โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันพุธที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

ดัชนีคอร์รัปชันโลก 2017 ไทยติดอันดับ 96 แต่คะแนนยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลก

Posted: 21 Feb 2018 12:24 PM PST

เปิดรายงานดัชนีคอร์รัปชัน 2017 ไทยได้ 37 เต็ม 100 อยู่อันดับ 96 อันดับเพิ่มขึ้น 5 อันดับ แต่คะแนนยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ได้ 43 คะแนน ส่วนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สิงคโปร์ได้ 84 คะแนนอยู่อันดับ 6 ด้านองค์กรเพื่อความโปร่งใสฯ ชี้ว่าประเทศบนโลกมากกว่า 2 ใน 3 ได้คะแนนน้อยกว่าครึ่ง และคะแนนปีนี้สะท้อนว่าประเทศส่วนใหญ่ปรับปรุงแก้ไขน้อยมากเพื่อยุติการคอร์รัปชัน ขณะที่ทั้งนักข่าวและนักกิจกรรมต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อเปิดโปงทุจริต

แผนที่แสดงคะแนนจากรายงานชี้วัดภาพลักษณ์ดัชนีคอร์รัปชันโลกปี 2017 โดยสีแดงได้คะแนนน้อยที่สุด ไปจนถึงสีเหลืองที่ได้คะแนนมากที่สุด สะท้อนการคอร์รัปชันต่ำ (ที่มา: Transparency International) (คลิกเพื่อชมภาพขยาย)

แผนที่และตารางคะแนนจากรายงานชี้วัดภาพลักษณ์ดัชนีคอร์รัปชันโลกปี 2017 (ที่มา: Transparency International) (คลิกเพื่อชมภาพขยาย)

21 ก.พ. 2561 องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International) เปิดรายงานชี้วัดภาพลักษณ์ดัชนีคอร์รัปชันโลกปี 2017 จัดอันดับ 180 ประเทศทั่วโลก โดยปีนี้นิวซีแลนด์ได้อันดับที่ 1 ติดต่อกัน โดยได้ 89 คะแนน คะแนนลดลง 1 คะแนน ส่วนอันดับที่ 2 คือ เดนมาร์ก ได้ 88 คะแนน คะแนนลดลง 1 คะแนน โดยเดนมาร์กเคยได้อันดับ 1 ร่วมกับนิวซีแลนด์เมื่อปีก่อน

ส่วนประเทศไทย ได้อันดับ 96 โดยได้คะแนน 37 คะแนน เพิ่มขึ้น 2 คะแนนเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยเมื่อเทียบ 6 ปีย้อนหลัง ประเทศไทยได้อันดับและคะแนนดังนี้

ปี 2017 ได้ 37 คะแนน อันดับ 96

ปี 2016 ได้ 35 คะแนน อันดับ 101

ปี 2015 ได้ 38 คะแนน อันดับ 76

ปี 2014 ได้ 38 คะแนน อันดับ 85

ปี 2013 ได้ 35 คะแนน อันดับ 102

ปี 2012 ได้ 37 คะแนน อันดับ 88

ทั้งนี้เมื่อพิจารณารายงานชี้วัดภาพลักษณ์ดัชนีคอร์รัปชันโลกปี 2017 รายประเทศ กรณีของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เรียงลำดับประเทศที่มีคะแนนคอร์รัปชันดีที่สุด จนถึงเลวร้ายที่สุดได้ดังนี้

สิงคโปร์ 84 คะแนน อันดับที่ 6

มาเลเซีย 47 คะแนน อันดับที่ 62

ติมอร์เลสเต 38 คะแนน อันดับที่ 91

ไทย 37 คะแนน อันดับที่ 96 

อินโดนีเซีย 37 คะแนน อันดับที่ 96

เวียดนาม 35 คะแนน อันดับที่ 107

ฟิลิปปินส์ 34 คะแนน อันดับที่ 111

พม่า 30 คะแนน อันดับที่ 130

ลาว 29 คะแนน อันดับที่ 135

กัมพูชา 21 คะแนน อันดับที่ 161

 

ส่วนประเทศและดินแดนในภูมิภาคเอเชียตะวันออก เมื่อเรียงลำดับประเทศที่มีคะแนนคอร์รัปชันดีที่สุด จนถึงเลวร้ายที่สุดแล้วได้ดังนี้

ญี่ปุ่น 73 คะแนน อันดับที่ 20

ฮ่องกง 77 คะแนน อันดับ 13

ไต้หวัน 63 คะแนน อันดับที่ 29

เกาหลีใต้ 54 คะแนน อันดับที่ 51

จีน 41 คะแนน อันดับที่ 77

มองโกเลีย 36 คะแนน อันดับที่ 103

เกาหลีเหนือ 17 คะแนน อันดับที่ 171

 

องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติระบุว่า ดัชนีคอร์รัปชันโลกปีนี้แสดงให้เห็นว่าประเทศส่วนใหญ่มีการแก้ไขปรับปรุงน้อยมากเพื่อยุติการคอร์รัปชัน ในขณะที่ผลการวิเคราะห์ยังพบว่านักข่าวและนักกิจกรรมในประเทศที่มีการคอร์รัปชันต้องเสี่ยงชีวิตในแต่ละวันเพื่อที่จะเปิดโปงเรื่องเหล่านี้

จากข้อมูลของคณะกรรมการปกป้องสื่อมวลชนโลกหรือ CPJ พบว่าระหว่างปี 2012-2017 นักข่าวทั่วโลกถูกฆ่า 368 ราย ในจำนวนนี้ 16 รายเป็นนักข่าวในประเทศที่คะแนนดัชนีคอร์รัปชันอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ย และ 352 ราย เป็นนักข่าวในประเทศที่คะแนนดัชนีคอร์รัปชันอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย

โดยปีนี้มีการจัดอันดับประเทศและดินแดนต่างๆ ในโลก 180 แห่ง ให้คะแนนจากมากที่สุดคือ 100 ซึ่งหมายถึงใสสะอาด และน้อยที่สุดคือ 0 ซึ่งหมายถึงคอร์รัปชั่นมาก โดยผลสำรวจในปีนี้พบว่ามากกว่า 2 ใน 3 ของประเทศในโลกได้คะแนนต่ำกว่า 50 คะแนน ในขณะที่คะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 43 คะแนน ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายที่ไม่มีอะไรใหม่ เพราะเมื่อเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยแล้วเท่ากับปีก่อน

 

เอเชีย-แปซิฟิกมีสัญญาณก้าวหน้าเล็กน้อย
อัฟกานิสถาน-อินโดนีเซียมีการปรับปรุง

กรณีของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก รายงาน CPI2017 ขององค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติระบุว่า ไม่มีประเทศไหนในเอเชีย-แปซิฟิก ที่ได้เต็ม 100 คะแนน แม้แต่นิวซีแลนด์ (ซึ่งอยู่อันดับ 1 ได้ 89 คะแนน) หรือสิงคโปร์ (ซึ่งอยู่อันดับ 6 ได้ 84 คะแนน) ต่างก็ประสบกับกรณีอื้อฉาวเมื่อปีก่อนเช่นกัน โดยการวิเคราะห์ขององค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติพบว่ามีความก้าวหน้าเพียงเล็กน้อยในภูมิภาค โดยในรอบ 6 ปีมานี้ มีเพียงไม่กี่ประเทศที่มีสัญญาณบ่งชี้ว่าสถานการณ์คอร์รัปชันได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น

โดยกรณีของอัฟกานิสถาน ซึ่งยังคงได้คะแนนดัชนีชี้วัดคอร์รัปชันต่ำคือได้ 15 คะแนน อยู่อันดับที่ 177 แต่ก็ได้คะแนนเพิ่มขึ้น 7 คะแนน จากที่เคยได้เพียง 8 คะแนนในปี 2012 ก่อนที่จะเพิ่มเป็น 15 คะแนนมาตั้งแต่ปี 2016 และ 2017 ซึ่งเป็นผลมาจากการริเริ่มในระดับชาติเพื่อปรับปรุงนโยบายที่สำคัญ รวมไปถึงปรับปรุงระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อ

เช่นเดียวกับ อินโดนีเซีย ที่แม้จะมีหนทางอีกยาวไกลในการต่อสู้กับคอร์รัปชัน แต่อินโดนีเซียก็กำลังไต่อันดับ โดยได้คะแนนเพิ่มจาก 32 คะแนนเมื่อ 5 ปีก่อน ปัจจุบันได้ 37 คะแนน อยู่อันดับที่ 96 การปรับปรุงเล็กๆ น้อยๆ นี้เกิดจากการทำงานของหน่วยงานต่อต้านคอร์รัปชันที่มีมาตรการต่อต้านการทุจริตของบุคคล นอกจากนี้ยังมีฝ่ายค้านที่เข็มแข็งทั้งในระดับรัฐบาลและรัฐสภา

ขณะที่ประเทศอื่น อย่างเกาหลีใต้ (อันดับ 51 ได้ 54 คะแนน) โดยในรอบ 6 ปีมานี้คะแนนอยู่ในระดับคงที่ ทั้งนี้เมื่อปีที่ผ่านมาเกาหลีใต้มีกรณีคอร์รัปชันอื้อฉาวที่นำไปสู่การชุมนุมประท้วงใหญ่ และจบด้วยการลงมติถอดถอนและดำเนินคดีต่ออดีตประธานาธิบดี

 

จับตาประเทศถดถอย 'ฟิลิปปินส์-อินเดีย-มัลดีฟส์'
คอร์รัปชันสูง-เสรีภาพสื่อต่ำ-แถมมีเหตุลอบสังหารสื่อ

อย่างไรก็ตามมีประเทศในเอเชีย-แปซิฟิกหลายประเทศที่คะแนนถดถอย ดัชนีในปี 2017 ชี้ให้เห็นว่าหลายประเทศการคอร์รัปชันยังเข้มข้น เมื่อมีปัจเจกบุคคลออกมาท้าทายภาวะเหล่านั้น พวกเขาก็จะได้รับผลกระทบ ในบางประเทศ ผู้สื่อข่าว นักเคลื่อนไหว ผู้นำฝ่ายค้าน หรือแม้แต่ผู้บังคับใช้กฎหมาย หน่วยงานเฝ้าระวังต่างถูกข่มขู่คุกคาม และในกรณีเลวร้ายที่สุด พวกเขาถูกสังหาร

กรณีของฟิลิปปินส์ อินเดีย และมัลดีฟส์ เป็นประเทศในภูมิภาคที่มีสถานการณ์เช่นว่าเลวร้ายที่สุด ประเทศเหล่านี้มีการคอร์รัปชันที่สูง มีเสรีภาพสื่อต่ำ และมีการสังหารผู้สื่อข่าวในอัตราที่สูง จากข้อมูลของคณะกรรมการปกป้องสื่อมวลชน (CPJ) พบว่า 3 ประเทศนี้ในรอบ 6 ปีที่ผ่านมา มีนักข่าว 15 คนที่ทำงานเกี่ยวกับการเปิดโปงคอร์รัปชันถูกสังหาร กรณีของมัลดีฟส์เมื่อก่อน ยามีน ราชีด บล็อกเกอร์ผู้ที่วิจารณ์รัฐบาลมัลดีฟส์ถูกลอบสังหาร หลังจากที่เขาพยายามที่จะเปิดโปงการหายตัวไปของนักข่าวอีกรายที่ชื่อ อาเหม็ด ริลวัน

ขณะเดียวกันเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ก็ถูกโจมตีทั่วไปในภูมิภาค พื้นที่พลเมืองก็หดหาย องค์กรภาคประชาสังคมในกัมพูชา ปาปัวนิวกินี และจีน ก็ถูกคุกคามจากเจ้าหน้าที่รัฐตลอดเวลา กรณีของกัมพูชา รัฐบาลเองเพิ่งปราบปรามองค์กรภาคประชาสังคม ด้วยการออกกฎหมายที่เข้มงวดต่อเอ็นจีโอมากขึ้น โดยกัมพูชาเป็นประเทศหนึ่งในภูมิภาคที่คะแนนคอร์รัปชันต่ำที่สุดในรายงานของ CPI (21 คะแนน อันดับที่ 161)

ทั้งนี้เมื่อพิจารณารายงานชี้วัดภาพลักษณ์ดัชนีคอร์รัปชันโลกปี 2017 รายประเทศ กรณีของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เรียงลำดับประเทศที่มีคะแนนคอร์รัปชันดีที่สุด จนถึงเลวร้ายที่สุดได้ดังนี้

สิงคโปร์ 84 คะแนน อันดับที่ 6

มาเลเซีย 47 คะแนน อันดับที่ 62

ติมอร์เลสเต 38 คะแนน อันดับที่ 91

ไทย 37 คะแนน อันดับที่ 96 

อินโดนีเซีย 37 คะแนน อันดับที่ 96

เวียดนาม 35 คะแนน อันดับที่ 107

ฟิลิปปินส์ 34 คะแนน อันดับที่ 111

พม่า 30 คะแนน อันดับที่ 130

ลาว 29 คะแนน อันดับที่ 135

กัมพูชา 21 คะแนน อันดับที่ 161

 

ส่วนประเทศและดินแดนในภูมิภาคเอเชียตะวันออก เมื่อเรียงลำดับประเทศที่มีคะแนนคอร์รัปชันดีที่สุด จนถึงเลวร้ายที่สุดแล้วได้ดังนี้

ญี่ปุ่น 73 คะแนน อันดับที่ 20

ฮ่องกง 77 คะแนน อันดับ 13

ไต้หวัน 63 คะแนน อันดับที่ 29

เกาหลีใต้ 54 คะแนน อันดับที่ 51

จีน 41 คะแนน อันดับที่ 77

มองโกเลีย 36 คะแนน อันดับที่ 103

เกาหลีเหนือ 17 คะแนน อันดับที่ 171

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

จากศาลปกครองคุ้มครองเดินมิตรภาพ ถึงศาลแพ่งยกคำร้อง ตร. ไม่ห้ามชุมนุมต้านโรงไฟฟ้าเทพา

Posted: 21 Feb 2018 10:50 AM PST

ศาลแพ่ง 'ยก' คำร้อง ตร.สน.นางเลิ้ง ขอให้ผู้ชุมนุมคัดค้านโรงไฟฟ้าเทพา ออกจากพื้นที่ หน้ายูเอ็น ระบุการชุมนุมเป็นไปตาม พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ ทนายย้ำต้องศึกษาบทเรียนการปิดกั้นการชุมนุม ของรัฐผ่าน กฎหมายนี้เพื่อนำไปสู่การแก้ไขให้หนุนเสรีภาพการชุมนุมจริงต่อไป

ที่มา เฟสบุ๊ค Surachai Trongngam 

เมื่อวันที่ 20 ก.พ.ที่ผ่านมา ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก ศาลแพ่ง ยกคำร้อง พนักงานสอบสวน สน.นางเลิ้ง ขอให้ผู้ชุมนุมคัดค้านการสร้างโรงไฟฟ้าเทพา และ จ.กระบี่ ออกจากพื้นที่ บริเวณ ถ.ราชดำเนิน หน้า สำนักงานยูเอ็น ระบุ การชุมนุมเป็นไปตาม พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 และไม่ได้เป็นการขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานในการที่จะดูแลการชุมนุมสาธารณะและอำนวยความสะดวกประชาชนบริเวณดังกล่าวด้วย

หลังจากศาลยกคำร้องดังกล่าว สุรชัย ตรงงาม ทนายความมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม หรือ EnLaw โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊ค ส่วนตัว วิเคราะห์กรณีนี้ด้วยว่า นับเป็นการร่วมไต่สวนของศาลตามขั้นตอนกฎหมายชุมนุมสาธารณะ 2558 เป็นครั้งแรก ซึ่งมีข้อสังเกตุเบื้องต้นดังนี้

1. ศาลให้เหตุผลที่ยกคำร้องของสน.นางเลิ้งหลายเหตุผล แต่เหตุผลหลักน่าจะเป็น ผู้ชุมนุม ชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธภายใต้ขอบเขตของรัฐธรรมนูญ การชุมนุมทางเท้าหน้าสำนักงานยูเอ็น ไม่ได้ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนเกินไป ซึ่งน่าเสียดายที่ศาลไม่ได้วินิจฉัยถึง เสรีภาพการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญให้ชัดเจน. รวมถึงหนังสือของข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชน ของ UN ที่ชี้แจง กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ข้อ 21 เรื่องเสรีภาพการชุมนุม ที่อ้างส่งศาลที่ระบุรัฐควรหลีกเลี่ยงการแทรกแซงเสรีภาพการชุมนุมโดยการกำหนดสถานที่และเวลาให้กับผู้ชุมนุม ก็ไม่ปรากฎในคำวินิจฉัยนี้

2. คำสั่งศาลแพ่งกรณีนี้ วินิจฉัยสั้น เพียง ครึ่งหน้ากระดาษ ต่างจากคำสั่งให้ยกเลิกการชุมนุม กรณีเทพา ของศาลจังหวัดสงขลา ที่วินิจฉัยยาว กรณีนี้วินิจฉัยสั้นก็มีข้อดี. อำนวยความยุติธรรมด้วยความรวดเร็วกระชับเข้าใจง่าย. แต่การอำนวยความยุติธรรมเฉพาะเรื่อง เฉพาะกรณีแบบนี้ สิ่งที่ขาดไปคือการวางแนวทางปฎิบัติ เกี่ยวกับการชุมนุมของตำรวจให้ขัดเจน ไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน ต่อไปในอนาคต เช่น เหตุที่ตำรวจสั่งให้แก้ไขการชุมนุม แต่หนังสือไม่ระบุสิทธิในการอุทธรณ์. ให้ชัดเจนถ้าชาวบ้านชุมนุมไม่มีที่ปรึกษา ก็จะเสียสิทธิไป หรือที่ตำรวจสั่งไม่รับอุทธรณ์ ของกลุ่มกระบี่เทพา แต่ไม่ให้เหตุผลที่ชัดเจน ว่า ไม่เชื่อสิ่งที่ผู้ชุมนุมโต้แย้งเพราะอะไรฯลฯ

3. การใช้อำนาจของตำรวจให้แก้ไขการชุมนุม ไม่มีหลักเกณฑ์ชัดเจน ตามพรบ.ชุมนุมสาธารณะ 2558 และมีแนวโน้มสั่งการในเชิงการปิดกั้นเสรีภาพการชุมนุมได้ง่าย เช่นคดีนี้ อ้างว่าการชุมนุมรบกวนผู้ใช้ทางเท้า ทั้งๆที่มีทางเดินอื่นที่ใช้ได้โดยไม่ต้องผ่านผู้ชุมนุม . และไม่ได้รบกวนผู้ใช้ถนน ถ้าชุมนุมทางเท้าไม่ได้ สงสัยอยู่ว่าจะเหลือพื้นที่ไหนให้ชุมนุม. เป็นหน้าที่ตำรวจต้องจัดการจราจรให้เหมาะสมหรือไม่ การตีความจนเกินจำเป็นแบบนี้ของตำรวจ สร้างภาระทั้งศาลและผู้ชุมนุม ต้องมาเสียเวลาในการพิจารณาคดี และไม่เห็นว่า ตำรวจซึ่งออกคำสั่งผิดพลาด จะได้ถูกตรวจสอบว่าควรมีความรับผิดทางวินัยหรือแพ่ง อาญา ที่ชัดเจนอย่างไร การไม่มีหลักเกณฑ์ ตรวจสอบการใช้อำนาจ ควบคุมการชุมนุมของเจ้าหน้าที่ ตำรวจที่ชัดเจนทั้งโดยกฎหมาย แนวทางปฎิบัติของตำรวจ และการควบคุมตรวจสอบในชั้นศาล ทำให้แนวปฎิบัติในการใช้อำนาจเรื่องชุมนุมของตำรวจหลายเรื่องยังคลุมเครือและไม่เอื้อต่อการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชน. เราอาจชนะคดีนี้แต่ถ้าไม่วางหลักการใช้อำนาจของตำรวจให้ชัด การใช้เสรีภาพการชุมนุมของประชาชนในคราวหน้าก็จะอยู่ในหุบเหวแห่งความเสี่ยงเช่นเดิม

"นอกจากความยินดีกับกลุ่มผู้ชุมนุม คัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหิน กระบี่ เทพา ที่วางหมุดหมายการใช้สิทธิ เสรีภาพการชุมนุมด้วยสองเท้าและการนั่งอดอาหารโดยสงบแล้ว เราต้องตั้งคำถาม และศึกษาบทเรียนการปิดกั้นการชุมนุม ของรัฐผ่าน กฎหมายการชุมนุมสาธารณะ 2558 เพื่อนำไปสู่การแก้ไขกฎหมาย เพื่อสนับสนุนเสรีภาพการชุมนุมให้ปรากฎเป็นจริงในสังคมไทยต่อไป" ทนายความ  EnLaw ระบุตอนท้าย 

ศาลปกครองคุ้มครองเดินมิตรภาพ

นอกจากกรณีนี้แล้ว ยังมีกรณีเมื่อวันที่ 15 ก.พ.ที่ผ่านมา ศาลปกครองกลางได้อ่านคำสั่งของ ศาลปกครองสูงสุดในคดีที่ เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์กับพวกรวม 4 คน ฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) กับ พวกรวม 7 คน จากการร่วมชุมนุมและจัดกิจกรรม "We walk เดินมิตรภาพ" จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต มุ่งสู่จังหวัดข่อนแก่น โดยมีคำขอให้ สตช. และเจ้าหน้าที่ตำรวจยุติการดำเนินการปิดกั้น ขัดขวาง คุกคาม ข่มขู่ การใช้เสรีภาพในการชุมนุมโดยชอบด้วยกฎหมายและให้ดูแล การชุมนุมสาธารณะ อำนวยความสะดวกและความปลอดภัยแก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสี่และผู้ชุมนุม กับให้ชดใช้ ค่าเสียหายจากการละเมิด ซึ่งศาลปกครองกลางมีคำสั่งกำหนดวิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษาโดยให้ สตช. โดยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) สั่งการให้ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 และ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 ในฐานะเจ้าพนักงานดูแลการชุมนุมสาธารณะมิให้กระทำการใด ๆ ที่มีลักษณะเป็นการปิดกั้น ขัดขวางในการใช้เสรีภาพในการชุมนุมของผู้ฟ้องคดีทั้งสี่และผู้ร่วมชุมนุมภายใต้ ขอบเขตของกฎหมาย และใช้อำนาจหน้าที่ดูแลการชุมนุมสาธารณะและรักษาความสงบเรียบร้อยหรือ ศีลธรรมอันดีของประชาชนโดยเคร่งครัด จนถึงวันที่ 17 ก.พ. 2561

ซึ่งศาลปกครองสูงสุดจึงมีคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลปกครองกลาง

โดยวินิจฉัยว่า เสรีภาพในการชุมนุมสาธารณะเป็นสิทธิและเสรีภาพที่สำคัญ ประการหนึ่งของประเทศที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยซึ่งรัฐธรรมนูญรับรองไว้แต่จะถูกจำกัดได้ เฉพาะแต่กรณีเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ ความปลอดภัยสาธารณะ ความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรม อันดีของประชาชน ซึ่งพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 ได้กำหนดหลักเกณฑ์การใช้สิทธิ ชุมนุมสาธารณะไว้ ข้อเท็จจริงปรากฏว่าผู้ฟ้องคดีทั้งสี่ ได้มีหนังสือแจ้งการชุมนุมต่อผู้กำกับการสถานี ตำรวจภูธรคลองหลวงแล้ว ซึ่งผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรคลองหลวงไม่ได้มีคำสั่งให้แก้ไขหรือคำสั่งห้าม การชุมนุมแต่อย่างใด และจากพยานหลักฐานมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีการปิดกั้น ขัดขวาง และทำให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสี่และผู้เข้าร่วมชุมนุมรู้สึก หวาดกลัว ซึ่งอาจมีการกระทำซ้ำหรือกระทำต่อไปในเหตุที่ถูกฟ้องร้อง อันกระทบต่อสาระสำคัญของ สิทธิเสรีภาพในการชุมนุม การมีคำสั่งกำหนดมาตรการหรือวิธีการคุ้มครองเพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวของ ศาลไม่ทำให้เกิดปัญหาและอุปสรรคแก่การบริหารงานของ สตช. แต่อย่างใด แต่ระหว่างที่มีการชุมนุม หากเจ้าพนักงานตำรวจเห็นว่ามีการกระทำใด ๆ อันนำไปสู่การชุมนุมสาธารณะ

ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เจ้าพนักงานตำรวจก็ชอบที่จะพิจารณากำหนดเงื่อนไข หรือมีคำสั่งหรือประกาศให้มีการแก้ไขหรือร้องขอต่อศาลให้มีคำสั่งเลิกชุมนุมหรือสั่งให้ยุติการกระทำนั้น หรือดำเนินการตามอำนาจหน้าที่เพื่อบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการชุมนุมสาธารณะหรือกฎหมายอื่นได้
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กลุ่มอนุรักษ์ลำน้ำเซบาย รณรงค์ปกป้องทรัพยากรชุมชน ค้านโรงงานน้ำตาล-โรงไฟฟ้าชีวมวล

Posted: 21 Feb 2018 10:03 AM PST

ชาวบ้านตำบลเชียงเพ็งกว่าร้อยคน รวมตัวรณรงค์ปกป้องชุมชนจากโครงการก่อสร้างโรงงานน้ำตาล และโรงไฟฟ้าชีวมวล กระจายตัวแจกใบปลิว พูดคุยให้ข้อมูลในชุมชนใกล้เคียง พร้อมประกาศเจตนารมย์ค้านโรงงานน้ำตาล และโรงไฟฟ้าชีวมวล

เมื่อวันที่ 21 ก.พ. 2561 เวลา 09.00 น. กลุ่มอนุรักษ์ลำน้ำเซบาย ต.เชียงเพ็ง กว่า 100 คน ใช้รถกระบะประมาณ 10 คัน เพื่อรณรงค์ปกป้องทรัพยากรชุมชน 7 หมู่บ้าน ที่อยู่ในตำบลเชียงเพ็ง พร้อมแจกใบปลิวและพูดคุยกับชาวบ้านในพื้นที่ เพื่อสร้างความเข้าใจการออกมาร่วมกันกันปกป้องชุมชน ปกป้องลำน้ำเซบาย และประกาศเจตนารมย์คัดค้านโรงงานน้ำตาลและโรงไฟฟ้าชีวมวล

มะลิจิตร เอกตาแสง กรรมการกลุ่มอนุรักษ์ลำน้ำเซบาย ต.เชียงเพ็ง กล่าวว่า การมาเดินรณรงค์ในวันนี้ก็เพื่ออยากจะให้ชาวบ้านในตำบลเชียงเพ็ง มีความตระหนักและตื่นรู้ในประเด็นการปกป้องทรัพยากรชุมชน ซึ่งก็มีแผ่นพับแจกเพื่อให้ความรู้กับชาวบ้านถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหลังจากมีโรงงานน้ำตาลโรงไฟฟ้าชีวมวล โดยทางกลุ่มพยายามสื่อสารกับชุมชนถึงข้อกังวลเช่น การแย่งชิงทรัพยากรน้ำลำเซบายจะถูกผันมาใช้ในโรงงานและโรงไฟฟ้า 2.0 ล้าน ลบ.ม.ต่อปี ละขุดบ่อลึกกว่าลำน้ำเซบาย ซึ่งจะทำให้น้ำจากลำเซบายซึ่งใช้ในการบริโภค-อุปโภค การเกษตร และอื่นๆ ถูกแย่งชิงไปแม้แต่ปัจจุบันน้ำก็ไม่มีเพียงพอในการให้ชุมชนในบางปี รวมทั้งน้ำเสียจากกระบวนการผลิต ที่มีโอกาสซึมลงในดินและแหล่งน้ำตามธรรมชาติ ส่งผลให้น้ำใช้ประโยชน์ไม่ได้ นอกจากนี้ยังมีเรื่องฝุ่นดำ เถ้า ควัน กลิ่นเหม็นจากการเผาไร่อ้อย และปัญหาเรื่องการขนย้ายอ้อยจำนวนมากเข้าออกพื้นที่ ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาการจราจร ฝุ่นละออง เศษอ้อยหล่น ถนนชำรุด อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย

ด้าน สิริศักดิ์ สะดวก ที่ปรึกษากลุ่มอนุรักษ์ลำน้ำเซบาย ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินกิจการดังกล่าวว่า เกิดขึ้นภายใต้บริษัท น้ำตาลมิตรกาฬสินธุ์ จำกัด และบริษัท มิตรผลไบโอ พาวเวอร์ (อำนาจเจริญ) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตน้ำตาลทรายดิบและพลังงานไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวล มีแผนในการจะก่อสร้างโรงงานน้ำตาลและโรงไฟฟ้าชีวมวล ในพื้นที่ตำบลน้ำปลีก อำเภอเมืองอำนาจเจริญ จังหวัดอำนาจเจริญ โดยก่อนหน้านี้ได้มีการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นแล้ว 2 ครั้ง คือเมื่อวันที่ 24 ส.ค 2559 และวันที่ 10 มี.ค. 2560 ซึ่งในการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นได้ให้บริษัทคอนซัลแทนท์ ออฟ เทคโนโลยี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของทั้งสองโครงการ และได้ยื่นให้สำนักแผนนโยบายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(สผ.) ได้ตั้งคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (คชก.) ขึ้นมาเพื่อพิจารณารายงานวิเคราะห์ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (EIA)ของบริษัทน้ำตาลมิตรการฬสินธุ์ จำกัด และบริษัท มิตรผลไบโอพาวเวอร์ (อำนาจเจริญ) จำกัด ขึ้น 2 ชุด โดยคณะคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (คชก.) ได้แยกพิจารณาทีละประเด็น ในส่วนประเด็นโรงงานน้ำตาลมิตรกาฬสินธุ์ จำกัด (คชก.) ได้พิจารณา ในครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 ส.ค. 2560 และในครั้งที่สองวันที่ 29 พ.ย. 2560 ที่ผ่านมา โดยทั้ง 2 ครั้ง คชก. มีมติไม่เห็นชอบกับรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม

สิริศักดิ์ ให้ข้อมูลต่อไปว่า ในส่วนของบริษัท มิตรผลไบโอ พาวเวอร์ (อำนาจเจริญ) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตน้ำตาลทรายดิบและพลังงานไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวล คชก. ได้มีมติไม่เห็นชอบครั้งแรก เมื่อวันที่ 24 ส.ค. 2560

"สาเหตุ EIA ไม่ผ่านผมคิดว่าเกิดจาก การที่ประชาชนในพื้นที่รัศมี 5 กิโลเมตรไม่รับรู้ข้อมูลข้อเท็จจริงตั้งแต่เริ่มต้นที่รอบด้าน ครบถ้วน เพียงพอ มีการบิดเบือนข้อมูลซึ่งถือเป็นการละเมิดสิทธิของชุมชน และการที่ EIA ไม่ผ่านความเห็นชอบก็สะท้อนให้เห็นความไม่ชอบธรรมของกระบวนการ การดำเนินงานตั้งแต่ต้น" สิริศักดิ์ กล่าว

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กสม.ชมรัฐบาลฟังความคิดเห็น ปชช.หลังเซ็น MOU กลุ่มค้านโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่-เทพา

Posted: 21 Feb 2018 09:45 AM PST

กรรมการสิทธิฯ ชื่นชมรัฐบาลที่รับฟังความคิดเห็นของประชาชนที่จะได้รับผลกระทบจากโครงการโรงไฟฟ้าถ่ายหินกระบี่-เทพา ด้านฝ่ายหนุนโรงไฟฟ้าจ่อบุกทำเนียบฯ ฟ้องศาลปกครองและแจ้งความเอาผิด รมว.พลังงานต่อไป

เมื่อวันที่ 20 ก.พ. ที่ผ่านมา คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) แถลงการณ์ เรื่อง รัฐบาลและเครือข่ายประชาชนฯ ร่วมหาทางออกกรณีโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่-เทพา โดยอ้างถึง การชุมนุมคัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ – เทพา ของประชาชนเครือข่ายปกป้องสองฝั่งทะเล กระบี่-เทพา ยุติโรงไฟฟ้าถ่านหิน ด้วยการอดอาหารและเสนอข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล ณ บริเวณหน้าสำนักงานองค์การสหประชาชาติ ตั้งแต่วันที่ 12 ก.พ.ที่ผ่านมา กระทั่งถึงวันที่ 20 ก.พ.61 ได้มีการลงนามระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานกับผู้แทนเครือข่ายฯ เพื่อหาทางออกของปัญหาร่วมกัน และให้จัดทำรายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic environmental assessment : SEA) เพื่อพิจารณาความเหมาะสมของโครงการก่อน เป็นผลให้เครือข่ายฯ ยุติการชุมนุม นั้น

กสม. ในฐานะองค์กรที่มีหน้าที่และอำนาจตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560 มาตรา 247 (3) เสนอแนะมาตรการหรือแนวทางที่เหมาะสมในการป้องกันหรือแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ติดตามสถานการณ์การชุมนุมคัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ – เทพา และแสดงความห่วงกังวลต่อประเด็นปัญหามาอย่างต่อเนื่อง จึงมีความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่อภาคส่วนต่าง ๆ ดังนี้

1. ขอแสดงความชื่นชมรัฐบาลที่รับฟังความคิดเห็นของประชาชนที่จะได้รับผลกระทบจากโครงการดังกล่าว และขอชื่นชมประชาชนที่ยึดมั่นในเสรีภาพในการชุมนุมโดยสันติและปราศจากอาวุธ

2. กระบวนการจัดทำรายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมเชิงยุทธศาสตร์ (SEA) ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจในการกำหนดทิศทางการพัฒนาเชิงนโยบาย จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกำหนดหลักเกณฑ์และกระบวนการศึกษา รวมทั้งการมีส่วนร่วมที่แท้จริงของผู้ได้รับผลกระทบและประชาชนเพื่อให้ผลการศึกษาเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย

กสม. ขอยืนยันในหลักการสิทธิการมีส่วนร่วมของประชาชนในโครงการพัฒนาของรัฐ เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการชุมนุมอย่างสันติ ซึ่งการชุมนุมคัดค้านกรณีโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่-เทพาเป็นตัวอย่างที่ดีที่แสดงให้เห็นว่า การที่รัฐบาลให้ประชาชนใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและชุมนุมอย่างสันติ ไม่ใช่เรื่องน่าหวาดกลัว และการใช้วิธีเจรจาแบบสันติวิธีจะสามารถประสานความคิดเห็นที่แตกต่างไปสู่ผลิตผลที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ต่อประเทศได้

วันเดียวกัน (20 ก.พ.61) เว็บไซต์ศูนย์ข่าวพลังงาน รายงานว่า อนุชาติ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้ว่าการชุมชนสัมพันธ์และสิ่งแวดล้อมโครงการ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) กล่าวว่า กฟผ.จะต้องรอหนังสือคำสั่งอย่างเป็นทางการจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน จึงจะทราบอย่างชัดเจนว่าจะต้องปฎิบัติตามอย่างไร  เพราะกรณีของโรงไฟฟ้าเทพา และ กระบี่ นั้นแตกต่างกัน

โดยในส่วนขั้นตอนการจัดทำEHIA ของโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา นั้นอยู่ในระหว่างการพิจารณาของ สำนักงานนโยบายและแผนการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ส่วนของโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ นั้น เป็นการเริ่มกระบวนการจัดทำEHIA ใหม่  ซึ่งในส่วนของ โรงไฟฟ้าถ่านหิน เทพา นั้น หากมีคำสั่งจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานออกมา กฟผ.ก็จะทำเรื่องขอถอนรายงาน ออกมาได้ แต่กรณีของโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ นั้น เนื่องจากเคยมีการถอนรายงานEHIA ออกมาแล้ว ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี และอยู่ระหว่างการทำ รายงาน EHIA  ฉบับใหม่ ก็จะต้องหารือกับทาง สผ. ก่อนว่า ในระหว่างที่มีการศึกษาSEA ที่เป็นการศึกษาในภาพรวมของพื้นที่ นั้น กฟผ.จะต้องหยุดกระบวนการทำEHIA ที่เป็นการศึกษาเฉพาะตัวโครงการด้วยหรือไม่

ทั้งนี้ กฟผ.เริ่มมีการลงพื้นที่ทำความเข้าใจกับชุมชนในพื้นที่เพื่อดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ ตั้งแต่ปี 2555 และในส่วนของโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา ตั้งแต่ปี 2557  จนถึงปัจจุบัน ต้องยอมรับว่ายังมีความเห็นที่แตกต่างกันของคนในพื้นที่ และการที่การก่อสร้างโรงไฟฟ้าหลักในพื้นที่ภาคใต้ ที่มีความล่าช้า จะทำให้พื้นที่ภาคใต้มีความเสี่ยงเรื่องของความมั่นคงไฟฟ้ามากขึ้น อย่างไรก็ตามในภาพรวมกฟผ.จะต้องหารือกันว่า จะมีการหาทางออกอื่นๆให้ภาคใต้ยังคงมีความมั่นคงไฟฟ้าและรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่ขยายตัวเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆในแต่ละปีได้อย่างไร

ฝ่ายหนุนค้าน MOU จ่อบุกทำเนียบฯ ฟ้องศาลปกครอง

เว็บไซต์ศูนย์ข่าวพลังงาน รายงาต่อว่า ขณะที่ พณวรรธน์ พงศ์ประยูร ตัวแทนเครือข่ายคนเทพาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน กล่าวว่า เครือข่ายที่สนับสนุนให้เกิดโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา ซึ่งมีทั้งหมด 66 องค์กร สมาชิกกว่า 5 หมื่นคน ได้ออกแถลงการณ์แสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยกับแนวทางของนายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่ไปลงนามบันทึกข้อตกลง(MOU)กับเครื่อข่ายปกป้องสองฝั่งทะเล กระบี่-เทพา เพื่อยุติการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน โดยเครือข่ายคนเทพาฯ เตรียมรวบรวมผู้สนับสนุนโรงไฟฟ้าถ่านหินกว่า 1,000 คนไปชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาลในเร็วๆนี้

เครือข่ายคนเทพาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (ที่มาภาพ เว็บไซต์ศูนย์ข่าวพลังงาน)

โดยเนื้อหาในแถลงการณ์ดังกล่าว ประกอบด้วย 1.ไม่เห็นด้วยกับการลงนาม MOU ดังกล่าว 2.เตรียมยื่นศาลปกครองเพื่อคัดค้านการลงนาม MOU  เพราะเป็นการดำเนินการส่วนบุคคล ไม่ใช่มติของคณะรัฐมนตรี(ครม.)ที่มีอำนาจตัดสินใจโดยภาพรวม  3.ถวายฏีกาเพื่อคัดค้านกรณีดังกล่าว และ 4. แจ้งความเอาผิดกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานที่ลงนาม MOU เพราะเห็นว่าอาจขัดกับกฎหมายมาตรา 157  ละเว้นหรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ 
 
"ผมไม่เข้าใจว่า แค่คน 5 คนบุกทำเนียบแล้วคุณก็ยอมทุกอย่าง เอ็นจีโอก็มีไม่มากแต่ทำตัวเสมือนมีมาก ซึ่งนักบริหารที่ดีควรฟังเสียงคนส่วนใหญ่ในพื้นที่ การทำแบบนี้เป็นการฆ่าระบบประชาธิปโตยโดยสิ้นเชิงซึ่งยอมรับไม่ได้ ถ้าบ้านเมืองเป็นแบบนี้ใครจะมาเป็นรัฐมนตรีก็ได้สิ" พณวรรธน์ กล่าว
 
ในขณะที่เครือข่ายปกป้องสิทธิชุมชนคนจังหวัดกระบี่ ก็ออกแถลงการณ์ลงวันที่ 20 ก.พ.2561 ไม่ยอมรับบันทึกข้อตกลงระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานและเครือข่ายปกป้องสองฝั่งทะเลกระบี่-เทพา ยุติโรงไฟฟ้าถ่านหิน โดยมีจุดยืน 5 ข้อ ซึ่งสรุปความได้ดังนี้ 1. คนกระบี่ไม่ยอมรับบันทึกข้อตกลงดังกล่าวเนื่องจากเป็นเพียงเสียงส่วนน้อย  และไม่ได้ทำตามข้อสั่งการของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา  เมื่อวันที่ 23 ก.พ.2560  ที่สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปศึกษาและทำความเข้าใจ พร้อมกับทำการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมใหม่ โดยเน้นให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
 
2. คนกระบี่ไม่เห็นด้วยที่มีบุคคลเพียง3-4 คนมีอำนาจในการล้มเลิกโครงการพัฒนาด้านพลังงานของรัฐ  เป็นการใช้กฎหมู่อยู่เหนือกฏหมาย 3.ขอให้นายกรัฐมนตรี สั่งการยกเลิกบันทึกข้อตกลงระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานและเครือข่ายปกป้องสองฝั่งทะเลกระบี่-เทพา ยุติโรงไฟฟ้าถ่านหิน  โดยเร็วที่สุด 4. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน แสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกจากตำแหน่ง โดยทันที
 
และ 5 หากไม่ดำเนินการตามข้อเรียกร้อง เครือข่ายปกป้องสิทธิชุมชนคนจังหวัดกระบี่ จะแสดงพลัง และใช้มาตรการที่รุนแรงขึ้นตามลำดับ เรื่องเรียกร้องสิทธิของชุมชนในการ พัฒนาพลังงานไฟฟ้าให้มีความมั่นคงตลอดไป
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อภิสิทธิ์ ไม่หวั่นสุเทพตั้งพรรคหนุนประยุทธ์ แย่งคะแนนเสียง

Posted: 21 Feb 2018 07:15 AM PST

ณัฐวุฒิ แนะจับตา 'เชน-ธานี-เอกนัฏ' ซบพรรค วิทยา ชี้ สุเทพ อาจหนุนพรรคใหม่ในฐานะสมาชิกทั่วไป พร้อมย้อนอดีต สุเทพเคยประกาศกลางเวที กปปส. จะไม่เป็นนักการเมืองอีกแล้ว

แฟ้มภาพ Banrasdr Photo 

21 ก.พ.2561 จากกรณีวานนี้ (20 ก.พ.61) วัชระ เพชรทอง อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ว่า สุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศ เตรียมตั้งพรรคการเมืองสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และชื่อพรรค คือ "มูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศ" 

อภิสิทธิ์ ไม่หวั่นสุเทพตั้งพรรคหนุนประยุทธ์ แย่งคะแนนเสียง

วันนี้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีนี้ว่า ตนเชื่อว่าในเดือน มี.ค.ที่จะมีการเปิดให้พรรคการเมืองจดทะเบียนพรรค ก็จะมีความชัดเจนในการก่อตั้งพรรคการเมืองต่างๆ ออกมา ซึ่งทุกคนก็มีสิทธิที่จะทำได้อยู่แล้ว และไม่กังวลเรื่องของการแย่งคะแนนเสียงที่อาจถูกแย่งไป เพราะการมีพรรคการเมืองที่หลากหลายก็เป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับประชาชน และเป็นเรื่องธรรมดาในการแข่งขันทางการเมือง 

ณัฐวุฒิ แนะจับตา 'เชน-ธานี-เอกนัฏ' ซบพรรค

ด้าน ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวถึงกระแสข่าวการตั้งพรรคการเมืองนี้ว่า เป็นที่รับรู้กันภายในมาระยะหนึ่งแล้ว เพราะเจ้าตัวพูดยืนยันกับคนในแวดวงการเมืองมาก่อนหน้านี้ ถ้าจะเกิดคำถามว่าเป็นการผิดคำพูดที่เคยประกาศจะยุติบทบาททางการเมืองหรือไม่นั้น ส่วนตัวแล้วตนไม่ได้สนใจ เพราะไม่เคยเชื่อที่สุเทพพูด

"ส่วนคนที่เคยเชื่อจะยังคงเชื่อและเดินตามลุงกำนันต่อไปหรือไม่ก็แล้วแต่วิจารณญาณ เพราะมาถึงจุดนี้เท่ากับยืนยันแนวทาง กปปส.ว่าสนับสนุนการรัฐประหาร และการสืบทอดอำนาจ" ณัฐวุฒิ กล่าว พร้อมระบุว่า ถ้ามีพรรคการเมืองของสุเทพจริงคงไม่ส่งผลสะเทือนต่อสถานการณ์ทางการเมือง เพราะนายสุเทพประกาศสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ มานานแล้ว แต่จะส่งผลต่อสภาพภายในพรรคประชาธิปัตย์มากกว่า จะมีอดีต ส.ส.ออกไปอยู่พรรคใหม่หรือไม่ คนใกล้ชิด อาทิ เชน เทือกสุบรรณ และธานี เทือกสุบรรณ หรือเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ จะตัดสินใจอย่างไร เป็นเรื่องที่จะเห็นในอีกไม่นาน
 
"ถ้าสุเทพลงสมัครรับเลือกตั้งไปเลยจะดูนักเลงกว่า เพราะการตั้งพรรคแต่ตัวเองไปแอบอยู่ข้างหลัง ดูเหมือนให้เกียรติกลุ่มผู้สนับสนุนน้อยเกินไป อยากให้ลุงกำนันกอดลุงตู่ให้แน่นๆ อย่าทิ้งกันกลางทาง ประชาชนเห็นชัดจะได้ตัดสินใจง่าย แต่คงต้องเผื่อใจไว้บ้างว่า การออกมาจากพรรคประชาธิปัตย์ของนายสุเทพวันนี้ จะกลับมารวมกันอีกทีตอนยกมือให้นายกฯ คนนอกหรือไม่" ณัฐวุฒิ กล่าว

วิทยา ชี้ สุเทพ อาจหนุนพรรคใหม่ในฐานะสมาชิกทั่วไป

ขณะที่วานนี้ วิทยา แก้วภราดัย อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และอดีตแกนนำ กปปส. กล่าวถึงกระแสข่าวการตั้งพรรคการเมืองใหม่โดย สุเทพ ดัวยเช่นกันว่า ตนทราบข่าวมาเช่นนั้น แต่จะพูดว่าตั้งพรรคใหม่เองก็คงยาก ตนมองว่าน่าจะเป็นการร่วมเป็นสมาชิกพรรคตามสิทธิที่ประชาชนทั่วไปพึงมี ตนเชื่อว่า สุเทพ คงไม่รับตำแหน่งเป็นหัวหน้าพรรค หรือกรรมการบริหารพรรค เพราะที่ผ่านมาท่านได้ชัดเจนในการปฏิเสธรับตำแหน่ทางการเมืองต่างๆตลอดมา ส่วนกระแสข่าวว่าจะมีอดีต ส.ส. ประชาธิปัตย์บางคนไปร่วมพรรคกับนายสุเทพด้วยนั้น เรื่องนี้ตนไม่ยืนยัน สำหรับตนแล้วที่เคยมีการพูดคุยกัน จวบจนตอนนี้มีความคิดว่าจะอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์เหมือนเดิม ส่วนอนาคตจะเป็นอย่างไรตนไม่ทราบ เพราะแม้แต่วันเลือกตั้งเมื่อใดนั้น เรายังไม่รู้เลย

เมื่อถามว่าการที่นายสุเทพสนับสนุนพรรคการเมืองใหม่ จะกระทบต่อฐานสมาชิกของพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ วิทยา กล่าวว่า มีผลแน่นอน เพราะว่าคนที่ชอบ สุเทพเอง ถ้าไม่เป็นมวลชน กปปส. มาก่อน ก็มีบางคนที่เคยเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ แต่เคยร่วมเคลื่อนไหวกับ กปปส. ด้วย แต่ก็ต้องดูตามสถานการณ์ทางการเมืองกันต่อไป เพราะเรื่องนี้เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา

สุเทพเคยประกาศกลางเวที กปปส. จะไม่เป็นนักการเมืองอีกแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เมื่อวันที่ 2 ธ.ค.56 สุเทพ ในฐานะ เลขาธิการ กปปส. กล่าวต่อมวลชนที่เวทีศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ตอนหนึ่งว่า "สื่อจะโกรธจะเกลียดก็ขอโทษเถอะ เพราะจบงานนี้ผมไม่เป็นนักการเมืองอีกแล้ว จะด่าจะเชียร์ผมไม่มีผลตอ่อนาคต ชีวิตนี้ตั้งใจเป็นนัการเมืองของประชาชน สู้มา 35 ปี เมื่อเห็นว่าสู้ในระบอบไม่สามารถต่อสู้กับนายทุนได้จึงลาออกมาสู้กับประชาชน แพ้ชนะให้มันรู้ซะคราวนี้ เมื่อตัดสินใจสู้บนถนนเคียงข้างกับพี่น้องทั้งหลาย ก็ไม่คิดไปสู้ในสภาอีก ไม่อยากให้ครหาว่าแพ้ข้างใน ออกมาเล่นข้างนอก เมื่อชนะข้างนอก แล้วกลับไปข้างใน คนอย่างกำนันสุเทพจะไม่กลับไปเลือกตั้ง ไม่ใช่คนแบบนั้น และไม่กลับไปพรรคประชาธิปัตย์ อีกแล้ว และผมไม่เกี่ยวกับพรรคประชาธิปัตย์ ใครในพรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถสั่งผมได้อีกแล้ว เพราะผมฟังคำสั่งประชาชนเท่านั้น " 

 
 
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'คนอยากเลือกตั้ง' ร้องศาล รธน. วินิจฉัยการดำเนินคดีฝืนคำสั่งหัวหน้าคสช. ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่

Posted: 21 Feb 2018 04:18 AM PST

กลุ่มคนอยากเลือกตั้งฯ คำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้วินิจฉัย การแจ้งข้อกล่าวหาประชาชนว่าร่วมกันฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช.  ที่ 3/2558 ข้อ12 ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่

ที่มาภาพ เฟสบุ๊ค Manus Klaeovigkit 

21 ก.พ.2561 รายงานข่าวระบุว่า วันนี้ เมื่อเวลา 10.30 น. ที่ศาลรัฐธรรมนูญ ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ วีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน ณัฏฐา มหัทธนา นักกิจกรรม และประชาชนกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง เดินทางมายังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อยืนคำร้องเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่า การที่ คสช.แจ้งข้อกล่าวหาต่อประชาชนว่าร่วมกันฝ่าฝืนคำสั่งที่ 3/2558 ข้อ 12 นั้น ขัดต่อรัฐธรรมนูญของบุคคลที่ถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพที่ได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 213 ในรัฐธรรมนูญหรือไม่ หลังจากที่ คสช.แจ้งข้อกล่าวหาดังกล่าว ต่อประชาชนที่ร่วมชุมนุมคนอยากเลือกตั้งเมื่อวันที่ 27 ม.ค.บริเวณสกายวอล์กแยกปทุมวันและวันที่ 10 ก.พ.ที่ผ่านมา บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

ณัฏฐา โพสต์ขอความผ่านเฟสบุ๊คส่วนตัว สรุปประเด็นคำร้องไว้ดังนี้

1. มาขอให้ศาลคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพตามมาตรา 213 ของรัฐธรรมนูญเนื่องจากถูกพนักงานสอบสวนตั้งข้อกล่าวหาตามคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 ข้อ 12 ที่ห้ามมั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมือง ณ ที่ใดๆ เกินกว่า 5 คน

2. เห็นว่าคำสั่งห้ามชุมนุมดังกล่าวขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญที่คุ้มครองเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ ที่สำคัญคำสั่งดังกล่าวยังขัดต่อหลักนิติธรรมเพราะไม่ได้ออกมาเพื่อคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ แต่ออกมาเพื่อคุ้มครองการรัฐประหาร ทั้งยังขัดต่อสิทธิมนุษยชนที่ถือว่าการชุมนุมเป็นเสรีภาพเช่นกัน

3. ขณะนี้มีกฎหมายสองฉบับขัดกันเองคือคำสั่งห้ามชุมนุมกับรัฐธรรมนูญ หากถือว่ารัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดคำสั่งดังกล่าวก็ย่อมใช้บังคับไม่ได้ แต่ถ้าถือว่าพลเอกประยุทธ์ใหญ่กว่ารัฐธรรมนูญ ก็ต้องถือว่ารัฐธรรมนูญใช้บังคับไม่ได้

4. ศาลที่เกี่ยวข้องได้คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพประชาชนแล้ว เช่น ศาลปกครองคุ้มครองการทำกิจกรรมของกลุ่ม we walk, ศาลอาญากรุงเทพใต้คุ้มครองสิทธิของผู้ต้องหาตามรัฐธรรมนูญที่ไม่รับคำร้องฝากขัง #MBK39และล่าสุดคือศาลแพ่งคุ้มครองการชุมนุมของม็อบเทพา วันนี้ต้องมาศาลรัฐธรรมนูญเพราะเป็นอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญอันเป็นหลักให้พึ่งพาได้ หวังว่าจะได้รับการพิจารณาโดยเร็วเนื่องจากเสรีภาพของประชาชนตามรัฐธรรมนูญถูกละเมิดทุกวันมาเป็นเวลานานแล้ว

"การยื่นคำร้องครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนยื่น แต่ควรเป็นครั้งสุดท้าย เราจะนับวันรอความยุติธรรมไปด้วยกัน" ณัฏฐา โพสต์ทิ้งท้าย

เอกสารคำร้อง :

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เตือนนายจ้างห้ามหักค่าจ้าง ค่า OT ลูกจ้าง ฝ่าฝืนมีโทษจำคุก

Posted: 21 Feb 2018 03:48 AM PST

กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เตือนนายจ้างห้ามหักค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ลูกจ้าง ฝ่าฝืนมีโทษจำคุก ไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ที่มาภาพประกอบ: Joko_Narimo (CC0)

เมื่อวันที่ 19 ก.พ.ที่ผ่านมา รายงานข่าวระบุว่า อนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน(กสร.) เปิดเผยว่า กสร.ให้ความสำคัญกับการดูแลแรงงานไทย และแรงงานต่างด้าวในทุกด้าน เพื่อให้แรงงานทุกคนได้รับการคุ้มครองอย่างเท่าเทียม เข้าถึงสิทธิตามกฎหมาย ที่ผ่านมายังพบว่ามีสถานประกอบการบางแห่งมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนในเรื่องของการหักค่าจ้าง โดยมีการหักค่าจ้างจากลูกจ้างเพื่อเป็นค่าอาหาร ค่าชุดทำงานเป็นต้น ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมาย ในเรื่องนี้พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ได้กำหนดห้ามนายจ้างหักค่าจ้าง ค่าทำงานล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุดจากลูกจ้าง เว้นแต่เป็นกรณีที่กฎหมายกำหนด เช่น ชำระค่าภาษี  ชำระหนี้สินสหกรณ์ออมทรัพย์  เป็นต้น กรณีที่นายจ้างไม่ปฏิบัติก็จะมีความผิดตามกฎหมายโดยมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 1 แสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ ได้สั่งการให้พนักงานตรวจแรงงานตรวจบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด หากพบว่ามีการฝ่าฝืนให้ดำเนินการตามกฎหมายทันที

อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับนายจ้าง ลูกจ้าง และที่มีข้อสงสัยสอบถามได้ที่ กองคุ้มครองแรงงาน โทรศัพท์ 0 2245 7020, 0 2246 3096 สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 ถึง 10 สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดทุกจังหวัด หรือหมายเลขโทรศัพท์สายด่วน 1506 กด 3

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ตุลาการธิปไตย #5 ตามติดภารกิจ คสช. พาท้องถิ่นกลับสู่ยุครัฐข้าราชการ

Posted: 21 Feb 2018 03:10 AM PST

ณัฐกร วิทิตานนท์ เล่าถึงเส้นทางปฏิรูปการปกครองส่วนท้องถิ่นที่ยังไปไม่ถึงฝั่งฝัน เคยไปได้ไกลหลังยุคพฤษภา 2535 แต่ต้องเจออุปสรรคหลังยุค คปค./คมช. 2549 ที่ทำให้เป้าโอนงบประมาณให้ท้องถิ่น 35% ชะงัก และล่าสุดยุค คสช. 2557 ที่สั่งงดการเลือกตั้งท้องถิ่นทั่วประเทศ พักงานนักการเมืองท้องถิ่นบางราย

คลิปการนำเสนอของณัฐกร วิทิตานนท์ "การปกครองท้องถิ่นไทยภายใต้ระบอบ คสช."

18 ก.พ.2561 ในการเสวนาวิชาการ "ตุลาการธิปไตย ศาล และรัฐประหาร" จัดที่ห้องประชุมริมน้ำ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ช่วงหนึ่งเป็นการเสนอบทความ "การปกครองท้องถิ่นไทยภายใต้ระบอบ คสช." โดย ณัฐกร วิทิตานนท์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ศึกษาเรื่องการปกครองท้องถิ่นไทยซึ่งมีความสัมพันธ์กับการรัฐประหารตั้งแต่หลัง 2475 เป็นต้นมา จนมาถึงยุคปัจจุบันภายใต้รัฐบาล คสช.

 

การปกครองท้องถิ่นไทยปฏิรูปไม่สุด

ณัฐกร วิทิตานนท์

ณัฐกร อธิบายว่า ที่ผ่านมาการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการปกครองท้องถิ่นมีลักษณะประนีประนอมมาตลอด เราไม่สามารถปฏิรูปให้สุดๆ ได้ ยกตัวอย่างเช่น หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 แทนที่คณะราษฎรจะยกเลิกสุขาภิบาลที่มีตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แล้วมาว่ากันใหม่ ก็กลับเริ่มที่การเปลี่ยนสุขาภิบาลให้เป็นเทศบาลแทน

ตั้งแต่ 2475 พื้นที่ส่วนใหญ่ของไทยไม่ได้ถูกปกครองโดยท้องถิ่น แต่ถูกปกครองโดยส่วนกลางและส่วนภูมิภาค จวบจนสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม กลับมามีอำนาจหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงได้สถาปนาสุขาภิบาลแบบสมัย ร.5 ขึ้นอีกครั้ง พร้อมๆ กับ อบจ. เพื่อไม่ให้มีพื้นที่ไหนของประเทศที่เว้นว่างจากการปกครองส่วนท้องถิ่น โดยตั้ง อบจ.อุดช่องว่างเหล่านี้ พื้นที่ว่างที่ไม่มีหน่วยงานท้องถิ่นใดรับผิดชอบให้เป็นของ อบจ. การขยายตัวของการปกครองท้องถิ่นรูปแบบใหม่ๆ ช่วงนี้ ได้กลายเป็นโรงเรียนฝึกฝนนักการเมือง นักการเมืองคนสำคัญๆ ระดับชาติในเวลาต่อมา เช่น ณรงค์ วงค์วรรณ ก็เริ่มจากการเป็น ส.จ.

การเมืองท้องถิ่นส่วนใหญ่ยุคนั้นยังเรียกว่าเป็น "การปกครองท้องถิ่นโดยรัฐ" หรือ Local State Government คนในพื้นที่ไม่ได้เลือกผู้แทนของเขา อาจได้เลือกฝ่ายสภา แต่ฝ่ายบริหารมาจากข้าราชการส่วนภูมิภาคโดยตำแหน่ง เช่น ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็น นายก อบจ. หรือนายอำเภอเป็นประธานกรรมการสุขาภิบาล

ยุคจอมพลสฤษดิ์ จอมพลถนอม พลเอกเปรม การปกครองท้องถิ่นแทบจะหยุดนิ่ง ไม่มีพัฒนาการสำคัญที่มีนัยในวงกว้าง กระทั่งหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ มีข้อเรียกร้องให้เลือกตั้งผู้ว่าฯ แต่เป็นไปไม่ได้ ด้วยความที่เป็นรัฐบาลผสมประกอบกับกระทรวงมหาดไทยเข้มแข็งมาก แม้สุดท้ายก็ยังต้องทำเรื่องการกระจายอำนาจ แต่เบนเข็มไปที่การพัฒนา อบต.ขึ้นมา โดยไม่กล้าให้ไปกระทบกับเขตพื้นที่รับผิดชอบของเทศบาลที่มีอยู่ก่อนเก่าอีก

ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ อบต.กินพื้นที่เดิมที่เป็นของ อบจ. กลายเป็นพื้นที่ทับซ้อน อบจ.แทบจะไม่เหลือพื้นที่ให้ดูแล รัฐจึงแก้กฎหมายยกระดับ อบจ.ขึ้นเป็นการปกครองท้องถิ่นระดับบน ดูแลครอบคลุมทั้งจังหวัด เป็นปัญหาที่ติดพันมาตั้งแต่มีสุขาภิบาล คือแทนที่ที่ไหนมีการปกครองท้องถิ่นแล้วก็น่าจะเลิกฝ่ายท้องที่ไปเสีย กลายเป็นว่าพื้นที่เดียวกันมีทั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้านกับคนที่ประชาชนเลือกเข้ามาให้ทำงานในท้องถิ่น เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นตลอด

เปรียบเทียบคือที่ผ่านมาเหมือนเรานั่งบนรถ รถแล่นช้ามาก และที่สำคัญคือ ณ ตอนนั้นคนที่ขับรถให้เรานั่งคือข้าราชการส่วนภูมิภาค ผู้ว่าฯ นายอำเภอ ฝ่ายท้องที่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เราแค่นั่งข้างๆ ดูเขาขับ เขาจะพาไปไหนก็แล้วแต่เขา

แต่ผลจากรัฐธรรมนูญปี 2540 ทำให้การปกครองส่วนท้องถิ่นเติบโตเร็วมาก ก่อนหน้านั้นท้องถิ่นมีอำนาจน้อย งบน้อยมาก แทบแก้ไขปัญหาอะไรในพื้นที่ตัวเองไม่ได้เลย หลังปี 2540 เท่ากับเปลี่ยนเอาคนที่นั่งอยู่ข้างๆ มาตลอดให้ได้เป็นคนขับบ้าง จากคนที่เคยขับย้ายไปนั่งเป็นคนกำกับดูแล รถที่เคยวิ่งช้าๆ ก็วิ่งด้วยอัตราเร็วที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ตอนนั้นกฎหมายกระจายอำนาจตอนนั้นกำหนดให้องค์กรปกครองท้องถิ่นมีรายได้เพิ่มขึ้นคิดเป็นสัดส่วนต่อรายได้ของรัฐบาลในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 35 ยกตัวอย่างง่ายๆ คือ หากประเทศมีเงินอยู่ 100 บาท ต้องแบ่งใส่กระเป๋าข้างที่เป็นของท้องถิ่น 35 บาทเป็นอย่างน้อย

รัฐบาลทักษิณมีความพยายามที่จะโอนสถานีอนามัยในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข รวมถึงโรงเรียนชั้นประถมในสังกัดกระทรวงศึกษาฯ ไปขึ้นกับท้องถิ่น แต่เกิดกระแสคัดค้านอย่างหนัก จนต้องล้มเลิกไป

รัฐประหาร 49 ก็เหมือนรถที่วิ่งมาเร็วๆ โดนแตะเบรก แต่ก็ยังคงแล่นไปข้างหน้า ด้วยอัตราเร่งที่ไม่ได้เร็วเท่าเดิม โดยยกเลิกเงื่อนเวลาบังคับเรื่องสัดส่วนงบประมาณ 35 เปอร์เซ็นต์ หลังจากนั้นงบประมาณก็เพิ่มปีละไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ จากก่อนหน้านั้นบางปีเคยได้มากขึ้นปีละ 3 เปอร์เซ็นต์ แต่อีกด้านหนึ่งก็ได้ช่วยให้การเลือกตั้งท้องถิ่นมีความชัดเจนขึ้น เพราะก่อนหน้านี้การเลือกตั้งต้องรอ กกต.ประกาศรับรองผล ว่าจะมีใบเหลืองใบแดงไหม เลือกตั้งผ่านไป 3-4 ปี บางที่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุป คนที่มานั่งทำหน้าที่นายกไปพลางคือปลัด ไม่ใช่นักการเมืองที่ถูกเลือกตั้งเข้ามา เป็นภาวะที่เลือกตั้งแล้วไม่จบ ต้องรอ กกต.อีก คณะรัฐประหารตอนนั้นจึงออกประกาศบังคับให้ กกต.ต้องรับรองผลภายใน 30 วัน

หลังเหตุการณ์สลายการชุมนุมปี 53 คณะกรรมการปฏิรูปได้ออกข้อเสนอปฏิรูปโครงสร้างอำนาจให้ยกเลิกราชการส่วนภูมิภาค เหลือการปกครอง 2 ชั้น คือ ส่วนกลางกับท้องถิ่น ตามด้วยขบวนการจังหวัดจัดการตนเอง เกิดข้อถกเถียง การเคลื่อนไหวคัดค้านตามมา เป็นการขยับประเด็นที่ไปไกลมากๆ ในรอบ 1-2 ทศวรรษที่ผ่านมา

แต่พอรัฐประหารปี 57 เกิดขึ้น คสช.สั่งงดการเลือกตั้งท้องถิ่น จากที่เปลี่ยนมาให้เราขับช่วงก่อนหน้านั้น ก็พยายามยื้อแย่งพวงมาลัย ขอให้เขากลับไปเป็นคนขับให้เหมือนเดิม แต่ไม่สำเร็จ สุดท้ายก็ต้องให้ฝ่ายการเมืองท้องถิ่นกลับมาขับต่อไป

 

ไทม์ไลน์ของการรัฐประหารและผลกระทบต่อการเลือกตั้งท้องถิ่น

1) รัฐประหารก่อน ปี 2500 ไม่แตะท้องถิ่น เพราะท้องถิ่นยังมีน้อย ส่วนที่มีอยู่ก็ถูกควบคุมโดยฝ่ายข้าราชการประจำอย่างมากอยู่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็น

2) รัฐประหารหลังปี 2500 จอมพลถนอม จอมพลสฤษดิ์ แตะท้องถิ่นอย่างมาก โดยเฉพาะเทศบาลกับ อบจ. โดยค่อยๆ ทยอยยกเลิกการเลือกตั้งในระดับท้องถิ่นและนำเอาระบบแต่งตั้งมาใช้ คนที่ได้มาเป็นไม่พ้นรองผู้ว่าฯ ปลัดจังหวัด นายอำเภอ

3) รัฐประหารปี 2519 เป็นต้นมา ไม่แตะท้องถิ่นอีกเลย ทำเพียงงดหรือชะลอการเลือกตั้งออกไป ไม่ได้เอาระบบแต่งตั้งมาใช้แบบสมัยก่อนหน้า คนมาจากการเลือกตั้งยังอยู่ในตำแหน่งต่อไปได้เรื่อยๆ

4) รัฐประหารปี 2549 ไม่กระทบ การเลือกตั้งท้องถิ่นยังดำเนินไปตามปกติ

5) รัฐประหารปี 2557 ช่วงแรก คสช.พยายามนำเอาระบบสรรหามาใช้ แต่ใช้ได้ประมาณครึ่งปี ก็กลับมาใช้แบบเดิม คือให้นักการเมืองท้องถิ่นที่ครบวาระไปแล้วกลับเข้ามาทำงานในตำแหน่งเดิม ยกเว้นท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ อย่าง กทม.กับเมืองพัทยาที่ทาง คสช.ไม่ยอม

 

 

ประเด็นปัญหาที่พบในระบบสรรหา

1. พบระบบโควตา เนื่องจากกรรมการสรรหาเป็นข้าราชการ เกิดการแบ่งปันเก้าอี้กันในระดับจังหวัดระหว่างหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ ทหาร อัยการ ตำรวจ มหาดไทย ครู มีภาคประชาชนบ้างบางส่วน

2. ขาดความเป็นตัวแทน เนื่องจากกำหนดคุณสมบัติสูง เฉพาะข้าราชการตั้งแต่ C8 ขึ้นไปที่รับราชการการอยู่ในเขตจังหวัดนั้น ยากที่จะหาคนที่มีคุณสมบัติครบถ้วนในพื้นที่ได้ เกิดการเป็นข้ามเขต ไม่เข้าใจบริบทพื้นที่ แถมยังมีการจัดสรรเงินอุดหนุนให้แก่หน่วยงานที่ตนสังกัดอีก

สุดท้าย คสช.ก็ต้องยกเลิกการใช้ระบบสรรหา ด้วยการใช้มาตรา 44 ถือเป็นครั้งแรก เพราะมีกระแสคัดค้านอย่างมากหลังมีรัฐธรรมนูญชั่วคราวใช้


 

คสช. และการใช้ ม.44 สั่งพักงานนักการเมืองท้องถิ่น

ณัฐกร ชี้ว่า คสช.ใช้มาตรา 44 ในอีกลักษณะหนึ่ง คือสั่งพักงานนักการเมืองท้องถิ่นที่มีข้อครหาเป็นรายๆ ไป ข้อสังเกตคือ หลายคนที่ถูกให้พ้นจากตำแหน่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเมืองระดับชาติ เช่น ชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม นายก อบจ.สมุทรปราการ สุนี สมมี นายก อบจ.ลำปาง สุนทร รัตนากร นายก อบจ.กำแพงเพชร อนุสรณ์ นาคาศัย นายก อบจ.ชัยนาท ทว่ากรณีทำนองนี้ไม่ได้ส่งผลต่อการบริหารท้องถิ่นมากนัก เพราะยังเป็นฝ่ายการเมือง เช่น รองนายก อบจ.เข้ามาทำหน้าที่แทน จากข้อมูลรวมแล้วมีนักการเมืองท้องถิ่นถูกสั่งพักงานตามมาตรา 44 ทั้งหมดจำนวน 233 คน เน้นที่ฝ่ายบริหารเป็นหลัก ฝ่ายสภาน้อยมาก กระทบภาคอีสานมากสุด รองมาภาคกลาง

ทั้งนี้มีกรณีที่โดนโดดๆ ไม่ได้ออกเป็นรายชื่อรวมคือ บุญเลิศ บูรณุปกรณ์ นายก อบจ.เชียงใหม่ สืบเนื่องจากกรณีพบจดหมายรณรงค์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ

และมีอยู่ 2 แห่งที่ คสช.ใช้ ม.44 แต่งตั้งผู้บริหารท้องถิ่นโดยตรงคือ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคือ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง กับ นายกเมืองพัทยา คือ พล.ต.ต.อนันต์ เจริญชาศรี


 

'รถ' แล่นช้ามากหลัง คสช. เปลี่ยน 'ท่อ' การใช้จ่ายงบประมาณ

ณัฐกร กล่าวว่า เมื่อก่อนในยุคการเมืองปกติ งบประมาณถูกใช้จ่ายลงมาผ่านท้องถิ่นในรูปเงินอุดหนุน เรียก งบ ส.ส. แม้เป็นโครงการตามความต้องการของรัฐบาลก็ตาม เช่น ก่อสร้างถนน ขุดลอกคูคลอง รวมถึงโครงการเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เงิน อสม. หลังปี 57 เห็นได้ชัดว่า ส่วนกลางพยายามดึงกลับเอาไปทำเอง หลายเรื่องทำให้เกิดปัญหา เพราะไม่เข้าบริบทพื้นที่ ไม่ตรงความต้องการที่ชาวบ้านอยากจะได้

ตัวอย่างที่ดีที่สุดคือ โครงการ 'ตำบลละห้าล้าน' ซึ่งต้องขอผ่านหมู่บ้านขึ้นไปถึงจังหวัด อำนาจตัดสินใจรวมศูนย์อยู่ที่กระทรวงมหาดไทย

หลังปี 57 งบประมาณท้องถิ่นโดยรวมเพิ่มขึ้นก็จริง แต่ในรายละเอียดเงินอุดหนุนท้องถิ่นที่ฝ่ายการเมืองเคยเพิ่มให้กับท้องถิ่นมาตลอดลดลงไปพอสมควร ส่วนที่เพิ่มขึ้นกลายเป็นรายได้ที่ท้องถิ่นดิ้นรนจัดหากันเอง เช่น ภาษีป้าย ภาษีบำรุงท้องที่ ภาษีโรงเรือนและที่ดิน

 

บทบาทองค์กรตรวจสอบแข็งขันขึ้นอย่างยิ่งหลังปี 57

ณัฐกรอธิบายว่า ตามกฎหมายแล้วท้องถิ่นมีเขตอำนาจกว้างขวาง แต่ในทางปฏิบัติไม่ใช่ สมมติ อบจ.เชียงรายอยากจะขึ้นป้ายประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวที่ดอนเมืองก็ไม่สามารถทำได้ หรือจัดงานรดน้ำดำหัวแล้วให้ซองแก่ผู้สูงอายุก็ทำไม่ให้ สตง.ได้ตีความไปในทางจำกัดอำนาจท้องถิ่นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ณัฐกร เห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับมีชัย ทำให้หลักประกันหลายเรื่องเกี่ยวกับการกระจายอำนาจที่เคยมีอยู่หายไป แต่ยังไม่กระทบทันที เพราะหลักประกันพวกนี้ถูกเขียนลงไว้ในกฎหมายลูกครบถ้วนแล้ว เพียงแต่รัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายแม่ไปทำให้หลักการพวกนี้พล่าเลือน ไม่แน่ใจว่าสภาที่เข้ามาแทนที่ในอนาคตจะมีท่าทีอย่างไรในเรื่องนี้

 

ว่าด้วยการควบรวม อปท.

อีกประเด็นคือ แม้มีแนวคิดควบรวมองค์กรปกครองท้องถิ่น 7,000 กว่าแห่งให้เหลือ 4,000 แห่ง ซึ่งพูดกันมาตั้งแต่เมื่อแรกเริ่ม คสช.เข้ามามีอำนาจ แต่ทุกครั้งที่มีคนโยนประเด็นนี้มักตามมาด้วยการปฏิเสธของ คสช.ทุกครั้ง ข้อสังเกตของเขาก็คือ ด้วยจำนวนบุคลากรท้องถิ่นที่มี ใหญ่กว่ากองทัพ ครู ตำรวจ ท้องถิ่นประกอบด้วยทั้งส่วนที่มาจากการเลือกตั้งและฝ่ายประจำที่ทำงานในแต่ละพื้นที่ร่วม 700,000 คน ถ้า คสช.ตัดสินใจควบรวมจริง จะกระเทือนคนเยอะมาก เรื่องนี้ไม่มีอุดมการณ์ทางการเมือง ต่อให้เขามีอุดมการณ์ทางการเมืองแตกต่างกัน พอเป็นเรื่องนี้เขาเห็นตรงกัน

สรุปคือ สิ่งที่ คสช.ทำในช่วงแรกคือพยายามนำพาท้องถิ่นไทยกลับไปเป็นแบบ "อำมาตยาธิปไตย" หรือ Bureaucratic Polity เช่นสภา กทม.ขณะนี้ 30 คนมีข้าราชการรวมกันถึง 29 คน ไม่ต่างจากสภาเมืองพัทยาที่มีข้าราชการ 9 จาก 12 คน ขณะที่ผู้บริหารก็ยังเป็นอดีตตำรวจทั้ง 2 ท่าน ลักษณะเช่นนี้คือ การเมืองที่มีข้าราชการเป็นผู้นำ กำหนดนโยบายให้ และนำไปปฏิบัติเสียเอง ซึ่งที่สุดแล้วด้วยหลายปัจจัยทำให้ไม่อาจทำได้สำเร็จเด็ดขาดดังที่หวัง.

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รมว.สาธารณสุข ลงนามตั้ง 'กองทุนหลักประกันสุขภาพ กทม.' หนุนงานส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค

Posted: 21 Feb 2018 01:00 AM PST

หนุน กทม.รุกงานสร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรค ฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์ การรักษาปฐมภูมิ และดูแลผู้สูงอายุ ช่วยดูแลสุขภาพ เพิ่มคุณภาพชีวิตชาว กทม. เผยบริหารรูปแบบ คกก. มีผู้ว่า กทม.เป็นประธาน      

21 ก.พ.2561 รายงานข่าวแจ้งว่า นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า  เมื่อวันที่ 8 ก.พ. ที่ผ่านมา นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รมว.สาธารณสุข ประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้ลงนามประกาศคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดหลักเกณฑ์เพื่อสนับสนุนให้กรุงเทพมหานคร ดำเนินงานและบริหารจัดการระบบหลักกประกันสุขภาพกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2561 ซึ่งจะส่งผลให้มีการจัดตั้ง "กองทุนหลักประกันสุขภาพกรุงเทพมหานคร" (กองทุนหลักประกันสุขภาพ กทม.) ในปีนี้ โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อสร้างเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค ฟื้นฟูสมรรถภาพ และการรักษาพยาบาลระดับปฐมภูมิเชิงรุกที่จำเป็นต่อสุขภาพและการดำรงชีวิต รวมถึงการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน

ทั้งนี้กองทุนหลักประกันสุขภาพ กทม. ตามประกาศฉบับนี้จะบริหารโดย "คณะกรรมการกองทุนหลักประกันสุขภาพกรุงเทพมหานคร" มีผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเป็นประธาน และประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ ผู้แทนสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข ผู้แทนอาสาสมัครสาธารณสุข กทม. ผู้แทนศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพประชาชนหรือหน่วยรับเรื่องร้องเรียนอิสระในพื้นที่ ผู้แทนองค์กรเอกชน ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้อำนวยการสำนักภายใต้สังกัด กทม.ที่เกี่ยวข้อง โดยมีกรุงเทพมหานครเป็นหน่วยงานดำเนินงานและบริหารจัดการตามแผนและการพิจารณาของคณะกรรมการกองทุนหลักประกันสุขภาพ กทม.

นพ.ศักดิ์ชัย กล่าวว่า บทบาทของคณะกรรมการกองทุนหลักประกันสุขภาพ กทม. มีหน้าที่พิจารณา อนุมัติแผนงานหรือโครงการหรือกิจกรรมให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์กองทุนฯ จัดสรรกรอบวงเงินและอนุมัติแผนการใช้จ่ายเพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการจัดบริการสาธารณสุข การควบคุมและดูแลกำกับการการใช้จ่ายกองทุนฯ การกำกับหน่วยงาน องค์กรหรือประชาชนให้ดำเนินการตามแผนที่เสนออนุมัติ และสนับสนุนให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมายต่างๆ ในพื้นที่สามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขทั้งที่บ้าน ในชุมชน หรือหน่วยบริการได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะมีการดำเนินงานร่วมกับ สปสช.เขต13 กทม.อย่างใกล้ชิด เพื่อให้มีการดำเนินงานกองทุนประสิทธิภาพยิ่งขึ้นและเกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน

"ภายหลังการประกาศหลักเกณฑ์ฉบับนี้ ในพื้นที่เขต กทม.จะมีการจัดตั้งกองทุนหลักประกันสุขภาพ กทม.ขึ้น งบประมาณส่วนหนึ่งมาจากการสนับสนุนโดยกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่อัตรา 45 บาทต่อประชากร ซึ่งในปี 2561จะมีงบจัดสรรงบเข้ากองทุนฯ จำนวน 360,087,750 บาท จากจำนวนประชากร กทม. 8,001,950 คน และอีกส่วนหนึ่ง กทม.ร่วมสมทบในอันตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 60 ของเงินที่ได้รับการจัดสรรจากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยการดำเนินงานจะมีรูปแบบเดียวกับกองทุนหลักประกันสุขภาพระดับท้องถิ่นหรือพื้นที่ ซึ่งมี อบต.และเทศบาลใน 76 จังหวัด เข้าร่วมดำเนินงานตั้งแต่ปี 2549 ช่วยสนับสนุนการดูแลสุขภาพชาวบ้านในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิผล และเชื่อว่าการจัดตั้งกองทุนหลักประกันสุขภาพ กทม.นี้ จะยังประโยชน์ด้านสุขภาพให้กับคนชาว กทม.เช่นกัน นับเป็นอีกก้าวหนึ่งของความร่วมมือทำงานเชิงรุกด้านสุขภาพระหว่าง กทม. สปสช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง" เลขาธิการ สปสช. กล่าว

 

 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ผลัดกันเมิน เกาหลีเหนือปัดร่วมประชุมกับรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ

Posted: 21 Feb 2018 12:46 AM PST

คณะผู้แทนการทูตเกาหลีเหนือปัดเข้าประชุมกับไมค์ เพนซ์ รอง ปธน. สหรัฐฯ ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายมาร่วมงานโอลิมปิกฤดูหนาวที่เกาหลีใต้ ก่อนหน้านี้ทั้งสองได้นั่งใกล้กันในพิธีเปิดแต่ไม่ได้ปฏิสัมพันธ์กัน ทั้งนี้ เพนซ์ เคยไม่เข้าร่วมโต๊ะอาหารเย็นกับเกาหลีเหนือก่อน ท่าทีโสมแดงแต่โสมขาวดีขึ้น คิมจองอีนชวน ปธน. เกาหลีใต้ไปเยือนเปียงยาง

ไมค์ เพนซ์ (ยืนขวา) ในงานโอลิมปิกฤดูหนาว ผู้หญิงหมวกดำด้านหลังคือคิมโยจอง น้องสาวคิมจองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ทั้งคู่นั่งใกล้กัน แต่ไม่มีปฏิสัมพันธ์กัน (ที่มาภาพ: Official White House Photo by D. Myles Cullen)

เมื่อ 20 ก.พ. 2561 ฮีเธอร์ นอเอิร์ต โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้แถลงในเรื่องแผนการนัดพบกันระหว่างกลุ่มผู้นำของเกาหลีเหนือ กับรองประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ไมค์ เพนซ์ ที่เกาหลีใต้ หลังทั้งสองฝ่ายต่างเดินทางมาร่วมมหกรรมกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว

แถลงการณ์ระบุว่า ทางเกาหลีเหนือตัดสินใจปฏิเสธไม่เข้าร่วมการพูดคุยในนาทีสุดท้าย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียใจที่เกาหลีเหนือไม่คว้าโอกาสในการพูดคุยไว้

"ความเป็นไปได้ในการจัดการประชุมสั้นๆ ระหว่างคณะหัวหน้าตัวแทนเกาหลีเหนือมีขึ้นระหว่างที่รองประธานาธิบดีเดินทางไปเยือนเกาหลีใต้เพื่อแสดงท่าทีความเป็นพันธมิตรและสนับสนุนนักกีฬาอเมริกัน ทางรองประธานาธิบดีพร้อมที่ใช้โอกาสนี้เพื่อตอกย้ำถึงความจำเป็นในการล้มเลิกการทดลองขีปนาวุธและโครงการนิวเคลียร์อันเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย" แถลงการณ์ระบุ

แถลงการณ์ยังได้ระบุว่า แม้เกาหลีเหนือปฏิเสธที่จะมีการพูดคุย แต่สหรัฐฯ จะยังคงเรียกร้องให้เกิดความสนใจเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน หรือการไว้อาลัยต่อการเสียชีวิตอย่างไม่เป็นธรรมของชาวอเมริกัน [ออตโต วอร์มเบียร์ รายละเอียดอยู่ตอนท้าย] และจะไม่ยอมให้การเข้าร่วมมหกรรมกีฬาโอลิมปิกมาปกปิดธาตุแท้ของเกาหลีเหนือ โลกจำเป็นที่จะต้องรวมตัวกันในการเผชิญหน้ากับโครงการอาวุธที่ผิดกฎหมายของเกาหลีเหนือ ทั้งนี้ มาตรการโดดเดี่ยวเกาหลีเหนือทางการทูตและเศรษฐกิจในระดับหนักที่สุดจะยังคงดำเนินต่อไปจนกว่าเกาหลีเหนือจะตกลงพูดคุยเรื่องการปลดอาวุธนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลี

การส่งทีมนักกีฬาและผู้แทนทางการทูตของเกาหลีเหนือมายังเกาหลีใต้กลายเป็นกระแสใหญ่โต สำนักข่าวเดอะ การ์เดียน ของสหราชอาณาจักรรายงานว่า คิมโยจอง น้องสาวของผู้นำสูงสุด คิมจองอึน เป็นหนึ่งในสมาชิกของทีมผู้แทนอาวุโสทางการทูตของเกาหลีเหนือด้วย ถือเป็นสมาชิกคนแรกของตระกูลคิมที่ได้มาเยือนเกาหลีใต้นับตั้งแต่สมัยสงครามเกาหลี ที่ตอนนั้นคิมอิลซุง ผู้ก่อตั้งเกาหลีเหนือ ผู้เป็นปู่ของคิมโยจองและคิมจองอึนได้มาเยือนเกาหลีใต้ด้วยการเข้าโจมตีจนกรุงโซลอันเป็นเมืองหลวงแตกในปี 2493

การมาเยือนของเกาหลีเหนือทำให้เกิดภาพแห่งความสามัคคีที่ไม่มีใครคาดคิด เมื่อประธานาธิบดีเกาหลีใต้ มูนแจอิน ได้จับมือกับคิมโยจองและคิมยองนัม ประธานรัฐสภาเกาหลีเหนือ ผู้แทนของผู้นำสูงสุดในการมาเยือนครั้งนี้ นักกีฬาของเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ยังได้เดินขบวนภายใต้ธงผืนเดียวกัน มีนักกีฬาเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ลงแข่งในทีมเดียวกันด้วย

สองเกาหลีเดินขบวนในพิธีเปิดร่วมกันภายใต้ธงรวมชาติ (ที่มา: Facebook/ PyeongChang 2018)

ทั้งนี้ เพนซ์มีโอกาสได้เจอคิมโยจองแล้วในพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว โดยเดอะการ์เดียนรายงานว่า ทั้งสองนั่งห่างกันไม่กี่ฟีต แต่ก็ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กัน ทั้งนี้ เพนซ์ยังปฏิเสธไม่ร่วมโต๊ะอาหารเย็นที่มีขึ้นก่อนพิธีเปิดกีฬากับน้องสาวคิมจองอึนด้วย โดยไปร่วมรับประทานอาหารเย็นกับนักกีฬาสหรัฐฯ แทน

ทว่า ท่าทีทางการทูตของเกาหลีเหนือต่อเกาหลีใต้กลับไม่เย็นชาเหมือนที่เป็นกับสหรัฐฯ เมื่อ 9 ก.พ. คิมยองนัมได้เข้าพูดคุยกับมูนแจอินที่บลู เฮาส์ ที่ทำงานของประธานาธิบดีในกรุงโซล เพื่อส่งคำเชิญจากคิมจองอึน เชิญมูนแจอินไปประชุมผู้นำที่กรุงเปียงยาง เกาหลีเหนือ ซึ่งไม่ใช่การเชิญชวนที่เกิดขึ้นบ่อยนัก

ปัจจุบัน เกาหลีเหนือถูกคว่ำบาตรทางการทูตและเศรษฐกิจอย่างหนักจากทั่วโลก อันเป็นผลมาจากการทดลองนิวเคลียร์และขีปนาวุธอย่างต่อเนื่องภายใต้สมัยของคิมจองอึน ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลเปียงยางกับสหรัฐฯ ภายใต้การปกครองของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ดำเนินไปอย่างเผ็ดร้อน สะท้อนจากวิวาทะมากมายจนความขัดแย้งยกระดับไปถึงระดับที่เกาหลีเหนือขู่ว่าจะยิงขีปนาวุธไปยังเกาะกวม ฐานที่มั่นทางทหารของสหรัฐฯ ในเอเชียแปซิฟิก นอกจากนั้น กรณีออตโต วอร์มเบียร์ นักศึกษาชาวอเมริกันที่ถูกทางการเกาหลีเหนือตัดสินให้ทำงานหนักเป็นเวลา 15 ปี ภายหลังถูกจับได้ว่าเขาพยายามขโมยแผ่นป้ายโฆษณาชวนเชื่อจากที่พักระหว่างที่เขาเดินทางท่องเที่ยวเกาหลีเหนือในปี 2559 แต่สุดท้ายได้รับการปล่อยตัวกลับสหรัฐฯ ในสภาพโคม่าและเสียชีวิตลงในเดือน มิ.ย. ปีที่แล้วยังกลายมาเป็นหนึ่งชนวนความขัดแย้งในทางการทูตด้วย จนถึงขณะนี้ยังไม่มีคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้นกับออตโตในขณะที่อยู่ภายใต้การคุมขังที่เกาหลีเหนือ

ผู้นำเกาหลีเหนือระบุ โสมแดงสร้างขุมกำลังนิวเคลียร์สำเร็จแล้ว

เกาหลีเหนือยิงจรวดผ่านญี่ปุ่น(อีกแล้ว) คาดจะมีบ่อยขึ้น แนวโน้มโลกแห่พัฒนานิวเคลียร์

แปลและเรียบเรียงจาก

Asia Pacific Media Hub: State Department Spokesperson Statement on possible VPOTUS meeting with DPRK, Feb. 20, 2018

The Guardian, Pence skips Olympics dinner in snub to North Korean officials, Feb. 9, 2018

The Guardian, North Korea cancelled Mike Pence meeting last minute, White House says, Feb. 21, 2018

The Guardian, Otto Warmbier blind, deaf and 'jerking violently' on US return, parents say, Sep. 26, 2017

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ฎีกาสั่งคุก กลุ่มการ์ด พธม.บุก NBT ปี 51 ตั้งแต่ 4 - 9 เดือน

Posted: 21 Feb 2018 12:13 AM PST

ศาลฎีกาสังจำคุก 85 กลุ่มการ์ดพันธมิตรฯ คดีบุกยึกสถานีโทรทัศน์ NBT ปี 51 โทษตั้งแต่ 4-9 เดือน ขณะที่ 6 เยาวชนในนั้นให้โอกาสกลับตัวเป็นพลเมืองดี โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้ ส่วนความผิดฐานซ่องโจรนั้นให้ยกฟ้อง

21 ก.พ.2561 ความคืบหน้าในการนัดอ่านฟังคำพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขดำ อ.4486/2551 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ธเนศร์ คำชุม กับพวกรวม 85 คน  ซึ่งเป็นกลุ่มนักรบศรีวิชัย และเป็นแนวร่วมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) เป็นจำเลย ฐานมั่วสุมตั้งแต่ 10 คน, ทำลายทรัพย์สินทางราชการให้ได้รับความเสียหาย และข้อหาอื่นๆ กรณีบุกยึดสถานีโทรทัศน์ NBT ในช่วงชุมนุมขับไล่รัฐบาลเมื่อปี 2551 ซึ่งคดีนี้จำเลยได้ประกันตัวระหว่างฎีกา หลังจากเลื่อนมาหลายรอบนั้น

 

วันนี้ ไทยโพสต์ รายงานว่า ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้วเห็นว่า ฎีกาของโจทก์และจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ให้จำคุก ธเนศร์ คำชุม จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 8 เดือน, เมธี อู่ทอง จำเลยที่ 24 จำคุก 8 เดือน ,จำเลยที่ 2-23, 25-29 , 31-41 , 43– 46 , 48 - 80 ,82 จำคุกคนละ 6 เดือนและเมื่อรวมโทษปรับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น  ชนินทร์ อินทร์พรหม จำเลยที่ 2 , จรัส วีระพันธ์ จำเลยที่ 39 กับ ธนพล แก้วเชิด ที่ 80 จึงเป็นจำคุกคนละ 6 เดือนและปรับ 500 บาท ส่วน อัมรินทร์ ยี่เฮง จำเลยที่ 48 ให้บวกโทษคดีอื่นกับคดีนี้จึงเป็นจำคุก 9 เดือน และ ประดิษฐ์ คงช่วย จำเลยที่ 70 ก็เช่นกันจึงจำคุกทั้งสิ้น 8 เดือน 

สำหรับจำเลยที่ 30 ,47,81 จำคุกคนละ 4 เดือน และจำเลยที่ 83-85 จำคุกคนละ 3 เดือน ซึ่งขณะกระทำผิดทั้งหกเป็นเยาวชน จึงเห็นควรให้โอกาสกลับตัวเป็นพลเมืองดี โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้ ส่วนความผิดฐานซ่องโจรนั้นให้ยกฟ้อง

รายงานข่าวระบุด้วยว่า หลังจากฟังคำพิพากษาแล้ว จำเลยทั้งหมดจะถูกเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ควบคุมตัวเข้าเรือนจำทันทีในวันนี้ โดยให้ออกหมายจับจำเลย 5 คน ที่ไม่มาฟังคำพิพากษาในวันนี้ เพื่อให้มารับโทษตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ถึงที่สุดแล้ว

 

หนึ่งในจำเลย NBT ยอมรับปฏิบัติการผิดพลาด
และมีส่วนผลิตซ้ำทำให้อำนาจนอกระบบเติบโต

อนึ่งนิติรัตน์ ทรัพย์สมบูรณ์ จำเลยที่ 13 ในคดี ซึ่งคำพิพากษาศาลฎีกาตัดสินจำคุก 6 เดือนนั้น ก่อนหน้านี้เขาได้โพสต์สเตตัสเมื่อเวลา 08.27 น. ก่อนทราบผลคำพิพากษาว่า

#วันนั้นผมให้สัมภาษณ์กับคุณสรยุทธบนรถผู้ต้องหาว่า #ผมต้องการให้สถานีโทรทัศน์NBTกลับมาเป็นของประชาชน #ผมไม่เคยเป็นนักรบศรีวิชัยและไม่เคยคิดจะเป็น

นอกจากนี้ผู้ใช้นามว่า สจ.ทินกร อ่อนประทุม ได้เข้ามาโพสต์ให้กำลังใจระบุว่า "เข้าใจครับ คิดในตรรกะไม่ต่างกันครับกับการต่อสู้ในเหตุการณ์คล้ายๆกันในอีก 8 ปีต่อมา คือ"ผมต้องการให้รัฐเป็นรัฐที่ฟังเสียงประชาชนไม่เคยเป็นและไม่เคยคิดจะเป็นนั่งร้านกวักมือเรียกใคร"" ทำให้นิติรัตน์ตอบเพิ่มเติมด้วยว่า

"ต่างกันแล้วนะในความเห็นผม พูดตรงไปตรงมานะ เพราะผมเองสรุปว่า การปฏิบัติการของผมผิดพลาดครับ และมีส่วนทำให้เกิดการผลิตซ้ำทำให้อำนาจนอกระบบเติบโตขึ้น ดังนั้น ผมจึงไม่ร่วม กปปส. ครับ"

 

นิติรัตน์ สำหรับนิติตน์ แสดงท่าทีไม่เป็นด้วยกับการเคลื่อนไหวของ กปปส. รวมทั้ง ออกแถลงการณ์ร่วมกับนักกิจกรรมอีก 10 คน ปฏิเสธการรัฐประหาร โดย คสช. เพียง 1 วัน 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สุรพศ ทวีศักดิ์: สังคมไทย ‘ไม่สลิ่ม’ นะจ๊ะ

Posted: 20 Feb 2018 06:31 PM PST

 

ช่วงนี้ในโลกโซเชียลกำลังเกิดกระแสอยากให้เลิกใช้คำว่า "สลิ่ม" เช่นมีเฟสบุ๊คแฟนเพจสนับสนุนการเลิกใช้คำว่า "สลิ่ม" และ "ควายแดง"คุณสมบัติ บุญงามอนงค์ บก.ลายจุด ก็สนับสนุนการเลิกใช้คำว่าสลิ่ม ด้วยเหตุผลว่า

คำว่าสลิ่มได้เกินเลยกลายเป็นคำด่ากัน เชิงดูถูกกัน  เนื่องจากมองว่าพวกนี้เป็นพวกอนุรักษ์นิยม แต่ใช้ชีวิตทุนนิยม ไม่มีหลักการ ขัดแย้งกันเอง ภายนอกดูดีแต่ภายในห่วยแตก ปีกฝ่ายทางการเมือง บางครั้งก็คลางแคลงใจ เราเห็นไม่ตรงกันมากขนาดนั้นเลยหรือ ทั้งที่จริงๆ อาจไม่ได้เห็นต่างกันมากขนาดนั้นก็ได้ 

อันที่จริงมีผู้เสนอให้เลิกใช้คำว่า "สลิ่ม" มาตั้งแต่ปี 2011 แล้วโดยนักวิจัยหมูหลุม ด้วยเหตุผลว่าสลิ่มเป็นคำดูถูกหรือประณามฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง, คนไม่เลือกฝ่าย, ชนชั้นกลางกรุงเทพฯ แบบ "ตีขลุม" หรือ "เหมารวม" สลิ่มจึงเป็นคำที่สร้างความขัดแย้งและผลักฝ่ายกลางๆ ให้เป็นศัตรู 

ดูเหมือนความหมายของสลิ่มดังกล่าว จะมุ่งไปที่ "กลุ่มคน" หรือฝักฝ่ายทางการเมืองซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามกับเสื้อแดง หรือคำว่าสลิ่มคือคำที่ฝ่ายเสื้อแดงใช้เรียกเสื้อเหลืองหรือกลุ่มคนที่แสดงออกว่าเป็นกลาง ไม่เลือกฝ่าย แต่จริงๆ มีทัศนะทางการเมืองไปทางเหลือง ขณะที่ฝ่ายเสื้อแดงเองก็ถูกฝ่ายตรงข้ามเรียกว่า "ควายแดง" มาก่อนที่จะมีการเรียกอีกฝ่ายว่าสลิ่ม

อย่างไรก็ตาม มีนิยามของ "สลิ่ม" ที่สะท้อนทัศนะหรือวิธีคิดบางอย่างที่มีอยู่จริงหรือปรากฏให้เห็นได้ชัดเจนในสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองปัจจุบันว่า

"สลิ่มคือบุคคลที่หลงคิดว่าตนมีสติปัญญา คุณสมบัติ ความเชื่อ ค่านิยม หรือจริยธรรมเหนือกว่าผู้อื่น ทว่าแท้จริงกลับไม่มีความคิดเป็นของตนเอง ไม่มีจุดยืนที่ชัดเจน ไม่สามารถใช้ตรรกะหรือแสดงเหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์ได้ จึงมักอ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือมีความเชื่อที่ผิดอยู่เสมอ ทั้งยังปากว่าตาขยิบ มีอคติและความดัดจริตสูง เกลียดนักการเมือง และไม่ชอบประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน"

(https://th.wiktionary.org/wiki/สลิ่ม)

จะเห็นว่าสภาวะหรือปรากฏการณ์แบบสลิ่มคือ "ความย้อนแย้ง" ดังเช่นเรียกร้องอำนาจรัฐที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ แต่กลับยอมรับและสนับสนุนอำนาจจากรัฐประหารที่ตรวจสอบไม่ได้ หลายคนแสดงออกว่าเป็นกลาง ไม่เลือกฝ่าย ไม่เลือกสี แต่เข้าไปรับตำแหน่งต่างๆ โดยการแต่งตั้งของรัฐบาลจากรัฐประหาร

ในแง่ "ศีลธรรมสาธารณะ" ของโลกสมัยใหม่ ย่อมหมายถึงการเคารพปกป้อง "ความชอบธรรม" ตามกระบวนการประชาธิปไตย และการปกป้องสิทธิ เสรีภาพ อำนาจของประชาชน แต่สำหรับชาวสลิ่มกลับอ้าง "ศีลธรรม" ส่วนตัว เช่นความดี ความเป็นคนดีตามคำสอนทางศาสนาให้ความชอบธรรมและสนับสนุนการเข้าสู่อำนาจ การรับตำแหน่งผ่านกระบวนการรัฐประหาร ซึ่งขัดแย้งกับศีลธรรมสาธารณะอย่างสิ้นเชิง

สภาวะความย้อนแย้ง/ขัดแย้งในตัวเองแบบสลิ่มดังกล่าว ย่อมไปกันได้ดีหรือกลมกลืนกับความย้อนแย้ง/ขัดแย้งในตัวเองทั้งในเชิงระบบโครงสร้าง นโยบาย วิธีคิดและการกระทำระดับรัฐ เช่นในเชิงระบบ/โครงสร้าง มีรัฐธรรมนูญรับรองสิทธิ เสรีภาพของประชาชน แต่กลับมีมาตราอื่นๆ ในรัฐธรรมนูญนั้นเองที่ตีกรอบให้ประชาชนไม่สามารถใช้สิทธิ เสรีภาพได้เต็มความหมายของหลักสิทธิ เสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย อีกทั้งยังมี ม.44 และคำสั่ง คสช.ฉบับต่างๆ ที่ขัดกับรัฐธรรมนูญเสียเอง

ยังไม่ต้องเอ่ยถึงนโยบาย วิธีคิด และการกระทำที่ขัดแย้งในตัวเองตลอดเวลา อย่างที่เห็นๆ กันคือ ขณะที่ประกาศให้สิทธิมนุษยชนเป็นวาระแห่งชาติ แต่กลับตั้งข้อหา ดำเนินคดีกับประชาชนที่ใช้สิทธิ เสรีภาพชุมนุมทางการเมืองตามหลักสิทธิมนุษยชน

อันที่จริง สภาวะย้อนแย้ง/ขัดแย้งในตัวเองแบบสลิ่มดังกล่าว ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจำเพาะกับคนกลุ่มไหนหรือสีใดสีหนึ่งเท่านั้น มันอาจเกิดขึ้นได้ในคนทุกสีทุกฝ่าย หรือทุกคน

ในทางสังคมจิตวิทยา สภาวะย้อนแย้งแบบสลิ่มย่อมไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นลอยๆ หากแต่มีสาเหตุจากกระบวนการหล่อหลอมหรือขัดเกลาทางสังคม เมื่อเราได้ยินพระเซเลบพูดว่า "ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาโลก เราควรส่งออกสันติภาพตามหลักคำสอนพุทธศาสนาสู่ชาวโลก" เราเข้าใจได้ว่านี่เป็นวิธีคิดแบบไทย และเมื่อนำไปเชื่อมโยงกับวิธีคิดแบบไทยที่ชนชั้นนำไทยตอกย้ำมาตลอดว่า "ประชาธิปไตยเป็นของตะวันตก เราจะเป็นประชาธิปไตยแบบเขาไม่ได้ ต้องเป็นประชาธิปไตยแบบไทย (นิยม) เท่านั้น" เราย่อมเห็น "ความย้อนแย้ง" ได้ชัดเจน

นั่นคือ เมื่อคุณบอกว่า "เราควรส่งออกสันติภาพตามหลักคำสอนพุทธสู่ชาวโลก" คุณกำลังยก "สิ่งเฉพาะ" ตามความเชื่อทางศาสนาพุทธไทยให้กลายเป็น "สิ่งสากล" สำหรับชาวโลก ขณะที่เมื่อคุณพูดว่า "ประชาธิปไตยเป็นของตะวันตก" คุณกำลังเบลอความหมายของหลักการประชาธิปไตยซึ่งมีความหมายในเชิงสากลสำหรับมนุษย์ทั่วไปที่มีสิทธิ์จะนำมาใช้ได้ให้กลายเป็นเพียง "สิ่งเฉพาะ" ของชาวตะวันตก เมื่อเป็นสิ่งเฉพาะของชาวตะวันตก เราไม่ใช่ชาวตะวันตกจึงมีประชาธิปไตยแบบเขาไม่ได้ ก็ต้องเป็นประชาธิปไตยแบบไทย ซึ่งย่อมไม่ใช่ประชาธิปไตยในความหมายของ "เสรีประชาธิปไตย" อย่างที่รับรู้กันในโลกสมัยใหม่

รากฐานของวิถีคิดแบบไทยคืออะไร? ผมอยากชวนดูภาพอุปมาการปกครองที่ดีและเลวของ  Ambrogio Lorenzetti จิตรกรชาวอิตาลี ภาพแรกคือภาพอุปมาการปกครองที่ดี (Allegory of Good Government)

ที่มา https://en.wikipedia.org/wiki/The_Allegory_of_Good_and_Bad_Government

ภาพนี้แสดงบุคลาธิษฐานว่า ผู้ปกครองที่ทรงเกียรติ ต้องที่เป็นคนมีคุณธรรม เช่นความกล้าหาญ ความยุติธรรม ความใจกว้าง ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความสุขุมรอบคอบย่อมปกครองบ้านเมืองให้ผู้ใต้ปกครองทุกชนชั้นมีความสงบสุขและเจริญรุ่งเรือง ส่วนภาพที่สองเป็นภาพอุปมาการปกครองที่เลว (Allegory of Bad Government)

ที่มา https://en.wikipedia.org/wiki/The_Allegory_of_Good_and_Bad_Government

แสดงอุปมาว่าเมื่อผู้ปกครองเลว ไร้คุณธรรม ผู้ใต้ปกครองย่อมแร้นแค้น เบียดเบียนทำร้ายกัน บ้านเมืองไร้ความสงบสุข

ผมชวนดูภาพดังกล่าวนี้ เพื่อที่จะบอกว่าเราสามารถเห็นความคิดเรื่องการปกครองที่ดีและเลวในยุคก่อนสมัยใหม่ย้อนไปถึงยุคโบราณแบบนี้ได้ทั้งในโลกตะวันตกและตะวันออก ในพระไตรปิฎก (เช่นจักกวัตติสูตร) ก็บรรยายภาพการปกครองที่ดีและเลวทำนองเดียวกันนี้ ต่างกันเพียงรายละเอียดบางอย่าง

แต่เมื่อตะวันตกเปลี่ยนแปลงสู่สภาวะสมัยใหม่ ก็เกิดปรัชญาการเมืองสมัยใหม่ที่ไม่ถือว่าการปกครองที่ดีอยู่บนฐานคิดเรื่อง "คุณธรรมของผู้ปกครองที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ" อีกต่อไป แต่เป็นการปกครองแบบเสรีประชาธิปไตยที่อยู่บนฐานคิดที่ว่ารัฐมีอำนาจจำกัดหรือมีอำนาจน้อยที่สุด เพื่อให้ปัจเจกบุคคลมีสิทธิ เสรีภาพมากที่สุดตราบที่การใช้สิทธิ เสรีภาพนั้นไม่ก่ออันตรายแก่คนอื่น รัฐต้องให้หลักประกันสิทธิ เสรีภาพของปัจเจกบุคคล เพราะนี่คือการเคารพศักดิ์ศรีความเป็นคนของประชาชน คือการสร้างพื้นที่เพื่อการเติบโตเต็มตามศักยภาพของปัจเจกบุคคล และให้หลักประกันประโยชน์สุขของส่วนรวมหรือความก้าวหน้าของมนุษยชาติ

ปัญหาคือบนฐานคิด "ความเป็นไทย" ณ ศตวรรษที่ 21 ยังเป็นฐานคิดที่ยึดถือคุณธรรมของผู้ปกครองที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ (ตามคำสอนพุทธไทย) อยู่เลย แต่ความขัดแย้งในสังคมเราก็ไม่ได้ต่างจากความขัดแย้งที่เคยเกิดขึ้นในโลกตะวันตก คือเป็นความขัดแย้งระหว่างฝ่ายที่ยึดติดกับฐานคิดเก่ากับฝ่ายที่พยายามสร้างความเปลี่ยนแปลงไปสู่ฐานคิดใหม่ หรือเป็นเรื่องของการต่อสู้ระหว่างชนกลุ่มน้อยที่เป็นอภิสิทธิ์ชนที่พยายามรักษาสถานะ อำนาจที่ได้เปรียบ กับคนส่วนใหญ่ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงสู่ความเท่าเทียมมากขึ้น

ภายใต้ความขัดแย้งเช่นนี้ สภาวะย้อนแย้งแบบสลิ่ม ก็คือสภาวะย้อนแย้งระหว่างเก่ากับใหม่ที่ไม่ลงตัว กลายเป็นความขัดแย้งในตัวเองทั้งในวิธีคิด การกระทำของผู้คนในสังคม ไปจนถึงระบบโครงสร้าง นโยบาย และการใช้อำนาจรัฐ

ถึงเราเลิกใช้คำ "สลิ่ม" ก็ไม่ได้แปลว่าสภาวะย้อนแย้ง/ขัดแย้งในตัวเองแบบสลิ่มจะหายไป มันอาจจะยังทรงอิทธิพลในฐานะและบทบาทของอำนาจนำทางการเมืองและอำนาจนำทางวัฒนธรรม ที่แสดงออกภายในระบบและการใช้อำนาจแบบขัดแย้งในตัวเองของรัฐ อยู่ในวิธีคิดและการกระทำของผู้คนไม่ว่าฝ่ายใดๆ หรือแม้กระทั่งในตัวเราเอง

แน่นอนว่า อาจจะดีถ้าหากคนในสังคมรู้สึก "อ่อนไหว" และระมัดระวังที่จะไม่ใช้คำ "สลิ่ม" ดูถูกกัน แต่ถ้าผู้คนไม่รู้สึกรู้สาต่อสภาวะย้อนแย้ง/ขัดแย้งในตัวเองแบบสลิ่มที่ทรงอิทธิพลในทางเป็นอุปสรรคต่อการสร้างประชาธิปไตยอย่างชัดแจ้งดังที่กล่าวมา การเลิกใช้คำว่าสลิ่มก็แค่การหลอกตัวเองว่าสังคมเราไม่สลิ่มนะจ๊ะ

  

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น