ประชาไท | Prachatai3.info |
- นักวิชาการเสนอกำหนดโทษอาญาให้เหมาะกับฐานความผิด แก้ปัญหาคุกล้น - คืนคนดีสู่สังคม
- เครือข่ายส่งเสริมสิทธิแรงงานข้ามชาติที่แม่สอดเรียกร้องการจ้างงานเป็นธรรม
- “ธรรมาเทวาธิปไตย”: ระบบคุณค่าและประชาธิปไตยฉบับ “คนดี” | วรรณวิภางค์-อภิชาต-อนุสรณ์ [คลิป]
- เสื้อแดงยกเลิก ปาร์ตี้ปีใหม่ หลัง จนท.ไม่แฮปปี้ กดดันร้านอาหารที่ใช้จัดงาน
- เปิดงานศึกษา กปปส.-พธม.: ความรุนแรง-คนชั้นกลางระดับบน-แนวคิดมวลชน-สินค้าการเมือง
- 'ประวิตร' บ่นเหนื่อย ด้าน 'ศรีสุวรรณ' จี้ ประยุทธ์ สั่งพักงาน ระหว่าง ป.ป.ช.สอบ
- เปิดงานวิจัยศึกษา กปปส.-พันธมิตรฯ และ ‘การเมืองคนดี’
- ภาคประชาชนจ่อยื่นศาลรัฐธรรมนูญ ยกเลิกคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/58 พรุ่งนี้
- คนทำงาน พฤศจิกายน 2560
นักวิชาการเสนอกำหนดโทษอาญาให้เหมาะกับฐานความผิด แก้ปัญหาคุกล้น - คืนคนดีสู่สังคม Posted: 18 Dec 2017 11:57 AM PST พระองค์ภาฯ เสด็จเป็นประธานเปิดงานสัมมนาวิชาการ 'การลงโทษทางอาญากับหลักสิทธิมนุษยชน' - นักวิชาการเสนอกำหนดโทษอาญาให้เหมาะกับฐานความผิด แก้ปัญหาคุกล้น - คืนคนดีสู่สังคม 18 ธ.ค.2560 สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุ วัส ติงสมิตร ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่ ประธาน กสม. ระบุอีกว่า ปัจจุบันการอำนวยความยุติ ในงานสัมมนา มีปาฐกถาพิเศษเรื่อง "การลงโทษทางอาญากับหลักสิทธิ ปกป้อง ศรีสนิท รองศาสตราจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บรรยายพิเศษในประเด็นดังกล่าว สรุปว่า โทษทางอาญาของไทยควรพัฒนาไปสู่ สนง.กสม. ระบุว่า ในงานสัมมนาดังกล่าว ยังมีการอภิปราย เรื่อง "มุมมองจากองค์กรพั สนง.กสม. ยังระบุด้วยว่า ในงานดังกล่าว ยังมีการนำเสนอวีดิทัศน์ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
เครือข่ายส่งเสริมสิทธิแรงงานข้ามชาติที่แม่สอดเรียกร้องการจ้างงานเป็นธรรม Posted: 18 Dec 2017 11:10 AM PST เนื่องในวันผู้อพยพย้ายถิ่นสากลซึ่งตรงกับวันที่ 18 ธันวาคมของทุกปี เครือข่ายส่งเสริมสิทธิแรงงานข้ามชาติ ที่ อ.แม่สอด จ.ตาก เรียกร้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกวดขันกับนายจ้างให้ปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน และยกเลิกการยึดบัตรประจำตัวของแรงงาน รวมทั้งยุติสัญญาจ้างงานที่ไม่เป็นธรรม ป้องกันแรงงานถูกละเมิดและถูกแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ เอื้อเฟื้อภาพจากเครือข่ายส่งเสริมสิทธิแรงงานข้ามชาติ (MRPWG) เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. เครือข่ายส่งเสริมสิทธิแรงงานข้ามชาติ (MRPWG) และเครือข่ายต่อต้านการค้ามนุษย์แม่สอด จัดกิจกรรมเนื่องในวันผู้อพยพย้ายถิ่นสากล โดยในช่วงเช้ามีการเดินรณรงค์เริ่มขบวนจากตลาดริมเมย มาที่สนามกีฬาโรงเรียนแม่ตาว อ.แม่สอด จ.ตาก เพื่อจัดกิจกรรมเสวนาในภาคเช้า และในช่วงบ่ายยังมีการแข่งขันกีฬาพื้นบ้าน และแข่งขันฟุตบอลคู่ชิงชนะเลิศด้วย โดยในโอกาสวันผู้อพยพย้ายถิ่นสากลซึ่งตรงกับวันที่ 18 ธันวาคมของทุกปี ทางเครือข่ายฯ ยังมีการเผยแพร่แถลงการณ์ด้วย โดยเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกวดขันกับนายจ้างให้ปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน และยกเลิกการปฏิบัติที่ไม่ชอบ เช่น การยึดเอกสารบัตรประจำตัวของแรงงานเอาไว้ และการใช้สัญญาจ้างงานที่ไม่เป็นธรรม ป้องกันแรงงานอพยพถูกละเมิดและถูกแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ นอกจากนี้ยังขอความร่วมมือจากทุกฝ่ายทั้งภาครัฐ เอกชน นายจ้าง และลูกจ้าง เคารพสิทธิตามหลักสิทธิมนุษยชน สิทธิแรงงานตามกฎหมาย เพื่อให้เกิดการจ้างงานอย่างเป็นธรรม ขณะที่เครือข่ายส่งเสริมสิทธิแรงงานข้ามชาติ (MRPWG) จะเดินหน้าทำงานเพื่อสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่เท่ากัน สร้างความสมานฉันท์ให้แก่บุคคลในพื้นที่ชายแดนจังหวัดตาก เพื่อการพัฒนาวิถีชีวิตและเศรษฐกิจที่ยั่งยืนต่อไป โดยมีรายละเอียดของแถลงการณ์ดังนี้ 000 แถลงการณ์เครือข่ายส่งเสริมสิทธิแรงงานข้ามชาติ Migrant Rights Promotion Working Group – MRPWG เนื่องในวันวันผู้อพยพย้ายถิ่นสากล ปี 2560 เครือข่ายส่งเสริมสิทธิแรงงานข้ามชาติ หรือ Migrant Rights Promotion Working Group - MRPWG ได้ทำงานให้ความช่วยเหลือแรงงานผู้อพยพพื้นที่ชายแดนจังหวัดตาก และส่งเสริมผลักดันเชิงนโยบายเพื่อสิทธิแรงงาน สิทธิมนุษยชนของบุคคลเคลื่อนย้ายมาเป็นระยะเวลากว่า 12 ปี ขอแถลงสถานการณ์ภาพรวมของสิทธิมนุษยชนและสิทธิแรงงานของผู้อพยพในพื้นที่แม่สอด และนำเสนอประเด็นเร่งด่วนของพวกเรา เพื่อให้เกิดความตระหนักร่วมกัน ดังต่อไปนี้ สิทธิแรงงานและสิทธิมนุษยชนตามกฎหมายของผู้อพยพ ทางเครือข่ายฯ ได้เคยเสนอข้อเรียกร้องในหัวข้อนี้ไว้และอยากจะยกข้อเสนอขึ้นอีกครั้ง 'ขอเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดาเนินการกวดขันกับนายจ้างให้ปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน และยกเลิกการปฏิบัติที่ไม่ชอบ เช่น การยึดเอกสารบัตรประจาตัวของแรงงานเอาไว้ และการใช้สัญญาจ้างงานที่ไม่เป็นธรรม' ปัญหาแรงงานข้ามชาติในพื้นที่แม่สอด ไม่ได้ค่าแรงขั้นต่ำตามกฎหมายมีมาเป็นระยะเวลายาวนาน ด้วยลักษณะชายแดนธรรมชาติของพื้นที่ และความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างลูกจ้างที่ส่วนใหญ่มักไม่ได้มีการทำสัญญาตามกฎหมาย ปัญหาเหล่านี้ยากจะแก้ไขหากขาดความร่วมมือของทุกภาคส่วนช่วยกันสอดส่องดูแลอย่างจริงจัง เราเชื่อว่าหากแรงงานฯ ในพื้นที่ได้รับการปฏิบัติเสมือนลูกจ้างทั่วไป ได้รับสิทธิตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ไม่ว่าจะเป็นค่าแรง สิทธิวันลาหยุด สิทธิที่ได้รับค่าจ้างเพิ่มในการทำงานล่วงเวลา ผู้อพยพเหล่านี้ก็ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปที่อื่นเพื่อหาโอกาสที่ดีกว่า มีหลายกรณีที่แรงงานข้ามชาติไม่ได้รับค่าแรงหลังจากที่ทำงานเป็นเดือน หรือถูกใช้เป็นแรงงานขัดหนี้ ซึ่งหนี้เหล่านั้นคือการที่พวกเขาเข้าใจว่าจ่ายไปกับการนำพวกเขาเข้าเมืองอย่างถูกกฎหมาย แต่แล้วแรงงานฯ เหล่านี้ ก็พบว่าตัวเองถูกหลอก ไม่มีเอกสาร ถูกส่งกลับประเทศต้นทาง ไม่ได้รับค่าจ้าง และผู้กระทำผิดตัวจริงกลับลอยนวล เราขอสัญญาว่าจะทำงานอย่างสุดกำลังเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ แรงงานขัดหนี้ถือเป็นความผิดตามกฎหมายป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และการฉ้อโกงอันเป็นความผิดทางอาญา จึงขอให้ทุกท่านตระหนักถึงกรณีที่แรงงานผู้อพยพที่ถูกฉ้อโกงกลายเป็นผู้กระทำความผิดที่ตัดสินโดยกฎหมายคนเข้าเมือง อันเป็นการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของหลักนิติธรรม (Rule of Law) และไม่สามารถแก้ไขปัญหาการละเมิดแรงงานได้อย่างแท้จริง กรณีการแสวงหาผลประโยชน์จากแรงงานผู้อพยพโดยมิชอบ เมื่อต้นปี 2560 เครือข่ายฯ ได้มีการนำเสนอข้อเรียกร้องกรณีผู้อพยพถูกละเมิดและถูกแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ '…ขอเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินงานด้านการส่งเสริมสิทธิแรงงานข้ามชาติทำการตรวจสอบและดำเนินการกับขบวนการแสวงหาประโยชน์จากแรงงานข้ามชาติ เช่น กระบวนการนายหน้าในการจดทะเบียนแรงงานและขอให้มีการดำเนินการตรวจสอบการแสวงประโยชน์ของเจ้าหน้าที่รัฐในระดับท้องถิ่นในการเรียกเก็บเงินจากแรงงานโดยมิชอบ…' ตลอดเวลา 1 ปีที่ผ่านมา เครือข่ายฯ ได้รับแจ้งกรณี แรงงานฯไม่สามารถใช้บริการศูนย์ One Stop Service เพื่อจดทะเบียน CI หรือ Certificate of Identity ไม่ต่ำกว่า 5 คดีต่อเดือน บริเวณหน้าศูนย์ CI พื้นที่แม่สอด เป็นที่ตั้งของสำนักงานนายหน้า บ่อยครั้งแรงงานฯ ถูกทำให้เข้าใจผิดว่าไม่สามารถใช้บริการจดทะเบียนตามปกติได้ หากแรงงานฯ เหล่านั้นปฏิเสธที่จะใช้บริการบริษัทนายหน้า กลับไม่ได้รับความร่วมมือในการกรอกแบบฟอร์ม ถูกเรียกเงินเพิ่มโดยมิชอบ แสดงให้เห็นว่านโยบายจดทะเบียนแรงงานไม่สามารถใช้ได้ในทางปฏิบัติ กลับเป็นช่องทางแสวงหาผลประโยชน์ของบุคคลทุจริต ในขณะที่พระราชกำหนดการบริหารการจัดการการทางานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 ยังไม่มีการสรุปข้อแก้ไขที่ชัดเจน เป็นความท้าทายของเครือข่ายฯ ที่จะลงพื้นที่อบรมแรงงานฯเพื่อให้ความรู้ เมื่อกฎหมายและนโยบายไม่คงที่ แรงงานผู้อพยพนอกจากมีความเสี่ยงทางสถานะและพบอุปสรรคในการจดทะเบียน เรายังได้รับแจ้งกรณีแรงงานฯ ถูกเรียกเงินเกินความจำเป็น โดยข้ออ้างว่าใช้เพื่อการจดทะเบียนแรงงาน ทาให้พวกเขาต้องทำงานใช้หนี้ เป็นการถูกเอารัดเอาเปรียบอย่างไม่เป็นธรรม ซ้าแล้วซ้าเล่า เครือข่ายฯ อยากขอใช้โอกาสนี้ในการขอความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐในฐานะผู้ที่เห็นความสำคัญของแรงงานฯเศรษฐกิจในพื้นที่เช่นเดียวกัน ช่วยสอดส่องดูแลและร่วมกันวางแนวทางปฏิบัติเพื่อปกป้องสิทธิของบุคคลทุกคนโดยไม่เลือกในพื้นที่พิเศษแห่งนี้ เพื่อการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมและชดเชยเยียวยาสาหรับบุคคลทุกคน นอกจากนี้เรายังเสนอในประเด็นเรื่อง ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ของแรงงานผู้อพยพเสนอแนะให้หน่วยงานด้านสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานระดับจังหวัด ดำเนินการ ตรวจสอบ ติดตาม และส่งเสริม มาตรฐานการทำงานที่ปลอดภัยในสถานประกอบการทุกแห่งในพื้นที่จังหวัดตาก ตามที่กฎหมายกาหนด เพื่อเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีในการใช้แรงงานข้ามชาติในจังหวัดตาก จึงขอความร่วมมือให้หน่วยงานภาครัฐ เอกชน นายจ้าง และลูกจ้าง เคารพสิทธิตามหลักสิทธิมนุษยชน สิทธิแรงงานตามกฎหมาย เพื่อให้เกิดการจ้างงานอย่างเป็นธรรมและการพัฒนาเศรษฐกิจที่มีแรงงานผู้อพยพเป็นกาลังสาคัญอย่างยั่งยืน เครือข่ายส่งเสริมสิทธิแรงงานข้ามชาติ Migrant Rights Promotion Working Group – MRPWG จะเดินหน้าทางานเพื่อสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่เท่ากัน สร้างความสมานฉันท์ให้แก่บุคคลในพื้นที่ชายแดนจังหวัดตาก เพื่อการพัฒนาวิถีชีวิตและเศรษฐกิจที่ยั่งยืนต่อไป ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
“ธรรมาเทวาธิปไตย”: ระบบคุณค่าและประชาธิปไตยฉบับ “คนดี” | วรรณวิภางค์-อภิชาต-อนุสรณ์ [คลิป] Posted: 18 Dec 2017 08:02 AM PST คลิปจากการสัมมนาสาธารณะ "การเมืองคนดี": ความคิด ปฏิบัติการ และอัตลักษณ์ทางการเมืองของผู้สนับสนุน "ขบวนการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย" 15 ธันวาคม 2560 ที่ห้องประชุมบุญชู โรจนเสถียร อาคารอเนกประสงค์ 1 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ การนำเสนอช่วงที่ 4 "ธรรมาเทวาธิปไตย": ระบบคุณค่าและประชาธิปไตยฉบับ "คนดี" แบ่งการนำเสนอหัวข้อย่อยเป็น 1) "ทัศนคติและการให้คุณค่าทางสังคม และการเมืองของคนกรุงเทพฯ" โดย วรรณวิภางค์ มานะโชติพงษ์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2) ประชาธิปไตยฉบับ "คนดี" โดยอภิชาต สถิตนิรามัย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอนุสรณ์ อุณโณ คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นโดย ผาสุก พงษ์ไพจิตร คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเกษียร เตชะพีระ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ "ทัศนคติและการให้คุณค่าทางสังคม และการเมืองของคนกรุงเทพฯ" โดย วรรณวิภางค์ มานะโชติพงษ์ ประชาธิปไตยฉบับ "คนดี" โดยอภิชาต สถิตนิรามัย และอนุสรณ์ อุณโณ ให้ความเห็นโดย ผาสุก พงษ์ไพจิตร และเกษียร เตชะพีระ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
เสื้อแดงยกเลิก ปาร์ตี้ปีใหม่ หลัง จนท.ไม่แฮปปี้ กดดันร้านอาหารที่ใช้จัดงาน Posted: 18 Dec 2017 08:01 AM PST เสื้อแดงยกเลิกงาน 'ปาร์ตี้ แฮปปี้ ฟรีสไตล์' หลังร้านอาหารที่ใช้จัดถูกเจ้าหน้าที่กดดันต่อเนื่อง ผู้ประสานงานเผยรัฐปรับรูปแบบการกดดันผ่านร้านหรือธุรกิจเอกชนแทนกดดันกลุ่มจัดงาน อย่างน้อย 3 กิจกรรมแล้ว โพสต์แจ้งยกเลิกกิจกรรมของกลุ่มผู้จัดงาน 18 ธ.ค.2560 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่าวานนี้ (17 ธ.ค.60) กิจกรรมที่ชื่อว่า 'ปาร์ตี้ แฮปปี้ ฟรีสไตล์' ซึ่งเป็นกิจกรรมสังสรรค์ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2561 ของกลุ่มคนเสื้อแดงภาคกลางและภาคตะวันตก ที่จะจัดขึ้นที่ร้านอาหารชาวเลอัมพวา จ.สมุทรสงคราม ได้ถูกยกเลิก โดยผู้จัดกิจกรรมระบุว่าเนื่องจากเจ้าหน้าที่รัฐกดดันร้านอาหาร ส่งผลให้ผู้จัดต้องยกเลิกกิจกรรม เพราะกังวลว่าจะกระทบต่อทางร้านอาหาร ตามกำหนดการระบุว่ากิจกรรมดังกล่าวจะเริ่มเวลา 16.00-23.00 น. โดยมีการขายบัตรในลักษณะกินเลี้ยงแบบโต๊ะจีน ที่นั่งละ 350 บาท นอกจากกิจกรรมรัปทานอาหารแล้ว ยังมีกิจกรรมเต้นรำและฟังเพลงจากนักร้องทั้งที่เป็นนักร้องลูกทุ่ง เช่น สุริยา ชินพันธ์ เพชร โพธาราม และรุ่ง โพธาราม รวมทั้งนักร้องเสื้อแดง คือ ซันชิโร่ และระบุว่ารายได้หลังหักค่าใช้จ่ายจะนำไปมอบให้กับผู้ต้องขังและญาตินักโทษการเมืองที่เป็นเสื้อแดง ทั้งคดีมาตรา 112 และคดีก่อการร้าย ผู้สื่อข่าวประชาไท สอบถาม สุวรรณา ตาลเหล็ก หนึ่งในผู้ประสานงานจัดกิจกรรมดังกล่าว ระบุว่า งานนี้จัดเป็นงานปาร์ตี้ธรรมดา มีผู้ซื้อบัตร 300 ที่นั่ง สุวรรณา กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ความมั่นคงมากดดันทางร้านอาหาร แทนที่จะกดดันกลุ่มที่จัดงาน โดยที่ในตอนแรกทางร้านยืนยันว่าจะจัด แต่เมื่อใกล้ถึงวันงานเจ้าหน้าที่มากดดันบ่อยขึ้น ทางทีมงานที่จัดกิจกรรมจึงเห็นใจทางร้านและได้ตัดสินใจยุติกิจกรรมไป และในวันงานตามกำหนดการเจ้าหน้าที่ตำรวจในเครื่องแบบก็มาถ่ายภาพถึง 2 ครั้ง คือช่วงหัวค่ำและช่วง 22.00 น. แม้จะมาอย่างสุภาพ แต่การมาถ่ายภาพก็ติดทั้งคนและทะเบียนรถของคนที่มาใช้บริการร้านแบบปกติที่ไม่เกี่ยวกับพวกตน จึงกังวลว่าเขาอาจจะมีปัญหากันด้วย สำหรับผลกระทบจากการยุติกิจกรรมดังกล่าว สุวรรณา ในฐานะผู้จัดงาน กล่าวว่า กระทบไม่เพียงผู้จัดที่ต้องคืนเงินผู้ที่ซื้อบัตร รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการโอนเงินหรือส่งเงินคืนเท่านั้น ร้านเองก็ได้รับผลกระทบเนื่องจากมีการซื้อของมาตุนเพื่อรองรับคน 300 คน ที่จะมาในวันงาน รวมทั้งค่าเช่าเก้าอี้ที่นำเมาเสริมทางร้านอีกเช่นกัน สุวรรณา กล่าวถึงรูปแบบการกดดันของเจ้าหน้าที่ว่า มีรูปแบบที่เปลี่ยนไปในช่วงหลัง โดยเจ้าหน้าที่ไม่กดดันคณะหรือกลุ่มผู้จัดกิจกรรมโดยตรง แต่กดดันร้านอาหารหรือธุรกิจเอกชนที่กลุ่มกิจกรรมใช้สถานที่แทน นอกจากกรณีนี้แล้ว ยังมีกรณีที่กลุ่มตนคือกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย จัดเตะฟุตบอลเพื่อนำเงินไปช่วยเหลือ สมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่มและผู้ต้องขังในคดี ม.112 เจ้าหน้าที่ก็กดดันผู้ให้บริการสนามฟุตบอลจนต้องยุติกิจกรรม หรือกรณีล่าสุด งาน FAIRLY TELL FOUNDING AND THE หมอลำ ม่วนคัก คอนเสิร์ต เพื่อระดมทุนทำกิจกรรมฟื้นฟูสภาพจิตใจและศักยภาพของอดีตนักโทษการเมือง เนื่องจากเจ้าหน้าที่ทหารมาพูดคุยและขอกับทางร้านที่ให้เช่าจัดงานให้ยกเลิกการจัดงานคอนเสิร์ตดังกล่าว จนผู้จัดต้องยุติกิจกรรมไปเช่นกัน สุวรรณา กล่าวด้วยว่า ความปรองดองในสังคมนั้นถูกทำลายไปตั้งแต่รัฐประหารแล้ว ยิ่งเจ้าหน้าที่มีพฤติกรรมแบบนี้ยิ่งยากต่อการปรองดอง ทำไมคิดว่ากิจกรรมที่ตนทำเป็นภัยต่อความมั่นคง ทั้งๆ ที่สถานที่จัดก็ไม่ได้เป็นพื้นที่สาธารณะ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
เปิดงานศึกษา กปปส.-พธม.: ความรุนแรง-คนชั้นกลางระดับบน-แนวคิดมวลชน-สินค้าการเมือง Posted: 18 Dec 2017 05:13 AM PST ตอนที่สองประกอบด้วย 6 หัวข้อย่อย ทั้งการศึกษาคนใต้ย้ายถิ่นในแฟลต กทม., การหันหลังให้ประชาธิปไตยของชนชั้นกลางระดับบน, นิยามปฏิบัติ กปปส.ความรุนแรงหรืออารยะขัดขืน, สำรวจและจัดประเภทมวลชน การดูเบามวลชนอนุรักษ์นิยมของกลุ่มเสรีนิยม, คำอธิบายของสามนักวิชาการ, การผลิตสินค้าการเมืองและป๊อปคัลเจอร์ 15 ธ.ค. 2560 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ท่าพระจันทร์ มีการจัดงานสัมมนาวิชาการสาธารณะในหัวข้อ "การเมืองคนดี": ความคิด ปฏิบัติการ และอัตลักษณ์ทางการเมืองของผู้สนับสนุน "ขบวนการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย" โดยนำเสนอข้อมูลและข้อค้นพบจากโครงการวิจัย จัดโดยคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มธ. ข่าวที่เกี่ยวข้อง: เปิดงานวิจัยศึกษา กปปส.-พันธมิตรฯ และ 'การเมืองคนดี'
ตอบโจทย์สองอย่าง มีพัฒนาการด้านอุดมการณ์อย่างไร และมีพลวัตอย่างไร สิ่งที่พบก็คือ พวกเขาหลากหลายแตกต่างเชิงอุดมการณ์ งานนี้พยายามจัดประเภทแบบหยาบที่สุดที่หลายคนอาจไม่เห็นด้วย โดยแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม คือ 1.กลุ่มอนุรักษ์นิยมเหนียวแน่น พบว่ามีราว 70% 2.กลุ่มเสรีนิยมที่ยอมประนีประนอม พบว่ามีราว 20% 3.กลุ่มเสรีนิยมที่ถูกทำให้เป็นชายขอบ พบว่ามีราว 10% พวกเขาแตกต่างกันอย่างไร กลุ่มสองและสาม คนส่วนใหญ่ในสองกลุ่มนี้เกือบทั้งหมดมีโอกาสเข้าร่วมขบวนการประชาธิปไตยทั้ง 14 ตุลา 6 ตุลา ถ้าโตไม่ทันก็เข้าร่วมกับพฤษภา 2535 สมัชชาคนจน และการรณรงค์รัฐธรรมนูญ 2540 แต่ที่จัดแยกกลุ่มกัน เพราะกลุ่มสองไม่ได้ยึดติดในอุดมการณ์แบบเดียว มีการสลับไปมาระหว่างเสรีนิยมและอนุรักษ์นิยม บางเรื่องเป็นเสรีนิยมเน้นความเท่าเทียม กระจายอำนาจ เช่น เรื่องเพศภาพ หลายเรื่องไม่เห็นด้วยกับนโยบายที่เท่าเทียมกัน ในการร่วมขบวนการแม้ไม่เห็นด้วยกับหลายเรื่องของแกนนำแต่พวกเขาก็ประนีประนอมเพื่อให้ขบวนการได้รับชัยชนะ กลุ่มที่สาม มีแบคกราวน์แบบเสรีนิยม แต่กลุ่มนี้ตั้งคำถามและไม่เห็นด้วยกับแกนนำ แสดงออกชัดเจนและถกเถียง ท้ายที่สุดก็มักจะถูกเบียดขับออกจากขบวนการหรือไม่ก็ถอนตัวเมื่อไม่ประสบความสำเร็จในการโน้มน้าวมวลชนส่วนใหญ่ในขบวนการ ดังนั้น เราไม่สามารถเหมารวมได้ว่าขบวนการนี้เป็นอนุรักษ์นิยมทั้งหมด มันมีความหลากหลายระดับหนึ่ง ช่วงแรกเห็นความหลากหลายชัด จากนั้นขบวนการก็เขยิบเข้าสู่อนุรักษ์นิยมมากขึ้น มีความขัดแย้งที่ทั้งสามกลุ่มต่อสู้กันปรากฏให้เห็น เช่นระหว่าง พธม.กับ ปชป. หรือภายใน พธม.เอง ฯลฯ ท้ายที่สุด กลุ่มที่หนึ่งกุมชัยชนะเหนือกลุ่มอื่นๆ จนกลายเป็นกลุ่มที่มีพลังในการครอบงำทั้งในเชิงกระบวนการและการตัดสินใจของกลุ่ม คำถามมีสามคำถามต่อปรากฏการณ์นี้ คือ ทำไมท้ายที่สุดขบวนการจึงถูกครอบงำโดยกลุ่มที่หนึ่ง เหตุใดผู้สนับสนุนกระบวนการบางกลุ่มจึงยอมประนีประนอม เหตุใดผู้ไม่ยอมตามจึงถูกเบียดขับออก พธม.รวบรวมมวลชนอนุรักษ์นิยมที่กระจัดกระจายหลัง 6 ตุลา กปปส.รวบรวมคนชั้นกลางที่ไม่สนใจการเมือง คำถามสองและสามอาจตอบไม่หมด คำถามที่สามถามว่าทำไมแกนนำเสรีนิยมโดนเบียดขับออก จากที่สัมภาษณ์พวกเขาเป็นกลุ่มเอ็นจีโอ เคยร่วมขบวนการนิสิตนักศึกษา 14 ตุลา ร่วมขบวนในช่วงพฤษภา 2535 ช่วงต้นใช้ทักษะและบทบาททางการเมืองที่เคยมีระดมมวลชนต่อต้านระบอบทักษิณ แต่ส่วนใหญ่ประเมินพลังอนุรักษ์นิยมต่ำมาก พวกเขาคิดว่าน่าจะเป็นมวลชนมีประสิทธิภาพ พวกเขาไม่เห็นด้วยกับอุดมการณ์หลายอย่างของแกนนำส่วนกลาง แต่การลุกขึ้นท้าทายในแต่ละช่วงเวลาคนเหล่านี้พบกับการถูกประณาม ถูกด่าว่าว่าเป็นเสื้อแดง จำนวนหนึ่งก็หันไปสนับสนุนประชาธิปไตย เสื้อแดง หรือต่อต้านเผด็จการ ประจักษ์: ธรรมาธรรมะสงคราม ความรุนแรงเชิงศีลธรรม และอนารยะขัดขืน ความดีเป็นวาทกรรมที่ปรากฏพบมากที่สุดเมื่อศึกษาในเชิงคำพูด แถลงการณ์ การไหลเวียนของคำนี้จำนวนมาก ซึ่งเป็นคำที่หลวมและสามารถครอบคลุมความแตกต่างหลากเอาไว้ได้ ความหลวมดูเหมือนมันเป็นจุดอ่อน แต่จริงๆ แล้วในหลายขบวนการในการเคลื่อนไหวขนาดใหญ่ การมีชุดอุดมการณ์ที่หลวมกลับเป็นจุดแข็งในการที่จะทำให้คนที่มีความแตกต่างหลากหลายสามารถรวมอยู่ด้วยกันในชุดอุดมการณ์นี้ได้ "ความรุนแรงจึงไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นจากภาวะไร้ศีลธรรม ในทางตรงกันข้าม ศีลธรรมไม่ใช้กลไกยับยั้งความรุนแรงเสมอไป บางกรณีการเคลื่อนไหวทางการเมืองแบบเคร่งครัด มองโลกเป็นขาวกับดำ แบ่งโลกเป็นคนดีกับคนเลว กลับผลักดันให้คนที่เข้าร่วมขบวนการใช้ความรุนแรงกับผู้อื่นในนามของความดี ในนามของความดีนี่เองกลับเป็นตัวอนุญาตให้ผู้เคลื่อนไหว ใช้ทุกวิถีทางเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเมืองที่ตนเองต้องการ รวมถึงความรุนแรงด้วยในบางเงื่อนไข" ส่วนที่สองของงานวิจัยเป็นเรื่องรายละเอียดในส่วนบริบทและรูปแบบของความรุนแรง สิ่งที่พบคือความรุนแรงในช่วงวิกฤติเกิดจากความขัดแย้งระหว่างกลุ่มมวลชนกับเจ้าหน้าที่รัฐเป็นหลัก รวมทั้งความรุนแรงระหว่างกลุ่มมวลชนต่างอุดมการณ์ แต่อันนี้เป็นระดับรอง และรวมถึงความรุนแรงเหวี่ยงแหที่เกิดจากกลุ่มคนที่มีความเชี่ยวชาญการใช้อาวุธ ตอนนั้นกลุ่มที่ใช้ความรุนแรงมีหลายกลุ่ม ถามว่าทำไมมันถึงเกิดสภาวะแบบนั้นขึ้นได้ นั่นก็เพราะว่าสภาวะอนาธิปไตยบนท้องถนนที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของ กปปส. เองสร้างเงื่อนไขที่ทำให้ความรุนแรงของคนต่างกลุ่มเกิดขึ้นได้ เพราะสังคมเกิดทางตัน บวกกับความล้มเหลวของสถาบันและองค์กรทางการเมืองในการทำหน้าที่เป็นกลไกแก้ไขความขัดแย้งได้อย่างสันติ ทุกองค์กรหยุดทำหน้าที่หมดและใช้องค์กรของตนเองไปเป็นเครื่องมือทางการเมือง ทำให้ระบบรัฐล้มเหลว โซเชียลมูฟเม้นต์แรกที่ขัดขวางการเลือกตั้ง "ขบวนการ กปปส. เชื่อว่ามาตรการที่เกิดจากฝ่ายตนนั้นถูกต้อง ชอบธรรม เพราะว่าใช้เพื่อกำจัดระบอบการเมืองและนักการเมืองที่ชั่วร้ายมากกว่า โดยมองว่าฝ่ายตรงข้ามกับตนเอง ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง รัฐบาลที่เป็นทรราชและผู้สนับสนุน ฝ่ายตรงข้ามอยู่นอกพื้นที่ความรับผิดชอบทางศีลธรรมที่ตนเองจำเป็นต้องมีพันธะหน้าที่ทางศีลธรรมด้วย" อย่างไรก็ตาม กปปส. มีคำอธิบายที่แตกต่างอย่างชัดเจนเมื่อมวลชนของตนเองตกเป็นเหยื่อกับเวลาที่มวลชนฝ่ายตรงข้ามตกเป็นเหยื่อของความรุนแรง สงครามดี-ชั่ว ทำให้ไม่อาจประนีประนอม จากการรวมรวมคำปราศรัยและข้อเขียนในช่วงนั้น การเคลื่อนไหว กปปส. แบ่งแยกขั้วตรงข้ามอย่างชัดเจน และที่สำคัญชุดวาทกรรมคนดีรวมหลายอย่างไว้มาก มีหลายมิติ ทั้งที่เป็นคนดีกว่าเพราะรักชาติรักแผ่นดินมากกว่า รักในหลวงมากกว่า เคร่งศีลธรรมมากกว่า เป็นพลเมืองดีแบบใสซื่อมือสะอาด สุจริตไม่คอร์รัปชัน เสียสละเพื่อชาติบ้านเมือง มีการเปรียบเทียบในแง่การศึกษาสูงกว่า เป็นผู้ดีกว่า มีคุณภาพมากกว่า ไม่ตกเป็นทาสของนักการเมือง ฯลฯ เรายังเห็นกระบวนการลดทอนความเป็นมนุษย์สูงมากในภาษาของ กปปส. โดยเฉพาะแกนนำบางคน เช่น เรากำลังต่อสู้กับพวกอมนุษย์ พวกสัตว์นรก เป็นคำที่รุนแรงมาก เมื่อความรุนแรงเกิดขึ้นกับฝ่ายตรงกันข้ามปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นจึงกลายเป็นการเยาะเย้ยถากถาง การแสดงความสะใจดีใจต่อความรุนแรง กรณีมือปืนป๊อปคอร์นเป็นกรณีที่ชัดเจน นอกจากให้ความชอบธรรมกับความรุนแรงแล้วยังมีการทำความรุนแรงให้เป็นสินค้าด้วย ความรุนแรงถูกยกย่องเชิดชูอย่างเปิดเผยกระทั่งมีการผลิตสินค้าทางวัฒนธรรมออกมาจัดจำหน่าย นี่เป็นการยกขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งของความรุนแรง "การเคลื่อนไหวของ กปปส. คือการเคลื่อนไหวแบบอนารยะขัดขืนภายใต้วาทกรรมรุนแรงเชิงศีลธรรม ปฏิเสธความชอบธรรมทั้งของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และความชอบธรรมของการเลือกตั้งในฐานะกลไกขึ้นสู่อำนาจ ทั้งสังคมเกิดทางตัน บวกกับการไม่ทำหน้าที่ของฝ่ายความมั่นคงโดยเฉพาะกองทัพในการรักษาและฟื้นฟูความสงบ คือพูดง่ายๆ ตอนนั้น กองทัพจงใจที่จะอยู่นิ่งเฉย ทำให้สภาวะอนาธิปไตยบนท้องถนนดำรงอยู่อย่างต่อเนื่อง และสภาวะอนาธิปไตยนี้ที่กองทัพเองมีส่วนทำให้มันเกิดขึ้นกลับกลายเป็นข้ออ้างให้ความชอบธรรมกับการเข้ามายึดอำนาจของกองทัพในนามของการรักษาความสงบ ซึ่งเป็นสภาวะที่กลุ่ม กปปส. จงใจสร้างให้เกิดขึ้นตั้งแต่ต้น วาทกรรมสงครามคนดีคนชั่ว ผมมองว่าทำให้สังคมไทยร้าวลึกและยังคงร้าวลึกมาจนถึงปัจจุบัน ยากที่จะมีจุดประนีประนอมได้ ถามว่าทำไมทหารทำอะไรหลายอย่างที่ก็เหมือนกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ผู้ชุมนุม กปปส. ยังสนับสนุนอยู่ ผมคิดว่าเราเข้าใจได้ถ้ามองว่านี่มันคือสงครามที่ไม่มีพื้นที่ตรงกลางให้เลือกมันเป็นสงครามแบบขาวดำระหว่างคนดีกับคนชั่ว ฉะนั้นคุณก็ยังต้องสนับสนุนแม่ทัพฝ่ายตนเอง ตราบใดที่คุณยังจัดเขาว่าอยู่ในฝ่ายตนเองอยู่ เพราะมันมีฝ่ายที่ชั่วร้ายกว่าที่เป็นภัยคุกคาม" ธร ปิติดล-ชานนทร์ เตชะสุนทรวัฒน์: การเติบโตและการหันหลังให้กับประชาธิปไตยของคนชั้นกลางระดับบนในประเทศไทย ชนชั้นกลางระดับบนในประเทศไทยเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงสมัยรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ จนถึงช่วงปี 2535 แม้ว่าการเติบโตของคนชั้นกลางระดับล่างจะมากกว่าก็ตาม แต่การเติบโตของกลุ่มชนชั้นกลางระดับบนนั้นมีนัยสำคัญคือ มีลักษณะของการถีบตัวออกจากชนชั้นกลางระดับล่างไกลมากขึ้น โดยมี 3 ปัจจัยที่เกี่ยวข้องคือ ปัจจัยด้านพื้นที่ ด้านการศึกษา และอาชีพ ซึ่งเป็นฐานการเติบโตของคนชั้นกลางระดับบน ในกรุงเทพฯ คนกลุ่มนี้ได้รับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจมากกว่า อย่างไรก็ตาม หลังจากปี 2535 เป็นต้นมาช่องว่างระหว่างสองกลุ่มได้ขยับเข้าใกล้กันมากขึ้น โดยปัจจัยเรื่องการศึกษา และปัจจัยเรื่องพื้นที่ ไม่ได้เป็นปัจจัยสำคัญอีกต่อไป มากไปกว่านั้นสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปและทำให้ความเหลื่อมล้ำลดลง จากเดิมการอยู่ในภาคเกษตรกรรมเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำเพิ่มขึ้น แต่หลังจากปี 2535 การอยู่ภาคเกษตรกรรมเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ชนชั้นกลางระดับล่างไล่ทันชนชั้นกลางระดับบน สิ่งเหล่านี้อาจจะทำให้เกิดความรู้สึกไม่มั่นคงของชนชั้นกลางระดับบน เมื่อได้สัมภาษณ์พวกเขาถึงเรื่องปัจจัยที่บั่นทอนอุดมการณ์หลักของพวกเขาก็พบว่าคำตอบคือ ทักษิณไม่จงรักภักดี นักการเมืองเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ของตัวเอง และมีการคอร์รัปชันสูง และการเกิดขึ้นของนโยบายประชานิยมทำให้ชาวบ้านไม่พอใจในสิ่งที่ตนเองมีอีกต่อไป ซึ่งทั้งหมดนี้ตอบโจทย์ว่าปัจจัยที่ผลักดันให้คนชั้นกลางระดับบนออกมาเคลื่อนไหวกับ กปปส. จริงๆ แล้วเป็นปัจจัยทางอุดมการณ์ ชลิตา บัณฑุวงศ์: ความคิดและปฏิบัติการ 'การเมืองคนดี' ของคนใต้ย้ายถิ่นในกรุงเทพฯ สำหรับวัตถุประสงค์ของการวิจัยนั้นต้องการที่จะรู้ว่ามีเงื่อนไข หรือปัจจัยใดบ้างที่มีส่วนต่อความคิด และปฏิบัติการ "การเมืองคนดี" ของคนใต้กลุ่มดังกล่าว และผลของความคิด และปฏิบัติการดังกล่าวนั้นมีผลอย่างไรกับการเมืองไทย โดยงานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้วิธีการสัมภาษณ์ สังเกตการณ์ และเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ที่มีในพื้นที่ศึกษา โดยใช้เวลาเก็บข้อมูลตั้งแต่ต้นปี 2558 ถึงต้นปี 2559 กลุ่มคนที่ศึกษาส่วนใหญ่เป็นผู้เช่าห้องพักและเป็นคนทำงานมากกว่าที่จะเป็นนักศึกษา คนกลุ่มนี้อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ มาไม่ต่ำกว่า 15 ปี มีบางส่วนที่ทำงานในหน่วยงานต่างๆ บางส่วนจบการศึกษาระดับปริญญาตรีที่กรุงเทพฯ จากนั้นก็ทำงานและดำรงชีวิตในกรุงเทพฯ มาโดยตลอด บางส่วนมีอาชีพในภาคเศรษฐกิจที่ไม่เป็นทางการ เช่น ค้าขาย รับจ้างอิสระ โดยกลุ่มนี้จะอยู่ในช่วงวัยกลางคน และจบการศึกษาในระดับมัธยมต้น-ปลาย เข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ เมื่อ 25-30 ปีก่อนเพื่อหางานทำ สถานะทางเศรษฐกิจและสังคมอาจจัดได้ว่าเป็นกลุ่มคนชั้นกลางระดับล่าง ไม่ได้เป็นคนที่ยากจนมากนัก ส่วนใหญ่มีรถยนต์ส่วนตัว มีการท่องเที่ยวจับจ่ายใช้สอยเช่นเดียวกับชนชั้นกลาง แต่ก็เป็นชีวิตที่ไม่มีความมั่นคงหรือไม่อาจคาดหวังความก้าวหน้าได้มากนัก ในส่วนของภูมิหลังที่เชื่อมโยงกับบ้านเกิด เธอพบว่ามีสองลักษณะด้วยกัน บางส่วนครอบครัวเดิมยังอยู่ในภาคเกษตรกรรม แม้ว่าตัวเองจะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องการกิจกรรมในด้านการเกษตรแล้วก็ตาม อีกส่วนหนึ่งไม่มีภูมิหลังที่เกี่ยวข้องกับภาคเกษตรกรรมเลย แต่อาจจะเป็นคนเชื้อสายจีนที่ค้าขายอยู่ในตลาดของอำเภอหรือรับจ้างอิสระมาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ ก่อนที่จะย้ายเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ บางคนมาจากครอบครัวข้าราชการชั้นผู้น้อย ตรงนี้ทำให้เห็นว่างานศึกษาต่างๆ เกี่ยวกับเศรษฐกิจภาคใต้ที่เคยบอกว่า สถานะทางเศรษฐกิจและสังคมของคนใต้วางอยู่บนความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรหรือเศรษฐกิจการเกษตรจึงใช้ไม่ได้กับคนใต้ชาวแฟลตแห่งนี้ จำกัดคอร์รัปชัน-ปกป้องสถาบันกษัตริย์ เหตุเข้าร่วม กปปส.คึกคัก "หลายคนผิดหวังกับการรัฐประหารปี 2549 เพราะว่าไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้ เพราะว่าเสียของ สำหรับรัฐประหารปี 2557 พวกเขาบอกว่ามันมีความจำเป็น ถ้าทหารไม่เข้ามาก็จะเกิดความวุ่นวายคนจะตายอีกเยอะ และเครือข่ายทักษิณยังคงอยู่ต้องให้ทหารมาจัดการ" 3 ปีหลังรัฐประหาร ประเทศไทยมาถูกทาง ประชาธิปไตยครึ่งใบ แม้ว่าคนกลุ่มนี้จะมีสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมที่อยู่ในชนชั้นกลางระดับล่างซึ่งมีสถานะที่คล้ายกับคนเสื้อแดง แต่ขบวนการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่พวกเขาเลือกเข้าร่วมด้วยกลับเป็นขบวนการทางการเมืองที่ไม่เน้นสิทธิและความเสมอภาคทางการเมืองของกลุ่มคนระดับล่าง แม้ว่าอุดมการณ์ทางการเมืองของกลุ่ม กปปส. จะไม่ได้ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มคนระดับล่าง แต่พวกเขาก็ยังเลือกที่จะเข้าร่วมกับ กปปส. ด้วยความเสียสละและทุ่มเท สาเหตุเกิดจากปัจจัยที่เป็นอัตลักษณ์ร่วมของความเป็นคนใต้ แม้ว่าคนใต้เหล่านี้จะย้ายถิ่นฐานเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ มานานหลายปี แต่พวกเขาก็ยังนิยามตัวเองว่าเป็นคนใต้อยู่ และยังรู้ว่าเป็นพรรคพวกเดียวกันกับคนใต้อื่นๆ ทั้งคนใต้ที่อาศัยอยู่ในชุมชนเดียว ซึ่งนำมาสู่สายสัมพันธ์ทางสังคมที่แนบแน่น และยังมีลักษณะของการเชื่อมโยงปัญหาของตัวเองกับปัญหาของคนใต้อื่นๆ ที่กำลังประสบปัญหาหรือได้รับความเดือดร้อนจากระบบทักษิณ อัตลักษณ์อีกประการหนึ่งที่คนใต้มักกล่าวถึงตัวพวกเขาเองคือการไม่สยบยอมต่อความอยุติธรรมหรืออำนาจที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งเป็นอัตลักษณ์ที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างต่อเนื่องจากปัญญาชน นักเขียน ในหลายทศวรรษที่ผ่านมา และอัตลักษณ์นี้ก็ถูกเน้นย้ำกับการเข้าร่วมกับ กปปส. ด้วย อย่างไรก็ตามคำว่าอำนาจที่ไม่เป็นธรรมนั้นถูกให้ความหมายเพียงแค่อำนาจที่มาจากนักการเมือง โดยเฉพาะฝั่งของทักษิณเท่านั้น ขณะที่สถาบันอื่นๆ ในโครงสร้างอำนาจรัฐกลับไม่ถูกพูดถึง อุเชนทร์ เชียงเสน: การสร้างอุดมการณ์ผ่านกรอบโครงความคิดของปัญญาชน กปปส. งานศึกษานี้สนใจกลุ่มปัญญาชนนักวิชาการใน กปปส. เพราะพวกเขามีหน้าที่อธิบายเฟรมดังกล่าว และเลือกศึกษาสามคนคือ จรัส สุวรรณมาลา อดีตคณบดีรัฐศาสตร์ จุฬาฯ เพราะจุฬาฯ เป็นฐานสำคัญในการรวบรวมคน, จักษ์ พันธุ์ชูเพชร มีบทบาทสำคัญมาก เป็นคนที่คนฟังตบมือทุกประโยคและเดินสายระดมคนไปยังจังหวัดต่างๆ จำนวนมาก มีลูกล่อลูกชนและมีประเด็นสองแง่สองง่ามเยอะ, สมบัติ ธำรงธัญญวงศ์ มีบทบาทในการอธิบายขบวนการและเป้าหมายของ กปปส.มากและนิด้าก็เป็นฐานกำลังหลักด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะกลุ่มสยามตุลาภิวัตน์
ยุทธศาสตร์ของ กปปส.นั้น สุเทพ เทือกสุบรรณ เปิดเผยชัดเจนแต่ต้นว่าจะทำให้เกิดสุญญากาศทางการเมืองและเปิดทางให้ตั้งสภาประชาชน ฯลฯ นักวิชาการเป็นจุดหนึ่งในการระดมคนให้มาเคลื่อนไหว ส่วนในระดับชาติก็มีบทบาทในการเป็นที่ปรึกษานำเสนอข้อเสนอ โดยเฉพาะที่ประชุมอธิการบดี (ทปอ.) กับกลุ่มสยามประชาภิวัตน์ อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรก บรรดานักวิชาการมีข้อเสนอต่างกัน นักวิชาการต่างจังหวัดเสนอว่าให้คืนอำนาจให้ประชาชน แต่หลังจากสุเทพฯ ยกระดับการสู้ ก็ทำให้นักวิชาการเสนอสอดคล้องกับ กปปส.ส่วนกลาง กรอบความคิดใหญ่ของ กปปส. มีความต่อเนื่องกับ พธม. นักวิชากาอย่างจรัส เวลาอธิบายจะผูกตัวเองกับ 2475 อธิบายผ่านรัฐธรรมนูญ 2540 ว่า การพยายามสร้างความเข้มแข้งให้รัฐบาลตามรัฐธรรมนูญนั้นทำเกิดระบอบทักษิณ เกิดการกระจุกตัวของอำนาจที่ส่วนกลาง ทำให้การลงทุนซื้อเสียงมันคุ้มที่จะทำ ส่วนสมบัติมีแบคกราวน์การเมืองเปรียบเทียบ อธิบายว่าสิ่งที่เกิดในระบอบทักษิณเชื่อมโยงกับระบบรัฐสภา ข้อเสนอแกคือให้เลือตั้งนายกฯ โดยตรงเลย เพื่อแบ่งแยกอำนาจ แก้ปัญหาที่ฝ่ายบริการจะครอบงำนิติบัญญัติ แต่ไม่มีใครเอากับข้อเสนอดังกล่าว ขณะที่จักษ์เสนออย่างไม่เป็นระบบเท่าไร แต่พยายามจะเชื่อมโยงว่า ปัญหาระบอบทักษิณ ล้มเจ้า จ้างยิง ทิ้งเกษตร เผาเมือง ไม่ฟังคำสั่งศาล ฯลฯ นั้นเป็นปัญหาที่ต้องจัดการ รวมถึงมีการพูดขนาดว่า สปป.หรือสมัชชาปกป้องประชาธิปไตยที่นักวิชาการรวมตัวกันตั้งขึ้นนั้นคือสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชน ถามว่ารากฐานทางวัฒนธรรมอะไรบ้างที่ใช้สร้างกรอบเช่นนี้ เราพบว่า เรื่องระบอบทักษิณมีการปูกระแสกันมานาน เชื่อมโยงกับความรุนแรงและล้มเจ้า บางคนเล่นโดยตรง บางคนไม่ตรง เรื่องเผด็จการรัฐสภาก็เอามาใช้ มีการใช้คำอธิบายหลักอธิปไตยเป็นของประชาชนเพื่ออธิบายว่าประชาชนสามารถล้มรัฐบาลได้ อาทิตย์ สุริยะวงศ์กุล-อาจินต์ ทองอยู่คง: การร่วมสร้างอัตลักษณ์คนดีของมวลมหาประชาชน Meme ยืมแนวคิดของเรื่องยีนหรือรหัสทางพันธุกรรมมาใช้ ในทางวัฒนธรรมก็มีหน่วยทางวัฒนธรรมคือตัวมีม วัฒนธรรมคือการคัดลอกทำซ้ำส่งต่อ มีมเป็นหน่วยที่เล็กที่สุดทางวัฒนธรรมที่ถูกคัดลอกและส่งต่อ สามารถรวบยอดและส่งต่อความคิดได้ นอกจาการ์ตูนแล้ว ในโซเชียลมีเดียยังมีเรื่องของแฮชแท็ก ในทวิตเตอร์ก็อาจเป็นมีมได้เช่นกัน ดังนั้นมีจึงเหมือนกับรหัสทางพันธุกรรมที่เกิดขึ้นมาและมีการส่งต่อ โดยมีช่วงเวลาเฉพาะของมันอยู่ นอกจากนี้มีมยังไม่ใช่การคัดลอกเพียงแค่ตัวสาร แต่ยังมีการคัดลอกตัวฟอร์มซึ่งมีโครงของเรื่องเล่าอยู่ด้วย บางส่วนก็ทำให้คนอื่นๆ มาร่วมเล่นได้ โดยไม่ต้องใช้ทักษะอะไรมาก เช่น คำว่า "อีโง่" หรือภาพลักษณ์ที่รวบยอดของการไม่ยอมรับนายกรัฐมนตรียิ่งลักณ์ในขณะนั้น กรณีมือปืนป๊อปคอร์นก็มีการนำมาทำเป็นรูปการ์ตูนเพื่อลดโทนความรุนแรงลงทำให้รู้สึกว่าสามารถทำซ้ำและส่งต่อได้ เช่น การนำไปทำภาพเป็นปกอัลบั้มวงดนตรีป๊อปคอร์น โดยมีมไม่ได้อยู่เพียงบนอินเทอร์เน็ตเท่านั้น มันกระโดดมาพื้นที่ออฟไลน์ด้วย เช่น เสื้อยืดมือปืนป๊อปคอร์น หรือของที่ระลึก
กลุ่มเซเลบนั้นจะเห็นว่าช่วงนั้นมีคนดังทั้งดารานักร้องนักแสดงมีบทบาทในการเคลื่อนไหว กปปส. มาก ทำให้การเคลื่อนไหวได้รับความสนใจขึ้นมา และความน่าสนใจอีกอย่างคือ แกนนำ คนเข้าร่วมกับ กปปส. ปรากฏภาพอยู่ในนิตยสารที่ไม่ใช่การเมือง เช่น นิตยสารอิมเมจ แพรว ดิฉัน ฯลฯ อย่างน้อย 14 ฉบับ ส่วนที่ไม่ปรากฏบนหน้าปกแต่อยู่ในเนื้อหาภายในเล่มก็ปรากฏอีกเป็นจำนวนมาก เรียกได้ว่า กปปส. ช่วงนั้นอยู่ในป๊อปปูลาร์คัลเจอร์ที่ไม่อยู่ในการเมืองด้วย นอกจากนั้นยังมีการประกวด การทำให้เป็นแฟชั่น ทำให้อัตลักษณ์ กปปส. ในการเคลื่อนไหวทางการเมืองมีความร่วมสมัย ถามว่าการลดโทนของความเป็นการเมืองสำคัญอย่างไร การทำให้การเคลื่อนไหวของ กปปส. ดูไม่เป็นการเมือง ทำให้คนกลุ่มใหม่ๆ ที่ไม่เคยสนใจการเมือง หรือปฏิเสธการมีส่วนร่วมทางการเมืองสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการเคลื่อไหวได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจโดยเฉพาะผ่านการบริโภคมีมหรือสินค้ารักชาติเหล่านี้ ในลักษณะการมีส่วนร่วมทางการเมืองผ่านการบริโภค งานศึกษาสรุปว่า มวลชนมีบทบาทในการผลิตอัตลักษณ์ของ กปปส. ด้วย โดยที่ไม่ได้ถูกสร้างมาจากแกนนำเพียงอย่างเดียว ผ่านการผลิตมีม ทั้งที่อยู่ออนไลน์และออฟไลน์ โดยมีเหตุผล 2 อย่างประกอบคือ 1.การเกิดขึ้นมาของสื่อส่วนบุคคลที่คนสามารถจัดการได้จำนวนมาก และผลิตสินค้าต่างๆ ก็ทำได้ไม่ยากแล้ว 2.มวลชน กปปส.เป็นชนชั้นกลางในเมืองที่มีทักษะการออกแบบและมีทุนผลิตสิ่งของพวกนี้ได้ การผลิตสิ่งเหล่านี้ของมวลชน กปปส. ทำให้เห็นอัตลักษณ์คนดีบางอย่างอย่างชัดเจน เช่น การเป็นพสกนิกรที่จงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ ซึ่งเห็นผ่านเสื้อยืดสกรีนข้อความ "ประชาชนของพระราชา" ที่มีการใส่อยู่จำนวนมาก
ธรรมาธรรมะสงคราม: ความรุนแรงเชิงศีลธรรม และอนารยะขัดขืน -ประจักษ์ ก้องกีรติ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
'ประวิตร' บ่นเหนื่อย ด้าน 'ศรีสุวรรณ' จี้ ประยุทธ์ สั่งพักงาน ระหว่าง ป.ป.ช.สอบ Posted: 18 Dec 2017 05:06 AM PST ประวิตร บ่น 'เหนื่อย' ศรีสุวรรณ จี้ ประยุทธ์ สั่งพักงาน ยก กรณี 'ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์-เปรมศักดิ์' ที่ถูกสั่งระงับการปฏิบัติหน้าที่ ระหว่างที่ ป.ป.ช. สอบข้อเท็จจริง เป็นตัวอย่าง หวังไม่เลือกปฏิบัติเพราะพวกพ้อง 18 ธ.ค. 2560 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจาก ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ว่าวันนี้ สมาคมฯ ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) สั่งพักงาน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จากกรณีที่ถูกสาธารณชนและสื่อมวลชนตรวจสอบและจับได้ว่ามีเครื่องประดับนาฬิกา แหวนเพชรหรูมูลค่าหมายล้านบาทเป็นจำนวนมาก ซึ่งผิดวิสัยตามปกติของผู้ที่มีรายได้จากเงินเบี้ยเลี้ยง บำนาญและเงินเดือนของนักการเมือง อีกทั้งไม่ปรากฎในรายงานเอกสารแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินที่จะต้องแจ้งให้ ป.ป.ช. ทราบตามที่กฎหมายบัญญัติ จนกระทั่งมีการร้องเรียนให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าจงใจปกปิดทรัพย์สินและอาจเข้าข่ายร่ำรวยผิดปกติอยู่ในขณะนี้ แถลงการณ์จากสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยังระบุด้วยว่า กลุ่มภาคประชาชนจำนวนมากได้ร่วมกันลงชื่อเพื่อขอให้พล.อ.ประวิตร ลาออกจากตำแหน่ง เนื่องจากพฤติกรรมการให้สัมภาษณ์ที่เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของ นักเรียนเตรียมทหาร ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ จนกลายเป็นที่ครหาและวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมกันทั้งบ้านทั้งเมืองอยู่ในขณะนี้รวมทั้งสถานการณ์ความมั่นคงในพื้นที่ภาคใต้ก็เกิดการเผารถทัวร์นักท่องเที่ยว ซึ่งสิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวของรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมโดยชัดแจ้ง สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยจึงใคร่ขอเรียกร้องให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใช้อำนาจตาม ม.44 ในการ "พักงาน" หรือระงับการปฏิบัติราชการหรือหน้าที่ในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นการชั่วคราว โดยยังไม่พ้นจากตําแหน่งจนกว่าจะมีการตรวจสอบเสร็จ โดยไม่ได้รับค่าตอบแทนในระหว่างนี้ เฉกเช่นเดียวกับกรณีที่เคยสั่งพักงาน ผู้ว่า กทม. ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร และเปรมศักดิ์ เพียยุระ นายกเทศมนตรีเมืองบ้านไผ่ที่ผ่านมา ทั้งนี้จนกว่า ป.ป.ช. จะได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงตามข้อครหาและการร้องเรียนแล้วเสร็จ "หวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านหัวหน้า คสช.จะไม่เลือกปฏิบัติเพราะพวกพ้องต่อกรณีที่เกิดขึ้นจากการใช้อำนาจของ คสช.ที่ผ่านมาเพื่อธำรงไว้ซึ่งความเสมอภาคและความเป็นธรรมกับผู้ที่เคยต้องคำสั่งของ หัวหหน้า คสช.ในลักษณะเดียวกัน อีกทั้งเป็นการรักษาภาพลักษณ์ที่ดีของ คสช. ในการเข้ามาทำงานเพื่อปราบโกงหรือปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่นได้อย่างจริงจัง ด้วยการตัดอวัยวะบางส่วนทิ้งเพื่อรักษาชีวิตหรือเพื่อรักษาองค์กรไว้ต่อไป" แถลงการณ์ สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐะรรมนูญไทย ระบุตอนท้าย ด้าน พล.อ.ประวิตร นั้น สำนักข่าวไทย รายงานว่า ภายหลังการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินคณะที่ 5 ครั้งที่ 10/2560 ผู้สื่อข่าวได้สอบถาม พล.อ.ประวิตร ว่ายังไม่คิดลาออกจากตำแหน่งใช่หรือไม่ ซึ่งพล.อ.ประวิตร กล่าวเพียงสั้น ๆ ว่า เหนื่อย ก่อนจะขึ้นรถเดินทางออกจากทำเนียบรัฐบาลทันที ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
เปิดงานวิจัยศึกษา กปปส.-พันธมิตรฯ และ ‘การเมืองคนดี’ Posted: 18 Dec 2017 03:55 AM PST อภิชาต สถิตนิรามัยและคณะ นำเสนองานวิจัยเกี่ยวกับ กปปส.(และ พธม.) ว่าพวกเขาคือใคร มีความคิดทางการเมืองอย่างไร ปฏิบัติการทางการเมืองเป็นอย่างไร ด้านผาสุก-เกษียร วิจารณ์งานยังไม่ลึกพอ ขาดมิติประวัติศาสตร์ มีปัญหาการนิยาม "คนชั้นกลาง" และอธิบายรากฐานแนวคิดราชาชาตินิยมที่อิงกับศีลธรรมยังไม่ชัด-ใหม่พอ
อภิชาต สถิตนิรามัย หัวหน้าโครงการวิจัยให้ข้อมูลว่า โครงการวิจัยนี้ได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) โดยคณะวิจัยใช้เวลาดำเนินการราว 2 ปีกว่า มีวัตถุประสงค์เพื่อทำความเข้าใจความคิดทางการเมืองของขบวนการเคลื่อนไหวทั้งพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) และโดยเฉพาะคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) โดยมีอาจารย์ที่ร่วมทำวิจัยในหัวข้อย่อยต่างๆ รวม 7 ประเด็นที่มานำเสนอในวันนี้และมีอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิมาให้ความเห็นและวิจารณ์งานดังกล่าว หลังจากนั้นจะมีการนำข้อเสนอแนะกลับไปปรับปรุงเพื่อนำเสนอต่อสาธารณะต่อไป อาจเป็นในรูปแบบของบทความหรือหนังสือ ทั้งนี้ อภิชาตเคยเป็นหัวหน้าโครงการวิจัยชุดทบทวนภูมิทัศน์การเมืองไทย ซึ่งศึกษาขบวนการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง เผยแพร่ต่อสาธารณะเมื่อปี 2556 ประชาไทเก็บความการนำเสนอสรุปภาพรวมโครงการและคำวิจารณ์ในภาพรวม โดยผู้นำเสนอคือ อภิชาต สถิตนิรามัย และ อนุสรณ์ อุณโณ ส่วนผู้วิจารณ์คือ ผาสุก พงษ์ไพจิตร และเกษียร เตชะพีระ ส่วนข้อเสนอในประเด็นหัวข้อย่อยต่างๆ จะรวบรวมนำเสนอในตอนต่อไป ไม่ว่าจะเป็น ความคิดและปฏิบัติการ "การเมืองคนดี" ของคนใต้ย้ายถิ่นในกรุงเทพฯ, การเติบโตและการหันหลังให้กับประชาธิปไตยของคนชั้นกลางระดับบนในประเทศไทย, อัตลักษณ์คนดีและความรุนแรง การร่วมสร้างอัตลักษณ์คนดีของมวลมหาประชาชน, ธรรมาธรรมะสงคราม ความรุนแรงเชิงศีลธรรม และอนารยะขัดขืน, อุดมการณ์และปัญญาชน "คนดี" จากขบวนการเสรีนิยมอันหลากหลายสู่ขบวนการอนุรักษ์นิยมเข้มข้น -กนกรัตน์ เลิศชูสกุล, การสร้างอุดมการณ์ผ่านกรอบโครงความคิดของปัญญาชน กปปส. อภิชาต-อนุสรณ์: เขาคือใคร ทำไมยอมรับเผด็จการได้อภิชาต สถิตนิรามัย กล่าวว่า ในการศึกษาครั้งนี้มีโจทย์หลักที่อยากรู้ 3 เรื่องคือ 1.ผู้สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยคือใคร 2.พวกเขามีความคิดและจินตนาการทางการเมืองอย่างไร 3.มันแปรไปสู่แอคชั่นทางการเมืองอะไรบ้าง
"ไม่ได้หมายความว่า คนชั้นกลางบนต้องเหลืองเท่านั้น คนชั้นกลางล่างต้องเป็นแดงเท่านั้น แต่หมายความว่าการแตกตัวทางชนชั้นมันเป็นฐานของความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบัน...ในแง่นี้มันจึงถกเถียงได้ว่า ถ้าประกอบด้วยทั้งกลางบนและกลางล่างก็ไม่อาจบอกว่าเป็นความขัดแย้งทางชนชั้นหรือเปล่าเพราะมีทั้งสองในขบวนเดียวกัน ถ้าจะพูดว่าเป็น cross-class movement (ขบวนการต่อสู้ข้ามชนชั้น) ต้องยืนยันในเชิงปริมาณด้วยว่า ขบวนการนี้ไม่ได้มีชนชั้นกลางระดับบนเป็นองค์ประกอบส่วนใหญ่ และในแง่หนึ่งเป้าหมายหรือข้อเรียกร้องหลักทางการเมืองของขบวนการในการรื้อฟื้นระเบียบทางการเมืองสังคมแบบช่วงชั้นขึ้นมาใหม่ คนที่ได้ประโยชน์หลักก็คือชนชั้นกลางระดับบน ไม่ใช่ชนชั้นกลางระดับล่าง ดังนั้น เราจึงยังยืนยันอยู่ว่า ความขัดแย้งเหลืองกับแดงมันมีความขัดแย้งลักษณะชนชั้นแฝงอยู่ แต่แน่นอน การเคลื่อนไหวระดับชาติย่อมจะประกอบด้วยคนหลายชนชั้น" ลูกจีนกู้ชาติ สู่ คนใต้รักในหลวง อัตลักษณ์อีกอันหนึ่งคือ การเป็นคนดี เรื่องนี้โดดเด่นมาก มีการให้ความหมายว่าตัวเองว่าเป็นคนดีในหลากระดับทั้งแบบไม่ต้องอิงกับสิ่งใด, อิงกับความจงรักภักดีสถาบันกษัตริย์, อิงกับความเชื่อโดยเฉพาะพุทธศาสนาเถรวาท นอกเหนือจากนั้นยังมีการแปลงร่างเป็นคนดีด้วย เช่นกรณีสุเทพ เทือกสุบรรณ จากที่เคยเป็นนักการเมืองที่คนรู้ดีว่าเป็นอย่างไร เขาแปลงร่างเป็น "ลุงกำนัน" แล้วสามารถมัดใจคนในท้องถิ่นได้ ประชาธิปไตยไม่เน้นตรวจสอบถ่วงดุล เน้นคนดีปกครองคนไม่ดี อภิชาตขยายความว่า คนที่มีไลฟ์สไตล์ระดับบน การศึกษาค่อนข้างสูงทำไมรู้สึกตัวเองไม่มั่นคงในปัจจุบันและในอนาคต เรื่องนี้ต้องย้อนไปดูประเด็นความเหลื่อมล้ำที่เริ่มลดลงตั้งแต่ปี 2535 เป็นต้นมา คนชั้นกลางระดับบนมีการเปลี่ยนแปลงรายได้ช้ากว่าชนชั้นกลางระดับล่าง ขณะเดียวกันคนที่รวยที่สุด 1% รายได้ก็เพิ่มสูงมากๆ คนชั้นกลางระดับบนจึงรู้สึกไม่มั่นคงเพราะถูกข้างหลังไล่กวดมา ขณะที่มองไปข้างหน้าก็ไม่มีทางตามทัน ปัจจุบันชัยภูมิความได้เปรียบของเขาถูกข้างหลังไล่มาเรื่อยๆ สิ่งนี้อธิบายว่าทำไมเขาจึงไม่ยึดมั่นในประชาธิปไตย เพราะบางครั้งเผด็จการอาจให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า "การไม่ยึดมั่นกับประชาธิปไตย โอนอ่อนกับอำนาจนิยม มันมาจากรากฐานความคิดของสังคมไทยที่เป็นสังคมช่วงชั้นแบบอินทรียภาพ การเน้นการทำหน้าที่ของตัวเองให้สอดคล้องกับหน่วยอื่นในสังคม รู้จักที่ต่ำที่สูงตามอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกันของสังคมช่วงชั้น เป็นการปฏิเสธทั้งอิสรภาพและความเท่าเทียมกันของปัจเจกชน หน้าที่จึงต้องมาก่อนสิทธิ ฉะนั้น สังคมช่วงชั้นมันแบ่งตามอำนาจแบบบุญบารมี ซึ่งอำนาจเช่นนั้นไม่ต้องน่ากลัวหรืออันตรายเสมอไป อำนาจผูกติดกับบุคคล ไม่ได้ผูกกับตำแหน่งสาธารณะ อำนาจจึงเป็นเรื่องความถูกต้องและมีศีลธรรมโดยตัวมันเอง นั่นทำให้กติกาทางการเมืองของการเมืองคนดีมีระบบการตรวจสอบทางการเมืองที่แตกต่างจากประชาธิปไตยแบบเสรีนิยมที่เน้นการแยกอำนาจ เช็คแอนด์บาลานซ์ เพราะคอนเซ็ปต์แบบฝรั่ง อำนาจเป็นเรื่องน่ากลัวจึงต้องตรวจสอบและถ่วงดุล แต่ของไทยอำนาจไม่จำเป็นต้องน่ากลัว จึงกลายเป็นว่าการตรวจสอบและคานอำนาจไม่จำเป็น ระเบียบการเมืองของพวกเขาจึงคือการให้คนดีมีศีลธรรมถืออำนาจปกครองผู้ที่ด้อยศีลธรรมกว่า ตามพระบรมราโชวาทปี 2515 ที่เรารู้จักกันดี ... ดังนั้น การเมืองคนดีในแง่กติกา มันจึงนับเป็นกติกาการเมืองทางวัฒนธรรมของคนชั้นกลางตามลำดับช่วงชั้นของความดีที่ไม่เท่ากัน เสียงส่วนใหญ่จึงไม่ใช่เกณฑ์ตัดสินทางการเมือง คนดีจึงไม่ต้องรับผิดชอบต่อใคร การเมืองคนดีก็คือการทวงคืนคอนเซ็ปต์ดั้งเดิมของจารีตนิยม" อภิชาตกล่าว ต้องค้นหาอำนาจแบบใหม่ ไม่ผูกกับบุญบารมี "ที่เราพูดมาทั้งหมดเป็นการเมืองเชิงวัฒนธรรม สิ่งที่ยังไม่ได้คิดมากคือ political culture ทำให้ต้องกลับไปหาการศึกษาอำนาจหรือการเมืองตามแนวทางมานุษยวิทยาที่ถูกละเลยมาตั้งแต่ทศวรรษ 1980 ในการศึกษาการเมืองหรืออำนาจ ตามแนวทางมานุษยวิทยาจะไปดูว่าแต่ละสังคมวัฒนธรรมมีคอนเซ็ปต์เรื่องอำนาจอะไร และคอนเซ็ปต์นั้นมันไปสัมพันธ์กับกระบวนการตัดสินใจทางการเมืองและการจัดองค์กรทางการเมืองอย่างไร กรณีเช่นนี้ใช้ในสังคมบุพกาลหรือสังคมจารีต อาจเห็นไม่ชัดในสังคมสมัยใหม่ แต่บังเอิญสังคมไทยยังสามารถเอาวิธีการศึกษาแบบจารีต แบบประเพณีมาใช้ได้ ในสังคมประเพณีเวลาพูดถึงอำนาจมันไม่ได้ดีเสมอไป การศึกษาแถบปาปัวนิวกินีพบว่าคอนเซ็ปต์เรื่องอำนาจไม่ชัด สามารถอยู่ได้ในสิ่งนู้นสิ่งนี้ คนมีอำนาจไม่ถูกไว้ใจ จำเป็นต้องปกๆ ปิดๆ ประเด็นคือ ถ้าอยากจะต่อสู้กับปัญหานี้ เราอาจต้องไปคุยคอนเซ็ปต์เรื่องอำนาจในสังคมไทยแบบใหม่ อำนาจแบบไหนในสังคมไทยที่ไม่จำเป็นต้องยึดโยงกับบุญบารมี ที่พอจะหยิบขึ้นมาสู้ได้กับอำนาจที่ผูกติดกับบุญบารมีซึ่งมีกษัตริย์อยู่บนยอด" อนุสรณ์กล่าว |
ภาคประชาชนจ่อยื่นศาลรัฐธรรมนูญ ยกเลิกคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/58 พรุ่งนี้ Posted: 18 Dec 2017 03:25 AM PST ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนและภาคประชาชน เตรียมยืนฟ้องศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อ 'ทวงคืนสิทธิเสรีภาพ' ยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ พรุ่งนี้ 18 ธ.ค.2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ เมื่อเวลา 11.23 น. ที่ผ่านมา ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน แจ้งว่า พรุ่งนี้ (19 ธ.ค.60) ภาคประชาชนยื่นฟ้องศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อ 'ทวงคืนสิทธิเสรีภาพ' ยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 3/2558 ที่ลานเอนกประสงค์ ภายในอาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ สำหรับตัวแทนที่จะยื่นฟ้องนั้น ประกอบด้วย นิมิตร์ เทียนอุดม กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ อัครเดช ฉากจินดา เครือข่ายปกป้องอันดามันจาก ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.ที่ผ่านมา รังสิมันต์ โรม ผู้ประสานงานกลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย ได้แถลงข่าวการยื่นคำร้องขอยกเลิกคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 โดยในครั้งนั้นมีสมาชิกกลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย ตัวแทนจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน และตัวแทนผู้ได้รับผลกระทบจากคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 แถลงข่าวมีดังนี้ คำชี้แจงการแถลงข่าว ประชาชนยื่นฟ้องยกเลิกคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558ประชาชนและสื่อมวลชนทุกท่าน กลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย ร่วมกับศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน และตัวแทนผู้ถูกละเมิดจากคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 ขอชี้แจงถึงที่มาของการแถลงข่าวในครั้งนี้ และสิ่งที่พวกเราจะดำเนินการต่อไป ดังนี้ ตลอดระยะเวลากว่า 3 ปีครึ่งผ่านมาที่ คสช. ได้ยึดอำนาจการปกครองประเทศ พวกเราได้จัดกิจกรรมในต่างกรรมต่างวาระ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อโต้แย้งการกระทำอันไม่ชอบธรรมของ คสช. และเรียกร้องให้ประเทศไทยกลับคืนสู่ระบอบประชาธิปไตยโดยเร็ว การจัดกิจกรรมของพวกเราเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพอันชอบธรรมตามระบอบประชาธิปไตย อีกทั้งเป็นสิทธิเสรีภาพที่ได้รับรองโดยรัฐธรรมนูญ ทั้งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 (มาตรา 4) และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 ฉบับปัจจุบัน (มาตรา 4) ที่กำหนดให้ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคลย่อมได้รับความคุ้มครอง หากจะกล่าวโดยเฉพาะเจาะจงก็ได้แก่ เสรีภาพในการชุมนุม (มาตรา 44) และสิทธิในชีวิตและร่างกายในการที่จะไม่ถูกจับกุมคุมขัง (มาตรา 28) ซึ่งทั้งหมดนี้ได้ถูกรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันด้วยเช่นกัน ทว่าพวกเรากลับถูกกระทำละเมิดโดยเจ้าหน้าที่ทหาร ทั้งการสลายการชุมนุมโดยใช้ความรุนแรง และการดำเนินคดีซึ่งยังคงดำเนินอยู่ในชั้นสอบสวนหรือชั้นศาลในปัจจุบัน โดยอ้างอำนาจจากคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 เรื่อง การรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของชาติ โดยเฉพาะข้อ 6 และข้อ 12 ส่งผลกระทบต่อพวกเราซึ่งใช้สิทธิเสรีภาพโดยสุจริตให้ต้องได้รับความเสียหายทั้งทางร่างกายและจิตใจ รวมถึงมีคดีความติดตัวจนอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตในภายภาคหน้าได้ คำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 ข้อ 6 ได้ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ทหารเรียกตัวบุคคลมาสอบปากคำและควบคุมตัวไว้ได้นานสุดถึง 7 วันโดยไม่ต้องมีคำสั่งหรือหมายของศาล ส่วนข้อ 12 ได้กำหนดห้ามการชุมนุมทางการเมืองเป็นจำนวนตั้งแต่ 5 คนขึ้น มีระวางโทษจำคุกสูงสุด 6 เดือน ปรับสูงสุด 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เนื้อหาของคำสั่งดังกล่าวจึงเป็นการละเมิดต่อและเสรีภาพในการชุมนุมและสิทธิในชีวิตและร่างกาย ที่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้ให้การคุ้มครองไว้อย่างชัดแจ้ง รวมถึงให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่ทหารในการกระทำการละเมิดสิทธิเสรีภาพดังกล่าวได้อย่างกว้างขวางอีกด้วย อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้กำหนดช่องทางตามมาตรา 213 ให้บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองไว้มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อมีคำวินิจฉัยว่าการกระทำนั้นขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญได้ โดยประชาชนสามารถยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้โดยตรง เพราะในมาตรา 213 ไม่ได้กำหนดรายละเอียดให้ต้องยื่นคำร้องผ่านช่องทางอื่นก่อน ซึ่งไม่สมควรกำหนดให้เป็นเช่นนั้น เพราะหากในอนาคตมีการตรากฎหมายกำหนดขั้นตอนการยื่นคำร้องให้ต้องผ่านองค์กรอื่นก่อนแล้ว ย่อมเป็นการสร้างภาระแก่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบอย่างเกินเลย และทำให้ช่องทางตามมาตรา 213 นี้ไม่อาจใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผิดกับคำโฆษณาของ กรธ. เมื่อครั้งรณรงค์ประชามติว่ารัฐธรรมนูญนี้จะทำให้ศาลรัฐธรรมนูญ "เข้มแข็งและฉับไวขึ้น" โดยสิ้นเชิง ด้วยเหตุนี้พวกเราจึงขอยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญตามช่องทางมาตรา 213 ของรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 รวมถึงการปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าวนั้นขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ โดยขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการรวบรวมรายชื่อผู้ถูกละเมิดเพิ่มเติม และจะดำเนินการยื่นคำร้องภายในเดือนช่วงเดือนธันวาคม 2560 ถึงเดือนมกราคม 2561 นี้ การยื่นคำร้องครั้งนี้จะเป็นการพิสูจน์ด้วยว่าศาลรัฐธรรมนูญจะสามารถทำหน้าที่พิทักษ์สิทธิเสรีภาพของประชาชนได้จริงหรือไม่ และรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะเป็นรัฐธรรมนูญที่คุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนจริงๆ ดังที่ได้โฆษณาไว้เมื่อครั้งรณรงค์ให้ประชาชนมาลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้หรือไม่ ขอให้ทุกท่านโปรดติดตามต่อไป ผู้ถูกละเมิดจากคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน กลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย (DRG)
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
Posted: 17 Dec 2017 09:27 PM PST |
You are subscribed to email updates from ประชาไท. To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google, 1600 Amphitheatre Parkway, Mountain View, CA 94043, United States |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น