โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันพฤหัสบดีที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

ใบตองแห้ง: ตู่-ตูน ขวัญใจมหาชน

Posted: 28 Dec 2017 09:21 AM PST

 

ซูเปอร์โพลยกลุงตู่กับพี่ตูนเป็นขวัญใจมหาชน ด้านการเมือง ด้านบันเทิง แบบทิ้งห่างคู่แข่ง กรุงเทพโพลล์ยกพี่ตูนเป็นบุคคลน่าชื่นชมยกย่องที่สุดในรอบปี แบบทิ้งห่างลุงตู่ 83.5% ต่อ 11.4%

แหม่ ไม่ค่อยจะเป็นธรรม เอามาวัดกันได้ไง ลุงตู่ไม่ใช่ซุป"ตาร์ แต่เป็นซุป"ฮีโร่เหมือนกันนะ ไปพิษณุโลก สุโขทัย ประชาชนยกให้เป็นฮีโร่ ตูนก็บรรลุเป้าหมาย วิ่งถึงแม่สาย วันเดียวกัน

กระนั้นไม่เป็นไร ยกย่องตูนไปเถอะ ลุงตู่ชอบด้วยซ้ำ เพราะตูนทำเพื่อชาติ เหมือนที่ลุงตู่ทำมา 3 ปี ต่างแค่วิธีการ

คนหนึ่งเป็นนักร้อง คนหนึ่งเป็นนักให้โอวาทออกทีวี ทำความดีเหมือนกัน ลุงตู่จึงสนับสนุนทุกอย่าง สั่งตำรวจทหารอำนวยความสะดวก ส่วนราชการ จังหวัด ผู้ว่าฯ ช่วยระดมเงินบริจาค แม้แต่กระทรวงสาธารณสุข โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลชุมชน ก็ต้องระดมเงินช่วย จะแบมือรอรับเฉยๆ ได้ไง

กระแสบ่นว่ารัฐบาลเอาแต่ซื้อรถถัง เรือดำน้ำ ไม่จัดงบให้ โรงพยาบาลอย่างเพียงพอ ก็เลยเงียบหายไป กลายเป็นรัฐบาล กองทัพ ร่วมสร้างมหากุศลครั้งยิ่งใหญ่กับตูน (และท่าน ว.) นี่ก็เพิ่งส่งเครื่องบิน ทบ.ไปรับ

แน่ละครับ รัฐบาลยินดีสนับสนุนเต็มที่ ให้ตูนเป็นสัญลักษณ์แห่งการทำความดี เป็นพรีเซ็นเตอร์แห่งความร่วมแรงร่วมใจ มีปัญหาอะไรเราก็ช่วยกันคนละไม้ละมือ ไม่ใช่เอาแต่บ่น เอาแต่เรียกร้อง หรือวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ต้อง "ทำมากกว่าพูด"

อ๊ะอ๊ะ พูดอย่างนี้ไม่ใช่ว่าตูนเป็นเครื่องมือของรัฐบาล เพราะตูนไม่ได้คิดอะไร คิดแค่จะช่วยโรงพยาบาล เหมือนเคยทำที่บางสะพาน แต่พอเริ่มโครงการ "ก้าวคนละก้าว" ก็กลายเป็นอภิมหาปรากฏการณ์ ซาบซึ้งตื้นตันใหญ่โต เพราะสังคมไทยกำลังโหยหา "ไอดอลแห่งความดี"

จนบางคนคาดหวังไปไกลว่า ตูนจะสร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวให้คนไทย สร้างปรากฏการณ์ใหม่แห่งความกลมเกลียวของคนในชาติ ที่ขัดแย้งมาสิบปี สร้างพื้นที่ตรงกลางที่คนโหยหา

ซึ่งเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ นั่นมันหน้าที่ของน้องเกี่ยวก้อยหน้าดำ มาฝากความหวังพี่ตูนของน้องก้อยรัชวินได้ไง

เพียงแต่พอตูนวิ่ง ระดมเงินบริจาค ก็ต้องอาศัยทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งวัฒนธรรมไทยใจบุญสุนทานแต่โบราณ วัฒนธรรมคลั่งไคล้ดาราเซเลบในสมัยปัจจุบัน วัฒนธรรมโปรโมชั่นงานอีเวนต์แบบแกรมมี ฯลฯ มาเป็นเครื่องมือทำความดี รวมทั้งอาศัยการอุปถัมภ์จากทุกฝ่าย จะปฏิเสธความคาดหวังได้อย่างไร ใครเกาะกระแสทำบุญก็ต้องรับ

แต่หลังจากนี้ เชื่อว่าตูนฉลาดพอที่จะเฟดตัวเองไปอยู่ในจุดที่เหมาะสม เพราะรู้ว่าไม่ง่ายนักที่จะมาเป็นไอดอลแห่งพื้นที่ตรงกลางอะไรนั่น

ว่าที่จริง รัฐบาลก็ไม่ได้ต้องการให้ตูนมาสนับสนุน แค่ต้องการให้เป็นไอดอลแห่งการทำดี เป็น "ฮีโร่ในระบบ" ผู้นำกระแสจิตอาสา เสียสละ ร่วมด้วยช่วยกัน เพื่อชาติบ้านเมือง

นับตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 2560 ผ่านประชามติและประกาศใช้ ก็ได้กำหนดโครงสร้างอำนาจที่จัดลำดับชั้นไว้อย่างมั่นคงแน่นอน ไม่สามารถพลิกผันด้วยอำนาจเลือกตั้ง อย่างหลายสิบปีที่ผ่านมา รัฐแห่งความมั่นคงเริ่มกระชับอำนาจทางความคิด ทางวัฒนธรรม เพื่อให้ประชาชนยอมรับระบบที่กำหนด และเป็น "คนดีของระบบ" ซึ่งมีหน่วยงานความมั่นคงเป็นศูนย์กลาง

รัฐจึงปลูกฝังให้ประชาชนเป็นพลเมืองดี สำนึกในหน้าที่ เชื่อมั่นในรัฐบาลที่ใช้อำนาจเป็นกฎหมาย ไม่ต้องมาจากเลือกตั้ง เพราะใส่นาฬิกาธรรมาภิบาล

ประชาชนมีหน้าที่ร่วมมือเชื่อฟังข้าราชการ ตำรวจ ทหาร กอ.รมน. ผู้ว่าฯ นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ตามลำดับชั้น ร่วมกันทำความดี เช่น บริจาคทำบุญ ช่วยผู้ยากไร้ รักสัตว์ ปลูกป่า รักษาสิ่งแวดล้อม งดเหล้าเข้าพรรษา สวดมนต์ข้ามปี อย่านั่งท้ายรถกระบะ (เพราะรัฐบาลห่วงใย)

ถ้าเชื่อฟังแล้วรัฐบาลจะดูแลให้ทุกอย่าง จะทำให้หายจน แจกของขวัญ แจกบัตรคนจน ไม่ต้องฝากความหวังกับการ เลือกตั้ง เพราะเลือกอย่างไรก็ไม่สามารถเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจ ประชาธิปไตยแบบตัวแทนหมดสมัยแล้ว ต้องเป็น "ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม" คือร่วมมือเชื่อฟังอย่างนี้แหละ

ตูนจึงเป็นจิ๊กซอว์ที่โผล่มาโดยบังเอิญ ในขณะที่รัฐกำลังต้องการฮีโร่ของระบบ คนดีของระบบ รวมทั้งสังคมก็กำลังโหยหาไอดอลแห่งความดี

ขณะที่พวก "เด็กดื้อ" หัวแข็ง ต่อต้านโครงสร้างอำนาจ วิพากษ์วิจารณ์ระบบ ก็จะถูกเบียดขับออกไปเป็นคนนอกของสังคม แบบไผ่ ดาวดิน, เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล, รังสิมันต์ โรม, จ่านิว ฯลฯ พวกเรียกร้องเสรีภาพประชาธิปไตยทั้งหลายก็จะกลายเป็นพวกชังชาติ โทษฐานไม่ยอมร่วมสร้างชาติ และจะรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า "บ้านเมืองไม่ใช่ของเรา"

นั่นคือภาพที่ตัดกันในรอบปีที่ผ่านมา

 

ที่มา: www.khaosod.co.th

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

วัฒนา เมืองสุข: ประยุทธิปไตย

Posted: 28 Dec 2017 09:02 AM PST

รัฐธรรมนูญกำหนดกระบวนการสร้างความชอบธรรมให้กับกฎหมายพรรคการเมือง โดยกำหนดให้ กรธ. เป็นผู้ร่างแล้วนำเข้า สนช. ให้ความเห็นชอบ จากนั้นส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญ และ กกต. เป็นผู้ตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เสร็จสิ้นทุกขั้นตอนแล้วจึงได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยบังคับใช้เป็นกฎหมาย

แต่หัวหน้า คสช. คนเดียวกลับแสดงความยิ่งใหญ่ออกคำสั่งที่ 53/2560 แก้ไขกฎหมายที่ทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว

ในวรรคสามของคำสั่งก็อ้างเองว่าบ้านเมืองสงบแล้วแต่ "เพื่อไม่ให้มีผู้ฉวยโอกาสอ้างการดำเนินการตามกฎหมายไปทำกิจกรรมทางการเมืองอื่น ที่อาจกระทบต่อความสงบเรียบร้อยและความปกติสุขในบ้านเมือง" จึงเป็นการใช้การคาดเดาออกคำสั่งที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ สร้างความไม่เป็นธรรมกับพรรคการเมือง และทำให้การจัดการเลือกตั้งไม่ทันตามโรดแมปที่ตัวเองประกาศไว้

จึงมองเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากต้องการเลื่อนการเลือกตั้งเพื่อให้ตัวเองได้เปรียบ มีการเดินสายพบปะนักการเมืองที่มีแนวทางสนับสนุนตน เอางบประมาณแผ่นดินไปหาเสียงด้วยโครงการประชานิยมสารพัด ในขณะเดียวกันก็กดหัวพรรคการเมืองคู่แข่งไม่ให้ทำกิจกรรม เท่ากับเป็นการเอาเปรียบคู่แข่งอย่างไร้ยางอาย

อันที่จริงอยากอยู่ในอำนาจต่อก็ไม่เห็นต้องทำกันทุกทางด้วยต้นทุนของบ้านเมืองขนาดนี้ ไปที่ไหนเห็นคุยโวว่ามีแต่คนอยากให้เป็นนายกต่อ แล้วทำไมไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งแบบแมนๆ ให้สมชื่อชายชาติทหาร เป็นพลเอกแห่งกองทัพไทยแต่เที่ยวไปสัญญากับประชาคมโลกเอาตัวรอดไปวันๆ จนชาวโลกคิดว่าคนไทยชอบโกหก

พี่ใหญ่อ้างแหวนแม่นาฬิกาเพื่อน พี่กลางเซ็นชื่อยกป่าให้กระทิงแดงแล้วอ้างลูกน้องหมกเม็ดชงเรื่องขึ้นมา น้องเล็กไม่ยอมน้อยหน้าออกคำสั่งที่ขัดรัฐธรรมนูญ แต่อ้างประชาธิปไตยที่มีธรรมาภิบาลเป็นของขวัญปีใหม่แต่ที่จริงคือเพื่ออยู่ในอำนาจต่อ ไปร่ำเรียนมาจากไหนใครสอนมาถึงได้ออกมาเป็นพิมพ์เดียวกันหมด


หมายเหตุ: เผยแพร่ครั้งแรกใน  Facebook Watana Muangsook 
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รวบเอกชัยหน้าบ้านสี่เสา เตรียมมอบนาฬิกาให้บิ๊กป้อม อายแทนไม่อยากให้ตกเป็นขี้ปากชาวบ้าน

Posted: 28 Dec 2017 08:47 AM PST

ตำรวจปฏิเสธไม่ได้คุมตัว แต่เชิญตัวมาคุยเฉยๆ แต่ไม่ได้เจอตัวเจ้าของข่าวฉาวนาฬิกาสุดหรู เนื่องจากถูกตำรวจหลอกว่า ประวิตรไม่ได้มาเยี่ยมคารวะป๋าเปรมวันนี้  สุดท้ายถามผู้สื่อข่าว "พรุ่งนี้ประวิตรไปที่ไหน" เตรียมตัวตามไปมอบนาฬิกาต่อ ตั้งใจจะมอบให้ถึงมือ


ภาพนาฬิกาของเอกชัยที่จะมอบให้ พลเอกประวิตร 

28 ธันวาคม 2560 เวลาประมาณ 08.25 น. เอกชัย หงส์กังวาน นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจประมาณสิบนายเข้าทำการควบคุมตัว ขณะที่กำลังเดินทางมาที่บ้านพักของประธานองคมนตรี พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เพื่อที่จะมอบนาฬิกาที่เอกชัยใส่อยู่ให้กับ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีแกนนำคณะรัฐประหาร คสช.ที่กำลังมีข่าวฉาวเรื่องนาฬิกาหรู โดย จนท.ตำรวจได้นำตัวเอกชัยไปไว้ที่ ป้อมตำรวจบริเวณหน้าบัานพักประธานองคมนตรี
.
เอกชัยกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า "ผมทราบข่าวว่า คสช.จะเข้าพบ พลเอกเปรม ก็เลยมาดักรอ ผมรู้สึกสงสารท่านและอายแทน เลยอยากมอบนาฬิกาที่ผมใส่ให้กับท่าน มันเป็นนาฬิกาที่ผมใส่มาประมาณสิบปีแล้ว ซื้อมาราคาเรือนละหกพันบาท ตอนนี้ราคาคงเหลือไม่เท่าไหร่ ท่านจะได้ไม่ต้องไปไล่ยืมนาฬิกาคนอื่นเขามาใส่ ไม่ต้องถูกตรวจสอบ และไม่ตกเป็นขี้ปากของชาวบ้าน "

ขณะที่ พ.ต.ท.ธนพรหม ธนอาภากร สารวัตรสืบสวน บก.น.8 กองบัญชาการตำรวจนครบาล ปฏิเสธว่าไม่ได้มีการควบคุมตัวและจะไม่มีการดำเนินคดีอย่างไร เหตุที่เกิดเป็นเพียงการเชิญตัวไปนั่งรอเพื่อที่จะเข้ามอบนาฬิกาเท่านั้น

จากนั้นเวลาประมาณ 10.00 เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้นำตัวนายเอกชัย ซ้อนจักรยานยนต์ไปส่งขึ้นรถโดยสารประจำทางที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเพื่อเดินทางกลับบ้านโดยที่ไม่ได้มีการแจ้งข้อหาแต่อย่างไร 

หลังจากที่กลับออกมาแล้ว เอกชัยได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้หลอกว่าวันนี้พลเอกประวิตรไม่ได้มาเข้าคารวะประธานองคมนตรีและขอให้ตนมอบนาฬิกาไว้กับเจ้าหน้าที่ ตนจึงได้เดินทางกลับ แต่ไม่ได้ฝากนาฬิกาไว้เพราะตั้งใจจะมอบให้กับมือพร้อมทั้งถามกับผู้สื่อข่าวว่า  "พรุ่งนี้ประวิตรจะไปที่ไหน" 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'ควบคุม คุกคาม คลุกคลาน' สมาคมนักข่าวฯ เปิดรายงานสถานการณ์สื่อปี 60

Posted: 28 Dec 2017 08:31 AM PST

28 ธ.ค. 2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ได้เผยแพร่รายงานสถานการณ์สื่อมวลชนประจำปี 2560 โดยระบุว่า สถานการณ์ด้านสื่อในนี้ภายใต้รัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตกอยู่ในสถานการณ์ "ควบคุม คุกคาม คลุกคลาน" เป็นอีกปีหนึ่งที่สื่อยังคงปฏิบัติงานภายใต้การกำกับดูแลอย่างเข้มงวดของอำนาจรัฐ อีกทั้งเผชิญกับท่าทีของผู้นำที่มีอคติในการทำงานของสื่อ เป็นปีที่สื่อยังถูกกดดันจากการปฏิบัติหน้าที่ในการตรวจสอบอำนาจรัฐด้วยข้ออ้างเหตุผลความมั่นคงของรัฐ ถูกใช้เป็นเครื่องมือกดดัน แทรกแซงการทำงานของสื่ออยู่เสมอ นับเป็นอุปสรรคสำคัญในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล ขณะเดียวกัน ยังเป็นปีที่สื่อยังต้องเผชิญกับวิกฤติจากการเปลี่ยนของเทคโนโลยีสู่โลกดิจิทัล และผลจากปัญหาเศรษฐกิจทำให้สื่อหลายค่าย ทั้งหนังสือพิมพ์ ทีวีดิจิทัล ต้องปรับโครงสร้างขนานใหญ่นำมาสู่การเลิกจ้างพนักงานจำนวนมาก

โดยมีรายละเอียดดังนี้

 

ควบคุมเข้มข้น

ปี 2560 เป็นปีที่ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ผ่านการทำประชามติ เพื่อเตรียมเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง คืนเสรีภาพให้ประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย ขณะที่เนื้อหาในรัฐธรรมนูญได้รองรับสิทธิในการแสดงความคิดเห็น การพูด การพิมพ์ไว้ ในมาตรา 34 และมาตรา 35 บัญญัติให้บุคคลซึ่งประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนย่อมมีเสรีภาพในการเสนอข่าวสาร หรือการแสดงความคิดเห็นตามจริยธรรมแห่งวิชาชีพ แต่คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่ 97 และ 103 ที่ออกมาตั้งแต่ปี 2557 ห้ามวิพากษ์วิจารณ์การปฏิบัติงานของคสช. โดยมีเจตนาเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของคสช. ยังคงมีผลบังคับใช้ เพื่อควบคุมการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนอย่างเข้มงวด ทำให้การทำหน้าที่ของสื่อมวลชนต้องระมัดระวังตัวและเซ็นเซอร์ตัวเอง โดยเฉพาะประเด็นตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐบาล บุคคลในคณะรัฐบาล ต่อเรื่องความโปร่งใสต่างๆ ที่มักจะถูกเตือน และกดดันจากคนในรัฐบาล ส่งผลต่อเสรีภาพในการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน และการรับรู้ข้อมูลข่าวสารเพื่อรักษาประโยชน์ส่วนรวมของประชาชน

รัฐบาลคสช. ยังคงควบคุมเวทีเสวนาการแสดงความเห็นที่มีต่อนโยบายรัฐ ที่องค์กรต่างๆ จัดอย่างเข้มงวด ผู้จัดจะต้องแจ้งไปยังสถานีตำรวจในท้องที่ทราบทุกครั้งก่อน หลายเวทีถูกเจ้าหน้าที่ร้องขอให้ยกเลิก เช่น เวทีของสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ แห่งประเทศไทย หรือ FCCT ที่เตรียมจัดหัวข้อ "ความทรงจำแห่งอภิวัฒน์ 2475 - ปริศนาหมุดคณะราษฎรหาย" เมื่อวันที่ 3 พ.ค. 2560 สถานีตำรวจนครบาลลุมพินีให้เหตุผลว่ากระทบต่อความมั่นคง ผู้ไม่หวังดีอาจฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ต่างๆ ให้เกิดความวุ่นวาย หรือ เวทีเสวนาแถลงจุดยืนผลกระทบของประชาชนที่มีต่อ 'ร่าง พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ - ร่าง พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า' ฉบับใหม่ของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) ที่มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย ถนนรามคำแหง 39 เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 2560 เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร ได้เข้าควบคุมและปิดกั้นไม่ให้สื่อมวลชนเข้ารายงานข่าว อ้างว่ากลัวกลุ่มการเมืองจะเอาเยี่ยงอย่าง

ความพยายาม "ควบคุม" สื่อมวลชน ยังสะท้อนผ่านการเสนอร่างพระราชบัญญัติการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ. .... ของคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการสื่อสารมวลชน ที่เสนอให้สภาขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศ (สปท.) เห็นชอบ ซึ่งเป็นข้อเสนอในกรอบการปฏิรูปประเทศด้านสื่อจากแม่น้ำ 5 สายของคสช.

เนื้อหาในร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว องค์กรวิชาชีพสื่อและนักข่าวได้รวมพลังคัดค้านอย่างหนัก เพราะเห็นเป็นกฎหมายที่มีหลักการควบคุมบังคับมากกว่าคุ้มครอง เปิดทางให้รัฐเข้าแทรกแซงการทำงานของสื่อ รวมถึงให้มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพสื่อ เช่นวิชาชีพอื่นๆ พร้อมทั้งกำหนดบทลงโทษ หากรายงานข่าวผิดจากมาตรฐานกลาง จะถูกเพิกถอนใบประกอบวิชาชีพไม่สามารถกลับมาทำงานสื่อมวลชนได้ หรือถ้าสื่อไม่มีใบอนุญาต จะถูกปรับ และผู้บริหารสื่อองค์กรสื่อที่ฝ่าฝืนอาจได้รับโทษจำคุกด้วย

ถึงแม้ คณะกรรมาธิการจะยอมปรับเนื้อหา ไม่บังคับให้สื่อมวลชนต้องมีใบอนุญาตและลดตัวแทนภาครัฐเหลือเพียงปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ที่จะเข้าร่วมเป็นกรรมการสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติเพื่อลดกระแสคัดค้านจากสื่อมวลชน จนที่ประชุมสปท. เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว ส่งให้รัฐบาลพิจารณาออกเป็นกฎหมาย แต่องค์กรวิชาชีพสื่อยังคงคัดค้านและได้เข้าพบกับนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้รับปากว่าหากรัฐบาลจะผลักดันให้มีกฎหมายคุ้มครองสื่อจะไม่ยึดรูปแบบของสปท. แต่เห็นด้วยที่จะให้มีกลไกกำกับดูแลสื่อ มีผู้ตรวจการสื่อรับเรื่องร้องทุกข์แต่ละสังกัด และให้ประชาชนมีบทบาทตรวจสอบสื่อที่ละเมิดจริยธรรม ตามแนวทางที่องค์กรวิชาชีพสื่อเสนอ

อย่างไรก็ตาม เมื่อรัฐบาลได้แต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสื่อสารมวลชน เทคโนโลยีสารสนเทศ พร้อมกับคณะกรรมการปฏิรูปด้านอื่น โดยตั้งตัวแทนจากภาครัฐ สปท. สื่อมวลชน และนักวิชาการเข้าร่วม เพื่อวางกรอบการปฏิรูปสื่อสารมวลชนทั้งระบบ แยกออกเป็น 6 ประเด็น อาทิ การปฏิรูปโครงสร้างอุตสาหกรรมสื่อสารมวลชน การปฏิรูปดูแลสื่อออนไลน์ การปฏิรูประบบความปลอดภัยไซเบอร์ การปฏิรูประบบข้อมูลข่าวสารภาครัฐ และการปฏิรูปมาตรฐานวิชาชีพและระบบกำกับดูแลสื่อมวลชน ซึ่งในเรื่องหลังนี้ยังพบว่า มีการเสนอร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองสื่อฉบับสปท. ให้พิจารณา รวมถึงยังมีความพยายามผลักดันแนวคิด "ควบคุมสื่อ" ผ่านกรรมการที่ใกล้ชิดภาครัฐ

จึงต้องจับตาว่า ในแผนการปฏิรูปสื่อที่จะเสนอเป็นร่างกฎหมายออกมาในปี 2561 จะเกิด "สภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ"ครอบคลุมสื่อทุกประเภท มากำกับดูแลกันเองของสื่อมวลชนวิชาชีพในประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพมากย่ิงขึ้น โดยยังคงรักษาหลักการ"กำกับดูแลกันเอง"ของสื่อมวลชน โดยองค์กรวิชาชีพ ในมาตรฐานสากล เคารพกฎหมาย สำนึกแห่งความรับผิดชอบด้านจริยธรรมวิชาชีพ ในช่วงรอยต่อการปฏิรูปนี้จริงหรือไม่

คุกคามลุยฟ้อง

การคุกคามสื่อมวลชนที่ชัดเจนคือ การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าดำเนินคดีกับนายณัฐพร วีระนันท์ ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา ข้อหาบุกรุกสถานที่และยึดโทรศัพท์มือถือ หลังจากได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ หจก.สมถวิล เรียลเอสเตรท ในชื่อ "เก๋ไก๋ อพาร์ทเม้นท์" ภายในซอยพหลโยธิน 32 ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 9 ส.ค. 2560 เพื่อสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับหอพักของ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. และน้องชาย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หลังถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไต่สวนการแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน

การกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้เชิญตัวนายณัฐพรไปโรงพักและยึดโทรศัพท์มือถือ เป็นการใช้กฎหมายเพื่อข่มขู่ คุกคามการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนที่ได้ปฏิบัติตามหน้าที่โดยสุจริตเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม เพราะขณะที่ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ได้แสดงตนและสังกัดชัดเจน ไม่ได้เข้าไปในจุดห้ามเข้า หรือรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ จึงไม่เข้าข่ายบุกรุกสถานที่ ตามที่พนักงานสอบสวนทำสำนวนฟ้องอัยการ

อีกกรณีคือ การฟ้องร้องสื่อ นักวิชาการกลุ่มการเมืองด้วยข้อหายุยงปลุกปั่น มาตรา 116 ตามประมวลกฎหมายอาญา พบแนวโน้มการฟ้องร้องจากเจ้าหน้าที่ทหารสูงขึ้นนับตั้งแต่มีการรัฐประหารเมื่อปี 2557 รวมแล้วจนถึงขณะนี้เกือบ 30 คดี ส่วนใหญ่เป็นการวิจารณ์รัฐบาลคสช. และเป็นการติชมโดยสุจริต โดยในปี 2560 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ตั้งข้อหากับนายประวิตร โรจนพฤกษ์ ผู้สื่อข่าวอาวุโสของ Khaosod English กรณีโพสต์เฟซบุ๊ก ที่มีข้อความกระทบกฎหมายอาญา มาตรา 116 และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จำนวน 5 โพสต์ เช่น การแสดงความคิดเห็นต่อการตัดสินคดีจำนำข้าวของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร การจัดการปัญหาน้ำท่วมภาคอีสานของคสช. ซึ่งหากผิดจริง โทษความผิดสูงสุดจำคุก 20 ปี

การฟ้อง "เหมาเข่ง" ด้วยข้อหายุยงปลุกปั่น ได้กลายเป็นเครื่องมือของรัฐเพื่อใช้ปรามนักเคลื่อนไหว สื่อมวลชนที่วิจารณ์รัฐบาลโดยสุจริต ซึ่งการฟ้องในช่วงหลังจะพ่วงความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เข้าไปด้วยตามคำสั่งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่กำชับให้รัฐมนตรีทุกกระทรวงกวดขันหัวหน้าหน่วยตรวจสอบข้อมูลในโซเชียลมีเดีย หากถูกพาดพิงทำให้เสียหายก็ให้ดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ อย่างไรก็ตาม หากดูผลของคดีความผิด มาตรา 116 จำนวน 20 กว่าคดีจะพบว่า ส่วนใหญ่อยู่ในชั้นสอบสวนและการพิจารณาของศาล มี 6 คดีที่ศาลได้จำหน่ายคดีและสั่งไม่ฟ้อง

ล้มลุกคลุกคลาน

เป็นปีที่สื่อมวลชนอยู่ในภาวะยากลำบากจากผลกระทบของสึนามิดิจิตอลลูกใหญ่ที่รุนแรง หรือ Digital Disruption จากพฤติกรรมผู้อ่านที่เปลี่ยนไปเสพสื่อออนไลน์ที่ฟรีและเร็วกว่า ควบคู่กับปัญหาเศรษฐกิจ ทำให้ยอดงบโฆษณาลดลง บริษัทสื่อขนาดใหญ่ปรับลดขนาดองค์กร ลดพนักงาน นิตยสารชื่อดังที่อยู่คู่สังคมมาหลายสิบปีถึงคราวอวสานลง ส่วนทีวีดิจิตอลก็ลดคน เป็นปีแห่งการล้มลุกคลุกคลานของสื่ออีกปี

สื่อกระแสหลักในค่ายดังประกาศนโยบายเออลี่ รีไทร์เช่น บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ออกโครงการสมัครใจเกษียณก่อนกำหนดรอบที่สาม และขายสินทรัพย์บริษัทรวม 1,403 ล้านบาท อาทิ มหาวิทยาลัยเนชั่น บริษัท วอยซ์ ทีวี จำกัด ประกาศเลิกจ้างพนักงานจำนวน 127 คน ปรับโครงสร้างองค์กร ปรับผังรายการ ลดความเข้มข้นในรายการข่าว และวิเคราะห์ข่าวการเมืองเพื่อความอยู่รอด ส่วนเครือมติชนปรับโครงสร้างลดต้นทุน ยุบแผนกการพิมพ์ แผนกขนส่ง มีพนักงานถูกเลิกจ้าง 270 คน ยังมีอีกหลายค่ายที่ไม่เป็นข่าวแต่ก็ได้รับผลกระทบหนักหน่วงไม่ต่างกัน หนังสือพิมพ์ลดจำนวนหน้าเพื่อลดต้นทุนและมุ่งทำเนื้อหาบนออนไลน์

ในปี 2560 เป็นปีขาลงของนิตยสารทั้งไลฟ์สไตล์ การเมือง แฟชั่น บันเทิง ต่างประสบชะตากรรมจำนวนมาก "ดิฉัน" ตีพิมพ์ฉบับสุดท้ายเดือนธันวาคม 2560 รวมอายุ 37 ปี "ขวัญเรือน" อำลาผู้อ่านฉบับเดือนธันวาคมเป็นฉบับสุดท้ายเช่นกัน รวมอายุ 49 ปี "คู่สร้างคู่สม" ฉบับสุดท้ายเดือนธันวาคม อวสานในอายุ 38 ปี "เนชั่นสุดสัปดาห์" ก็ปิดตัวหลังโลดแล่นมา 25 ปี ยังไม่นับนิตยสารฉบับดังที่จากลาไปเมื่อปี 2559 เช่น ขวัญเรือน สกุลไทย Cosmopolitan บางกอกรายสัปดาห์ เปรียว หรือ หนังสือพิมพ์บ้านเมือง

ขณะที่ทีวีดิจิทัล ได้รับผลกระทบถ้วนหน้าจากผู้บริโภคที่หันไปดูทีวีออนไลน์แทน ผลประกอบการส่วนใหญ่ขาดทุน หลายช่องแก้ปัญหาด้วยการดึงกลุ่มทุนเข้ามาถือหุ้น ในปี 2560 ทีวีดิจิทัลที่ประกาศโครงการเออรี่รีไทร์ เช่น ไทยรัฐทีวี วอยซ์ทีวี ส่วนไทยพีบีเอส ออกโครงการออลี่ รีไทร์รอบสอง ค่ายเนชั่น ขายช่อง NOW26 แต่หากนับจากปลายปี 2559 เกิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อต่อลมหายใจหลายช่อง เช่น เครือแกรมมี่ขายช่อง GMM25 ให้ตระกูลสิริวัฒนภักดี ส่วนอีกช่องของแกรมมี่ คือ ช่อง ONE กลุ่มปราสาททองโอสถเจ้าของช่องพีพีทีวี เข้าซื้อหุ้นร้อยละ 50 เช่นเดียวกับ บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้งฯ เจ้าของช่อง AMARIN ขายช่องให้กับ ตระกูลสิริวัฒนภักดี

วิกฤติอุตสาหกรรมทีวีดิจิทัลทำให้มีข้อเสนอจากสมาคมโทรทัศน์ระบบดิจิตอล (ประเทศไทย) ถึงรัฐบาลให้เข้าแก้ปัญหา โดยขอให้รัฐเป็นผู้รับภาระค่าโครงข่ายทีวีดิจิทัลภาคพื้นดินแทนผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล และยุติการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมใบอนุญาตงวดที่เหลืออยู่ทั้งหมดของผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล ซึ่งได้ชำระค่าธรรมเนียมไปแล้วรวมมีมูลค่ามากกว่ามูลค่าคลื่นที่ใช้ในกิจการทีวีดิจิทัลในปัจจุบันทั้งหมด

จากสถานการณ์สื่อในปี 2560 สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ขอเป็นกำลังใจให้เพื่อนร่วมวิชาชีพยืนหยัดต่อสู้ต่อผลกระทบต่างๆ ที่เกิดขึ้นแม้จะเหนื่อยยากเพียงใด ทั้งนี้เพื่อธำรง รักษาอุดมการณ์ของความเป็นสื่อมวลชนมืออาชีพที่มีหน้าที่นำเสนอข่าวสาร ข้อมูลเพื่อประชาชนส่วนรวม เพื่อประโยชน์สาธารณะ มีความรับผิดชอบ เคารพกฎหมาย และจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพอย่างแน่วแน่ มั่นคงต่อไป

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นายจ้างมิตซูบิชิฯ ปิดงานงดจ้าง หลังเจรจาปรับสภาพการจ้างไม่คืบ คนงานจ่อไปทำเนียบ

Posted: 28 Dec 2017 08:11 AM PST

นายจ้างมิตซูบิชิฯ ใช้สิทธิปิดงานงดจ้าง หลังเจรจาพิพาทแรงงานกับสหภาพแรงงานเพื่อปรับสภาพการจ้างไม่คืบ ด้านคนงานระบุนายจ้างยื่นเงื่อนไขสวนไม่เป็นธรรม เตรียมพบ รมว.แรงงาน-ไปทำเนียบ รองประธาน คสรท. ชี้บริษัทฯปรับโครงสร้างใหม่ คนงานเงินเดือนลด

 

28 ธ.ค. 2560 สื่อหลายสำนักรายงานตรงกันว่า เมื่อ 27 ธ.ค.ที่ผ่านมา โนริคาสึ อิชิคาว่า ประธานบริษัท มิตซูบิชิ อีเล็คทริค คอนซูมเมอร์ โปรดักส์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ลงนามในประกาศเรื่อง ขอใช้สิทธิปิดงานงดจ้าง ส่งถึงประธานสหภาพแรงงาน มิตซูบิชิฯ และสมาชิกสหภาพ และพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานจังหวัดชลบุรี ระบุว่า ตามที่สหภาพแรงงาน มิต​ซูบิชิ อีเล็คทริค ประเทศไทย ได้ยื่นข้อเรียกร้องเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้าง ประจำปี 2560 ตามหนังสือเลขที่ สมอท.058/2560 ลงวันที่ 7 ก.ย. 2560 ต่อบริษัท มิตซูบิชิ อีเล็ดทริค คอนซูมเมอร์ โปรดักส์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งผู้แทนทั้งสองฝ่ายได้ทำการเจรจาร่วมกัน 7 ครั้ง แต่ไม่สามารถหาข้อยุติตกลงกันได้ ต่อมาสหภาพแรงงาน มิตซูบิชิ ประเทศไทย ได้แจ้งข้อพิพาทแรงงาน ต่อสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จ.ชลบุรี เมื่อวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา และพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานได้นัดหมายผู้แทนการเจรจาทั้งสองฝ่าย ทำการเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแรงงาน โดยมีการไกล่เกลี่ยตั้งแต่วันที่ 6 พ.ย.- 2 ธ.ค. 2560 รวม 10 ครั้ง แต่ผลการเจราจาทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้ 

ประกาศของบริษัทฯ ระบุว่า อาศัยอำนาจตามมาตรา 22 ของพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ 2518 บริษัทฯ จึงขอใช้สิทธิปิดงานเฉพาะข้อเรียกร้องของสหภาพแรงงานฯ โดยไม่จ่ายค่าจ้างและสวัสดิการอื่นใดให้กับมวลชนสมาชิกสหภาพแรงงานฯ และผู้เกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2560 เวลา 06.00 น. เป็นต้นไป จนกว่าข้อเรียกร้องจะตกลงกันได้ สำหรับลูกจ้างอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องให้เข้าทำงานและได้รับค่าจ้างตามปกติ

คนงานประท้วงหน้า สนง.คุ้มครองแรงงาน ชลบุรี

ขณะที่ ผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า ช่วงบ่ายวันนี้ (28 ธ.ค.) กลุ่มตัวแทนพนักงานบริษัท มิตซูบิชิฯ กว่า 200 คน จากพนักงานทั้งสิ้นกว่า 2,000 คน ได้รวมตัวประท้วง ที่หน้าสำนักงานสวัสดิการที่และคุ้มครองแรงงาน จ.ชลบุรี อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี เพื่อเรียกร้องค่าแรงและสวัสดิการ จากบริษัทฯ ซึ่งวันนี้ กระทรวงแรงงาน ได้นัดเจรจา 3 ฝ่าย ประกอบด้วยลูกจ้าง นายจ้าง และสํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดชลบุรี กระทรวงแรงงาน พร้อมเจ้าหน้าที่ประนอมข้อพิพาท จากส่วนกลาง เพื่อมาร่วมไกล่เกลี่ยในครั้งนี้ โดยนั่งรอนายจ้างนานกว่า 2 ชั่วโมง นายจ้างที่เป็นชาวญี่ปุ่นไม่ก็มาตามนัดหมายนี้ โดยอ้างว่าไม่มีความปลอดภัยในการเดินทางมาเจรจาในครั้งนี้

10 ข้อเรียกร้องสหภาพฯ 

สมชาย ไชยมาตย์ พนักงานบริษัทมิตซูบิชิฯ และรองประธานสหภาพฝ่ายคุ้มครองแรงงาน กล่าวว่า ที่ผ่านมาพนักงานได้ยื่นข้อเรียกร้อง 10 ข้อ ประกอบด้วย 1. การปรับค่าจ้างเงินเดือนประจำปี 2561 ให้กับพนักงานทุกคน ในอัตราเฉลี่ยร้อยละ 7.50 ของค่าจ้างพื้นฐาน ตามการประเมินผลการปฏิบัติงาน 2. การจ่ายโบนัสประจำปี 2560 ในอัตรา 8.00 เท่า ของค่าจ้างเงินเดือนสุดท้าย บวกเงินพิเศษ 40,000 บาท 3. ประกันสุขภาพกลุ่ม 4.ค่าฝีมือการปฏิบัติงาน 5.การสมัครใจลาออกก่อนกำหนดเกษียณอายุการทำงาน อายุครบ 10 ปี ,15 ปี 20 ปี และครบ 25 ปี จ่ายเงินช่วยเหลือเท่ากับอัตราค่าจ้างสุดท้าย คือ 240 วัน ,270 วัน ,300 วัน และ 360 วัน ตามลำดับอายุงาน 

6. สวัสดิการแสดงความยินดีแก่พนักงาน เช่น เงินขวัญถุงแต่งงานของพนักงาน จาก 2,000 บาท เป็น 3,000 บาท ,คลอดบุตร จาก 1,500 บาท เป็น 2,500 บาท และอุปสมบท จาก 2,000 บาท เป็น 3,000 บาท 7. สวัสดิการสิทธิลาคลอด ไม่ได้รับเงินค่าจ้าง ตั้งแต่วันที่ 46 จนถึง 90 วัน ได้รับเงินช่วยเหลือวันละ 300 บาท 8. ค่าปฏิบัติงานอาวุโส 9.ค่าการส่งเสริมกิจกรรมด้านแรงงานสัมพันธ์ และ 10. ผลประโยชน์อื่นใด ที่พนักงานเคยได้รับและไม่ได้ระบุอยู่ในข้อตกลงในครั้งนี้ ให้คงสภาพไว้ตามเดิม

บริษัทฯ ยื่นเงื่อนไขสวน

สมชาย กล่าวต่อไปว่า สำหรับข้อเรียกร้องต่างๆของสหภาพแรงงาน นั้น บริษัทได้ยื่นเงื่อนไข โดยเฉพาะการปรับค่าจ้างแบบใหม่ที่สหภาพเรียกร้องให้ใช้ระบบเดิม คือ 4-6 เปอร์เซ็นต์ เช่น เงินเดือน 20,000 บาท ก็จะได้ค่าจ้าง 1,200 บาทต่อปี แต่บริษัทจะจ่ายให้ในอัตราเท่ากันในแต่ละปีเป็นจำนวนเงิน 400 บาท โดยไม่ต้องประเมินผลการปฏิบัติงาน ซึ่งหากรับข้อเสนอนี้ ขอเรียกร้องอื่นๆก็จะพิจารณาต่อไป 

สหภาพฯ มองไม่เป็นธรรม เล็งพบ รมว.แรงงาน-ไปทำเนียบต่อ

สมชาย ระบุว่า ข้อเสนอของบริษัทฯ ดังกล่าว ทางสหภาพเห็นว่าไม่เป็นธรรม ทำให้บริษัทไม่ยอมเจรจาต่อไป แม้กระทรวงแรงงานจะเข้ามาไกล่เกลี่ยแล้วถึง 10 ครั้ง ก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไปบังคับหรือทำอะไรกับบริษัทฯนี้ได้

"โดยหลังจากนี้ คณะกรรมการสหภาพ จะประชุมใหญ่ในวันที่ 6-7 มกราคม 2561 นี้ เพื่อจะกดดันต่อไป เช่น เข้าพบผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี จากนั้นจะเข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน หรือบุกไปทำเนียบต่อไป" นายสมชาย กล่าว

ชี้บริษัทฯปรับโครงสร้างใหม่ คนงานเงินเดือนลด

ด้าน ชาลี ลอยสูง รองประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) กล่าวว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นจากการที่บริษัทฯ​ ได้ปรับโครงสร้างการปรับเงินเดือนใหม่ จากเดิมเคยให้ฐานเงินเดือนเฉลี่ยเป็นเปอร์เซ็นต์ต่อคน ทำให้เมื่อลูกจ้างบวกลบค่าจ้างพบว่า ไม่ได้ปรับฐานเงินเดือนขึ้น แต่เงินเดือนลดลง รวมถึงโบนัสที่เคยได้กลับไม่ได้ ทำให้ลูกจ้างราว 1,800 คน ได้เรียกร้องต่อนายจ้างเพื่อขอเจรจาให้ปรับเปลี่ยนโครงสร้าง ซึ่งได้เริ่มเจราจาตั้งแต่ ก.ย. เป็นต้นมา จนครั้งสุดท้ายคือ วันที่ 27 ธ.ค. พบว่า ยังไม่มีข้อยุติ ทำให้ช่วงเช้าของวันนี้นายจ้างขอปิดงานงดจ้างลูกจ้าง โดยทั้งหมดเป็นฝ่ายผลิตชิ้นส่วน อะไหล่ ประกอบเครื่องปรับอากาศของยี่ห้อมิตซูบิชิเพื่อส่งออก มีผลตั้งแต่วันที่ 29 ธ.ค. เป็นต้นไป ส่วนวันที่ 28 ธ.ค. ลูกจ้างไม่ต้องมาทำงานแต่ยังได้รับค่าจ้าง ซึ่งประกาศดังกล่าวทำให้ลูกจ้างไม่พอใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากต้องลูกเลิกจ้างงานทำให้วันนี้ได้รวมตัวกันประท้วงที่อมตะนคร จ.ชลบุรี และตนจะร่วมเข้าเจรจาในช่วงบ่ายของวันนี้

Voice TV รายงานด้วยว่า อนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวว่า เหตุการณ์นี้ เนื่องจากนายจ้างและลูกจ้างยังไม่สามารถหาข้อยุติในประเด็นเรื่องการปรับค่าจ้างและโบนัสประจำปีได้ ซึ่งตามกฎหมายระหว่างที่ยังเจรจาหาข้อยุติไม่ได้ สามารถขอให้พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานเข้าไปช่วยได้ และหากพ้นการไกล่เกลี่ยเกิน 5 วัน บริษัทในฐานะนายจ้างสามารถได้ใช้สิทธิตามพ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2541 ปิดงานงดจ้างได้ จนกว่าจะหาข้อยุติได้ ซึ่งจะมีผลให้พนักงานไม่ได้รับค่าจ้างและสวัสดิการใดๆ ในช่วงดังกล่าว ส่วนพนักงานก็มีสิทธิตามกฎหมายที่จะหยุดงาน หรือสไตร์คได้เช่นกัน ยกเว้นแต่จะมีการกักขัง หน่วงเหนี่ยว หรือทำลายร่างกายพนักงาน นายจ้างก็จะมีโทษได้  ในระหว่างนี้กรมฯ จึงสั่งการให้พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงาน ซึ่งอยู่ในพื้นที่ให้ข้อมูลทั้ง 2 ฝ่าย และเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยเพื่อให้ได้ข้อยุติ พร้อมชี้แจงทำความเข้าใจและตักเตือนให้หลีกเลี่ยงการกระทำที่อาจผิดกฎหมาย รวมถึงประสานหน่วยงานดูแลความเรียบร้อยปลอดภัยในการชุมชน เพื่อลดผลกระทบด้านการจราจรและผลกระทบต่อชุมชน 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลรับฟ้อง คดี 'อดีตโฆษกศิษย์ธรรมกาย' ยุยงปลุกปั่น แถลงผ่านเฟซบุ๊กปลายปีที่แล้ว

Posted: 28 Dec 2017 04:25 AM PST

อัยการยื่นฟ้องอดีตโฆษกศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย เป็นจำเลยต่อศาล จากการแถลงและเผยแพร่แถลงการณ์ผ่านเฟซบุ๊กกรณีตรวจค้นวัดของเจ้าหน้าที่รัฐ ศาลรับฟ้องคดีไว้พิจารณา พร้อมให้ประกันตัว 4 แสน นัดตรวจพยานฯ 26 ก.พ.61

ที่มาภาพ : เฟซบุ๊กแฟนเพจ เครือข่ายคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกายทั่วโลก 

28 ธ.ค. 2560 รายงานข่าวระบุว่า วันนี้ เมื่อ เวลา 9.30  น. พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 8 สำนักงานอัยการสูงสุด ยื่นฟ้อง องอาจ ธรรมนิทา โฆษกศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย เป็นจำเลยในความผิด ทำให้ปรากฎแก่ประชาชนด้วยวาจาหรือวิธีใดอื่นมิใช่การกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือเพื่อแสดงความเห็น ติชมโดยสุจริต เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดก่อความไม่สงบหรือล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ต่อศาลอาญา รัชดา กรุงเทพฯ กรณีการแถลงข่าวจุดยืนคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. 2559

ศาลได้ประทับรับฟ้องคดีไว้พิจารณา พร้อมทั้งสอบคำให้การ องอาจ โดยอ่านและอธิบายฟ้อง แล้วสอบถาม ซึ่ง องอาจ ได้ให้การปฏิเสธ ขอต่อสู้คดี และจัดเตรียมทนายความไว้แก้ต่างคดี ศาลจึงนัดตรวจพยานหลักฐานอีกครั้ง ในวันที่ 26 ก.พ. 2561 เวลา 13.30 น.

จากนั้น วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความจำเลยได้ยื่นหลักทรัพย์เป็นเงินสด 400,000 บาท ขอปล่อยชั่วคราวระหว่างสู้คดี และต่อมาศาลได้มีคำสั่งให้ประกันตัว พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล

คดีดังกล่าวสืบเนื่องจาก 9 ธันวาคม 2559 กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอจัดประชุมเจ้าหน้ารัฐเพื่อตรวจค้นจับกุมพระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายตามหมายจับศาลอาญา จำเลยเป็นโฆษก ศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย ได้แถลงด้วยวาจาและเผยแพร่แถลงการณ์ผ่านเฟซบุ๊กชื่อ เครือข่ายศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกายทั่วโลก เนื้อหาระบุถึงสถานการณ์ส่อจะเกิดความรุนแรงของเจ้าหน้าที่รัฐกับสถาบันพระพุทธศาสนามาจากการดำเนินการของพนักงานสอบสวนคดี สหกรณ์เครดิตยูเนียนคลองจั่น ที่เกี่ยวโยงกันไม่มีความเป็นธรรมหลายประการและมีเจตนากลั่นแกล้ง เช่น การสั่งหยุดออกอากาศสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม DMC โดยไม่ไต่สวน ทั้งที่มีเนื้อหาในการสอนธรรมมะ ซึ่งเป็นคำสั่งที่นำโดยพลตำรวจเอกศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งข่าวปรากฎว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐ 3,000 คน เตรียมบุกวัดธรรมการต่อเนื่อง 4 วัน มีการสั่งเตรียมแพทย์ซึ่งจะทำให้มีผู้บาดเจ็บ ส่อให้เห็นว่าจะมีการใช้ความรุนแรง และจะเป็นบาดแผลอย่างลึกซึ้งระหว่างสถาบันชาติกับพระพุทธศาสนา การกระทำดังกล่าวได้เผยแพร่ให้บุคคลทั่วไปที่มาร่วมฟังแถลงข่าวและใช้เฟซบุ๊กได้รับทราบ ทำให้ประชาชนที่เห็นข้อความดังกล่าวเข้าใจว่าพนักงานของรัฐกระทำการรุนแรงไม่ชอบด้วยกฎหมาย กลั่นแกล้งดำเนินคดีกับวัดพระธรรมกาย อันเป็นการกระทำเพื่อก่อให้เกิดความกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนที่จะเกิดความไม่สงบ หรือล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน  ชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธ 

 

ที่มา : สำนักข่าวไทยและเฟซบุ๊กแฟนเพจ เครือข่ายคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกายทั่วโลก 

 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไต่สวนพยานหมอ-ตร. ปมทหารวิสามัญชาวลีซูเสร็จแล้ว ศาลนัดพยานฝ่ายญาติผู้ตายปีหน้า

Posted: 28 Dec 2017 01:24 AM PST

ไต่สวนตำรวจและแพทย์ผู้ทำการชันสูตรพลิกศพ 'อะเบ แซ่หมู่' ชาวชาติพันธุ์ลีซู ซึ่งถูกทหารวิสามัญฆาตกรรม ช่วงเวลาและสถานที่ใกล้เคียงกับ 'ชัยภูมิ ป่าแส' เสร็จแล้ว ศาลนัดสืบพยานของฝ่ายญาติผู้ตาย ก.พ.61

28 ธ.ค. 2560 มูลนิธิผสานวัฒนธรรม รายงานว่า เมื่อ 26 ธ.ค. ที่ผ่านมาศาลจังหวัดเชียงใหม่นัดไต่สวนคดีหมายเลขดำที่ ช.18/2560 กรณี อะเบ แซ่หมู่ ชาวชาติพันธุ์ลีซู ได้ถูกเจ้าหน้าที่ทหารยิงเสียชีวิตจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 15 ก.พ. 2560 เหตุเกิดที่ถนนสายระหว่างหมู่บ้านรินหลวง-หมู่บ้านป่าบงงาม ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่

รายงานระบุว่า พนักงานอัยการจังหวัดเชียงใหม่ ผู้ร้องได้นำพยานมาศาล 2 ปาก คือแพทย์ผู้ทำการชันสูตรพลิกศพ อะเบ ในที่เกิดเหตุและผ่าศพที่โรงพยาบาลเชียงดาว และ เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวน สภ.นาหวาย จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนหาผู้กระทำผิดร่วมกับอาเบในวันเกิดเหตุ หลังจากพยานทั้งสองปากได้เบิกความเสร็จแล้ว พนักงานอัยการ ผู้ร้อง แถลงต่อศาลจะนำพยานเข้าไต่สวนอีก 3 ปาก ได้แก่ ผู้บังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่ทหารที่ยิง อะเบ พนักงานสอบสวนเจ้าของสำนวน และผู้ใหญ่บ้านพื้นที่ที่ อาเบ อาศัยอยู่

ส่วนทางฝ่ายทนายบิดา และมารดาของ อาเบ มูลนิธิผสานวัฒนธรรม รายงานว่า ได้แถลงต่อศาลจะนำพยานเข้าไต่สวนทั้งหมด 5 ปาก ได้แก่ บิดา มารดา น้าสาวของ อาเบ ประจักษ์พยานผู้อยู่ในเหตุการณ์กับ อาเบ และพยานผู้เห็นศพ อาเบ ก่อนเจ้าหน้าที่ 4 ฝ่ายจะเข้ามาชันสูตรพลิกศพ ด้วยเหตุนี้ศาลจึงได้นัดวันไต่สวนพยานผู้ร้อง และพยานของฝ่ายบิดา มารดาผู้ตายอีกครั้ง เป็นวันที่ 1 และ 27 ก.พ. 2561 เวลา 09.00 น. ถึง 16.30 น.

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า นอกจากกรณีวิสามัญฆาตกรรม อะเบ ชาวชาติพันธุ์ลีซู แล้ว ช่วงเวลาใกล้เคียงกัน  ยังมีกรณีของ ชัยภูมิ ป่าแส นักกิจกรรมชาวลาหู่ อายุ 17 ปี ที่ถูกเจ้าหน้าที่ทหารวิสามัญฆาตกรรม ณ ด่านตรวจบ้านรินหลวง ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ในวันที่ 17 มี.ค.ที่ผ่านมาด้วย ปัจจุบันคดีนี้กำลังอยู่ระหว่างไต่สวนการตาย ซึ่งทางสุมิตรชัย หัตถสาร ทนายความศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชนท้องถิ่น และทนายความของครอบครัวชัยภูมิ กล่าวว่า จนถึงตอนนี้ยังไม่เห็นภาพจากกล้องวงจรปิด โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจเคยได้ฮาร์ดดิสก์กล้องวงจรปิดจากทหารแล้วแต่ก็เปิดนำภาพออกมาไม่ได้ และได้พยายามขอให้ทหารส่งมาใหม่ตั้งแต่ก่อนที่เรื่องจะถึงอัยการแล้ว โดยต้นปีหน้า สุมิตรชัย จะขอให้ศาลออกหมายขอภาพจากกล้องวงจรปิดไปยังหน่วยที่ตั้งอยู่ ณ ที่เกิดเหตุ และทำสำเนาให้กับ พล.ท.วิจักขฐ์ สิริบรรสพ แม่ทัพภาพที่ 3 ที่เคยระบุว่าได้เห็นภาพจากกล้องวงจรปิดแล้ว

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กองทัพให้ 2 ขั้น-เลื่อนยศ 2 ทหารวิ่งคุ้มครอง 'ตูน บอดี้สแลม' ในนาม ทบ.

Posted: 27 Dec 2017 11:47 PM PST

กองทัพภาค 4 ขึ้น 2 ขั้น พร้อมเลื่อนยศ จ.ส.อ.อนุลักษณ์-ส.อ.สุพิศ วิ่งดูแล ตูน บอดี้สแลม โครงการก้าวคนละก้าว ในนามกองทัพบก เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ ต่อกำลังพลที่ได้ทำความดีและสร้างชื่อเสียงให้กับกองทัพ 

ภาพจากเพจก้าว เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.ที่ผ่านมา 

28 ธ.ค. 2560 หลังจากวันที่ 25 ธ.ค.ทีผ่านมา อาทิวราห์ คงมาลัย หรือ "ตูน บอดี้สแลม" และทีมงานก้าวคนละก้าว เพื่อ 11 โรงพยาบาลทั่วประเทศ จาก อ.เบตง จ.ยะลา ถึง อ.แม่สาย จ.เชียงราย แล้ว รวมระยะทางกว่า 2,215 กิโลเมตร จากระยะทางตามกำหนดการที่ 2,191 กิโลเมตร ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. - 25 ธ.ค.2560 รวมเวลากว่า 386 ชั่วโมง ขณะที่ยอดบริจาคกว่า 1,140 ล้านบาท แล้วนั้น

วานนี้ (27 ธ.ค.60) เดลินิวส์ รายงานว่า พ.อ.อนุสรณ์ โออุไร ผอ.กองกำลังพล กองทัพภาคที่ 4 เปิดเผยว่า ตามที่ได้มีกำลังพลของกองทัพภาค 4  จำนวน 2 นาย คือ จ.ส.อ.อนุลักษณ์ แก้วชะโน สารวัตรทหาร กองสารวัตรทหาร มทบ.42 ค่ายเสนาณรงค์ จ.สงขลา และ ส.อ.สุพิศ จันทรัตน์ พลสูตรกรรม กองร้อยฝึกรบพิเศษที่ 4 ค่ายการฝึกรบพิเศษสิชล กองทัพภาคที่ 4 เข้าร่วมวิ่งในโครงการก้าวคนละก้าว โดยได้ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัย "ตูน" ในนามกองทัพบก เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ ต่อกำลังพลที่ได้ทำความดีและสร้างชื่อเสียงให้กับกองทัพ กองกำลังพลจึงได้มอบประกาศนีบัตรและเงินรางวัลโดยกำหนดมีพิธีการในวันที่ 7 ก.พ.เนื่องในวันสถาปณากองทัพภาคที่ 4 และได้มีการพิจารณาบำเหน็จความดีความชอบ 2 ขั้นในปีงบประมาณ 2561

รายงานข่าวยังระบุด้วยว่า กองกำลังพลอยู่ระหว่างการรวบรวมเอกสารการพิจารณาเลื่อนตำแหน่งให้กับ ส.อ.สุพิศ เป็นชั้นยศ  จ.ส.ต. โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบตำแหน่ง ส่วน จ.ส.อ.อนุลักษณ์ ได้เสนอเลื่อนชั้นยศเป็นกรณีพิเศษในตำแหน่งนายทหารสัญญาบัตร โดยกองกำลังพลกองทัพภาคที่ 4 กำลังดำเนินการตามขั้นตอนระเบียบของทางราชการทหารคาดว่าจะทราบผลในเร็ว ๆ นี้ 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เสียงจากเครือข่าย ‘กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ’ 6 ภาค

Posted: 27 Dec 2017 11:20 PM PST

หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเป็นของคนไทยทุกคน มันช่วยชีวิตพวกเขาจากโรคภัยไข้เจ็บ และการล้มละลาย นี่คือสิ่งที่ผู้คนจากภาคต่างๆ ในเครือข่าย 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' คิดและเชื่อ คือคำตอบของคำถามว่า ทำไมพวกเขาเหล่านี้จึงต้องออกมาปกป้องระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า

ไปฟังเสียงของพวกเขา (คลิกที่รูปเพื่ออ่าน)







บุคคลแห่งปีของประชาไท ประจำปี 2017 นี้ มาเป็นทีม พวกเขาคือ 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' ซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันของผู้คนมากหน้าหลายตา ท่ามกลางความพยายามทำลายหลักการของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของรัฐบาล คสช.และรัฐราชการ 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' ออกมาเคลื่อนไหว เฝ้าระวัง ปกป้อง และยันสถานการณ์เอาไว้อย่างสุดกำลัง สำหรับสถานการณ์ในปีหน้าที่พอจะเห็นเค้าลางว่า หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าจะยิ่งเผชิญการคุกคามที่หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ คงไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่า 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' กำลังยืนขวางระหว่างรัฐบาลและกลุ่มคนที่ต้องการทำลายกับผู้คน 48 ล้านคนที่ได้รับการดูแลหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และคอยย้ำเตือนว่าการรักษาพยาบาลคือสิทธิของประชาชนที่รัฐไม่อาจพรากมันไปได้





 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น