โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันเสาร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

บริษัทรถเบนซ์ขอโทษจีน หลังโพสต์ภาพคำคมของทะไลลามะ

Posted: 10 Feb 2018 10:01 AM PST

เมอร์ซิเดซ-เบนซ์ ลบภาพคำคมของทะไลลามะ ผู้นำทางจิตวิญญาณของทิเบตที่จีนมองเป็นศัตรูพร้อมแถลงขอโทษ จากที่ก่อนหน้านี้พวกเขาโพสต์ภาพคำคมดังกล่าวไว้ในอินสตาแกรม ทำให้ทางการจีนไม่พอใจและมีสื่อโฆษณาชวนเชื่อรัฐบาลจีนออกบท บก.โจมตี สื่อฮ่องกงฟรีเพรสส์มองว่าเป็นท่าทีล่าถอยของบรรษัทข้ามชาติที่ไม่อยากมีปัญหากับประเด็นอ่อนไหวในจีนอย่างประเด็นทิเบตหรือฮ่องกง

 
 
10 ก.พ. 2561 บริษัทยานยนต์สัญชาติเยอรมนี เมอร์ซิเดซ-เบนซ์ ออกมาขอโทษหลังจากที่พวกเขาโพสต์รูปภาพผ่านอินสตาแกรมที่มีข้อความคำพูดของทะไลลามะ จากข้อหา "ทำร้ายความรู้สึก" ของชาวจีน เนื่องจากทะไลลามะเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของทิเบตที่จีนบอกว่าเป็นพวกแบ่งแยก 
 
รูปภาพดังกล่าวเป็นรูปรถเบนซ์ที่อยู่บนชายหาดที่มีคลื่นน้ำทะเลพร้อมกับข้อความคำพูดของทะไลลามะที่บอกว่า "มองสถานการณ์จากทุกมุม แล้วคุณก็จะกลายเป็นคนที่เปิดใจมากขึ้น" บริษัทเบนซ์โพสต์รูปนี้ในโซเชียลมีเดียอินสตราแกรมของบรรษัทเองพร้อมข้อความประกอบภาพว่า "เริ่มต้นสัปดาห์ของคุณ ด้วยมุมมองชีวิตสดใหม่จากทะไลลามะ"
 
หลังจากมีการโพสต์รูปภาพนี้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจีนก็พากันวิพากษ์วิจารณ์เบนซ์ทันที จากที่ทางการจีนเคยบอกว่าทะไลลามะเป็น "หมาป่าในชุดจีวรพระ" ผู้พยายามเรียกร้องเอกราชให้ทิเบตผ่าน "การก่อการร้ายทางจิตวิญญาณ" โดยที่ทะไลลามะไม่เคยเรียกร้องให้ทิเบตเป็นเอกราช แค่ขอให้มีอิสระในการปกครองตนเองมากขึ้นเท่านั้น
 
ขณะที่โซเชียลเน็ตเวิร์กอินสตาแกรมถูกบล็อกในจีนและชาวจีนส่วนใหญ่เข้าถึงไม่ได้ แต่เบนซ์ก็ทำการลบรูปดังกล่าวทันทีหลังจากที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ผ่านทางเว่ยป๋อ โซเชียลมีเดียของจีน รวมถึงแถลงขอโทษว่า "ถึงแม้ว่าพวกเราลบข้อมูลที่เกี่ยวข้องนี้โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ พวกเราก็รับรู้ว่าสิ่งนี้ทำร้ายความรู้สึกของประชาชนในประเทศนี้ (จีน)"
 
ในถ้อยแถลงของเบนซ์ระบุอีกว่า พวกเขานำเสนอ "ข้อมูลที่ผิดไปจากความจริงอย่างมาก" และ "ขอโทษจากใจจริง" ในเรื่องนี้ รวมถึงสัญญาว่าจะทำความเข้าใจกับ "คุณค่าและวัฒนธรรมจีน" จริงจังมากขึ้นและปรับพฤติกรรมของพวกเขา
 
สื่อฮ่องกงฟรีเพรสส์มองว่าการขอโทษในครั้งนี้เป็นการล่าถอยของบรรษัทต่างชาติที่อาจจะมองว่าเป็นการล่วงเกินผู้บริโภคชาวจีนผ่านการโฆษณาหรือข้อมูลที่เป็นปฏิปักษ์ต่อจุดยืนทางการเมืองของทางการจีน
 
ถึงแม้เบนซ์จะขอโทษแล้วแต่ปากกระบอกเสียงของพรรคคอมมิวนิสต์จีนอย่างสื่อพีเพิลเดลีก็ยังคงกล่าวโจมตีเบนซ์ผ่านทางบทบรรณาธิการ ด้วยพาดหัวที่หวือหวาอย่าง "เมอร์ซิเดนซ์-เบนซ์ คุณทำให้ตัวเองกลายเป็นศัตรูกับประชาชนชาวจีนแล้ว!" ในบทบรรณาธิการของพวกเขาระบุว่าบริษัทต่างชาติบางแห่งเข้ามาหาผลประโยชน์ในจีนแต่ก็ "ทำร้ายประชาชนจีน"
 
ในขณะที่มีบริษัทต่างประเทศเข้าไปพยายามตีตลาดในจีนมากขึ้น แต่พวกเขาก็ถูกรัฐบาลจีนวิพากษ์วิจารณ์โดยกล่าวหาว่าไม่เข้าใจเรื่องที่อ่อนไหวสำหรับรัฐบาลจีน เช่น มีหลายแบรนด์ที่ถูกรัฐบาลวิจารณ์เรื่องเนื้อหาออนไลน์ของพวกเขาที่แยกทิเบตกับฮ่องกงเป็นประเทศต่างหากแทนที่จะรวมเป็นจีน แบรนด์อย่างโรงแรมแมริออตถูกจีนบล็อกแอพพลิเคชันไปหนึ่งสัปดาห์เพื่อโต้ตอบเรื่องนี้
 
และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่โพสต์เกี่ยวกับทะไลลามะทำให้จีนออกมาโต้ตอบ เมื่อปีที่แล้ววงดนตรี Placebo จากอังกฤษมีแผนเล่นคอนเสิร์ตในเทศกาลซัมเมอร์โซนิคเฟสติวัลที่เซียงไฮ แต่หลังจากที่ Placebo โพสต์รูปของทะไลลามะในอินสตาแกรมของพวกเขา รัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมของจีนก็สั่งแบนวง Placebo ตลอดชีวิต จนทำให้ Placebo ออกโพสต์ว่าพวกเขาคงไม่ได้ไปแสดงที่จีนอีกแล้ว พวกเขาไม่ได้ขอโทษรัฐบาลจีน แต่ขอโทษแฟนๆ ที่หวังว่าจะได้รับชมการแสดงของพวกเขา
 
 
เรียบเรียงจาก
 
Mercedes apologises for 'hurting the feelings' of Chinese people after quoting the Dalai Lama, Hong Kong Free Press, 07-02-2018
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กวีประชาไท: เสียงสวรรค์ วันที่ 10 กุมภาพันธ์

Posted: 10 Feb 2018 07:10 AM PST

ทำไม 1 จิตมีสิทธิ์มีเสียง ?     พระเจ้าเพียงพระเมตตาจัดหาให้

แต่เมื่อมีสิทธิ์เสียงดังแล้วยังไง     ใช้อะไรหล่อเลี้ยงสิทธิ์เสียงนั้น

กว่าจะมีประชาธิปไตยใครหาญกล้า     เอาประชามาเทียบเคียงเสียงสวรรค์

วีรชนบนราชดำเนินเผชิญทัณฑ์     กี่คนกันเกี่ยวแขน  แล้วแสนล้าน

จิตใจที่หาญกล้าท้าทรราช     ใครประศาสน์ประสิทธิ์ให้ ใครกล้าหาญ

ไยบังอาจผงาดร่างอยู่กลางลาน     สร้างตำนานลูกหลานไทยให้จดจำ

ทำเพื่อชาติประกาศตนผจญทุกข์      จึงต้องลุกออกไปร่วมพายจ้ำ

ยุคสมัยไม่ย่ำเท้าก้าวกงกรรม     วนเวียนย่ำกล้ำกลืนฝืนทนแล้ว


แค่เพียงอยากเลือกตั้งยังไงขวาง     สิทธิ์เลือกทางกลางใจใครทำแกร่ว

คนต้องการกติกาใช่หมาแมว     ต้องการแก้วมณีงามตามเลือกเอง

คือสันติที่สุดรุดคูหา     ก็แค่กากบาทว่าใครกล้าเก่ง

แม้นเลือกคนไปผิดลิขิตเอง     ไม่กระเตงต่อไป  ให้ราคี

ให้ชาวประชามาร่วมตั้งร่วมบังคับ     อำนาจจับนั่งตำแหน่งแห่งราศี

ใช่นักเลงเบ่งบุญญาบารมี     เหมือนโจรจี้จะนั่งเอง  เก่งแต่กลวง

เคารพรับนับถือคือน้องพี่     ถูกย่ำยีรอนลิดสิทธิ์ที่หวง

เสียงของเราเขาปิดกั้นปั่นหลอกลวง     เสียงของปวงชนนั้น สวรรค์เอย.


                                                             

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศิลปะการละคร มนุษย์ และการเคลื่อนไหวทางสังคมของกลุ่มพระจันทร์เสี้ยวการละคร

Posted: 10 Feb 2018 07:02 AM PST

ศิลปะการละครกับความเป็นมนุษย์

ศิลปะการละครเป็นการเล่าเรื่องผ่านวัจนและหรืออวัจนภาษา เป็นช่องทางการสื่อสารความคิดของผู้ประพันธุ์ไปยังผู้ชม สร้างด้วยความประณีตและความพิถีพิถันเฉกเช่นงานศิลปะ ซึ่งมีลักษณะในเชิงพิธีกรรม ต้องทุ่มเททั้งกายใจ เพื่อทำทุกอย่างให้ช้าลง เกิดเป็นพื้นที่อันศักดิ์สิทธิของศิลปะการละคร ที่รวมสามสิ่งเข้าด้วยกันเป็นเอกภาพ คือ เวลา (Time) สถานที่ (Space) และการกระทำ (Action)

ละครเป็นเครื่องมือค้นหาความหมายอันลี้ลับของชีวิตและการดำรงอยู่ของมนุษย์ รวมไปถึงความสัมพันธุ์ขอองมนุษย์ ส่งผลให้เกิดการตั้งคำถามในลักษณะที่เล่นแร่แปรธาตุต่อสังคม เสมือนดังว่าสังคมเป็นห้องทดลองขนาดใหญ่ ปรากฏการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นเป็นสารเคมีนานาชนิด ละครเป็นกระบวนการทดลองที่คอยเล่นแร่แปรธาตุเร่งปฏิกิริยาให้เกิดผลการทดลองสิ่งใหม่ ในทัศนะสำหรับผู้ปกครองแล้วอาจมองละครเป็นสิ่งชั่วร้ายที่ล่อลวงชักนำบุตรหลานให้ประพฤติในทางที่ผิด หรือนำความเสื่อมโทรมสู่สังคม เมื่อละครเป็นเรื่องเกี่ยวกับมนุษย์และความสัมพันธุ์ของมนุษย์ จึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเมืองทันที

ศิลปะการละครในประเทศไทย เป็นเครื่องมือที่สำคัญและมีบทบาทอย่างมากในการขับเคลื่อนสังคมตั้งแต่อดีต และได้เข้ามามีบทบาทอย่างมากมายในรั้วมหาวิทยาลัย ถ่ายทอดเรื่องราวทางสังคม โดยมีนิสิต นักศึกษา ปัญญาชนจำนวนหนึ่งที่มีความสนใจเกี่ยวกับปัญหาบ้านเมือง หลายคนเป็นสมาชิกอยู่ในกลุ่มอิสระต่างๆ และภายหลังได้แตกแขนงก่อเกิดเป้นกลุ่มก้อนที่รวมตัวกันเพื่อเสนอ ขับเคลื่อนประเด็นทางสังคมผ่านศิลปะการละคร  


กำเนิดกลุ่มพระจันทร์เสี้ยว

การเกิดขึ้นของกลุ่มพระจันทร์เสี้ยวนั้นมีความสัมพันธุ์กับสภาพบรรยากาศการเรียนในมหาวิทยาลัย เกิดขึ้นท่ามกลางกระแสของภาวะ สายลมแสงแดด ของนิสิต นักศึกษา ที่มีแต่กิจกรรมค่อนไปทางบันเทิงมากกว่ากิจกรรมทางวิชาการ หรือการสร้างสรรค์กิจกรรมทางสังคม กลุ่มพระจันทร์เสี้ยวเริ่มต้นจากกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่สนใจงานด้านวรรณกรรม เมื่อพ.ศ. 2512 อาทิ สุชาติ สวัสดิ์ศรี, นิคม รายวา, เธียรชัย ลาภนันท์, วีรประวัติ วงศ์พัวพันธ์, วินัย อุกฤษ, วิทยากร เชียงกูล, ธัญญา ผลอนันต์ ซึ่งมีงานเขียนมากมายอยู่ในขณะนั้น ต่อมาสมาชิกบางคนได้เริ่มหันมาสนใจงานละครเวที จึงเขียนบทละครขึ้น เช่น ฉันเพียงอยากออกไปข้างนอก , งานเลี้ยง , นายอภัยมณี ของ วิทยากร เชียงกูร ชั้นที่ 7 ของ สุชาติ สวัสดิ์ศรี นกที่บินข้ามฟ้า ของ วิทยากร เชียงกูร และ คำรณ คุณะดิลก

ชื่อของกลุ่มพระจันทร์เสี้ยว แรกเริ่มเดิมทีใช้ชื่อว่า "ชมรมพระจันทร์เสี้ยว" อย่างไม่เป็นทางการมาก่อน โดยนิยมใช้ชื่อ "พระจันทร์เสี้ยว" ต่อท้ายนามปากกาของสมาชิกในกลุ่ม เช่น ดนัย เยาหะรี สมาชิกคนหนึ่งของกลุ่มใช้นามปากกาว่า "ดนัย เยาหะรีแห่งพระจันทร์เสี้ยวการละคร" (สิทธิเดช โรหิตะสุข, 2552)

วีรประวัติ วงศ์พัวพันธ์ เป็นคนเสนอตั้งชื่อกลุ่ม โดยเอามาจากชื่อ Crescent Moon ของกวีจีนรุ่นก่อนปฏิวัติ เดือนตุลาคม 2492 เพื่อให้ความรู้สึกเป็นกลุ่มเดียวกันจึงได้นำมาตั้งเป็นชื่อกลุ่มในปี 2512 การเกิดขึ้นของกลุ่มพระจันทร์เสี้ยวไม่ต่างจากการเกิดขึ้นของกลุ่มอิสระที่เคลื่อนไหวทางสังคมการเมืองทั่วไปในขณะนั้น แต่ที่แตกต่างคือ เป็นการรวมกันของนักศึกษา ปัญญาชน ที่สนใจด้านวรรณกรรม การถ่ายทอดผลงานด้านวรรณกรรม แต่เนื่องจากทางกลุ่มไม่ได้มีวารสารเป็นของตัวเองจริงจัง ทำให้ผลงานเขียนของกลุ่มพระจันทร์เสี้ยวได้กระจายไปอยู่ตามสิ่งพิมพ์ที่อยู่ในเครือปัญญาชนต่างๆ ภายหลังกลุ่มพระจันทร์เสี้ยวซึ่งมีสมาชิกจำนวนมาก ได้แยกตัวออกไปสร้างผลงานหรือสร้างกลุ่มใหม่ เช่น เกิดเป็นวงคาราวาน เป็นต้น ส่วน คำรณ คุณดิลก ได้ขยายวงของการสร้างสรรค์ออกไปในนาม "กลุ่มพระจันทร์เสี้ยวการละคร" ที่มีบทบาทสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน


การเคลื่อนไหวทางสังคมของกลุ่มพระจันทร์เสี้ยวยุคแรก

ลักษณะเฉพาะของของกลุ่มพระจันทร์เสี้ยวในขณะนั้นในสถานภาพของการเป็นการรวมตัวเพื่อสร้างงานศิลปะในแขนงวรรณกรรม เป็นผลที่ทำให้กลุ่มพระจันทร์เสี้ยวมีบทบาทอย่างมากในการนำผลงานวรรณกรรมมาเป็นส่วนในการสะท้อน นำเสนอปัญหาของสังคม กลุ่มพระจันทร์เสี้ยวนั้นถือได้ว่าเป็นผลผลิตหนึ่งของยุคแสวงหา การเคลื่อนไหวและการมีบทบาททางสังคมของกลุ่มนี้จึงอยู่ที่การเผยแพร่ผลงาน กระจายผลงานและนำเสนอผลงานของขบวนการนิสิตนักศึกษาปัญญาชน (สิทธิเดช โรหิตะสุข, 2552) 

สถานภาพและบทบาทของกลุ่มพระจันทร์เสี้ยวมีผลงานในการสร้างนักคิด นักเขียน ที่สร้างผลงานสืบต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน และลักษณะในการสร้างงานของกลุ่ม จากความสนใจในวรรณกรรมร่วมสมัยของนักเขียนหัวก้าวหน้าต่างประเทศ ทำให้บทบาทอีกประการของกลุ่มพระจันทร์เสี้ยว คือการเป็นกลุ่มที่สร้างสรรค์ผลงานวรรณกรรมในลักษณะที่แปลกใหม่จากขนบของเรื่องสั้นและบทกวีไทยในขณะนั้น ที่มีลักษณะการแสดงออกในเชิงการทดลองปรากฏอยู่

กระทั่งปี 2514 กลุ่มพระจันทร์เสี้ยวได้เข้าไปมีส่วนร่วมอย่างสำคัญยิ่งในกระบวนการผลิตละครเรื่อง อวสานเซลล์แมน (Death of Salesman) ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยรับผิดชอบด้านฉาก แสง เสียง รวมทั้งแสดงนำเป็นตัวละครเอก การตื่นตัวนี้เป็นช่วงเวลาหลังจากการอสัญกรรมของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และเป็นช่วงที่เข้าสู่ทศวรรษที่กิจกรรมของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยนั้นแพร่หลายมีบทบาทอย่างมาก ซึ่งกลุ่มพระจันทร์เสี้ยวมีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ แม้จะไม่ได้ดำเนินการในนามกลุ่มพระจันทร์เสี้ยวชัดเจน แต่กลุ่มพระจันทร์เสี้ยวก็เป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการจัดตั้ง "กลุ่มละครแฉกดาว" ซึ่งเป็นกลุ่มละครที่ขึ้นเล่นบนเวทีปราศรัยในสุดในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก่อนมีการเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองครั้งใหญ่ ในวันที่ 14 ตุลาคม 2516 (สัมภาษณ์ป้าอ้อย กลุ่มแฉกดาว, 2560)

คำรณ คุณะดิลก หนึ่งในสมาชิก พระจันทร์เสี้ยว ได้เดินทางไปมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในฐานะผู้สอนวิชาศิลปการละครและสื่อสารมวลชน เขาได้สร้างสรรค์ผลงานละครร่วมสมัยในลีลา POOR THEATRE ของ JERZY GROTOWSKY ชื่อชุด ชนบทหมายเลข 1 ความโดดเด่นก่อกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงชื่นชม และถือเป็นความแปลกสำหรับละครในยุคนั้นคือการไม่ให้ความสำคัญกับฉาก แสง เสียง แต่กลับเน้นหนักไปยังความสามารถของนักแสดงและความสัมพันธ์กับผู้ดู กลวิธีนี้นำมาจากต้นแบบของ BRECHTIAN THEATRE แนวละครแถวหน้าของละครร่วมสมัยในศตวรรษ 20 อิทธิพลนี้ได้ส่งผ่านไปยังกลุ่มละครในสถาบันการศึกษาซึ่งในยุคสมัยนั้นตกอยู่ท่ามกลางกระแสการเมืองที่ขึ้นสูง

ปี 2518 คำรณ คุณะดิลก และกลุ่มนักแสดงจากเชียงใหม่กลับลงมากรุงเทพฯ ทำการอบรมศิลปะการละครให้กับนักศึกษาจากหลายสถาบัน ผลิตงานละคร ชนบทหมายเลข 2 และ ชนบทหมายเลข 3 และ แซมมี่จอมยุ่ง ต่อมาจึงรวมตัวกันและก่อตั้งชมรมพระจันทร์เสี้ยวการละคร ร่วมกับคณะนักแสดงซึ่งเป็นนักศึกษาจากหลายมหาวิทยาลัย ต่อมามีผลงานเรื่อง แม่,ก่อนอรุณจะรุ่ง และ นี่แหละโลก พระจันทร์เสี้ยวการละครได้ผลิตผลงานละครอย่างต่อเนื่องหลายเรื่องในหลายรูปแบบ และบางครั้งใช้ชื่อคณะอื่น เพื่อหลบเลี่ยงกระแสรุนแรงทางการเมือง ประสบความสำเร็จทางด้านการนำเสนอได้รับคำวิจารณ์ในด้านบวกจากผู้ชม ทั้งทางเนื้อหาและวิธีการแสดง

การเคลื่อนไหวของกลุ่มพระจันทร์เสี้ยวได้ยุติลงในนามกลุ่มเมื่อเกิดเหตุการณ์รุนแรงทางการเมือง 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งถือว่ายุติไปพร้อมๆกับการสลายลงของขบวนการเคลื่อนไหวในประเทศไทยอีกหลายกลุ่มหลายแขนงในขณะนั้น สมาชิกพระจันทร์เสี้ยวการละคร ต่างแยกย้ายกันไป คำรณ คุณะดิลก เดินทางไปยังประเทศฝรั่งเศสและได้เข้าร่วมกับคณะละคร THEATRE DE LA MANDRAGORE โดยเป็นนักแสดงและผู้ช่วยผู้กำกับ มีผลงานเรื่อง Antigone, Woyzeck, Leon&Lena, La Mort de Danton, L' Avar, La Mort de Bucher, Escalade, La Libbration, L' Eneme and Terminal โดยออกแสดงตามประเทศต่างๆ เช่น ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม อียิปต์ จอร์แดน เลบานอน สวีเดน โมรอคโค ตูนิเซีย กอบอน การ์คาร์ และ ซูดาน (สัมภาษณ์ คำรณ คุณดิลก, 2560)

ละครของกลุ่มพระจันทร์เสี้ยวในช่วงแรกนั้นอาจถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งในการเคลื่อนไหวทางด้านศิลปวัฒนธรรม ในช่วงก่อนการเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ซึ่งมีการเชื่อมโยงกับกลุ่มพระจันทร์เสี้ยวในภาพรวม มีเป้าหมายในการเคลื่อนไหวทางสังคม การเมือง โดยใช้การเมืองวัฒนธรรมเป็นตัวผลักดัน


การเคลื่อนไหวทางสังคมของกลุ่มพระจันทร์เสี้ยวยุคปัจจุบัน

สิบปีหลังจากสั่งสมประสบการณ์จากต่างแดน คำรณ คุณะดิลก เดินทางกลับประเทศไทย และได้สร้างสรรค์ละครเวทีสามัญชนเรื่อง คือผู้อภิวัฒน์ เรื่องราวของรัฐบุรุษ ปรีดี พนมยงค์ ในนามกลุ่มพระจันทร์เสี้ยวการละครในปี 2530 ได้รับคำวิจารณ์ในด้านบวกว่านำกลวิธีละคร BRECHTIAN มาใช้พัฒนาต่อได้อย่างประสบความสำเร็จ

ในปี 2538 คือผู้อภิวัฒน์ ได้กลับมาแสดงอีกครั้งในวาระเปิดอาคารสถาบันปรีดี พนมยงค์ และเข้าร่วมเทศกาลละคร ครั้งที่ 1 จัดโดยศูนย์ศิลปะวัฒนธรรมแสงอรุณ และในปลายปีเดียวกันนั้นเอง พระจันทร์เสี้ยวการละครได้รับการสนับสนุนโดย ศูนย์ศิลปะวัฒนธรรมแสงอรุณจัดโครงการละครเวทีถาวรโดยมีผลงานต่อเนื่องในระยะเวลาหนึ่งปี มีผลงานเรื่อง กูชื่อพญาพาน, ความฝันกลางเดือนหนาว, มาดามเหมา, ตลิ่งสูงซุงหนัก และ กระโจมไฟ ในช่วงปี 2539-40 ส่งผลต่อการพัฒนาขยายองค์ความรู้ทางศิลปะการละครให้แก่สมาชิกรุ่นใหม่ ซึ่งมีผลงานในเวลาต่อมาอีกหลายเรื่อง

ตั้งแต่ปี 2541 เป็นต้นมาสมาชิกรุ่นใหม่ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันปรีดี พนมยงค์ ในการใช้พื้นที่จัดกิจกรรมและสร้างสรรค์งานโดยมีผลงานหลายเรื่อง นอกจากนี้ยังทำงานและกิจกรรมในส่วนศิลปวัฒนธรรมของสถาบันปรีดี พนมยงค์ จัดกิจกรรมในนามคณะละครยายหุ่น (ครูองุ่น มาลิก) นอกจากยังสร้างสรรค์งานละครเวที อบรมละคร กิจกรรมทางศิลปวัฒนธรรม ในปี 2550 พระจันทร์เสี้ยวการละครได้เปิดพื้นที่ละครโรงเล็กเพื่อเป็นพื้นสำหรับคนรักละครเวที จัดกิจกรรมและการแสดงละครเวทีโรงเล็กที่ชื่อว่า Crescent Moon Space นอกจากจะมีผลงานการแสดงและอบรมละครในกรุงเทพฯ ต่างจังหวัดแล้ว พระจันทร์เสี้ยวการละครยังมีผลงานแสดงในต่างประเทศ เช่น ฝรั่งเศส, เนเธอแลนด์, สวีเดน, อเมริกา, เกาหลี, อินเดีย, ฟิลิปปินส์, เวียดนาม, กัมพูชา (crescentmoontheatre.wordpress.com)

พระจันทร์เสี้ยวการละครมุ่งสร้างสรรค์งานด้านศิลปะการละครเพื่อเป็นสื่อสะท้อนคนและสังคม โดยค้นหาความหมายและตั้งคำถามกับปัจเจกบุคคลเกี่ยวกับการมองโลกมองชีวิต มีแนวทางการทำงานที่เน้นใช้กระบวนการกลุ่ม (Devising Theatre) ผ่านการกลั่นกรองวิเคราะห์วิจารณ์จากข้อมูลที่ผ่านการศึกษา ค้นคว้า ทำการวิจัยแยกย่อย ร่วมกับการแลกเปลี่ยนทัศนคติของคนในกลุ่มที่นำเสนอความคิดเห็นร่วมกัน โดยนำเสนอผ่านผลงานในหลากหลายรูปแบบตามแนวทางการสื่อสารผ่านร่างกาย (Body Expression) และใช้การเคลื่อนไหวอย่างมีพลัง (Group Dynamic) ของนักแสดงเพื่อขับเคลื่อนองค์ประกอบอื่นๆ เช่น บท อุปกรณ์, ประกอบฉาก, ฉาก ให้มีชีวิตปรากฏบนเวที ภายใต้ความคิดอันสำคัญคือ มุ่งกระตุ้นให้ผู้ชมเกิดความคิด การตั้งคำถาม ต่อปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า ซึ่งผสมผสานแนวความคิดของนักการละครเยอรมัน Bertolt Brecht กับแนวทาง Poor Theatre ของ Jerzy Grotowski การใช้การเคลื่อนไหวร่างกายของ Wolfram Mehring นักการละครชาวเยอรมัน และ คำรณ คุณะดิลก ซึ่งเป็นครูและผู้ก่อตั้งกลุ่ม มาคิดค้นต่อยอดกับการฝึกฝนค้นค้นคว้าของสมาชิกภายในกลุ่ม เพราะสมาชิกรุ่นใหม่ของพระจันทร์เสี้ยวการละครเชื่อว่า "ละครคือการฝึกฝน"

การเคลื่อนไหวทางสังคมของกลุ่มพระจันทร์เสี้ยวตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีความสำคัญในการเคลื่อนไหวทางการเมืองในฐานะการทำงานผ่านศิลปวัฒนธรรม มีบทกวีประจำกลุ่มคือ "เราเป็นนกประดับดงไม้ รับฟังบทเพลงที่เราร้อง อย่ากู่เรียกชื่อเราเลย" จะสังเกตได้ว่าทุกเหตุการณ์สำคัญๆทางการเมืองจะมีละครเข้าไปเกี่ยวข้องอยู่เบื้องหลังเสมอๆ อาจจะคิดต่อไปได้ว่า การเปลี่ยนแปลงสังคมในเชิงโครงสร้างที่รอวันพังครืนของความคิดและอำนาจเก่าแก่ในอนาคตอันใกล้ ศิลปะการละครอาจจะเป็นเครื่องมือสำคัญอีกครั้งก็เป็นได้

 

อ้างอิง

Griffin Emory A. A first look at communication theory. Boston : McGraw-Hill, 2006

Melkote, S.R., & Steeves, H.L. Communication for development in the third world- Theory and    Practice for empowerment. CA: Sage Thousand Oaks, 2001

Oddey, A. (1996). Devising theatre: A practical and theoretical handbook. London: Routledge.   Servaes, J., &

เกศินี จุฑาวิจิตร. การสื่อสารเพื่อพัฒนาท้องถิ่น. กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยราชภัฎนครปฐม, 2548.

นันทนา นันทวโรภาส. สื่อสารการเมือง: ทฤษฏีและการประยุกต์ใช้. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์แมสมีเดีย,  2549.

สิทธิเดช โรหิตะสุข. กลุ่มศิลปวัฒนธรรมในประเทศไทย : บทสำรวจสถานภาพและความเคลื่อนไหวในช่วง พ.ศ.  2516-2530. กรุงเทพมหานคร : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย, 2552.

ประวัติพระจันทร์เสี้ยวการละคร. www.crescentmoontheatre.wordpress.com


สัมภาษณ์:

สัมภาษณ์ คำรณ คุณดิลก วันที่ 20 พฤศจิกายน 2560

สัมภาษณ์ ป้าอ้อย กลุ่มละครแฉกดาว วันที่ 1 ธันวาคม 2560


เกี่ยวกับผู้เขียน: นลธวัช มะชัย เป็นนักศึกษาการละคร สมาชิกกลุ่มลานยิ้ม ปัจจุบันยังคงเรียนหนังสือในมหาวิทยาลัยพร้อมกับทำงานอยู่ที่หอประวัติศาสตร์ประชาชนภาคเหนือ บ้านครูองุ่น มาลิก (สวนอัญญา) มูลนิธิไชยวนา เชียงใหม่

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กวีประชาไท: อนุสติถึงท่านผู้นำ!

Posted: 10 Feb 2018 06:31 AM PST

 

โลกนี้ไม่มีขอบเขตแล้ว
ไทยไม่แคล้วตามโลกเข้าใจไหม
ชนบทหลอมกรุงเทพเมืองใหญ่
ประเทศไทยกลายเป็นหนึ่งพึงจดจำ

โทรศัพท์ทีวีอินเตอร์เน็ต
เบ็ดเสร็จรวมรวบโหมกระหน่ำ
ข้อดีข้อเสียวิเคราะห์ชัดปัญญานำ
ออกจากถ้ำตามโลกอย่างรู้ทัน

ไอ้สอนอีสาวเคยเข้ากรุงเทพฯ
ป้าช้อยก็เสพข่าวเสือดำนั่น
อะไรผิดข้อมูลเพียบฉับพลัน
เขารู้ทันกลเกมเบื้องลึกตรึกตรอง

อย่าหลงตนเพ้อพร่ำจะปกปิด
อย่าคิดจะอำพรางผิดให้พวกพ้อง
อย่าริอย่าเริ่มทำผิดครรลอง
คนทั้งผองจะรู้ทันในทันที

โลกนี้ไม่มีขอบเขตแล้ว
ไม่แคล้วชั่วดีละเมิดสิทธิ์ฆ่าหมี
เรื่องจะแดงโด่งดังในทันที
ต้องทำดีโปร่งใสมีทางเดียว.

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ใบตองแห้ง: ผู้ร้ายเหลื่อมล้ำ

Posted: 10 Feb 2018 06:26 AM PST


เจ้าสัวเปรมชัย กรรณสูต กลายเป็นผู้ร้ายไปแล้ว แม้ยังไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรม แต่กระแสสังคมพิพากษาเสร็จสรรพ คนดีเด่นดังแห่ชี้หน้ารุมประณาม นี่ถ้ามีใครล่าชื่อใน Change.org ไม่ทันข้ามคืนอาจได้เป็นล้าน แบบที่ฝ่าย PR CSR อิตัลไทยคงได้แต่ทำตาปริบๆ เพราะไม่ใช่ IO จะได้แฮ็กอีเมล์คนอื่นมาลงชื่อสนับสนุนบ้าง

สื่อบางสำนักขุดอดีต ทหารตำรวจล่าสัตว์ป่า ฮ.ตกกลางทุ่งใหญ่นเรศวร เป็นชนวนให้เกิด 14 ตุลา แต่ครั้งนี้ต่างกัน เพราะเพิ่งมีเว็บไซต์คนรักษ์ป่า ล่าชื่อหนุน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ให้อยู่ต่อ ในฐานะผู้ปกป้องพื้นที่อนุรักษ์ ไม่ให้ตัดถนนผ่าน

ไม่แน่เหมือนกันถ้าแอคชั่นขึงขัง พี่ป้อมซ่อมไม่ตายอาจได้ใจเป็นพระเอก แต่ถ้าโดนสาธารณชนไล่จี้เรื่องอภิสิทธิ์ชน แล้วรัฐบาลตอบไม่ได้ ก็ระวังจะยิ่งซ้ำร้าย

อารมณ์สังคมที่ลุกฮือตัดสินเจ้าสัวอิตัลไทย ชัดเจนว่าเพราะเป็น "คนรวย" ซึ่งสังคมข้องใจว่ามักมีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่น เหมือนก่อนนี้มีคดีทายาทกระทิงแดงขับรถพุ่งชนตำรวจตาย แล้วดำเนินคดีล่าช้า จนหนีหายไปไหนไม่มีใครตามได้

อารมณ์สังคมเรื่องนี้อาจยังไม่ส่งผลโดยตรงต่อรัฐบาล อาจยังไม่ใช่ชนวนการเมืองระยะใกล้ แต่นี่คือระเบิดเวลาในระยะยาว ทั้งต่อเศรษฐกิจการเมืองโลก และเศรษฐกิจการเมืองไทย

เราอยู่ในยุคสมัยที่คนจนได้ค่าแรงขั้นต่ำ 300 กว่าบาท แต่ห้างสรรพสินค้าจัดที่จอดพิเศษให้ซูเปอร์คาร์ วันก่อนอ่านข่าวรถปิกอัพพุ่งชนรถยุโรปที่จอดขวาง อ้างว่ารถไม่มีเกียร์ว่าง แล้วก็เชื่อว่าคงมีคนจำนวนไม่น้อยหมั่นไส้ แม้เห็นว่าปิกอัพผิด อย่าว่างั้นว่างี้ ผมโดนเบนซ์บีเอ็มปาดคอสะพาน แล้วรู้สึกเลือดพล่าน แต่ถ้าเป็นแท็กซี่ก็แค่บ่นคำสองคำแล้วยักไหล่

ความเหลื่อมล้ำรวยจนถ่างห่างขึ้นทุกวันทั้งสังคมโลก สังคมไทย ยิ่งในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล AI ซึ่งแรงงานไร้ฝีมือหรือคนมีความสามารถพื้นๆ จะตกงานหางานยากขึ้น ธุรกิจใหญ่ยิ่งผูกขาดทำกำไรได้มากขึ้น

อันที่จริงตั้งแต่วิกฤติซับไพรม์ ซึ่งทำให้คนชั้นกลางในอเมริกายุโรปจนลง ทุนข้ามชาติยิ่งร่ำรวย ก็เกิดกระแสต้านเศรษฐกิจเสรีนิยมใหม่ จนทำให้การเมืองโลกเปลี่ยน เกิด Brexit ทรัมป์ชนะ นักการเมืองขวาจัดคืนชีพในหลายประเทศ ขณะที่สังคมนิยมประชาธิปไตยก็ได้รับความนิยมสูงขึ้นเช่นกัน

ในเมืองไทย หลังรัฐประหารซึ่งตั้งเป้าลดความเหลื่อมล้ำ พร้อมกับนำประเทศสู่ 4.0 ผลที่เกิดขึ้นกลับตรงข้าม คนรวยคนจนยิ่งเหลื่อมล้ำ ยิ่งรัฐบาลดึงเจ้าสัวกลุ่มต่างๆ เข้าร่วมขับเคลื่อนประชารัฐ ก็ยิ่งกลายเป็นทุนนิยมประชารัฐ การพัฒนาทุนนิยมก้าวกระโดดโดยรัฐที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ "จีนโมเดล"

ความไม่พอใจต่อความเหลื่อมล้ำกับความไม่พอใจอำนาจรัฏฐาธิปัตย์ อาจยังไม่รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน (อาจเพราะผีทักษิณยังหลอกหลอนว่าเป็นทุนสามานย์) แต่ก็มีปรากฏการณ์สะท้อนความรู้สึกนี้มากขึ้นทุกที อย่างเช่นขบวนล้อการเมืองของธรรมศาสตร์ที่ว่า

"หลายเจ้าสัว กินรวบ ควบค่อนชาติ ประชาขาด ที่กินนอน ต้องผ่อนเช่า ช่วยกันเอื้อ รวยไม่หยุด สุดบรรเทา ประชารัฐ เจี๊ยะแต่เขา รีดเราจุง"

ว่าที่จริง นาฬิกาหรูก็สะท้อนอารมณ์คับข้องใจต่อความเหลื่อมล้ำ ความมีอภิสิทธิ์ เพราะคนธรรมดาหรือแม้แต่นายพลที่ไหน จะมีเพื่อนร่ำรวยให้นาฬิกาแพงๆ มายืมใส่ มีอำนาจแล้วมีอภิสิทธิ์มีความเหลื่อมล้ำใช่หรือไม่ นี่คือสิ่งที่สังคมคาใจ

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สดจากสนาม-ชุมนุมค้าน คสช. เลื่อนเลือกตั้ง-สืบทอดอำนาจ [คลิป]

Posted: 10 Feb 2018 05:14 AM PST

คลิปบรรยากาศชุมนุมคัดค้าน คสช. เลื่อนเลือกตั้ง-สืบทอดอำนาจ 10 ก.พ. 2561 ช่วงบ่ายที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

คลิปบรรยากาศชุมนุมคัดค้าน คสช. เลื่อนเลือกตั้ง-สืบทอดอำนาจ ช่วงค่ำ ก่อนยุติการชุมนุม

บรรยากาศตั้งแต่ช่วงบ่ายและช่วงสุดท้ายของการชุมนุมคัดค้านการเลื่อนเลือกตั้งและสืบทอดอำนาจ คสช. ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง) โดยการชุมนุมสิ้นสุดเมื่อเวลา 19.45 น. โดยอานนท์ นำภา ประกาศยุติการชุมนุม เชื่อวันนี้พลังอุดมการณ์ประชาธิปไตยจุดติดแล้ว พร้อมเตรียมนัดหมายประชาชนจากทุกภาคเหนือ อีสาน กลาง ใต้ ร่วมแสดงพลังอีกครั้งในวันข้างหน้า บนถนนราชดำเนิน

จากนั้นประกาศว่า อานนท์ นำภา สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ และรังสิมันต์ โรม เตรียมเข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ สน. ปทุมวัน เนื่องจาก ถูกออกหมายจับกรณีจัดกิจกรรมรวมพลคนอยากเลือกตั้งคัดค้านการสืบทอดอำนาจของ คสช. เมื่อวันที่ 27 ม.ค. 2561 ยันไม่เคยคิดหลบหนี เพราะเชื่อว่าสิ่งที่ตัวเองทำเป็นสิ่งที่ถูกต้อง

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่านอกจากกรณีดังกล่าวยังมีเอกชัย หงส์กังวานอีกหนึ่งคนที่ถูกออกหมายจับ โดยถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมไปที่ สน.ปทุมวัน ตั้งแต่เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาโดยในเวลานี้ยังถูกควบคุมตัวอยู่ที่ สน.ปทุมวัน

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รัฐบาลไม่มีนโยบายให้ขุดคอคอดกระ

Posted: 10 Feb 2018 03:57 AM PST

'พล.ท.สรรเสริญ' แจงรัฐบาลยังไม่มีนโยบายให้ขุดคอคอดกระ ยังอยู่ระหว่างศึกษาผลดี-ผลเสีย ขอประชาชนใช้วิจารณญาณหากได้รับข่าวสาร ป้องกันความเข้าใจผิด เกิดปัญหาบานปลาย

 
10 ก.พ. 2561 สำนักข่าวไทย รายงานว่า พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีที่บุคคลกลุ่มหนึ่งเตรียมจัดเวทีในพื้นที่ภาคใต้เพื่อระดมมวลชนให้สนับสนุนการขุดคลองไทย (คอคอดกระเส้นทาง 9A) ระยะทาง 135 กม. และเชิญชวนให้ส่งต่อ แชร์ ข้อความและเพลงในโซเชียลมีเดีย รวมทั้งให้เขียนข้อความลงในกระดาษ A4 ติดตามบ้าน สถานที่ทำงาน หรือสถานที่อื่น ๆ แล้วถ่ายรูปแชร์ต่อกันในเฟสบุ๊คและไลน์ ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กำชับว่าเรื่องดังกล่าวไม่ใช่นโยบายของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลในเวลานี้ โดยเน้นย้ำว่าโครงการขุดคลองไทยอยู่ระหว่างศึกษาผลดีผลเสียทุกด้าน เช่น ความมั่นคง และงบประมาณที่ต้องใช้จำนวนมาก ซึ่งในพื้นที่ยังคงมีปัญหาอื่น จึงต้องจัดลำดับความสำคัญก่อนหลัง
 
"การกล่าวอ้างเหตุผลว่าการขุดคลองคอดกระ จะทำให้เรือเดินสมุทรสัญจรผ่านทะเลได้ และเศรษฐกิจภาคใต้จะดีขึ้นหากมีเส้นทางเดินเรือระหว่างอ่าวไทยกับทะเลอันดามันนั้น เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล จึงขอให้ผู้ที่ได้รับข้อความจากการส่งต่อกัน โดยเฉพาะผู้นำท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ข้าราชการ และประชาชนในพื้นที่ภาคใต้ใช้วิจารณญาณในการรับข่าวสาร ไม่สร้างความเข้าใจผิดแก่สังคม หรือรวมตัวกันจนเกิดเป็นเรื่องบานปลายได้" พล.ท.สรรเสริญ กล่าว
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ตำรวจออกประกาศให้ชาวบ้านค้านโรงไฟฟ้าเทพา-กระบี่ ยุติการนั่งหน้าทำเนียบ

Posted: 10 Feb 2018 12:27 AM PST

ตำรวจนำประกาศจากกองบังคับการตำรวจนครบาล ที่ 54/2561 ลงวันที่ 9 ก.พ. 2561 เข้าไปติดที่บริเวณของการทำกิจกรรมชุมนุม ให้ชาวบ้านค้านโรงไฟฟ้าเทพา-กระบี่ ยุติการนั่งหน้าทำเนียบ
 
 
10 ก.พ. 2561 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่าจากกรณีเครือข่ายคนสงขลา-ปัตตานีไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา และเครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหินได้เดินทางเข้ายื่นหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อเรียกร้องให้ยุติการดำเนินคดีกับชาวบ้านจากการเดินไปยื่นหนังสือในช่วงการประชุมค.ร.ม.สัญจรภาคใต้ ที่จังหวัดสงขลา และขอให้ยุติการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา และโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ จากนั้นได้ร่วมกันนั่งชุมนุมตรงข้ามทำเนียบรัฐบาล บริเวณทางเท้าหน้าหน้าสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) อย่างสงบ เพื่อยืนยันและติดตามคำตอบต่อข้อเรียกร้อง ตั้งแต่เมื่อวันที่ 29 ม.ค. 2561
 
มีรายงานว่าเมื่อช่วงคืนที่ผ่านมา (9 ก.พ.) หลังผู้ชุมนุมนั่งอยู่บริเวณดังกล่าวมาแล้วเข้าวันที่ 12 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการนำประกาศจากกองบังคับการตำรวจนครบาล ที่ 54/2561 ลงวันที่ 9 ก.พ. 2561 เข้าไปติดที่บริเวณของการทำกิจกรรมชุมนุม
 
ประกาศฉบับดังกล่าว ระบุเรื่องห้ามการไม่ให้มีการชุมนุมในรัศมี 50 เมตร รอบพื้นที่ทำเนียบรัฐบาล โดยอ้างอำนาจตามพ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 มาตรา 7 วรรคท้าย ประกาศระบุว่าเนื่องจากกองบังคับการตำรวจนครบาล (บก.น.) เห็นว่าบริเวณดังกล่าวมีกลุ่มผู้ชุมนุมเรียกร้องจำนวนหลายกลุ่ม และมีแนวโน้มเพิ่มจำนวนมากขึ้น มีการใช้ทางเดินเท้าถนนพิษณุโลก โดยกลุ่มผู้ชุมนุมมีการใช้แผ่นไวนิลซึ่งติดแสดงข้อเรียกร้องและใช้ทำเป็นทีบังแดด ทำให้ประชาชนผู้ใช้ทางเดินเท้าไม่สามารถเดินผ่านได้ ต้องมาใช้ผิวทางจราจรเป็นทางสัญจร อาจเกิดอันตรายถูกรถเฉี่ยวชน อีกทั้งเป็นเส้นทางสำคัญในการรองรับรถจากสะพานพระราม 8 เข้าสู่ใจกลางเมือง ซึงสร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนที่ใช้เส้นทางดังกล่าวสัญจร จึงห้ามการชุมนุมในรัศมีไม่เกิน 50 เมตร รอบพื้นที่ทำเนียบรัฐบาลตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
 
ต่อมาวันที่ 10 ก.พ. 2561 เวลาประมาณ 10.15น. กลุ่มผู้ชุมนุมได้แถลงการณ์ยืนยันว่าจะยังคงปักหลักอยู่ที่เดิม ไม่เคลื่อนย้ายไปที่ไหน และจะทำการยื่นอุทธรณ์และโต้แย้งคำสั่งดังกล่าว ซึ่งจะมีระยะเวลาภายใน 15 วัน
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประชาชนชุมนุมต้าน คสช. ยื้อเลือกตั้ง สืบทอดอำนาจ ตำรวจคุมพื้นที่เข้ม

Posted: 10 Feb 2018 12:26 AM PST

กลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย และกลุ่ม START UP PEOPLE นัดชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย แต่ทาง กทม. เอาต้นไม้มาวางจนไม่มีพื้นที่ ต้องขยับไปชุมนุมที่ทางเท้า โรม-จ่านิว-ทนายอานนท์ ผลัดขึ้นปราศรัย อัดประเด็นสืบทอดอำนาจ โรดแมปที่ยืดไปมา และการถูกแจ้งความของ 'MBK 39' 

10 ก.พ. 2561 ได้มีการชุมนุม  'หยุดยื้ออำนาจ หยุดยื้อเลือกตั้ง' จัดโดยกลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย และกลุ่ม START UP PEOPLE ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถ.ราชดำเนิน โดยมีประชาชนมาเข้าร่วมหนาตา รอบพื้นที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจจัดวางกำลังเอาไว้รวมกันหลายร้อยนาย 
 
แต่เดิมจุดนัดพบในการทำกิจกรรมคืออนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ทว่า เมื่อวานนี้ทาง กทม. ได้นำต้นไม้นานาชนิดมาลงเต็มพื้นที่ว่างในอนุสาวรีย์จนเต็ม ทำให้กิจกรรมต้องย้ายมาจัดบริเวณทางเท้าใกล้กับอนุสาวรีย์
 
รังสิมันต์ โรม
 
17.15 น. รังสิมันต์ โรม และอานนท์ นำภา ปรากฏตัวบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย พร้อมถือกล่องหย่อนบัตรเลือกตั้งเป็นสัญลักษณ์ในการเรียกร้องการเลือกตั้งและอำนาจของ คสช. หลังจากนั้น รังสิมันต์ ได้ขึ้นปราศรัยโดยกล่าวว่า วันนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของจุดสิ้นสุดของรัฐบาล คสช. และชูสามนิ้วแทนข้อความสามประการ ได้แก่ หนึ่ง การเลือกตั้งในปีนี้ สอง เผด็จการจงพินาศ สาม ประชาธิปไตยจงเจริญ รังสิมันต์กล่าวต่อไปว่า เกือบสี่ปีภายใต้รัฐบาล คสช. เป็นช่วงเวลาที่กระชากอนาคตของคนไทยไป ทั้งยังเรียกร้องให้ประชาชนออกมาขับไล่รัฐบาล คสช. 
 
"ถึงแม้เราจะไม่มีประชาธิปไตย ถึงแม้เราจะไม่สามารถเข้าไปบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยได้ แต่อยากขอให้พี่น้องรู้ว่าวันนี้เรายังมองเห็นอนาคตที่เป็นประชาธิปไตย"
 
"อยากพูดถึงเด็กและเยาวชน ที่ผ่านมาเราเรียนในรั้วโรงเรียน มหาวิทยาลัย คนจำนวนมากบอกว่าการเมืองไม่ใช่เรื่องของเด็ก เยาวชน แต่ขอให้รู้ไว้ว่าประเทศนี้ระยำเมื่อไหร่ พวกเรานี่แหละที่ต้องทุกข์ทน ถึงเวลาแล้วที่เยาวชน คนรุ่นใหม่ต้องออกมาสู้ เราเคยมีความฝันที่จะเห็นแผ่นดินกลับมางอกงาม เห็นรถไฟความเร็วสูง แต่ประยุทธ์ ประวิตร กระชากอนาคตของเราไป…เราต้องออกมาสู้เพื่อแผ่นดินของเรา เพื่อสิ่งที่เป็นของเรา"
 
"แม้ว่าเขาจะมีอำนาจ แม้ว่าเขาจะมีปืน แต่ขอให้พี่น้องรู้เอาไว้ว่าประเทศนี้เป็นของพวกเราทุกคนไม่ว่าเขาจะหลอกลวงด้วยคำพูดแบบใดก็ตาม"
 
"ถ้าเราต้องการให้ประเทศนี้เป็นของเรา อินเทอร์เน็ตอย่างเดียวไม่พอ หนทางเดียวที่จะทำให้พลเอกประยุทธ์และพลเอกประวิตรที่เป็นบิดาและมารดาของการคอรัปชั่นและการรัฐประการออกไป คือการที่พี่น้องประชาชนต้องออกมายืนตรงนี้"
 
โรมกล่าวถึงพรรคการเมืองและสมาชิกพรรคการเมือง ที่เงียบหายไปในช่วง 4 ปีใต้รัฐบาล คสช. ว่า "หมดเวลาแล้วสำหรับคนที่แสวงหาประโยชน์จากการต่อสู้ของประชาชน พวกเขาไม่ใช่คนของประชาชนอีกต่อไป มีการเลือกตั้งเมื่อไหร่ อย่าไปเลือกพวกมัน เราจะยึดการต่อสู้เพื่อประชาชน ในยามที่ยากลำบากที่สุดถ้าพวกเขาไม่ปรากฎตัว เราจะขอสาปแช่งพวกเขาและไม่เลือกพวกเขาเข้าสู่สภาอีกต่อไป สภาจะไม่ใช่สถานที่ที่มีเกียรติ ถ้าสมาชิกสภาไม่เคยต่อสู้ร่วมกับประชาชนแม้แต่น้อย"
 
อานนท์ นำภา 

อานนท์ นำภา ทนายความ และหนึ่งในผู้ถูกกล่าวหาในกลุ่ม MBK 39 ขึ้นปราศรัยหลังจากรังสิมันต์ โรม กล่าวว่า วันนี้มาในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับการสืบทอดอำนาจของ คสช. และระบุว่า ผู้ถูกหมายเรียก หมายจับในกรณีการไปร่วมกิจกรรม 'รวมพลคนอยากเลือกตั้ง' ที่สกายวอล์กบริเวณหอศิลปะและวัฒนธรรมกรุงเทพฯ เมื่อ 27 ม.ค. ที่ผ่านมา ประชาชนที่ถูกดำเนินคดีอายุมากสุดประมาณ 70 ปีกว่า อายุน้อยสุดยังเป็นนิสิตที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทั้งยังยกตัวอย่างเนติวิทย์ โชติภัทรไพศาล นิสิตจุฬาฯ ชื่อดังที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแกนนำในการชุมนุม แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ได้ไปทำอะไรเลย

"การแจ้งความดำเนินคดีกับประชาชนทั้ง 39 คนก็มีลักษณะที่เป็นการกลั่นแกล้ง ข้อหาที่ประชาชนส่วนใหญ่โดยคือชุมนุมในพื้นที่ซึ่งห่างจากเขตพระราชฐานไม่ถึง 150 เมตร ทั้งที่ตอนมีการชุมนุมตำรวจเข้ามาแจ้งว่าให้ออกไปตรงสกายวอล์กให้พ้นเขตพื้นที่ 150 เมตรแล้ว แต่สุดท้ายก็มีการดำเนินคดี"

"เขา(เจ้าหน้าที่ตำรวจ) รู้ว่าผู้ชุมนุมมีจุดอ่อนอะไร วันนั้นจ่านิวไปปราศรัย เหลียวไปเจอแม่จ่านิวที่มาดูลูก ก็ไปแจ้งข้อกล่าวหาแม่จ่านิว ให้จ่านิวไม่สบายใจ"

 

อานนท์กล่าวเพิ่มเติมว่า "จำตอนที่เราเป็นเด็กได้ไหมครับ เลขที่นับยากสุดคือ 1-10 ถ้านับได้เราจะนับได้ถึงร้อยถึงพัน ตอนนี้เรานับหนึ่งมาถึงสิง ถึงร้อยกันแล้ว นัดชุมนุมครั้งหน้า เราจะพาพี่น้องมานับจำนวนหนึ่งพัน หนึ่งหมื่น วันที่พวกเรามานับหมื่น วันนั้นจะเป็นวันปิดฉากเผด็จการทหาร"

สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์

สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือจ่านิว หนึ่งในผู้ถูกออกหมายจับในกรณีกิจกรรม "รวมพลคนอยากเลือกตั้ง" ที่สกายวอล์กฯ ปรากฏตัวที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ปรากกฏตัวและกล่าวปราศรัย แม้เพิ่งถูกตำรวจขอออกหมายจับเมื่อวาน
 
"สิ่งที่ประชาชนต้องการคือการเลือกตั้ง และต่อต้านการสืบทอดอำนาจ คสช. จึงได้นัดกันออกมาแสดงพลัง แสดงจุดยืนเพื่อให้รัฐบาลได้เห็น ซึ่งเป็นสิทธิเสรีภาพของประชาชน แต่ที่ที่รัฐกระทำคือการเนรมิตอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยให้กลายเป็นสวน ทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะจำกัดการเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน ทั้งยังพยายามจัดการกับประชาชนด้วยการดำเนินคดีทางการเมือง" สิรวิชญ์กล่าว
 
"วันนี้กลายเป็นว่าประชาชนที่ต้องการการการเลือกตั้ง ถูกสกัดขัดขวางจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ อนุสรณ์สถานการเปลี่ยนแปลงการปกครองวันนี้ถูกเนรมิตรให้กลายเป็นสวน ต่อให้ประเทศนี้มันจะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่อนุสาวรีย์มีความหมายและนัยของมันอยู่เหมือนเดิม"
 
"วันนี้ขอให้เป็นการคิกออฟขับไล่เผด็จการอีกครั้ง" สิรวิชญ์ทิ้งท้าย
 
ในงานมีการตะโกน "เลือกตั้ง! เลือกตั้ง!" เป็นระยะ มีการแสดงโปสเตอร์ต่อต้านการสืบทอดอำนาจของ คสช. ดอกกุหลาบ และยังมีการระดมทุนเพื่อใช้ประกันตัวคดีทางการเมืองด้วย
 
 
วันนี้ เอกชัย หงษ์กังวาน หนึ่งในผู้ถูกหมายจับจากเหตุการณ์สกายวอล์กฯ ไม่ได้มาร่วมกิจกรรมตามที่ประกาศ เนื่องจากถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ลาดพร้าวจับกุมตัวไปสอบสวนและแจ้งข้อกล่าวหาที่ สน.ปทุมวัน อันเป็นท้องที่เกิดเหตุ 
 
ooooooooooooo

14.50 น. ราว 1 ชั่วโมงก่อนเวลานัดหมายของ เจ้าหน้าที่ตำรวจล้อมรั้วรอบฟุตบาทตรงข้ามอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และด้านหน้าแมคโดนัลด์ มีจุดตรวจบัตรประชาชนผู้เข้าออกพร้อมทั้งถ่ายรูปเจ้าของบัตรประชาชนเป็นหลักฐานด้วย เจ้าหน้าที่แจ้งว่าเพื่อป้องกันเหตุร้ายที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างชุมนุม สร้างความไม่พอใจให้ประชาชนบางส่วน ขณะที่นักข่าวมารอทำข่าวจำนวนมาก ประชาชนทยอยมารวมตัวกันแน่นร้านแมคโดนัลด์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อบ่ายวานนี้ (9 ก.พ.2561) พื้นที่รอบๆ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยถูกเจ้าหน้าที่ กทม. นำต้นไม้นานาชนิดไปวางจนเต็ม

ท่ามกลางการคุมเข้มของเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีเหตุปะทะคารมขึ้น เมื่อหญิงคนหนึ่งแจ้งว่าไม่มีบัตรประชาชนและต้องการไปปัสสาวะที่แมคโดนัลด์ได้ต่อว่าว่าเจ้าหน้าที่ไม่มีสิทธิเก็บข้อมูลของประชาชน มีการโต้เถียงกันพักหนึ่งก่อนที่เจ้าหน้าที่จะตรวจกระเป๋า ขอชื่อนามสกุลและปล่อยให้เข้าไป (คลิปด้านล่าง) 

พันตำรวจเอกพิทักษ์ สุทธิกุล ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงสาเหตุที่ต้องขอ ตรวจบัตรประชาชนแล้วถ่ายรูปผู้ที่จะเข้าไปบริเวณด้านหน้าร้านแมคโดนัลด์ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เนื่องจากเป็นมาตรการเพื่อป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นจากผู้ไม่หวังดี เพื่อที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ จะได้มีข้อมูลสำหรับการตรวจสอบต่อไปได้หากมีเหตุร้ายเกิดขึ้น
 


พ.ต.อ.พิทักษ์ สุทธิกุล
 
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าหากแกนนำกลุ่ม MBK 39 ที่ถูกออกหมายจับมาปรากฏตัวที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยจะมีมาตรการดำเนินการจับกุมหรือไม่ พันตำรวจเอกพิทักษ์ ระบุว่า เมื่อมีหมายจับแล้วหากเจ้าหน้าที่พบตัวผู้ต้องหาก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย
 

15.40 น. ประชาชนผู้หญิงเริ่มออกมาตะโกนอย่างกราดเกรี้ยวและแสดงสัญลักษณ์ต่างๆ เองโดยไม่มีแกนนำ เช่น ถามว่าอยากเลือกตั้งผิดด้วยหรือ อย่างน้อย 2 จุดหน้าแมคโดนัลด์ ทำให้เกิดการชุลมุนเล็กน้อย ขณะที่ตำรวจประกาศขอความร่วมมือให้สื่อออกจากกลุ่มผู้ชุมนุมมาอยู่หลังแนวรั้วแผงเหล็กกับตำรวจชุดควบคุมฝูงชน แต่สื่อส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในพื้นที่ผู้ชุมนุม เจ้าหน้าที่พยายามอย่างหนักกระทั่งสื่อจำนวนมากเริ่มออกไปหลังแนวรั้ว ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า จนท.นำรถเครื่องส่งเสียงรบกวนระยะไกลหรือแอลแรด (LRAD: Long Range Amplifier Device)มาไว้ในพื้นที่ด้วย

 
 

สัมภาษณ์ 1 ในประชาชน 5 คนที่ยืนแสดงสัญลักษณ์ และตะโกนถามเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าอยากเลือกตั้งผิดด้วยหรือ

ในเวลาเดียวกัน บริเวณด้านหน้าร้านแมคโดนัลด์ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เจ้าหน้าที่ชุดควบคุมฝูงชนได้เข้าตรึงกำลัง พร้อม กระบองซึ่งเหน็บไว้ที่กระเป๋าสะพายหลัง ขณะที่ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ประชาสัมพันธ์ขอให้สื่อมวลชนทุกสำนักออกจากพื้นที่ควบคุมบริเวณด้านหน้าร้านแมคโดนัลด์

 
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กรุงเทพโพลระบุประชาชนให้คะแนนรัฐบาลประยุทธ์ 2 ปีแรกดีกว่า 2 ปีหลัง

Posted: 09 Feb 2018 10:16 PM PST

กรุงเทพโพลเผยผลสำรวจประชาชนให้คะแนนการทำหน้าที่โดยภาพรวมของรัฐบาลในช่วง 2 ปีแรก ดีกว่าในช่วง 2 ปีหลัง ด้านที่ได้คะแนนการทำหน้าที่ลดลงมากที่สุดคือ ด้านการแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น การสร้างความโปร่งใส อยากให้เปลี่ยนบางตำแหน่งเพื่อภาพลักษณ์ที่ดีขึ้น

 
 
 
10 ก.พ. 2561 กรุงเทพโพลโดยศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ  ดำเนินการสำรวจความคิดเห็นประชาชน เรื่อง "2 ปีแรก vs 2 ปีหลัง การทำหน้าที่รัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์"  โดยเก็บข้อมูลกับประชาชนจากทุกภูมิภาคทั่วประเทศจำนวน 1,228  คน พบว่าในภาพรวมคะแนนการทำหน้าที่ในด้านต่างๆ ของรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ ในช่วง 2 ปีแรก เทียบกับ ช่วง 2 ปีหลังพบว่า ในช่วง 2 ปีแรกได้ค่าเฉลี่ยรวมเท่ากับ 6.31 คะแนน ส่วนในช่วง 2 ปีหลังได้คะแนนเฉลี่ยรวมเท่ากับ 6.04 คะแนน ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบช่วง 2 ปีแรกกับช่วง 2 ปีหลังพบว่ามีค่าเฉลี่ยลดลง 0.27 คะแนน
 
เมื่อแยกพิจารณาพบว่าในช่วง 2 ปีแรกด้านที่ได้คะแนนมากที่สุดคือ ด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (6.81 คะแนน) รองลงมาคือ ด้านการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน (6.67 คะแนน) และด้านการแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น การสร้างความโปร่งใส (6.65 คะแนน) ส่วนในช่วง 2 ปีหลังพบว่า ด้านที่ได้คะแนนมากที่สุดคือ ด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (6.62 คะแนน) รองลงมาคือ ด้านการพัฒนาสาธารณูปโภค ขนส่งมวลชน รถไฟฟ้า (6.47 คะแนน) และด้านการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน (6.36 คะแนน)
 
เมื่อเปรียบเทียบในช่วง 2 ปีแรก กับ ในช่วง 2 ปีหลังพบว่า ด้านที่ได้คะแนนเพิ่มขึ้นมากที่สุดคือ ด้านการพัฒนาสาธารณูปโภค ขนส่งมวลชน รถไฟฟ้า (เพิ่มขึ้น 0.19 คะแนน) รองลงมาคือด้าน การพัฒนาคุณภาพชีวิต เช่น โครงการประชารัฐ (เพิ่มขึ้น 0.06 คะแนน) และด้านความสัมพันธ์กับนานาประเทศ ในทุกภูมิภาค (เพิ่มขึ้น0.02 คะแนน) ส่วนด้านที่ได้คะแนนลดลงมากที่สุดคือ ด้านการแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น การสร้างความโปร่งใส (ลดลง 0.76 คะแนน) รองลงมาคือ ด้านการปฏิรูปการเมืองและพัฒนาระบอบประชาธิปไตย และเศรษฐกิจของคนในประเทศ  (ลดลงเท่ากัน 0.54 คะแนน)  
 
สุดท้ายเมื่อถามว่า "ท่านยังเชื่อมั่นในการทำหน้าที่ของรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ ในการบริหารประเทศหรือไม่อย่างไร" พบว่าส่วนใหญ่ร้อยละ 52.2 ยังเชื่อมั่นในการทำหน้าที่ โดยในจำนวนนี้ร้อยละ 40.7 เชื่อมั่นในการทำหน้าที่แต่อยากให้มีการเปลี่ยนแปลงในบางตำแหน่ง เพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้ดีขึ้น รองลงมาร้อยละ 11.5 เชื่อมั่นการทำหน้าที่ทุกๆ ตำแหน่ง ขณะที่ร้อยละ 47.8 ไม่เชื่อมั่นในการทำหน้าที่ อยากให้มีการเลือกตั้ง เพื่อได้รัฐบาลใหม่มาบริหารประเทศ
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ญี่ปุ่นปฏิเสธไม่ลงทุนรถไฟความเร็วสูงร่วมกับไทย แค่ให้กู้ยืมทำโครงการ

Posted: 09 Feb 2018 09:46 PM PST

ญี่ปุ่นปฏิเสธไม่ยอมร่วมลงทุนร่วมกับประเทศไทยในโครงการรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ โดยจะให้แต่เงินกู้ยืมสำหรับโครงการเท่านั้น นอกจากนี้ยังปฏิเสธข้อเสนอในเชิงลดต้นทุนจากผู้นำของไทยโดยบอกว่าการลดต้นทุนนั้นจะทำให้การลงทุนไม่คุ้มค่า

 
หลังจากที่ตัวแทนของกระทรวงคมนาคมที่มีรัฐมนตรีคนปัจจุบันคือ อาคม เติมพิทยาไพสิฐ ได้พบปะหารือกับตัวแทนของญี่ปุ่น โนริโยชิ ยามากามิ รองอธิบดีกรมการรถไฟของญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 7 ก.พ. ที่ผ่านมา อาคมก็เปิดเผยว่าจะให้ไทยเป็นคนลงทุนโครงการเองทั้งหมด และบอกอีกว่าสิ่งที่พวกเขาให้ความสำคัญลำดับแรกคือการ "ลดหนี้สินสำหรับรัฐบาลให้น้อยที่สุด" ในเรื่องการลงทุนโครงการ
 
อาคมเปิดเผยว่าพวกเขาขอให้ญี่ปุ่นหาทางออกในการลดการลงทุนเพื่อทำให้เกิดหนี้สินในฝ่ายไทยลดน้อยลงที่สุด หนึ่งในทางออกที่ว่าคือการลงทุนร่วมกัน แต่ทว่าฝ่ายญี่ปุ่นยืนยันว่าจะแค่ออกเงินทุนกู้ยืมดอกเบี้ยต่ำให้กับไทยแทนการร่วมลงทุนและจะมีการเจรจาหารือในเรื่องนี้ต่อไปอีกในอนาคต
 
จากการศึกษาโดยญี่ปุ่นแล้วมีการประเมินราคาว่าเส้นทางรถไฟกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ จะใช้งบประมาณราว 420,000 บาท แต่ก่อนหน้านี้ นายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยเสนอให้ลดความเร็วสูงสุดของรถไฟลงเหลือ 180-200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเพื่อหวังลดต้นทุน แต่จากการศึกษาในเรื่องนี้ก็พบว่าการลงทุนไปกับรถไฟที่ช้าลงกว่าเดิมนั้นไม่คุ้มค่า
 
อาคมยืนยันว่าทางรถไฟจะเป็นแบบชินคันเซนที่มีความเร็วสูงสุด 300 กม./ชม. นอกจากนี้ยังกล่าวอีกว่าในการเจรจาล่าสุดมีการเสนอให้ตัดบางสถานีออกไปเพื่อลดต้นทุนแต่ทางญี่ปุ่นก็ปฏิเสธในเบื้องต้น โดยบอกว่าการตัดต้นทุนเช่นนี้มันไม่คุ้มค่าพอเมื่อเทียบกับการต้องเสียผู้โดยสารที่อาศัยอยู่ในละแวกที่สถานีถูกยกเลิกนั้นๆ
 
อาคมเปิดเผยว่ารายละเอียดยังไม่ยุติง่ายๆ เพราะต้องมีการเจรจาพูคุยกับรัฐมนตรีกระทรวงการคลังต่อด้วย
 
 
 
เรียบเรียงจาก
 
Japan rejects calls to invest in Thailand's bullet train, Straits Times, 08-02-2018
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กสม. กังวลมีการดำเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์ฯ มากขึ้น

Posted: 09 Feb 2018 09:28 PM PST

อังคณา นีละไพจิตร กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เผยสรุปผลการตรวจสอบการร้องเรียนเกี่ยวกับนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ระบุน่ากังวลที่ปัจจุบัน 'การดำเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อระงับการมีส่วนร่วมในกิจการสาธารณะ' หรือ SLAPPs ถูกนำมาใช้ในการฟ้องคดีมากขึ้นทั่วประเทศ

 
 
เมื่อวันที่ 9 ก.พ. 2561 นางอังคณา นีละไพจิตร กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ในฐานะผู้รับผิดชอบด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง เปิดเผยว่าภายหลังจากที่ได้เข้าร่วมสังเกตการณ์กรณีการแสดงความเห็นที่แตกต่างไปจากนโยบายของรัฐของกลุ่มเคลื่อนไหวต่างๆ แล้วนั้น เห็นว่ามีกรณีที่มีลักษณะใกล้เคียงและคล้ายคลึงกัน กล่าวคือสืบเนื่องจากปี 2559  คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)  ได้รับเรื่องร้องเรียนเพื่อขอให้มีการตรวจสอบและคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ในลักษณะของนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ถูกคุกคามในหลายรูปแบบ อาทิ การร้องเรียนที่เกี่ยวข้องกับการที่นักปกป้องสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นกลุ่มบุคคลที่ถูกฟ้องร้องจากการเคลื่อนไหวคัดค้านกลุ่มผลประโยชน์ หรือจากการทำงานเพื่อปกป้องสิทธิของชุมชน รวมถึงการไม่ได้รับอนุมัติเงินสนับสนุนหลักทรัพย์เป็นหลักประกันในการปล่อยตัวชั่วคราวจากกองทุนยุติธรรม โดยกองทุนยุติธรรมมักจะให้เหตุผลว่า การกระทำของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่ขอรับความช่วยเหลือมีมูลน่าเชื่อว่าเป็นผู้กระทำความผิดตามข้อกล่าวหา หรือนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่ขอรับความช่วยเหลือเป็นบุคคลที่มีเงินหรือหลักทรัพย์ในการขอปล่อยชั่วคราว หรือมีความสามารถที่จะเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้ด้วยตนเอง  
 
กสม. ได้ตรวจสอบเรื่องร้องเรียนเรื่องการคุกคามนักปกป้องนักสิทธิมนุษยชน ด้วยการฟ้องร้องดำเนินคดีเพื่อตอบโต้การทำงานของนักปกป้องสิทธิมนุษยชน มีผลทำให้นักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่เคลื่อนไหวเพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือเพื่อสิทธิพลเมืองต้องได้รับผลกระทบในการดำเนินชีวิต ทั้งความกังวลต่อความปลอดภัย โดย กสม. มีข้อสังเกตต่อการใช้ช่องทางการฟ้องร้องดำเนินคดีตามกฎหมายว่าสร้างผลกระทบเป็นอย่างมากต่อการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะผลกระทบในด้านเศรษฐกิจและสภาพจิตใจของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในการทำให้เกิดความหวาดกลัว
 
ทั้งนี้ ในคราวประชุมเพื่อพิจารณาคำร้องลักษณะดังกล่าว เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 2561 กสม. ได้มีข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน ต่อคณะกรรมการกองทุนยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด และสำนักงานศาลยุติธรรม ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 247 (3) โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรม ได้แก่ กระทรวงยุติธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด และสำนักงานศาลยุติธรรม ควรเร่งหามาตรการแก้ไขปัญหาการใช้กระบวนการฟ้องร้องดำเนินคดีเพื่อตอบโต้การทำงานของนักปกป้องสิทธิมนุษยชน หรือที่เรียกว่า "การดำเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อระงับการมีส่วนร่วมในกิจการสาธารณะ (Strategic Lawsuits Against Public Participation - SLAPPs)" รวมถึงอาจหารือร่วมกับองค์อื่นๆ โดยเฉพาะคณะรัฐมนตรีและองค์กรนิติบัญญัติในการผลักดันให้เกิดการแก้ไขกฎหมายเพื่อป้องกันปัญหาการฟ้องคดีโดยไม่สุจริต หรือการบัญญัติกฎหมายฉบับใหม่ที่มีเนื้อหาในการป้องกันการดำเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อระงับการมีส่วนร่วมในกิจการสาธารณะของประชาชน (Anti – SLAPPs Law) รวมถึงควรดำเนินการแก้ไขระเบียบคณะกรรมการกองทุนยุติธรรม ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลย พ.ศ. 2559 โดยการยกเลิกข้อความที่ให้อำนาจคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือคำนึงถึงสาเหตุหรือพฤติการณ์ของผู้ยื่นคำร้องว่าเป็นผู้ที่น่าเชื่อว่ามิได้กระทำความผิดตามข้อกล่าวหาหรือไม่ เนื่องจากการกำหนดหลักเกณฑ์ไว้เช่นนี้ถือเป็นการให้อำนาจวินิจฉัยความผิดของผู้ยื่นคำขอรับความช่วยเหลือล่วงหน้าแทนศาล ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมและอาจเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเข้าถึงความช่วยเหลือของประชาชนในการดำเนินคดี 
 
ประการสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ "เป็นเรื่องน่ากังวลที่ปัจจุบัน SLAPPs ในทางอาญา ถูกนำมาใช้ในการฟ้องคดีมากขึ้นทั่วประเทศ รวมถึงในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ โดยผู้ประกอบการหรือบริษัทขนาดใหญ่ หรือเจ้าหน้าที่รัฐในการดำเนินคดีเพื่อยับยั้งการมีส่วนร่วมในกิจกรรมสาธารณะ หรือการตรวจสอบรัฐ ซึ่งถ้าปล่อยให้มีการฟ้องเช่นนี้เกิดขึ้นจำนวนมาก จะทำให้เกิดการสูญเสียคุณค่าที่สำคัญของหลักประชาธิปไตย คือ คุณค่าของการคุ้มครองและการตรวจสอบเพื่อให้เกิดความโปร่งใสเพื่อประโยชน์สาธารณะ" นางอังคณา ฯ กล่าวทิ้งท้าย
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ปี 2017 นักกีฬาอาชีพหญิงรายได้ยังห่างนักกีฬาชายลิบลับ

Posted: 09 Feb 2018 09:07 PM PST

พบนักกีฬาหญิงในกีฬาประเภททีมได้รับค่าจ้างต่างจากชายลิบลับ เฉลี่ยแล้วน้อยกว่าชาย 101 เท่า นักฟุตบอลอาชีพหญิงในอังกฤษได้ค่าจ้างน้อยกว่าชาย 99 เท่า ส่วนนักบาสเก็ตบอลหญิงในสหรัฐฯ อันเป็นกีฬาที่ผู้หญิงได้ค่าจ้างเฉลี่ยสูงสุดแล้วก็ยังได้น้อยกว่าชายถึง 96 เท่า

ที่มาภาพประกอบ: U.S. Army (CC BY 2.0)

จากรายงาน GLOBAL SPORTS SALARIES SURVEY 2017 พบข้อค้นพบที่น่าสนใจคือเรื่อง 'ความเหลื่อมล้ำในการจ่ายค่าจ้างระหว่างเพศ' (Gender pay gap) โดยในรายงานระบุว่าเมื่อพิจารณาแข่งขันกีฬาของนักกีฬาอาชีพชายใน 12 ลีก ที่ครอบคลุมทีมกีฬา 257 ทีม นักกีฬา 7,265 คน จาก 10 ประเทศ จ่ายค่าจ้างนักกีฬาสูงที่สุด อาทิเช่น '4 ยักษ์ใหญ่' ลีกกีฬาในอเมริกาเหนืออย่างการแข่งขันบาสเก็ตบอล NBA การแข่งขันเบสบอล MLB การแข่งขันฮอคกีน้ำแข็ง NHL และการแข่งขันอเมริกันฟุตบอล NHL, รวมทั้งลีกฟุตบอล '5 ยักษ์ใหญ่ในยุโรป' ในอังกฤษ, สเปน, อิตาลี, เยอรมนี และฝรั่งเศส และลีกกีฬาในเอเชียอย่างการแข่งขันคริกเก็ต IPL ของอินเดีย ฟุตบอล Chinese Super League ของจีน และลีกเบสบอล NPB ของญี่ปุ่น การแข่งขันกีฬาในลีกชั้นนำเหล่านี้จ่ายค่าจ้างให้นักกีฬารวมกันถึง 20.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 647.56 แสนล้านบาท) เมื่อปี 2017 ที่ผ่านมา เฉลี่ยแล้วจ่ายค่าจ้างให้นักกีฬาชายคนละ 2.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ/ปี (ประมาณ 88.88 ล้านบาท) เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับนักกีฬาอาชีพหญิง 2,461 คน จาก 129 ทีม ใน 6 ประเภทกีฬา จาก 8 ประเทศ พบว่ามีการจ่ายค่าจ้างรวมแค่ 68.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 2.17 พันล้านบาท) เฉลี่ยแล้วจ่ายค่าจ้างให้นักกีฬาหญิงคนละ 27,855 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 8.84 แสนบาท) เท่านั้น ซึ่งเมื่อนำมาหาค่าเฉลี่ยพบว่านักกีฬาหญิงได้รับค่าจ้างน้อยกกว่านักกีฬาชายประมาณ 101 เท่า

เมื่อพิจารณาลงไปในกีฬาแต่ละประเภท ตัวอย่างเช่นกีฬาฟุตบอล พบว่านักฟุตบอลอาชีพผู้หญิงทุกคนในโลก (1,287 คน) มีรายได้รวมกันเท่ากับนักฟุตบอลชายแค่ 106 คน ทำได้เท่านั้น ตัวอย่างช่องว่างที่สูงลิบลับนี้ก็ดูได้จากการที่นักฟุตบอลหญิงในการแข่งขันวูเมนซูเปอร์ลีก (FA Women's Super League) ของอังกฤษ ได้รับค้าจ้างเฉลี่ยน้อยกว่านักฟุตบอลชายในพรีเมียร์ลีก (Premier League) ประมาณ 99 เท่า โดยนักฟุตบอลชายในพรีเมียร์ลีกได้ค่าจ้างเฉลี่ยที่ 2.64 ล้านปอนด์/ฤดูกาล (ประมาณ 115.44 ล้านบาท) แต่นักฟุตบอลหญิงได้เพียง 26,752 ปอนด์/ฤดูกาล (ประมาณ 1.16 ล้านบาท)

ส่วนนักบาสเก็ตบอลหญิงในการแข่งขัน WNBA ที่เป็นการแข่งขันกีฬาประเภททีมที่ผู้หญิงได้ค่าจ้างเฉลี่ยสูงสุด ก็ยังได้รับค่าจ้างเฉลี่ยแล้วน้อยกว่านักบาสเก็ตบอลชายใน NBA ประมาณ 96 เท่า เลยทีเดียว

อนึ่งการจัดทำรายงาน GLOBAL SPORTS SALARIES SURVEY นี้ เป็นการรวบรวมข้อมูลโดย Sporting Intelligence ซึ่งได้จัดทำรายงานค่าจ้างนักกีฬาประเภททีมมาตั้งแต่ปี 2010 โดยในปี 2017 นี้เป็นปีแรกที่ได้รวบรวมข้อมูลเปรียบเทียบเรื่องความเหลื่อมล้ำในการจ่ายค่าจ้างระหว่างเพศ (Gender pay gap) โดได้ทำการสำรวจสภาพการจ้างนักกีฬาชาย 9,816 คน นักกีฬาหญิง 2,428 คน จาก 465 ทีมกีฬา ใน 29 ลีกการแข่งขัน (9 ชนิดกีฬา) ของ 16 ประเทศ พบว่าภาพรวมการจ่ายค่าจ้างของทั้งปี 2017 มีมูลค่าอยู่ที่ 20.58 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 653.65 แสนล้านบาท)

 

 

ที่มาเรียบเรียงจาก
GLOBAL SPORTS SALARIES SURVEY 2017 (sportingintelligence.com, เข้าถึงข้อมูลเมื่อ 8/2/2018)
OKLAHOMA CITY THUNDER NO1 EARNERS IN SPORT AS GENDER GULF ENDURES (sportingintelligence.com, 26/11/2017)
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'เอกชัย' ระบุมีตำรวจรออยู่หน้าบ้านแต่เช้า

Posted: 09 Feb 2018 09:03 PM PST

 
 
10 ก.พ. 2561 เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา เอกชัย หงส์กังวาน 1 ใน 4 ผู้ถูกออกหมายจับในข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 3/2558 และตามประมวลกฎหมายอาญา ม.116 จากการร่วมกิจกรรมคัดค้านการเลื่อนการเลือกตั้งและการสืบทอดอำนาจของ คสช. บริเวณ สกาย วอล์ค เมื่อ 27 ม.ค.ที่ผ่านมานั้น โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊คว่า เวลา 7.00 น. ตำรวจนอกเครื่องแบบ 4 คนยืนรอที่หน้าบ้านของตน จึงแจ้งให้รอตนเปิดประตูเวลา 9.00 น.
 
ล่าสุดเพื่อนของเอกชัยแจ้งว่า ขณะนี้ เอกชัย พร้อมทนาย อยู่ที่ สน.ลาดพร้าว โดยที่ตำรวจได้แสดงหมายจับ แล้วจะส่งตัวมา สน.ปทุมวัน ต่อไป
 
วานนี้หลังมีรายงานข่าวว่า เอกชัย ถูกออกหมายจับแล้วนั้น เอกชัย โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊คว่า เนื่องจากวันเสาร์ อาทิตย์ ศาลอาญากรุงเทพใต้ปิดทำการ หากตนถูกจับกุมในวันพรุ่งนี้ นั่นหมายความว่า คืนวันเสาร์ อาทิตย์ ตนต้องนอนคืนที่ สน.ปทุมวัน รวมเวลา 2 คืน
 
"หากตำรวจไม่จับกุมผมภายในคืนนี้ วันพรุ่งนี้ก็รอจับผมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยก็แล้วกัน" เอกชัย โพสต์หลังทราบข่าวว่าตนเองถูกออกหมายจับ
 
ก่อนที่เอกชัยจะทราบว่ามีหมายจับ เขาได้เปิดเผยกับประชาไทว่า เอกชัย เจ้าหน้าที่ออกหมายเรียก 2 ครั้ง ครั้งแรกตนไม่ได้รับ แต่ได้ในครั้งที่ 2 ตนจึงแจ้งว่า แม้จะเป็นหมายเรียกครั้งที่ 2 แต่ตนได้ครั้งแรกจึงถือเป็นครั้งแรก รวมทั้งยื่นหมายเรียกมาอย่างกระชั้นชิดมาก จึงขอเลื่อน เมื่อวานจึงต้องให้ทนายความไปขอเลื่อน ปรากฎว่าตำรวจไม่ให้เลื่อนและจะออกหมายจับ ตนก็ยืนยันไปว่าอยากออกหมายจับก็ออกเลย เมื่อวานกลุ่มผู้ชุมนุมเช่นเดียวกับตนที่ถูกดำเนินคดี ได้ปล่อยตัวหมดโดยไม่ต้องประกัน ตนจึงไม่แน่ใจว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อ แต่ยืนยันว่าวันพุธหน้า (14 ก.พ. 2561) จะไปรับทราบข้อกล่าวหาที่ สน.ปทุมวัน
 
ต่อมาเวลา 9.00 น. ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัวนายเอกชัย จากหน้าบ้านพัก โดยมีการแสดงหมายจับที่ออกโดยศาลอาญากรุงเทพใต้ ลงวันที่ 9 ก.พ. 2561 ก่อนจะนำตัวไปที่สน.ลาดพร้าว เพื่อทำบันทึกการจับกุม และจะมีการนำตัวไปที่สน.ปทุมวัน เพื่อทำการแจ้งข้อกล่าวหาต่อไป
 
ก่อนหน้านี้ เอกชัยได้รับหมายเรียกของสน.ปทุมวันเพียงครั้งเดียว คือหมายเรียกครั้งที่ 2 ให้ไปรับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 8 ก.พ. เขาได้ลงชื่อรับหมายดังกล่าว พร้อมกับเขียนประกอบเพิ่มเติมในใบรับหมายว่าตนไม่เคยได้รับหมายเรียกครั้งที่ 1 และได้แจ้งเจ้าหน้าที่ว่าจะขอเลื่อนไปรับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 14 ก.พ. แทน
 
ล่าสุด ในวันนี้เมื่อราว 14.30 น. พ.ต.อ. ภพธร จิตต์หมั่น ผกก.สน.ปทุมวันกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่าขณะนี้เจ้าพรักงานสอบสวนกำลังสอบสวนเอกชัย ขั้นตอนต่อไปจะเป็นการแจ้งข้อกล่าวหา เนื่องจากวันนี้หมดเวลาทำหารของศาล เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงต้องควบคุมตัวเอกชัยไว้ที่ สน. ปทุมวัน ซึ่งตามกฎหมายให้อำนาจเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวผู้ถูกกล่าวหาได้ 48 ชั่วโมง จากนั้นจะส่งตัวเอกชัยไปยังศาลอาญากรุงเทพฯ ใต้ในวันจันทร์ที่จะถึงนี้ โดยผู้ต้องหาอีก 3 คนถ้าถูกจับกุมตัวก็จะถูกนำส่งมาที่ สน.ปทุมวันเช่นกัน
 
ภพธรระบุว่า ในชั้นพนักงานสอบสวนอนุญาตให้เอกชัยประกันตัวได้ โดยกำหนดค่าประกันตัวเอาไว้ 1 แสนบาท
 
ต่อคำถามเรื่องบทบาทของตำรวจ สน.ปทุมวัน กับการชุมนุมในวันนี้ที่อนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย ภพธรกล่าวว่าทาง สน. ได้ส่งชุดควบคุมฝูงชน (คฝ.) ไปประจำการที่นั่น
 
ทั้งนี้ ในช่วงเย็นวันนี้ 16.00 น. มีการนัดหมายการชุมนุม "หยุดยื้ออำนาจ หยุดยื้อเลือกตั้ง" ที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยกลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย และกลุ่ม START UP PEOPLE
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น