โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันอาทิตย์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

กวีประชาไท: ยุทธศาสตร์ของเหล่าคนดีศรีธนญชัย

Posted: 25 Feb 2018 09:03 AM PST

 

ยามยุคยากเย็นยี้เช่นนี้หรือ    อดทนถือศีลสัตย์ขัดเคืองเข็ญ

ตระบัดสัตย์ศีลบาดขาดกระเด็น    ปลิ้นปล้อนเป็นคนดีศรีธนญชัย

เขาอยู่ดีมีสุขในยุคนี้    เงินเดือนดีภาษีอากรใครป้อนให้

ความมั่นคงจงอย่าขัดขจัดภัย    อ้างเอาใช้เป็นฉากตู่ถูลู่ถูกัง

เขาแบ่งแยกแทรกปกครองทำนองเก่า    เข้าชำเรากาลเวลากะลางั่ง

ประกาศกฏหลายหลากมากมายสั่ง    โรดแมปยังเงาเลือนเลื่อนเรื่อยไป

สร้างระบอบประชาธิปไตยไทยนิยม    สูตรผสมกลมกล่อมพร้อมจะใช้

ยุทธศาสตร์ 20 ปีคือนี่ไง    "ประชาธิปไตยไทยนิยม"

ใครเป็นใครในคณะกรรมการ    เหล่าพ่อค้าทหาร ผสานผสม

เพลง "ใจเพชร"ทำมาพาอารมณ์    ฟังรื่นรมย์เหมือนคมมีดกรีดเฉือนใจ

ทั่นผู้นำพาร้องรำทำเพลงขาย    หารายได้ให้แม่น้ำ 5 สายได้ไหม

ไม่ต้องเอาภาษีที่เก็บไป    ไปจ่ายให้แม่น้ำ 5 สายพวกขายวิญญาณ

สงสารประชาชนคนไทยทั้งหลาย    ปลิงทากสบายเฉิดฉายฉะฉาน

คนดีศรีธนญชัยใช้เชี่ยวชาญ    จดจำไว้ประจานลูกหลานเอย.


 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ปรากฏการณ์สื่ออเมริกันสะท้อนกระแสข่าวล็อบบี้ของทักกี้

Posted: 25 Feb 2018 08:57 AM PST

 

งานนี้ ทักกี้อยู่เบื้องหลังอีกแล้ว!! (กับการ) ล็อบบี้นักการเมืองและคนอเมริกันให้หันมาโจมตีต่อรัฐบาลเผด็จการทหารของไทย (คสช.) 555??

แต่คราวนี้ดูเหมือนการล็อบบี้ที่ว่าจะไม่ได้เกิดขึ้นจริง (ล่ะมั้ง?) เพราะในช่วงหลายเดือนมานี้ ไม่มีนักการเมืองอเมริกันหน้าไหน ออกมาพูดให้สัมภาษณ์ขย่มรัฐบาลคสช. แม้สักคนเลย ถ้าทักกี้และเครือข่ายฯ จ่ายเงินผ่านล้อบบี้ยีสต์ที่วอชิงตันดีซีจริงป่านนี้คงได้เห็นนักการเมืองอเมริกันออกมาวิพากษ์วิจารณ์การเมืองไทยกันให้ขรมแล้ว

อย่างที่ทราบกัน หากกลับไปตรวจสอบสื่อต่างๆ โดยเฉพาะสื่ออเมริกันจนถึงขณะนี้ยังไม่ปรากฏท่าทีของฝ่ายการเมืองของอเมริกันต่อการเมืองไทยบนสื่อใดๆ เลย

ทั้งนี้ทั้งนั้น มิใช่ว่าการตั้งข้อสงสัยเชิงหวาดระแวงของสลิ่มชน(ไทย) จะไม่มีมูลความจริง เพราะก่อนหน้านี้ การล็อบบี้เชิงการเมืองระหว่างประเทศได้บังเกิดขึ้นจริงที่แคปปิตัล ฮิลล์ และมันส่งผลต่อสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศเพื่อนบ้านของไทย อย่างเมียนมาร์ซึ่งเป็นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในประเทศเดียวกันนี้ คือ เปลี่ยนจากรัฐบาลสล็อคของนายพลตานฉ่วย เป็นรัฐบาลประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้งภายใต้การนำของนางอองซานซูจี

แม้ว่าในที่สุดแล้ว ผู้นำหญิงของเมียนมาร์นางนี้ จะไม่ประสบผลสำเร็จในการแก้ไขปัญหาสิทธิมนุษยชนในประเทศ ด้วยเหตุแห่งปัญหาโรฮิงญาก็ตาม แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมืองของเมียนมาร์ครั้งสำคัญ คือพลิกจากรัฐบาลทหารเป็นรัฐบาลประชาธิปไตย แม้ว่ารัฐบาลสล็อค (SLORC) ของเมียนมาร์ จะยึดกุมอำนาจในประเทศนี้มายาวนานหลายปีก็ตาม

ถ้าไล่ไทม์ไลน์ดูแล้วก็จะเห็นว่า การเปลี่ยนโครงสร้างทางการเมืองของเมียนมาร์ แรกเริ่มเดิมทีเกิดจากการกดดันของประชาคมโลก โดยมีสหรัฐอเมริกา เป็นหัวหอก เมื่อรัฐสภาอเมริกันมีท่าทีรอมชอมกับรัฐบาลตานฉ่วยมากขึ้น เนื่องจากผลประโยชน์ของบรรษัทอเมริกันที่เข้าไป และจะเข้าไปทำหากินในเมียนมาร์ ซึ่งในตอนนั้นสามารถเห็นได้จากท่าทีของสมาชิกสภาสูง (ซีเนเตอร์) จิม เวบบ์ (Jim Webb) แห่งเวอร์จิเนีย ที่เดินทางไปเมียนมาร์บ่อยครั้ง จนกระทั่งทั้งสองประเทศ สามารถเปิดความสัมพันธ์ฉันท์ปกติ ได้ดังเดิม

นั่นก็หมายความว่า รัฐสภาอเมริกันได้ถอดสลักของข้อกฎหมายกดดันต่อรัฐบาลเมียนมาร์ทิ้งไป ทั้งรัฐบาลและเอกชนอเมริกันของทั้งสองประเทศสามารถติดต่อทำมาค้าขายกันอย่างปกติดังที่เห็นกันในปัจจุบัน

ไทม์ไลน์ก่อนหน้าที่สหรัฐอเมริกาจะฟื้นความสัมพันธ์กับรัฐบาลกรุงเนย์ปิดอว์นั้น จะเห็นว่า เริ่มจากสมาชิกรัฐสภาอเมริกันก่อน โดยเกิดจากการนำเสนอวิสัยทัศน์ทางการค้าและการลงทุนของเอกชนอเมริกันที่กำลังเข้าไปและจะเข้าไปลงทุนในเมียนมาร์ต่อสมาชิกคองเกรส และซีเนตบางท่าน ดังมีสว. จิม เวบบ์ และสส. แนนซี่ เปลอสซี่ (Nancy Pelosi) ของเดโมแครต เป็นต้น ก่อนที่สมาชิกรัฐสภาส่วนใหญ่จะลงมติยกเลิกร่างกฎหมายคว่ำบาตรทางการค้าต่อรัฐบาลเมียนมาร์ในที่สุด จนมาถึงวันที่ บารัค โอบามา อดีตประธานาธิบดีอเมริกัน เดินทางไปพบนางอองซานซูจีที่ประเทศของเธอ อันเป็นภาพประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่สุดในแง่การเมืองระหว่างประเทศในขณะนั้น โอบามากล่าวว่า สหรัฐฯจะให้การสนับสนุนรัฐบาลและประชาชนชาวเมียนมาร์ทุกทางตราบเท่าที่เมียนมาร์รักษาแนวทางการปกครองระบอบประชาธิปไตยเอาไว้

นั่นแสดงให้เห็นว่า กว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศจะถูกรื้อฟื้นขึ้นมาและอยู่ในรูปแบบเช่นปัจจุบัน ต้องผ่านการล็อบบี้ทางการเมืองมาอย่างหนัก โดยเฉพาะในกรรมาธิการต่างประเทศทั้งสองสภาในรัฐสภาอเมริกัน

เมื่อเทียบกับกรณีการกล่าวหาของสลิ่มต่อทักกี้ว่า เขามีส่วนในการใช้เงินล็อบบี้สมาชิกคองเกรสหรือซีเนต ให้กดดันรัฐบาลเผด็จการทหารของไทย ทำให้เห็นว่า ข้อกล่าวหาดังกล่าวไร้สาระเพียงใด เพราะในความเป็นจริงแล้ว ในตอนนี้ ยังไม่ปรากฏว่ามีข่าวสารหรือถ้อยคำให้สัมภาษณ์ใดๆ เชิงลบต่อรัฐบาลเผด็จการทหาร ออกมาจากปากสมาชิกอเมริกันคองเกรส หรือซีเนตเลย

ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว ลองสถานการณ์มาถึงขั้นนี้แล้ว (เช่น มีม็อบต่อต้าน คสช.เกิดขึ้นในช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา- MBK 39) ง่ายมากที่ข่าวสารจะไปถึงวอชิงตันดีซีหรือแคปปิตัล ฮิลล์ สมาชิกรัฐสภาอเมริกัน น่าจะออกมาพูดอะไรในประเด็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนบ้าง ทว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองไทยนั้น ฝ่ายการเมืองอเมริกันนั้นเงียบกริบ ดูเหมือนไม่มีสมาชิกรัฐสภาอเมริกันคนใดสนใจ ซึ่งก็ไม่ทราบแน่ชัดว่า เป็นเพราะเหตุอะไร?

ที่แน่ใจได้ส่วนหนึ่งก็คือ มันสำแดงให้เห็นว่า ทักกี้และเครือข่ายฯ ไม่ได้ทำงานด้านล็อบบี้ในอเมริกา เพราะหากเขาทำหรือเป็นผู้อยู่เบื้องหลังจริง สมาชิกคองเกรส หรือซีเนตก็ต้องออกมาพูดวิจารณ์การเมืองไทยบ้างแล้ว (แน่นอนว่ามีข้อให้สงสัยได้ว่าการทำงานล็อบบี้ ถ้าทำจริง ก็ถือว่าประสบความล้มเหลวสุดๆ)

อย่างน้อยก็มีข้อเท็จจริงอยู่ประการสำคัญยืนยันอยู่ คือ ข้อเท็จจริงที่ว่ารัฐบาลอเมริกันนั้นยังเห็นว่าไทยเป็นพันธมิตรในภูมิภาคทั้งด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะผลประโยชน์ร่วมทางด้านเศรษฐกิจ

และก็อย่างที่ทราบกัน ตามการวิเคราะห์ของดิอีโคโนมิสต์ ฉบับเมื่อไม่นานมานี้ สื่ออเมริกันเจ้านี้มองว่า สถานการณ์การเมืองของไทยเที่ยวนี้ จะเปลี่ยนไปจากเดิมชนิดไม่มีวันหวนกลับ เพราะเหตุปัจจัยเปลี่ยนไปทั้งบุคคลและสถานการณ์แวดล้อม สถานการณ์ความขัดแย้งยังเป็นแบบเดิมๆ เหมือนเมื่อปี 2557 ก็จริง แต่ผลที่ออกมาจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว

ผู้ที่คิดว่าทักกี้อยู่เบื้องหลังการกดดันรัฐบาลทหารของไทย ผ่านสหรัฐอเมริกา จึงน่าควรเลิกคิดได้แล้วว่า ทักกี้กำลังทำอย่างนั้นเพื่อบ่อนทำลายรัฐบาลไทย เพราะสื่อในอเมริกาหรือสื่อประเทศตะวันตกอื่นๆ ไม่มีการให้สัมภาษณ์และแสดงท่าที (วิพากษ์วิจารณ์) ต่อรัฐบาลไทยของนักการเมืองฟากตะวันตกสักแอะ ถ้าทักกี้และเครือข่ายอยู่เบื้องหลังจริงก็คงมีแอะออกมาจากฝั่งสื่อตะวันตกบ้างแล้ว

อย่างน้อยถ้าดูจากท่าทีของ Dana Rohrabacher สส.รีพับลิกัน แคลิฟอร์เนีย (เขต 48) ทั้งๆ ที่เขาเองสนใจประเทศอาเซียนมาก Rohrabacher กลับไม่ชัดเจนในท่าทีที่แสดงออกกรณีประชาธิปไตยในประเทศไทย ซึ่งหากใช้ตรรกะเดียวกันกับการล็อบบี้ของทักกี้ ผมว่า คงไม่มีใครหรือเครือข่ายของทักกี้ไปล็อบบี้ สส. Rohrabacher ในฐานะที่เขาเป็นหนึ่งในกรรมาธิการต่างประเทศของสภาคองเกรสเป็นแน่แท้ เพราะหากมีคนวิ่งล็อบบี้ล่ะก็... มีหรือ ที่ คองเกรสแมนของแคลิฟอร์เนียหลายสมัยผู้นี้จะไม่กระโตกกระตากออกมาทางสื่อสารมวลชนอเมริกันบ้าง

สำหรับ Dana Rohrabacher ผู้ที่ติดตามข่าวสารการเมืองของอเมริกันคงพอทราบกันดีแล้วว่า เขาเป็นแคนดิแดทรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ รัฐบาลทรัมป์ ก่อนหน้าที่ทรัมป์จะแต่งตั้ง Rex Tillerson เป็นรัฐมนตรีว่าการต่างประเทศคนปัจจุบัน Rohrabacher จึงเป็นผู้มีอิทธิพลในคองเกรสมากที่สุดผู้หนึ่งของรีพับลิกัน เขาเองเป็น สส.แคลิฟอร์เนีย เขตออเร้นจ์ เคาน์ตี้ มาหลายสมัย

ตอนผมพบเขาที่สำนักงาน ฮันติงตัน บีช Rohrabacher ให้ความเป็นมิตรและต้อนรับดีมาก

ความน่าสนใจอีกประการหนึ่งของ สส. Rohrabacher ก็คือ เขาสนใจชาติอาเซียนอย่างมาก ในมือของ สส.อเมริกันผู้นี้ เต็มไปด้วยข้อมูลของเมียนมาร์ เวียดนาม กัมพูชาและไทย เป็นข้อมูลที่เขาได้มาด้วยตัวของเขาเอง จากการส่งทีมของเขาเองเข้าไปในพื้นที่ของสองสามประเทศดังกล่าว (แน่นอนว่า สถานทูตอเมริกันอุปถัมภ์) โดยหนึ่งในสมาชิกของทีมของเขา ได้แก่ Al Santoli ขณะนี้ทำงานอยู่ในกรุงมะนิลา ฟิลิปปินส์

ในกรณีข้อกล่าวหาต่อทักกี้เกี่ยวกับกระแสข่าวการล็อบบี้หรือใช้ล็อบบี้ยีสต์อเมริกัน จึงพอสรุปในเบื้องต้นได้ว่า ไม่มีมูล เพราะจนถึงตอนนี้ยังไม่มีแม้แต่ความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในเมืองไทยแม้สักแอะแพลมออกมาให้เห็นบนหน้าสื่ออเมริกัน ทั้งๆ ที่น่าจะมีคอมเมนต์จากปากของนักการเมืองอเมริกันบ้างแล้วด้วยซ้ำ...!!

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

คำให้การของอดีตผู้ต้องหาคดี ‘มหาวิทยาลัยไม่ใช่ค่ายทหาร’

Posted: 25 Feb 2018 08:47 AM PST



นายกฯได้กล่าวพาดพิงถึงบทบาทอาจารย์มหา'ลัย ในทำนองเดียวกับการกล่าวเมื่อ 27 ต.ค.2558 ที่ได้สั่งให้ รมว.ศึกษาฯ ไปทบทวนการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัย

การพูด/คำพูด ของนายกรัฐมนตรีเช่นนี้ จะทำให้สาธารณะ/สังคมเกิดความเข้าใจผิดในการจัดการเรียนการสอนและบทบาทของนักวิชาการ/อาจารย์ในมหาวิทยาลัย

คำถามที่นายกรัฐมนตรีมีอยู่ในใจและสะท้อนมาลักษณะเดิมๆ นี้ ก็คือ การเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยที่เหมาะสมควรจะเป็นอย่างไร เพื่อที่จะทำให้สังคมไทยก้าวหน้าไปได้

แต่นายกรัฐมนตรีคงไม่เข้าใจ "วิชาการ" เพียงพอ จึงขอตัดตอนบางส่วนของคำให้การของผู้ต้องหาคดี "มหาวิทยาลัยไม่ใช่ค่ายทหาร" เมื่อ 2 ปีกว่ามาให้สังคมได้ทราบชัดเจนขึ้น

(ความต่อไปนี้ นำมาจากคำให้การที่พิมพ์เผยแพร่ใน "ประชาไท" 2015/12/24)

"ในฐานะของคณาจารย์ในมหาวิทยาลัย ซึ่งมีหน้าที่สร้างการเรียนรู้ รวมถึงการแสวงหาความงอกงามทางปัญญาให้กับสังคม เห็นว่าความสำคัญของเสรีภาพเป็นหัวใจสำคัญอันเนื่องมาจากความรู้เป็นสิ่งที่ไม่หยุดนิ่ง และสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างไม่สิ้นสุด อันนำมาซึ่งความรู้ใหม่ๆ ที่เท่าทันกับสภาพแวดล้อมที่แตกต่างไปจากเดิม และเห็นว่าหลักการพื้นฐานของเสรีภาพมีความสำคัญต่อการสร้างความก้าวหน้าของสังคม ดังต่อไปนี้

ประการแรก "เสรีภาพ" เป็นปัจจัยพื้นฐานที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความงอกงามในทางความรู้ การแสดงความเห็นจากมุมมอง หรือวิธีคิดที่แตกต่างบนพื้นฐานของการใช้เหตุผลและข้อเท็จจริง จะนำไปสู่ความเข้าใจใหม่ในเรื่องต่างๆ ซึ่งทำให้มนุษย์และสังคม มีความรู้และสติปัญญามากขึ้น สามารถจัดการปัญหา และเผชิญหน้ากับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

การจัดการเรียนการสอนของคณาจารย์จำนวนมากในมหาวิทยาลัย จึงไม่ได้เป็นการสอนให้ท่องจำและยึดมั่นในวิธีคิดและอุดมการณ์แบบใดแบบหนึ่งโดยปราศจากการโต้แย้ง เพราะบทเรียนจากประวัติศาสตร์ทั้งในสังคมไทยและสังคมอื่นๆ ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่า การปลูกฝังอุดมการณ์หรือ "ความเชื่อ" หนึ่งๆ เพื่อครอบงำสังคมหมายถึง การทำให้คนในสังคมยอมรับโครงสร้างอำนาจแบบใดแบบหนึ่งที่คนบางกลุ่มได้ประโยชน์ และอาจส่งผลให้มีการใช้ความรุนแรง หรือแม้กระทั่งการเข่นฆ่าผู้คนร่วมสังคมที่ปฏิเสธโครงสร้างอำนาจดังกล่าว

ดังนั้น คณาจารย์จำนวนมากจึงเห็นว่าการทำให้เกิดทัศนะวิพากษ์หรือมุมมองที่แตกต่างเป็นเรื่องสำคัญยิ่งในสังคม เพื่อให้ผู้คนในสังคมสามารถคิดได้เอง และมีความเคารพตลอดจนความเมตตาและความเห็นอกเห็นใจในผู้คนที่มีมุมมองแตกต่างจากตนเองอย่างแท้จริง

ประการที่ 2 ในสังคมไทยยุคโลกาภิวัตน์ที่ชีวิตและความคิดของผู้คนมีความแตกต่างหลากหลาย การใช้อำนาจบังคับให้บุคคลต้องปฏิบัติไปในรูปแบบเดียวกัน อาจจะทำให้เกิดความสงบได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น แต่ไม่สามารถนำพาสังคมไทยไปสู่ภาวะแห่งสันติสุขได้อย่างแท้จริง

การสร้างความเห็นพ้องต้องกันในเรื่องต่างๆ รวมทั้งความชอบธรรมในการใช้อำนาจ จำเป็นต้องมีรากฐานอยู่บนการถกเถียงกันด้วยความรู้ เหตุผล และข้อเท็จจริง ในบรรยากาศของความเสมอภาคและเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย

การแสดงความคิดเห็นต่อเสรีภาพในการแสดงความเห็นในทางวิชาการ เสรีภาพในกระบวนการจัดการเรียนการสอน เสรีภาพในการถกเถียง และแลกเปลี่ยนกันด้วยเหตุผลระหว่างฝ่ายๆ ที่มีความเห็นแตกต่างกัน อันนับเป็นหลักการพื้นฐาน ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปในโลกปัจจุบันและในมหาวิทยาลัย ซึ่งถือเป็นสถาบันการศึกษาเพื่อความงอกงามทางปัญญา

การยืนยันถึงเสรีภาพของเหล่าคณาจารย์จึงเป็นการยืนยันถึงความชอบธรรมพื้นฐานที่ดำรงอยู่โดยทั่วไป ซึ่งได้รับการเคารพและยอมรับให้เป็นสิทธิเสรีภาพพื้นฐานของประชาชนทุกกลุ่ม

การยืนยันข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยและชี้แจงต่อสังคมถึงหลักการดังกล่าวข้างต้น อันเป็นการใช้เสรีภาพทางวิชาการตามปกติ

ความเห็นทางวิชาการ ที่คนทั่วไปในสังคมจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่วิจารณญาณและความคิดความเชื่อของแต่ละบุคคล

การแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะไม่ใช่การมั่วสุม หรือชุมนุมทางการเมือง แต่เป็นกิจกรรมทางวิชาการทั่วๆ ไป ที่ถือเป็นธรรมเนียมและเป็นภารกิจที่สำคัญของนักวิชาการในสังคมไทย ที่ต้องการสื่อสารต่อสังคม

หากกิจกรรมเช่นนี้ถูกตีความเป็นการมั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมืองที่ผิดกฎหมาย ก็ย่อมส่งผลให้กิจกรรมทางวิชาการจำนวนมาก ที่มีขึ้นเพื่อความงอกงามทางปัญญา และเพื่อแก้ไขปัญหาของสังคม เช่น การเสวนาวิชาการ การประชุมวิชาการ การปาฐกถาทางวิชาการ การนำเสนองานวิจัย การอบรมให้ความรู้ต่อชุมชนในเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศไทย เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย และไม่อาจดำเนินการได้ด้วยเช่นกัน

หากเป็นเช่นนั้นย่อมสร้างความเสียหายต่อสังคมไทยทั้งในปัจจุบันและอนาคตอย่างไม่อาจประเมินค่าได้

การใช้เสรีภาพในการแสดงออก ซึ่งได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง แห่งสหประชาชาติ ที่ประเทศได้ลงนามเป็นภาคีมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม

เสรีภาพในการแสดงออก และการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ ได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2492 เรื่อยมาจนถึงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 มาตรา 4 ที่ว่า สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค บรรดาที่ชนชาวไทยเคยได้รับการคุ้มครองตามประเพณีการปกครองประเทศไทย ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยมีอยู่แล้ว โดยประเทศไทยเป็นภาคีกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง แห่งองค์การสหประชาชาติ นับแต่ปี พ.ศ. 2539 ทำให้ประเทศไทยมีพันธกรณีต้องปฏิบัติตามกติการะหว่างประเทศดังกล่าว

การแสดงออกทางของเสรีภาพทางวิชาการอย่างสร้างสรรค์ เพื่อให้เกิดสันติและความสงบสุขในสังคม เป็นการกระทำที่เป็นไปตามความมุ่งหมายของกฎหมายและรัฐธรรมนูญ และเป็นการแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริตอันเป็นการส่งเสริมประบอบประชาธิปไตย เป็นส่วนหนึ่งของการลดสภาวะความตึงเครียดในสังคม ส่งเสริมบรรยากาศแห่งการปรองดอง"

เชื่อมั่นว่าความทั้งหมดของคำให้การนี้ เป็นความคิดพื้นฐานของการเรียนการสอนและความปรารถนาของอาจารย์มหาวิทยาลัย นายกรัฐมนตรีควรจะทำความเข้าใจด้วยครับ

 

ที่มา: เว็บไซต์ กรุงเทพธุรกิจ

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ใบตองแห้ง: “สลิ่ม” ไม่ใช่เป็นได้ง่ายๆ นะ

Posted: 25 Feb 2018 08:40 AM PST



บ.ก.ลายจุดสนับสนุน วาด รวี เสนอให้เลิกใช้คำว่า "สลิ่ม" ซึ่งคู่กับ "ควายแดง" เป็นถ้อยคำดูหมิ่นเหยียดหยามกันของคน 2 สี เป็นอุปสรรคต่อความสามัคคี ในยุคที่สลิ่ม เอ๊ย คนชั้นกลางไม่เอาประชาธิปไตย (บางส่วน) เริ่มไม่ถูกใจรัฐบาล คสช.

ดูเหมือนข้อเสนอไม่เป็นที่ต้อนรับ บางคนโต้กลับ "ให้เลิกเรียกสลิ่ม จะให้เรียกบิงซูเหรอ ดูแพงไปไหม" "ไม่ให้เรียกสลิ่มจะให้เรียกอะไร พวกแพ้เลือกตั้งแล้วพาล? หลงตัวเอง? โง่แล้วอวดฉลาด?"

นักภาษาศาสตร์บอกว่า วาทกรรมมันมีชีวิตของตัวเองไปแล้ว บ.ก.ลายจุดเป็นคนเอาคำว่า "สลิ่ม" (ซึ่งได้จากการ brainstorm ในเว็บพันทิป) มาเรียกม็อบหลากสีเมื่อปี 2553 เรียกแบบขำๆ ฐานอำพรางตัว ไม่ยอมรับว่าเป็นเสื้อเหลืองพันธมิตร

หลังจากนั้น คำว่า "สลิ่ม" ก็โลดแล่นมีชีวิต มีสีสัน ไปตามชุดความคิดและพฤติกรรมของคนชั้นกลางต่อต้านประชาธิปไตย โดยปัญญาชนลิเบอรัล ช่วยกันอธิบายจุดอ่อนจุดขรรม ไร้สติแต่มีสตางค์ (มีการศึกษาอีกต่างหาก) จนทำให้คำว่า "สลิ่ม" ที่เดิมก็ไม่มีความหมายดูหมิ่นใคร (ไม่เหมือนคำว่าควาย) กลายเป็นถ้อยคำหยามหยันไปได้

เข้าใจตรงกันนะ ต่อให้ไม่เกิดคำว่าสลิ่ม ก็จะมีวาทกรรมอื่นอยู่ดี ตราบใดที่ยังมีความคิดพฤติกรรมเช่นนี้ ก็สามัคคีปรองดองกันไม่ได้อยู่ดี

อย่างไรก็ดี มองอีกมุม คำว่าสลิ่ม ก็ไม่ได้เหมารวมคนชั้นกลางไม่เอาประชาธิปไตยทั้งหมด เพราะอย่างที่เสื้อแดงชอบอำว่า "ไม่ดักดานเป็นสลิ่มไม่ได้นะ" (ฮา) ฉะนั้นอย่ากลัวไปเลยว่าแค่ไม่อยากเลือกตั้งแล้วคุณจะถูกด่าเป็นสลิ่ม

เป็นสลิ่มไม่ใช่เป็นกันได้ง่ายๆ แบบคนชั้นกลางเกลียดยิ่งลักษณ์ทักษิณ ถือเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าเกลียดกระทั่งตราหน้า ใครไม่เห็นด้วยกับรัฐประหาร ใครอยากเลือกตั้ง เป็นพวกทักษิณ โดนทักษิณซื้อไปแล้ว (ทักษิณซื้อ CNN BBC ซื้อ UN ไปหมดแล้ว) แบบนี้ไม่เรียกสลิ่ม จะให้เรียกอะไร

สลิ่มไม่ใช่เป็นได้ง่ายๆ อย่าร้อนท้อง ต้องมีคุณสมบัติพิเศษเยอะเลย อย่างเช่น หลงตัวเองว่ามีสติปัญญา มีศีลธรรมจรรยาเหนือกว่าคนอื่น จนไม่เห็นหัวใคร ทำตามอำเภอใจ ไม่เคารพกติกา (คนดีนี่หว่า) แชร์ธรรมะ แผ่เมตตา เห็นใจคนจน แต่ถ้าเป็นฝ่ายตรงข้าม แม่-ชั่วร้ายสมควรตาย กรี๊ดกร๊าดดีใจ ที่มือปืนฝ่ายตัวเองยิงคนแก่

สลิ่มยังต้องเป็นคนมีการศึกษา แต่ไม่รู้จักใช้ตรรกะเหตุผล ว่าควายแดงถูกสั่งซ้ายหันขวาหัน ตัวเองก็เชิดชูบูชาลุงคนนั้นคนนี้ เชื่ออำนาจศักดิ์สิทธิ์ หวังพึ่งคนดี "สเป๊กมหาเทพ" แบบตั้งกันเอง เชื่อบุคคล ไม่เชื่อระบอบ ชอบให้มีคนสอนศีลธรรมออกทีวี ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ดู

นอกจากนี้ สลิ่มยังต้องดัดจริต แบบใช้ชีวิตฟุ้งเฟ้อ อยู่ในวัฒนธรรมทุนนิยมบริโภค แต่พร่ำเพ้อถึงความสมถะ สุขสงบ วิถีธรรมชาติ แล้วด่าชาวไร่ชาวนาที่อยากถีบตัวมีฐานะ ว่าเป็นเหยื่อประชานิยม ส่งลูกเรียนนอก เห่อฝรั่ง แต่อ้างความเป็นไทย ด่าประชาธิปไตยตะวันตก

ใครมีคุณสมบัติครบ ยกมือขึ้น! แหม่ ไม่น่ามีใครยก เห็นไหม ไม่ได้ดูถูกเหยียดหยามใครซักคน เพียงแต่เอาชุดความคิดพฤติกรรมแย่ๆ มารวมไว้เตือนสติ ใครคิดใครทำแบบนี้ ไม่ต้องเรียกสลิ่มเรียกควาย ก็แย่อยู่ดี แต่ถ้าเปลี่ยนได้ก็ไม่ใช่

ว่าที่จริง "สลิ่ม" กับ "ควายแดง" ถ้าเป็นพวกสุดโต่ง ก็มีบางอย่างคล้ายกัน เช่นเชื่อว่าฝั่งตัวเองถูกทุกอย่าง แต่ข้อแตกต่างคือพวก "ควายแดง" ชูประชาธิปไตย สุดโต่งยังไงก็ถูกจำกัดด้วยกรอบกติกา ไม่สามารถอ้างตนเป็นคนดีแล้วทำตามอำเภอใจ ไม่สามารถดัดจริต (แถมไม่มีเส้นอีกต่างหาก)

กรณีสมบัติกับวาด รวี ยังสะท้อนว่าพวกเรียกร้องเสรีภาพประชาธิปไตย กลับใจกว้าง เอาใจเขาใส่ใจเรา ไม่อยากให้คนอีกข้างต้องชอกช้ำ ทั้งที่ถูกเขาย่ำยีมาตลอด โดยฝ่ายคนดี ไม่ยักมีใครเรียกร้องให้เลิกใช้ "ควายแดง"

แต่ถามว่าการหยามหยันเป็นปัญหาต่อการปรองดองไหม จุดยืนท่าทีทางการเมืองของคน ถ้าจะเปลี่ยน ก็เป็นไปตามพื้นฐานความคิด ผลประโยชน์ทางชนชั้น ไม่ต้องจูบปากกัน ถ้าถึงจุดร่วม ก็ร่วมกันได้

การหยามกันคงไม่งามนักหรอก แต่มันก็เป็นวิธีกระตุกความคิด พวกยกตนเป็นคนดี เห็นแต่ตัวเองดี คนอื่นเลวหมด คงใช้วิธีอื่นไม่ได้ นอกจากหยามให้อาย ไม่ให้ใครเอาเยี่ยงอย่าง ลดละลงแล้วยังคุยกันได้

แต่ถ้าชวนคุยด้วยเหตุผลแล้วไม่มา บอกว่าไม่มีอุดมการณ์ แล้วพอคล้อยหลังก็บ่นรำคาญ นี่ไม่รู้จะเรียกอะไรเหมือนกัน

 

 

ที่มา: ข่าวสดออนไลน์

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

หมายเหตุประเพทไทย #198 มองละครภาคเหนือผ่านแว่นอาณานิคมภายใน

Posted: 25 Feb 2018 06:40 AM PST

หมายเหตุประเพทไทยสัปดาห์นี้ ชานันท์ ยอดหงษ์ และประภาภูมิ เอี่ยมสม มองละครและภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้องกับภาคเหนือหรือดินแดนล้านนา ผ่านมุมมองแบบอาณานิคมภายใน โดยที่ผ่านมานับตั้งแต่สยามผนวกภาคเหนือตอนบนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของรัฐชาติสมัยใหม่ นอกจากการจัดระเบียบการปกครองและแบ่งเขตพรมแดนแล้ว ชนชั้นนำยังพยายามสร้างภาพจำเกี่ยวกับภาคเหนือทั้งในแง่มุมแบบถิ่นไทยงาม ศิลปวัฒนธรรม รวมทั้งภาพลักษณ์ของผู้หญิงภาคเหนือที่ใสซื่อบริสุทธิ์

โดยหนึ่งในการสร้างภาพลักษณ์นั้นก็คือบทละครร้อง "สาวเครือฟ้า" โดยพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ เมื่อ พ.ศ. 2452 ซึ่งละครร้องนี้ได้เค้าโครงมาจาก "มาดามบัตเตอร์ฟลาย" ของ Giacomo Puccini ทั้งนี้บทละครร้อง "สาวเครือฟ้า" ได้รับความนิยมอย่างมาก และมีการนำไปผลิตซ้ำเป็นภาพยนตร์อีกในปี พ.ศ. 2495 และ พ.ศ. 2508 ไม่เพียงเท่านั้นในช่วงทศวรรษ 2490 ก็มีกรณี "วังบัวบาน" ที่ถูกผลิตซ้ำเป็นภาพยนตร์ในปี พ.ศ. 2515 รูปแบบเช่นนี้ยังปรากฏในละครยุคต่อมาอย่าง "ดอกรักบานที่สันกำแพง" "แหวนทองเหลือง" "แม่อายสะอื้น" ฯลฯ

ภาพลักษณ์ของสาวเหนือในละคร ยังปรากฏในรูปแบบของผีและสิ่งเร้นลับ ที่อาลัยอาวรณ์คนรักในชาติภพอดีต หรือมาในรูปแบบของการหวง การทวงสมบัติ เช่น ผีอีแพง ในละครเรื่อง "บ่วง" หรือละครเรื่องอื่นๆ อย่าง "เจ้านาง" "สาปภูษา" "รอยไหม" ฯลฯ

ติดตามรายการหมายเหตุประเพทไทยย้อนหลังที่
เฟสบุ๊ค 
https://www.facebook.com/maihetpraphetthai
หรือลงทะเบียนรับชมที่ https://youtube.com/prachatai

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รพ.แจงเหตุเก็บมัดจำผู้ป่วยไต ต้นทุนซ่อมเส้นฟอกเลือดสูง แต่ได้จ่ายชดเชยแค่ 8 พัน

Posted: 25 Feb 2018 03:39 AM PST

ผอ.รพ.สรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี แจงเหตุผลเรียกเก็บมัดจำผู้ป่วยไตวาย ชี้ต้นทุนซ่อมเส้นเลือดฟอกไต 40,000-50,000 บาท แต่ สปสช.จ่ายชดเชยแค่ 8,000 บาท แถมยังมีผู้ป่วยนอกเขตมารับบริการอีกกว่า 1,800 ราย หากปล่อยให้เป็นแบบนี้โรงพยาบาลขาดทุนแน่ ย้ำเตรียมทบทวนเลิกเก็บเงินเฉพาะผู้ป่วยในเขตภายในวันที่ 28 ก.พ.นี้ แต่ผู้ป่วยจากนอกเขตยังต้องเรียกเก็บเหมือนเดิม พร้อมทั้งส่งข้อมูลต้นทุนให้ สปสช.พิจารณาปรับอัตราการจ่ายชดเชยเพิ่ม

 
25 ก.พ. 2561 นพ.ชุติเดช ตาบ-องครักษ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี กล่าวถึงกรณีที่โรงพยาบาลได้เรียกเก็บเงินมัดจำในการทำเส้นฟอกเลือดผู้ป่วยไตวายว่า โรงพยาบาลมีความจำเป็นเนื่องจากปัจจุบันมีผู้ป่วยมารับบริการค่อนข้างเยอะ ซึ่งถ้าหากเป็นผู้ป่วยในเขตบริการ โรงพยาบาลก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้วเพียงแต่ถ้าหากใช้สิทธิเกินกว่าที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กำหนดก็ต้องมีการเรียกเก็บเงิน แต่จากสถิติในปีที่ผ่านมายังมีผู้ป่วยจากนอกเขตเข้ามารับบริการอีกประมาณ 1,800 ราย บางรายก็เรียกเก็บเงินไม่ได้ โรงพยาบาลก็ต้องแบกรับภาระในส่วนนี้
 
ขณะเดียวกัน ต้นทุนในการให้บริการของโรงพยาบาลก็สูงมาก เพราะผู้ป่วยที่มาส่วนใหญ่ไม่ใช่การทำเส้นฟอกเลือดใหม่ แต่เป็นการซ่อมเส้นซึ่งมีต้นทุนประมาณ 40,00-50,000 บาท ขณะที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพจ่ายให้แค่ 8,000 บาท โรงพยาบาลก็รับภาระไม่ไหว ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ก็จะทำให้มีปัญหาขาดทุนได้ จึงต้องพิจารณาเก็บเงินเพิ่มนอกเหนือจากที่ สปสช.กำหนด
 
"ปัญหาที่คนไข้นอกเขตมาที่เราเพราะคิวเขายาว แต่เราบริหารจัดการทำให้คิวเราสั้นโดยเปิดนอกเวลาให้เข้ามาทำเส้น ซึ่งก็ต้องจ่ายค่าหมอเพิ่ม มันเป็นต้นทุนของโรงพยาบาลที่ทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงบริการเร็วขึ้น พอคนไข้นอกเขตรู้ว่ามาที่เราไม่กี่วันแล้วได้ทำก็เลยมากัน แล้วบางรายก็ไม่พอจ่าย โรงพยาบาลก็ต้องรับภาระทั้งหมดเลย" นพ.ชุติเดช กล่าว
 
อย่างไรก็ดี จากการพูดคุยกับตัวแทนชมรมเพื่อนโรคไตแห่งประเทศไทยกับผู้แทน สปสช.เขต 10 เมื่อวันที่ 23 ก.พ. 2561 ที่ผ่านมา ก็ได้ทำความเข้าใจกันว่าผู้ป่วยมีปัญหาในเรื่องค่าใช้จ่าย ดังนั้นโรงพยาบาลจะทบทวนประเด็นดังกล่าวให้เสร็จภายในวันที่ 28 ก.พ. 2561 โดยทบทวนให้เฉพาะผู้ป่วยที่อยู่ในเขตบริการ ถ้าผลการทบทวนมีประเด็นก็คิดว่าจะไม่มีการเรียกเก็บแล้ว แต่หากเป็นผู้ป่วยที่มาจากนอกเขตก็ต้องเรียกเก็บค่าบริการเพราะแต่ละเขตก็ต้องรับผิดชอบบริหารจัดการคนไข้ของตัวเองให้ได้
 
ขณะเดียวกัน โรงพยาบาลก็จะส่งข้อมูลต้นทุนการให้บริการให้ สปสช.พิจารณาอัตราเงินชดเชย ส่วน สปสช.จะพิจารณาจ่ายค่าชดเชยการให้บริการเพิ่มหรือไม่ยังตอบไม่ได้ ถ้า สปสช.ไม่พิจารณาก็จะเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ สุดท้ายโรงพยาบาลก็ต้องรับภาระจนขาดทุนแน่
 
ด้าน นพ.เรืองศิลป์ เถื่อนนาดี ผู้อำนวยการ สปสช.เขต 10 อุบลราชธานี กล่าวว่า เบื้องต้นได้ขอให้โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ทบทวนแนวทางนี้ก่อนเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับประชาชน รวมทั้งขอให้ส่งข้อมูลต้นทุนการให้บริการว่าค่าใช้จ่ายเป็นอย่างไร แล้วจะเสนอข้อมูลเข้าไปที่คณะกรรมการไตกลางซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจากหลายกองทุน จากนั้นจึงส่งให้คณะกรรมการ สปสช.พิจารณาอีกรอบ
 
"ทางผู้ให้บริการก็จะได้บอกว่าต้นทุนเป็นอย่างไร ส่วนผู้ป่วยก็จะได้สะท้อนความเดือดร้อนเพื่อที่ สปสช.จะได้ปรับปรุงกระบวนการจ่ายชดเชยที่เหมาะสม สปสช.ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ดูแล เราก็สามารถปรับแก้ได้ถ้าโรงพยาบาลมีความจำเป็นจริงๆ" นพ.เรืองศิลป์ กล่าว
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 19-25 ก.พ. 2561

Posted: 25 Feb 2018 03:24 AM PST

แชร์สนั่น ตม.ไทย ตรวจเข้มคนไทยจากเหนือ อีสาน ออกนอกประเทศ หวั่นโดดทัวร์หนีทำงาน!

การเดินทางไปทำงานต่างประเทศ พบว่า มีคนจำนวนมากเลือกเดินทางไปทำงานแบบผิดกฎหมาย โดยลักลอบเข้าประเทศ ซึ่งหลายครั้งเกิดปัญหาภายหลัง โดยเฉพาะการโดนลอยแพ เจ็บป่วย บางรายถึงขั้นเสียชีวิตอยู่บ่อยครั้ง โดยล่าสุดพบว่า สมาชิกเฟซบุ๊ก Songsai Thapranee ได้แชร์ภาพและเรื่องราว ซึ่งพบว่า ตม.ไทยความเข้มงวดมากขึ้น โดยตรวจสกัดตั้งแต่การเดินทางออกนอกประเทศเลยทีเดียว

โดยระบุว่า "สดๆๆร้อนๆๆ เจ้าหน้าด่านตรวจคนหางานประจำสนามบิน ออกตรวจคนไทยที่จะเดินทางไปเกาหลี โดยอาศัยการเดินทางไปแบบนักท่องเที่ยว เพื่อสกัดการลักลอบไปทำงานแบบผิดกฏหมาย โดยคนไทยส่วนใหญ่ที่จะถูกจับตามองมากที่สุด คือ กลุ่มลูกค้าที่มาจากทางภาคเหนือและทางภาคอีสานหน้าพาสใหม่ๆไม่เคยไปเที่ยวไหนเลย คนที่ถูกปฎิเสธการเดินทางออกนอกประเทศ ส่วนหนึ่งจะมีข้อมูลจากส่วนกลางคือกรมแรงงาน จะมีข้อมูลเกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนไปทำงานต่างประเทศหรือเคยไปทำงานมาแล้วก็ตาม

การออกตรวจของเจ้าหน้าที่ทุกวันนี้ ไม่ได้มีแค่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินดอนเมืองก็ตรวจเช่นกัน เพียงแต่ที่สนามบินดอนเมืองเจ้าหน้าที่น้อย และบวกกับลูกค้าที่บุ๊คตั๋วแบบเปลี่ยนแปลงการเดินทางได้ และไม่ค่อยไปกับกรุ๊ปทัวร์เท่าไร เลยทำให้เจ้าหน้าที่ตรวจไม่ทั่วถึงเท่าไรนัก #สำหรับใครที่กำลังคิดจะเดินทาง ควรคิดให้ดี วางแผนให้ดี

อย่าสักแต่อยากไปอย่างเดียว บางทัวร์รู้ทั้งรู้ว่าลูกค้าจะโดนตรวจและอาจจะถูกปฎิเสธการเดินทางมีการเรียกเก็บเงินประกันก็มี เก็บตั้งแต่ 5 พันถึง 1 หมื่น ถ้าจ่ายแล้วถูกปฎิเสธหรือไปแล้วติดตม.ก็จะไม่ได้เงินนี้คืน เว้นแต่จะไปเที่ยวกับกรุ๊ปทัวร์แล้วกลับพร้อมกรุ๊ปทัวร์เท่านั้นถึงจะได้คืน"

ที่มา: ข่าวสด, 25/2/2561

สปส.จี้ บ.รับเหมาก่อสร้างหักเงินสมทบแล้วไม่นำส่ง ให้ชำระเงินทดแทน-เงินสมทบกองทุนประกันสังคมของลูกจ้าง 150 คน รวม 13.2 ล้านบาทภายใน 2 มี.ค. นี้

ความคืบหน้ากรณีลูกจ้างบริษัทรับเหมาก่อสร้าง ในย่านบางประกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ประมาณ 150 คน ได้เข้าแจ้งความ ณ สถานีตำรวจภูธรบางปะกง เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2561 เพื่อดำเนินคดีกับนายจ้างเนื่องจากหักเงินสมทบแล้วไม่นำส่งเข้ากองทุนประกันสังคมในฐานความผิดฉ้อโกงจนทำให้ลูกจ้างเสียสิทธิรักษาจากประกันสังคม

ล่าสุด - นพ.สุรเดช วลีอิทธิกุล เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน เผยถึงประเด็นข่าวดังกล่าวว่า สำนักงานประกันสังคมไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้สั่งการให้สำนักงานประกันสังคมจังหวัดฉะเชิงเทรา สาขาบางปะกง เขตพื้นที่รับผิดชอบเข้าตรวจสอบพร้อมลงพื้นที่ประสานงานให้ความช่วยเหลือเป็นการด่วนจากการตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่าบริษัทฯ ดังกล่าวได้ค้างชำระเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนประจำปี 2559 และ 2561 รวม 697,000 บาท ค้างชำระเงินสมทบกองทุนประกันสังคม พร้อมเงินเพิ่มตามกฎหมาย จำนวน 12,561,951.28 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 13,285,951.28 บาท

ทั้งนี้ สำนักงานประกันสังคมได้รับการประสานงานจากเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าร่วมเจรจาไกล่เกลี่ยกับผู้แทนบริษัทฯ ในวันดังกล่าว ซึ่งทางบริษัทฯ ตกลงรับจะชำระเงินสมทบค้างชำระกองทุนประกันสังคมของลูกจ้างที่ปฏิบัติงานทั้งหมด ภายในวันที่ 2 มี.ค. 2561 นี้ ทั้งนี้สำนักงานประกันสังคมจังหวัดฉะเชิงเทรา สาขาบางปะกง ได้ชี้แจงสิทธิประโยชน์ของลูกจ้าง รวมถึงขั้นตอนในการเร่งรัดหนี้ของสำนักงานประกันสังคมให้ลูกจ้างทุกคนได้เข้าใจแล้ว

เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตามพฤติกรรมที่นายจ้างกระทำนั้น ถือเป็นการทำผิดกฎหมายประกันสังคม สำนักงานประกันสังคมจะดำเนินคดีทางกฎหมายกับนายจ้าง ตามขั้นตอน คือ นายจ้างจะต้องจ่ายเงินสมทบย้อนหลังตามจำนวนที่ยังไม่นำส่ง และจ่ายเงินเพิ่มในอัตรา ที่กฎหมายกำหนด

โดยในส่วนนายจ้างที่ค้างชำระหนี้กองทุนประกันสังคม จะต้องจ่ายเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 2 ต่อเดือนของเงินสมทบที่ยังไม่นำส่งหรือส่วนที่ขาดอยู่จนครบ ส่วนนายจ้างค้างชำระหนี้ของกองทุนเงินทดแทน นายจ้างจะต้องจ่ายเพิ่มในอัตราร้อยละ 3 ต่อเดือนของเงินสมทบที่ยังค้างชำระ กรณีที่สำนักงานประกันสังคมได้ติดตามเร่งรัดหนี้ตามขั้นตอนดังกล่าวแล้ว แต่นายจ้างยังเพิกเฉยไม่นำส่งเงินสมทบและเงินเพิ่ม (ค่าปรับ) ที่ค้างชำระ ทางสำนักงานประกันสังคมจะใช้มาตรการในการดำเนินคดีทางอาญากับนายจ้างตามขั้นตอนทันที คือ การดำเนินการยึด อายัด และขายทรัพย์สินทอดตลาด ซึ่งกรณีดังกล่าวนอกจากนายจ้างจะถูกดำเนินคดีทางกฎหมาย ยังส่งผลกระทบต่อลูกจ้าง ผู้ประกันตน เพราะไม่สามารถขอรับสิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขการเกิดสิทธิประโยชน์ในแต่ละกรณีได้

อย่างไรก็ตามขอความร่วมมือไปยังลูกจ้าง/ผู้ประกันตนหรือผู้ที่พบเห็นการกระทำดังกล่าว แจ้งข้อมูลเบาะแสได้ที่ สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ทั้ง 12 แห่ง/จังหวัด/สาขา/ ที่ท่านสะดวก โดยยื่นร้องเรียนด้วยตนเอง ผ่านโทรศัพท์สายด่วนประกันสังคม 1506 ตลอด 24 ชั่วโมง เว็บไซต์สำนักงานประกันสังคม www.sso.go.th หรือที่เว็บไซต์สำนักนายกรัฐมนตรี ศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐ www.1111.go.th

ที่มา: คมชัดลึก, 24/2/2561

ทลายนวดกระปู๋กลางโตเกียว สาวไทยลอบทำงานนับสิบ แฉรายได้เดือนละ 1.2 ล้าน

เป็นอีกคดีอื้อฉาวที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ เมื่อตำรวจกรุงโตเกียว เผยรายงานการจับกุมร้านนวดผิดกฎหมายในเขตอิตาบาชิ โดยการจับกุมครั้งนี้ตำรวจควบคุมตัวพนักงานหญิงชาวไทยที่หลบหนีเข้าเมือง ด้วยการชักชวนจากนายหน้าที่คอยตระเวนหาเหยื่อเข้าทำงานอย่างผิดกฎหมายในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งร้านนวดแห่งนี้มีการจัดห้องเดี่ยวแบบส่วนตัวไว้ 3 ห้อง เพื่อจัดให้มีการกระทำอนาจารภายในร้านให้ลูกค้า

โดยตำรวจได้จับกุมตัวผู้จัดการร้านทราบชื่อนายโอคาเบะ คาสึฮิโกะ ผู้ต้องหาอายุ 62 ปี พร้อมพนักงานสาวชาวจีนนางเทียนชูหวา อายุ 45 ปี และพวกรวม 7 คน ในข้อหาจัดให้มีหรือการเปิดสถานประกอบการที่มีการกระทำอนาจารโดยไม่ได้รับอนุญาต

จากการสอบปากคำผู้จัดการร้านให้การว่า พนักงานหญิงคนไทยเหล่านี้ได้มาจากนายหน้าคนไทยชื่อนางละมุน จำเลยที่เคยถูกจับตัวไปเมื่อเดือนพ.ย.ปีที่แล้ว ซึ่งนางละมุนจะจัดหานำเข้าแรงงานผิดกฎหมายจากประเทศไทย ด้วยการพาผู้หญิงไทย 13 คนหลบหนีเข้าเมือง โดยในร้านที่ถูกจับล่าสุดนี้มีพนักงานคนไทย 3 คนที่นางละมุนพามา

โดยพนักงานหญิงคนไทยภายในร้าน มีการทำอนาจารให้ลูกค้าที่มาใช้บริการ ซึ่งใน 1 เดือนสร้างยอดขายได้มากถึง 1.2 ล้านบาท

ที่มา: ข่าวสด, 24/2/2561

รวบ"ป๋าจง"ขาใหญ่ค้ายา-ปล่อยกู้นิคมฯลำพูน หลังสื่อญี่ปุ่นแฉคนงานติดยาเยอะ

ลำพูน/เชียงใหม่ -จนท.ทหาร-ปกครอง-ตำรวจลำพูน ผนึกชุดสืบภาค 5 แกะรอยข่าวสื่อญี่ปุ่นแฉคนงานบริษัทยุ่นในไทยติดยาเยอะ ซ้อนแผนรวบ "ป๋าจง" หนุ่มพะเยาขาใหญ่ค้ายานิคมฯลำพูน แถมปล่อยกู้ฟอกเงินจนมีเงินหมุนนับล้าน

พ.ท.เฉลิมพล ศรีทะ ผบ.ร.7 พัน.1/ผบ.ร้อย.รส.ที่ 1 (ร.7 พัน.1) ได้สั่งการให้ ร.ต.วิทยา แสงประสิทธิ์ รอง ผบ.ร้อย.รส.ที่ 1 (ร.7 พัน.1) ร่วมกับ พ.ต.ท.ธีรไนย ศิริรุ่งพาณิชย์ สว.สส.-กำลังชุดสืบสวน สภ.นิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือลำพูน , ฝ่ายปกครอง อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ และเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนภาค 5 ร่วมกันจับกุมเป้าหมายผู้ค้ายาเสพติด กลางดึกที่ผ่านมา(23 ก.พ.)

หลังจากและมีสื่อมวลชนของประเทศญี่ปุ่นได้นำเสนอข่าวว่า บริษัทของนายทุนจากประเทศญี่ปุ่นในประเทศไทย มีพนักงานติดยาเสพติดมากที่สุด

ซึ่งต่อมาเจ้าหน้าที่สืบทราบว่า นายเจษฎา หรือจง ชัยวร หรือป๋าจง อายุ 37 ปี ที่อยู่ตามบัตรประชาชน อยู่บ้านเลขที่ 69 หมู่ที่ 2 ต.จุน อ.จุน จ.พะเยา ที่มาทำงานโรงงานในนิคมฯ มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติด โดยนำยาบ้ามาขายให้กับพนักงานในย่านนิคมอุตสาหกรรมฯด้วย เมื่อขายยาบ้าได้เงินแล้วก็ทำการฟอกเงิน โดยนำเงินดังกล่าวไปปล่อยกู้อีกทีหนึ่ง จนมีเงินหมุนเวียนในบัญชีนับล้านบาท

เจ้าหน้าที่จึงได้ร่วมกันวางแผนล่อซื้อยาบ้าจาก "ป๋าจง" จำนวน 10 เม็ด ในราคา 1,900 บาท โดยนัดหมายกันที่ อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ ก่อนจะขยายผลเข้าตรวจค้นห้องพัก บริเวณหอพักย่าน ต.บ้านกลาง อ.เมืองลำพูน

ซึ่งพบของกลางยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า) จำนวน 370 เม็ด , อาวุธปืนพกสั้นแบบไทยประดิษฐ์ ขนาด .22 (ปืนปากกา) จำนวน 1 กระบอก , เครื่องกระสุนปืนขนาด .22 จำนวน 3 นัด , รถยนต์กระบะบรรทุกส่วนบุคคล ยี่ห้อ อีซูซุ สีขาว หมายเลขทะเบียน ผล 4381 ชม. จำนวน 1 คัน , โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อไอโฟน 5s สีขาว จำนวน 1 เครื่อง , สมุดบัญชีธนาคารออมสิน จำนวน 1 เล่ม , สมุดบัญชีธนาคารกรุงไทย จำนวน 1 เล่ม , สมุดบัญชีธนาคารกรุงเทพ จำนวน 1 เล่ม , บัตรเอทีเอ็ม ธนาคารออมสิน จำนวน 2 ใบ , บัตรเอทีเอ็ม ธนาคารกรุงไทย จำนวน 1 ใบ , บัตรเอทีเอ็ม ธนาคารกรุงเทพ จำนวน 2 ใบ

จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน สภ.นิคมอุตสาหกรรมลำพูน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ที่มา: MGR Online, 24/2/2561

รถตู้รับส่งพนักงาน ชนประสานงานกระบะ เจ็บ 13 ราย

เหตุเกิด บนถนนบ้านภูไทร-ปลวกแดง ใน ต.ห้วยใหญ่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี รถตู้ที่มีพนักงานบริษัทนั่งมาเต็มคัน มุ่งหน้าไปโรงงานที่อยู่ย่านนิคมอุตสาหกรรมปลวกแดง มาถึงจุดเกิดเหตุเป็นทางโค้ง รถตู้หลุดโค้งชนประสานงากับรถกระบะ ที่สวนทางมา สภาพรถกระบะ พบว่า ฝั่งคนขับเสียหายหนัก เช่นเดียวกับรถตู้ ที่คนขับติดอยู่บนเบาะ เจ้าหน้าที่เร่งใช้อุปกรณ์เครื่องตัดถ่างช่วยเหลือออกมา เหตุการณ์นี้ทำให้มีผู้บาดเจ็บถึง 13 คน รวมถึงพนักงานที่มากับรถตู้ แต่ไม่มีใครเล่าเหตุการณ์ได้ เพราะหลับมาบนรถทั้งคัน เบื้องต้น เชื่อว่า คนขับรถตู้ อาจอาการหลับ

ที่มา: เนชั่นทีวี, 23/2/2561

รมว.แรงงานเปิดตัว 'ประชารัฐรวมพลัง สร้างยุวแรงงาน'

พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดตัวโครงการ "ประชารัฐรวมพลัง สร้างยุวแรงงาน" ส่งเสริมการมีงานทำให้นักเรียน นักศึกษา ในช่วงปิดภาคเรียนหรือช่วงว่างจากการเรียนระหว่างภาครัฐและเอกชน พร้อมมอบโอวาทแก่นักเรียน นักศึกษาที่เข้าร่วมงาน ว่า โครงการ "ประชารัฐรวมพลัง สร้างยุวแรงงาน" จัดตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมการมีงานทำให้แก่นักเรียน นักศึกษา ในช่วงปิดภาคเรียน/ช่วงว่างจากการเรียน ให้ได้รับประสบการณ์จากการทำงานจริง รู้จักความอดทน ระเบียบวินัย และเรียนรู้โลกอาชีพในการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่ตลาดแรงงานหลังเรียนจบ ตลอดจนมีรายได้ระหว่างการเรียน ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครอง ทั้งยังเห็นคุณค่าของเงินอีกด้วย

ทั้งนี้ หลังจากสิ้นสุดการทำงานตามโครงการ "ประชารัฐรวมพลัง สร้างยุวแรงงาน" แล้ว นักเรียน นักศึกษาจะได้รับใบประกาศรับรองการผ่านงานจากสถานประกอบการ ส่วนสถานประกอบการที่ร่วมมือในการส่งเสริมการมีงานทำให้นักเรียน นักศึกษา ก็จะได้รับใบประกาศเกียรติคุณจากกระทรวงแรงงาน ซึ่งหากนักเรียน นักศึกษา หรือสถานศึกษาใดสนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่สำนักงานแรงงานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือ โทร.สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506

ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ, 22/2/2561

กสร. ติวเข้ม"นิติกร"ฟ้องคดีแทนลูกจ้าง

20 ก.พ.2561 นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า กสร.มีกฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบหลายฉบับ โดยเป็นกฎหมายระดับพระราชบัญญัติ 6 ฉบับ รวมทั้งกฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวข้องอีกจำนวนมาก ทั้งนี้ การปฏิบัติงานด้านกฎหมาย ตลอดจนการบังคับใช้กฎหมาย นิติกรในฐานะผู้ปฏิบัติงานหลักด้านกฎหมาย ถือเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนงานดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพ สัมฤทธิ์ผล และก่อประโยชน์สูงสุดแก่นายจ้าง ลูกจ้าง

"ซึ่งหน้าที่สำคัญประการหนึ่งคือ การเป็นทนายความฟ้องคดี หรือ แก้ต่างคดีให้แก่ลูกจ้าง หรือทายาทโดยชอบธรรมของลูกจ้างซึ่งถึงแก่ความตาย ตามมาตรา 8 แห่ง พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 หรือการดำเนินคดีแทนให้แก่ผู้รับงานไปทำที่บ้านหรือทายาทในการฟ้องเรียกทรัพย์สินหรือค่าเสียหาย"อธิบดี กสร.กล่าว

นายอนันต์ชัย กล่าวต่อไปว่า กสร. ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการเพิ่มพูนความรู้ความสามารถ ในเรื่อง การจัดทำความฟ้อง คำให้การ คำร้องต่าง ๆ การเตรียมการรวบรวมพยานหลักฐาน ขั้นตอนวิธีพิจารณาคดีของศาลแรงงาน และการบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลแรงงาน จึงได้จัดหลักสูตรอบรมเพื่อพัฒนาศักยภาพด้านกฎหมาย หลักสูตรการว่าความในศาลแรงงานให้แก่นิติกรผู้ปฏิบัติงาน

"โดยมีหัวข้อหลัก ๆ อาทิ เรื่องการเตรียมคดี การดำเนินคดีแบบกลุ่ม การอุทธรณ์และฎีกา การรับฟังพยานหลักฐานของศาล เทคนิคการซักถามพยาน มารยาทการว่าความ เป็นต้น และยังมุ่งเน้นการฝึกเชิงปฏิบัติ โดยฝึกเขียนคำฟ้อง คำร้องขอต่าง ๆ และฝึกศาลจำลอง เป็นต้น ทั้งนี้ กสร. มุ่งหวังให้นิติกรมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในการเรียกร้องสิทธิตามกฎหมายให้แก่ลูกจ้าง ผู้รับงานไปทำที่บ้าน หรือทายาทโดยชอบธรรมของบุคคลดังกล่าว"อธิบดีกสร.กล่าวในที่สุด

ที่มา: คมชัดลึก, 21/2/2561

กรมการจัดหางานรับสมัครพนักงานผลิตแผงวงจรไฟฟ้าที่ไต้หวัน ระยะเวลา 3 ปี

กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน รับสมัครคนหางานเพื่อไปทำงานในไต้หวันกับบริษัท Tripod Technology Corporation จำนวน 30 อัตรา ระยะเวลาการจ้างงาน 3 ปี สมัครได้ตั้งแต่บัดนี้ถึง 23 กุมภาพันธ์ 2561

นายอนุรักษ์ ทศรัตน์ อธิบดีกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน แจ้งว่า กรมการจัดหางานรับสมัครพนักงานผลิตแผงวงจรไฟฟ้า (PCB) เพื่อไปทำงานในไต้หวันกับบริษัท Tripod Technology Corporation จำนวน 30 อัตรา เงินเดือน 22,000 เหรียญไต้หวัน หรือประมาณ 23,776 บาท (อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2561) ระยะเวลาการจ้างงาน 3 ปี นายจ้างรับผิดชอบค่าโดยสารเครื่องบินกลับประเทศไทยเมื่อทำงานครบสัญญาจ้าง และค่าบริการดูแลรายเดือนที่ต้องจ่ายให้แก่บริษัทจัดหางาน ส่วนคนหางานรับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนตัว คือ ค่าโดยสารเครื่องบินไปไต้หวัน/ ค่าตรวจโรคที่ไต้หวัน ค่าธรรมเนียมใบถิ่นที่อยู่ ค่าใช้จ่ายรายเดือน ได้แก่ ค่าอาหาร ค่าทีพัก ค่าเบี้ยประกันสุขภาพ ค่าเบี้ยประกันภัยแรงงาน

คุณสมบัติผู้สมัคร เป็นเพศชาย อายุ 20 – 40 ปี และเพศหญิง อายุ 20 – 35 ปี วุฒิการศึกษามัธยมศึกษาตอนต้น (ม.3 ขึ้นไป) ระดับสายตาไม่สั้น ไม่บอดสี ระดับการฟังต้องอยู่ในระดับ 0-44 เดซิเบล (DB) และไม่แพ้กลิ่นหรือน้ำยาสารเคมี หลักฐานที่ใช้ในการสมัครงาน ได้แก่ สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน รูปถ่าย 2 นิ้ว จำนวน 1 รูป สำเนาหนังสือเดินทาง (ถ้ามี) สำเนาวุฒิการศึกษา

ผู้ได้รับการคัดเลือกให้ไปทำงานจะจ่ายค่าใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น ได้แก่ ค่ารูปถ่าย ค่าทำหนังสือเดินทาง (กรณียังไม่มี) ค่าตรวจสุขภาพ ค่าตรวจสอบประวัติอาชญากรรม ค่าวีซ่า ค่าบัตรโดยสารเครื่องบิน ค่าสมาชิกกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานต่างประเทศ รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 15,000 บาท

 

นายอนุรักษ์ กล่าวต่อว่า บริษัทฯ จะคัดเลือกผู้สมัครโดยการสอบข้อเขียนและสัมภาษณ์แบบออนไลน์ผ่านโปรแกรม Skype ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2561 และขอย้ำเตือนคนหางานว่าอย่าหลงเชื่อผู้แอบอ้างว่าสามารถจัดส่งไปทำงานได้โดยต้องเสียค่าบริการต่าง ๆ เนื่องจากการสมัครในครั้งนี้ไม่เสียค่าสมัครหรือค่าบริการใด ๆ โดยสามารถสมัครด้วยตนเองพร้อมหลักฐานการสมัคร ได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือกองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ อาคารสำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ 3 ชั้น 10 โทร.02-2451034 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน

ที่มา: กรมการจัดหางาน, 21/2/2561

ประเมิน EEC แรงงานมนุษย์ถูกหุ่นยนต์แย่งงาน 6.5 แสนคน

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ประเมินว่าแม้การลงทุนในพื้นที่เขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC จะเพิ่มขึ้น แต่อาจทำให้แรงงานจำนวนมากตกงาน เพราะมีการใช้หุ่นยนต์เข้ามาแทนที่มนุษย์ประมาณ 6.5 แสนคน ด้านข้อมูลจากคณะกรรมการอีอีซีเชื่อยังมีความต้องการแรงงานคนอีกมาก

พื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC เป็นศูนย์กลางโรงงานอุตสาหกรรมในภาคการผลิตสำคัญและอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ ซึ่งนายวิธาน เจริญผล ผู้อำนวยการอาวุโสคลัสเตอร์ธุรกิจบริการ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ หรือ EIC ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินว่า ภาคการผลิตในพื้นที่นี้จะทยอยปรับเปลี่ยนมาใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ แทนแรงงานมนุษย์มากขึ้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม รวมไม่น้อยกว่า 650,000 คน หรือประมาณร้อยละ 15 ของจำนวนแรงงานทั้งหมดในภาคการผลิต ภายในปี 2573 หรืออีก 12 ปีข้างหน้า

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ ยังพบว่า ตลอด 5 ปีที่ผ่านมาไทยนำเข้าระบบอัตโนมัติ หรือ IR ขยายตัวมากกว่าร้อยละ 20 มาอยู่ที่ประมาณ 13,500 ตัว

ขณะที่นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ระบุว่า จากการประเมินเบื้องต้น แรงงานในอีอีซียังขาดแคลนแรงงานอาชีวะประมาณ 50,000 คน ส่วนแรงงานที่จบการศึกษาปริญญาตรี อาจจะเกินความต้องการร้อยละ 30 พร้อมระบุอีกว่า การเตรียมความพร้อมเพื่อนำหุ่นยนต์มาใช้ตั้งแต่วันนี้จะช่วยให้ไทยพ้นจากวิกฤตขาดแคลนแรงงานในอนาคต

ที่มา: ThaiPBS, 20/2/2561

เตือนนายจ้างไว้เลย! พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ห้ามหักค่าจ้าง-โอที ฝ่าฝืนเจอคุก 6 เดือน

กระทรวงแรงงาน โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เตือนนายจ้างห้ามหักค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ลูกจ้าง ฝ่าฝืนมีโทษจำคุก ไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน(กสร.) เปิดเผยว่ากสร.ให้ความสำคัญกับการดูแลแรงงานไทย และแรงงานต่างด้าวในทุกด้าน เพื่อให้แรงงานทุกคนได้รับการคุ้มครองอย่างเท่าเทียม เข้าถึงสิทธิตามกฎหมาย ที่ผ่านมายังพบว่ามีสถานประกอบการบางแห่งมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนในเรื่องของการหักค่าจ้าง โดยมีการหักค่าจ้างจากลูกจ้างเพื่อเป็นค่าอาหาร ค่าชุดทำงานเป็นต้น ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมาย ในเรื่องนี้พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541ได้กำหนดห้ามนายจ้างหักค่าจ้าง ค่าทำงานล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุดจากลูกจ้าง เว้นแต่เป็นกรณีที่กฎหมายกำหนด เช่น ชำระค่าภาษี ชำระหนี้สินสหกรณ์ออมทรัพย์ เป็นต้น กรณีที่นายจ้างไม่ปฏิบัติก็จะมีความผิดตามกฎหมายโดยมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 1 แสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ ได้สั่งการให้พนักงานตรวจแรงงานตรวจบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด หากพบว่ามีการฝ่าฝืนให้ดำเนินการตามกฎหมายทันที

อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับนายจ้าง ลูกจ้าง และที่มีข้อสงสัยสอบถามได้ที่ กองคุ้มครองแรงงาน โทรศัพท์ 0 2245 7020, 0 2246 3096 สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 ถึง 10 สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดทุกจังหวัด หรือหมายเลขโทรศัพท์สายด่วน 1506 กด 3

ที่มา: ข่าวสด, 20/2/2561

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นักเศรษฐศาสตร์เตือนเตรียมรับมือการย้ายฐานการผลิตและเงินทุนไหลออก

Posted: 25 Feb 2018 01:37 AM PST

คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ม.รังสิต เตือนเตรียมการรับมือการย้ายโรงงานกลับประเทศของกลุ่มบรรษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ญี่ปุ่นและกระแสการโอนเงินทุนกลับประเทศของสหรัฐอเมริกา ความไม่ชัดเจนเรื่องการเลือกตั้งและการไม่สามารถสรรหา กกต. สร้างความไม่แน่นอนทางการเมืองเพิ่มขึ้น 

    
25 ก.พ. 2561 ผศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ และ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยว่าสถานการณ์การย้ายโรงงานการผลิตบางส่วนกลับประเทศของบรรษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ญี่ปุ่นจะเกิดขึ้นทั่วทั้งเอเชียตะวันออกรวมทั้งไทยก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย แต่ประเทศไทยอาจจะมีสถานการณ์ที่ไม่ดีกว่าบางประเทศนัก เพราะเงินบาทแข็งค่ากว่าเงินสกุลเอเชียอื่นๆ ขณะเดียวกันก็มีความไม่ชัดเจนเรื่องการเลือกตั้งและล่าสุดก็ไม่สามารถสรรหา กกต. ได้สร้างความไม่แน่นอนทางการเมืองเพิ่มขึ้น ปัจจัยเหล่านี้จะเป็นปัจจัยผลักดันให้เกิดการไหลออกของการย้ายฐานการผลิตและเม็ดเงินลงทุนมากขึ้นอีกด้วย 
 
เงินเยนที่อ่อนค่าลง ต้นทุนการผลิตลดต่ำลงจากเทคโนโลยีหุ่นยนต์และสมองกลอัจฉริยะ AI ทำให้โรงงานผลิตนอกประเทศญี่ปุ่นของบรรษัทขนาดใหญ่บางส่วนไม่คุ้มทุน การผลิตในประเทศญี่ปุ่นถูกกว่าโดยเฉพาะในบริษัที่มีการลงทุนด้วยเทคโนโลยหุ่นยนต์และสมองกลอัจฉริยะอย่างมากและมีระบบทำงานเครื่องจักรอัตโนมัติที่ทำงานแทนแรงงานคนได้ ประกอบกับค่าแรงของประเทศในเอเชียรวมทั้งไทยก็ปรับตัวสูงขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ บางประเทศขาดแคลนแรงงานมีทักษะ ซึ่งไทยเองก็มีปัญหาขาดแคลนช่วงเทคนิคหลายสาขา การที่เงินเยนอ่อนค่าลงและอัตราเงินเฟ้อต่ำในญี่ปุ่น ประกอบกับประเทศเอเชียบางประเทศรวมทั้งไทยมีค่าเงินสกุลท้องถิ่นที่แข็งค่า ทำให้สินค้าที่ผลิตในประเทศดังกล่าวมีขีดความสามารถทางด้านราคาที่ลดลง บริษัทญี่ปุ่นขนาดใหญ่อย่าง Canon Pioneer Honda Nissan Toyota Casio ได้วางแผนทยอยย้ายโรงงานผลิตบางส่วนกลับญี่ปุ่น และการย้ายฐานการผลิตกลับนี้เกิดขึ้นในหลากหลายอุตสาหกรรม โดยมีการคาดการณ์ว่าการใช้หุ่นยนต์และ AI ในการผลิตนั้นช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน และทำให้ต้นทุนทางด้านแรงงานลดลงอย่างชัดเจนและผลผลิตรวมทั้งผลิตภาพเพิ่มสูงขึ้น 
 
ตนมองว่ากระแสการไหลย้อนกลับของการลงทุนจากทุนข้ามชาติจะไม่เกิดเฉพาะกรณีญี่ปุ่นเท่านั้น แต่อาจเกิดขึ้นกับประเทศที่มีการลงทุนทางด้านเทคโนโลยีการผลิตมากอย่าง เกาหลีใต้ ไต้หวัน และยุโรปบางประเทศอีกด้วย ซึ่งประเทศไทยจำเป็นต้องมีการเตรียมความพร้อมในการรับมือ พลวัตการเคลื่อนย้ายของการลงทุนข้ามชาติ ดังกล่าวให้ดีด้วย ส่วน SMEs ญี่ปุ่นอาจจะเข้ามาลงทุนใน EEC ของไทยเพิ่มขึ้น
 
นโยบายการปฏิรูปภาษีของสหรัฐฯซึ่งจะลดภาษีทั้งนิติบุคคล (ลดจาก 35% เหลือ 21%) และบุคคลธรรมดาจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาและน่าจะส่งผลต่อการเคลื่อนไหวในตลาดการเงินโลก ในส่วนของการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นอาจไม่มากอย่างที่คาดการณ์ไว้จากการตีกรอบไม่ให้ขาดดุลการคลังส่วนเพิ่มจากมาตรการลดภาษีเกิน 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และการขาดดุลการคลังนี้น้อยกว่าการลดภาษีครั้งใหญ่ในรอบก่อน นักเศรษฐศาสตร์ประเมินว่าจะช่วยกระตุ้นอัตราการเติบโตเศรษฐกิจได้เพียง 0.1-0.3% ต่อปี
 
ส่วนกฎหมายภาษีการนำกำไรนอกประเทศกลับเข้าประเทศด้วยอัตราพิเศษครั้งเดียว จะทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุนกลับสหรัฐฯ ขณะนี้มีเม็ดเงินของบรรษัทสัญชาติสหรัฐฯนอกประเทศประมาณ 2.6 ล้านล้านดอลลาร์ การลดภาษีนิติบุคคล ทำให้บริษัทมีกำไรมากขึ้นและมีเงินมากขึ้นในการขยายกิจการและการจ้างงาน การใช้มาตรการภาษีจูงใจให้กลุ่มทุนสหรัฐฯโอนเงินกลับประเทศน่าจะช่วยให้ราคาหุ้นในตลาดดาวโจนส์คึกคักขึ้น น่าจะมีการจ่ายเงินปันผลและซื้อคืนหุ้นมากขึ้น
 
ดร.อนุสรณ์ กล่าวอีกว่าอยากให้ทางการไทยติดตามความคืบหน้าข้อตกลงทางการค้า CPTPP (Comprehensive and Progressive Agreement for Trans-Pacific Partnership) ซึ่งเวลานี้ "ไทย" ตกขบวนไปแล้วและไม่ได้เป็นสมาชิก ทำให้เราไม่ได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีการค้าระหว่างประเทศจากกลุ่มประเทศ CPTPP โดยมูลค่าส่งออกจากไทยไปยังประเทศสมาชิก CTPTT อยู่ที่ประมาณ 20% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมด CPTPP นั้นมีสมาชิกทั้งหมด (ไม่รวมสหรัฐอเมริกา) ของ TPP เดิม 11 ประเทศ โดยประเทศเหล่านี้เห็นชอบกับเนื้อหาข้อตกลง TPP เดิมยกเว้นเฉพาะในส่วนที่เป็นเรื่องที่ผลักดันโดยสหรัฐฯ เช่น เรื่องสิทธิแรงงาน เรื่องการขยายระยะเวลาการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา เป็นต้น หากไทยไม่ติดตามความคืบหน้าและผลกระทบจากข้อตกลงดังกล่าวให้ดี เราอาจสูญเสียโอกาสทางการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศได้ 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เตือนผันน้ำสาละวินลงเขื่อนอาจไม่คุ้มค่า ชาวบ้านหวั่นผลกระทบ

Posted: 25 Feb 2018 01:24 AM PST

ประธานมูลนิธิบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการเตือนผันน้ำสาละวินลงเขื่อนอาจไม่คุ้มค่า ต้นทุนสูงลิ่วแถมผ่าป่าดิบเขตอนุรักษ์ ชาวบ้านหวั่นผลกระทบอื้อ

 
 
 
25 ก.พ. 2561 นายหาญณรงค์ เยาวเลิศ ประธานมูลนิธิบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ตนได้ลงพื้นที่แม่น้ำยวม และแม่น้ำเงา อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน ตรงข้าม อ.ท่าสองยาง จ.จาก ซึ่งขณะนี้มีการการผลักดันโครงการผันน้ำจากลุ่มแม่น้ำสาละวิน สู่ลุ่มน้ำปิงและเจ้าพระยา (โครงการศึกษาทบทวนการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพล) เป็นแนวส่งน้ำยวม-อ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล โดยกรมชลประทาน   
 
นายหาญณรงค์กล่าวว่า การผันน้ำจากลุ่มน้ำสาละวินมาลุ่มน้ำปิง เมื่อลงมาดูในพื้นที่จะพบว่า โครงการนี้จะมีการใช้งบประมาณในการลงทุนสูง ขั้นตอนการผันน้ำไม่ได้ผันตามแรงโน้มถ่วง แต่เป็นการ สร้างเขื่อนกั้นน้ำแม่น้ำยวม ความสูง 71เมตร จากนั้นต้องมีการสูบน้ำจากท้ายเขื่อน ขึ้นไปยังบ่อพักน้ำสูงประมาณ 30 เมตร และปล่อยน้ำลงอุโมงค์ ไปยังแม่น้ำปิง ที่ อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ ระยะทาง 67 กม. หากดูข้อมูลในทางเทคนิคแล้ว จะได้น้ำไปเติมเขื่อน 1,795 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อปี นั่นหมายความว่า เขื่อนน้ำยวมที่สามารถจุน้ำได้ 65 ล้าน ลบ.ม. จะต้องสูบน้ำจนหมดอ่างอย่างน้อย 30 ครั้ง และจะต้องเสียค่าไฟฟ้าในการสูบน้ำอย่างน้อย 2,400 ล้านบาทต่อปี 
 
"ถ้าดูแล้วโครงการนี้จะต้องลงทุนสูง ค่าใช้จ่ายในการได้น้ำมาต่อหน่วยอยู่ในราคาที่แพง รวมแล้วไม่น้อยกว่า 65 บาท/ลบ.ม. ในปีแรกของโครงการ ถือว่าแพงมาก เมื่อเทียบกับการสร้างเขื่อนภูมิพล ค่าน้ำอยู่ที่เพียงประมาณ 50 สตางค์ ใน 1 ปีแรก ซึ่งถือว่าในโครงการนี้เมื่อมีการศึกษาที่ผ่านมาเป็นเพียงการทบทวนความเป็นไปได้ ยังไม่มีรายละเอียดเพียงพอ จึงจำเป็นต้องดูมูลค่าที่แท้จริงของการลงทุน และผลกระทบเพิ่มเติมในขั้นตอนก่อสร้าง ที่เป็นค่าใช้จ่ายให้ครอบคลุม และค่าใช้จ่ายที่จะแพงขึ้นของโครงการนี้คือ ค่าการก่อสร้างอุโมงค์ผ่านผืนป่าสมบูรณ์บริเวณ รอยต่อ จ.แม่ฮ่องสอน จ.ตาก และ จ.เชียงใหม่ เพราะยังไม่มีข้อมูลในทางธรณี" นายหาญณรงค์ กล่าว 
 
นายหาญณรงค์กล่าวว่า ประชาชนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านสบเงา อ.สบเมย มีความกังวลเป็นอย่างยิ่งต่อผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ชาวบ้านบอกว่าการสร้างเขื่อนและอุโมงค์ จะเกิดผลกระทบทรัพยากรธรรมชาติเสียหาย ผลตามมาคือชีวิตชาวบ้านจะต้องเดือดร้อน ปกติแม่เงาน้ำ มีน้ำป่าท่วมทุกปี หน่วยงานได้ลงมาสำรวจให้ข้อมูลว่าหากสร้างเขื่อนกั้นน้ำ จะสูบน้ำเข้าอุโมงค์ น้ำที่เคยท่วมก็ไม่ท่วม จะสูบไปหมด แต่ชาวบ้านมองว่า หากกั้นเขื่อน ดินหินทรายโคลนก็จะทับถมสูงขึ้น ยิ่งทำให้น้ำท่วมบ้านเรือน ในเวทีประชุมที่หน่วยงานลงมาจัด เมื่อชาวบ้านถามไปเขาก็ตอบไม่ได้ ขณะนี้ชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณแม่น้ำยวม แม่น้ำเงา อยู่กันด้วยความอบอุ่น แต่หากมีเขื่อนกั้นน้ำ สร้างสถานีสูบน้ำ ชาวบ้านได้ไปจับพิกัดมาพบว่าจะกระทบต่อพื้นที่แหล่งน้ำประปาหมู่บ้าน จะเสียหาย ผลกระทบทางเสียงจากเครื่องสูบน้ำ หากมาก่อสร้าง บ้านใหม่ อยู่ใกล้ เขามาว่าจะสร้างกำแพงไม่ให้มีเสียง เขาบอกว่าชาวบ้านจะได้สิทธิประโยชน์ สร้างบ่อน้ำสะอาด จริงๆ มันก็คือน้ำขี้ตีนขี้มือ ทุกวันนี้น้ำของเรามาจากรากไม้ จากป่าบริสุทธิ์ น้ำสะอาดไม้ต้องใช้คลอรีนก็สะอาดดื่มกินได้ 
 
นายพงษ์พิพัฒน์ มีเบญจมาศ ผู้ประสานงานเครือข่ายการจัดการทรัพยากรลุ่มน้ำสาละวิน จ.แม่ฮ่องสอนกล่าวว่า กรมชลประทานโดยมหาวิทยาลัยนเรศวรได้เปิดเวทีนำเสนอข้อมูลการศึกษาและรับฟังผลกระทบจากชุมชนแล้ว 3 ครั้ง โดยจัดที่ที่ว่าการอำเภอสบเมย ที่วัดแม่เงาหมู่ 8 อำเภอสบเมยและโรงแรมมิตรอารีย์ 2 อำเภอแม่สะเรียง ซึ่งบรรยากาศส่วนใหญ่ชาวบ้านเป็นห่วงเรื่องผลกระทบต่างๆ เช่น ในหน้าแล้งน้ำในแม่น้ำยวมมีปริมาณน้อยอยู่แล้ว หากถูกดูดไปใช้อีกจะเป็นการแย่งน้ำชาวบ้านหรือไม่ ที่สำคัญชาวบ้านไม่รู้ว่าโครงการนี้จะทำให้ปริมาณน้ำจะท่วมสูงขนาดไหนโดยเฉพาะชาวบ้านแม่เงาซึ่งอยู่ในที่ราบต่ำก็มีโอกาสถูกท่วมกันทั้งหมด 
 
ผู้ประสานงานเครือข่ายการจัดการทรัพยากรลุ่มน้ำสาละวินกล่าวว่า ชาวบ้านยังตั้งคำถามด้วยว่าดินจากการขุดเจาะอุโมงค์จำนวนมหาศาล ทางผู้รับผิดชอบจะนำไปทิ้งที่ไหนและจะมีผลต่อผืนป่าหรือไม่ เพราะโครงการนี้ตัดผ่านทั้งป่าสงวนแห่งชาติ อุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าซึ่งจะส่งผลกระทบมากมาย แม้ทางโครงการพยายามว่าไม่มีผลเพราะเป็นการเจาะใต้ดิน แต่ชาวบ้านก็ไม่มั่นใจ นอกจากนี้ชาวบ้านยังห่วงเรื่องเสียงที่เกิดจากเครื่องสูบน้ำจะส่งผลกระทบต่อชุมชนหรือไม่และในช่วงก่อสร้างต้องมีการเจาะอุโมงค์จะมีปัญหาหรือไม่ ซึ่งยังไม่มีคำตอบชัดเจน
 
"เวทีเหล่านี้เป็นของทีมศึกษาด้านวิชาการของม.นเรศวร คิดว่าอาจจะมีการจัดเวทีอีกครั้ง ก่อนส่งผลการศึกษานี้ให้กรมชลประทาน ซึ่งจะสร้างหรือไม่ ยังไม่มีความชัดเจน จริงๆแล้วชาวบ้านอยากให้มีการตั้งคณะกรรมการกลางที่มีชุมชนเข้าร่วมมากกว่า ไม่ใช่ศึกษาฝ่ายเดียว ควรเอาคนที่ได้รับผลกระทบหลักเข้าไปร่วมเป็นสำคัญ โครงการนี้ใช้งบประมาณมหาศาลไม่น้อยกว่า 4 หมื่นล้านบาท เพราะฉะนั้นรัฐบาลต้องพิจารณาให้ดี ที่ผ่านมาชาวบ้านยังเข้าไม่ถึงข้อมูลเลย ส่วนใหญ่พวกเขาเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ พออ่านเอกสารที่เป็นตัวเลขทางวิชาการก็ไม่เข้าใจ ควรหาวิธีให้พวกเขาได้เข้าถึงข้อมูลมากกว่านี้เพื่อประกอบการตัดสินใจที่แท้จริง"นายพงษ์พิพัฒน์ กล่าว
 
ทั้งนี้โครงการศึกษาทบทวนการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพล  กรมชลประทานได้ว่าจ้าง บริษัทปัญญาคอนซัลแตนท์ บริษัท เอส เอ็น ที คอนซัลแตนท์ จำกัด และมหาวิทยาลัยนเรศวร  ทำการศึกษาตั้งแต่ปี 2559 มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพลจากลุ่มน้ำในประเทศ ลุ่มน้ำสำละวินและลุ่มน้ำสาขา เพื่อแก้ไขหรือบรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ตั้งแต่ด้านท้ายเขื่อนภูมิพลในปัจจุบันและอนาคต 20 ปีข้างหน้า  ระยะเวลาในการดำเนินการศึกษาตั้งแต่เดือนกันยายน 2559- กุมภาพันธ์ 2561 รวม 18 เดือน  องค์ประกอบการผันน้ำเบื้องต้นคือ แผนการสร้างเขื่อนน้ำยวมตอนล่าง และโรงไฟฟ้า ที่บริเวณบ้านสบเมย อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน ทำการสูบน้ำโดยผ่านอุโมงค์อัดน้ำคอนกรีตดาดเหล็ก มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 6.80 ม. ยาว 1,822.79 ม. เข้าถังพักน้ำใต้ดินรูปทรงกระบอก ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 34.09 ม. สูง 25.54 ม. ผ่านอุโมงค์ส่งน้ำความยาวรวม 61.85 กม. มาลงห้วยแม่งูด ลุ่มน้ำปิง-เจ้าพระยา
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค' ตกตึกชั้น 7 เสียชีวิต

Posted: 25 Feb 2018 12:26 AM PST

'พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค' ตกตึกชั้น 7 ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งใน อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี พบกระดาษเขียนด้วยลายมือมีข้อความลาตาย

 
25 ก.พ. 2561 มติชนออนไลน์รายงานว่าเวลาประมาณ 11.30 น. เกิดเหตุ ชายพลัดตกจากที่สูง ภายในห้างดังแห่งหนึ่ง ที่ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ที่ร้านคริสปี้ครีม (ชั้น 1) จากนั้นเจ้าหน้าที่ห้างสรรพสินค้าได้ช่วยเหลือนำส่งโรงพยาบาลชลประทาน โดยได้ตรวจสอบเอกสารของชายคนดังกล่าว ไม่พบเอกสารยืนยันตัวบุคคล และพบกระดาษเขียนด้วยลายมือ ปรากฏข้อความลาตายลงชื่อ พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค จึงได้เก็บรวบรวมไว้เป็นพยานหลักฐาน จากนั้นพนักงานสอบสวนได้เดินทางไปยัง รพ.ชลประทาน และได้ตรวจสอบรูปพรรณศพ พบว่าผู้เสียชีวิตคือ พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค จึงได้แจ้งแพทย์นิติวิทยาศาสตร์ มาร่วมชันสูตรศพต่อไป
 
จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุ ตรวจสอบกล้องวงจรปิด และสอบปากคำพยาน พยานที่เห็นเหตุการณ์ พบว่าก่อนเกิดเหตุผู้เสียชีวิตเดินอยู่บนชั้น 7 ตามปกติ จากนั้นได้เดินไปที่กระจกทางกั้น จากนั้นได้ปีนข้ามและพลัดตกลงไป
 
อนึ่งข้อมูลจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ระบุว่า พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค (5 มีนาคม พ.ศ. 2480 – 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561) เกิดที่ อ.เมือง จ.ราชบุรี อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ เป็นบุตรของหลวงพินิตพาหนะเวทย์ (พิง) มารดาชื่อ ทองอยู่ (สกุลเดิม ลิมปิทีป) สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ และวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รับราชการในกรมตำรวจ (สำนักงานตำรวจแห่งชาติในปัจจุบัน) ตำแหน่งที่สำคัญได้แก่ ผู้บังคับการตำรวจภูธร 12 ผู้บัญชาการศึกษา ผู้ช่วยอธิบดีตำรวจ และรองอธิบดีกรมตำรวจ ฝ่ายป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมพิเศษ ตามลำดับ ปัจจุบันเป็นสมาชิกวุฒิสภา ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก มหาวชิรมงกุฏ และเหรียญจักรพรรดิมาลา พล.ต.อ.สล้าง มีบุตรกับภรรยาชื่อ สุพรรณวดี (สกุลเดิม ชุมดวง) 3 คน ได้แก่ วันจักร พลจักร และเหมจักร นับเป็นลำดับชั้นที่ 7 พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค เสียชีวิต ณ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ
 
บทบาทที่สำคัญในเหตุการณ์ 6 ตุลา
 
ขณะนั้น พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค เป็นรองผู้กำกับการ 2 รับคำสั่งจาก พล.ต.ต.สุวิทย์ โสตถิทัต ผู้บังคับการกองปราบปราม ของคืนวันที่ 5 ตุลาคม 2519 ให้นำกำลังตำรวจปราบจลาจล 200 นายไปรักษาความสงบที่บริเวณท้องสนามหลวง และหน้า มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
 
ใน ครั้งนั้นมีการเรียกกำลังของตำรวจตระเวนชายแดนประมาณ 50-60 นาย ซึ่งมีอาวุธปืนขนาดใหญ่ ปืนครก อาวุธปืนที่ติดกล้องเล็ง และตำรวจแผนกอาวุธพิเศษ หรือหน่วย "สวาท" ทั้งแผนกอีก 45 นาย ในเช้าวันนั้นเฉพาะกำลังส่วนที่ติดอาวุธหนัก และร้ายแรงที่สุดของกรมตำรวจ 3 หน่วยนี้ที่ถูกใช้ในการโจมตีมีถึง 300 คน นอกจากนี้ยังมีตำรวจจาก สน.และหน่วยงานอื่นๆ อีกประมาณ 50 ถึง 100 หน่วยงานเข้าร่วมด้วย
 
ต่อมาเวลาประมาณ 8.00 น. ของวันเดียวกัน ก็ได้รับคำสั่งจากอธิบดีกรมตำรวจ ให้เข้าไปทำการตรวจค้นจับกุม และให้ใช้อาวุธปืนได้ตามสมควร แต่อย่างไรก็ตามที่ได้รับคำสั่งให้ใช้อาวุธได้ จากอธิบดีตำรวจนั้น ได้รับคำสั่งโดยมีนายตำรวจ มาบอกด้วยวาจา และมีการมาบอกกันหลายคน จนเกิดการใช้อาวุธหนักโจมตีเข้าไปใน ม.ธรรมศาสตร์ จึงมีนักศึกษา ประชาชน เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นจำนวนมาก
 
บทบาท พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค ในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 มีมากมาย แน่นอนว่าบทบาทของเขาในวันนั้นยังไม่หมดเท่านี้ ก่อนจะหมดวัน "ได้รับคำสั่ง" ให้ไปปฏิบัติการที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง และทำให้มีชื่อเสียงที่ไม่อาจลบล้างได้จนทุกวันนี้
 
ในบ่ายวันดียวกัน หลังจากที่กลุ่มฝ่ายขวาเสร็จสิ้น "การฆ่าฟันนักศึกษาที่ธรรมศาสตร์" สถานีวิทยุยานเกราะ ก็ได้สั่งการต่อให้กลุ่มลูกเสือชาวบ้านเดินทางไปที่สนามบินดอนเมือง เพื่อทำร้าย ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ขณะนั้นดำรงตำแหน่งอธิการบดี ม.ธรรมศาสตร์ แต่เจ้าหน้าที่สนามบินไม่ให้เข้าไป อย่างไรก็ตามพล.ต.อ.สล้าง ได้เดินทางไปที่ดอนเมืองตามคำสั่งของสถานีวิทยุยานเกราะ โดยที่ไม่ได้รับคำสั่งจากกรมตำรวจ และ พล.ต.อ.สล้าง ได้เข้าไปด่าว่า ดร.ป๋วย ขณะที่พูดโทรศัพท์อยู่ และตบหู จนโทรศัพท์ออกจากมือของ ดร. ป๋วย หลายปีภายหลัง พล.ต.อ.สล้าง ได้พยายามแก้ตัวว่า ได้รับวิทยุสั่งการโดยตรงจาก พล.ต.ต.สงวน คล่องใจ ผู้บังคับการกองปราบฯ ให้รีบเดินทางไปที่สนามบินดอนเมือง เพื่อป้องกันช่วยเหลือ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ให้รอดพ้นจากการทำร้ายจากกลุ่มประชาชน พวกนวพล และกระทิงแดงให้ได้ จึงได้รีบเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่ง
 
แต่ในขณะที่ พล.ต.อ.สล้าง ดำรงตำแหน่ง รองอธิบดีกรมตำรวจ หนึ่งในคดีวิสามัญฆาตกรรมที่อื้อฉาว สะเทือนขวัญ และเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์มากที่สุด คงจะหนีไม่พ้น...
 
คดีวิสามัญฆาตกรรม "โจ ด่านช้าง" และพวกอีก 5 คน
 
26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 ชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่ง คือ นายศุภฤกษ์ เรือนใจมั่น หรือ โจ ด่านช้าง หัวหน้าแก๊ง นายสุบิน เรือนใจมั่น น้องชายของโจ ด่านช้าง นายประสิทธิ์ โพธิ์หอม นายยิ้ว ปริวัตรสกุลแก้ว นายหยัด และนายปราโมทย์ (ไม่ทราบนามสกุล) นำอาวุธสงครามครบมือ หวังฆ่านายอุบล หรือ เล็ก บุญช่วย อายุ 31 ปี หลังถูกหักหลังในธุรกิจค้ายาบ้าที่ทำร่วมกัน แต่ตำรวจ สภ.อ.สองพี่น้องสามารถสกัดทัน คนร้ายหลบที่ใต้ถุนสูงและมีน้ำท่วมรอบบ้านเลขที่ 107/1 หมู่ 5 ต.บางใหญ่ อ.บางปลาม้า และมีตัวประกันอยู่ในบ้านถึง 3 คน คือ นายประสงค์ ครุฑใจกล้า อายุ 45 ปี เจ้าของบ้าน ที่ป่วยเป็นอัมพาต นางบรรยงค์ ข้อทน อายุ 40 ปี ภรรยา และ ด.ญ.ประสาน ครุฑใจกล้า อายุ 11 ขวบ ลูกสาว จึงมีการปะทะกันอย่างต่อเนื่องกับคนร้าย
 
พล.ต.อ.สล้าง นั่งเฮลิคอปเตอร์เดินทางไปสั่งการด้วยตัวเอง และเรียกประชุมนายตำรวจที่เกี่ยวข้องเพื่อหาทางคลี่คลาย มีคำคำสั่งให้ใช้การเจรจาเกลี้ยกล่อม และให้ตำรวจแฝงกายล้อมตัวบ้านในระยะใกล้ที่สุด เพื่อรอจังหวะลงมือ พร้อมส่ง พ.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้บังคับการกองปราบปราม ถอดเครื่องแบบเดินถือโทรโข่งลุยน้ำเข้าไปเจรจา คนร้ายทั้ง 6 คน ยอมปล่อยตัวประกันและขอมอบตัว ต่อมาคนร้ายทั้ง 6 ถูกใส่กุญแจมือ และถูกตำรวจพาเดินลุยน้ำมาจนถึงฝั่ง เหตุการณ์ที่ดูทีท่าว่าจะคลี่คลายไปด้วยดีกลับตาลปัตรไปอย่างไม่น่าเชื่อ คำให้การของฝ่ายตำรวจบอกว่า คนร้ายได้ขอให้ตำรวจนำตัวกลับเข้าในบ้านอีกรอบ เพื่อค้นหาอาวุธของกลาง ตำรวจจึงพากลับไปตามที่ร้องขอ หลังเข้าไปในบ้านประมาณ 20 นาที เกิดมีเสียงปืนรัวขึ้น สิ้นเสียงปืนคนร้ายทั้ง 6 คนถูกวิสามัญฆาตกรรม จนเป็นตำนาน "อื้อฉาว" ไปทั่วโลกของ ...ตำรวจมือปราบวิสามัญ...!!!
 
หลังเกษียณอายุราชการ พล.ต.อ.สล้าง ได้ตั้ง "มูลนิธิ พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค" ในปี 2541 มอบหมายให้เภสัชกรและนายแพทย์ในมูลนิธิฯ ผลิตยา วี1 (V1 Immunitor) อ้างว่าเป็นยาต้านโรคเอดส์ได้ โดยเฉพาะในปี 2544 เขาแจกยา วี1 ฟรีออกไปอย่างกว้างขวาง มีผู้ป่วยไปรอรับยาตัวนี้วันละนับหมื่นคนท่ามกลางข้อกังขาของวงการแพทย์และสังคมว่าเป็นการโฆษณาเกินจริง กระทั่งต้องสั่งให้หยุดโฆษณา และแก้เกี้ยวว่าเป็นเพียงยาบำรุงกำลัง อย่างไรก็ตามช่วงหลังเขาพยายามเสนอผลงานและแสดงความคิดเห็นสาธารณะ แต่สังคมไม่ได้ให้ความสนใจเขามากนัก และได้ออกมาแสดงบทบาททางการเมืองอยู่เป็นระยะ แต่ยังไม่ชัดเจน
 
'สล้าง บุนนาค'ขออาสา ยึดทำเนียบรัฐบาลคืนจาก พธม.
 
ในช่วงการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ปี 2551 ที่มีการบุกยึดทำเนียบรัฐบาลนั้น พล.ต.อ.สล้าง เคยระบุไว้ว่า
 
"มีตำรวจมาพูดกับผมว่าตอนนี้ตำรวจไม่กล้าทำงานเพราะ ผู้ใหญ่ไม่กล้าตัดสินใจ ผมจึงคิดกับเพื่อนตำรวจนอกราชการที่อดีตเคยเป็นครู ตชด. ปจ. คอมมานโด กองปราบปราบ ตั้งกองกำลังกู้ทำเนียบรัฐบาล โดยจะเสนอรัฐบาลว่าจะเข้าไปยึดทำเนียบคืนเอง เบื้องต้นรวบรวมตำรวจนอกราชการได้กว่า 1,000 นาย ซึ่งถ้าหากตำรวจในราชการอยากร่วมด้วยก็ขอให้ไปลาราชการมาร่วมกันทำงาน ส่วนชาวบ้านทั่วไปก็มาร่วมได้แต่ให้มาทำงานในส่วนอื่นเพราะไม่ได้รับการฝึกมา ซึ่งกองกำลังสามารถรวบรวมได้ภาย ใน 3 วัน"

ฉายา
 
ระหว่างที่รับราชการอยู่นั้น พล.ต.อ.สล้าง ได้รับฉายาว่า "เสือใต้" จากผู้ใต้บังคับบัญชา จากการเป็นนายตำรวจมือปราบ คู่กับ พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ ซึ่งได้รับฉายาว่า "สิงห์เหนือ"
 
 
 
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เครือข่ายผดุงธรรมเพื่อสันติเรียกร้อง จนท. เคารพหลักสิทธิมนุษยชนกรณีควบคุมตัว 'ไอมัน หะเด็ง'

Posted: 25 Feb 2018 12:11 AM PST

เครือข่ายผดุงธรรมเพื่อสันติออกแถลงการณ์เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ภายใต้หลักกฎหมายและเคารพสิทธิมนุษยชนกรณีควบคุมตัวไอมัน หะเด็ง หากพิสูจน์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องให้รีบปล่อยตัวทันทีและเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้น

 
24 ก.พ. 2561 เครือข่ายผดุงธรรมเพื่อสันติได้ออก แถลงการณ์เครือข่ายผดุงธรรมเพื่อสันติ เรื่อง เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวตัวนายไอมัน หะเด็ง (ประธานเครือข่าย) ระบุว่าเมื่อเวลา 15:40 น. ของวันที่ 23 ก.พ. 2561 โดยการสนธิกำลังสามฝ่ายของเจ้าหน้าที่ของรัฐ มาปิดล้อม ตรวจค้น ควบคุม ที่ร้านวีดาต ขายผ้าคลุม ถ.วิฑูรอุทิศ 1 ตลาดเก่า อ.เมือง จ.ยะลา ซึ่งเป็นร้านของนายไอมันและภรรยา โดยภรรยานายไอมัน (ขอสงวนชื่อ-สกุล) เผยว่าก่อนควบคุมตัวไปนั้น เจ้าหน้าที่เข้ามาในร้านซึ่งเป็นร้านของครอบครัว ถามหาตัว ชื่อนายไอมัน หะเด็ง ณ เวลานั้นนายไอมันซึ่งกำลังกินข้าวอยู่ที่โต๊ะทำงานของตน ภายหลังจากที่เข้ามาในร้านแล้ว ได้ทำการยึดโทรศัพท์ทั้งของไอมันและภรรยา รวมสามเครื่อง และเสื้อผ้าบางส่วน และจะขอตรวจค้นภายในร้าน ผลจากการตรวจค้นปรากฏว่าไม่พบสิ่งใดผิดปกติโดยมีไอมันและเพื่อนบ้านตามไปเป็นพยานด้วย ทางเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวและพานายไอมัน หะเด็ง ไปที่ ฉก.12 ตือเบาะ อ.เมือง จ.ยะลา เจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตให้ภรรยานายไอมันตามไปด้วย เมื่อสอบถามการควบคุมตัวนายไอมัน หะเด็ง เจ้าหน้าที่ได้อ้างว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีระเบิดที่ตลาดสดพิมลชัย อ.เมือง จ.ยะลา ว่ามีการซัดทอดจากคนที่ถูกควบคุมก่อนหน้านี้ 3-4 วัน แถวพื้นที่ นะกูโบร์-จาเราะ จากนั้นเวลาประมาณ 18:30 น. เจ้าหน้าที่ทาง ฉก. 12 ได้สอบถามและตรวจสอบแล้วจะปล่อยตัวว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ แต่ทางเจ้าหน้าที่ค่ายทหารวังพญายืนยันว่าต้องการตัว ขณะนี้นายไอมัน หะเด็ง ประธานเครือข่าย ยังคงถูกควบคุมตัวที่ค่ายทหารพราน วังพญา อ.รามัน จ.ยะลา โดยไม่ทราบระยะเวลาการควบคุมตัวว่าจะยาวนานเท่าใด 
 
นายไอมัน หะเด็ง เป็นอดีตจำเลยที่ได้รับผลกระทบจากการบังคับใช้กฎหมายและได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทางศาลแล้ว โดยตกเป็นจำเลยในคดีความมั่นคงเพียงคดีเดียว และศาลได้พิพากษายกฟ้อง หลังจากได้รับการปล่อยตัวออกจากเรือนจำ นายไอมัน หะเด็ง ได้ร่วมกลุ่มกับเพื่อนๆอดีตจำเลย ก่อตั้งกลุ่มเครือข่ายผดุงธรรมเพื่อสันติ (JOP) มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความช่วยเหลือแนะนำความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายแก่ผู้ได้รับผลกระทบ และสร้างความเข้มแข็งให้แก่ครอบครัวผู้ได้รับผลกระทบด้วย นอกจากนี้นายไอมัน หะเด็ง ได้รับความไว้วางใจจากสมาชิกเครือข่ายให้ดำรงตำแหน่งประธานเครือข่าย เนื่องจากนายไอมัน หะเด็ง จบการศึกษาในระดับปริญญาตรี คณะรัฐศาสตร์
 
จากเหตุการณ์การควบคุมตัวนายไอมัน หะเด็ง ครั้งนี้ เครือข่ายผดุงธรรมเพื่อสันติ มีความกังวลและห่วงใยต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ เนื่องจากเหตุการณ์เช่นนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว กับอดีตประธานเครือข่าย นายมูหาหมัดยากี สาและ ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่อ้างว่านายมูหาหมัดยากี มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ระเบิดที่เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎ์ธานี การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐที่ผ่านมาเกี่ยวกับผู้ต้องสงสัยในเหตุการณ์ความรุนแรง มักจะเล็งเป้าหมายต่อกลุ่มบุคคลที่เคยถูกบังคับใช้กฎหมายหรือกลุ่มจำเลยในคดีความมั่นคงที่ได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และได้รับการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ว่าไม่ได้เป็นผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่แต่อย่างใด เครือข่ายผดุงธรรมเพื่อสันติ จึงขอเรียกร้องต่อหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ความเป็นธรรมต่อนายไอมัน หะเด็ง ดังต่อไปนี้
 
1. ขอเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ภายใต้หลักการของกฎหมายและเคารพหลักสิทธิมนุษยชน โดยไม่มีทัศนคติในด้านลบต่อกลุ่มเพื่อนจำเลยในคดีความมั่นคง
2. ขอให้เจ้าหน้าที่ตระหนักถึงการปกป้องและคุ้มครองสิทธิของผู้บริสุทธิ์ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุความรุนแรง โดยหามาตรการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อมิให้เป็นเงื่อนไขสร้างชนวนของความขัดแย้งจนกลายเป็นอุปสรรคต่อการสร้างสันติภาพในพื้นที่ต่อไป
3. ขอเรียกร้องให้ภาครัฐนำข้อเท็จจริงจากภรรยาและครอบครัวของนายไอมัน หะเด็ง รวมทั้งผู้ใหญ่บ้านและเพื่อนบ้าน เพื่อประกอบเป็นข้อเท็จจริงในการพิจารณาให้ความเป็นธรรมกับนายไอมัน หะเด็ง ด้วย
4. หากภาครัฐพิสูจน์ทราบอย่างชัดเจนนายไอมัน หะเด็ง ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใดกับเหตุการณ์ระเบิดที่ถูกกล่าวอ้าง ขอเรียกร้องให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องรีบดำเนินการปล่อยตัวนายไอมัน หะเด็ง ให้เป็นอิสระโดยทันทีและให้มีการเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นด้วย รวมทั้งชี้แจงข้อเท็จจริงต่อสาธารณะ เพื่อสร้างความเข้าใจถูกต้องต่อประชาชนทั่วไปและเป็นการคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของนายไอมัน หะเด็ง ด้วย
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สปสช.เผยความร่วมมือจัดการยาต้านพิษ ช่วยผู้ป่วยกว่า 2.7 หมื่นราย ประหยัดค่ายา 179 ล้านบาท

Posted: 24 Feb 2018 11:30 PM PST

สปสช.เผยความร่วมมือ "โครงการเพิ่มการเข้าถึงยากำพร้ากลุ่มยาต้านพิษและเซรุ่ม" 7 ปี ช่วยผู้ป่วยเข้าถึงยากว่า 2.7 หมื่นราย เป็นผู้ป่วยรับสารพิษ 1.8 พันราย ผู้ป่วยถูกงูกัดกว่า 2.5 หมื่นราย ทั้งช่วยรัฐประหยัดค่ายา เฉพาะเซรุ่มแก้พิษงู 5 ปีมูลค่ากว่า 179 ล้านบาท

    
 
25 ก.พ. 2561 นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ปัญหาการเข้าถึงยาเป็นหนึ่งในอุปสรรคสำคัญที่ผู้ป่วยเข้าไม่ถึงการรักษา โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยได้รับพิษที่ต้องได้รับยารักษาภายในเวลาที่จำกัด ยาต้านพิษเหล่านี้เป็นยากำพร้า มีอัตราการใช้ต่ำมากจนส่งผลต่อการผลิตยาและเกิดปัญหาขาดแคลนยา ซึ่งไม่มียาอื่นนำมาใช้ทดแทนได้ ในอดีตผู้ป่วยได้รับพิษเหล่านี้ต้องเสียชีวิตลง ต่อมาในช่วงปลายปี 2553 สปสช.จึงได้ร่วมกับศูนย์พิษวิทยา โรงพยาบาลรามาธิบดี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมดำเนิน "โครงการเพิ่มการเข้าถึงยากำพร้ากลุ่มยาต้านพิษ" ในการจัดหาและจัดซื้อยาต้านพิษเร่งด่วนที่ควรมีในประเทศ โดยใช้ฐานข้อมูลของศูนย์พิษวิทยาฯ พร้อมจับมือกับหน่วยงานต่างๆ พัฒนาระบบบริหารจัดการเพื่อให้เกิดการเข้าถึงยาต้านพิษ อาทิ การจัดระบบคลังยา การกระจายยาเพื่อให้สามารถช่วยผู้ป่วยได้ในเวลาที่จำกัด เป็นต้น จนเป็นน "วัตกรรมบริการจัดการยาต้านพิษ" 
 
ทั้งนี้ในช่วงดำเนินการเริ่มแรก ปี 2553 ได้บรรจุยาต้านพิษในรายการที่จำเป็นต่อการเข้าถึง 6 รายการ และปัจจุบันได้ขยายเพิ่มเป็น 16 รายการ ทั้งครอบคลุมถึงเซรุ่มต้านพิษงู 7 รายการ และจากข้อมูลสำนักสนับสนุนระบบบริการยาและเวชภัณฑ์ สปสช.ปี 2560 ที่ผ่านมา มีผู้ป่วยได้รับยาต้านพิษและเซรุ่มแก้พิษงู จำนวน 6,917 ราย โดยในกลุ่มยาต้านพิษมีการเบิกจ่าย ยาเมทิลีน บลู (Methylene blue) มากที่สุด 89 ราย, ยาดิฟธีเรีย แอนตี้ท็อกซิน (Diphtheria antitoxin) 82 ราย และยาไดเฟนไฮดรามีน (Diphenhydramine inj.) จำนวน 33 ราย เป็นต้น ส่วนกลุ่มเซรุ่มแก้พิษงู เซรุ่มแก้พิษงูกะปะมีการเบิกจ่ายมากที่สุด คือ 2,687 ราย เซรุ่มแก้พิษงูเขียวหางไหม้ 1,838 ราย เซรุ่มแก้พิษงูระบบโลหิต 1,001 ราย และเซรุ่มแก้พิษงูเห่า 716 ราย เป็นต้น
 
ขณะที่ผลการดำเนินโครงการเพิ่มการเข้าถึงยากำพร้ากลุ่มยาต้านพิษในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา แต่ละปีได้ช่วยผู้ป่วยเข้าถึงยากำพร้าและกลุ่มยาต้านพิษต่อเนื่อง โดยกลุ่มยาต้านพิษที่ได้เริ่มต้นในปี 2554 -2560 มีผู้ป่วยสะสมที่ได้รับยาต้านพิษจำนวน 1,800 ราย ขณะที่กลุ่มเซรุ่มแก้พิษงูที่ได้เริ่มต้นในปี 2556–2560 มีผู้ป่วยสะสมที่ได้รับเซรุ่มแก้พิษงูจำนวน 25,636 ราย รวมผู้ป่วยที่ได้รับยาภายใต้โครงการการเพิ่มการเข้าถึงยากำพร้ากลุ่มยาต้านพิษ มีจำนวนทั้งสิ้น 27,436 ราย
 
นพ.ศักดิ์ชัย กล่าวว่า โครงการนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้ผู้ป่วยเข้าถึงยาเท่านั้น แต่ขณะเดียวกันยังช่วยประหยัดงบประมาณการจัดซื้อยา โดยเฉพาะการจัดซื้อเซรุ่มแก้พิษงูที่มีข้อมูลปรากฎชัดเจน จากเดิมที่โรงพยาบาลทั่วประเทศมีการจัดซื้อเซรุ่มแก้พิษงูมูลค่าเกือบ 8 หมื่นล้านบาทต่อปี เนื่องจากโรงพยาบาลแต่ละแห่งต่างจัดซื้อเซรุ่มเพื่อสำรองรักษาผู้ป่วยที่ถูกงูกัดเอง แต่ด้วยระบบการบริการจัดการยาต้านพิษทำให้มีการลดปริมาณการจัดซื้อลงอย่างมาก ขณะที่ผู้ป่วยเข้าถึงยามากขึ้น โดยปี 2556 ประหยัดงบประมาณได้ร้อยละ 71 หรือประมาณ 55 ล้านบาท ปี 2557 ประหยัดได้ร้อยละ 25 หรือประมาณ 19 ล้านบาท ปี 2558 ประหยัดได้ร้อยละ 50 หรือประมาณ 39 ล้านบาท ปี 2559 ประหยัดได้ร้อยละ 49 หรือประมาณ 38 ล้านบาท และในปี 2560 ประหยัดได้ร้อยละ 35 หรือ 27 ล้านบาท รวม 5 ปี ประหยัดงบประมาณได้ราว 179 ล้านบาท  
 
"ด้วยโครงการเพิ่มการเข้าถึงยากำพร้ากลุ่มยาต้านพิษ ส่งผลให้เกิดการพัฒนาระบบการจัดเก็บและจัดส่งยาต้านพิษ ช่วยให้ผู้ป่วยเข้าถึงยาได้ในเวลาที่จำกัด นอกจากหลายประเทศได้มาดูงานและนำไปเป็นต้นแบบการพัฒนระบบยาในประเทศแล้ว ยังได้รับการชื่นชมจาก นายทีโดรส อัดฮานอม ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก (WHO) ซึ่งได้เข้าเยี่ยมดูงานที่ผ่านมา ขณะเดียวกันองค์การอนามัยโลกยังได้ประสานให้ศูนย์ต้านพิษวิทยา โรงพยาบาลรามาธิบดีเป็นศูนย์ความร่วมมือองค์การอนามัยโลกด้านยาต้านพิษ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ" เลขาธิการ สปสช.กล่าวและว่า ทั้งนี้การพัฒนาระบบเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยที่ได้รับพิษเข้าถึงยาต้านพิษ นับเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะผู้ป่วยกลุ่มนี้หลังได้รับยาแล้ว สามารถฟื้นฟูร่างกายจนกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ยานยนต์ไฟฟ้าทำความต้องการ 'โคบอลต์' พุ่ง หวั่นบรรษัทไอทีติดต่อซื้อขายกับผู้ใช้แรงงานเด็ก

Posted: 24 Feb 2018 11:21 PM PST

ในโลกยุคหลังจากนี้มีการประเมินว่าถ้าหากธุรกิจรถยนต์พลังงานไฟฟ้าบูมขึ้นก็อาจจะส่งผลให้มีความต้องการแร่โคบอลต์เป็นจำนวนมากจนเกิดการขาดแคลนได้ ด้วยความกลัวตรงนี้ทำให้บรรษัทแอปเปิลเริ่มเจรจาซื้อโคบอลต์จากคนทำเหมืองแร่โดยตรงเป็นครั้งแรกเพราะเป็นวัตถุดิบหลักของแบตเตอร์รีโทรศัพท์มือถือ แต่นั่นจะกลายเป็นการผิดสัญญาที่เคยให้ไว้ว่าจะยกเลิกซื้อแร่จากแอฟริกาจนกว่าจะมีการแก้ปัญหาแรงงานเด็กและสภาพการจ้างงานอันตรายหรือไม่

 
25 ก.พ. 2561 สื่อบลูมเบิร์กรายงานว่าบรรษัทแอปเปิลเคยเข้าพบปะหารือโดยมีแผนการซื้อวัตถุดิบจากผู้ทำเหมืองแร่โดยตรงในระยะยาว เนื่องจากกังวลว่าการบูมของอุตสาหกรมยานยนต์พลังงานไฟฟ้าอาจจะทำให้เกิดภาวะขาดแคลนแร่โคบอลต์ เพราะแร่ชนิดนี้มีความสำคัญต่อการผลิตแบตเตอร์รี่เครื่องใช้ไอทีของแอปเปิล 
 
ในช่วงที่ผ่านมาราคาของโคบอลต์สูงขึ้นมากเนื่องจากมีการคาดการณ์ความต้องการใช้โคบอลต์ในการผลิตยานยนต์พลังงานไฟฟ้า ยานยนต์ชนิดนี้ต้องอาศัยพลังงานจากแบตเตอร์รีจำพวกลิเทียม-ไอออนที่มีโคบอลต์เป็นส่วนประกอบ
 
แหล่งข่าวไม่ประสงค์เปิดเผยนามให้ข้อมูลกับสื่อต่างประเทศว่า แอปเปิลทำการติดต่อหารือกับผู้ทำเหมืองแร่มาตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยเบื้องต้นมีข้อเสนอต้องการซื้อโคบอลต์หลายพันเมทริกตันเป็นเวลา 5 ปีหรือนานกว่านั้น อย่างไรก็ตามการเจรจายังไม่เป็นที่สิ้นสุดและอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงในอนาคตได้
 
บลูมเบิร์กนำเสนอในแง่มุมที่ว่าความพยายามเข้าถึงโคบอลต์จะทำให้แอปเปิลกลายเป็นผู้แข่งขันกับอุตสาหกรรมยานยนต์หลายแห่งที่หันมาจับธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า เช่น บีเอ็มดับเบิลยูเอจี, โฟล์กสวาเกนเอจี และ ซัมซุงเอสดีไอ รวมถึงบรรษัทน้ำมันของเกาหลีใต้อย่างเอสเคอินโนเวชันก็เคยทำสัญญากับบริษัทเหมืองแร่ออสเตรเลียเพื่อซื้อนิกเกิลและโคบอลต์เพื่อเตรียมใช้ในการผลิตแบตเตอร์รีให้รถพลังงานไฟฟ้าเช่นกัน
 
อย่างไรก็ตามความต้องการเหล่านี้ก็ทำให้ราคาโคบอลต์สูงขึ้นสามเท่าในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา ขณะเดียวกันแหล่งเหมืองแร่ของโคบอลต์ที่สำคัญคือสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกก็มีปัญหาเรื่องการใช้แรงงานเด็กในเหมืองและปัญหาไม่เคยเปลี่ยนผ่านทางการเมืองได้อย่างสันติ ทางแอปเปิลเองก็เคยให้คำมั่นว่าจะหาเแหล่งแร่โดยคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนมากกว่านี้
 
ดังนั้นถ้าหากข้อตกลงดังกล่าวของแอปเปิลกลายเป็นความจริง นั่นจะทำให้แอปเปิลผิดสัญญาที่เคยให้ไว้เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาที่เคยประกาศว่าจะหยุดซื้อแร่จากเหมืองโคบอลต์ในคองโกจนกว่าจะมีการยกเลิกการใช้แรงงานเด็กและแก้ปัญหาสภาพการจ้างงานที่อันตราย
 
 
เรียบเรียงจาก
 
Apple in Talks to Buy Cobalt Directly From Miners, Bloomberg, 21-02-2018
 
Here's Why Apple Wants to Buy Cobalt Directly From Miners, Fortune, 21-02-2018
 
Apple in talks to buy cobalt directly from miners: Bloomberg, CNBC, 21-02-2018
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

วิกฤติศรัทธาต่อราชการไทย

Posted: 24 Feb 2018 09:41 PM PST



ในห้วงเวลาตั้งแต่ปฏิทินได้เปลี่ยนเข้าสู่ปี 2561 สังคมไทยได้เกิดกระแสของการวิพากย์วิจารณ์อย่างหนักหน่วงต่อกระแสข่าวที่โด่งดังอย่างมาก ได้แก่ กรณีของน้องเมย นักเรียนนายร้อยที่เสียชีวิตอย่างปริศนา, กรณีของนาฬิกาสุดหรูของผู้มีอำนาจในรัฐบาล คสช., กรณีการเข้าป่าล่าสัตว์สุดฉาวโฉ่ว ของผู้บริหารระดับสูงจากบริษัทก่อสร้างชั้นนำของประเทศ และกรณีล่าสุดได้แก่กรณีของคุณป้าขวานพิฆาต ที่สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งกรุงเทพฯ กระแสข่าวทั้งหมดได้ชักนำให้ผู้เสพสื่อทั้งหลาย มุ่งประเด็นสำคัญหลายประเด็นด้วยกัน ทั้งประเด็นการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่รัฐ, กระบวนการยุติธรรม, การปฏิบัติหน้าที่ของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง, การบังคับใช้กฎหมายที่ 'ขัดตา ขัดใจ' สังคมที่รายล้อมผู้กระทำผิดเหล่านั้นอย่างลอยหน้าลอยตา หรือแม้กระทั่งประเด็นเรื่องข้อเรียกร้องทางกฎหมายที่ถูกเพิกเฉยมาหลายปี ประเด็นทั้งหมดที่ผู้เขียนยกมาเป็นตัวอย่างเหล่านี้ล้วนลากเป้าสายตาของเราเข้าไปจ้องมอง หรือกระทั่งเพ่งมองไปสู่ การทำงานภายในภาคราชการ อันเป็นที่พึ่ง และความหวังของสังคมมาอย่างยาวนาน

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า กระแสสังคมได้ทุ่มโถมไปสู่การโจมตีการทำงานของข้าราชการที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีที่ผู้เขียนได้กล่าวในข้างต้น ได้แสดงออกมาในทิศทางของความ 'ผิดหวัง' ต่อระบบราชการ (bureaucratic system) ซึ่งเป็นหน่วย หรือองค์กรที่มีอำนาจมหาศาลในสังคมไทยมาโดยตลอด ระบบราชการได้เติบโตด้วยน้ำหล่อเลี้ยงที่ไหลออกจากกระเป๋าเงินของประชาชนในประเทศจำนวนมหาศาลมาอย่างยาวนาน และยังคงมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่ในทางกลับกัน ความหวังที่มีต่อข้าราชการ/ระบบราชการไทยนั้น กลับลดน้อยถอยลงทุกที ช่างสวนทางกับสิ่งที่เสียไปเหลือเกิน กล่าวง่าย ๆ คือ 'ได้ไม่คุ้มเสีย'

วิกฤติการณ์ดังกล่าวไม่ได้พึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลาเพียงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ปัญหาที่มีคู่กับสังคมไทยมาอย่างยาวนาน ทั้ง การเล่นพรรคเล่นพวก, การทุจริตงบประมาณ หรือแม้กระทั่งการกระทำอันผิดต่อกฎหมายที่ถูกทำให้หายเงียบไป ได้ถูกกลบให้ดูเป็นประเด็นที่ถูกบดบังด้วยเงาของ 'การกล่าวโทษนักการเมือง' นักการเมืองตกเป็นจำเลยของวาทกรรม 'นักการเมืองเลว เป็นพวกที่เข้ามาเพื่อทุจริต' วาทกรรมดังกล่าวมีมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ดังประโยคที่มักจะถูกหยิบยกมา ได้แก่ "ถ้านักการเมืองไทยหยุดโกงเพียงสองปี ถนนประเทศไทยจะปูด้วยทองคำก็ยังได้" วาทกรรมดังกล่าวได้ถูกผลิตซ้ำ และปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้สอดรับกับยุคสมัยมาอย่างต่อเนื่อง โดยการนำของอุดมการณ์แบบต่อต้านการเมือง

ในปัจจุบัน สายตาที่ถูกบังจากเงาของ 'นักการเมืองเลว' นั้นไม่มีอีกต่อไป ภายใต้การปกครองโดยรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารนั้น ภาพฉายของระบบราชการจึงเป็นภาพขนาดใหญ่มหึมาที่เข้ามามีบทบาทในทุกภาคส่วนของประเทศ ทั้ง การเมือง, เศรษฐกิจ และสังคม ชัดเจนมากกว่าสิ่งอื่นใด จึงไม่อาจหลีกเลี่ยงแรงกระแทกจากสังคมโดยตรงได้ เกราะกำบังจากวาทกรรมกล่าวโทษนักการเมืองไม่อาจใช้มาอธิบายปรากฎการณ์ของการ ทุจริต และความไม่เป็นธรรมในสังคมได้อีกต่อไป ในขณะเดียวกันแรงโต้กลับของระบบราชการที่เป็นเสมือนยักษ์ใหญ่แห่งรัฐ (The giant of state) ในขณะนี้ได้ตอบกลับสังคมด้วย 'ความไม่รับผิดชอบ' ความไม่รับผิดชอบนี้หมายรวมถึง ความไม่รับผิดชอบต่อกิจที่ตนได้กระทำผิดไป และความรับผิดชอบที่ตนเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งในด้านจริยธรรม ศีลธรรม และกฎหมาย ยักษ์ใหญ่ตัวนี้กลายเป็นหน่วยที่แทบจะอยู่เหนือกฎหมายและความยุติธรรม ความผิดหวังต่อระบบราชการนั้นยังสามารถหมายรวบไปถึง ความผิดหวังที่มีต่อ รัฐบาล ที่ไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากร่างอวตารที่มาจาก หรือแทบจะเชื่อมโยงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับระบบราชการแทบเสียทั้งหมด

รัฐไทยจึงกลายเป็นรัฐราชการ (bureaucratic polity) อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น เกษียร เตชะพีระ ได้อธิบายระบบราชการผ่านการประมวลผลงานของ Benedict Anderson ในงานเสวนา หัวข้อ เบน แอนเดอร์สัน กับชุมชนจินตกรรม และอื่น ๆ และ อื่น ๆ' ได้อย่างชัดเจน สรุปใจความได้ว่า รัฐราชการไทยนั้นไร้ประสิทธิภาพ ทุจริต เล่นพรรคเล่นพวก ไม่ตอบสนองข้อเรียกร้องของประชาชน และกลุ่มคนที่อยู่นอกระบบราชการ อันเกิดจากสภาวะเปลี่ยนผ่านที่ค้างเนิ่นนานจากรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ไม่ดับสูญสนิท (non-finished transition) ชนชั้นปกครองไม่อาจเอาความชอบธรรมแบบรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์กลับมาใช้ได้อีกแล้ว ชนชั้นนำเหล่านี้จึงต้องมีการหาหุ้นส่วนภายในระบบราชการ โดยต้องสร้างสิ่งที่เรียกว่า 'ราชเสนาอมาตยาสมาสัย' กล่าวคือ ระบบราชการเป็นฐานในการสร้างความชอบธรรมให้แก่ชนชั้นนำ ในการใช้อำนาจผ่านระบบราชการนั่นเอง (ดูเพิ่มเติม : https://www.youtube.com/watch?v=q1E-0o0eD_M)

สุดท้ายนี้ผู้เขียนต้องขอออกตัวว่า ไม่ได้มีความต้องการที่จะลดความเชื่อมั่น (Discredit) ต่อข้าราชการไทย เนื่องจากข้าราชการทั้งชั้นผู้น้อยและลำดับชั้นที่สูงขึ้นไปนั้น ต่างก็เป็น 'ประชาชน' เฉกเช่นเดียวกับเรา ๆ ทั้งหลาย ผู้เขียนมีความเชื่อว่าผู้อ่านทุกท่านมีความแคลงใจว่าเหตุใด ระบบราชการที่มีการหมุนเวียนบุคลากรอยู่แทบทุกปี คนรุ่นใหม่เหล่านั้นมีอายุเพียง ยี่สิบปีต้น ๆ เป็นคนหนุ่มไฟแรงที่มีการศึกษาดี ส่วนใหญ่มาจากสถาบันอุดมศึกษาที่มีคุณภาพภายในประเทศ แต่กลับต้องถูกระบบที่มีขนาดมหึมาครอบงำความทะเยอทะยาน ความกระตือรือร้น และความต้องการกระทำตามอุดมการณ์ของตน พวกเขาเหล่านั้น (ข้าราชการ) กลับกลายเป็นกลุ่มที่รับแรงกดดันมากกว่าคนนอกระบบราชการอย่างเรา ๆ ทั้งหลาย ทั้งความคาดหวังจากภาคสังคม และแรงกดทับที่มาจากสายบังคับบัญชาของผู้มีอำนาจในระบบราชการ จึงมีหลายครั้งที่คนหนุ่มที่มีคุณภาพ มีแรงผลักดันในการทำงาน เกิดอาการ 'หมดไฟ' และตัดสินใจออกจากราชการอย่างน่าเศร้า



เกี่ยวกับผู้เขียน: สัพพัญญู วงศ์ชัย เป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 4 ภาควิชาการเมือง การปกครอง
คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น