ประชาไท | Prachatai3.info |
- เสวนากาแฟกับรังสิมันต์ โรม: สิ่งที่เราไม่เคยทำภายใต้ระบอบ คสช. คือการลงถนน
- สหภาพแรงงานตำรวจสโลเวเนียผละงานประท้วงขอเพิ่มค่าจ้าง
- ยะลา : จนท.ไม่ทราบหน่วย คุมตัว ปธ.เครือข่ายผดุงธรรม
- มหาดไทยจับมือ สปสช.หนุน อปท.เร่งขับเคลื่อน 3 กองทุนหลักประกันสุขภาพท้องถิ่น
- กวีประชาไท: ยืนยังเซ!
- กวีประชาไท: นักฉวยโอกาส!
- ยูนิเซฟชี้เด็กโรฮิงญากว่า 7.2 แสนในเมียนมาร์-บังกลาเทศ อยู่ในอันตรายจากไซโคลน-ความรุนแรง
- “รัฐ” กับการศึกษารัฐไทย: ไชยันต์ รัชชกูล | กุลลดา เกษบุญชู-มี้ด | วรเจตน์ ภาคีรัตน์
- ตุลาการธิปไตย #6 เมื่อการใช้ศาลทหารกับพลเรือนถูกทำให้เป็นเรื่องปกติในสังคมไทย
- ส่งตัว 'แซม โสกา' กลับกัมพูชา สะท้อนสถานะผู้ลี้ภัยที่อ่อนแอและความสัมพันธ์รัฐที่ชื่นมื่น
- ความอยู่รอดของท่านผู้นำ(ทหาร) จากอดีตสู่ปัจจุบันจากปัจจุบันสู่อดีต
- คณะกรรมนโยบายสุขภาพแห่งชาติ โดยใคร เพื่อใคร?
เสวนากาแฟกับรังสิมันต์ โรม: สิ่งที่เราไม่เคยทำภายใต้ระบอบ คสช. คือการลงถนน Posted: 23 Feb 2018 10:39 AM PST คุยกับรังสิมันต์ โรม หลังประกาศเคลื่อนไหวใหญ่วาระครบ 4 ปีรัฐประหาร ถามชัดๆ เลื่อนเลือกตั้งแค่ 3 เดือนทำไมรอไม่ได้ ทำไมถึงอยากเลือกตั้งนักหนา ทำไมเรียกร้องให้นักการเมืองมาสู้ด้วย และทำไมถึงเชื่อมั่นกับการเมืองบนท้องถนน เริ่มต้นปี 2561 ได้ไม่ถึงเดือนความเคลื่อนไหวทางการเมืองนอกรั้วรัฐสภาก็ดูจะกลับมาคึกคักกันอีกครั้ง หลังจากบรรยากาศการเมืองไทยตกอยู่ภายใต้ภาวะอึมครึมมาปีกว่า วันที่ 27 มกราคม ปีนี้ประชาชนหลักร้อยนัดรวมตัวที่สกายวอล์คปทุมวัน หลังสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ลงมติผ่านวาระ 3 ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. โดยกำหนดให้กฎหมายมีผลบังคับใช้หลังจากประกาศลงในราชกิจานุเบกษา 90 วัน นั่นหมายความว่า การเลือกตั้งที่ ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรัฐประหารสัญญาเอาไว้ว่าจะมีการเลือกตั้งในเดือน พ.ย. 2561 อาจจะเลือนออกไปอีก 3 เดือน การลงมติของ สนช. ในครั้งนั้นให้เหตุผลโดยอ้างความห่วงใยว่า การจัดตั้งพรรคการเมืองที่ต้องเริ่มตนทำระบบสมาชิกพรรคการเมืองกันใหม่อาจจะเสร็จสิ้นไม่ทันเวลา จึงเห็นว่าจำเป็นต้องเลื่อนการเลือกตั้งออกไปก่อน แต่แท้จริงแล้วต้นเหตุที่ทำให้การเลือกตั้งไม่อาจจะเกิดขึ้นในเดือน พ.ย. 2561 อาจอยู่ที่การไม่ยอมปลดล็อคให้พรรคการเมืองสามารถดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้ คำสั่งที่บังคับให้พรรคการเมืองไม่สามารถทำกิจกรรมทางการเมืองเช่นการจัดประชุมพรรค หรือกิจกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเตรียมตัวสู่การเลือกตั้ง เป็นคำสั่งที่ออกมาโดยหัวหน้าคสช. ความกลัวว่าจะเตรียมเลือกตั้งไม่ทัน แต่กลับไม่ยอมปลดล็อคพรรคการเมือง แล้วเลือกที่จะขยายเวลาเลือกตั้งออกไป ดูจะเป็นสิ่งที่ไม่เป็นเหตุเป็นผลกันสักเท่าไหร่นัก และในขณะที่การเลือกตั้งถูกเลื่อนออกไปเรื่อยๆ คสช. สนช. กรธ. และองค์กรต่างๆ ที่ถูกตั้งขึ้นโดยอำนาจของคณะรัฐประหารก็ยังคงอยู่ต่อไป พร้อมๆ กับเงินเดือนที่มาจากภาษีของประชาชน ยังไม่นับรวมค่าเสียทางโอกาส และค่าเสียเวลาหรือค่าเสียอนาคต ที่ไม่อาจคำนวนเป็นตัวเลขได้ ท่ามกลางภาวะชงเอง กินเอง เสียงๆ หนึ่งก็ดังออกมา "คสช. ออกไป" แม้พันเอกบุรินทร์ ทองประไพ นายทหารพระธรรมนูญ จะพยายามทำให้เสียงที่ดังขึ้นอีกครั้งเงียบลงโดยการแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ชุมนุมทั้งหมด 39 คน ขณะที่พลตำรวจเอก ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บังคับบัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะพยายามทำหน้าที่รักษากฎหมายอย่างแข็งขันโดยกำชับให้พนักงานสอบสวนในคดีดังกล่าว ยื่นคำร้องของฝากขังแกนนำทั้ง 7 คนต่อศาล แต่สิ่งที่ตามมาคือการยกคำร้องขอฝากขัง และตามมาด้วยการชุมนุมครั้งที่ 2 ในวันที่ 10 ก.พ. ที่มีประชาชนมาร่วมชุมนุมหลักพัน หลักจากนั้นหนึ่งสัปดาห์ รังสิมันต์ โรม หนึ่งในแกนนำที่จัดการชุมนุมประกาศเดินหน้าการชุมนุมต่อไป ทั้งระบุว่าจะมีการชุมนุมใหญ่ในช่วงเดือนพฤษภาคม ในวาระครบรอบ 4 ปีการรัฐประหารของ คสช. นี่คือครั้งแรกหลังจากรัฐประหารเป็นต้นมาที่มีการประกาศชุมนุมทางการเมืองต่อต้าน คสช. ที่มีระยะเวลานานข้ามคืน มีหลากหลายคำถามเกิดขึ้นทั้งจากคนที่เห็นด้วยกับจุดยืนของกลุ่มที่ออกมาเรียกร้องการเลือกตั้งในเวลานี้ และคำถามจากผู้ที่ไม่เห็นด้วย ประชาไทหยิบคำถามที่ลอยอยู่เหล่านั้นมาหาคำตอบกับรังสิมันต์ ผ่านบทสนทนาเคล้ากลิ่นชา และกาแฟ "ผมชอบบทสนทนาแบบนี้ว่ะ" รังสิมันต์ พูดขึ้นก่อนที่เราจะถามคำถามแรกจบ "คิดซะว่าผมป็นพี่ดี้ก็แล้วกัน" เราตอบก่อนถามต่อ 0000000
ประชาไท: ดูเหมือนว่าตอนนี้จะมีการขยับโรดแมปการเลือกตั้งออกไปอีกไม่เกิน 3 เดือนจากเลือกตั้งประมาณเดือน พ.ย. 2561 ไปเป็นเลือกตั้งไม่เกิน ก.พ. 2562 ซึ่งดูจะเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น ทำไมถึงรู้สึกว่ายอมไม่ได้ รังสิมันต์: มีอะไรรับประกันได้บ้างว่ามันจะเลื่อนแค่ 3 เดือนจริง ตอนนี้ไม่มีอะไรรับประกันได้เลยว่าเราจะมีการเลือกตั้งตามที่เขาสัญญาไว้ ประเด็นตอนนี้มันไม่ใช่เรื่องของเวลา แต่มันเป็นเรื่องที่คนจำนวนมากเริ่มหมดความอดทนกับการที่อยู่ต่อไปโดยที่ไม่รู้ว่าตกลงแล้วประเทศนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป และการที่เราไม่มีหลักประกันตรงนี้เลยมันทำให้คนอดคิดไม่ได้ว่าตกลงแล้วเราจะมีเลือกตั้งไหม ประเด็นของเรื่องมันจึงไม่ใช่แค่ขอเลื่อนไปอีก 3 เดือนแล้วยอมไม่ได้ แต่มันอยู่ตรงที่สรุปแล้วเราจะมีหรือไม่มีเลือกตั้งกันแน่ และถ้ามีการเลือกตั้งมันจะเป็นการเลือกตั้งแบบไหน การที่เราออกมาเรียกร้องครั้งนี้ก็เพียงต้องการให้มันชัดเจนว่า การเลือกตั้งมันต้องเกิดขึ้นปีนี้ เพราะมันเป็นสิ่งที่คุณประยุทธ์เองก็สัญญาเอาไว้ และมันเป็นการสัญญาที่แตกต่างจากการสัญญาครั้งอื่นๆ เพราะคนคาดหวังกับคำสัญญานี้สูง และตอนนี้ก็ไม่เหลือเหตุผลอะไรแล้วที่จะผิดสัญญาอีก เงื่อนไขต่างๆ มันแทบจะหมดสิ้นไปแล้ว ดังนั้นนี้คือเหตุผลที่คนออกมาเรียกร้องกันเพราะคุณประยุทธ์ได้สัญญาไว้แล้ว มันเป็นการทวงสัญญา สำหรับผมเวลาสัญญาอะไรกับใครไว้มันเป็นเรื่องสำคัญมาก แล้วนี่คือคนระดับผู้นำ คุณสัญญาอะไรว่ะ คุณเปลี่ยนตลอดเวลา แล้วมันไม่มีสถานการณ์อะไรที่เอามาอ้างได้อีกแล้ว 3 เดือนที่ว่าจะเลื่อนไปมันเลื่อนจากการที่ สนช. แก้กฎหมายการบังคับใช้ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ถามจริงๆ เถอะว่าคิดว่าคนจะเชื่อเหรอว่า คสช. ไม่สามารถควบคุมสภาได้ ไม่มีใครเชื่อหรอก ฉะนั้น 3 เดือนที่จะขยับออกไปมันไม่เป็นเหตุเป็นผล ไม่รู้มันเลื่อนจากอะไร แล้วถ้าครั้งนี้เลื่อนได้โดยไม่มีสาเหตุ แล้วทำไมในอนาคตจะเลื่อนอีกไม่ได้ สำหรับคนที่เป็นประชาชนมันเข้าใจไม่ได้หรอก หลายคนในประเทศนี้ยังห่วงว่าหากมีการเลือกตั้งเร็วเกินไปอาจจะทำให้บ้านเมืองกลับไปวุ่นวายอีก ผมเข้าใจว่าคนเรามีสิทธิที่จะกลัวว่าบ้านเมืองเราในอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่คำถามต่อไปที่ต้องถามควบคู่กันคืออยู่กันต่อไปแบบนี้เรามีอนาคตเหรอ เรากลัวว่าจะอนาคตมันจะเกิดอะไรขึ้น เราเลยเลือกที่จะอยู่แบบที่ไม่มีอนาคต มันไม่เมคเซนต์ และมันไม่แฟร์กับคนรุ่นใหม่ พวกผมเกิดมาเกิดมาเราไม่ได้อยู่กับความขัดแย้ง ตอนเสื้อแดงเสื้อเหลือง ผมยังเรียนมัธยมอยู่เลย ยังเล่นการด์ยูกิกับเพื่อน คำถามง่ายๆ คือ ทำไมเราต้องรับมรดกความขัดแย้งของคนรุ่นเก่า และด้วยความที่คนรุ่นเก่า เขากลัวว่าอนาคตมันจะไม่ดี ดังนั้นคนรุ่นใหม่ก็จะต้องกลัวว่าอนาคตมันจะไม่ดีด้วย อย่างนั้นเหรอ สำหรับผมมันไม่ใช่ ผมคิดว่าอนาคตมันดีได้ ด้วยกำลังของคนรุนใหม่เราสมารถที่จะสร้างอนาคตของเราได้ ใครที่ไม่พร้อมจะที่ก้าวไปด้วยกันก็ไม่เป็นไร แต่ไม่ใช่คุณมาห้ามไม่ให้เราเดินไปหาอนาคตไง ผมเพิ่งอายุ 25 ผมต้องอยู่กับประเทศนี้อีกนานนะ สมมติว่าอายุ 60 ผมตาย ผมต้องอยู่กับมันอีก 35 ปี ฉะนั้นผมก็ควรมีสิทธิกำหนดว่าอนาคตที่ผมต้องการคืออะไร ผมจะไม่ยอมให้คนแก่ๆ ที่อีกไม่นานจะต้องลาจากโลกนี้ ซึ่งเป็นคนที่หวาดกลัวอนาคต มาใช้วิธีการควบคุมเรา มาทำให้คนรุ่นเราต้องหวาดกลัวอนาคตไปด้วย สำหรับผมไม่กลัวอนาคต ผมเชื่อมั่นว่าประชาชนชาวไทยสามารถทำให้อนาคตของประเทศนี้มันดีได้ ผมเชื่อว่ากำลังความสามารถของคนรุ่นใหม่เราสร้างประเทศนี้ให้น่าอยู่ได้ แต่มีบางคนยังเชื่อว่าการสร้างอนาคตที่ดีไม่ได้ขึ้นอยู่กับระบอบการเมือง แม้ตอนนี้เราอยู่ในภายใต้รัฐบาลของคณะรัฐประหาร แต่รัฐบาลก็กำลังปฏิรูปในหลายๆ เรื่อง และยังมีช่องทางต่างๆ ที่รัฐจัดไว้ให้เพื่อให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมเสนอความคิดเห็น มันต้องแยกกัน เอาอย่างนี้ก่อน เรื่องเศรษฐกิจอย่างไรมันก็มีความเกี่ยวข้องกับการเมือง ประเทศที่ไม่ได้เป็นประชาธิปไตยก็พิสูจน์อะไรหลายๆ อย่างว่า มันไปไม่รอดหลายคนที่ชอบยกตัวอย่างจีน หรือสิงคโปร์ ขอโทษนะนั่นคือประเทศส่วนน้อย ซึ่งไม่ได้หมายความว่าประเทศไทยจะเป็นแบบนั้นได้ ในส่วนของเรื่องสิทธิทางการเมือง การปกครอง เวลาบอกว่ารัฐบาลมีการรับฟัง ผมไม่มีคิดว่าการรับฟังนั้นจะมีความหมายนะ คืออย่างแรกเลยเราตั้งถามว่าเขารับฟังจริงๆ หรือเปล่า ถ้ารับฟังจริงๆ คงไม่มีการจับกุมกันเกิดขึ้น คงไม่มีการดำเนินคดีเกิดขึ้น วันนี้ผมอายุ 25 ปี ผมมี 7 คดี ถ้าลงโทษสูงสุดทุกคดีผมมีโทษทั้งหมด 32 ปีมากกว่าอายุผมตอนนี้อีก นี่คือการรับฟังใช่ไหม คำถามอีกข้อหนึ่งที่ต้องถามคือที่ว่ามีการรับฟัง มันเพียงพอใช่ไหม ผมคิดว่าไม่ เพราะสุดท้ายแล้ว คสช. รัฐบาล ก็มีดุลยพินิจที่จะฟังหรือไม่ฟังก็ได้ หรืออาจจะฟังๆ ไปแต่ไม่ทำตาม ประเด็นมันไม่ใช่เรื่องที่ว่าฟังหรือไม่ฟัง แต่มันเป็นเรื่องของคนรุ่นใหม่ที่เติบโตมากับความเปลี่นเปลี่ยนของโลก เขาควรจะสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมโดยตรง ในการพัฒนาประเทศในการกำหนดอนาคตของประเทศได้ ซึ่งในวันนี้มันไม่มีโอกาสที่จะทำอะไรได้เลย ยกตัวอย่างง่ายๆ สนช. บางคนมารับตำแหน่งต้องมีคนช่วยกันห่าม นี่เหรอคนแบบนี้เหรอที่จะเป็นคนกำหนดอนาคตของพวกเรา คนแบบทหารเกษียณแล้วซึ่งพูดคำหยาบคายตลอด คนแบบนี้เหรอที่จะมาเป็นคนที่ดูแลพวกเรา ผมคิดว่าประเทศมันเดินหน้าต่อไปแบบนี้ไม่ได้ บางคนบอกว่าเราไม่สามารถปล่อยให้ประเทศนี้พังไปต่อหน้าต่อตา ผมไม่เห็นด้วยเพราะตอนนี้ประเทศเราพังไปต่อหน้าต่อตาของพวกเราแล้ว มันพังไปตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค. 2557 ในความเห็นผมวันนี้เราไม่ได้ต้องการแค่หยุดไม่ให้มันพังไปต่อหน้าต่อตา แต่เราต้องสร้างมันใหม่จากซากหรักหักพังที่มันได้พังลงไป วันนี้คนรุ่นใหม่ต้องเป็นกำลังสำคัญในการก้าวข้ามความขัดแย้ง ต้องเป็นกำลังสำคัญในการสร้างสังคมใหม่ขึ้นมาให้ได้ ถ้าเรายังมัวไปยึดติดกับความขัดแย้งของคนรุ่นไหนก็ไม่รู้ประเทศนี้ไม่มีทางมีอนาคต ทางเลือกของคนรุ่นใหม่มีสองทางเราจะหวาดกลัวอนาคตเหมือนกับ Old Generation หรือเราจะสร้างสังคมใหม่แล้วก้าวไปด้วยกัน นี่คือทางเลือกของพวกเรา และหนทางเดียวที่จะเริ่มสร้างอนาคตได้คือ ต้องเอาพลเอกประยุทธ์ และ คสช. ออกไปให้ได้ มีการเลือกตั้ง ไม่มีการสืบทอดอำนาจ นี่คือการเริ่มต้นทำลายกำแพงและทำให้สังคมมันเดินหน้าต่อไปได้ แน่นอนมันจะเต็มไปด้วยขวากหนาม ไม่มีการโปรยกลีบดอกกุหลาบ ไม่มีสังคมไหน ไม่มีประเทศไหนที่การเปลี่ยนแปลงมันราบรื่น สิ่งที่จะต้องเจอจะมีแต่ความท้าทาย ถ้าเราเข้มแข็งพอ ถ้าเรามีพลังมากพอ เราจะฝ่าฟันมันไปได้ ดังนั้นสิ่งหนึ่งที่ผมเรียกร้องกับคนรุ่นใหม่เสมอคือ มันถึงเวลาที่เราจะต้องทิ้งคนที่อยู่กับความหวาดกลัวอนาคตไป ถ้าเราไม่ทิ้งเราเดินหน้าไม่ได้ ซึ่งคนเหล่านั้นต้องเลือกว่าจะถูกทอดทิ้งหรือตามพวกเรามา นั่นแปลว่าการเลือกตั้งจะเป็นจุดเริ่มต้น ของการสร้างอนาคตที่ดีกว่า แต่รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ก็วางรากฐานของอนาคตอีกแบบไว้เหมือนกัน อนาคตที่คาดหวังว่าจะสร้างขึ้นมาจะทำได้จริงๆ เหรอ ผมคิดว่าถึงที่สุดแล้วเราเป็นใคร เราเป็นประชาชนเราไม่ได้มีกำลัง ไม่ได้มีอาวุธ พูดง่ายๆ คือเรามีแค่ สองมือเปล่า กับเสียงที่ดังหน่อย การเปลี่ยนแปลงมันต้องไปทีละขั้นตอน เราจะพูดถึงเรื่องอื่นได้อย่างไร ในเมื่อเลือกตั้งเรายังไม่ได้เลย จะให้เราพูดถึงเรื่องการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ในเวลานี้เหรอ ทั้งที่เราจะเอาใครไปร่างยังไม่รู้เลย สุดท้ายมันเป็นเรื่องที่จะตามมาหลังเลือกตั้ง ผมยอมรับว่ากลไกรัฐธรรมนูญมีปัญหา ผมเป็นคนหนึ่งที่รณรงค์โหวตโนรัฐธรรมนูญฉบับนี้ จริงๆ รัฐธรรมนูญที่ประกาศใช้อยู่นี้ก็เป็นคนละฉบับกับที่ลงประชามติ แต่ผมไม่อยากพูดถึงรายละเอียด แต่เอาเป็นว่าผมไม่เห็นด้วยกับสาระสำคัญของรัฐธรรมนูญฉบับนี้แน่ๆ มันก็ต้องแก้กันไป เพียงแต่ว่าขั้นตอนนั้นมันจะเป็นกระบวนการต่อไป มันต้องอาศัยพลังของภาคประชาชน ในความหมายที่ว่า เราอาจจะต้องตั้ง สสร. หรือเปล่า? อันนี้ผมไม่รู้ ก็ขึ้นอยู่กับอนาคตว่าเราจะเอายังไงกับวิธีการที่จะออกจากระบบนี้อย่างถาวร ดังนั้นพันธกิจหรือพันธกรณีของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในอนาคตมันจะต้องตอบโจทย์ตรงนี้ ดังนั้นทำไมผมจึงเรียกร้องให้นักการเมืองมาสู้กับภาคประชาชน เพราะถ้านักการเมืองไม่มาสู้กับประชาชน ประชาชนจะรู้ได้ไงว่ามีพันธกิจเหล่านี้ที่คอยขจัดระบอบเหล่านี้ออกไป ผมไม่อยากให้เรามาซ้ำรอยกับในอดีตที่ว่า สุดท้ายเราสู้เราเอาเผด็จการ คสช. ออกไป สุดท้ายเราก็กลับมาสู่ระบอบเดิม ดังนั้นนี่คือเหตุผลว่าทำไมผมถึงเรียกร้องให้นักการเมืองหรือคนที่จะลงเลือกตั้งมาสู้ด้วยกันกับพวกเรา นี่คือช่วงเวลาที่ประชาชนจะได้รีวิวพวกคุณ จะได้ดูว่าพวกคุณจะตอบสนองพันธกิจของประชาชน ในวันนี้ที่เขาต้องการออกจากระบอบแบบนี้ให้ได้ สำหรับผม ผมจะไม่มีวันเลือกนักการเมืองที่ไม่ออกมาสู้กับพวกเรา ไม่จำเป็นต้องมาในนามของพรรคการเมือง มาในนามส่วนตัวก็ได้ ถ้าไม่มาคุณจะไม่ใช่นักการเมืองของประชาชนอีกต่อไป เพราะว่าคุณไม่ได้มีพันธกิจเดียวกับประชาชนที่เขาต้องการออกจากระบอบแบบนี้ คุณไม่ได้เป็นคนที่พร้อมจะเดินหน้าไปกับคนรุ่นใหม่ คุณไม่ได้พร้อมที่จะสร้างอนาคตร่วมกัน ดังนั้นคุณก็อาจจะต้องเป็นคนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ถ้าคุณไม่เดินหน้าไปกับเรา การไปชวนนักการเมืองออกมาเคลื่อนไหวด้วย ไม่กลัวเหรอว่าจะถูกมองว่าได้รับท่อน้ำเลี้ยง หรือถูกมองว่าการเคลื่อนไหวไม่บริสุทธิ์เพราะมีนักการเมืองหนุนหลัง สำหรับผมนักการเมืองก็คือประชาชน ผมไม่เชื่อว่าใครจะมา dominate มาควบคุมความคิดนะ บางคนชอบบอกว่าเรื่องรับตังค์ บ้านผมก็ไม่ได้จนขนาดนั้น อย่างแรกคือดูถูกกันมากเลย อันที่สอง ผมให้เงินคุณแสนนึง ให้ผมไปติดคุก โดนคดีโทษสูงสุด 32 ปี เป็นคุณเอาไหมละ ? มันไม่มีใครเอาหรอก ผมเกิดในครอบครัวชนชั้นกลาง ถ้าผมคิดว่าไม่ต้องทำอะไรก็ได้ เรียนจบ นิติฯ ธรรมศาสตร์ ไปทำงาน เงินเดือน 3-4 หมื่นขั้นต้นก็น่าจะพอได้ แต่ผมรู้สึกว่าชีวิตเรามันแค่นั้นเหรอ ผมตั้งคำถามกับตัวเองตลอดเวลาว่า ตกลงแล้วเราเกิดมาเราได้อภิสิทธิ์จำนวนมากจากสังคม สังคมจ่ายเงินให้ธรรมศาสตร์ จากภาษีประชาชน แล้วผมได้เรียนมหาวิทยาลัยที่ขึ้นชื่อว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่ค่อนข้างมีประสิทธิภาพ แล้วผมไม่ต้องรับผิดชอบต่อสังคม ต่อเงินภาษีของคนยากคนจนที่เขาเสียภาษีอะไรอย่างนั้นเลยหรอ ผมทำใจไม่ได้ เราควรทำบางอย่าง แล้วมากไปกว่านั้นในอนาคตถ้าลูกหลานของผมไม่ได้โชคดีขนาดนั้น ถ้าเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ แล้วมันไม่มีสวัสดิการอะไรเลย แล้วใครจะดูแลเขา ผมไม่อยากจะทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง สังคมมันต้องไปด้วยกัน แต่ว่ารัฐบาล คสช. ไม่อนุญาตให้เราเป็นแบบนั้น ไม่อนุญาตให้สังคมมันเดินหน้า วันนี้เราต้องพูดว่า คสช. ขโมยอนาคตของเราทุกคน เราต้องการอนาคตของเราคืน เราถึงต้องการการเลือกตั้งเพื่อนับหนึ่ง วันนี้เรายังไม่ถึงหนึ่งนะ ติดอยู่ที่ศูนย์ อาจจะติดลบด้วยซ้ำไป ใครจะบอกว่าผมรับเงิน ผมไม่แคร์ แต่นักการเมือง ถ้าท่านไม่เข้ามาท่านจะเสียกว่าผมด้วย เพราะท่านไม่ได้สู้เพื่อประชาชน ดังนั้นผมคิดว่า มันถึงเวลาแล้วที่เราต้องร่วมมือร่วมใจกัน วันนี้มันไม่มีคนอื่น มันมีแค่ คสช. กับประชาชน ถึงจะยังไม่มีนักการเมืองคนไหนออกมา แต่ช่วงเวลาที่ผ่านมาทั้งประชาธิปัตย์ เพื่อไทย หรือพรรคอื่นๆ ก็พยายามที่จะเร่งรัดให้มีการเลือกตั้งอยู่เรื่อยๆ เท่านี้ไม่พอเหรอ โทษนะคือผมเข้าใจ แถลงการณ์ผมก็ออกได้ ผมโพสต์ฟซบุ๊กได้ แต่มันไม่พอไง คือถึงที่สุดประชาชนนี่เสี่ยงนะ เสี่ยงมากๆ เลยนะ ในการที่จะเอาระบอบของเขาคืนมา นักการเมืองแค่ออก statement แล้วก็จบ สำหรับผมมันไร้สาระ วันนี้มันไม่เหลือวิธีการไหนแล้ว สำหรับผมไม่เชื่อวิธีการอื่นแล้ว ผมรู้สึกว่าเราทำมาทุกอย่างแล้ว พิสูจน์กันมาเยอะมาก เราลองใช้กลไกทั้งในและต่างประเทศเพื่อให้ประเทศเรามันเดินหน้าอีกครั้ง แต่ว่ามันไม่ได้ผล เหลือวิธีเดียวที่เรายังไม่เคยทำ คือลงถนน ดังนั้นผมจึงคิดว่า นักการเมือง หรือใครก็แล้วแต่ ควรลงมาสู้กับประชาชน ทวงสิทธิของประชาชนคืนมา แล้วคุณจะได้รับการยอมรับจากประชาชน ไม่มาก็ไม่เลือกในปีหน้า ถ้าปีหน้ามีเลือกตั้งผมก็จะไม่เลือกเขา แล้วผมก็ขอเชิญชวนให้ประชาชนไม่เลือกคนเหล่านี้ด้วย ทำไมถึงเชื่อมั่นกับการเมืองบนท้องถนน ถ้าดูจากประวัติศาสตร์การเมืองไทย 14 ตุลา 2516 ที่เราบอกว่าเป็นชัยชนะของประชาชนเอาเข้าจริงแล้วเผด็จการออกไปไม่ใช่เพราะพลังประชาชนล้วนๆ แต่มีพลังอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย 6 ตุลาคม 2519 ก็ชัดเจน พฤษภาคม 2535 ก็ชัดเจนว่ามันจบได้ด้วยอะไร ปี 2549 กลุ่มพันธมิตรออกมาไล่ทักษิณสุดท้ายจบตรงที่กองทัพออกมารัฐประหาร ปี 2553 นปช. ออกมาไล่อภิสิทธิ์จบลงด้วยเลือดกับความตาย ปี 2557 กปปส. ออกมาไล่ยิ่งลักษณ์สุดท้ายจบลงด้วยศาลรัฐธรรมนูญ และการรัฐประหาร คือจะเห็นได้ว่ามันไม่ได้จบที่ถนน แต่มีพลังอื่นๆ เข้ามาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเสมอ ใช่ ผมเห็นด้วยว่ามันต้องอาศัยพลังทุกภาคส่วน แล้วถ้าเราจะพูดในตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา บางคนอาจจะเรียกว่ามันเป็นความล้มเหลวหรืออะไรก็แล้วแต่นะ มันก็เป็นความสำเร็จระดับหนึ่งไหม อย่างน้อยๆ มันเป็นการสร้างพื้นที่เพื่อให้เป็นจุดเริ่มต้นของอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งอันนี้คือสิ่งเดียวกัน คือตอนนี้เราไม่มีเสรีภาพอะไรเลย อย่างน้อยๆ ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ก็ได้เอาเผด็จการออกไปก่อน ให้มันมีพื้นที่ของเสรีภาพในการแสดงออก ในการพูด ในการทำอะไร เพียงแต่ว่าเราก็ต้องยอมรับว่าถัดไปจากประชาชน ภาคส่วนอื่นมันมีปัญหา แล้วมันไม่ค่อยจะถูกแตะต้องหรือว่าพูดถึงมากเท่าที่ควร มันทำให้ภาคส่วนเหล่านี้กลายเป็นแดนสนธยา ไม่ได้รับการแก้ไข ผมยกตัวอย่างเช่น 'กองทัพ' เรามีปัญหากับกองทัพมาโดยตลอด แต่เราก็ไม่เคยเข้าไปแก้ไขจนถึงรากของปัญหาจริงๆ ว่าตกลงแล้วมันคืออะไร เราอาจจะเอาเผด็จการออกไปในช่วงเวลาหนึ่ง แต่กองทัพก็ยังเป็นเหมือน 'รัฐซ้อนรัฐ' ที่อยู่ในอำนาจตลอดเวลา แล้วคอยควบคุมบ้านเมืองอยู่ตลอดเวลา อันนี้คือสิ่งที่มันเป็นไป แต่ว่าวันนี้สิ่งหนึ่งที่เราอาจจะต้องพูดกันให้ชัดก็คือว่า หลังจากมีการเลือกตั้ง บุคคลที่จะเข้ามาทำหน้าที่ในระดับรัฐสภา ที่จะต้องทำต่อไปคือการจัดการองคาพยพต่างๆ ของ คสช. ของกองทัพหรืออะไรก็แล้วแต่ ให้มันสูญสลายไปด้วย ดังนั้นเริ่มต้นเวลาเราพูดจาก 1-100 เราจะต้องนับ 1 ก่อน วันนี้ภาคประชาชนต้องนับ 1 ด้วยการเลือกตั้ง จากนั้นเราถึงจะไปทีละเสต็ป เป็น 2-3-4 จนถึงความฝันที่มันเป็น 100 มันถึงจะเกิดขึ้น เราไม่อาจไม่ที่ 100 โดยที่ไม่มี 1 หรือ 2 ผมถึงย้ำว่าการเลือกตั้งมันเป็นแค่จุดเริ่มต้น คิดว่ามันจะมีการกดดันให้มีการเลือกตั้งในปีนี้ได้จริงๆ เหรอ กับพลังของประชาชนที่จะออกมา ทำไมละ มันต้องมีสิ ผมนึกไม่ออกว่ามันจะไม่มีได้ไง ยกตัวอย่างเรื่องคุณประวิตร นาฬิกาเรือนนึงสิบกว่าล้าน สื่อทุกช่องทุกสำนัก เล่นข่าวนี้หมด ผู้คนพูดถึงทั่วบ้านทั่วเมือง แต่สุดท้ายก็ยังอยู่เหมือนเดิม ปปช. ก็เลื่อนแถลงข่าว สรุปคือตอนนี้ก็รอ รออะไรก็ไม่รู้ เพราะมันไม่มีภาคประชาชนออก มาอย่างขนานใหญ่ไง ผมถึงบอกไง ในด้านหนึ่งมันก็เป็นการยืนยันสิ่งที่ผมพูดหรือเปล่า ว่าการที่สื่อเล่นทุกอย่าง คนพูดกันทั่วบ้านทั่วเมืองมันไม่พอ โพสต์เฟซบุ๊กไม่พอ ลงหนังสือพิมพ์ไม่พอ แต่สิ่งหนึ่งที่เราไม่เคยทำใน 4 ปีที่ผ่านมาภายใต้ระบอบ คสช. คือ การลงถนน คือการที่ประชาชนออกมาแสดงพลังกันอย่างต่อเนื่อง แล้วเอาจริงเอาจังกับมัน ไม่ใช่แค่เชิงสัญลักษณ์อีกต่อไป แต่มันคือความหนักแน่นของข้อเรียกร้องว่าเราต้องการอะไรกันแน่ ถ้าไม่มีข้อเรียกร้อง ที่เราเรียกกันไปไม่ได้ เราก็ไม่ยอม สู้ต่อไป ตราบใดที่ประชาชนหนักแน่นแบบนี้ จำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แบบนี้ ผมคิดว่าความหวังที่เราจะเห็นการเลือกตั้ง มันจะเกิดขึ้นปีนี้ มีแน่ๆ ดังนั้นเงื่อนไขอยู่ที่ประชาชน ประชาชนเอาด้วยกับผม เรามีลุ้น แต่ถ้าประชาชนไม่เอาด้วย สมมติว่าผมยกตัวอย่าง วันที่ 24 (24 ก.พ. 2561) ที่จะถึง ประชาชนมากันหลักร้อย โอกาสที่เราจะเห็นประชาธิปไตยเกิดขึ้น หมายถึงจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในปีนี้ ก็ยาก ตอนนี้เราปฏิเสธไม่ได้ว่าเราต้องการพลังจากทุกภาคส่วน มาร่วมด้วยช่วยกันสู้ ช่วยกันทำ ผมอาจจะยืนอยู่บนรถไฮปาร์คพูด แต่ผมคนเดียวไม่พอ ผมไม่ได้เก่งมาจากไหน ผมก็แค่สู้เท่าที่ผมสู้ได้ ผมต้องการให้ทุกคนมาร่วมด้วยช่วยกันสู้ วันนี้ผมเอาตัวเขาเสี่ยง เพราะผมเชื่อว่าผมจะทำได้ อย่างน้อยๆ ผมเชื่อว่าผมได้ประโยชน์จากแผ่นดินนี้มาเยอะ แล้วผมต้องการตอบแทนแผ่นดินที่ผมอยู่ ผมรักประเทศไทย ผมรักประเทศไทยมากกว่าที่หลายคนได้ตราหน้าเอาไว้ ดังนั้นผมจะพยายามทำทุกวิถีทางให้แผ่นดินนี้ กลายเป็นแผ่นดินของทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน มันเป็นแผ่นดินที่มีเสรีภาพ มันต้องมีความเท่าเทียมกัน มันจะต้องมีความยุติธรรมให้กับทุกคน และที่สำคัญเลยคือจะต้องมีประชาธิปไตย เพื่อเป็นหลักยืนยันว่าสามสิ่งข้างต้นมันจะเกิดขึ้นได้จริง โรมเรียกร้องให้ประชาชนออกมาบนท้องถนน คำว่าประชาชนของโรมหมายถึงใคร ? ก็หมายถึงทุกคน แต่ว่าถ้าเราดูจากคนที่ที่ไปร่วม ปฏิเสธไม่ได้ว่า มวลชนเกือบ 80% เป็นคนที่เคยร่วมกับกลุ่มคนเสื้อแดงมาก่อน เป็นคนที่ออกมาคัดค้านรัฐประหารในช่วงแรกๆ ผมอาจจะตาบอดสีก็ได้นะ แต่ผมเห็นแค่ สามสี น้ำเงิน ขาว และแดง ผมเห็นแค่นี้ ผมไม่เห็นสีอื่น ทุกคนมีสามสีนี้ ผมไม่สนใจว่าใครจะเคยมีประวัติความเป็นมายังไง สิ่งที่ผมสนใจมีเพียงแค่เรื่องเดียว เราจะทำเพื่อประเทศชาติของเรา คือการเอาสิทธิของประชาชนกลับคืนมา นั่นคือการเลือกตั้ง โรมชวนคนทุกฝ่ายมา แต่ก็เคยถูกโจมตี ป้ายสี จากคนอีกฝั่ง... ผมว่าไม่มีคนอีกฝั่งนึงนะ ผมคิดว่าผมไม่ได้เป็นฝ่ายตรงข้าม แต่ถ้าถามว่าผมเป็นขั้วตรงข้ามกับใคร ผมเป็นขั้วตรงข้ามกับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผมเป็นขั้วตรงข้ามกับพลเอกประวิตร ถ้าใครรู้สึกว่าคุณเป็นขั้วตรงข้ามกับสองคนนี้ กับ คสช. เราคือพวกเดียวกัน สำหรับผมไม่มีขั้วตรงข้ามอย่างอื่น เข้าใจว่ามีการนัดชุมนุมใหญ่ เดือนพฤษภาคม 3 คืน 4 วัน ข้อเรียกร้องในการชุมนุมใหญ่คืออะไร เหมือนเดิม แต่ผมไม่ปฏิเสธว่าข้อเรียกร้องอาจจะเปลี่ยน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไข คือถึงที่สุดเราก็ไม่ได้อยากจะไปถึงจุดนั้น ถ้า คสช. กำหนดวันเลือกตั้งและการันตีให้ประชาชนรู้สึกมั่นใจได้ว่า เราจะมีการเลือกตั้ง ไม่สืบทอดอำนาจอีก แต่ก็เหมือนที่หลายคนคิดไว้ว่า คสช. ก็คงไม่ทำ เราก็คงต้องเดินหน้าต่อไป ผมก็ตั้งคำถามไปกับ คสช. คุณมาอย่างไม่ถูกต้อง ซึ่งคุณก็รู้ดี คุณอยากจะไปแบบไหน คุณอยากจะไปแบบดีๆ ลงจากอำนาจเอง หรือคุณจะไปอย่างที่ประชาชนไล่ ถ้าคุณไปแบบที่ประชาชนไล่ ก็เสี่ยงกันหน่อย มีความมั่นใจแค่ไหน เพราะที่ผ่านมาทางกลุ่มไม่เคยมีการจัดชุมนุมใหญ่ มีความพร้อมแค่ไหนที่จะชวนคนมาร่วมเสี่ยงด้วย ความพร้อมของเรามันอาจจะไม่ใช่แค่ผม มันเป็นความพร้อมของประชาชนที่จะถามว่า เราพร้อมไหมถ้าประเทศนี้มันไม่มีอนาคต เราพร้อมไหมถ้าเรามีลูกหลานแล้วต้องมารับมรดกแบบนี้จากเรา เราพร้อมไหมกับการที่จะให้คนกลุ่มหนึ่งทุจริตคอรัปชั่น เกื้อกูลให้กับญาติพี่น้อง สามารถเปิดธุรกิจในค่ายมีนาฬิกา 25-26 เรือน ถ้าเราคิดว่าเราพร้อมแบบนี้ พร้อมที่จะให้เขาอยู่แบบนี้ อยู่บ้านก็ได้ หรือถ้าใครไม่เห็นด้วยกับวิธีการผมไปทำอย่างอื่นก็ได้ ผมไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยตรงกันทั้งหมด เพียงแต่ว่าอย่างที่ผมย้ำไปว่าเราไม่มีวิธการอื่น ผมถึงบอกว่าเราจะต้องรวมพลังกันเป็นหนึ่ง เพื่อสู้ไปด้วยกัน แต่ถามว่าในด้านหนึ่งผมก็ต้องบอกทุกท่านอย่างแฟร์ๆ ว่า เสี่ยงไหม เสี่ยงแน่นอน แล้วผมก็คิดว่าคนที่เข้ามาร่วมเขาก็ประเมินแล้วว่าเสี่ยง ผมไม่ได้เป็นเจ้าของมวลชน ผมคิดว่าชาวบ้าน พี่น้องประชาชนที่มาร่วมด้วยกันทั้งวันที่ 27 มกราคม วันที่ 10 กุมภาพันธ์ และตอนนี้เริ่มมีประชาชาออกมาแสดงพลังในหลายๆที่ เชียงใหม่ นครปฐม ราชบุรี โคราช สิ่งเหล่านี้ผมคิดว่าพี่น้องประชาชนที่มาร่วม เขาก็รู้ดีว่ามันเสี่ยง เขาก็รู้ว่าเมื่อเทียบกับสิ่งที่เขาต้องแลก ในแง่ของอนาคต อยู่แบบไม่มีอนาคต มันก็คุ้ม ไม่ใช่คุ้มในแง่ของการชั่งน้ำหนัก สำหรับผมเราไม่สามารถเอาอนาคตประเทศ มาชั่งน้ำหนักกับสองมือ สำหรับผมประเทศชาติสำคัญที่สุด สำหรับผมอนาคตของประเทศชาติเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่มีคุณค่า ไม่มีสิ่งอื่นใด สามารถเทียบอนาคตของประเทศชาติได้เลย เพราะมันไม่ได้หมายถึงวันนี้พรุ่งนี้ แต่มันหมายถึง 5 ปี 10 สิบหรืออาจจะตลอดไป แม้กระทั่งเราสิ้นลมหายใจไปแล้ว สิ่งที่เราทำวันนี้มันก็อาจจะยังคงอยู่ ดังนั้นอนาคตของประเทศชาติมันจึงเป็นสิ่งที่นิ่งใหญ่และสำคัญ ดังนั้นผมจึงทำทุกทางเท่าที่สติปัญญาจะนึกออกได้ ความเสี่ยงมี แต่สำหรับผมยังไงก็ลุยต่อ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
สหภาพแรงงานตำรวจสโลเวเนียผละงานประท้วงขอเพิ่มค่าจ้าง Posted: 23 Feb 2018 08:16 AM PST ที่ต่างประเทศตำรวจก็มีสหภาพแรงงาน และออกเรียกร้องสิทธิบ่อยครั้ง ล่าสุดสหภาพแรงงานตำรวจสโลเวเนียผละงานประท้วงขอขึ้นค่าแรงพร้อมกับพนักงานภาครัฐอื่น ๆ ที่มาภาพประกอบ: facebook.com/radivoj.urosevic เมื่อวันที่ 13 ก.พ. 2561 เจ้าหน้าตำรวจในลุบยานาเมืองหลวงของประเทศสโลเวเนีย ได้ประท้วงเรียกร้องการขึ้นค่าจ้างราวร้อยละ 15 นอกจากนั้นยังมีการหยุดงานของพนักงานภาครัฐเพื่อกดดันภาครัฐจะตามมาในสัปดาห์เดียวกัน เจ้าหน้าตำรวจที่ประมาณ 200 คน ได้ออกมาทำการผละงานประท้วงช่วงสั้น ๆ ด้านนอกที่ทำการรัฐบาลด้วยการเป่านกหวีดและชูป้ายภาพนายมิโร เซราร์ นายกรัฐมนตรี ที่ยกมือขึ้นปิดหูของเขาทั้งสองข้าง เพื่อสื่อถึงว่ารัฐบาลไม่ยอมรับฟังเสียงความต้องการของพวกเขา การประท้วงในหนึ่งวันต่อสัปดาห์ของเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานรัฐ ลักษณะนี้มีมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 สัปดาห์ เป็นการเรียกร้องการเพิ่มค่าจ้าง ท่ามกลางการขยายตัวของเศรษฐกิจที่ขยายตัวเพิ่งขึ่นร้อยละ 3.9 ในปีนี้และร้อยละ 4.4 จากปีที่ผ่านมา สาเหตุหลักมาจากการส่งออกและการลงทุนที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ทางตรงกันข้ามกลุ่มธุรกิจรวมไปถึงหอการค้า ได้ออกมาเตือนถึงการเพิ่มสูงมากเกินของค่าจ้าง จะส่งผลเสียไปยังการลงทุนและการเติบโตของเศรษฐกิจ ทั้งยังนำไปสู่การเก็บภาษีที่สูงขึ้นอีกด้วย รัฐบาลซ้ายกลางของสโลเวเนียได้ออกมาพูดถึงเรื่องนี้ว่า การเรียกร้องค่าจ้างที่มากขนาดตามที่เจ้าหน้าที่รัฐเรียกร้องนั้น เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ ข้อเรียกร้องนั้นไม่ได้พิสูจน์ว่าจะสามารถสร้างผลประโยชน์ได้จริง และยังเป็นการเป็นภัยต่อความมั่นคงทางการคลัง รัฐบาลต้องการจะลดงบประมาณเกินดุลให้เหลือ 0.4 ของจีดีพีภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งก่อนนี้หน้าสโลเวเนียมีตัวเลขงบขาดดุลอยู่ที่ 0.8 ของจีดีพีในปีที่ผ่านมา ขณะเดียวกันราดิวอย ยูโรเซวิซ ประธานสหภาพแรงงานตำรวจ ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจถูกให้ค่าต่ำเกินไป สิ่งที่พวกเขาควรจะได้รับควรมากกว่าที่เป็นอยู่ เพื่อสะท้อนกับจำนวนชั่วโมงที่พวกเขาทำงานจริง ๆ "ค่าเฉลี่ยของค่าจ้างรายเดือนของเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น อยู่ที่ประมาณ 1,400 ยูโร เราเรียกร้องให้ค่าเฉลี่ยของค่าจ้างอยู่สูงขึ้นอีก 200 ถึง 220 ยูโร"
ที่มาเรียบเรียงจาก ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ยะลา : จนท.ไม่ทราบหน่วย คุมตัว ปธ.เครือข่ายผดุงธรรม Posted: 23 Feb 2018 05:20 AM PST วัรตานี เผย จนท.ไม่ทราบหน่วย คุมตัว ประธานเครือข่ายผดุงธรรม คุมตัวที่ค่ายวังพญา พรุ่งนี้ญาติเตรียมเยี่ยม โดยยังไม่ทราบสาเหตุ ด้าน โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ยันว่าไม่ทราบเรื่อง แต่จะดำเนินการตรวจสอบ
23 ก.พ.2561 เฟสบุ๊คแฟนเพจ 'Wartani' หรือ วัรตานี สื่อท้องถิ่นในจังหวัดชายแดนใต้ รายงานว่า วันนี้ เวลา 15:40 น มีเจ้าหน้าที่ไม่ทราบหน่วยงานได้ควบคุมตัว ไอมาน หะเด็ง ประธานเครือข่ายผดุงธรรม หรือ (Justice for Peace ; JOP) ซึ่งเจ้าหน้าที่ฯได้คุมตัว ที่ร้านวีดาตขายผ้ากลูบง ถ.วิฑูรอุทิศ 1 ต.สะเตง อ.เมือง จ.ยะลา ซึ่งเป็นร้านของไอมานและภรรยา โดยมีการปิดล้อม ตรวจค้น และควบคุมตัว เอาไปที่ค่ายทหาร โดยตอนนี้ยังไม่ทราบว่าถูกควบคุมตัวด้วยสาเหตุใด ไอมาน เคยเป็นอดีตจำเลยในคดีความมั่นคง เเละได้สู้คดีจนศาลได้ยกฟ้องได้รับความบริสุทธิ์ หลังจากได้รับอิสรภาพ ได้รวมตัวกันตั้งเครือข่ายผดุงธรรม เพื่อเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการบังคับใช้ กฏหมายในคดีความมั่นคง เเละได้ช่วยให้ความรู้เรื่องกฏหมายให้กับชาวบ้าน วัรตานี ระบุว่า การคุมตัวประธานเครือข่ายผดุงธรรม ทำให้เกิดคำถามในวงภาคประชาสังคม ว่าการคุกคามภาคประชาสังคมในครั้งนี้รัฐทำถูกเเล้วหรือไม่ วอยซ์ออนไลน์ รายงานเพิ่มเติ่มว่า อายุบ เจ๊ะนะ ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาสังคมเพื่อสันติภาพ (คปส.) เปิดเผยกับ 'วอยซ์ออนไลน์' ว่า ครอบครัวของ ไอมาน ตามไปที่ฐานปฏิบัติการตือเบาะ หน่วยเฉพาะกิจยะลาที่ 16 ต.สะเตงนอก อ.เมือง จ.ยะลา แต่ไม่พบไอมาน จึงได้ประสานงานกับศูนย์ทนายความในพื้นที่เพื่อให้ช่วยติดตามหาตัวไอมานต่อไป อย่างไรก็ตาม พ.อ.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ยืนยันว่าไม่ทราบเรื่องการควบคุมตัวบุคคลในพื้นที่ และไม่ทราบว่าไอมานเป็นใคร แต่จะดำเนินการตรวจสอบกับเจ้าหน้าที่ในฐานปฏิบัติการที่ถูกกล่าวถึงอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเวลา 23.00 น. เฟสบุ๊คแฟนเพจ "Wartani" รายงานว่า ไอมานถูกควบคุมตัวอยู่ที่กรมทหารพรานที่ 41 ต.วังพญา อ.รามัน จ.ยะลา หลังจากเจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจที่ 12 ยะลา ได้ส่งตัวไปที่สถานีตำรวจภูธรจังหวัดยะลา ลำดับเหตุกาณ์กรณีการควบคุมตัวจากการเล่าเรื่องของภรรยาไอมานเปิดเผยว่า เมื่อเวลา 15.40 น. ขณะที่ไอมานกำลังรับประทานอาหารอยู่ที่โต๊ะทำงาน มีเจ้าหน้าที่ทหารปรากฏตัวที่ร้านวีดาตขายผ้ากลูบง ซึ่งเป็นร้านขายเสื้อผ้าของไอมานและครอบครัว โดยเจ้าหน้าที่ได้ถามหาถึงบุคคลที่ชื่อไอมาน หลังทราบถึงตัวเจ้าของชื่อดังกล่าวเจ้าหน้าได้ทำการจับกุม พร้อมตรวจค้นสิ่งผิดกฎหมายภายในร้านโดยใช้เวลาประมาณ 1 ชม. แต่ไม่พบสิ่งผิดกฎหมายแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ไอมานขอติดต่อหาทนายความ แต่เจ้าหน้าที่ทหารไม่อนุญาตโดยแจ้งว่า ตนมีสิทธิที่จะไม่ให้โทรหาใครก็ตาม เพราะพวกตนใช้อำนาจกฎอัยการศึก หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ได้พาตัวไอมานไปยังหน่วยเฉพาะกิจที่ 12 อ.เมือง จ.ยะลา พร้อมยึดโทรศัพท์ส่วนตัวรวมสามเครื่อง รถจักรยานยนต์ ฮอนด้าดรีม 1 คัน และเสื้อผ้าบางส่วนของไอมานและครอบครัวไปด้วย เวลา 16.45 น. ภรรยาไอมานที่เพิ่งคลอดลูก 1 เดือน ได้ออกตามหาตัวสามีตามที่เจ้าหน้าที่ทหารได้แจ้งสถานที่ควบคุมตัวไว้ แต่เมื่อไปถึงปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ทหารแจ้งว่าไอมานไม่ได้ถูกควบคุมตัวในที่ดังกล่าว ภรรยาไอมานจึงตัดสินใจไปแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรจังหวัดยะลาพร้อมลงบันทึกประจำวัน หลังจากนั้นไม่นานเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งกับภรรยาไอมานว่าทราบถึงสถานีควบคุมตัวของไอมานแล้ว อีกสักครู่ทางเจ้าหน้าที่ทหารจะนำตัวมาที่สถานีตำรวจฯ กระทั่งเวลา 18.30 น. เจ้าหน้าที่ทหารจากหน่วยเฉพาะกิจที่ 12 จ.ยะลา ไดนำตัวไอมานมาพบภรรยาที่สถานีตำรวจฯ ซึ่งรออยู่ก่อนหน้าแล้ว โดยไอมานได้เผยต่อภรรยาของตนว่า เป็นการซัดทอดจากผู้ถูกควบคุมตัวก่อนหน้านี้กรณีเหตุระเบิดตลาดสดพิมลชัย ต.สะเตง อ.เมือง จ.ยะลา หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ทหารได้นำตัวไอมานไปควบคุมตัวที่กรมทหารพรานที่ 41 ต.วังพญา อ.รามัน จ.ยะลา พร้อมแจ้งให้ภรรยาไอมานไปเยี่ยมในวันพรุ่งนี้ แก้ไขเพิ่มเติม 2.40 น. 24 ก.พ.2561 ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
มหาดไทยจับมือ สปสช.หนุน อปท.เร่งขับเคลื่อน 3 กองทุนหลักประกันสุขภาพท้องถิ่น Posted: 23 Feb 2018 04:41 AM PST กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น จับมือ สปสช.จัดประชุมขับเคลื่อนระบบหลักประกันสุขภาพในระดับท้องถิ่น หนุน อปท.เดินหน้าดูแลสุขภาพประชาชน ภายใต้ 3 กองทุนบัตรทอง 23 ก.พ.2561 รายงานข่าวแจ้งว่า วันนี้ ที่โรงแรมเซ็นทราฯ ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้ร่วมกันจัดการประชุมพัฒนาความร่วมมือในการสนับสนุนการบริหารจัดการระบบหลักประกันสุขภาพ ในระดับท้องถิ่น โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัด ท้องถิ่นจังหวัด ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้งผู้แทนสมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย สมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย สมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย สมาพันธ์ปลัดเทศบาลแห่งประเทศไทย สมาพันธ์ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย ผู้แทนสาธารณสุขจังหวัด นักวิชาการ และสมาคมวิชาชีพสาธารณสุข เข้าร่วมงาน จำนวน 400 คน ธนา ยันตรโกวิท รองอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กล่าวว่า การดำเนินงานเพื่อดูแลสุขภาพประชาชน จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือทุกภาคส่วน โดยเฉพาะท้องถิ่นที่เป็นกำลังสำคัญทำให้เกิดการเข้าถึงการรักษาและบริการสาธารณสุขอย่างครอบคลุมและทั่วถึง ในฐานะหน่วยงานหลักในพื้นที่ ซึ่งภายใต้กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้ดำเนินงานกองทุนเพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการะบบหลักประกันสุขภาพในระดับท้องถิ่น 3 กองทุน คือ 1.กองทุนหลักประกันสุขภาพในระดับท้องถิ่นหรือพื้นที่ (กองทุนสุขภาพตำบล) 2.กองทุนระบบดูแลระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุที่อยู่ในภาวะพึ่งพิง (Long Term Care: LTC) และ 3.กองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพที่จำเป็นระดับจังหวัด เพื่อส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องได้ร่วมดำเนินการจัดบริการสาธารณสุขในชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมุ่งหวังให้ประชาชน มีบทบาทดูแลสุขภาพตนเอง ครอบครัว ชุมชน สภาพแวดล้อมและสังคมโดยรวมอย่างยั่งยืน ทั้งนี้จากการดำเนินงาน 3 กองทุน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) สามารถนำมาบริหารจัดการเพื่อบริการประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตามกรอบการดำเนินงานบนพื้นฐานการมีส่วนร่วมตามความพร้อม ความเหมาะสม และความต้องการของประชาชนในพื้นที่ได้ รวมถึงตามความแตกต่างของปัญหาสาธารณสุขในแต่ละพื้นที่ ทั้งยังเป็นการดำเนินงานที่สอดคล้องกับแนวทางการทำงานแบบประชารัฐที่ภาครัฐกับประชาชนต้องมาร่วมกันคิดร่วมทำ ร่วมรับผลประโยชน์ "ความสำเร็จของการดำเนินงานทั้ง 3 กองทุนเพื่อบรรลุเป้าหมาย ต้องอาศัยความร่วมมือทุกภาคส่วนร่วมกันขับเคลื่อนเพื่อดูแลสุขภาพพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะท่านผู้ว่าราชการจังหวัด และ อปท. ผู้มีบทบาทสำคัญในพื้นที่ การประชุมในวันนี้เชื่อว่าจะนำไปสู่ความร่วมมือด้วยดีในการพัฒนาและสนับสนุนการดำเนินงานของทั้ง 3 กองทุน ให้เกิดประสิทธิภาพ" รองอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กล่าว นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า สปสช. และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น มีความร่วมมือสนับสนุนการจัดระบบหลักประกันสุขภาพในระดับท้องถิ่นมาอย่างต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่ปี 2549 ได้ร่วมผลักดันท้องถิ่นเข้าร่วมดำเนินกองทุนหลักประกันสุขภาพในระดับท้องถิ่นหรือพื้นที่ ซึ่งปัจจุบันมี อบต.และเทศบาลเข้าร่วมจำนวน 7,736 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 99.50 และได้ขยายสู่กองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพที่จำเป็นระดับจังหวัด ขณะนี้มี อบจ. เข้าร่วมจำนวน 42 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 55.26 และกองทุนระบบดูแลระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุที่อยู่ในภาวะพึ่งพิง มี อบต. และเทศบาลเข้าร่วมจำนวน 4,274 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 54.97 สำหรับการดำเนินงานของ 3 กองทุน ที่ผ่านมามี อปท.เข้าร่วมดำเนินการจัดบริการสาธารณสุขในชุมชนบรรลุผลสำเร็จในระดับหนึ่ง เพื่อการดำเนินงานกองทุนเป็นไปอย่างครอบคลุม ทั่วถึงและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จำเป็นต้องมีการร่วมพัฒนาและแลกเปลี่ยนเรียนรู้การดำเนินงานของทั้ง 3 กองทุนในแต่ละพื้นที่ ซึ่งเป็นผลที่จะได้จากการประชุมในครั้งนี้ "เจตนารมณ์ตาม พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 มุ่งให้ประชาชนผู้มีสิทธิกว่า 48 ล้านคน เข้าถึงการรักษาพยาบาลและบริการสาธารณสุขอย่างครอบคลุมและทั่วถึง โดยมีระบบหลักประกันสุขภาพในระดับท้องถิ่นเป็นกลไกหนึ่งที่สำคัญ ซึ่งในมาตรา 47 ได้ระบุถึงความร่วมมือกับ อปท. ในฐานะหน่วยงานหลักที่ใกล้ชิดกับชาวบ้านในพื้นที่และการสนับสนุนจัดระบบหลักประกันสุขภาพในระดับท้องถิ่น ด้วยงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา จากความร่วมมืออันดีโดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น อปท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ส่งผลให้เกิดการเข้าถึงบริการสุขภาพเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย ทั้งการรักษาพยาบาล ส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค และฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์ รวมถึงการดูแลผู้สูงอายุที่อยู่ในภาวะพึ่งพิง และการประชุมในครั้งนี้จะยิ่งก่อให้เกิดการประสานการทำงานที่ดีร่วมกันเพื่อร่วมดูแลสุขภาพประชาชน" เลขาธิการ สปสช. กล่าว ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
Posted: 23 Feb 2018 04:32 AM PST
พูดถึงรัฐใครเดือดเราเพื่อนกัน เห็นทุกวันจิตตกนรกตรงหน้า วันทั้งวันใจระริกจนแทบบ้า ต้องหลับตานั่งนิ่งเยียวยาใจ
หนีก็หนีไม่เคยพ้น อดทนก็แทบจะไม่ไหว ทุกเรื่องทุกประเด็นขัดเคืองใจ อยากหลบไปอยู่ป่าพระธุดงค์
รัฐประหารเข้ามาเพื่อสะสาง แค่ข้ออ้างทำไม่ได้ไม่ประสงค์ ยึดอำนาจสร้างฐานความมั่นคง ดึงประเทศลงหุบเหวทุกข์ระทม
ทำไม่ได้ไม่เข้าใจอะไรซักอย่าง มีแต่สร้างบาดแผลเพิ่มหมกเม็ดถม คืนความสุขแท้ที่จริงทุกคนตรม ทุกวันขมทุกคืนขื่นยืนยังเซ
พูดถึงรัฐใครเศร้าเราเพื่อนกัน หลับตาฝันถึงคืนวันแสงหันเห มวลประชาทนไม่ไหวลุกฮือเฮ เลิกลังเลกล้าแข็งขืนอยุติธรรม.
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
Posted: 23 Feb 2018 04:21 AM PST
นักฉวยโอกาส ! เจ้าดำริจะสร้างชาติให้ยิ่งใหญ่ ชูธงธรรมดำรงค์ซึ่งธงไทย ยึดอำนาจอธิปไตยไปถือครอง
เจ้ากำหนดกฏเกณ์เป็นเวรวรรค อ้างหลักศีลธรรมความถูกต้อง ใช้ปลายมีดขีดเส้นเป็นครรลอง แล้วให้คนทั้งผองสนองมัน
เจ้าอุกอาจขลาดเขลาเบาปัญญา เที่ยวปิดหู ปิดตา ไล่ฆ่าหั่น ละเลงแผ่นดินด้วยอยุติธรรม์ จนบ้านเมืองข้างนอกนั้นหัวเราะเยาะ
นักฉวยโอกาส ยุคแห่งทรราชนั้นแสนเปราะ เมื่อสำนึกแหลมคมบ่มเพาะ มันอาจแตกกระเทาะทลายทับ
เจ้าฉกชิงวิ่งราวจากชาวประชา ก็สำเหนียกเสียด้วยว่าต้องแตกดับ ประวัติศาสตร์ ภายภาคหน้า คณานับ จะจดจารเจ้าไว้กับ อัปยศ !
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ยูนิเซฟชี้เด็กโรฮิงญากว่า 7.2 แสนในเมียนมาร์-บังกลาเทศ อยู่ในอันตรายจากไซโคลน-ความรุนแรง Posted: 23 Feb 2018 03:38 AM PST ยูนิเซฟชี้เด็กชาวโรฮิงญากว่า 720,000 คนในเมียนมาร์และบังกลาเทศตกอยู่ ที่มาภาพ UNICEF/UN0147322/Brown 23 ก.พ.2561 องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย แจ้งว่า องค์การยูนิเซฟเรียกร้องให้มี จากรายงาน LIVES IN LIMBO: No End in Sight to the threats facing Rohingya children ซึ่งเผยแพร่ในวาระครบรอบหกเดื รายงานยังกล่าวอีกว่า มีเด็กชาวโรฮิงญาประมาณ 185,000 คนยังตกค้างอยู่ในรัฐยะไข่ ประเทศเมียนมาร์ ซึ่งกำลังหวาดผวากับเหตุการณ์ "ขณะนี้เด็กชาวโรฮิงญาประมาณ 720,000 คน กำลังติดกับ ไปไหนไม่ได้ – ไม่ว่าจะถูกล้อมไปด้วยเหตุการณ์ รายงานระบุว่า ชาวโรฮิงญาถูกขับไล่จากบ้ ยูนิเซฟได้ออกมาเรียกร้องให้รั "พวกเขาจะไม่กลับบ้านจนกว่าจะมี นับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2560 ยูนิเซฟและองค์กรอื่น ๆ ไม่สามารถเดินทางเข้าถึงพื้นที่ สำหรับในบังกลาเทศ รัฐบาลกำลังดำเนินการป้องกันภั ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
“รัฐ” กับการศึกษารัฐไทย: ไชยันต์ รัชชกูล | กุลลดา เกษบุญชู-มี้ด | วรเจตน์ ภาคีรัตน์ Posted: 23 Feb 2018 02:47 AM PST การอภิปรายจากเวทีเสวนา "รัฐ" กับการศึกษารัฐไทย ไชยันต์ รัชชกูล ชวนตั้งคำถามเมื่อต้องทำการศึกษา "รัฐไทย" กุลลดา เกษบุญชู-มี้ด เสนอประวัติศาสตร์ "รัฐไทย" กับบริบทโลก เพราะเหตุใดคนที่อยู่ในสาขาวิชาการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจึงต้องศึกษาเรื่องรัฐ ขณะที่ วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ชี้ว่ารูปแบบของรัฐ เป็นคำตอบสุดท้ายที่ไม่มีใครคิดถึงแต่ต้น ในการเสวนา "รัฐ" กับการศึกษารัฐไทย เมื่อวันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561 ณ ห้องประชุมสีฟ้า ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มีผู้อภิปรายประกอบด้วย ไชยันต์ รัชชกูล คณะรัฐศาสตร์และคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยาผู้เขียน "อาณานิคมสมบูรณาญาสิทธิราชย์" (The Rise and Fall of the Thai Absolute Monarchy) ซึ่งตั้งข้อสังเกตต่อแนวทางการศึกษาประวัติศาสตร์ รวมทั้งการศึกษาเกี่ยวกับ "รัฐไทย ขณะที่ กุลลดา เกษบุญชู-มี้ด คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เขียนThe Rise and Decline of Thai Absolutism อภิปรายเรื่องเหตุใดคนที่อยู่ในสาขาวิชาการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจึงต้องศึกษาเรื่องรัฐ และ วรเจตน์ ภาคีรัตน์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มองจากมุมกฎหมาย พร้อมเสนอว่าเรื่องรูปแบบรัฐไทย เป็นคำตอบสุดท้ายที่ในแวดวงนักกฎหมายไม่เคยคิดกับเรื่องนี้เลยตั้งแต่ต้น โดยการอภิปรายเป็นส่วนหนึ่งของการเสวนาวิชาการชุด "สะท้อนย้อนคิดสังคมศาสตร์ ศาสตร์สังคม" ครั้งที่ 1 จัดโดย คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมกับ ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และศูนย์พหุวัฒนธรรมและนโยบายการศึกษา สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ Critical mind ในการศึกษารัฐไทย |
ตุลาการธิปไตย #6 เมื่อการใช้ศาลทหารกับพลเรือนถูกทำให้เป็นเรื่องปกติในสังคมไทย Posted: 23 Feb 2018 02:20 AM PST นพพล อาชามาส เล่าช่วงเวลาการใช้ศาลทหารกับพลเรือน กว่า 40 ปีที่ถูกใช้พิจารณาคดีจนเป็นภาวะปกติ ควรถูกมองในฐานะเครื่องมือทางการเมืองระบอบอำนาจนิยม ระบุหากต้องการปลอดรัฐประหารต้องยุติการใช้ศาลทหารกับพลเรือน คลิปการนำเสนอหัวข้อ "ประวัติศาสตร์การเมืองของการบังคับใช้ศาลทหารต่อพลเมืองในประเทศไทย" โดย นพพล อาชามาส
นพพล อาชามาส เจ้าหน้าที่ฝ่ายข้อมูล ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน 18 ก.พ.2561 ในการเสวนาวิชาการ "ตุลาการธิปไตย ศาล และรัฐประหาร" จัดที่ห้องประชุมริมน้ำ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ช่วงหนึ่งเป็นการเสนอบทความ "ประวัติศาสตร์การเมืองของการบังคับใช้ศาลทหารต่อพลเมืองในประเทศไทย" โดย นพพล อาชามาส เจ้าหน้าที่ฝ่ายข้อมูล ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ศึกษาเรื่องกระบวนการใช้ศาลทหารกับพลเรือน นับตั้งการปฏิวัติ 2475 จนถึงการรัฐประหารในปัจจุบัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ในความเป็นจริงแล้วการใช้ศาลทหารกับพลเรือนไม่ได้เกิดขึ้นในสภาวการณ์ไม่ปกติ แต่ถูกทำให้เป็นปกติไปแล้วในสังคมไทย 1,720 คดีที่พลเรือนขึ้นศาลทหาร หลัง รปห. 57 ถึง พ.ย.59 นพพล เริ่มจากการอธิบายว่า ถ้าเป็นคนรุ่นใหม่จะไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับประชาชนถูกดำเนินคดีในศาลทหาร ซึ่งจริงๆ แล้วศาลทหารเคยใช้ดำเนินคดีกับประชาชนในอดีต โดยงานชิ้นนี้ต้องการจัดวางเครื่องมือทางการเมืองคือศาลทหาร ลงไปในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ว่ามีบริบทความเป็นมายังไงบ้าง นพพล ชี้ให้เห็นถึงสถิติในสถานการณ์ปัจจุบันว่า สถิติพลเรือนขึ้นศาลทหารตั้งแต่หลังรัฐประหารจนถึงเดือนพฤศจิกายน ปี 2559 กรมพระธรรมนูญ (ต้นสังกัดของศาลทหาร) มีคดีรวมอย่างน้อย 1,720 คดี จำเลยอย่างน้อย 2,177 คน ถึงแม้ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะมีคำสั่งยุติการนำพลเรือนขึ้นศาลทหารแล้ว แต่คดีจำนวนมากก็ยังไม่สิ้นสุด คดีที่อยู่ในศาลทหารก็ยังคงถูกพิจารณาในศาลทหารต่อไป หลายคดีเป็นไปอย่างล่าช้า ศาลทหารจึงยังจะต้องพิจารณาคดีของพลเรือนไปอีกนาน แย้งประยุทธ์ ชี้ศาลทหารต่างจากศาลอื่นๆ นพพลนำเสนอคำชี้แจงเกี่ยวกับการนำพลเรือนขึ้นศาลทหาร ดังเช่นที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ชี้แจงว่าศาลทหารก็เหมือนกับศาลธรรมดา การใช้ศาลทหารเพราะเป็นสถานการณ์ไม่ปกติ ทำให้ต้องใช้จัดการเพื่อให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย เขามีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับการชี้แจงนี้ว่า จากข้อโต้แย้งที่ว่า "ศาลทหารก็เหมือนกับศาลอื่นๆ" จากรายงานเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนหลายชิ้น ชี้ให้เห็นว่าศาลทหารมีกระบวนการหลายอย่างที่แตกต่างจากศาลพลเรือน ซึ่งจำกัดสิทธิของจำเลยในการเขาถึงกระบวนการยุติธรรม และอีกประเด็นที่บทความชิ้นนี้พยายามทำความเข้าใจคือ ศาลทหารถูกใช้ในสถานการณ์ไม่ปกติจริงรึเปล่า หรือมันถูกใช้มาจนเป็นปกติไปแล้ว นพพล อ้างถึงอดีต ส.ส. คนหนึ่งซึ่งกล่าวไว้ในการประชุมสภาเมื่อปี 2539 ว่า "เวลาปฏิวัติครั้งใด คณะปฎิวัติจะใช้วิธีกำราบประชาชนให้อยู่ในความสงบโดยใช้วิธีประกาศกฎอัยการศึกทั่วประเทศ แล้วอาศัยประกาศคณะปฏิวัติกำหนดให้ศาลพลเรือนเป็นศาลทหารในเวลาไม่ปกติ ซึ่งวิธีพิจารณาความของศาลเหล่านี้เมื่อมีสภาพเป็นศาลทหารแล้ว การพิจารณาเป็นการพิจารณาความพิเศษ ไม่มีทนายความ ไม่มีการอุทธรณ์ ฎีกา ซึ่งเป็นวิธีที่คณะปฏิวัติใช้ทุกสมัยที่มีการปฏิวัติ" ดังนั้นบทความที่ทำจะมีข้อเสนอ 2 ประเด็นหลัก คือ หนึ่ง-การบังคับใช้ศาลทหารต่อพลเรือนหรือการใช้ศาลพิเศษที่แยกออกมาจากศาลยุติธรรมปกติมาดำเนินคดีต่อพลเรือน ไม่ใช่ปัญหาทางนิติศาสตร์เท่านั้น แต่เป็นการดำเนินการทางการเมืองอย่างหนึ่งในฐานเทคนิควิธีในการปราบปรามจัดการฝ่ายตรงข้ามในทางการเมือง รวมถึงการควบคุมสังคม สถาปนาระบอบการปกครอง สอง-ศาลทหารเป็นกลไกทางการเมืองที่คณะปฏิวัติในอดีตหลายชุดใช้ควบคุมอำนาจทางการเมือง โดยมักเกิดขึ้นในลักษณะที่คณะรัฐประหารต้องการควบคุมอำนาจในระยะยาว และต้องการควบคุมสังคมอย่างเข้มข้น ศาลทหารถูกบังคับใช้กับพลเรือนในรูปแบบต่างๆ กันจนแทบจะกลายเป็นเรื่องปกติ "ศาล" และ "กฎหมาย" ในระบอบอำนาจนิยม นพพล กล่าวถึงหนังสือเรื่อง Rule by Law: The Politics of Courts in Authoritarian Regimes โดย Tom Ginsburg ซึ่งศึกษาศาลและการใช้กฎหมายในระบอบอำนาจนิยมในหลายประเทศ โดยอธิบายหน้าที่ของศาลในระบอบอำนาจนิยมว่า คือการใช้ควบคุมสังคมและปราบปรามฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง รวมถึงสร้างความชอบธรรม ใช้เป็นข้ออ้างในการกระทำตามกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม โดยมีรูปแบบการจัดตั้งความหน่วยมั่นคงพิเศษขึ้นมาเพื่อใช้พิจารณาคดีบางประเภท ภายใต้ข้ออ้างของการเข้าไปรักษาความสงบเรียบร้อย แต่นำไปสู่การจัดการฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง โดยมีตัวอย่างในประเทศละตินอเมริกาหลายประเทศในทศวรรษ 1970 มีการใช้ศาลทหารเพื่อปราบปรามฝ่ายซ้ายหรือนักกิจกรรมทางสังคม ส่วนในประเทศไทยจากการศึกษาพบว่าสามารถแบ่งลักษณะการใช้ศาลทหารกับพลเรือนได้เป็น 2 ระยะ ระยะหนึ่ง ช่วงหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 อันเป็นบริบทช่วงการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร์ และฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่พยายามจะช่วงชิงอำนาจคืน ในตอนนั้นรัฐบาลมีประกาศใช้ศาลพิเศษต่อกรณีกบฏที่เกิดขึ้นในช่วงนั้นซึ่งมีประมาณ 4 ครั้ง ลักษณะการใช้ศาลพิเศษจะมีการจัดตั้งแยกออกมาผ่านการออกพระราชบัญญัติโดยสภาผู้แทนราษฎร มีอำนาจพิจารณาคดีเฉพาะที่กำหนดเป็นกรณี แต่มีอำนาจพิจารณาไม่ว่าผู้ต้องหาเป็นพลเรือนหรือทหาร และมีอำนาจพิจารณาคดีในทุกส่วนกฎหมาย และนำวิธีพิจารณาแบบศาลทหารมาใช้ จำเลยไม่มีสิทธิอุทธรณ์ ฏีกา และไม่สามารถแต่งตั้งทนายได้ ตุลาการศาลมีสัดส่วนเป็นทหารค่อนข้างมาก เช่น กรณีกบฏบวรเดชปี 2476 มีการพิจารณาจำเลยทั้งหมดประมาณ 600 คน กบฏนายสิบปี 2478 แม้มีจำเลยไม่มากแต่มีคนถูกตัดสินประหารชีวิต 1 ราย โดยมีระยะเวลาพิจารณาคดีเพียง 1 เดือน เมื่อ จอมพล ป. พิบูลสงครามขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี มีความขัดแย้งทางการเมือง ในปี 2481 ก็มีการประกาศใช้ศาลพิเศษอีกครั้งหนึ่ง มีผู้ถูกดำเนินคดีประมาณ 51 คน ประหารชีวิต 8 คน จากการประกาศศาลพิเศษ เมื่อมีการรื้อฟื้นอำนาจฝ่ายอนุรักษ์นิยม เกิดการบัญญัติกฎหมายรัฐธรรมนูญปี 2489 บัญญัติข้อห้ามในหมวดตุลาการ การตั้งศาลขึ้นใหม่พิจารณาคดีใดคดีหนึ่งโดยเฉพาะจะทำมิได้ บทบัญญัตินี้ได้ถูกบัญญัติในรัฐธรรมนูญต่อไปเกือบทุกฉบับจนถึงรัฐธรรมนูญปี 2560 ดังนั้นรูปแบบการประกาศใช้ศาลพิเศษกับพลเรือนจึงไม่เกิดขึ้นอีกหลังจากนั้น และรูปแบบการใช้ศาลทหารจึงเริ่มต้นขึ้น ศาลทหารในบริบทของสงครามโลกครั้งที่สองน่าจะเป็นครั้งเดียวที่ใกล้เคียงกับการใช้ศาลทหารในเวลาไม่ปกติ ในความหมายว่ามีสถานการณ์การรบหรือสงครามเกิดขึ้นจริงๆ จึงมีความจำเป็นต้องประกาศใช้ศาลทหาร โดยในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองมีการประกาศกฎอัยการศึกหลังญี่ปุ่นยกพลขึ้นบก มีการให้ศาลทหารพิจารณาคดีพลเรือน ระยะที่สอง คือศาลทหารที่ใช้กับพลเรือนเ เริ่มต้นครั้งแรกหลังรัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์ ปี 2501 หลังจากนั้น รัฐประหารในเวลาต่อมาจนถึงปัจจุบัน ก็มีลักษณะใกล้เคียงกับยุคจอมพลสฤษดิ์ เมื่อจอมพลสฤษดิ์รัฐประหาร มีการออกคำสั่งหรือประกาศของคณะรัฐประหาร เพื่อให้พลเรือนขึ้นศาลทหารในความผิดตามที่กำหนด พบว่าสมัยนั้นมีการใช้ศาลทหาร 2 รูปแบบด้วยกัน หนึ่ง-การให้ศาลทหารภายใต้กระทรวงกลาโหมพิจารณาพิพากษาความผิดบางประเภทโดยตรง เช่น ความเป็นคอมมิวนิสต์ ผู้ต้องหาในคดีนี้สามารถถูกควบคุมตัวได้โดยไม่มีกำหนด คำสั่งนี้นำไปสู่การควบคุมตัวผู้แสดงความคิดเห็นทางการเมือง นักเคลื่อนไหว นักกิจกรรมฝ่ายซ้ายจำนวนมาก มีการจับกุมทั่วประเทศไม่ต่ำกว่า 1,000 คน และถูกควบคุมในศาลทหารหลายร้อยคน และไม่มีสิทธิอุทธรณ์ ฏีกา ไม่สามารถแต่งตั้งทนาย หลายคดีมีการยกฟ้องหลังถูกคุมขังไป 6-7 ปี เช่น คดีของจิตร ภูมิศักดิ์ แต่ก็ไม่ได้รับค่าชดเชยใดๆ หลายกรณีมีการถอนฟ้อง จึงเห็นได้ชัดเจนว่าถูกขังไว้เพื่อไม่ให้ทำกิจกรรมทางการเมือง สอง-การประกาศให้ศาลยุติธรรมทำหน้าที่เป็นศาลทหาร พิจารณาคดีความผิดบางประเภท ซึ่งมีคนตั้งข้อสังเกตว่าประเทศไทยอาจเป็นประเทศเดียวที่มีระบบแบบนี้ มีความผิดหลายประเภท เช่น ความผิดเกี่ยวกับเพศ ร่างกาย ทรัพย์ ยาเสพติด จากการระบุความผิดเหล่านี้จะเห็นได้ว่าในสมัยจอมพลสฤษดิ์พยายามเข้ามาจัดการเรื่องอาชญากรรม ศาลทหารรูปแบบนี้จำเลยไม่มีสิทธิอุทธรณ์ ฏีกา ไม่สามารถแต่งตั้งทนายได้เช่นกัน ในช่วงปี 2516 ยุคจอมพลถนอมก็ใช้ประกาศเหล่านี้เช่นเดียวกับจอมพลสฤษดิ์ มีกรณีที่พลเรือนขึ้นศาลทหารจากความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หลังรัฐประหารปี 2519 ก็มีประกาศให้พลเรือนขึ้นศาลทหารอีกครั้ง แบ่งเป็นสองรูปแบบเหมือนเดิม คือศาลทหารพิจารณาคดีคอมมิวนิสต์ ศาลยุติธรรมที่ทำหน้าที่ศาลทหารพิจารณาคดีตามประกาศแนบท้ายคำสั่ง เช่น คดี 6 ตุลา 8 แกนนำนักศึกษาถูกจับกุมนำขึ้นศาลทหาร แต่ต่อสู้คดีไม่เสร็จเนื่องจากมีพ.ร.บ.นิรโทษกรรมในปี 2521 สมัยรัฐบาลพลเอกเปรม (ปี 2523-2531) ได้ออกพ.ร.บ. แก้ไขคำสั่งและปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน คือให้ยกเลิกประกาศแนบท้ายความผิดบางส่วนที่ประกาศให้ศาลยุติธรรมทำหน้าที่เป็นศาลทหาร แต่ยกเว้นความผิดในหมวดพระมหากษัตริย์ ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ และความผิดต่อสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศ จนกระทั่งในทศวรรษ 2530 มีข้อมูลว่ายังมีคดีบางส่วนที่ถูกดำเนินคดีในศาลยุติธรรมที่ทำหน้าที่เป็นศาลทหาร แนะหากให้สังคมไทยปลอดรัฐประหาร ต้องยับยั้งอำนาจศาลทหารดำเนินคดีต่อพลเมืองทุกรูปแบบ นพพล ได้สรุปว่า ดังนั้นจะเห็นว่าช่วงเวลาตั้งแต่ปี 2501-2539 ก่อนมีการประกาศยกเลิกศาลพลเรือนทำหน้าที่เป็นศาลทหารในเวลาไม่ปกติและที่ให้ศาลทหารพิจารณาคดีซึ่งเกี่ยวกับความผิดอันเป็นคอมมิวนิสต์ เป็นระยะเวลาเกือบ 40 ปีที่มีภาวะศาลทหารมีอำนาจพิจารณาคดีของศาลพลเรือน ถ้านับรวมจนถึงปัจจุบัน จึงแทบจะเรียกได้ว่าศาลทหารถูกใช้พิจารณาคดีกับพลเรือนเป็นภาวะปกติ ไม่ใช่ภาวะไม่ปกติตามที่มีการอธิบาย ภาวะที่ไม่มีการใช้ศาลทหารกับพลเรือนอาจเป็นภาวะพิเศษไปด้วยซ้ำ การใช้ศาลทหารต่อพลเรือนอาจเป็นเครื่องมือทางการเมืองของคณะรัฐประหารอีกหากมีการเกิดขึ้นในอนาคต หรือแม้แต่คสช. เองอาจมีการประกาศกลับมาใช้อีกหากมีสถานการณ์ใดเกิดขึ้น ดังนั้นศาลทหารจึงควรถูกมองในฐานะเครื่องมือทางการเมืองหนึ่งในระบอบอำนาจนิยม การให้ประเทศไทยปลอดจากรัฐประหารจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องคิดเรื่องการยุติ ยับยั้งการให้อำนาจศาลทหารในการดำเนินคดีต่อพลเมืองไทยทุกรูปแบบ ตุลาการธิปไตย ศาลและรัฐประหารทั้งนี้ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนร่วมกับเครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง (คนส.) และคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดกิจกรรมทางวิชาการ "ตุลาการธิปไตย ศาลและรัฐประหาร" โดยเป็นส่วนหนึ่งในชุดการเสวนาวิชาการ "ประเทศไทยไม่ทำงาน" (Dysfunction Thailand) ของเครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง จัดที่ห้องประชุมริมน้ำ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เมื่อ 18 กุมภาพันธ์ 2560 สนับสนุนโดยสถานทูตอังกฤษ สถานทูตแคนาดา และมูลนิธิไฮน์ริค เบิลล์ จากเยอรมนี เยาวลักษณ์ อนุพันธุ์ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ชี้แจงความเป็นมาว่า "ศูนย์ทนายฯ นอกจากเป็นองค์กรให้ความช่วยเหลือด้านกฎหมายแล้วยังรวบรวมบันทึกข้อมูลการละเมิดสิทธิมนุษยชนหลังรัฐประหาร ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ในยุคนี้ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง การปฏิรูป การแก้ไข การเยียวยา" "จากการทำงานรวบรวมข้อเท็จจริงต่างๆ เรามีข้อมูลอยู่จำนวนหนึ่ง ที่ทำให้เห็นว่าครั้งนี้คสช.ไม่ได้ใช้อำนาจทหารเพียงลำพัง แต่มีการใช้กระบวนการทางกฎหมาย ทั้งประกาศคำสั่งหัวหน้า คสช. กฎหมายปกติ กระบวนการยุติธรรม และอำนาจตุลาการที่เข้ามารับรองการกระทำของเจ้าหน้าที่ทหารของคสช. ละเมิดและจำกัดสิทธิของประชาชน ทำให้สถานการณ์ขณะนี้ทั้งประชาชนธรรมดา นักข่าว นักวิชาการ ทนาย ก็สามารถตกเป็นผู้ต้องหาได้โดยไม่รู้ตัว" นอกจากนั้นหลังรัฐประหารยังมีประกาศใช้ศาลทหารกับพลเรือน แม้ภายหลังคสช.จะยกเลิกการใช้ศาลทหารกับพลเรือนในวันที่ 12 กันยายน 2559 แต่ก็ยังมีคดีของประชาชนที่ยังดำเนินการที่ศาลทหารอยู่ เช่น คดีเลือกตั้งที่ (รัก) ลัก คดีประชามติ ในช่วงสิงหาคม 2559 "เราจึงเห็นว่าควรทำงานร่วมกับนักวิชาการ เพื่อเปิดมุมมองว่าเบื้องหลังข้อเท็จจริงและเหตุการณ์มันเกิดอะไรขึ้น โดยร่วมมือกับนักวิชาการสถาบันต่างๆ เป็นที่มาของการนำเสนอบทความ 5 บท และภาพรวมของรัฐประหาร และศาล"
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ส่งตัว 'แซม โสกา' กลับกัมพูชา สะท้อนสถานะผู้ลี้ภัยที่อ่อนแอและความสัมพันธ์รัฐที่ชื่นมื่น Posted: 22 Feb 2018 11:06 PM PST กรณีที่ทางการไทยจับกุม แซม โสกา นักเคลื่อนไหวแรงงานเมื่อวันที่ 5 ม.ค.61 แล้วส่งกลับไปให้กัมพูชาเมื่อวันที่ 8 ก.พ. ที่ผ่านมา สร้างความกังวลให้และข้อกังขากับองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนหลายองค์กร และมีการคาดการณ์ว่า เป็นดีลลับระหว่าง ฮุน เซน กับรัฐบาลทหารไทย ในการแลกเปลี่ยนผู้ลี้ภัยทางการเมือง
ภาพ ซ้าย : แซม โสกา นักเคลื่อนไหวแรงงาน, ภาพขวา : ฮุน เซน หารือทวิภาคี กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อ 9 ต.ค.59 (ที่มาภาพเว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล) การทำงานร่วมกันของตำรวจไทยกับกัมพูชาในการส่งตัวผู้ลี้ภัยกลับประเทศที่เกิดขึ้นโดยฉุกละหุก นับตั้งแต่ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม แซม โสกา ในวันที่ 5 ม.ค. 2561 และส่งตัวกลับในวันที่ 8 ก.พ. 2561 ใช้ระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือนกว่า ในระหว่างนี้ ทนายความของแซม โสกา ได้ยื่นคำร้องขออุทธรณ์ข้อหาเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และพยายามให้มีบันทึกว่าเธอปฏิเสธที่จะเดินทางกลับกัมพูชา แต่สุดท้าย แซม โสกาก็ถูกส่งตัวกลับ แม้ บุษฎี สันติพิทักษ์ อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า การส่งตัว แซม โสกา กลับประเทศ เป็นการปฏิบัติตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ของไทย และเป็นความร่วมมือระหว่างตำรวจทั้งสองประเทศ และเชื่อว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการพิจารณาเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบแล้วว่าการส่งตัว แซม โสกา กลับไปกัมพูชา จะไม่เป็นภัยต่อบุคคลดังกล่าว แต่ก็เป็นที่ชัดเจนว่า แซม โสกา ถูกศาลกัมพูชาพิพากษาลับหลังว่าเธอมีความผิดข้อหาดูหมิ่นเจ้าพนักงาน และปลุกปั่นยุยงเพื่อสร้างความแตกแยก มีโทษจำคุก 2 ปี จากกรณีที่มีวิดีโอของเธอขว้างรองเท้าใส่ป้ายที่มีภาพของ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรี และเฮง สัมริน ประธานสภา เหตุการณ์นี้ทำให้เครื่องหมายคำถามตัวโตว่าทางการไทยมีความรู้ ความเข้าใจเรื่องการปฏิบัติต่อผู้ลี้ภัยทางการเมืองมากน้อยขนาดไหน เพราะขนาดผู้ลี้ภัยที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของ UNHCR ที่สะท้อนว่าชีวิตของบุคคลนั้นจะอยู่ในภาวะอันตรายหากอยู่ในประเทศต้นทางก็ยังถูกส่งกลับ แล้วผู้ลี้ภัยชาวกัมพูชาจำนวนมากในไทยที่ไม่มีสถานะผู้ลี้ภัยจะต้องเผชิญชะตากรรมอย่างไร แม้ไทยไม่ได้ผูกพันกับอนุสัญญานานาชาติเรื่องการรับผู้ลี้ภัย แต่จารีตประเพณีระหว่างประเทศเรื่องการไม่ส่งตัวผู้ที่หนีภัยอันตรายจากประเทศต้นทางกลับไปก็ยังเป็นที่ผูกพันกับไทยและกัมพูชาในฐานะสมาชิกของประชาคมโลก แบรด อดัมส์ ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชีย ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าวว่า ประเทศไทยตระหนักเป็นอย่างดีว่า แซม โสกาได้รับสถานะเป็นผู้ลี้ภัย แต่ก็ยังส่งตัวเธอกลับไปกัมพูชา ซึ่งมีความเสี่ยงที่เธอจะได้รับโทษจำคุกเนื่องจากการแสดงความเห็นทางการเมือง "เป็นเรื่องน่าเศร้าแม้จะไม่น่าประหลาดใจที่รัฐบาลทหารเอาอกเอาใจรัฐบาลเผด็จการเพื่อนบ้าน แต่พวกเขาก็ไม่ควรกระชับความสัมพันธ์ต่อกันโดยเอาผู้ลี้ภัยมาเป็นเหยื่อ" ผู้ลี้ภัยกัมพูชาหลบมาไทยจำนวนมากแหล่งข่าวจากองค์กรที่ช่วยเหลือทางกฎหมายกับผู้ลี้ภัย ให้ข้อมูลกับประชาไทว่า สถานการณ์ของกัมพูชาค่อนข้างเข้มมากขึ้นหลังมีข่าวที่สภาผ่านกฎหมายให้ยุบพรรคฝ่ายค้านเมื่อปลายปีที่แล้ว ทำให้มีผู้ลี้ภัยกัมพูชามาไทยจำนวนมาก ประเทศไทยไม่ได้เป็นภาคีในอนุสัญญาผู้ลี้ภัยกับทางข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) จึงไม่ได้เป็นประเทศที่รับผู้ลี้ภัยให้มาตั้งถิ่นฐานในประเทศได้ถาวร เป็นเพียงประเทศทางผ่านไปยังประเทศที่สามเท่านั้น ทางเลือกของผู้ลี้ภัยในไทยภายใต้กระบวนการการขอสถานะเป็นผู้ลี้ภัยจึงมีอยู่สองทาง หนึ่ง เดินทางกลับประเทศที่ออกมา สอง ขอสถานะผู้ลี้ภัยแล้วรอไปอยู่ที่ประเทศที่สาม แหล่งข่าวรายเดิมระบุว่า กระบวนการในการที่ผู้ลี้ภัยจะขอสถานะผู้ลี้ภัยจาก UNHCR ตั้งแต่แรกเริ่มจนไปสุดกระบวนการก็ใช้เวลา 1-2 ปี หากไม่ติดขัดในขั้นตอนใด หากได้รับการปฏิเสธและจะอุทธรณ์ก็ต้องใช้เวลามากกว่าเดิม การอาศัยอยู่ในประเทศทางผ่านอย่างไทยมีแรงกดดันต่อผู้ลี้ภัยหลายประการ ผู้ลี้ภัยบางกลุ่มเข้ามาโดยผิดกฎหมาย เช่น เข้ามาตามช่องทางธรรมชาติ และจะมีกลุ่มที่เข้ามาอย่างถูกกฎหมาย ก็คือเข้ามาด้วยวีซ่านักท่องเที่ยวแต่ว่าอยู่เกินระยะเวลาที่กำหนด นอกจากนั้น การที่ไทยบังคับใช้ พ.ร.ก. การบริหารจัดการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 ทำให้นายจ้างตื่นตัวเรื่องการพิสูจน์สัญชาติของลูกจ้างต่างด้าวมากขึ้นก็ทำให้ผู้ลี้ภัยมีความเสี่ยงต่อการถูกตรวจพบมากขึ้น โดยเฉพาะกรณีที่เข้าเมืองและทำงานอย่างผิดกฎหมาย ไม่สามารถมีเอกสารที่จะใช้พิสูจน์สัญชาติได้ ผู้ลี้ภัยไทยในกัมพูชา หวั่น ถูกส่งกลับไทย เพราะดีลแลกตัวในขณะที่ผู้ลี้ภัยทางการเมืองชาวไทยในกัมพูชาคนหนึ่ง นามสมมติ สมชาย บอกกับประชาไทว่า สถานการณ์ผู้ลี้ภัยไทยในกัมพูชายังไม่มีการเปลี่ยนแปลง คือผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่ก็ไม่ได้รับการรับรองดูแลจากรัฐหรือมีสถานะผู้ลี้ภัยที่รับรองโดยรัฐบาลกัมพูชา สามารถอยู่ในกัมพูชาไปได้เรื่อยๆ หากไม่ได้ทำผิดกฎหมายหรือก่อความวุ่นวาย เขากล่าวว่า รู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่นักเคลื่อนไหวกัมพูชาถูกประเทศไทยส่งกลับ "ผมก็รู้สึกเขินๆ อายๆ ว่า เรามาแอบที่นี่ได้ แต่คนเขมรที่ไปแอบที่ไทยกลับถูกส่งกลับ ถ้าเราไปอยู่ที่อื่น ความรู้สึกตรงนี้คงจะไม่มี" สมชายหลบมาอาศัยที่กัมพูชาเพราะถูกกล่าวหาว่า ละเมิดมาตรา 112 หรือ กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เมื่อถามว่า การที่กัมพูชาออกกฎหมายหมิ่นฯ เองยิ่งทำให้สมชายรู้สึกกลัวว่าจะถูกส่งกลับไทยหรือไม่ เขาตอบว่า "ก็อาจจะเกี่ยวก็ได้ ก็คาดไว้ห้าสิบห้าสิบว่าเขาจะใช้อันนี้เป็นข้อต่อรองแลกเปลี่ยนผู้่ลี้ภัยทั้งสองฝ่ายหรือเปล่า แต่ก็ได้ยินว่า กฎหมายนี้รัฐบาลกัมพูชาเอาไว้ใช้กับนักกิจกรรมกัมพูชามากกว่า" เขากล่าวต่อว่า สถานการณ์นี้ยิ่งบีบให้เขาต้องเร่งหาทางลี้ภัยไปประเทศที่สาม เพราะไม่อยากถูกส่งกลับไทย ส่วนผู้ลี้ภัยไทยที่ไม่ขอระบุชื่ออีกคนซึ่งไม่ต้องการลี้ภัยไปประเทศที่สาม กล่าวว่า ถ้ามีการส่งตัวกลับก็ยินดีเข้าสู่กระบวนการ ถือว่ายังคงอยู่ในกระบวนการต่อสู้ การออกมาอยู่ข้างนอกไม่ได้หมายความว่ายุติการต่อสู้ การถูกส่งตัวกลับก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งในการต่อสู้อยู่ดี
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ความอยู่รอดของท่านผู้นำ(ทหาร) จากอดีตสู่ปัจจุบันจากปัจจุบันสู่อดีต Posted: 22 Feb 2018 07:48 PM PST การเมืองภายในประเทศในปัจจุบัน เต็มไปด้วยกระแสของการเรียกร้องประชาธิปไตย ตั้งแต่การล้มรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ทำให้กระแส Hero of Politic มาแรงซึ่งกระแสนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วและโด่งดังมากในสมัยรัฐบาลของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในปี พ.ศ. 2501-2506 ซึ่งในขณะนั้นประชาชนนิยมชมชอบในตัว จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์มากและจอมพลจอมพลสฤษดิ์เองก็เปรียบตัวเองเป็นเหมือนดาราภาพยนตร์ มีการโปรโมตและลงพื้นที่พบปะประชาชนอย่างแพร่หลาย
ทำไมทหารต้องยุ่งเกี่ยวทางการเมือง ในปัจจุบันเราจะเห็นการมีบทบาทในสังคมค่อนข้างมาก และยิ่งปัจจุบันนี้ก็ยิ่งมากกว่าเดิม ในทัศนะคติส่วนใหญ่ มองว่าทหารคือผู้ที่ต้องคอยดูแลความเรียบร้อย และรักษาความปลอดภัยของประเทศ ในปัจจุบันผมมองว่าหน้าที่ของทหารเริ่มที่จะแปรเปลี่ยนไปมากพอสมควร ในต่างประเทศที่พัฒนาแล้วมีบ้างที่ทหารจะมีหน้าที่ในการเข้ามาดูแลความเรียบร้อย โดยเฉพาะทางการเมืองน้อยครั้งที่จะมาเล่นการเมืองด้วยตนเอง แต่ในสังคมไทยตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน สังคมไทยถูกรัฐประหารถึง 13 ครั้งนับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ถือว่ามีความถี่มากทีเดียวในสังคมที่เรียกตัวเองว่าเป็นประชาธิปไตย และการรัฐประหารส่วนใหญ่ทหารก็จะขึ้นมาเป็นรัฐบาลเสียเอง สิ่งนี้เองการเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของสังคมไทย เป็นวัฒนธรรมทางการเมืองที่ยังต้องการทหารในมีส่วนร่วมทางการเมือง แทนที่จะกันออกไปเมื่อรัฐประหารเสร็จสิ้นและคืนอำนาจในประชาชนดังเช่นประเทศที่พัฒนาแล้ว วัฒนธรรมทางความคิดที่ต้องการทหาร ทำให้สร้างกระบวนการทางความคิดให้กับกองทัพว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่สงบทางการเมืองจึงเป็นหน้าที่ของทหารที่ต้องยุติปัญหา ซึ่งก็ถูกต้องส่วนหนึ่งที่ทหารต้องเข้ามาควบคุมเหตุการณ์ความรุนแรงของบ้านเมือง แต่คำถามอยู่ที่ว่าเหตุใดการเข้ามาของทหารจึงต้องล้มรัฐธรรมนูญล้มรัฐบาล และกระบวนการทางประชาธิปไตย และขึ้นมาเป็นผู้นำรัฐบาลด้วยตนเอง
ประชาชนต้องการทหารจริงหรือ? หากจะมองในบริบทและบทบาทของกองทัพอย่างเดียวเห็นจะไม่สมควร จึงต้องกลับมามองที่ประชาชนบ้าง ย้อนกลับไปในเหตุการณ์การการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 มีการเปลี่ยนประเทศจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งในคณะนั้นมีสถาบันพระมหากษัตริย์มีอำนาจสูงสุด ไปสู่ระบอบที่เรียกไม่เต็มปากว่าระบอบประชาธิปไตย ซึ่งในอำนาจอธิปไตยแก่ประชาชนเสมอกัน ซึ่งต่อมามีการตั้งคำถามถึงการเกิดขึ้นของกระแสเปลี่ยนแปลการปกครอง 2475 มีวาทกรรมทางการเมืองตั้งคำถามต่อคณะราษฎรสมัยนั้นว่า "ชิงสุกก่อนห่าม" ทางการเมืองหรือไม่ รีบเปลี่ยนแปลงไปรึปล่าวเพราะสังคมในสมัยนั้นอาจจะยังไม่พร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลง ทหารมีหน้าที่ถือปืนหรือถือไมค์หาเสียงกันแน่? จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันสังคมไทยนั้นต่างเคยชินกับการรัฐประหารและการฉีกรัฐธรรมนูญกันอยู่แล้ว ทำให้ทหารจำต้องเปลี่ยนลูกเล่นใหม่ทางการเมือง ซึ่งจะได้ไม่ทำให้ประชาชนเบื่อหน่ายและพร้อมกับสร้างภาพลักษณ์ผู้นำทางการเมืองของทหารมากขึ้น
อำนาจปลายกระบอกปืน การที่คนเราได้สิ่งได้มาง่ายและได้มาด้วยอำนาจตนเองต่างก็ไม่รู้คุณค่าสิ่งที่ตนเองได้มาทั้งนั้น เป็นหลักตรรกะง่ายๆ การขึ้นมามีอำนาจของทหารก็เช่นกัน อำนาจทางการเมืองที่ทหารได้มานั้นก็ล้วนมาจากอำนาจปลายกระบอกปืนที่กดท้ายทอยประเทศเอาไว้ เป็นอำนาจที่ที่ทหารใช้เพื่อให้ได้มาซึ่งการปกครองสูงสุด ไม่ได้เป็นอำนาจที่ได้มาจากระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนเลือกเข้ามาและมอบอำนาจให้บริหารประเทศ จึงทำให้ทหารไม่เห็นคุณค่าจากประชาชน เพราะไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ตนมีอำนาจ ประชาชนไม่ได้ใหญ่ที่สุดในความคิดของกองทัพและทหาร
ถอดบทเรียนในอดีตสู่ ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเห็นได้ว่าการขึ้นมาสู่อำนาจของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 นั้นเป็นการขึ้นมามาอำนาจของกองทัพครั้งล่าสุดนับตั้งแต่รัฐประหาร 19 กันายายน 2549 จะเห็นได้ว่าการเมืองช่วงปี 2550 -2557 นั้นลุกล้มคลุกคลานพอสมควร จึงเป็นช่องทางอันนำไปสู่การรัฐประหาร โดยเฉพาะปี 2557 ที่ประชาชนเริ่มเบื่อหนายนักการเมืองและการเมืองมีท่าทีจะนำไปสู่ความรุนแรงระหว่าง นปช และ กปปส จึงเหมือนเป็นช่วงเวลาที่หอมหวานและประจวบเหมาะของการเข้ามาของกองทัพ จนกระทั้งเกิดการรัฐประหารขึ้น ประชาชนจำนวนมากมีความยินดีที่ทหารยึดอำนาจและมีประชาชนจำนวนไม่น้อย ได้นำดอกไม้และพวงมาลัยให้แก่ทหาร จึงนับเป็นช่วงเวลาประสบความสำเร็จของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะ คสช. ที่เหมือนเป็น Hero ของประชาชนมายุติความขัดแย้ง ยำเตือนถึงทัศนะคติทางความคิดลึกๆของประชาชน ว่าไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานการเมืองจะพัฒนาไปมากแค่ไหน แต่ก็ยังต้องการเผด็จการทหารอยู่ดี แต่ระยะเวลาต่อมาพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะก็ได้เริ่มแสดงความเป็นทหารออกมาด้วยการบริหารที่ย่ำแย่ ประกอบกับการพยายามปิดกั้นการแสดงออกของประชาชน และการคอรัปชันอันเน่าเหม็นของรัฐบาลผ่านโครงการต่างๆ นำไปสู่การมีอยู่ของรัฐบาล Hero ของประชาชน ในระยะปีสองปีมานี้ก็ได้มีกระแสเรียกร้องประชาธิปไตยมากขึ้นจากประชาชนในสังคม พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา แม้จะพยายามทำตัวให้เป็นนักการเมืองและออกนโยบายประชานิยมต่างๆ แต่ก็ล้มเหลวย้ำเตือนหน้าที่ของทหารมากขึ้นว่าไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยวทางการเมืองในระยะยาว ประกอบกับสื่อปัจจุบันที่พัฒนาไปไกลทำให้ทหารไม่สามารถตามทันและควบคุมไว้ได้ดังเช่นอดีต ประกอบกับพี่ใหญ่ร่วม ครม. ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาเองก็เริ่มส่งกลิ่นการคอรัปชั่นมากขึ้น แต่รัฐบาลก็ไม่ยอมเรียนรู้บทเรียนจากอดีตที่ได้จากการพยายามบริหารของทหารที่มักล้มเหลว และถูกต่อต้านและขับไล่จากประชาชน แม้ว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาจะมาอย่างอัสวินขี่ม้าขาวฮีโร่ของประชาชน ก็อาจมีจุดจบเหมือนสุนัขข้างถนนถูกขับไล่จากสังคมได้ เช่น จอมพล ถนอม กิตติขจร หรือ พลเอก สุจินดา คราประยูร ที่ถูกสังคมต่อต้านและขับไล่ เผด็จการทหารในประเทศไทยไม่เรียนรู้การคืออำนาจให้กับประชาชนและอยู่อย่างรัฐบุรุษ เพียงขึ้นมายุติความขับแย้งผมเชื่อว่าหากสังคมทหารเรียนรู้ที่จะคืออำนาจแก่ประชาชน ไม่คิดสืบทอดอำนาจ จะได้รับความนิยมจากประชาชนมิใช่น้อย กลับมาที่รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มีเรื่องเสื่อมเสียมากกว่าที่สังคมจะรับได้ แต่ก็ยังลุแก่อำนาจไม่ยอมคืนอำนาจอธิปไตยให้แก่ประชาชนเป็นผู้กำหนดอนาคตประเทศด้วยตนเอง ยังคงเดินหน้าด้วยปลายกระบอกปืนอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้เรียนรู้ที่จะยอมคืนอำนาจเมื่อสังคมต้องการ "ผมขอฟังธงอย่างแน่นอนว่าหากยังคงดื้อดึงต่อไป จะจบไม่สวยอย่างแน่นอน เพราะท่านและคณะของท่านลืมอำนาจสูงสุดของประเทศนี้เสียแล้วคืออำนาจจากประชาชน"
จากที่ได้กล่าวมาแล้วดังข้างต้น จะเห็นความสัมพันธ์ของทหารในการเมืองไทย ที่มีความสัมพันธ์อย่างเหนียวแน่น และเปรียบเหมือนองค์กรทางการเมืององค์การหนึ่ง มีการสร้างวัฒนธรรมของทั้งประชาชน และทหารในทางการเมือง จึงทำให้เกิดการแทรกแซงทางการเมืองหลายครั้งของทหาร ฉีกรัฐธรรมนูญอันได้มาจากประชาชนและเขียนรัฐธรรมนูญที่เป็นเผด็จการเปิดช่องให่สืบทอดอำนาจต่อไป การเมืองไทยจึงเต็มไปด้วยการรัฐประหารและฉีกรัฐธรรมนูญหมุนวนอยู่ซ้ำๆ เป็นการปิดกั้นการพัฒนาไปสู่สังคมที่เป็นประชาธิปไตย ประชาชนในประเทศขาดการพัฒนาทางการเมือง เพราะต้องถูกทั้งการปิดกั้นจากทหารและปิดกั้นจากความคิดทางสังคม
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
คณะกรรมนโยบายสุขภาพแห่งชาติ โดยใคร เพื่อใคร? Posted: 22 Feb 2018 07:12 PM PST
จากร่างแผนการปฏิรูประบบสุขภาพปี 2560-2564 หลังการปิดประตูคุยกันเองของคณะกรรมการทีมีใจเสนานิยม ครั้งที่ 3 ที่นำโดย ประธาน นพ.เสรี ตู้จินดา และคณะที่เลือกสรรมาโดย คสช. ที่ปราศจากตัวแทนภาคประชาชน เพราะเป็นแผนปฏิรูปประเทศ ที่มีหลักคิดที่เห็นประชาชนเป็นเพียงเป้าหมายการพัฒนา ซึ่งเป็นความคิดที่ล้าหลังของกระบวนการพัฒนาอย่างสูงที่ทำให้ขาดการมีส่วนร่วม ขาดการเคารพซึ่งสิทธิของประชาชนในการดูแลสุขภาพตนเอง รอเพียงการรับบริการจากผู้ให้บริการ ผลของระบบบริการคงได้ผลลัพธ์ที่ล้มเหลวเหมือนเดิม เมื่อเป้าหมายมองประชาชนเป็นเพียงแค่ผลลัพธ์ กระบวนการจัดทำแผนปฏิรูปประเทศ จึงทำโดยกลุ่มและเครือข่ายผู้ให้บริการ ขาดการมีส่วนร่วม และความเป็นเจ้าของของภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ที่วันนี้ถือเป็นปัจจัยสำเร็จที่รับรู้กันทั่วไป นับเป็นความล้าหลังของเครือข่ายราชการที่ยังอาจหาญมากำหนดแผนปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข ที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นการปฏิรูปโดยพวกพ้อง เพื่อพวกพ้องเท่านั้น โดยมีแผนด้านต่างๆ ตามภาพประกอบ โดยขอเสนอตัวอย่างรูปธรรมความล้มเหลวของแผนปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข ดังต่อไปนี้ 1. การปฏิรูปการกำหนด และติดตามนโยบาย (policy and regulators) ก. การกำหนดให้มีคณะกรรมนโยบายสุขภาพแห่งชาติ (National Health Policy Board : NHPB) หรือเรียกง่ายๆ ว่า ซุปเปอร์บอร์ด องค์ประกอบของคณะกรรมการ 80-20 แต่ไม่ระบุองค์ประกอบ จะทำให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมได้อย่างไร โดยคาดว่าคงเต็มไปด้วยตัวแทนจากภาคราชการ และกลุ่มผู้ใกล้ชิดที่มีที่มีหลักคิดแบบเสนานิยม และนิยมการสงเคราะห์คนยากจนอนาถามากกว่าการพัฒนาประเทศให้เป็นรัฐสวัสดิการเพื่อประชาชน เหมือนคณะกรรมการชุดอื่นๆที่ผ่านมา เช่น คณะกรรมการด้านการแก้ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพ จึงมีความสุ่มเสี่ยงอย่างสูงต่อการตัดสินใจที่ขาดการคำนึงและการรับฟังที่เปิดกว้างจริงใจ รอบคอบจากทุกภาคส่วน จึงมีข้อเสนอที่เหมาะสมกว่า โดยที่ประเทศไทยมีกฎหมาย พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติอยู่แล้ว ในกฎหมายกำหนดให้มีคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งมีองค์ประกอบครอบคลุมทุกภาคส่วน (ไม่ใช่กรรมการสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ) ครบถ้วนอยู่แล้ว น่าจะเหมาะสม ชัดเจนกว่า การไปรอ ยกร่างกฎหมายใหม่ตามที่ระบุในแผนปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข
ข. การปรับโครงสร้างกระทรวงสาธารณสุขก็ขาดความชัดเจนในการปฏิรูประบบราชการให้เหมาะสม มีประสิทธิภาพ ลดความซ้ำซ้อนบทบาทของกระทรวงฯที่เป็นทั้งผู้กำกับติดตามนโยบาย และเป็นผู้จัดบริการ (เจ้าของ รพ.) ไปด้วย ทำให้การกำกับติดตามไม่จริงจังอย่างที่ควรจะเป็น เกิดพฤติกรรมที่เกรงใจเพื่อนผองน้องพี่มากกว่าประชาชน และการกระจายอำนาจสู่เขต และชุมชนจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงมายาคติโฆษณาชวนเชื่อต่อประชาชน ทั้งๆที่ความเป็นจริงนั้นเป็นเพียงการถ่ายโอนภารกิจจากส่วนกลางสู่เขต โดยที่ปลัดกระทรวงฯ ก็ยังสามารถสั่งการ และให้คุณให้โทษผู้แก่ตรวจราชการกระทรวงได้ดั้งเดิม 2. การปฏิรูปผู้จัดซื้อบริการ (purchasers) ที่ขาดการกำหนดโครงสร้างที่สมดุลเป็นธรรม เสี่ยงต่อการกำหนดทิศทางนโยบายที่มุ่งเน้นความเห็นแบบเสนานิยม และการสงเคราะห์คนยากจนอนาถามากกว่ารัฐสวัสดิการเพื่อประชาชน มองการจัดบริการสุขภาพให้ประชาชนเป็นภาระของประเทศ ไม่ใช่การลงทุนเพื่อประชาชน แต่กับพวกพ้องกลับมองว่าเป็นสวัสดิการ ร่วมไปถึงการร่วมจ่าย ณ จุดบริการที่เสี่ยงต่อการเข้าถึงไม่บริการ ที่เปรียบได้กับการตอกลิ่มทิ่มแทงเพิ่มช่องว่างความเหลื่อมล้ำให้มากยิ่งขึ้น 3. การปฏิรูปผู้จัดบริการ (providers) ก. การปฏิรูประบบบริการปฐมภูมิที่ขาดการมีส่วนร่วมของผู้จัดบริการที่หลากหลาย เหมาะสมกับบริบทที่ต่างๆ ของแต่ละพื้นที่ และกลุ่มประชาชนทั้งจากภาครัฐนอกกระทรวงสาธารณสุข และเอกชน รวมไปถึงภาคประชาชนที่เป็นผู้รับผลงานที่แท้จริงจากบริการปฐมภูมิที่ดีมีคุณภาพถึงประชาชนได้จริง มิใช้มีแค่เพียงต้นแบบที่ยึดติดภาพของกระทรวงแบบเดิมๆ อยู่ร่วมไปถึงการเสริมพลัง เปิดโอกาสให้ท้องถิ่นและชุมชนเข้ามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ และติดตามประเมินผลมากขึ้น ที่จะต่อยอดเสริมความเป็นเจ้าของระบบสุขภาพของชุมชน ลดการนำของระบบราชการจากคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ (พชอ.) ที่จะมีบทบาทได้อย่างแท้จริง ข. การพัฒนาอัตรากำลังที่ขาดรายละเอียดในการกระจายบุคลากรที่เป็นธรรม ลดระบบอุปถัมภ์ และเชื่อมโยงกับการปฏิรูประบบราชการที่เป็นรูปธรรม มุ่นเน้นประสิทธิภาพของระบบที่แท้จริง ดังนั้นหากให้ประเทศไทยเดินหน้าได้จริง ต้องหยุดคิดว่าประเทศไทยเป็นของพวกคุณเท่านั้น แต่เป็นของคนไทยทุกคนที่จะดำเนินการปฏิรูปประเทศไปด้วยกันเพื่ออนาคตที่ดีของลูกหลานสืบไป
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
You are subscribed to email updates from ประชาไท. To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google, 1600 Amphitheatre Parkway, Mountain View, CA 94043, United States |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น