหน้าที่ต่อจนครบวาระ 9 ปี จากเดิมคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กำหนดให้อยู่ต่อได้เฉพาะ ป.ป.ช.ที่มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยสมาชิก สนช. ส่วนใหญ่ลงมติด้วยคะแนน 157 เสียง แต่มีจำนวน 26 คนลงมติไม่เห็นชอบ และงดออกเสียงจำนวน 29 คน ท่ามกลางเสียงคัดค้านของ สนช.บางส่วน และกรรมการร่างรัฐธรรมนูญที่มองว่าการปรับแก้ด้วยการยกเว้นไม่ให้นำคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของ ป.ป.ช.บางเรื่องมาบังคับใช้ อาจสุ่มเสี่ยงต่อการขัดรัฐธรรมนูญ ส่วนประเด็นการยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน กำหนดให้ผู้ที่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินมีอยู่ 8 ประเภท ไม่จำกัดเฉพาะ "ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง" อาทิ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง ผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น สมาชิกสภาท้องถิ่น ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.กำหนด และนอกจากจะต้องยื่นของตนเองแล้ว ยังจะต้องยื่นของคู่สมรสและบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะด้วย โดยที่คู่สมรสดังกล่าวจะรวมถึงผู้ที่อยู่กินกันฉันสามีภรรยาแม้ไม่ได้จดทะเบียนสมรส ส่วนคำนิยามหรือขอบเขตความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาจะเป็นอย่างไรให้ ป.ป.ช.เป็นผู้กำหนด สำหรับประเด็นซึ่งมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันกว้างขวาง เช่น มาตรา 37/1 ที่เพิ่มอำนาจพิเศษให้ ป.ป.ช.ล้วงข้อมูลส่วนตัวเชิงลึกของบุคคลที่ต้องสงสัยว่าเข้าข่ายทุจริตและร่ำรวยผิดปกติ ทั้งการดักฟังโทรศัพท์ เจาะอีเมล์และตรวจสอบแชทไลน์ กรรมาธิการฯ เสียงข้างมากยอมตัดมาตราดังกล่าวออกไป หลังจากสมาชิก สนช.อภิปรายคัดค้าน เนื่องจากเห็นว่าเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล และอาจกลายเป็นเครื่องมือที่ใช้ทำลายล้างคู่ต่อสู้ทางการเมือง จากนั้นที่ประชุม สนช.ได้ลงมติด้วยคะแนน 198 ต่อ 1 เห็นชอบร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต วาระ 3 โดยมีผู้งดออกเสียง 7 คน และไม่ลงคะแนน 1 เสียง อย่างไรก็ตาม ภายหลัง สนช.ลงมติเห็นชอบร่างกฎหมายฉบับนี้แล้ว จะส่งให้ร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ให้ กรธ. และกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาว่าจะมีคำโต้แย้งกลับมาหรือไม่ภายใน 10 วัน ก่อนส่งให้ สนช.ลงมติเห็นชอบหรือไม่อีกครั้ง เห็นชอบตั้งกรรมาธิการฯ ตรวจสอบประวัติ 7 ว่าที่ กกต.นอกจากนี้ ที่ประชุม สนช. ยัง เห็นชอบให้ตั้งกรรมาธิการสามัญ จำนวน 17 คน เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติและพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จำนวน 7 คน จากสัดส่วนของคณะกรรมการสรรหา จำนวน 5 คน ได้แก่ 1. เรืองวิทย์ เกษสุวรรณ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ 2. ฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) 3. อิสสรีย์ หรรษาจรูญโรจน์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ 4. ชมพรรณ์ พงษ์เจริญ สุธีรชาติ ที่ปรึกษากฎหมาย บริษัท วรวิสิฏฐ์ และหัวหน้าสำนักงานกฎหมายสุธีรชาติ และ 5. ประชา เตรัตน์ อดีตผู้ว่าราชการ จ.นราธิวาส ชลบุรี และสุราษฎร์ธานี และจากสัดส่วนของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา จำนวน 2 คน ได้แก่ 1. ฉัตรไชย จันทร์พรายศรี ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา และ 2. ปกรณ์ มหรรณพ ผู้พิพากษาศาลฎีกา ประชุม สนช.ได้ลงมติเห็นชอบ งดใช้ข้อบังคับการประชุมฯ ที่กำหนดเวลาการปฏิบัติงานของคณะกรรมาธิการว่าจะต้องตรวจสอบประวัติให้เสร็จ จากเดิม 45 วัน เป็นภายใน 60 วัน ด้วยคะแนนเสียง 170 เสียง ก่อนเสนอให้ที่ประชุม สนช.ให้ความเห็นชอบอีกครั้ง ซึ่งบุคคลที่ได้รับความเห็นชอบจาก สนช. จะต้องไปลาออกจากตำแหน่งเดิม ก่อนที่ประธาน สนช.จะนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ หรือหาก สนช.มีมติไม่ให้ความเห็นชอบบุคคลใด จะส่งเรื่องกลับมาให้กรรมการสรรหาทำการสรรหาทดแทน กมธ. ระบุหารือร่าง กม. เลือกตั้ง ส.ส. ครบทุกมาตราแล้ววันเดียวกัน ทวีศักดิ์ สูทกวาทิน โฆษกกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พ.ศ. .... ของ สนช. แถลงความคืบหน้าว่า กมธ.มีการหารือแล้วครบทั้ง 178 มาตรากมธ.มีการแก้ไข จำนวน 17 มาตรา อาทิ ให้ กกต. สามารถมีมติ 2 ใน 3 จากจำนวนกรรมการทั้งหมดที่มีอยู่ กำหนดวันเลือกตั้งใหม่ได้ กรณีที่มีเหตุจำเป็นไม่สามารถจัดการเลือกตั้งทั่วไปได้ หรือการห้ามผู้สมัครจัดยานพาหนะนำผู้มีสิทธิเลือกตั้งไปเพื่อการเลือกตั้ง การห้ามสำรวจความคิดเห็นของประชาชนโดยมีเจตนาไม่สุจริต นอกจากนี้ ได้เชิญ สนช. 4 คน ที่เสนอแปรญัตติรวม 8 มาตรา เข้าให้ข้อมูลประกอบการพิจารณา ขณะที่ กมธ. ตั้งข้อสังเกตไว้ท้ายรายงานจำนวน 3 มาตรา ทวีศักดิ์ กล่าวต่อว่า กมธ. ยังมีมติให้รอการพิจารณาใน 4 มาตรา คือ มาตรา 35, 68, 72 และ 129 ซึ่งมีประเด็นที่น่าสนใจ อาทิ การตัดสิทธิผู้ที่ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งและมิได้แจ้งเหตุที่ไม่ไปใช้สิทธิ หรือแจ้งเหตุที่ไม่อาจแจ้งเหตุที่ไม่ไปใช้สิทธิแล้ว แต่เหตุนั้นมิใช่เหตุผลอันสมควร ผู้นั้นจะถูกจำกัดสิทธิพื้นฐาน ประการ ได้แก่ สิทธิยื่นคำร้องคัดค้านการเลือกตั้ง ส.ส. สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.หรือสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น หรือสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ว. และสิทธิสมัครรับเลือกเป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ขณะเดียวกัน กมธ.จะพิจารณาเรื่องการจำกัดสิทธิ ระยะเวลาการตัดสิทธิเพิ่มเติม รวมทั้งการกำหนดระยะเวลาและวิธีการหาเสียงด้วยระบบอิเลคทรอนิกส์ และการคำนวณจำนวน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อที่พบว่ายังมีข้อแตกต่างกัน ทั้งนี้ กมธ.จะนำประเด็นทั้งหมดมาหารือเพิ่มเติมเพื่อปรับแก้ไขร่างกฎหมายให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น รวมทั้งนำความเห็นของประชาชนที่ส่งเข้ามาที่เว็บไซต์ของ สนช. ซึ่งจะครบกำหนดปิดรับฟังในวันที่ 27 ธ.ค. นี้ มาประมวลประกอบการพิจารณาต่อไปด้วย
ที่มา : สำนักข่าวไทย และเว็บไซต์วิทยุรัฐสภา กมธ.พิจารณาร่างกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส. หารือครบทุกมาตราแล้ว กำหนดจำกัดสิทธิผู้ที่ไม่ไปเลือกตั้งพร้อมหาแนวทางการหาเสียงด้วยระบบอิเลคทรอนิกส์ให้มีความชัดเจน ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
หลังคสช. ขยายเวลาพรรคการเมือง ปชป.ชี้นี่คือการเซตซีโร่ เอื้อประโยชน์พรรคใหม่ Posted: 25 Dec 2017 01:01 AM PST ประชาธิปัตย์ชี้คำสั่ง คสช.ทำพรรคใหญ่เสียประโยชน์ เริ่มกิจกรรมการเมืองได้ช้าเดือน เสียเปรียบพรรคใหม่ 3 เดือน ชาติไทยพัฒนาเผย ต้องการเห็นการปลดล็อคที่แท้จริง ด้าน กกต.สมชัย ชี้ทางรอด ให้พรรคหาสมาชิกเพียง 1 หมื่นคนก่อน 25 ธ.ค. 2560 สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา เปิดเผยว่า กรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลงนามในคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 53/2560 อาศัยอำนาจตามมาตรา 44 ขยายเวลาให้พรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมตามกรอบเวลาในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองนั้น ไม่ถือว่าเป็นการปลดล็อกทางการเมืองอย่างที่เข้าใจ เพราะการปลดล็อกหมายถึงการให้พรรคการเมืองสามารถทำกิจกรรมได้ในทันที แต่คำสั่งนี้เป็นเพียงการขยายเวลาเท่านั้น ทั้งนี้กฎหมายว่าด้วยพรรคการเมืองได้ประกาศใช้เรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันที่ 7 ต.ค. 2560 ซึ่งได้กำหนดห้วงเวลาไว้ ดังนั้นแต่ละพรรคการเมืองจึงต้องดำเนินตามเจตนารณ์ของรัฐบาลให้เป็นไปตามโรดแมปของ คสช. แต่ปรากฎว่าไม่สามารถที่จะทำได้ จนท้ายที่สุดเวลาทอดมาจนครบกำหนด ซึ่งถ้าพรรคการเมืองไม่ทำตามนั้นก็จะถูกตัดสิทธิในการส่งสมาชิกลงเลือกตั้ง "ผมต้องการเห็นการปลดล็อคอย่างแท้จริง อยากให้ประเทศไทยเข้าสู่บรรยากาศของความเป็นประชาธิปไตยและเสมอเหมือน ไม่ใช่มาค่อยๆ คลายล็อคให้พรรคการเมือง ทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้ ในเวลานั้นเวลานี้ เพราะเหมือนเป็นการลักลั่น แล้วเอาเหตุผลมาบอกว่าทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบ" สมศักดิ์ กล่าว ด้าน วิรัตน์ กัลบยา หัวหน้าฝ่ายกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ กล่าววา การออกคำสั่งแก้ไขกฎหมายนี้ ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ได้รับผลกระทบ เพราะต้องให้สมาชิกพรรคมาสมัครใหม่ทั้งหมด ซึ่งเป็นการเซตซีโร่พรรค ทั้งนี้การออกคำสั่งดังกล่าวนี้ ผูที่ได้รับประโยชน์โดยตรงจะเป็นพรรคที่เพิ่งจดทะเบียนใหม่ ซึ่งในวันที่ 1 มี.ค. 2561 ก็สามารถขออนุญาติ คสช. จัดประชุมอะไรได้ทันที ในเมื่อมาขอ คสช. ก็ต้องอนุญาตอยู่แล้ว เพราะรู้กันอยู่ว่าพรรคพวกนี้ตั้งขึ้นมาด้วยวัตถุประสงค์อะไร ส่วนพรรคใหญ่คิดว่าจะดำเนินกิจกรรมได้ในเดือน มิ.ย. 2561 ซึ่งจะได้เปรียบเสียเปรียบประมาณ 3 เดือน ด้าน อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี อดีต สส. กรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า คำสั่งนี้เป็นเหมือนการเซตซีโร่พรรคการเมือง และ คสช. กำลังสร้างความยุ่งยากให้ประชาชนในการมีส่วนร่วมในการปฏิรูปการเมืองใหม่ ขณะที่อุดม รัฐอมฤต โฆษกคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ระบุว่า การที่ คสช. ให้พรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมได้หลังวันที่ 1 เม.ย. 2561 นั้น เข้าใจว่า คสช. ได้พิจารณาถึงเหตุผลที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. และร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ด้าน สมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวถึงกรณีที่มีพรรคการเมืองวิพากษ์วิจารณ์คำสั่งของ คสช. เรื่อวขยายเวลาพรรคการเมืองนั้น ซึ่งมีความกังวลว่าจะไม่สามารถจัดการงานด้านธุรการให้เกิดความเรียบร้อยได้ทันเวลา โดยสมชัยได้ชี้ว่า จากประวัติศาตร์การเมืองในอดีต ปัจจัยเรื่องจำนวนสมาชิกพรรคการเมืองไม่ได้เป็นการประกันชัยชนะในการเลือกตั้ง ฉะนั้นหากพิจารณาจากกฎหมายแล้ว จำนวนสมาชิกพรรคการเมืองที่เพียงพอสำหรับการมีคุณสมบัติส่งผู้สมัครลงรับการเลือกตั้งได้ จำนวนที่พอเหมาะพอดีน่าจะอยู่ที่ 10,000 คน เพราะบทเฉพาะกาลของ พ.รป.ว่าด้วยพรรคการเมือง กำหนดให้ พรรคที่จะส่ง ส.ส. ในเขตใด ต้องที่ตัวแทนในระดับจังหวัด และมีการทำไพรมารีโหวตในจังหวัดนั้นๆ โดยต้องทีสมาชิกที่เข้าร่วมประชุมอย่างน้อย 100 คน ดังนั้นจำนวนที่ปลอดภัยและป้องกันการถูกร้องเรียนภายหลังในเรื่องคุณสมบัติผู้ร่วมประชุมคือ 130 คน ทั้งหมด 77 จังหวัด รมแล้วเป็น 10,010 คนประมาณ 10,000 คนเท่านั้น
เรียบเรียงจาก : โพสต์ทูเดย์ออนไลน์, มติชนออนไลน์ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
Posted: 24 Dec 2017 11:28 PM PST รางวัลซีไรต์รอบนี้จัดเป็นครั้งที่ 39 มอบรางวัลสลับกันไประหว่าง นิยาย-กวี-รวมเรื่องสั้น ครั้งนี้เป็นการวนครบรอบรอบที่ 13 จึงทำให้หนังสือทั้งสามแบบได้รางวัลไปจำนวนเท่ากัน ปีนี้เป็นปีของรวมเรื่องสั้น จิดานันท์ เหลืองเพียรสมุทได้รางวัลจาก "สิงโตนอกคอก" เป็นนักเขียนที่อายุน้อยที่สุด นับตามปีเกิดคือ 25 ปี วันนี้ (24 ธค. 2560) ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2 ประทับตราซีไรต์มีวางตลาดแล้วโดยแพรวสำนักพิมพ์ นับตามอายุ ถัดจากจิดานันท์คือชาติ กอบจิตติ ได้รางวัลจากนิยายคำพิพากษาตอนอายุ 28 ปี และปราบดา หยุ่น จากรวมเรื่องสั้นความน่าจะเป็นตอนอายุ 29 ปี (นับตามปีเกิด ไม่ได้นับตามวันประกาศรางวัลลบด้วยวันเกิด) อายุนักเขียนที่ได้รางวัลเรียงตามปีที่ได้รับ
อายุน้อยกว่า 30 ปี ได้รางวัล 3 ครั้ง และอายุมากกว่า 45 ปี ได้รางวัล 5 ครั้ง มีคนได้รางวัลสองครั้งอยู่สองคนคือ 1. ชาติ กอบจิตติ จากนิยาย"คำพิพากษา" เมื่ออายุ 28 และนิยาย "เวลา" เมื่ออายุ 40 2. วินทร์ เลียววารินทร์ จากนิยาย "ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน" เมื่ออายุ 41 และรวมเรื่องสั้น "สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน" เมื่ออายุ 43 อายุสูงสุดของนักเขียนที่ได้รางวัลคืออังคาร กัลยาณพงศ์ ได้รางวัลจากปณิธานกวีเมื่ออายุ 60 ปี รองลงมาคือแดนอรัญ แสงทอง ได้รางวัลตอนอายุ 57 ปี จากรวมเรื่องสั้นอสรพิษ อาวุโสเป็นอันดับสามคือกฤษณา อโศกสิน ได้รางวัลจากนิยายปูนปิดทองตอนอายุ 54 หากนับอายุแยกตามกลุ่มรางวัลเป็น นิยาย-กวี-รวมเรื่องสั้น
แยกตามเพศ เพศชายได้รางวัล 32 ครั้ง (30 คน) และเพศหญิงได้รางวัล 7 คน
นักเขียนหญิงคนแรกที่ได้รางวัลคือกฤษณา อโศกสิน ได้รับรางวัลครั้งที่ 7 และเป็นนักเขียนหญิงที่อายุมากที่สุดที่ได้รับรางวัลนี้ นักเขียนหญิงที่อาวุโสถัดลงมาคือ วีรพร นิติประภา ได้รางวัลซีไรต์ครั้งที่ 37 จากนิยาย "ไส้เดือนตาบอดในเขาวงกต" เมื่ออายุ 53 ปี นับนักเขียนหญิงฝั่งอายุน้อย ถัดจากจิดานันท์ที่ได้รางวัลเมื่ออายุ 25 ปี จะเป็นจิรนันท์ พิตรปรีชา (กวี-ใบไม้ที่หายไป) และเดือนวาด พิมวนา (นิยาย-ช่างสำราญ) ได้รางวัลเมื่ออายุ 34 ปีเท่ากัน อายุเฉลี่ยเมื่อได้รับรางวัลแยกเป็นนักเขียนชาย/หญิง ไม่ต่างกันมากนัก ของนักเขียนชายคือ 39 ปี และของนักเขียนหญิงคือ 40 ปี
การนับครั้งนี้นับตามถิ่นเกิด การแยกนักเขียนตามภูมิลำเนาจึงอาจสับสนบ้าง ภูมิลำเนาที่แท้จริงอาจไม่ตรงกับถิ่นเกิด เช่นวินทร์ เลียววารินทร์จะนับเป็นคนใต้หรือคนกรุงเทพ ฯ หรือชาติ กอบจิตติ ที่บ้านเกิดอยู่ภาคกลางแต่ปัจจุบันย้ายไปอยู่แถวโคราช จะยังนับภูมิลำเนาเป็นภาคกลางอยู่หรือไม่ ข้อมูลนี้จึงใช้อ้างอิงไม่ได้ดีนัก นักเขียนจากภาคกลางและ กทม. ได้รางวัลซีไรต์รวม 17 ครั้ง แต่หากแยกภาคกลางกับ กทม. ออกเป็นสองกลุ่ม นักเขียนที่มีภูมิลำเนาในภาคใต้จะได้รับรางวัลมากกว่าภาคอื่นคือได้ไปทั้งหมด 13 ครั้ง (กรณีนี้นับงามพรรณที่เกิดต่างประเทศเป็น กทม.) นักเขียนจากภาคเหนือ อีสาน ตะวันออก และตะวันตก ยังได้รับรางวัลไม่มากเท่าภาคใต้ ภาคกลาง และ กทม. จนถึงเดือน ธค. 2560 นักเขียนซ๊ไรต์ที่เสียชีวิตแล้วมีดังนี้
ในภาพรวม ซีไรต์เป็นสนามที่ให้รางวัลนักเขียนรุ่นใหม่มากกว่ารุ่นอาวุโส รางวัลยังเป็นของนักเขียนชายมากกว่านักเขียนหญิงในอัตราส่วนที่แตกต่างกันมาก งานเขียนกระจุกอยู่กับนักเขียนภูมิลำเนาภาคกลางและภาคใต้มากกว่าภูมิภาคอื่น ๆ ส่วนรสนิยมและแนวคิดของนักเขียนแต่ละคน ผู้อ่านคงต้องตัดสินใจเองจากงานเขียนและการแสดงออกของนักเขียนแต่ละท่าน
หมายเหตุ: เผยแพร่ครั้งแรกใน เฟสบุ๊ค EK GUEVARA ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเผยยอดร้องเรียนสินค้าบริการพุ่ง 41% ของปัญหาผู้บริโภครอบปี 60 Posted: 24 Dec 2017 10:54 PM PST ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริ 25 ธ.ค.60 ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เผยสถานการณ์ปัญหาผู้บริ นฤมล เมฆบริสุทธิ์ หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริ หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริ "เมื่อนำปัญหาที่ผู้บริโภคถู ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
Posted: 24 Dec 2017 10:25 PM PST
ผมไม่เคยพบคุณดำรง พุฒตาล ไม่เคยขัดแย้งหรือมีอคติกับท่านเลย ที่ผ่านมาผมชื่นชมท่านในหลายเรื่อง แต่ล่าสุดที่ท่านกลั่นความคิดจากประสบการณ์ 73 ปีเรื่องงาน การพักผ่อนและกรุงเทพมหานครนั้น ท่านควรได้รับการวิพากษ์เพราะเป็นความคิดที่สอนให้คนเสพสุขหรือไม่ |
ผลสำรวจพบแรงงานสิ่งทอในพม่ามีรายได้เฉลี่ยแค่ 2,867 บาท/เดือน Posted: 24 Dec 2017 10:06 PM PST แม้หลายฝ่ายหวั่นแรงงานพม่าจะกลับไปทำงานยังบ้านเกิดหลังมีความเปลี่ยนแปลงในประเทศ แต่รายงานวิจัยขององค์กรพัฒนาเอกชนพบแรงงานภาคสิ่งทอและผลิตเสื้อผ้าในย่างกุ้ง มีรายได้เฉลี่ยรวมที่ 120,000 จ๊าต (หรือประมาณแค่ 2,866.76 บาท/เดือน) เท่านั้น ที่มาภาพประกอบ: Confederation Trade Unions of Myanmar (CTUM) (แฟ้มภาพ) 25 ธ.ค. 2560 หลังจากมีการเปลี่ยนแปลงด้านการเมืองในประเทศพม่าเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ประกอบกับความเข้มงวดเรื่องแรงงานข้ามชาติในประเทศไทย ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าแรงงานจากพม่าจะกลับไปทำงานยังบ้านเกิดแทน และอาจจะส่งผลให้แรงงานในไทยขาดแคลน แต่กระนั้นเมื่อมองไปที่คุณภาพงานและค่าตอบแทนจากการทำงานในประเทศพม่าพบว่าก็ยังคงมีปัญหาอยู่ จากงานวิจัย THE YOUNG WOMEN FROM RURAL VILLAGES POWERING AN URBAN INDUSTRY: A BASELINE SURVEY OF YANGON'S GARMENT SECTOR WORKFORCE ที่เป็นการร่วมมือกันของ 3 องค์กรพัฒนาเอกชนอันได้แก่ Enlightened Myanmar Research Foundation (EMReF) , Andaman Research & Advisory และ มูลนิธิ C&A ที่ทำการสำรวจระหว่างเดือน มิ.ย.-ก.ค. 2560 ด้วยการสัมภาษณ์แรงงานในโรงงานอุตสาหกรรมสิ่งทอและผลิตเสื้อผ้า 778 คน (ร้อยละ 94 เป็นแรงงานหญิง) ที่เขตอุตสาหกรรมในเมือง Hlaing Tharyar และเมือง Shwepyithar เขตนอกเมืองย่างกุ้ง งานวิจัยชิ้นนี้ระบุว่าอุตสาหกรรมสิ่งทอและผลิตเสื้อผ้าจะเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จำนวนแรงงานในภาคอุตสาหกรรมนี้เพิ่มขึ้นจาก 110,000 คน เป็น 250,000 คนในช่วงปี 2555-2559 ซึ่งเป็นช่วงที่มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นจาก 912 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็น 1.46 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากการสำรวจพบว่าหญิงสาวจากชนบทเป็นแหล่งแรงงานหลักสำหรับโรงงานเสื้อผ้าสำเร็จรูป ส่วนใหญ่เป็นชาติพันธ์พม่าที่ประมาณร้อยละ 75 ตามมาด้วยชาติพันธ์ยะไข่ที่ร้อยละ 19 พวกเธออพยพมาจากต่างเมืองและส่วนใหญ่เป็นแรงงานหญิงอายุ 18-23 ปี มีรายได้เฉลี่ยรวม (เงินเดือนรวมค่าทำงานล่วงเวลา) ที่ 120,000 จ๊าต หรือประมาณแค่ 2866.76 บาท/เดือน เท่านั้น ด้านสภาพการทำงานพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 99 ต้องทำงาน 6วัน/สัปดาห์ และร้อยละ 90 ทำงานระหว่าง 8-10 ชั่วโมง/ต่อวัน ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่พึ่งทำงานได้ไม่เกิน 3 ปี และร้อยละ 60 ทำงานในอุตสาหกรรมนี้เป็นครั้งแรก ด้านสิทธิแรงงานการสำรวจพบว่าร้อยละ 54 ของผู้ตอบแบบสอบถามเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับสหภาพแรงงาน แต่ร้อยละ 56 ไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ของสหภาพแรงงาน และร้อยละ 33 ตระหนักถึงกลไกการร้องทุกข์ในที่ทำงาน ทั้งนี้มีผู้เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานเพียงร้อยละ 15 และผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 52 ระบุว่าพวกเธอจะไม่เข้าร่วมสหภาพแรงงาน ส่วนอีกร้อยละ 42 ระบุว่าต้องการเข้าร่วมสหภาพแรงงาน ในงานวิจัยยังระบุว่าแรงงานจำนวนมากยังคงเสี่ยงต่อการถูกเอารัดเอาเปรียบ เพราะมีเพียงร้อยละ 29 ของผู้ตอบแบบสอบถามที่มีสัญญาจ้างเป็นลายลักษณ์อักษร อนึ่งก่อนหน้านี้เมื่อต้นเดือน ธ.ค. 2560 ที่ผ่านมาแรงงานพม่าชุมนุมประท้วงที่ย่างกุ้งและมัณฑะเล เรียกร้องให้ทางการปรับเพิ่มค่าแรงรายวันขั้นต่ำเป็น 5,600 จ๊าต (ประมาณ 134.62 บาท) จากเดิม 3,600 จ๊าต (ประมาณ 86.54 บาท)
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
Posted: 24 Dec 2017 06:44 PM PST บุคคลแห่งปีของประชาไท ประจำปี 2017 นี้ มาเป็นทีม พวกเขาคือ 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' ซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันของผู้คนมากหน้าหลายตา ท่ามกลางความพยายามทำลายหลักการของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของรัฐบาล คสช.และรัฐราชการ 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' ออกมาเคลื่อนไหว เฝ้าระวัง ปกป้อง และยันสถานการณ์เอาไว้อย่างสุดกำลัง สำหรับสถานการณ์ในปีหน้าที่พอจะเห็นเค้าลางว่า หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าจะยิ่งเผชิญการคุกคามที่หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ คงไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่า 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' กำลังยืนขวางระหว่างรัฐบาลและกลุ่มคนที่ต้องการทำลายกับผู้คน 48 ล้านคนที่ได้รับการดูแลหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และคอยย้ำเตือนว่าการรักษาพยาบาลคือสิทธิของประชาชนที่รัฐไม่อาจพรากมันไปได้ อ่านรายละเอียดที่ บุคคลแห่งปี 2017: 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' ภูมิคุ้มกันสวัสดิการสุขภาพเพื่อทุกคน มีข้อมูลปล่อยออกมาไม่น้อยระบุว่า ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ ต่อระบบสาธารณสุขของไทย ที่ได้ยินบ่อยที่สุดคือการทำให้โรงพยาบาลรัฐขาดทุน หรือการทำให้แพทย์ไม่สามารถรักษาผู้ป่วยได้ตามที่ควรจะเป็น จนถึงการกล่าวหาว่า สปสช. นำเงินที่ควรจ่ายให้แก่โรงพยาบาลไปให้กับเอ็นจีโอต่างๆ ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าทำให้โรงพยาบาลขาดทุน?ประการแรก การมีระบบหลักประกันสุขภาพเป็นระบบซึ่งสั่นคลอนระบบเดิม การปฏิบัติแบบเดิมๆ ของระบบบริการสุขภาพทุกแห่ง เช่น หน่วยบริการของกระทรวงสาธารณสุข แต่เดิมคือรัฐจ่ายเงินเดือนทั้งหมดของข้าราชการทุกคนในโรงพยาบาล แล้วโรงพยาบาลสามารถที่จะเรียกเก็บค่ารักษาพยาบาลจากผู้ป่วยได้ทุกคน เงินที่เรียกเก็บนำเข้าไปเก็บเป็นเงินบำรุง และเงินบำรุงก็เก็บไว้ที่โรงพยาบาลโดยที่มีระเบียบเฉพาะว่าไม่ต้องส่งเข้ากระทรวงการคลัง ไม่ต้องเป็นรายได้ของแผ่นดิน ถือเป็นรายได้ของโรงพยาบาลนั้นๆ ฉะนั้น เราก็จะเห็นว่าทุกโรงพยาบาลจะมีเงินบำรุงไว้ใช้จ่ายของตัวเอง แต่ละแห่งอาจมีเงินที่เรียกว่ากำไร เพราะคุณไม่ต้องจ่ายค่าแรง ต้นทุนที่เป็นก้อนใหญ่ที่สุดของระบบหลักประกันสุขภาพก็คือค่าแรง รัฐจ่ายเงินเดือนทุกบาททุกสตางค์ให้ ค่ายา โรงพยาบาลก็เรียกเก็บจากคนมาโรงพยาบาลทุกคน ค่าทุกอย่างที่โรงพยาบาลเรียกเก็บ มันเข้าไปอยู่ในเงินบำรุง อันนี้คือความเดิมก่อนมีระบบหลักประกันสุขภาพ โรงพยาบาลรัฐทุกแห่งเป็นแบบนี้ ทุกโรงพยาบาลมีเงินบำรุงเก็บอยู่เป็นหลักร้อยล้าน บางแห่งอาจเป็นพันล้านก็ได้ เมื่อเกิดระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าขึ้น เป็นสิทธิการรักษา เป็นรัฐสวัสดิการแบบหนึ่ง รัฐจัดสรรงบประมาณลงมา รัฐยังคงจ่ายเงินเดือนให้กับบุคลากรทั้งหมด จัดสรรเป็นค่ายา ค่ารักษา ก็มีวิธีคิดเงินแบบหนึ่งขึ้นมา พอระบบเป็นแบบนี้ โดยกติกาของระบบก็คือโรงพยาบาลทุกแห่งไม่สามารถเรียกเก็บเงินจากประชาชนที่อยู่ภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าได้ นี่คือโจทย์ใหญ่ที่มันไปพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินทำให้รายได้ที่โรงพยาบาลเคยเก็บได้ หายไป |
You are subscribed to email updates from ประชาไท. To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google, 1600 Amphitheatre Parkway, Mountain View, CA 94043, United States |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น