โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันพฤหัสบดีที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

กวีประชาไท: เจตนารมณ์แห่งแสงอาทิตย์แด่ใครคิดแช่แข็ง

Posted: 07 Dec 2017 12:20 PM PST

 


โลกเรานี้มีอายุบรรลุผ่าน     หลายพันล้านปีแล้วยังแน่วแน่

จากก๊าซร้อนมาร่วมรวมผันแปร     เย็นตัวแช่แข็งคืนวันสร้างสรรค์มา

แต่ละวินาทีที่เดินทาง     หมุนอยู่กลางห้วงหาวบนราวฟ้า

กว่าจะเย็นตัวเห็นเป็นโลกา     คล้ายแขวนบนราวตากผ้าดูน่าคิด


1 ปีมี 365 วัน อันผันผวน     หลายกระบวนท่า นำมาผลิต

สรรพสัตว์กับทัศนวิสัยในชีวิต     ใครลิขิตประสิทธิ์ประศาสน์ไว้

ให้มีวิชาอุตสาหพยายาม     ฝ่าข้ามยุคน้ำแข็งมาจนได้

และสาดแสงแห่งอาทิตย์อุทัย     จะแช่แข็งไว้อย่างไรก็ไม่ตาย


แสงแห่งดวงตะวันที่สรรสร้าง     ดูพรายพร่างพราวเพชรก่องเก็จฉาย

ก่อให้เกิดกาลเวลานาฬิกาทราย     เป็นประกายปิดฟ้าด้วยฝ่ามือ

จะปิดฟ้าด้วยฝ่ามือใช่หรือไม่     ก็คงได้แค่ใบหน้านัยน์ตาซื่อ

จะแช่แข็งไม่แบ่งใครใจคนฤา     สูญพันธุ์คือระบอบไม่ชอบเอย.


                                                       

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ซุปเปอร์ กอ.รมน. กับบทบาททหารในอนาคต โดย สุรชาติ บำรุงสุข

Posted: 07 Dec 2017 12:13 PM PST

 

ในท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์ทางการเมืองที่มาพร้อมกับข่าวเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรีนั้น นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับใช้มาตรา 44 ออกคำสั่งของหัวหน้า คสช.ที่ 51/ 2560 เรื่อง "การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร" สาระของกฎหมายฉบับนี้ดูจะถูกกลบด้วยข่าว "ครม.ประยุทธ์ 5" และข่าวการเสียชีวิตของนักเรียนเตรียมทหาร จนเสมือนว่าคำสั่งนี้อาศัยสถานการณ์การเมืองดังกล่าวเป็นเครื่องอำพรางตัวเอง และออกมาในขณะที่สื่อและสังคมดูจะสนใจประเด็นทางการเมืองเรื่องอื่นมากกว่า ทั้งที่สาระของการแก้ไขครั้งนี้มีนัยสำคัญต่ออนาคตของทหารกับการเมืองและความเป็นไปของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในวันข้างหน้าเป็นอย่างยิ่ง และแทนที่กฎหมายฉบับนี้จะใช้กระบวนการผ่านทาง สนช. เพื่อให้กฎหมายออกมาในรูปแบบของพระราชบัญญัติ แต่กลับใช้คำสั่งของมาตรา 44 เป็นช่องทางแทน


ทหารผู้ควบคุมงานความมั่นคง

กฎหมายฉบับนี้แต่เดิมเรียกกันโดยทั่วไปว่า "พ.ร.บ.ความมั่นคง" เจตนารมณ์ของกฎหมายนี้แต่เดิมก็เพื่อใช้ในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่กฎหมายนี้ยังไม่เคยถูกปรับแก้ไข จนกระทั่งถึงยุคของรัฐบาลรัฐประหารของ คสช. รัฐบาลให้เหตุผลว่ามีความจำเป็นต้องแก้ไขเพราะ (1) ภัยคุกคามด้านความมั่นคงเปลี่ยนแปลงรูปแบบ (2) ภัยนี้อาจเกิดขึ้นได้ทั้งภายนอกและภายในประเทศ (3) ภัยดังกล่าวอาจเกิดจากการกระทำของบุคคลหรืออาจเกิดจากธรรมชาติ

ภายใต้ความเปลี่ยนแปลงของปัญหาภัยคุกคามเช่นนี้ รัฐบาลจึงตัดสินใจให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) เข้ามาเป็นผู้แก้ไขสถานการณ์ภัยคุกคามดังกล่าว และทั้งยังให้ กอ.รมน.เป็น "แม่ข่าย" ของการปฏิบัติการด้านความมั่นคงและการป้องกันบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งการนำเสนอบทบาทใหม่เช่นนี้ต้องถือเป็นเรื่องใหญ่ และการแก้ไขกฎหมายดังกล่าวจึงเป็นการ "รื้อใหญ่" และทำให้ กอ.รมน.มีสถานะเป็น "ผู้ควบคุมงานความมั่นคง" ของประเทศไว้ทั้งหมด และที่สำคัญ สำนักงบประมาณยังมีหน้าที่ต้องจัดสรรงบสนับสนุนการดำเนินการตามแผนป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยคุกคามของ กอ.รมน. [ข้อ 2 (2)] และในการนี้ยังกำหนดให้หน่วยงานของรัฐต้องส่งเจ้าหน้าที่ของตนตามที่ถูกร้องขอมาปฏิบัติหน้าที่ใน กอ.รมน. (ข้อ 3 มาตรา 9)

ในเชิงโครงสร้าง กฎหมายใหม่ฉบับนี้ได้รวมรัฐมนตรี ปลัดกระทรวง และผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานความมั่นคงต่างๆ เข้ามาไว้เป็น "คณะกรรมการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร" (ข้อ 4 มาตรา 10) อันทำให้เสมือนว่า กอ.รมน.กำลังทำหน้าที่เป็นสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งติ (สมช.) และยิ่งดูสาระสำคัญในข้อ 4 ก็ยิ่งชัดเจนว่าคำสั่งนี้กำลังทำให้เกิดสภาความมั่นคงแห่งชาติอีกแบบ (คู่ขนานกับสภาความมั่นคงแห่งชาติที่มีอยู่แต่เดิม)

ผลจากการนี้ทำให้เห็นถึงการขยายบทบาทของทหารไทยในยามสันติอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในการควบคุมงานความมั่นคงทั้งระบบ จนคล้ายกับการจัดตั้งรัฐบาลคณะเล็กในอีกรูปแบบหนึ่ง


การขยายบทบาทของทหารยามสันติ

ในเชิงสาระ การขยายบทบาทเช่นนี้เห็นได้อย่างชัดเจนจากการปรับเปลี่ยนนิยาม โดยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรมีความหมายว่า "การดำเนินการเพื่อป้องกัน ควบคุม แก้ไข และฟื้นฟูสถานการณ์ใดที่เป็นภัย หรืออาจเป็นภัยอันเกิดจากบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ก่อให้เกิดความไม่สงบสุข ทำลาย หรือทำความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สินของประชาชนหรือของรัฐ รวมถึงในกรณีที่เกิดหรือคาดว่าจะเกิดสาธารณภัยตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยให้กลับสู่ภาวะปกติเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือความมั่นคงของรัฐ" (ข้อ 1)

หากพิจารณาจากการกำหนดนิยามใหม่เช่นนี้ภารกิจของ กอ.รมน.กำลังจะกลายเป็นงานแบบ "ครอบจักรวาล" เพราะคำสั่งนี้เปิดโอกาสให้ กอ.รมน.กำหนดเองว่า "สถานการณ์ใดที่เป็นภัยหรืออาจเป็นภัย" ซึ่งเท่ากับเปิดช่องทางให้เกิดการตีความได้อย่างไม่จำกัด อันจะทำให้กองทัพในอนาคตสามารถมีบทบาทกว้างขวางอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะเราจะไม่สามารถควบคุมการตีความของฝ่ายทหารเช่นนี้ได้เลย หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ การนิยามใหม่ตามข้อ 1 ของกฎหมายนี้ก็คือการเปิดช่องทางให้กองทัพดำรงบทบาทอย่างรอบด้านไว้ได้โดยไม่จำเป็นต้องมีสถานการณ์สงครามรองรับ เพราะโดยปกติเป็นที่ยอมรับกันว่า กองทัพจะสามารถขยายและดำรงบทบาทแบบรอบด้านไว้ในสังคมได้ก็เป็นเงื่อนไขยามสงคราม แต่สถานการณ์ปัจจุบันของสังคมไทยไม่อยู่ในภาวะสงคราม คำสั่งฉบับนี้กลับขยายบทบาทของทหารอย่างมากผ่าน กอ.รมน. สภาวะเช่นนี้อาจทำให้ถูกตีความได้ว่า กอ.รมน.ในอนาคตกำลังกลายเป็น "รัฐบาลน้อย" ที่ควบคุมประเทศผ่านการตีความปัญหาความมั่นคงได้อย่างไม่จำกัด

การขยายบทบาทเช่นนี้ยังครอบคลุมไปถึงงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพราะนิยามใหม่ได้กำหนดให้ กอ.รมน.เข้าไปทำภารกิจในงานเช่นนี้อีกด้วย แต่เดิมงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นงานการป้องกันของฝ่ายพลเรือน (หรือที่เรียกว่างาน "civil defense") แต่คำสั่งนี้เท่ากับเปิดบทบาทใหม่ให้ กอ.รมน.เข้าไปคุมงานนี้แทนกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (สังกัดกระทรวงมหาดไทย) และคงต้องตระหนักว่าคำว่า "สาธารณภัย" มีนิยามอย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นอัคคีภัย วาตภัย อุทกภัย ภัยแล้ง โรคระบาด ภัยธรรมชาติ อุบัติภัย และยังมีขอบเขตรวมถึงภัยทางอากาศ และการก่อวินาศกรรม ซึ่งงานนี้เป็นภารกิจกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยโดยตรง แต่โดยคำสั่ง คสช. งานนี้จะถูกโอนไปไว้ภายใต้การควบคุมของ กอ.รมน. อันเท่ากับว่าในอนาคต กอ.รมน.จะเป็นผู้ดำเนินการและจัดทำแผนงานด้านการป้องกันภัยเช่นนี้โดยตรง

ซึ่งเท่ากับการส่งสัญญาณว่า กอ.รมน.จะเป็นผู้จัดการงานนี้แทนกระทรวงมหาดไทย (นอกเหนือจากการเป็นสภาความมั่นคงดังที่กล่าวแล้วในข้างต้น) และในการนี้ยัง "ให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณให้เป็นไปตามแผนและแนวทางนั้นด้วย" (หมายถึงแผนและแนวทางที่ กอ.รมน.ได้จัดทำขึ้น)


ซุปเปอร์กระทรวง

หากพิจารณาสาระของคำสั่งและการสั่งการให้สำนักงบประมาณจัดงบประมาณสนับสนุนการดำเนินการของ กอ.รมน. แล้ว ก็อาจกล่าวได้ว่าองค์กรนี้กำลังกลายเป็น "ซุปเปอร์กระทรวง" ในระบบบริหารราชการแผ่นดินของไทย เพราะมีภารกิจแบบครอบคลุมทุกเรื่อง ในอีกด้านหนึ่งก็อาจตีความได้ว่า กอ.รมน.กำลังจะถูกสร้างให้เป็นดัง "Homeland Security" ซึ่งเป็นองค์กรความมั่นคงภายในของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา และถือกำเนิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์การโจมตีสหรัฐ ในวันที่ 11 กันยายน 2544 แต่การจัดตั้งองค์กรนี้ของสหรัฐเกิดขึ้นเพราะกระทรวงกลาโหมและกระทรวงมหาดไทยอเมริกันไม่ได้มีบทบาทความมั่นคงภายในเช่นในแบบของไทย หลังเหตุการณ์ดังกล่าว รัฐบาลอเมริกันจึงต้องจัดตั้งหน่วยงานนี้ขึ้น

ดังนั้น การขยายบทบาทของ กอ.รมน. เช่นนี้จึงกลายเป็นปัญหาในตัวเองอย่างมาก เว้นเสียแต่การขยายบทบาทภายใต้คำสั่งนี้เป็นไปเพื่อการคงบทบาทของกองทัพไว้ในสังคมได้ โดยไม่จำเป็นต้องกังวลว่าการเมืองไทยจะเป็นรูปแบบใดในอนาคต เพราะไม่ว่าการเมืองจะเป็นเช่นไร กองทัพก็จะมีบทบาทแบบ "ครอบจักรวาล" และมีภารกิจแบบ "ไร้ขีดจำกัด" ได้ตลอดเวลา

ฉะนั้น "ซุปเปอร์ กอ.รมน." จะเป็นหลักประกันต่อการมีบทบาทเช่นนี้ในอนาคต ซึ่งเท่ากับการส่งสัญญาณว่านอกจากการถอนตัวของทหารออกจากการเมืองไทยจะเป็นสิ่งที่ไทยเป็นไปไม่ได้แล้ว การลดบทบาทของทหารในการเมืองก็เป็นเรื่องที่ยากลำบากเช่นกันด้วย!


 

ที่มา: มติชนออนไลน์

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

“โพสต์ไม่คิด… ชีวิตอาจพัง” บทพิสูจน์ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ฉบับใหม่ บังคับใช้ได้ตรงเจตนารมณ์หรือไม่

Posted: 07 Dec 2017 11:58 AM PST

"โพสต์ไม่คิด… ชีวิตอาจพัง" ถ้อยคำที่ถูกเผยแพร่ผ่านทางทวิตเตอร์ของกองทัพบก @armypr_news เมื่อวันที่ 21 พ.ย. 2560 แม้ปัจจุบันอาจจะถูกลบไปแล้ว แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความพยายามสร้างบรรยากาศแห่งความกลัวต่อการแสดงความคิดเห็นบนโลกออนไลน์ของประชาชน ด้วยการสื่อสารผ่านรูปว่าการแสดงความเห็นนั้นอาจนำไปสู่การติดคุกได้ เช่นเดียวกับที่ทวิตเตอร์ของกองทัพบกเคยส่ง 'ความปรารถนาดี' เกี่ยวกับการแชร์เนื้อหาออนไลน์ก่อนหน้านี้

เมื่อเดือนมกราคม 2560 พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 ซึ่งเป็นฉบับที่ 2 ของ พ.ร.บ. นี้ประกาศลงราชกิจจานุเบกษา และมีผลบังคับใช้ในเดือนพฤษภาคม

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมระบุเจตนารมณ์ของการแก้ไขส่วนหนึ่งว่า เดิม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ โดยเฉพาะมาตรา 14 (1) มักถูกพ่วงไปฟ้องกับการกระทำผิดใด ๆ ทางอินเตอร์เน็ต ทั้งที่มาตรานี้กำหนดให้ใช้กับการกระทำผิดในเรื่องฉ้อโกง หรือหลอกลวงกันทางออนไลน์

เพราะเดิมกฎหมายฉบับนี้ถูกนำมาใช้ตั้งข้อหากับคนที่โพสต์ด่าทอกันทางออนไลน์ รวมถึงดำเนินคดีต่อผู้แสดงความเห็นทางการเมือง เรียกร้องสิทธิเสรีภาพ นักปกป้องสิทธิมนุษยชน องค์กรภาคประชาสังคม และสื่อมวลชน ในลักษณะที่เรียกว่า 'ฟ้องปิดปาก' หรือ SLAPPs (อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ SLAPPs ที่นี่)

มาตรา 14 พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ พ.ศ.2550 ระบุว่า ผู้ใดกระทำความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

(1) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน

(2) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศหรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน

(3) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรหรือความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา

(4) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ ที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้

(5) เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ตาม (1) (2) (3) หรือ (4)

กรณีตัวอย่าง เช่น นายอานดี้ ฮอลล์ (Mr.Andy Hall) นักวิจัยด้านสิทธิแรงงาน ถูกบริษัทผลไม้กระป๋องฟ้องด้วยความผิดฐานหมิ่นประมาทและ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ พ.ศ. 2550 จากการเขียนงานวิจัยที่มีเนื้อหาว่าบริษัทดังกล่าวจ้างแรงงานเด็กด้วยค่าจ้างที่ต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด และกรณีกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด กลุ่มชาวบ้านที่คัดค้านการทำเหมืองแร่ทองคำในจังหวัดเลย ถูกบริษัท ทุ่งคำฮาร์เบอร์ จำกัด (มหาชน) ที่ประกอบกิจการเหมืองแร่ฟ้องร้องดำเนินคดีความผิดฐานหมิ่นประมาทจากการให้สัมภาษณ์ทางสถานีโทรทัศน์ ร่วมกับความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ พ.ศ.2550 เนื่องจากเทปบันทึกรายการสัมภาษณ์ถูกเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต เป็นต้น

การแก้ไขจึงเพื่อกำหนดให้ชัดเจนว่า มาตรานี้ใช้กับการฉ้อโกง ปลอมแปลง หรือหลอกลวงทางอินเตอร์เน็ตหรือทางออนไลน์ และเขียนให้ชัดเจนว่า ไม่ให้เอาไปใช้กับเรื่องหมิ่นประมาทที่มีระบุไว้อยู่แล้วในประมวลกฎหมายอาญา เนื่องจากข้อหาหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญาเป็นความผิดที่ยอมความกันได้ แต่หากกำหนดไว้ใน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ จะยอมความไม่ได้ ทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบจากการถูกดำเนินคดี

มาตรา 14 พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 แก้ไขแล้วมีเนื้อความว่า ผู้ใดกระทําความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

(1) โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหาย แก่ประชาชน อันมิใช่การกระทําความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา

(2) นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิด ความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคง ในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะของประเทศ หรือก่อให้เกิด ความตื่นตระหนกแก่ประชาชน

(3) นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆอันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง แห่งราชอาณาจักรหรือความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา

(4) นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูล คอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้

(5) เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ตาม (1) (2) (3) หรือ (4) ถ้าการกระทําความผิดตามวรรคหนึ่ง (1) มิได้กระทําต่อประชาชน แต่เป็นการกระทําต่อบุคคลใด บุคคลหนึ่ง ผู้กระทํา ผู้เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ดังกล่าวต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และให้เป็นความผิดอันยอมความได้ 

ตามหลักกฎหมาย หากมีการแก้กฎหมายใหม่ และกฎหมายที่แก้นั้นยกเลิกความผิดตามที่มีอยู่ในกฎหมายเดิม หรือมีโทษเบาลง ให้นำกฎหมายที่ออกใหม่มาบังคับใช้ แม้การกระทำจะเกิดขึ้นก่อนมีการประกาศกฎหมายใหม่ก็ตาม

หลัง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ฉบับใหม่มีผลบังคับใช้ได้ราว 6 เดือน คดีความที่ถูกตั้งข้อหาตามมาตรา 14 พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ฉบับเดิมต่างทยอยสิ้นสุดคดีจากการสั่งไม่ฟ้องในชั้นอัยการ ถือเป็นแนวโน้มที่ดีสำหรับการบังคับใช้มาตรา 14 ของ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ฉบับใหม่ ในจำนวนนี้มีคดีที่อยู่ในความรับผิดชอบของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน 2 คดี


คดีโพสต์ผังทุจริตอุทยานราชภักดิ์

คดีแรก คือ คดีของ 'แจ่ม' (นามสมมติ) ผู้ตกเป็นผู้ต้องหาในความผิดข้อหายุยงปลุกปั่น ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ พ.ศ.2550 จากการโพสต์ข้อความ ถึงความขัดแย้งภายใน คสช. จากกรณีทุจริตโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ลงในเฟซบุ๊ก เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2558

เมื่อพนักงานสอบสวนส่งสำนวนให้อัยการศาลทหารกรุงเทพ อัยการทหารมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องคดีเนื่องจากเห็นว่าคดีนี้ไม่ได้เป็นความผิดตามมาตรา 116 อัยการทหารจึงไม่มีอำนาจฟ้อง ทว่าพนักงานสอบสวนยังคงนำสำนวนการสอบสวนเดิมส่งต่อให้อัยการศาลจังหวัดพระโขนง

อัยการประจำสำนักงานอัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่ฟ้องคดีในเดือนเมษายน 2560 โดยให้เหตุผลว่า ข้อความในเฟซบุ๊กของ 'แจ่ม' เป็นความเชื่อของผู้กล่าวหาว่าเป็นความผิดตามกฎหมายดังกล่าว แต่ไม่มีพยานยืนยันว่าข้อความนั้นเป็นเท็จหรือไม่ และขณะเกิดเหตุประชาชนทั่วไปกำลังสนใจเรื่องโครงการอุทยานราชภักดิ์

อัยการเห็นว่า การกระทำของ 'แจ่ม' เป็นการติชมเพื่อประโยชน์แก่สาธารณะ ไม่เกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงทางเศรษฐฏิจ หรือโครงสร้างพื้นฐานหรือทำให้ประชาชนตื่นตระหนก แม้ว่าข้อความดังกล่าวอาจจะเป็นการใส่ความ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุววรณ และ พล.อ.พิสิทธิ์ สิทธิสาร เข้าลักษณะหมิ่นประมาทก็ตาม แต่เมื่อผู้เสียหายไม่ได้ร้องทุกข์จึงไม่อาจดำเนินคดีกับผู้ต้องหาได้ (อ่านรายละเอียดคดี 'แจ่ม' ที่นี่)

จะเห็นได้ว่า ในความเห็นสั่งไม่ฟ้องของอัยการสูงสุดเขียนครอบคลุมไปถึงว่า โพสต์ของ 'แจ่ม' ไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ฉบับใหม่ มาตรา 14 (2) ด้วย


คดีโพสต์วิจารณ์ตำรวจอ้าง ม.44 ค้นบ้าน

อีกคดี คือ คดีของบริบูรณ์ เกียงวรางกูล ที่ถูกตั้งข้อหาหมิ่นประมาท และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (1) จากการโพสต์เฟซบุ๊กเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ตำรวจเข้าค้นบ้าน โดยอ้างอำนาจตาม มาตรา 44

นายบริบูรณ์ เกียงวรางกูร (ชายสวมเสื้อสีขาวแถวหน้าสุด)

บริบูรณ์ได้ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมถึงอัยการศาลจังหวัดราชบุรีเมื่อเดือนมิถุนายน 2560 ใจความว่า พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2560 มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 2560 โดย พ.ร.บ. ดังกล่าวได้ยกเลิกข้อความใน มาตรา 14 ของ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฉบับเดิม และบัญญัติใหม่ไว้ว่า ห้ามมิให้นำบทบัญญัติดังกล่าวมาใช้ลงโทษกับการกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา จึงขอให้อัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องในข้อหา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ (อ่านรายละเอียดคดีบริบูรณ์ที่นี่)

ต่อมาเมื่อวันที่ 17 พ.ย. 2560 อัยการศาลจังหวัดราชบุรีมีคำสั่งไม่ฟ้องคดีบริบูรณ์ในข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ส่วนข้อหาหมิ่นประมาทยังอยู่ระหว่างอัยการศาลแขวงราชบุรีทำความเห็น โดยจะนัดฟังคำสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องคดีวันที่ 26 ธ.ค. 2560

แสดงให้เห็นว่าในชั้นอัยการเริ่มมีการปรับใช้กฎหมายให้ตรงกับเจตนารมณ์ที่แก้ไข แต่ยังมีอีกคดีที่น่าจับตา คือคดีของรินดา พรศิริพิทักษ์


คดีโพสต์ข่าวลือประยุทธ์โอนเงินหมื่นล้าน

คดีของรินดาคล้ายกับกรณีของ 'แจ่ม' เธอถูกทหารควบคุมตัวและนำมาตั้งข้อหายุยงปลุกปั่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ พ.ศ.2550 จากการโพสต์เฟซบุ๊กข่าวลือว่า พล.อ.ประยุทธ์ และภริยาโอนเงินหมื่นล้านไปประเทศสิงคโปร์

คดีของรินดาถูกฟ้องขึ้นสู่ศาลทหารกรุงเทพ แต่ศาลทหารกรุงเทพเห็นว่าคดีนี้ไม่ใช่ความผิดฐานยุยงปลุกปั่นจึงไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาคดีของศาลทหาร เมื่อมีการโต้แย้งเขตอำนาจศาล ศาลอาญาจึงทำความเห็นในทำนองเดียวกับศาลทหารว่าคดีนี้ไม่เป็นความผิดฐานยุยงปลุกปั่นตามมาตรา 116 คดีจึงถูกจำหน่ายออกจากศาลทหาร (อ่านรายละเอียดคดีของรินดาที่นี่)


พนักงานสอบสวนนำสำนวนสอบสวนเดิมไปส่งฟ้องต่ออัยการศาลอาญา อัยการมีความเห็นสั่งฟ้องเฉพาะข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ พ.ศ.2550 มาตรา 14 โดยไม่ระบุให้ชัดเจนว่าเป็นวงเล็บใด เมื่อวันที่ 27 ต.ค. 2559 ก่อน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ฉบับใหม่ประกาศใช้ ปัจจุบันคดีนี้สืบพยานเสร็จสิ้น ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นัดฟังคำพิพากษาวันที่ 25 ม.ค. 2561

หากอ้างอิงจากคดี 'แจ่ม' คดีของรินดาไม่อาจลงโทษฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญาได้ เพราะผู้เสียหายคือ พล.อ.ประยุทธ์ และภริยาไม่ได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนไว้ รวมถึงไม่น่าจะเป็นการฉ้อโกง ปลอมแปลง หรือหลอกลวงทางอินเตอร์เน็ตหรือทางออนไลน์ ซึ่งอาจจะเป็นความผิดตามมาตรา 14 (1) ของ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ฉบับใหม่

ส่วนจะเป็นความผิดตามมาตรา 14 (2) หรือไม่ คดีนี้อาจเป็นคดีแรก ๆ ที่จะแสดงให้เห็นว่า ศาลตีความถ้อยคำ "โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงทางเศรษฐฏิจ หรือโครงสร้างพื้นฐานหรือทำให้ประชาชนตื่นตระหนก" ว่าอย่างไร

อย่างไรก็ตาม คดีของรินดายังไม่น่าจะเป็นความผิดตามมาตรา 14 (3) เนื่องจากทั้งศาลทหารกรุงเทพและศาลอาญาต่างก็เห็นตรงกันมาครั้งหนึ่งแล้วว่าข้อความของเธอไม่เป็นความผิดตามมาตรา 116 ประมวลกฎหมายอาญา ทำให้ไม่เข้าองค์ประกอบความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) ด้วย

คดีนี้จึงอยู่ที่ศาลว่าจะนำ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ฉบับใหม่มาบังคับใช้ได้ตรงตามเจตนารมณ์หรือไม่ และตีความเพื่อคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงความเห็นของประชาชนเพียงใด หรือสุดท้าย พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ฉบับใหม่อาจไม่ได้นำมาใช้คู่กับคดีหมิ่นประมาทแล้ว แต่จะยังคงเป็นเครื่องมือของรัฐในการฟ้องปิดปากประชาชนที่ต้องการตรวจสอบการทำงานของภาคส่วนต่าง ๆ ผ่าน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ พ.ศ.2560 มาตรา 14 (2) ?



หมายเหตุ: เผยแพร่ครั้งแรกใน ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ใบตองแห้ง: น้ำผึ้งขมที่สงขลา

Posted: 07 Dec 2017 11:41 AM PST

 

ครม.สัญจรภาคใต้ ไม่ยักหวานแหววอย่างภาคเหนือ อีสาน กลาง แค่เริ่มต้นท่านผู้นำก็เจอชาวประมงปัตตานีร้องเรียนเสียงดังลั่น อุ๊ต๊ะ ลุงตู่ไม่ได้หูตึง จะตะเบ็งเสียงแข่งท่านทำไม ไม่รู้หรือ นี่ระบอบอะไร มีแต่ท่านตะเบ็งเสียงใส่คนอื่น หนุ่มประมงเลยโดนตวาดเข้าให้ ใจเย็นๆ อย่ามาเถียง พูดดีๆ ก็ได้ ทำไมต้องให้ลุงยัวะด้วย

ใครผิดใครถูกก็ไม่รู้นะ รู้แต่ว่าวันรุ่งขึ้น เพจ Gen.Prayut Chan-o-cha โพสต์ว่านายกฯ เสียใจ ที่ได้ว่ากล่าวชาวประมงไป ขอให้เข้าใจว่ารัฐบาลกำลังแก้ไขปัญหา บลาๆๆ

ปัดโธ่ กว่าจะแสดงความเสียใจ ก็โดนโลกโซเชียลถล่มซะน่วม ไม่รวมนักการเมืองรุมกระนั้น โฆษกไก่อูยังไม่วาย โทษชาวประมงใช้ถ้อยคำก้าวร้าวรุนแรง ทั้งที่มาขอให้ช่วย

เห็นไหม คนไทยไม่เชื่อฟัง วันก่อน ลุงตู่เพิ่งจะออกทีวี ชวนคนไทยใช้คำพูดดีๆ ต่อกัน "รักนะ" มีอะไรให้ช่วยไหม อย่าใช้อารมณ์ใส่กัน รับฟังซึ่งกันและกัน ถ้าหนุ่มประมงทำตามโอวาท ก็คงไม่เป็นเรื่อง

เรื่องชาวประมงไม่ทันหาย เรื่องโรงไฟฟ้าก็บานปลาย Social Movement ของชาวเทพา ที่ต่อต้านโรงไฟฟ้าถ่านหิน เดินเท้ามาตั้งแต่วันศุกร์ จะยื่นหนังสือนายกฯ แล้วเกิดปะทะกับตำรวจ โดนจับไป 16 คน ข้อหากีดขวางการจราจร และต่อสู้ขัดขวาง ทำร้ายเจ้าพนักงาน

ฟังความ 2 ข้างไม่ตรงกัน ม็อบอ้างว่าถูกตำรวจสกัด ไม่ให้ไปกินข้าว หิวมากจึงต้องเดินฝ่า แต่รัฐบาลอ้างว่าม็อบพยายามหาเหตุ เช่นโฆษกไก่อูบอกว่า ม็อบนัดยื่นหนังสือนายกฯ วันอังคาร แต่เปลี่ยนใจมาวันจันทร์ จะให้เลขาฯ นายกฯ ขึ้น ฮ.มาพบก็ไม่ยอม ผู้ว่าฯ จัดพื้นที่ให้รับประทานอาหารก็ไม่ไป ขออยู่ในพื้นที่แดดิ้นตรงนั้น แล้วบอกว่าเจ้าหน้าที่กีดกันไม่ให้ไปกินข้าว มีตัวแทนปลุกเร้า ใช้ด้ามธงทำร้ายเจ้าหน้าที่

นายกฯ ก็ฮึ่มว่า ผู้ชุมนุมละเมิดกฎหมาย รัฐบาลให้โอกาสแล้วยังดึงดัน ให้คนไปพบก็ไม่ยอมพบ จัดสถานที่ให้คุยก็ไม่คุย ถ้าให้มาเจอตนต่อหน้าสื่อก็เกิดปัญหาบานปลายไปเรื่อย รัฐบาลผ่อนผันมาตลอดก็ยังทำร้ายเจ้าหน้าที่ ต้องเอาผิดเป็นเยี่ยงอย่าง ไม่ใช่ละเมิดสิทธิมนุษยชน

ใครผิดใครถูกก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่สถานการณ์วันนี้ รัฐบาลเสียเปรียบเต็มประตู ทั้งกรรมการสิทธิฯ องค์กรสิทธิ เครือข่าย NGO และ 102 นักวิชาการภาคใต้ ฮือออกมาเรียกร้องให้ปล่อย 16 คนโดยไม่มีเงื่อนไข

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ฟังคุ้นๆ ไหม รัฐบาลทักษิณก็เคยสลายม็อบท่อก๊าซที่หาดใหญ่ ปลายปี 2545 ตอนนั้นก็พูดคล้ายกันว่าม็อบหาเหตุ ไม่ทำตามที่ตกลงไว้ แต่สุดท้ายก็โดนถล่มเละ กลายเป็นจุดเปลี่ยน ทำให้ NGO ภาคประชาสังคม หันมาต่อต้านอย่างแข็งขัน

ว่าที่จริง ผมก็ "รู้ทัน NGO" อยู่หรอก รู้ว่าม็อบแบบนี้ต้องมีกลเม็ด แต่ในทางการเมือง ผู้มีอำนาจต้องเปิดใจกว้าง รับฟัง และมีศิลปะในการรับมือ ไม่ใช่เอาแต่ใช้กำลัง หรือใช้กฎหมายกำราบ

แถมบังเอิญหรือไรไม่ทราบ ยังเกิดภาพบาดตาบาดใจ ทหารเปิดค่ายต้อนรับฝ่ายหนุนโรงไฟฟ้าเข้ายื่นหนังสือ ขณะที่อีกฝ่ายปะทะเจ้าหน้าที่

สถานการณ์อย่างนี้ รัฐบาลจึงเสียเปรียบเห็นๆ โดยอาจจะเป็นจุดเปลี่ยนซ้ำรอย อ้าว ก็บอกแล้วไง นี่ภาคใต้ ซึ่งเคยเป่าปี๊ดๆ ไล่ระบอบทักษิณ แต่ตอนนี้กลายเป็นน้ำผึ้งขม ทั้งชาวประมง ชาวสวนยาง ม็อบต้านโรงไฟฟ้า NGO นักวิชาการ ที่เคยคิดว่าพวกเดียวกันทั้งนั้นเลย

 

 

ที่มา: https://www.kaohoon.com

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ปล่อยตัววัฒนาผู้ต้องหาคดีอาวุธสงครามหลังขังครบ 7 วัน ไม่แจ้งข้อหา/เสธ.หยอย เข้ามอบตัว

Posted: 07 Dec 2017 11:34 AM PST

ทหารส่งตัววัฒนา ทรัพย์วิเชียร คืนลูกเมียหลังอุ้มเข้าค่ายสอบ 7 วัน โดยยังไม่ตั้งข้อกล่าวหา  เจ้าตัวยืนยันไม่มีส่วนรู้เห็นไม่เกี่ยวข้องโกตี๋ ส่วนภรรยาร้องขอความเห็นใจ เจ้าหน้าที่ให้ข่าวคลาดเคลื่อนสร้างปัญหาให้กับเด็ก ลูกไม่ไปโรงเรียนเพราะถูกเพื่อนด่าเป็นลูกผู้ก่อการร้าย ด้าน เสธ.หยอย พลโทมนัส เปาริก  เข้ามอบตัวหลังศาลอนุมัติหมายจับ

7 ธันวาคม 2560 เวลาประมาณ 20.00 น. ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจาก นางแสงเดือน เจริญพรภรรยาของนายวัฒนา ทรัพย์วิเชียร (ศิวะ) ชายวัย 54 ปี ชาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่ได้ถูกเจ้าหน้าที่ทหารจับตัวไปเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2560 ที่ สภ.ลาดบัวหลวง ปทุมธานี ว่าได้รับการปล่อยตัวแล้วโดยที่ยังไม่ได้ตั้งข้อหา .หลังจากที่ได้ถูกกักขังและสอบสวนเป็นเวลา 7 วัน ที่ มทบ. 11

จากนั้น วัฒนาได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า เขาได้ถูกทหารเข้าควบคุมตัวในขณะที่เขาและภรรยาได้เข้าแจ้งความลงบันทึกประจำวันว่าไม่ได้หลบหนีหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับอาวุธสงครามที่มีการค้นพบและได้มีการนำเสนอข่าวว่าตนเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด วัฒนากล่าวว่าการควบคุมตัวในครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ปฏิบัติต่อเขาด้วยดี ไม่ได้มีการใช้ความรุนแรง ประเด็นที่สอบสวนส่วนใหญ่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกรณีการค้นพบอาวุธสงครามที่ผ่านมาแต่เป็นการสอบวนเวียนอยู่ที่กรณีอาวุธที่เป็นเหตุให้เขาได้ถูกจับในปี 2557 ซึ่งวัฒนาก็ได้ให้การไปตามจริงว่าไม่ได้มีส่วนรู้เห็นในขบวนการเคลื่อนไหว แต่เป็นอาวุธที่เพื่อนเอามาฝากไว้ เมื่อเห็นว่าอาจสร้างปัญหาจึงได้ติดต่อเพื่อนำส่งมอบให้กับ คสช.จนเป็นเหตุให้ถูกจับกุมคุมขังเป็นเวลาร่วมสองปีจนคดีได้สิ้นสุดไปแล้ว

ขณะที่แสงเดือน เจริญพร ภรรยาของวัฒนากล่าวว่า การจับกุมและให้ข่าวซึ่งดูเหมือนว่าวัฒนาเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายครั้งนี้ได้สร้างปัญหาให้กับลูกชายและลูกสาวของเธอ เนื่องจากเมื่อมีข่าว เพื่อนๆ ที่โรงเรียนก็ตั้งข้อรังเกียจกล่าวว่าลูกชายและลูกสาวของวัฒนาและแสงเดือนเป็นลูกของผู้ก่อการร้าย ลูกของอั้งยี่ เด็กหญิงวัย 13 ขวบ และเด็กชายวัย 8 ขวบ จึงไม่ต้องการที่จะไปเรียนหนังสือ

ในขณะเดียวกัน มติชน รายงานว่าเมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 7 ธันวาคม 2560 พ.ต.อ.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบก.ป. พ.ต.อ.อรุณ วชิรศรีสุกัญยา ผกก.2 บก.ป. และ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. เดินทางไปที่ศาลอาญาเพื่อขออำนาจศาลอาญาออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องกับการพบวัตถุระเบิดและเครื่องกระสุนปืนจำนวนมากในท้องที่ จ.ฉะเชิงเทรา เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม โดยศาลได้อนุมัติหมายจับนายชัยวัฒน์ ผลโพธิ์ อายุ 49 ปี  นายสมเจตน์ คงวัฒนะ อายุ 63 ปี นายจักรรินทร์  เรืองศักดิ์วิชิต อายุ 52 ปี  พล.ท.มนัส เปาริก (เสธ.หยอย) อายุ 68 ปี และนายจักรภพ เพ็ญแข อายุ 50 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา เลขที่ 2692-2696 /60 ฐานความผิดร่วมกันมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน หรือวัตถุระเบิดที่ใช้เฉพาะในการสงครามที่นายทะเบียนไม่สามารถออกให้ได้ไว้ในครอบครอง และความผิดฐานอั้งยี่ ซ่องโจร

จากนั้นเวลา 15.30 น.พล.ท.มนัสเดินทางมาที่  บกป. คณะเจ้าพนักงานสอบสวนได้แสดงหมายจับ ซึ่ง พล.ท.มนัสรับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับจริง จากนั้นพนักงานสอบสวนจะนำตัวไปสอบปากคำ

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นักวิชาการแนะ 3 กองทุนสุขภาพวางแนวทางส่งเสริมสุขภาพป้องกัน ‘ระเบิดเวลา’

Posted: 07 Dec 2017 10:30 AM PST

นักวิชาการชี้ ระบบประกันสุขภาพไทยครอบคลุม แต่กังวลอนาคต ผู้ประกันตน-ข้าราชการ ไหลมาซบบัตรทอง ระบุ 3 กองทุนต้องวางแนวทางส่งเสริมสุขภาพป้องกัน 'ระเบิดเวลา' รัฐต้องออกมาตรการจูงใจให้คนรับผิดชอบสุขภาพตัวเอง

ผศ.นพ.ภูดิท เตชาติวัฒน์ รักษาการผู้อำนวยการวิทยาลัยการจัดการระบบสุขภาพ มหาวิทยาลัยนเรศวร 

7 ธ.ค.2560 รายงานข่าวแจ้งว่า ผศ.นพ.ภูดิท เตชาติวัฒน์ รักษาการผู้อำนวยการวิทยาลัยการจัดการระบบสุขภาพ มหาวิทยาลัยนเรศวร กล่าวถึงธีมรณรงค์ในวันหลักประกันสุขภาพโลก 2017 ตอนหนึ่งว่า ประเทศไทยใช้เงินภาษีในการสนับสนุนการทำหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าอยู่ประมาณ 48 ล้านคน ขณะที่เป็นข้าราชการและครอบครัวราวๆ 6-8 ล้านคน และผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ประมาณ 11-12 ล้านคน ซึ่งหากพิจารณาโดยรวมแล้วประเทศไทยมีหลักประกันสุขภาพครบครอบคลุมคนในประเทศ อย่างไรก็ตาม ปัญหาในอนาคตที่คนพูดถึงว่ากำลังจะเกิดขึ้นนั่นก็คือในส่วนของประกันสังคมนั้นคนจะน้อยลง และจะเข้าสู่ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) มากขึ้น ซึ่งก็ต้องใช้ภาษีประชาชนมาดูแลมากขึ้นเรื่อยๆ

"โดยหลักการแล้วทุกรัฐบาลต้องทำให้ประชาชนทุกคนมั่นใจว่าเมื่อเจ็บป่วยแล้วจะได้เข้าถึงระบบบริการที่เข้มแข็งและไม่ล้มละลายทางการเงิน แต่ในทางปฏิบัตินั้นผมมองว่าน่าจะมีการพัฒนาไปสู่จุดที่มีโอกาสทางเลือกให้กับคนที่มีทางเลือกให้เขาได้มีโอกาสเลือก" ผศ.นพ.ภูดิท กล่าว

ผศ.นพ.ภูดิท กล่าวต่อไปว่า หากพิจารณาจะพบว่าในผู้ที่ใช้บัตรทอง 48 ล้านคนนั้น บางพวกมีแรง บางพวกไม่มีแรง แรงในที่นี้หมายถึงกำลังทรัพย์ ซึ่งก็น่าจะเปิดโอกาสให้กลุ่มที่มีกำลังทรัพย์มีโอกาสเลือก และมีโอกาสในการรับผิดชอบร่วมด้วย

นอกจากนี้ ทั้ง 3 กองทุนที่ทำงานอยู่ ซึ่งส่วนตัวคิดว่าน่าจะกำลังทำอยู่แต่อาจยังไม่เกิดเป็นรูปธรรม คือ 3 กองทุนนี้ต้องมีแผนงานบริหารร่วมกัน เพราะในที่สุดคนที่ออกจากระบบหนึ่ง คือคนที่เกษียณอายุจากระบบประกันสังคมหรือข้าราชการ ส่วนหนึ่งจะต้องมาใช้ระบบบัตรทอง ฉะนั้นควรมีการวางแผนร่วมกันในการสร้างแรงจูงใจว่าจะทำยังไงให้คนที่ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสุขภาพมีการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคของตัวเองในระดับหนึ่ง เพื่อป้องกันว่าในวันที่เขาเปลี่ยนผ่านเข้ามาสู่ในอีกระบบหนึ่งจะไม่ไปใช้บริการโดยไม่จำเป็นโดยมากเกินไป

"เมื่ออายุมากขึ้นยังไงก็ต้องป่วย เปรียบเหมือนระเบิดเวลาของบัตรทอง" ผศ.นพ.ภูดิท กล่าว และว่า ส่วนตัวคิดว่าจากสถานการณ์ในประเทศไทยคงเป็นไปไม่ได้ที่จะยุบรวมกองทุนกัน ทั้งๆ ที่ในประเทศที่พัฒนาแล้วบอกว่าการบริหารกองทุนเดียวจะมีความง่ายกว่า แต่คิดว่าประเทศไทยคงไปถึงจุดนั้นได้ยาก ดังนั้นหากจะทำก็ควรมาวางแผนร่วมกันแล้วมากำหนดยุทธศาสตร์ร่วมกันว่ากลุ่มไหนควรจะดูแลอย่างไร กลุ่มไหนควรใช้เงินอย่างไร ด้านไหน ปริมาณเท่าไร เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม

ผศ.นพ.ภูดิท กล่าวต่อไปว่า ทุกวันนี้คนพูดกันว่าถ้าเอาเงินจากกองทุนบัตรทองไปดูแลส่งเสริมป้องกันโรคทั้งหมดถามว่าเป็นธรรมไหม เพราะหลักการแล้วคนในบัตรทองคือคนที่รัฐต้องดูแลจากภาษีของประชาชน ได้แก่ เด็ก คนชรา คนจน ในขณะที่ข้าราชการและประกันสังคมเป็นคนที่มีแรง มีรายได้ แล้วเอาเงินตรงนั้นไปเสียภาษี แล้วเอาภาษีตรงนั้นไปป้อนให้กับกลุ่มบัตรทอง ฉะนั้นก็จะมีคนบางคนจะมองว่าคงไม่แฟร์ถ้าจะเอาเงินของคนจน คือบัตรทอง ไปช่วยดูแลคนรวย

"ผมเห็นด้วยบางส่วนว่าถ้าหากบริหารจัดการดีๆ จะทำให้เกิดความเป็นธรรม และทำให้วางแผนบริการที่ดีขึ้นได้ อีกประเด็นหนึ่งก็คือการมีส่วนร่วมของประชาชน ในที่สุดแล้วถ้าอิงแต่ภาครัฐอย่างเดียวคงเป็นระเบิดเวลาแน่นอน แต่เราจะเห็นว่ามีคนกลุ่มหนึ่งที่มีแรง เราจะทำอย่างไรที่จะทำให้เขาไม่เป็นภาระต่อสังคม แต่ต้องมีกลไกที่จะบอกเขาว่าหากคุณไม่ใช้เงินก้อนส่วนรวมนี้ แล้วคุณดูแลตัวเอง รัฐบาลจะต้องมีมาตรการที่เขามั่นใจว่า ถ้าเขาออกของตัวเองแล้วเขาจะได้รับสิ่งที่ดีกว่า ที่สำคัญก็คือต้องมีกลไกควบคุมสถานบริการไม่ให้ตีหัวเขาด้วย" ผศ.นพ.ภูดิท กล่าว

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

12 ธ.ค.วันหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าโลก เน้นย้ำทุกประเทศปกป้องสิทธิสุขภาพประชาชน

Posted: 07 Dec 2017 10:22 AM PST

'หมอธีระ' ชี้ 'UHC DAY' เน้นย้ำประเทศทั่วโลกให้ความสำคัญปกป้องสิทธิสุขภาพประชาชน พร้อมผลักดัน 'หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า' ตามบริบทแต่ละประเทศ ชี้ 15 ปี ไทยรุกระบบบัตรทอง ถูกทาง ช่วยคนไทยเข้าถึงการรักษา คุ้มครองด้านมนุษยชน แนะทบทวนหากลไกดึงทรัพยากรเพิ่ม สู่การพัฒนาเป็นระบบที่ดีสำหรับทุกคน

ผศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ อาจารย์ประจำภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

7 ธ.ค.2560 รายงานข่าวแจ้งว่า ผศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ อาจารย์ประจำภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ตามที่ภาคีสุขภาพนานาชาติกำหนดให้วันที่ 12 ธันวาคมของทุกปี เป็น "วันหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า" หรือ "UHC DAY" สะท้อนว่า องค์กรระดับโลกด้านสุขภาพได้ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (Universal Health Coverage: UHC) ในแต่ละประเทศอย่างมาก สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals–SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ เป็นการเน้นย้ำว่าหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกประเทศทั่วโลก โดยแต่ละประเทศต้องพิจารณาว่าจะมีแนวทางพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพที่เป็นสิทธิด้านสุขภาพประชากรของประเทศตนเองได้อย่างไร โดยเป็นแนวทางที่ทำได้จริงและยั่งยืน

อาจารย์ประจำภาควิชาเวชศาสตร์ฯ กล่าวต่อว่า ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเป็นเรื่องสำคัญมากทั้งในยุคปัจจุบันและอนาคต เพราะในทุกวันนี้ทั่วโลกต่างหมุนด้วยสังคมทุนนิยม ที่มีความผกผันด้านเศรษฐกิจสูงมาก คนรวยวันนี้อาจเป็นคนจนในวันพรุ่งนี้ได้ ขณะที่ความเจ็บป่วยไม่สบายที่คุกคามต่อชีวิตย่อมมีโอกาสเกิดขึ้นได้กับทุกคน ดังนั้นการมีระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ในหลายประเทศจึงมองระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเป็นการลงทุน ไม่ใช่ภาระงบประมาณประเทศ เนื่องจากมองว่าประชาชนเป็นทรัพย์สินที่มีค่า หากประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี รวมถึงสุขภาพที่ดี จะนำมาสู่การสร้างรายได้ให้กับประเทศได้ ดังนั้นหลายประเทศจึงให้ความสำคัญในการพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าโดยมีรูปแบบที่ต่างกันออกไปตามบริบทของประเทศตนเอง  

ผศ.นพ.ธีระ กล่าวว่า ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของประเทศไทยในช่วงมา 15 ปีที่ผ่านมา จากการเริ่มต้นแนวคิดคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ได้สร้างคุณูปการอย่างมากต่อประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาเศรษฐานะให้เข้าถึงการรักษา ลดอัตราเสียชีวิตก่อนวันอันควรในกลุ่มที่ไม่มีเงินจ่ายค่ารักษา ทั้งยังช่วยลดช่องว่างทางสังคม ภาวะล้มละลายจากการจ่ายค่ารักษาพยาบาล ซึ่งมีรายงานตัวเลขชัดเจน ขณะที่สถิติการเข้าถึงระบบบริการสุขภาพดีขึ้น ทั้งการรักษาพยาบาล การส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค รวมถึงการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์ แม้ว่าจะมีผลกระทบอยู่บ้างจากการปรับเปลี่ยนวิธีจัดสรรงบประมาณสุขภาพที่กำหนดให้มีผู้ซื้อและผู้ให้บริการสุขภาพ พร้อมกระจายงบประมาณตามรายหัวประชากร  

"โมเดลหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทย ถือเป็นโมเดลระดับโลกที่ได้รับการยอมรับ เพราะไทยแม้ไม่ได้เป็นประเทศที่มีเงินถุงเงินถัง แต่ให้ความสำคัญต่อการดูแลสุขภาพประชาชนเพื่อไม่ให้เจ็บป่วยและเสียชีวิตก่อนวันอันควร มองสุขภาพดีของประชาชนเป็นสมบัติอันล้ำค่าซึ่งจะนำรายได้สู่ประเทศชาติได้ในอนาคต นอกจากนี้ยังมีหลายประเทศที่ทำได้ดี อย่างอังกฤษและญี่ปุ่นที่มีรูปแบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของตนเอง" ผศ.นพ.ธีระ กล่าว

ผศ.นพ.ธีระ กล่าวว่า อย่างไรก็ตามในประเทศที่มีระบบหลักประกันสุขภาพที่ดี นอกจากมีโครงสร้างระบบสาธารณสุขที่ดีแล้ว ยังมาจากโครงสร้างการจัดเก็บภาษีที่เข้มแข็ง เพราะระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก หากงบประมาณไม่พอการสร้างระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ดีคงเป็นไปได้ยากและไทยกำลังเผชิญปัญหานี้อยู่ เพราะด้วยโครงสร้างฐานภาษีที่ไม่ครอบคลุม ส่งผลให้งบประมาณภาครัฐที่ลงสู่ระบบมีปัญหา สร้างผลกระทบต่อหน่วยบริการและผู้ให้บริการในระบบสุขภาพ จึงเป็นประเด็นน่าคิดว่า หากต้องการให้ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วหน้าที่มีอยู่เป็นสวัสดิการสังคมที่แท้จริงและยั่งยืน เราควรมีแนวทางพัฒนาอย่างไรต่อไป โดยเฉพาะการระดมทรัพยากรเข้าสู่ระบบ ทั้งต้องทำให้เกิดความสมดุลกับทุกฝ่าย โดยเฉพาะระหว่างผู้ให้บริการและรับบริการ

"วันหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าสากลปีนี้ เป็นโอกาสที่จะได้ร่วมทบทวนความเป็นจริงของสถานการณ์ประเทศไทย ซึ่งหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ดีต้องเป็นระบบสำหรับทุกคน โดยเปิดให้มีส่วนร่วมเพื่อให้ความเห็นและข้อเสนอแนะที่นำไปสู่การปรับปรุงและพัฒนา โดยการสร้างกลไกใหม่เพื่อระดมทรัพยากรสู่ระบบให้เพียงพอ วันนี้ต้องบอกว่าหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทยเดินทางถูกทางแล้ว ทั้งในด้านการสร้างความเท่าเทียม สิทธิมนุษยชนในด้านการเข้าถึงบริการสุขภาพ และรัฐบาลที่มองประชากรเป็นทรัพยากรล้ำค่าในการดำเนินนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เพียงแต่ต้องปรับปรุงให้เกิดความสมดุลเพิ่มขึ้น เพื่อทุกฝ่ายพร้อมเดินหน้าพัฒนาหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าไปด้วยกัน" ผศ.นพ.ธีระ กล่าว  

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เปิดผลจำลองแยกเงินเดือนจากงบรายหัวบัตรทอง เงินเทไปโรงพยาบาลแบบไหน

Posted: 07 Dec 2017 10:07 AM PST

กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ รายงานผลการวิเคราะห์จำลองสถานการณ์ หากแยกเงินเดือนจากงบรายหัวบัตรทอง พบเงินเทไป ที่ รพ.ศูนย์ และ รพ.ทั่วไป ขณะที่ รพ.ชุมชน กว่าครึ่งได้น้อยลง

หนึ่งในประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดในการแก้ไข พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 2545 คือการยกเลิกมาตรา 46 (2) เพื่อแยกเงินเดือนและค่าตอบแทนบุคลากรออกจากงบเหมาจ่ายรายหัว ซึ่งก็มีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยตามแต่บทบาทหน้าที่ สถานะและมุมมองของแต่ละคน แต่ถ้าจะให้ดีควรมีผลการศึกษาหรือข้อมูลวิชาการมาสนับสนุนเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียกันให้เห็นชัดๆ ไปเลย ซึ่งไม่นานมานี้ก็มีผลการศึกษาออกมาชิ้นหนึ่งโดยกองเศรษฐกิจสุขภาพและหลักประกันสุขภาพ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สป.สธ.) ได้ทำการจำลองสถานการณ์การแยกเงินเดือนออกจากงบเหมาจ่ายรายหัวเพื่อศึกษาผลกระทบว่ามีกลุ่มใดได้เงินเพิ่มขึ้น กลุ่มใดได้เงินลดลง ตลอดจนหา impact number ของประชากรในแต่ละกลุ่มและนำเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและฝ่ายที่เกี่ยวข้องพิจารณา

อนึ่ง การจำลองสถานการณ์ฯ ครั้งนี้ ตั้งอยู่บนหลักการที่ว่า 1.ข้อเสนอการแยกเงินเดือน ยังคงได้รับงบประมาณค่าบริการเท่าเดิม เนื่องจากการจัดทำงบประมาณเดิมมีการคำนวณต้นทุนที่รวมเงินเดือนไว้ด้วยแล้ว แต่เมื่อสำนักงบประมาณจะจ่ายมาให้กองทุน จะตัดส่วนที่เป็นเงินเดือนเพื่อจ่ายตรงให้บุคลากร 2.การจำลองสถานการณ์นี้ใช้ข้อมูลหน่วยบริการภาครัฐทุกสังกัดปี 2549 จำนวน 1,130 แห่ง (ประชากร 45 ล้านคน) ส่วนจำนวนเงินเดือนที่หัก ใช้ตามผลรวมเงินเดือนที่สำนักงบประมาณหักไว้ในปี 2559 เช่นกัน และ 3.จำลองสถานการณ์ตามการจัดสรรตามแนวทางบริหารที่ยังไม่มีกระบวนการปรับเกลี่ย แต่ปรับปรุงเฉพาะการจัดสรรแบบรวมเงินเดือนกับแยกเงินเดือน

ทั้งนี้ ผลสรุปการจำลองสถานการณ์แยกเงินเดือนจากงบเหมาจ่ายรายหัว พบว่า ในภาพรวมแล้วหน่วยบริการของรัฐในสังกัด สป.สธ. จำนวนประชากร 42.58 ล้านคน ได้เงินเพิ่มขึ้น 1,482.79 ล้านบาท ส่วนหน่วยบริการของรัฐนอกสังกัด สป.สธ. จำนวนประชากร 2.47 ล้านคน ได้เงินลดลง -1,482.79 ล้านบาท

รวมจำนวนหน่วยบริการทุกสังกัดที่ได้รับเงินเพิ่มขึ้นมีจำนวน 454 แห่ง ประชากร 18.63 ล้านคน ได้เงินเพิ่มขึ้น 5,552.76 ล้านบาท และหน่วยบริการที่ได้รับเงินน้อยลงมีทั้งสิ้น 676 แห่ง ประชากร 26.37 ล้านคน ได้เงินลดลง -5,552.76 ล้านบาท

หากแยกพิจารณาในส่วนของหน่วยบริการในสังกัด สป.สธ. 888 แห่ง พบว่ามีหน่วยบริการ 451 แห่ง จำนวนประชากร 18.63 ล้านคน ได้เงินเพิ่มขึ้น 5,552.76 ล้านบาท ส่วนหน่วยบริการที่ได้เงินน้อยลงมี 437 แห่ง จำนวนประชากร 23.90 ล้านคน ได้เงินน้อยลง -4,069.97 ล้านบาท ขณะที่หน่วยบริการนอกสังกัด สป.สธ. จำนวน 242 แห่ง มีเพียง 3 แห่งที่ได้เงินเพิ่มขึ้นรวม 6.04 ล้านบาท ส่วนอีก 239 แห่ง ประชากร 2.47 ล้านคน ได้เงินน้อยลง -1,488 ล้านบาท

นอกจากนี้ หากแยกการจำลองออกมาเป็นรายเขต (ให้หน่วยบริการในสังกัดกรมแพทย์ทหารเรือ/กรมแพทย์ทหารอากาศเป็นเขต 14) ได้ผลออกมาดังนี้

เขต

สังกัด สป.สธ.

นอกสังกัด สป.สธ.

1

ได้เงินเพิ่มขึ้น 470.02 ล้านบาท

(มีหน่วยบริการที่ได้เงินเพิ่ม 70 แห่ง 705.26 ล้านบาท และหน่วยบริการที่ได้เงินน้อยลง 30 แห่ง -226.24 ล้านบาท)

ได้เงินลดลง -223.33 ล้านบาท

(ไม่มีหน่วยบริการได้เงินเพิ่ม มี 21 แห่งได้เงินน้อยลง  -223.33 ล้านบาท)

2

ได้เงินเพิ่มขึ้น 126.50 ล้านบาท

(มีหน่วยบริการได้เงินเพิ่ม 23 แห่ง 355.78 ล้านบาท และหน่วยบริการที่ได้เงินน้อยลง 24 แห่ง -229.28 ล้านบาท)

ได้เงินลดลง -27.80 ล้านบาท

(ไม่มีหน่วยบริการได้เงินเพิ่ม มี 7 แห่งได้เงินน้อยลง  --27.80 ล้านบาท

3

ได้เงินลดลง -8.32 ล้านบาท

(มีหน่วยบริการได้เงินเพิ่ม 21 แห่ง 222.57 ล้านบาท และหน่วยบริการที่ได้เงินน้อยลง 29 แห่ง -230.89 ล้านบาท)

ได้เงินลดลง -3.91 ล้านบาท

(ไม่มีหน่วยบริการได้เงินเพิ่ม มี 5 แห่งได้เงินน้อยลง  --3.91 ล้านบาท)

4

ได้เงินมากขึ้น 991.21 ล้านบาท

(มีหน่วยบริการได้เงินเพิ่ม 65 แห่ง 1,029.79 ล้านบาท และหน่วยบริการที่ได้เงินน้อยลง 7 แห่ง -38.58 ล้านบาท)

ได้เงินลดลง -123.18 ล้านบาท

(ไม่มีหน่วยบริการได้เงินเพิ่ม มี 17 แห่งได้เงินน้อยลง  -123.18 ล้านบาท)

5

ได้เงินเพิ่มขึ้น 727.65 ล้านบาท

(มีหน่วยบริการได้เงินเพิ่ม 52 แห่ง 824.43 ล้านบาท และหน่วยบริการที่ได้เงินน้อยลง 14 แห่ง -19.69 ล้านบาท)

ได้เงินลดลง -9.43 ล้านบาท

(ไม่มีหน่วยบริการได้เงินเพิ่ม มี 10 แห่งได้เงินน้อยลง  -9.43 ล้านบาท)

6

ได้เงินเพิ่มขึ้น 215.36 ล้านบาท

(มีหน่วยบริการได้เงินเพิ่ม 44 แห่ง 561.66 ล้านบาท และหน่วยบริการที่ได้เงินน้อยลง 28 แห่ง -346.29 ล้านบาท)

ได้เงินลดลง -36.81 ล้านบาท

(ไม่มีหน่วยบริการได้เงินเพิ่ม มี 14 แห่งได้เงินน้อยลง  -36.81 ล้านบาท)

7

ได้เงินลดลง -437.02 ล้านบาท

(มีหน่วยบริการได้เงินเพิ่ม 18 แห่ง 76.10 ล้านบาท และหน่วยบริการที่ได้เงินน้อยลง 50 แห่ง -513.12 ล้านบาท)

ได้เงินลดลง -127.16 ล้านบาท

(ไม่มีหน่วยบริการได้เงินเพิ่ม มี 10 แห่งได้เงินน้อยลง  -127.16 ล้านบาท)

8

ได้เงินลดลง -560.89 ล้านบาท

(มีหน่วยบริการได้เงินเพิ่ม 19 แห่ง 103.15 ล้านบาท และหน่วยบริการที่ได้เงินน้อยลง 69 แห่ง -664.04 ล้านบาท)

ได้เงินลดลง -19.35 ล้านบาท

(ไม่มีหน่วยบริการได้เงินเพิ่ม มี 10 แห่งได้เงินน้อยลง  -19.35 ล้านบาท)

9

ได้เงินลดลง -999.72 ล้านบาท

(มีหน่วยบริการได้เงินเพิ่ม 8 แห่ง 21.87 ล้านบาท และหน่วยบริการที่ได้เงินน้อยลง 90 แห่ง -1,021.59 ล้านบาท)

ได้เงินลดลง -14.92 ล้านบาท

(ไม่มีหน่วยบริการได้เงินเพิ่ม มี 9 แห่งได้เงินน้อยลง -14.92 ล้านบาท)

10

ได้เงินลดลง 388.64 ล้านบาท

(มีหน่วยบริการได้เงินเพิ่ม 16 แห่ง 113.03 ล้านบาท และหน่วยบริการที่ได้เงินน้อยลง 56 แห่ง -501.66 ล้านบาท)

ได้เงินลดลง -13.42 ล้านบาท

(ไม่มีหน่วยบริการได้เงินเพิ่ม มี 6 แห่งได้เงินน้อยลง  -13.42 ล้านบาท)

11

ได้เงินเพิ่ม 408.50 ล้านบาท

(มีหน่วยบริการได้เงินเพิ่ม 50 แห่ง 590.64 ล้านบาท และหน่วยบริการที่ได้เงินน้อยลง 27 แห่ง -182.15 ล้านบาท)

ได้เงินลดลง -29.06 ล้านบาท

(ไม่มีหน่วยบริการได้เงินเพิ่ม มี 10 แห่งได้เงินน้อยลง  -29.06 ล้านบาท)

12

ได้เงินเพิ่ม 929.14 ล้านบาท

(มีหน่วยบริการได้เงินเพิ่ม 65 แห่ง 948.58 ล้านบาท และหน่วยบริการที่ได้เงินน้อยลง 13 แห่ง -19.45 ล้านบาท)

ได้เงินลดลง -113.05 ล้านบาท

(ไม่มีหน่วยบริการได้เงินเพิ่ม มี 9 แห่งได้เงินน้อยลง  -113.05 ล้านบาท)

13

-

ได้เงินลดลง -733.45 ล้านบาท

(มีหน่วยบริการได้เงินเพิ่ม 3 แห่ง 6.04 ล้านบาท หน่วยบริการได้เงินน้อยลง 98 แห่ง  -739.49 ล้านบาท)

14

-

ได้เงินลดลง -7.91 ล้านบาท

(ไม่มีหน่วยบริการได้เงินเพิ่ม มี 13 แห่งได้เงินน้อยลง  -7.91 ล้านบาท)


นอกจากนี้ หากแยกพิจารณาตามสังกัด พบว่ากลุ่มโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงศึกษาธิการได้รับเงินลดลงมากที่สุด -685.92 ล้านบาท รองลงมาคือกลุ่มโรงพยาบาลชุมชน ได้เงินน้อยลง -625.97 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดดังนี้

สป. (โรงพยาบาลศูนย์ (รพศ.)

-          ได้เงินเพิ่ม 19 แห่ง ประชากร 2,518,759 คน เป็นเงิน 967,832,863 บาท

-          ได้เงินลดลง 9 แห่ง ประชากร 1,255,194 คน เป็นเงิน -341,030,356 บาท

-          รวม 28 แห่ง ประชากร 3,773,953 คน ได้เงินเพิ่ม 626,802,506 บาท

สป. (โรงพยาบาลทั่วไป (รพท.)

-          ได้เงินเพิ่ม 55 แห่ง ประชากร 4,593,873 คน เป็นเงิน 2,375,569,828 บาท

-          ได้เงินลดลง 33 แห่ง ประชากร 3,532,541 คน เป็นเงิน -710,356,562 บาท

-          รวม 88 แห่ง ประชากร 8,126,414 คน ได้เงินเพิ่มขึ้น 1,665,213,265 บาท

สป. (โรงพยาบาลชุมชน (รพช.)

-          ได้เงินเพิ่ม 377 แห่ง ประชากร 11,517,747 คน เป็นเงิน 2,209,358,701 บาท

-          ได้เงินลดลง 379 แห่ง ประชากร 18,520,678 เป็นเงิน -2,835,329,636 บาท

-          รวม 756 แห่ง ประชากร 30,038,425 คน ได้เงินลดลง -625,970,935 บาท

สป. (CMU)

-          รวม 16 แห่ง ประชากร 587,617 คน ได้เงินลดลง -183,256,660 บาท

กรมต่างๆใน ก.สธ.

-          ได้เงินเพิ่ม 1 แห่ง เป็นเงิน 5,828,334 บาท

-          ได้เงินลดลง  52 แห่ง ประชากร 159,981 คน เป็นเงิน -216,738,276 บาท

-          รวม 53 แห่ง ประชากร 159,981 คน ได้เงินลดลง -210,909,942 บาท

ก.กลาโหม

-          รวม 67 แห่ง ประชากร 481,758 คน ได้เงินลดลง -142,172,360 บาท

ก.มหาดไทย

-          รวม 13 แห่ง ประชากร 236,975 คน ได้เงินลดลง -25,833,994 บาท

ก.ยุติธรรม

-          รวม 2 แห่ง ประชากร 26,237 คน ได้เงินลดลง -3,689,663 บาท

ก.ศึกษาธิการ

-          ได้เงินเพิ่มขึ้น 1 แห่ง เป็นเงิน 153,620 บาท

-          ได้เงินลดลง 22 แห่ง ประชากร 552,329 คน เป็นเงิน -686,073,625 บาท

-          รวม 23 แห่ง ประชากร 552,329 คน ได้เงินลดลง -685,920,005 บาท

สังกัด กทม.

-          รวม 77 แห่ง ประชากร 886,564 คน ได้เงินลดลง -308,508,518 บาท

รัฐพิเศษ (เช่น กาชาด)

-          ได้เงินเพิ่มขึ้น 1 แห่ง เป็นเงิน 56,840 บาท

-          ได้เงินลดลง 4 แห่ง ประชากร 87,871 คน เป็นเงิน -89,106,892 บาท

-          รวม 5 แห่ง ประชากร 87,871 ได้เงินลดลง -89,050,052 บาท

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

-          รวม 2 แห่ง ประชากร 38,197 คน ได้เงินลดลง -16,703,643 บาท

 

ทั้งนี้ ในกลุ่มของหน่วยบริการที่ได้เงินลดลงนั้น หากแบ่งตามช่วงผลกระทบพบว่า กลุ่มที่ได้เงินน้อยลง 10-15% มีจำนวนมากที่สุดคือ 151 แห่ง ได้เงินลดลง -1,015,065,304 บาท รองลงมาตามลำดับคือ กลุ่มที่ได้เงินลดลง 20-25% มีจำนวน 93 แห่ง ได้เงินลดลง -1,206,117,721 บาท กลุ่มที่ได้เงินลดลง 5-10% มีจำนวน 93 แห่ง ได้เงินลดลง -627,502,311 บาท กลุ่มที่ได้เงินลดลง 0-5% มีจำนวน 90 แห่ง ได้เงินลดลง -181,991,048 บาท กลุ่มที่ได้เงินลดลง 15-20% มีจำนวน 87 แห่ง ได้เงินลดลง -869,578,100 บาท กลุ่มที่ได้เงินลดลง 25-30%  มีจำนวน 59 แห่ง ได้เงินลดลง -586,439,846 บาท กลุ่มที่ได้เงินลดลง 35-40% มีจำนวน 44 แห่ง ได้เงินน้อยลง -227,676,743 บาท กลุ่มที่ได้เงินลดลง 30-35% มีจำนวน 32 แห่ง ได้เงินลดลง -375,927,996 บาท และสุดท้าย กลุ่มที่ได้เงินลดลงมากกว่า 40% มีจำนวน 27 แห่ง ได้เงินลดลง -468,501,118 บาท

ทั้งนี้ หากพิจารณาตัวเลขสำคัญของการศึกษาดังกล่าวจะพบว่าเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จะไปเพิ่มที่ของหน่วยบริการของกระทรวงสาธารณสุขเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งหากดูในรายละเอียดพบว่าไปเพิ่มที่โรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไป ขณะที่ในส่วนของโรงพยาบาลชุมชนในภาพรวมแล้วได้รับเงินน้อยลง -625.97 ล้านบาท และในส่วนของโรงพยาบาลนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุขได้เงินน้อยลง ‐1,482.79 ล้านบาท โดยเฉพาะกลุ่มโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงศึกษาธิการได้เงินน้อยลง -685.92 ล้านบาท และหน่วยบริการสังกัดกทม. -308.50 ล้านบาท

และหากพิจารณาจากจำนวนหน่วยบริการและประชากรในความรับผิดชอบแล้ว จะเห็นได้ว่าโรงพยาบาลที่ได้เงินลดลง มีจำนวนมากกว่าโรงพยาบาลที่ได้เงินเพิ่มขึ้น คือได้น้อยลง 676 แห่ง แต่ได้เพิ่มขึ้น 454 แห่ง เช่นเดียวกับจำนวนประชากรในพื้นที่หน่วยบริการที่ได้รับเงินน้อยลง มีถึง 26.37 ล้านคน มากกว่าโรงพยาบาลที่ได้เงินเพิ่มขึ้น ซึ่งรับผิดชอบประชากร 18.63 ล้านคน

เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่แปลกที่กลุ่มโรงพยาบาลที่ได้รับผลกระทบจะแสดงปฏิกิริยาออกมา โดยเฉพาะโรงพยาบาลสังกัดมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นโรงพยาบาลระดับสูง ปกติต้องรับส่งต่อผู้ป่วยในเคสยากๆและมีต้นทุนสูงอยู่แล้ว แถมยังเรียกเก็บค่าชดเชยการให้บริการได้เพียง 40-60% เมื่อตัวเลขออกมาพบว่าแยกเงินเดือนบุคลากรออกไปแล้วได้เงินน้อยลงไปอีก จึงจำเป็นต้องแสดงท่าทีออกมา โดยในเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา รศ.นพ.สุรศักดิ์ ลีลาอุดมลิปิ ผู้อำนวยการ รพ.รามาธิบดี ในฐานะประธานคณะกรรมการอำนวยการเครือข่ายโรงพยาบาลกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย (UHOSNET) ได้ทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการ สธ. โดยให้ความเห็นว่าการแยกเงินเดือนไม่ได้แก้ปัญหาการเงินของโรงพยาบาล การแก้ปัญหาที่แท้จริงควรเพิ่มงบประมาณแก่โรงพยาบาลโดยวิธีใดวิธีหนึ่ง

หากไม่สามารถหาเงินมาเพิ่มในระบบได้ ทาง UHOSNET เสนอว่าควรมีงบประมาณเพื่อลดผลกระทบให้แก่โรงพยาบาล 676 แห่งซึ่งรับผิดชอบผู้ป่วยรวมกว่า 26ล้านคน ให้สามารถดำเนินการให้บริการผู้ป่วยได้ และควรมีการกำหนดอัตราฐานในการชดเชยค่าบริการผู้ป่วยใน (Base Rate) กรณีการรักษาผู้ป่วยที่รับส่งต่อจากสถานพยาบาลอื่น ให้ชดเชยแบบรวมเงินเดือนของสถานพยาบาลต้นสังกัดมาด้วย

นอกจากนี้ UHOSNET ยังเสนอให้มีบทเฉพาะกาลใน พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กำหนดให้การแยกเงินเดือนออกจากเงินเหมาจ่ายรายหัวต่อมีผลบังคับใช้ก็ต่อเมื่อมีมาตรการป้องกันความเสียหายแก่หน่วยบริการแล้วเสร็จ และหากมีการเพิ่มภาระงานในอนาคต เช่น การให้บริการตาม พ.ร.บ.การแพทย์ปฐมภูมิและบริการสาธารณสุข หรือการดูแลโรคเรื้อรัง ขอให้พิจารณาชดเชยงบประมาณแก่หน่วยบริการ เพื่อให้โรงพยาบาลสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย

...แม้ขั้นตอนของร่าง พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ฉบับแก้ไข พ.ศ. ... ยังอยู่ระหว่างรอการเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีในขณะนี้ แต่น่าสนใจว่าเมื่อมีข้อมูลที่ชัดเจนถึงผลกระทบจากการแยกเงินเดือนออกจากเงินเหมาจ่ายรายหัวออกมาเช่นนี้ ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะมีการถกแถลงเพื่อปรับแก้ร่างกฎหมายหรือหามาตรการทางออกรองรับผลกระทบที่จะตามมาหรือไม่อย่างไร... 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ร้อง ประกันสังคม จ.ปทุมฯ รพ.ในพื้นที่วินิจฉัยโรคผู้ประกันตนผิด

Posted: 07 Dec 2017 09:46 AM PST

เจริญ อินทร ผู้ประกันตนตาม ม.39 ร้อง ประกันสังคม จ.ปทุมฯ เหตุ รพ.ปทุมเวช วินิจฉัยโรคผิด ทำเสียสุขภาพ จิตใจ รักษายืดเยื้อ ขาดรายได้ ล่าสุด ผู้ประสานงานเผย จนท.ประกันสังคม ระบุ รพ.ยอมจ่ายค่ารักษาพยาบาลเบื้องต้นส่วนหนึ่งแล้ว

 

7 ธ.ค.2560 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่าเมื่อช่วงเช้าวันที่ 6 ธ.ค.ที่ผ่านมา ที่ สํานักงานประกันสังคม จ.ปทุมธานี สุธิลา ลืนคำ เจ้าหน้าที่มูลนิธิอารมณ์ พงศ์พงัน ในฐานตัวแทนของ เจริญ อินทร ผู้ป่วยและผู้ประกันตนตามมาตรา 39 เข้ายื่นเรื่องขอความเป็นธรรมต่อ หัวหน้า สนง.ประกันสังคม ปทุมธานี ด้วยเหตุที่ โรงพยาบาลปทุมเวช ตามสิทธิรักษาประกันสังคม วินิจฉัยโรคผิด

หนังสือขอความเป็นธรรม ของ เจริญ

หนังสือร้องขอความเป็นธรรมระบุว่า ประมาณกลางเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา เจริญ มีอาการปวดท้องบริเวณชายโครงด้านขวาและมีกาการปวดเสียดไปถึงด้านหลัง และได้ไปพบหมอที่โรงพยาบาลปทุมเวชติดต่อกันถึง 2 ครั้ง หมอวินิจฉัยตามอาการว่าเป็นกล้ามเนื้ออักเสบและหมอได้จ่ายยาแก้ปวด พร้อมกับยาเคาเตอร์เพนมาทาแก้ปวดกล้ามเนื่อหลัง แต่อาการไม่ดีขึ้น จากนั้น วันที่ 18 ก.ย.60 เจริญ ได้ไปตรวจอาการปวดท้องที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ โดยจ่ายเงินเอง ผลปรากฎว่าเป็นนิ้วในถึงน้ำดี จากนั้นหมอที่ รพ.ธรรมศาสตร์ฯ ได้เขียนบันทึกและผลการตรวจให้เพื่อกลับไปพบหมอที่ รพ.ปทุมเวช เพื่อรักษาตามสิทธิประกันสังคม ซึ่งต่อมาหมอที่ รพ.ปทุมเวช ออกใบนัดเพื่อผ่าตัดในวันที่ 16 ต.ค.ที่ผ่านมา

หนังสือร้องขอความเป็นธรรมระบุอีกว่า เจริญ ได้ตัดสินใจผ่าตัดแบบส่องกล้อง พร้อมกับจ่ายเงินเพิ่มเป็นค่าส่วนต่างให้กับ รพ. แต่สรุปผลผ่าตัดไม่ประสบผลสำเร็จ ทำให้ต้องผ่าตัดแบบเปิดอีกครั้ง ส่งผลให้มีแผลผ่าตัดถึง 2 แผล และต้องนอนพักฟื้นที่ รพ.ปทุมเวช 8 วัน จ่ายค่าส่วนต่าง 12,780 บาท จึงกลับไปพักฟื้นที่บ้าน แต่หลัจากนั้นกลับมีอาการตาเหลือง แน่นท้อง ปวดท้องมาก ในที่ 29 ต.ค.ที่ผ่านมา จึงได้ไปพบหมอที่ รพ.ปทุมเวช ตามนัด และได้ปฏิบัติตัวตามหมอสั่งทุกอย่าง แต่อาการยังไม่ดีขึ้น วันที่ 30 พ.ย.และวันที่ 3 ธ.ค. ไปพบหมอ ซึ่งอาการก็ยังเหมือนเดิมทุกประการ  จนกระทั่งวันที่ 4 ธ.ค.ที่ผ่นมา ได้ตัดสินใจไปตรวจที่ รพ.ธรรมศาสตร์ฯ หมอได้ตรวจอย่างละเอียด พร้อมให้นำบันทึกการวินิจฉัยไปให้ รพ.ปทุมเวช เพื่อใช้สิทธิรักษาตามประกันสังคม แต่ เจริญ กังวลใจเป็นอย่างมาก จึงขอรักษาที่ รพ.ธรรมศาสตรร์ฯ ต่อไป

เจริญ จึงของความเป็นธรรมจากหัวหน้า สนง.ประกันสังคม และตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณี 1. หมอที่ รพ.ปทุมเวช วินิจฉัยโรคไม่ตรงกับที่เป็น ทำให้ได้รับผลกระทบทางด้านร่างกายและจิตใจ เกิดความกลัว กังวลใจ ไม่มั่นใจในการรักษาที่นี่อีกต่อไป 2. การดำเนินการยืดเยื้อยานาน ทำให้ได้รับผลกระทบด้านร่างกายละจิตใจเกินกว่าเยี่ยวยา และหมอไม่เอาใจใส่ในการรักษาผู้ป่วยจริงๆ จังๆ 3. ค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียเพิ่มกับการรักษาที่ยืดเยื้อ สิ่งผลกระทบต่อคณะภาพชีวิตและครอบครัวที่ต้องแบกรับภาระที่เกิดจากการรักษา และ 4. ต้องการของย้ายสิทธิประกันสังคมไปรักษาที่ รพ.ธรรมศาสตร์ฯ ทันที

ผู้สื่อข่าวสอบถาม สุธิลา เพิ่มเติม สุธิลา เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ประกันสังคมที่รับเรื่องได้โทรแจ้งตน ว่า รพ.ปทุมเวชจะจ่ายสำหรับค่าใช้จ่ายที่กับ รพ.ธรรมศาสตร์ฯ ตั้งแต่วันที่ 4 ธ.ค.เป็นต้นมาแล้ว เนื่องจาก เจริญ ไม่มีสิทธิตามระบบประกันสังคมกับ รพ.นี้แต่ต้น

สุธิลา กล่าวต่อว่า ขณะที่เรื่องวินิจฉัยโรคผิด ส่งผลต่อค่ารักษาพยาบาลและการต้องหยุดทำงานขายของกระทบกระเทือนเหล่านั้นจะเป็นการพูดคุยกันในภายหลัง

สุธิลา ซึ่งเป็นนักปกป้องสิทธิแรงงาน โดยเฉพาะพื้นที่ รังสิต จ.ปทุมธานี กล่าวด้วยว่า ในพื้นที่มีปัญหาลักษณะการวินิจฉัยโรคผิดจำนวนมาก แต่ที่ผ่านมาคนงานหรือผู้ประกันตนไม่ได้ลุกขึ้นมาร้องเรียน เมื่อรักษาหายแล้วก็จะจบเรื่องไป หรือไปรักษาที่อื่นยอมจ่ายเงินเองแทน  

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ภาค ปชช.-วชก. เผย คน 3 จ.ใต้ ยังระแวง แยกศาสนาลงถึง รร. แม้รัฐชี้สภาพดีขึ้น

Posted: 07 Dec 2017 05:04 AM PST

ประชาสังคมระบุ ประชาชนยังระแวง ต้องมีพื้นที่ปลอดภัยทั้งอาวุธและการแสดงความเห็น เข้าถึงผู้ต้องขังได้น้อยลง วาทกรรมแยกพุทธ มุสลิมลงถึงระดับเยาวชน การศึกษาแล้ว เลขาฯ คณะพูดคุยฯ ระบุ สถานการณ์ใต้ดีขึ้น วอนช่วยกันลดความชอบธรรมการใช้ความรุนแรงในพื้นที่ เจ้าหน้าที่ กองทัพต้องจำกัดบทบาทการใช้อาวุธและเคร่งครัดระเบียบควบคุมตัว

7 ธ.ค. 2560 ศูนย์ศึกษาการพัฒนาสังคม คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล และ Strengthening Human Rights and Peace Research and Education in ASEAN/Southeast Asia (SHAPE-SEA) จัดเวทีประชุมภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับงานสันติภาพในจังหวัดชายแดนใต้ เป็นเวทีต่อเนื่องจากเวทีเสวนา  "บทบาทของสังคมไทยกับการสร้างสันติภาพในจังหวัดชายแดนใต้" ที่มีขึ้นเมื่อวานนี้ (6 ธ.ค. 60) จัดที่สถานที่เดิมคือคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ 

ในงานมีผู้เข้าร่วมจากทางฝ่ายวิชาการ ภาคประชาสังคม สื่อมวลชน ตัวแทนจากฝ่ายรัฐและคณะพูดคุยสันติภาพเข้าร่วมจนเกือบเต็มห้องประชุม

โคทม อารียา: คนนอกกับการสานวาทกรรมและจุดอ่อน หนุนคนในพื้นที่แก้ปัญหาชายแดนใต้

ประชาสังคมระบุ ประชาชนยังระแวง ต้องมีพื้นที่ปลอดภัยทั้งอาวุธและการแสดงความเห็น เข้าถึงผู้ต้องขังได้น้อยลง วาทกรรมแยกพุทธ มุสลิมลงถึงระดับเยาวชน การศึกษาแล้ว

ชลิดา ทาเจริญศักดิ์ จากมูลนิธิส่งเสริมศักยภาพชุมชนกล่าวว่า แม้ทุกคนพยายามหาทางออก สร้างสันติภาพ แต่ก็เป็นข้อท้าทายว่า คนที่ไปถามคำถามเป็นใคร คนในพื้นที่ยังมีความหวาดกลัวอยู่ คนในพื้นที่กับคนนอกพื้นที่ลงไปถามก็ได้คำตอบคนละอย่าง

พื้นที่ปลอดภัยไม่เพียงแต่ปลอดภัยจากอาวุธ แต่ต้องปลอดภัยที่จะแสดงความเห็น การเจรจาตอนนี้ยังมีความรุนแรงเกิดขึ้นบ่อยๆ บริบทเพิ่มมากขึ้น มีเรื่องสิ่งแวดล้อม ชีวิตความเป็นอยู่ ปากท้องผู้คนก็เป็นเรื่องสำคัญ โครงการใหญ่ที่ลงไปก็จะมีผลกระทบกับประชาชน แต่รัฐไม่ฟัง ถ้าคุยกันแบบนี้อย่างไรก็ไม่จบ

แล้วจะหาความร่วมมืออย่างไร ก็ต้องสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้คนในพื้นที่ปลอดภัยจริงก่อน ทุกครั้งที่เราจัดเวทีคนก็ระแวงหน้าระแวงหลังว่าพูดหรือไม่พูดดี ตราบใดที่ไม่มีพื้นที่ปลอดภัยขึ้นจริงๆ เราก็ยังไม่ได้ความจริงว่าจริงๆ แล้วประชาชนต้องการอะไร ส่วนความสำเร็จในการสร้างสันติภาพในประเทศในภูมิภาคทั้งในมินดาเนา อาเจะห์ ติมอร์เลสเต คือบทเรียนที่ต้องมาถอดร่วมกันกับประชาชนตามบริบทของไทย หลายคนก็ทำหลายเรื่องแล้วแต่ทำอย่างไรให้มีการแลกเปลี่ยนความคืบหน้า ตรวจสอบสิ่งที่แต่ละฝ่ายขาดและเกิน

พัทธ์ธีรา นาคอุไรรัตน์ อาจารย์จากสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า จากที่ตนได้ใช้เวลาในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ พบว่าวาทกรรมแบ่งแยกพุทธ-มุสลิมกระจายลงไปในระดับเด็กและสถานศึกษา หลายกิจกรรมปัจจุบันต้องทำแยกกันระหว่างเด็กพุทธกับมุสลิม เด็กไทยพุทธบ่นเรื่องการไม่มีครัวพุทธ รำคาญเสียงอาซาน (การประกาศเชิญชวนให้ปฏิบัติละหมาด) รู้สึกว่ารัฐลำเอียงในการให้ทุนการศึกษากับเด็กมุสลิม ตนเคยอ่านเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรวันดา และพบว่าตอนนี้ภาคใต้ก็มีเงื่อนไขที่สอดคล้องกันหลายประการ ความขัดแย้งระหว่างพุทธกับมุสลิมรุนแรงขึ้น ความหวาดกลัวว่าศาสนาพุทธจะหมดไปถ้าไม่ช่วยกันสอดส่องดูแลเป็นวาทกรรมที่เข้มข้นขึ้น ซึ่งฝ่ายมุสลิมเองก็มีปฏิบัติการในการต่อสู้กับชาวพุทธเช่นกัน

พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ จากมูลนิธิผสานวัฒนธรรมกล่าวว่า ในช่วง 2-4 เดือนที่ผ่านมามีการติดป้ายหมายจับบุคคลตามสถานที่ต่างๆ ไม่ใช่ป้ายเล็กตามด่านแต่เป็นป้ายขนาดใหญ่เท่าที่เทคโนโลยีในสามจังหวัดชายแดนใต้จะทำได้ ติดตามด่าน ถนน หนทางที่เห็นได้ชัด ตำรวจออกหมายจับตาม ป.วิ.อาญา การติดหมายจับในที่สาธารณะยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ในวงการนักสิทธิมนุษยชนว่าสามารถทำได้หรือเปล่า ส่วนประเด็นการนิรโทษกรรมก็ต้องยอมรับว่าสิทธิ และการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมหยุดลง กสม. และพวกเรา (ภาคประชาสังคม) เข้าไปตรวจพื้นที่คุมขังไม่ได้ คุยกับญาติผู้เสียหายร่วมกับเจ้าหน้าที่ได้น้อยมาก ราชทันฑ์มีเงื่อนไขเยอะ แต่ก่อนประชาสังคมเคยไปได้พอสมควรแต่ตอนนี้แทบจะไม่ได้

ข้อเสนอของบีอาร์เอ็นที่เรียกร้องให้รัฐปล่อยตัวนักโทษคดีความมั่นคงนั้นพรเพ็ญระบุว่า ไม่รู้ว่าตอนนี้รัฐจับใครอยู่ มีหมายจับแค่ไหน ลักษณะการดำเนินคดีกับผู้ต้องสงสัยเป็นไปในลักษณะใด ต้องยืนยันว่าอยากได้คนผิดมาลงโทษทุกคน การฆ่า การวางระเบิดการดำเนินการดังกล่าวที่ผิดกฎหมายและหลักมนุษยธรรมก็ต้องได้รับการลงโทษ แต่อยากให้เกิดการดำเนินการที่เป็นธรรม กรณีพระมหาอภิชาติ ดีใจที่รัฐให้ความสนใจ แต่วิธีจับสึกกลับสร้างให้เกิดความแตกแยกมากขึ้น และอาจทำให้ไทยพุทธที่หวังใช้อภิชาติเป็นการสื่อสารต่อต้านรัฐในแนวทางอื่นๆ หรืออาจจะรู้สึกว่ารัฐไม่ให้ความเป็นธรรมกับเขา

เลขาฯ คณะพูดคุยฯ ระบุ สถานการณ์ใต้ดีขึ้น วอนช่วยกันลดความชอบธรรมการใช้ความรุนแรงในพื้นที่ เจ้าหน้าที่ กองทัพต้องจำกัดบทบาทการใช้อาวุธและเคร่งครัดระเบียบควบคุมตัว

พลตรีสิทธิ ตระกูลวงศ์ เลขานุการคณะพูดคุยสันติสุขชุดปัจจุบันกล่าวถึงแนวโน้มสถานการณ์ว่า ปัจจุบันค่อนข้างดีขึ้น ความเสียหายของกลุ่มเป้าหมายทั้งครู พระ วัด โรงเรียน ตกเป็นเป้าหมายน้อยลง เหตุระเบิดที่บิ๊กซีถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นเรื่องการรับรู้การปฏิเสธความรุนแรงเพราะมีภาคประชาชน องค์การระหว่างประเทศประณาม ครั้งแรกที่คนกล้าออกมาประณามคนก่อเหตุ

ความรู้สึกเกลียดกลัวมุสลิมในคนไทยพุทธส่วนหนึ่งมาจากข้อมูลเรื่องความมั่นคง ทั้งเรื่องที่แผนของขบวนการบีอาร์เอ็นคือการขับไล่ชาวพุทธ ให้พื้นที่จังหวัดชายแดนใต้เป็นของมุสลิม และการมองว่าไทยพุทธคือสิ่งแปลกปลอม ฆ่าไทยพุทธได้ถือว่าได้บุญ ซึ่งเป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่ซักถามคนที่ถูกจับกุมและได้รับการเผยแพร่ออกไป แม้ว่าต่อมาจะพยายามชี้แจงให้ถูกต้องแต่ก็ไม่ฟังกันแล้ว มีการขยายความเข้าใจผิดจากวงหนึ่งไปอีกวงหนึ่ง เอาข้อมูลไปต่อยอดและสร้างความเข้าใจผิด เช่น ความเข้าใจผิดที่ว่าจะมีการใช้ภาษามลายูเป็นภาษาราชการในพื้นที่ชายแดนใต้

พื้นที่เริ่มมีความเสรีมากขึ้น คนเริ่มฟังกันและกัน ในเรื่องการพูดคุย กลุ่มบีอาร์เอ็นในความหมายตนคือคนที่ก่อเหตุในปัจจุบัน แต่ในมุมมองนักวิชาการและเอ็นจีโอเป็นอย่างไรก็ต้องมีความชัดเจน ส่วนข้อคำถามที่ว่าทำไมชุดพูดคุยชุดนี้ไม่คุยกับกลุ่มเดียวแต่ไปคุยกับหกกลุ่มที่เหลือ ตอนแรกที่ทำคือคุยปูโลเพราะตอนนั้นมีกำลังมากที่สุด ต่อมาปูโลแตกก็เป็นกลุ่มบีอาร์เอ็นมาแทนที่ นายกรัฐมนตรีท่านบอกว่ากลุ่มไหนที่มีอิทธิพลก็เรียกมาคุยให้หมด

กรณีป้ายประกาศจับได้มีการสะท้อนให้ผู้ใหญ่ได้รับทราบว่ามันกระทบกับครอบครัว เด็กในพื้นทีี่เอามาใช้ล้อเลียนกัน ควรอยู่กับเจ้าหน้าที่ ดูกันเฉพาะเจ้าหน้าที่ก็พอ ส่วนเรื่องการควบคุมตัว ขั้นต้นด้วยเนื้อหาของพระราชกำหนด (การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน) เป็นการให้ความเป็นธรรมกับผู้ต้องสงสัยมากเพราะเราขังเขาในเรือนจำไม่ได้ ตอนนี้ก็ต้องกลับมาคุยเรื่องสิทธิผู้ต้องสงสัย ต้องดูอีกครั้งว่าจะขับเคลื่อนประเด็นนี้อย่างไร ตอนลงพื้นที่เองก็แจ้งเจ้าหน้าที่ประจำว่าถ้าจับใครก็ต้องแจ้งให้ครอบครัวทราบ

พล.ต. สิทธิระบุว่า ตอนนี้มีตั้งคำสั่ง 230/2557 มีตั้งคณะกรรมการอำนวยการพูดคุยสันติสุข จัดตั้งคณะพูดคุย นำโดยพลเอกอักษรา เกิดผล มีแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนเพื่อกระบวนการสันติสุขชายแดนใต้ ตอนนี้อยู่ในระยะการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ มีการคัดเลือกพื้นที่ปลอดภัยกันอยู่ จากนั้นจะมีคนในพื้นที่รวมถึงฝ่ายที่เห็นต่างเป็นคณะกรรมการจัดการพื้นที่ปลอดภัย การพัฒนามีสิ่งที่น่าสนใจคืออยากให้มีเรื่องการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ ส่งเสริมอัตลักษณ์ ภาษาที่ใช้ เรื่องการศึกษาและปัญหายาเสพติดที่ต้องแก้ไขเร่งด่วน

ระยะที่สองเป็นการแสวงหาข้อตกลงร่วมกันว่า ต้องมีเงื่อนไขอะไรที่ทำให้คนกลุ่มหนึ่งไม่สบายใจ ไม่อยากอยู่ใต้การปกครองของรัฐมาจับอาวุธต่อสู้ เมื่อได้เงื่อนไขและสอบถามประชาชนว่ามีความสอดคล้องแล้วจะนำไปสู่การจัดทำโรดแมป รัฐบาลชุดนี้จริงใจแก้ไขปัญหา มีการพูดคุยที่เป็นระบบมากขึ้น มีการประเมินว่าเป็นไปตามแผนมากน้อยหรือไม่อย่างไร

ทั้งนี้ เลขานุการคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังระบุว่า สิ่งที่อยากให้ช่วยกันสองเรื่องคือ หนึ่ง เรื่องประวัติศาสตร์ เพราะตอนนี้ประวัติศาสตร์ส่วนกลางกับท้องถิ่นมันชนกัน อยากให้มีพิพิธภัณฑ์ในปัตตานี ให้เกิดการเรียนรู้ว่ารากฐานตัวตนของตัวเองทั้งเรื่องที่มาของดินแดนและรากความเป็นมลายู

สอง ยังมีความชอบธรรมในการใช้ความรุนแรง เป็นค่านิยมคนในพื้นที่ ถ้ามีการวิสามัญขบวนการ พวกไทยพุทธก็จะชอบใจ ในขณะที่อีกฝ่ายบอกว่าเป็นเรืองการละเมิดสิทธิฯ ถ้ามีการฆ่าไทยพุทธ ครู พระ อีกฝ่ายก็พอใจ ถือว่าสมน้ำสมเนื้อ อย่าให้ความรุนแรงเกิดขึ้นวนไปวนมา

ต่อประเด็นบทบาทของกองทัพในการลดความชอบธรรมการใช้ความรุนแรง พล.อ.สิทธิ กล่าวกับประชาไทเพิ่มเติมว่า เจ้าพนักงานก็ต้องควบคุมปฏิบัติการทางทหารและการใช้อาวุธกับเป้าหมายให้จำเพาะลง กองทัพมีระเบียบเรื่องกฎการปะทะ อันไหนยิงได้หรือยิงไม่ได้ มีกฎเรื่องการปิดล้อม ตรวจค้น มีกลุ่มเป้าหมายรับทราบว่าใครอยู่ตรงไหน ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าใช้อาวุธ ให้ปิดล้อมเขาแล้วเชิญชวนผู้นำศาสนาบอกให้เขามอบตัว แนวทางการใช้กำลัง ก็ต้องใช้กำลังให้พอดีกับสถานการณ์ ไม่ใช่มีผู้ต้องสงสัยหนึ่งคนยกกองกำลังกันไป 50-60 คน และพยายามลดการใช้อาวุธ เพราะอาวุธไม่ทำให้เกิดประโยชน์ นอกจากบาดแผลและการตอบโต้กันไปมามากกว่า ทางที่ดีคือใช้กฎหมายในทางที่เหมาะสมที่สุด ยกเว้นเหตุปะทะกันซึ่งหน้าก็เป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องป้องกันตัวเองและป้องกันคนอื่น

ต่อคำถามว่า พ.ร.ก. ฉุกเฉินและการบังคับใช้กฎอัยการศึกเป็นปัจจัยเสริมให้มีความชอบธรรมในการใช้ความรุนแรงในพื้นที่หรือไม่ พล.ต.สิทธิเห็นว่า กฎหมายไม่ใช่ความรุนแรงโดยตรง แต่เป็นความรุนแรงทางอ้อม

"กฎอัยการศึกให้อำนาจเจ้าหน้าที่ซึ่งตอนนี้เราบังคับใช้ตัวเดียวคือการระงับเหตุด้วยการควบคุมตัวผู้ต้องสงสัย กฎอัยการศึกให้อำนาจของเจ้าหน้าที่ในการควบคุมตัวผุ้ต้องสงสัย เป็นเวลา 7 วัน ซึ่งผมก็เห็นว่ามันจำเป็นต่อเหตุการณ์ในภาคใต้ที่ต้องระงับเหตุก่อนที่จะเกิด หรือถ้าเราสงสัยใครก็ควบคุมตัวไว้ก่อนเพื่อไม่ให้การก่อเหตุเกิดขึ้น ผมว่ากฎหมายไม่ได้มีปัญหา แต่มันอยู่ที่การเข้าใจของเจ้าหน้าที่ ถ้าใช้เป็นการป้องกันไม่ให้การก่อเหตุเกิดขึ้น และใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือแก้ไขปัญหา เรามีกฎหมายเยอะ บางอย่างก็ใช้แก้ปัญหาได้เช่น พ.ร.บ. ความมั่นคงมาตรา 21 ที่ให้มีการอบรมแทนที่จะฟ้องคดีต่อผู้ก่อการโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ก็มีทางออกแบบนั้นอยู่" เลขาฯ คณะพูดคุยฯ กล่าว

ส่วนคำตอบในประเด็นการมีส่วนร่วมของประชาสังคมน้อยลงในประเด็นการเข้าถึงผู้ต้องขังนั้น พล.อ.สิทธิอธิบายว่า เรามีระเบียบฉบับหนึ่งออกตาม พ.ร.ก. ฉุกเฉิน พูดถึงการควบคุมตัวว่าต้องแจ้งญาติว่าบุคคลนั้นๆ จะถูกควบคุมตัวไว้ที่ใด แล้วระเบียบการเยี่ยมญาติก็มีอยู่ แต่เราก็จำกัดเฉพาะญาติ พ่อแม่ตามสายเลือดถึงจะเข้าเยี่ยมได้ ก็เหมือนกับผู้ต้องหาคดีความมั่นคงที่ึคนเข้าเยี่ยมได้ต้องเป็นญาติหรือสายเลือดเดียวกัน พ่อ แม่ ลูก เมีย ส่วนภาคประชาสังคมหรือกรรมการสิทธิฯ ถ้าจะเข้ามาก็ต้องร้องขอเป็นรายกรณีไป มีอย่างเดียวคือต้องแจ้งให้หน่วยหรือคนปฏิบัติงานให้ทราบระเบียบดังกล่าวและให้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ผมเข้าใจปัญหาตรงนี้ บางคนเหมารถไปหาลูกแล้วไม่เจอก็กังวลใจว่าปลอดภัยไหม ถ้ารู้สถานที่และเวลาเยี่ยมก็จะสบายใจมากกว่า

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นักวิชาการ ร้องประยุทธ์ หนุนสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา ยกต่างประเทศไม่มีปัญหา

Posted: 07 Dec 2017 03:42 AM PST

ชมรมนักวิชาการเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน 43 รายชื่อ ร้องประยุทธ์ หนุนสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา ยกต่างประเทศไม่มีปัญหาเจ็บป่วย ชี้ในไทยในนิคมฯมาบตาพุด ก็ตั้งริมทะเล แต่ไม่กระทบสิ่งแวดล้อมและปัญหาสุขภาพ ส่วนการตั้งโรงไฟฟ้าเทพาก็ห่างทะเลถึง 9 กม.

ภาพจากเฟซบุ๊ก Warich Noochouy

7 ธ.ค.2560 จากกระแสการเคลื่อนไหวคัดค้านแผนการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินใน อ.เทพา จ.สงขลา ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามก็มีการเคลื่อนไหวของฝ่ายที่สนับสนุนให้มีการก่อสร้างด้วยเช่นกัน ตั้งแต่วันที่ 27 พ.ย.ที่ผ่านมา มีกลุ่ม ที่ใช้ชื่อว่า เครือข่ายพัฒนาเทพา นำโดย พณวรรธน์ พงศ์ประยูร ประธานเครือข่าย เข้ายื่น หนังสือ ขอสนับสนุนและเร่งรัดอนุมัติการก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าเทพา ให้แก่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. ที่ค่ายอิงคยุทธบริหาร ต.บ่อทอง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี โดยมี พ.อ.ธีรวัฒน์ ปิ่นแก้ว รองผู้บัญชาการมณฑณทหารบกที่ 46 เป็นผู้รับหนังสือ

วานนี้ (6 ธ.ค.60) สื่อหลายสำนัก เช่น TNN24 ข่าวสดออนไลน์ ไทยรัฐออนไลน์ และโพสต์ทูเดย์ รายงานตรงกันว่า ภิญโญ มีชำนะ ประธานชมรมนักวิชาการเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน พร้อมด้วย คณะอาจารย์จากหลายมหาวิทยาลัย และนักวิชาการ เดินทางมายื่นหนังสือสนับสนุนโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา จ.สงขลา และพื้นที่ภาคใต้ พร้อมยื่นรายชื่ออาจารย์ และนักวิชาการที่ลงชื่อสนับสนุนการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน ถึงนายกรัฐมนตรี ผ่าน สมพาศ นิลพันธ์ รองปลัดประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

ภิญโญ กล่าวว่า เป็นหนึ่งในคณะกรรมการเพื่อศึกษาการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน จ.กระบี่ ซึ่งตนเองและนักวิชาการในเครือข่ายได้ร่วมกันอธิบายและชี้แจงถึงความจำเป็นในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน จ.กระบี่ และอ.เทพา จ.สงขลา ให้ประชาชนได้เข้าใจถึงความจำเป็นในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน ในพื้นที่ภาคใต้ พร้อมทั้งได้มีการตอบข้อกังวลของประชาชน ที่มีเชื้อเพลิงถ่านหิน เนื่องจากอาจจะไม่ได้รับฟังข้อมูลที่ครบถ้วน ซึ่งปัจจุบันมีประชาชนจำนวนมากในพื้นที่ได้ออกมาสนบสนุนโครงการอย่างเปิดเผยแล้ว

ประธานชมรมนักวิชาการเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน กล่าวว่า ยืนยันได้ว่าจากประสบการณ์ตนเองและคณะจารย์ ที่ได้เดินทางไปดูงานโรงไฟฟ้าถ่านหินต่างประเทศ พบว่า ไม่เคยได้รับข้อมูลว่าเกิดความเจ็บป่วยร้ายแรงหรือสูญเสียชีวิต จากผลของมลภาวะที่ปล่อยจากโรงไฟฟ้าถ่านหิน ขณะที่กลุ่มคัดค้าน กลับให้ข้อมูลที่บิดเบือนไป โดยเข้าใจว่า โรงไฟฟ้าถ่านหินตั้งใกล้พื้นที่ทะเลมากเกินไปจะส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำและวีถีชุมชนนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องจริงเพราะโรงไฟฟ้าถ่าน ในประเทศไทย ที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดจ.ระยอง ก็มีที่ตั้งอยู่ริมทะเล ซึ่งพบว่าไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม และปัญหาสุขภาพประชาชน รวมการทำประมงกลับดีขึ้น ส่วนการตั้งโรงไฟฟ้าเทพาก็ห่างจากทะเลถึง 9 กิโลเมตร ดังนั้นมั่นใจว่าจะไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อมแน่นอน ส่วนข้อกังวลปริมาณสารโลหะหนักหรือสารปรอท บางประเทศที่ดำเนินการก็อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน เช่นเดียวกับปัญหาฝุ่นที่มีการจัดการด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย

ภิญโญ ยังชี้ว่า ในขณะนี้การก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา ล่าช้าไปจากแผนเดิมไม่น้อยกว่า 5 ปีแล้ว สวนทางกับความต้องการใช้ไฟฟ้า ในจังหวัดชายฝั่งทะเลอันดามัน และชาวฝั่งอ่าวไทย ที่มีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งหากโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินไม่เป็นไปตามแผน จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงการใช้ไฟฟ้าในพื้นที่ ภาคใต้เข้าสู่ขั้นวิกฤต และการเกิดปัญหาไฟดับเป็นวงกว้าง ดังที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ทั้งนี้ ยิ่งการก่อสร้างโรงไฟฟ้าล่าช้าไปมากกว่านี้จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศอย่างแน่นอน ซึ่งทราบมาว่าบริษัทใหญ่ๆ ไม่เพิ่มการลงทุนในประเทศไทยแล้ว แต่ไปเพิ่มการลงทุนในประเทศรอบบ้านเราเอง

สมศักดิ์ สายสินธุ์ชัย คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวให้ความมั่นใจประชาชนในพื้นที่ว่า จากการศึกษาดูงานโรงไฟฟ้าถ่านหิน ไม่ได้น่ากลัวหรือมีผลกระทบต่อประชาชนแต่อย่างใด ดังนั้นโครงการของรัฐ จึงควรได้รับการสันบสนุน เพราะเป็นโครงการที่ส้รางความยั่งยืนด้านพลังงาน ไม่ใช่เกิดการต่อต้าน จนทำส่งผลกระทบต่อคนในพื้นที่ ยืนยันคณะอาจารย์ นักวิชาการ ที่ลงชื่อในวันนี้ ไม่มีใครอยู่เบื้องหลังหรือได้รับผลประโยชน์ใดๆ

สำหรับรายชื่ออาจารย์และนักวิชาการ ที่ร่วมลงชื่อสนับสนุนการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน ในพื้นที่ภาคใต้ มีทั้งสิน 43 ราย เช่น มนูญ ศิริวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน, สุรพันธ์ วงษ์โอภาสี นักวิชาการอิสระด้านพลังงาน, สุนทร พุ่มจันทร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มนูญ มาศนิยม หัวหน้าภาคววิชาวิศวกรรมเหมืองแร่ และวัสดุ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, คมสูรย์ สมประสงค์ คณะวิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, เทียนไชย ตันไทย มหาวิทยาลัยมหิดล ,ดร.อำไพวรรณ ภราดร์นุวัฒน์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และดร.อภิรดี แซ่ลิ่ม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เป็นต้น

รายงานข่าวระบุด้วยว่า ทั้งนี้ สมพาส เปิดเเผยว่า เตรียมนำหนังสือนี้ส่งถึงนายกรัฐมนตรี ให้ได้รับทราบต่อไป

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เครือข่าย ปชช. ประกาศล่ารายชื่อเสนอ กม.สิ่งแวดล้อมฉบับประชาชน ก่อนยุติชุมนุม

Posted: 07 Dec 2017 02:20 AM PST

เครือข่ายประชาชนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนยุติชุมนุมหลังเจรจากับตัวแทนรัฐ บอกให้เวลารัฐบาล 100 วันจะกลับมาพร้อม 10,000 รายชื่อกับร่างกฎหมายสิ่งแวดล้อมฉบับประชาชนเตรียมประกบฉบับของรัฐบาล หลังจากนี้จะเปิดเวทีถกรายประเด็นกับ สผ.

ภาพจากเพจเครือข่ายประชาชนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

วันนี้ (7 ธันวาคม 2560) เวลาประมาณ 11.30 น. เครือข่ายประชาชนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนที่มาปักหลักชุมนุมบริเวณทำเนียบรัฐบาล ด้านหน้าสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (กพร.) ตั้งแต่เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2560 เพื่อคัดค้านร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ.... ได้ประกาศข้อตกลงที่ได้พูดคุยกับทางรัฐบาลและอ่านแถลงการณ์ ก่อนจะยุติการชุมนุม

เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ ตัวแทนของเครือข่ายฯ กล่าวว่า ร่างกฎหมายสิ่งแวดล้อมที่ส่งไปยังสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีเนื้อหาหลายข้อที่ถ้าผ่านเป็นกฎหมายจะเอื้อต่อการลงทุนมากเกินไปและทำให้มาตรการการป้องกัน แก้ไข ควบคุม ตรวจสอบ กำกับ ติดตามคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่จะส่งผลต่อชีวิตประจำวันของผู้คนเลวร้ายลง จึงเป็นเหตุให้ภาคประชาชนไม่สามารถยอมรับร่างกฎหมายฉบับนี้ได้

สำหรับการเจรจากับตัวแทนรัฐบาล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ในช่วงเช้า เลิศศักดิ์ กล่าวว่า ทางหน่วยงานรัฐยังคงตอบคำถามของภาคประชาชนในแบบเดิมๆ และที่ผ่านมา ทางกระทรวงทรัพย์ฯ และ สผ. ก็ไม่เคยนำเนื้อหาที่ทางภาคประชาชนเสนอบรรจุเข้าไปในร่างกฎหมายเลย ขณะที่ตัวแทนรัฐบาลไม่ต้องการให้มีการชุมนุมบริเวณทำเนียบอีกต่อไปจึงมีการตกลงกันดังนี้

1.หลังจากนี้จะมีการปรึกษาหารือกันระหว่างเครือข่ายประชาชนฯ กับหน่วยงานจากกระทรวงทรัพย์ฯ และ สผ. เพื่อศึกษาพิจารณาเป็นรายมาตราว่ามีมาตราไหนบ้างที่เครือข่ายเสนอไปแล้วสามารถยอมรับได้ หรือตรงไหนที่แตกต่างก็ระบุให้ชัด เพื่อนำเสนอบทบัญญัติต่างๆ ส่งไปยัง สนช. และคณะกรรมาธิการพิจารณา โดยทางภาคประชาชนจะกลับไปทำงานในส่วนวิชาการเพื่อเสนอต่อสาธารณะ รัฐบาล และส่วนราชการต่อไป

2.ทางเครือข่ายยืนยันว่า กฎหมายสิ่งแวดล้อมจะต้องแก้ไขทั้งฉบับ ไม่ใช่เพียงหมวดการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อการลงทุนมากเกินไปดังที่กำลังทำอยู่

3.ทางเครือข่ายประชาชนฯ จะให้เวลารัฐบาล 1 เดือน และจะกลับมาพร้อมรายชื่ออย่างน้อย 10,000 รายชื่อตามรัฐธรรมนูญเพื่อเสนอกฎหมายสิ่งแวดล้อมฉบับภาคประชาชนประกบไปกับฉบับของรัฐบาล

"ความพึงพอใจของการตกลงในวันนี้ถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำสุด การยื่นหนังสือกับกระทรวงทรัพย์ฯ ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 ครั้งนี้มีแรงตอบรับที่ดีขึ้นเพียงเล็กน้อย นี่คือการเจรจาต่อรองระหว่างภาคประชาชนกับรัฐบาล เราจึงยอมรับข้อตกลงนี้โดยที่ไม่ได้พึงพอใจมากนัก" เลิศศักดิ์ กล่าว

สุภาภรณ์ มาลัยลอย จากมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อมหรือเอ็นลอว์ เผยกับประชาไทว่า รัฐบาลยืนยันว่าไม่สามารถถอนร่างกฎหมายออกมาได้ เนื่องจากต้องทำกฎหมายให้เสร็จตามบทเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 278 ที่ระบุว่า สนช. ต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 60 วันนับแต่วันที่ได้รับร่างกฎหมาย

แต่ทางรัฐบาลต้องการแก้ไขกฎหมายสิ่งแวดล้อมทั้งฉบับอยู่แล้ว ดังนั้น ทางเครือข่ายจึงเตรียมล่ารายชื่อเพื่อเสนอกฎหมายฉบับภาคประชาชนประกบกับร่างแก้ไขทั้งฉบับของรัฐบาลในอนาคต

เมื่อถามว่าทางภาคประชาชนเคยยื่นหนังสือมาแล้วหลายครั้งและครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 คิดหรือไม่ว่านี่เป็นการซื้อเวลาอีกครั้งหนึ่งของทางรัฐบาลและหน่วยราชการ สุภาภรณ์ กล่าวว่า

"เป็นความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ เมื่อเกิดกระบวนการและเวทีพูดคุยรายประเด็นขึ้นแล้ว ไม่เกิดการแก้ไข ภาคประชาชนก็จะมีปฏิบัติการต่อเนื่อง ครั้งนี้อาจดูเหมือนไม่ได้อะไร แต่ต้องยอมรับรัฐบาลชุดนี้ทำให้ภาคประชาชนขยับลำบากมาก ครั้งนี้เป็นการตัดสินใจของพี่น้อง แต่เราต้องดำเนินการไปเรื่อยๆ คงไม่จบแค่นี้"

หลังจากนั้นตัวแทนเครือข่ายจึงทำการอ่านแถลงการณ์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

แถลงการณ์ยกเลิกร่างกฎหมายสิ่งแวดล้อมฉบับใหม่ ที่ไม่ปฏิรูป EIA/EHIA ยุติการเปิดทศวรรษใหม่แห่งความขัดแย้งในสังคมไทย

ตลอด 8 เดือนของการยกร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ หรือร่างกฎหมายสิ่งแวดล้อมฉบับใหม่ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแดวล้อมในฐานะหน่วยงานที่ต้องรับผิดชอบในการปรับปรุงแก้ไขเนื้อหาเพื่อนำไปสู่การปฏิรูประบบการจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EIA/EHIA) ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ มาตรา 58 และแนวนโยบายของรัฐบาลที่ประกาศเดินหน้าปฏิรูปประเทศและสร้างความปรองดองสมานฉันท์ในสังคมไทย

แต่ในทางปฏิบัติ กระทรวงฯ ได้ทำการบิดเบือนด้วยการนำร่างกฎหมายสิ่งแวดล้อมที่ทำไว้ก่อนการประกาศใช้รัฐธรรมนูญมาปัดฝุ่น และเร่งรัดการจัดทำให้เป็นไปตามกรอบเวลา 240 วัน ที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 278 โดยไม่ได้มีการรับฟังความเห็นประชาชนอย่างรอบด้าน และเพาะเจาะจงไปยังการปฏิรูประบบ EIA/EHIA ที่เป็นปมปัญหาความขัดแย้ง ความรุนแรง และความสูญเสียในทางเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิตของประชาชน ที่เป็นผลมาจากปัญหาของการจัดทำ EIA/EHIA โครงการพัฒนาด้านต่างๆ โรงงานอุตสาหกรรม เหมืองแร่ หรือการก่อสร้างตึงสูง เช่น คอนโดมีเนียม โรงแรมขนาดใหญ่ ที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ

ขณะที่เนื้อหาสาระของร่างกฎหมายก็ไม่ได้ยืนอยู่บนหลักการของการปฏิรูป ที่จะนำไปสู่การสร้างและพัฒนานวัตกรรมการประเมินผลกระทบ เช่น การไม่บัญญัติเรื่องการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์หรือ SEA (ทั้งที่เรื่องนี้เป็นดำริของนายกรับมนตรีเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2560) ในทางกลับกัน ยังเป็นการถอยหลังเข้าคลองเพราะมีการเปิดช่องให้เกิดการยกเว้นไม่ต้องจัดทำ EIA เร่งรัดตัดตอนการพิจารณาโครงการและให้อำนาจ ครม. อนุมัติให้มีการจัดหาเอกชนเข้ามารับงานไปก่อนในระหว่างที่รอผลการพิจารณารายงาน EIA ซึ่งผิดหลักธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมที่ทั่วโลกให้การยอมรับ

เครือข่ายประชาชนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนขอขอบคุณพี่น้องทุกฝ่ายที่สนับสนุนการต่อสู้ในครั้งนี้ และขอวิงวอนให้สังคมช่วยกันกดดันให้รัฐบาลถอนร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าว และดำเนินการแก้ไขกฎหมายสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดกระบวนการตัดสินใจที่ถูกต้องเหมาะสม เกิดการปกป้องคุ้มครองทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม และเกิดการเคารพสิทธิของประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างแท้จริง

เครือข่ายประชาชนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยื

7 ธันวาคม 2560 ทำเนียบรัฐบาล

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'อังคณา' ถกสิทธิหลากหลายทางเพศระดับภูมิภาค ห่วง ก.ม.ไทยยก 'มั่นคง-ศาสนา' กลบการเลือกปฏิบัติ

Posted: 07 Dec 2017 01:50 AM PST

'อังคณา' ร่วมหารือขับเคลื่อนสิทธิความหลากหลายทางเพศ ระดับภูมิภาค กังวล พ.ร.บ.ความเท่าเทียมระหว่างเพศ ที่ยังมีข้อยกเว้นเกี่ยวกับเหตุแห่งความมั่นคง วิชาการ และศาสนา ไม่ถือเป็นการเลือกปฏิบัติ เผยนักปกป้องสิทธิฯความหลากหลายทางเพศ ต้องเผชิญปัญหา-หวาดกลัวในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ 

7 ธ.ค.2560 สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (สนง.กสม.) รายงานวา อังคณา นีละไพจิตร กสม. ในฐานะประธานอนุกรรมการด้านสิทธิและความเสมอภาคทางเพศสภาพ เข้าร่วมการประชุม The International Lesbian , Gay, Bisexual , Trans and Intersex Association (ILGA) ระดับภูมิภาค ระหว่างวันที่ 6 – 8 ธ.ค. 2560 ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา การจัดประชุมดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ข้อท้าทาย ถอดบทเรียนในการขับเคลื่อนงานด้านสิทธิมนุษยชน ให้กลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTIQ)สามารถเข้าถึงสิทธิของตนได้  ทั้งนี้  การประชุม The International Lesbian , Gay, Bisexual , Trans and Intersex Association (ILGA) ระดับโลก ได้เคยจัดขึ้นที่กรุงเทพฯ ในปี 2559 ที่ผ่านมา

อังคณา กล่าวในการเป็นวิทยากรอภิปรายหัวข้อ "บทบาทของสถาบันสิทธิมนุษยชน ในการเสริมพลังการนำหลักการยอกยาการ์ตามาปฏิบัติได้จริงในอีก 10 ปีข้างหน้า" ว่า  การทำงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ซึ่งมีหน้าที่และอำนาจในการตรวจสอบและส่งเสริมความรู้ความตระหนักเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน จะมี กสม. 1 คนที่รับผิดชอบหลักเกี่ยวกับประเด็นสิทธิของบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ โดยในการทำงานได้คำนึงถึงกลุ่มหลากหลายทางเพศที่เป็นเด็ก ผู้ลี้ภัย ผู้ต้องขังเป็นสำคัญด้วย  เนื่องจากมีความต่างในบริบทที่แตกต่างกัน และจำเป็นที่จะต้องมีแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่แตกต่างกัน สำหรับการทำหน้าที่ในการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน นอกเหนือจากกรณีที่มีการร้องเรียนเข้ามาแล้ว  กสม. ยังสามารถหยิบยกกรณีที่พิจารณาเห็นว่าอาจมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนเกิดขึ้นมาพิจารณาได้อีกด้วย  ทั้งนี้ ในการทำงานที่ผ่านมา กสม. พยายามทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเชิงเครือข่าย ซึ่งมีทั้งหน่วยงานภาครัฐและภาคประชาสังคม  

อังคณา กล่าวต่อว่า ในการจัดทำรายงานคู่ขนานเกี่ยวกับสถานการณ์สิทธิมนุษยชน ซึ่ง กสม. ยังคงมีข้อห่วงกังวลบางประการเกี่ยวกับด้านกฎหมาย  เช่น พ.ร.บ.ความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 ที่ยังมีการระบุข้อยกเว้นเกี่ยวกับเหตุแห่งความมั่นคง วิชาการ และศาสนา ไม่ถือเป็นการเลือกปฏิบัติ รวมถึง ร่าง พ.ร.บ.คู่ชีวิตที่ยังมีการพูดถึงการขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน และ ประเด็นนักปกป้องสิทธิมนุษยชนด้านสิทธิของบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ ที่ต้องเผชิญปัญหาและอยู่ในภาวะหวาดกลัวในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้  ดังนั้น กสม. จะจัดทำรายงานเกี่ยวกับกฎหมายที่ยังไม่สามารถทำให้บุคคลทุกคนเข้าถึงสิทธิมนุษยชนได้อย่างเท่าเทียม โดยเสนอต่อคณะกรรมการการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบต่อไป

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

บอร์ด สปสช.รับทราบการโอนเงินงวดแรก 3 พันล้านบาทให้ รพ.ราชวิถีจัดซื้อยาแล้ว

Posted: 07 Dec 2017 01:15 AM PST

บอร์ด สปสช.รับทราบความก้าวหน้าจัดหายา โอนเงินงวดแรกให้ รพ.ราชวิถีจัดซื้อยา 7 รายการแล้ว 3,000 ล้านบาท ยืนยันไม่พบปัญหายาขาดคราวเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงระบบการจัดซื้อ

7 ธ.ค.2560 รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อวันที่ 6 ธ.ค.ที่ผ่านมี ณ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ถ.แจ้งวัฒนะ กทม. ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่ประชุมมีมติรับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานด้านยาในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ 2561

เจษฎา โชคดำรงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการจัดทำแผนการจัดซื้อยา เวชภัณฑ์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นตามโครงการพิเศษ ปีงบประมาณ 2561 กล่าวว่า ในส่วนของความต่อเนื่องในการได้รับยาของผู้ป่วยนั้น ไม่พบปัญหายาขาดคราวเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงระบบการจัดซื้อ แต่พบปัญหายาขาดคราวเนื่องจากสาเหตุอื่น ได้แก่ 1.ยา Peginterferon (ยาเพกอินเตอร์เฟียรอน สำหรับรักษาโรคไวรัสตับอักเสบซี) เนื่องจากประเทศที่เป็นแหล่งผลิตยาคือประเทศเปอร์โตริโกประสบภัยพายุเฮอริเคน ทำให้กำหนดการส่งมอบยาเลื่อนจากกลางเดือน พ.ย.เป็น 30 พ.ย.60

2.ยา Atazanavir 300 mg cap (ยาอะทาซานาเวียร์แคปซูลขนาด 300 มิลลิกรัม ซึ่งเป็นยาต้านไวรัสเอชไอวี) และยาrilpivirin tab (ยาต้านไวรัสเอชไอวีริลพิไวริน) เดิมมีปัญหาจากการผลิตและมีกำหนดส่ง 30 พ.ย.60 ในส่วนนี้มติที่ประชุมคณะอนุกรรมการจัดหายาฯ เสนอให้องค์การเภสัชกรรมประสานงานบริษัทยาต้นแบบเพื่อขอนำเข้ายา Local Made จากอินเดีย กรณีเกิดปัญหาการขาดคราวเนื่องจากการผลิตยาต้นแบบ

จักรกริช โง้วศิริ ผู้ช่วยเลขาธิการ สปสช. ในฐานะเลขานุการคณะอนุกรรมการจัดทำแผนการจัดซื้อยา เวชภัณฑ์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นตามโครงการพิเศษ ปีงบประมาณ 2561 กล่าวว่า ในส่วนของความก้าวหน้าในการดำเนินงานจัดหายานั้น เมื่อวันที่ 11 พ.ย.60 สปสช.ได้โอนเงินให้ รพ.ราชวิถีงวดแรกแล้ว 3,010 ล้านบาท สำหรับการจัดซื้อยา 7 รายการคือ 1.ยาบัญชี จ2 2.ยาโคลพิโดเกรล (ยารักษาโรคในระบบหัวใจและหลอดเลือด) 3.ยากำพร้าและยาต้านพิษ 4.วัคซีน 5.ยาต้านไวรัสเอชไอวี 6.น้ำยาล้างไตและยา Epo (ยากระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง) และ 7.สายสวนหัวใจ

  

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กรมธนารักษ์จ่อเอาผิดโรงกษาปณ์ฝรั่งเศส เหตุปล่อยคลิปแม่แบบเหรียญกษาปณ์ ร.10

Posted: 07 Dec 2017 12:38 AM PST

อธิบดีกรมธนารักษ์ เผยกำลังพิจารณาข้อกฎหมายเพื่อดำเนินการกับโรงกษาปณ์รัฐบาลฝรั่งเศส กรณีเผยแพร่ภาพแม่แบบของเหรียญกษาปณ์รุ่นใหม่ของไทยรัชกาลที่ 10 ซึ่งถือเป็นความลับของราชการ  ย้ำยังไม่มีการสรุปรูปแบบเหรียญ

เมื่อวันที่ 6 ธ.ค.ที่ผ่านมา PPTV และแนวหน้า รายงานตรงกันว่า พชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยกรณีมีการนำเสนอคลิปชื่อ "French mint makes coins for Thailand" ซึ่งมีการเสนอภาพแม่แบบของเหรียญกษาปณ์รุ่นใหม่ของไทยรัชกาลที่ 10 ว่า ได้แจ้งหนังสือไปยังโรงกษาปณ์รัฐบาลฝรั่งเศส (La Monnaie de Paris) ซึ่งเป็นคู่สัญญาในการผลิตเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนให้กับประเทศไทย ให้ระงับการนำเสนอภาพดังกล่าว เพราะกระบวนการผลิตเหรียญยังไม่แล้วเสร็จ ยังไม่มีการผ่านความเป็นชอบจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะทำให้ประชาชนสับสน เพราะอาจมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียด รูปแบบการผลิตได้อีก

"กรมฯยังไม่มีการสรุปรูปแบบเหรียญหมุนเวียนในรัชกาลที่ 10 คลิปกับภาพที่ปรากฏออกมายังถือว่าเป็นการให้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนกับข้อเท็จจริง ซึ่งผมก็ตกใจว่าโรงกษาปณ์รัฐบาลฝรั่งเศส ยอมปล่อยภาพออกมาก่อนได้รับอนุญาตได้อย่างไร" อธิบดีกรมธนารักษ์ กล่าว

อธิบดีกรมธนารักษ์ กล่าวด้วยว่า กรมธนารักษ์อยู่ระหว่างพิจารณาข้อกฎหมาย เพื่อดำเนินการกับโรงกษาปณ์รัฐบาลฝรั่งเศส เนื่องจากเป็นการเผยแพร่ข้อมูล ซึ่งถือเป็นความลับของราชการ แต่ในข้อสัญญาไม่มีการระบุว่าให้สามารถยกเลิกการว่าจ้างได้ ก็จะต้องไปดูว่าจะเรียกร้องค่าเสียหาย หรือความรับผิดชอบจากเหตุการณ์นี้ได้อย่างไรบ้าง รวมถึงขอเตือนผู้ใช้โซเชียลมีเดียในประเทศไทย อย่าได้มีการเผยแพร่รูปแบบกระบวนการผลิตเหรียญนี้ เนื่องจากมีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ในการเผยแพร่ความลับราชการ หากฝ่าฝืนก็จะดำเนินคดีตามกฎหมาย

พชร กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมากรมได้ว่าจ้างโรงกษาปณ์รัฐบาลฝรั่งเศส ผลิตเหรียญกษาปณ์ให้กับไทย โดยดำเนินการหลายสัญญา นับตั้งแต่เหรียญกษาปณ์หมุนเวียนในรัชกาลที่ 9 ซึ่งขณะนี้ยังส่งมอบให้ไม่หมด ขณะเดียวกันในสัญญาก็ว่าจ้างให้ผลิตเหรียญรัชกาลที่ 10 ด้วย ซึ่งยังอยู่ในกระบวนการที่เป็นความลับทั้งหมด การนำเสนอภาพ หรือคลิปเคลื่อนไหว ออกมาก่อนได้รับอนุญาต ถือว่าเป็นการให้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น