โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันเสาร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

สวมหน้ากาก 'ยุทธ์น็อกคิโอ' ทวง คสช. เลือกตั้งปีนี้

Posted: 24 Feb 2018 05:18 AM PST

ช่วงปราศรัยโดย "เพนกวิ้น" พริษฐ์ ชิวารักษ์, "จ่านิว" สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์  และบารมี ชัยรัตน์

ช่วงปราศรัยโดยเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล, ปิยรัฐ จงเทพ, อานนท์ นำภา และรังสิมันต์ โรม

ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ กลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย (DRG) จัดงาน "ปากปราศรัย น้ำใจเชือดเผด็จการ: 3-2-1 ถึงเวลาเปลี่ยน" ภายในงานมีการจัดตลาดนัดช็อปช่วยทาส จำหน่ายอาหาร หนังสือ และสินค้าบางส่วนเพื่อสมทบทุนช่วยเหลือนักโทษการเมือง มีการตั้งป้ายคนสวมนาฬิการอเลือกตั้ง หีบเลือกตั้งจำลอง เพื่อให้ผู้ร่วมกิจกรรมถ่ายรูปด้วย ทั้งนี้มีการเล่นดนตรีสลับการปราศรัยท่ามกลางฝนตกในช่วงบ่าย

ต่อมาเมื่อฝนเริ่มซา ในเวลา 17.00 น. พริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิ้น นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวปราศรัยบนลังไม้ว่า ครั้งนี้เป็นการต่อสู้ระหว่างคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นเก่าที่อยู่ในสภา จะเห็นได้ว่าใน คสช. และ สนช.ไม่มีคนรุ่นใหม่เลย อนาคตจึงไม่มี เพราะเขาไม่ได้เข้ามาสร้างอนาคต เขาฝืนธรรมชาติเพราะกลัวว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย เรากำลังสู้กับศัตรูของประชาชน เขาไม่ยอมให้เรามีชีวิตที่ดีกว่านี้ แต่เราจะเอาคุณภาพชีวิตของเรากลับคืนมา

คลิปช่วงจ่านิวชวนสวมหน้ากาก "ยุทธน็อกคิโอ" ทวงเลือกตั้งปีนี้

ต่อมาในเวลา 17.30 น. สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือ "จ่านิว" กล่าว่า คสช. กัดกินประเทศชาติมา 4 ปีแล้ว ข้อเรียกร้องของประชาชนเป็นข้อเรียกร้องขั้นพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย คือจัดเลือกตั้งภายในปีนี้ เป็นสิทธิพึงมีพึงได้ของประชาชน

ที่ผ่านมา คสช. บอกว่าขอเวลาไม่นาน หลายคนบอกว่าเลือกตั้งไปแล้วไม่ได้อะไร แต่อยากถามว่าอยากจะอยู่กับ คสช.ไปอีกชาติหนึ่งหรือ การเลือกตั้งจะนำประชาชนออกจากเผด็จการไปสู่ทางเลือกที่ดีกว่า ไม่ใช่ให้แม่น้ำห้าสายมาเลือกแทน ถ้านับการโกหกของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ คสช. จมูกคงทะลุไปดาวอังคารแล้ว

ในช่วงท้ายจ่านิวเชิญชวนประชาชนสวมหน้ากาก "ยุทธน็อกคิโอ" และกล่าวด้วยว่า พล.อ.ประยุทธ์ โกหกเรื่องเลือกตั้งกับประชาคมโลกและคนไทยมาหลายครั้งแล้ว จึงหมดเวลาของคนโกหกหลอกลวงอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ และ คสช. และได้เวลาของประชาชน การเลือกตั้งจะเป็นการกำหนดอนาคตด้วยมือประชาชน ทั้งนี้มีการเชิญชวนให้ตะโกนคำขวัญ "เลือกตั้งปีนี้ๆ" เป็นระยะ

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

มูลนิธิโกมลคีมทอง ยก 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' เป็นบุคคลเกียรติยศ

Posted: 24 Feb 2018 04:27 AM PST

มูลนิธิโกมลคีมทอง ประกาศเกียรติคุณให้ 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' เป็นบุคคลเกียรติยศ ในฐานะปราการที่ยืนขวางกั้น เพื่อปกป้องร่วมกับประชาชนอีก 48 ล้าน มิให้ถูกลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เช่นในอดีต

24 ก.พ. 2561 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ ที่ห้องประชุมประกอบ หุตะสิงห์ ชั้น 3 อาคารอเนกประสงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ กรุงเทพฯ มีการจัดกิจกรรม ปาฐกถามูลนิธิโกมลคีมทอง ประจำปี 2561 ครั้งที่ 44 ซึ่งจัดเป็นประจำทุกปีเพื่อยกย่องและให้คนหนุ่มสาวผู้ทำงานรับใช้สังคมตามอุดมคติของตัวได้มาแบ่งปันประสบการณ์แก่ผู้อื่น โดยในงานดังกล่าวมีการประกาศบุคคลเกียรติยศ ในด้านสาธารณสุข คือ กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ ด้วย

ในประกาศเกียรติคุณบุคคลเกียรติยศ ระบุตอนหนึ่งถึงกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ ว่า "ภายใต้แนวคิดที่เห็นคนไม่เท่ากัน อันสะท้อนผ่านรัฐธรรมนูญปี 2560 การถอยหลังจากสิทธิไปสู่การสงเคราะห์ ความพยายามอย่างแข็งขันของคนบางกลุ่มและกลุ่มผลประโยชน์ที่ต้องการทำลายหลักการสำคัญของพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ การกล่าวหาว่าระบบจะทำให้ประเทศล้มละลาย สิ่งเหล่านี้กำลังบ่อนทำลายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และ 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' คือปราการที่ยืนขวางกั้น เพื่อปกป้องร่วมกับประชาชนอีก 48 ล้านคนที่ได้รับการดูแลจากหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า มิให้ถูกลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เช่นในอดีต" 

รายละเอียด : 

ประกาศเกียรติคุณบุคคลเกียรติยศ มูลนิธิโกมลคีมทอง กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ

ทำไมจึงต้องเป็น 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ'?
 
ก่อนปี 2545 ใครบางคนกัดฟันทนความเจ็บปวดจากโรคร้าย มันดีกว่าต้องทนเห็นตนเองเป็นภาระของคนในครอบครัว บางคนยอมหมดเนื้อหมดตัวเพื่อยื้อชีวิตคนรัก แม่คนหนึ่งอุ้มลูกที่ซมด้วยพิษไข้ กำเศษเงินชื้นเหงื่อ บากหน้าไปขอความเห็นใจจากโรงพยาบาล อีกไม่น้อยยอมรับชะตากรรมด้วยความคับแค้นและน้ำตา
 
นี่ไม่ใช่เหตุการณ์สมมติ มันคือฉากชีวิตจริง มีเลือด มีเนื้อ ที่เกิดกับผู้คนจำนวนมาก ในวันที่ความเป็นความตายตัดสินด้วยเงินในสมุดบัญชี หลายครั้งที่ความป่วยไข้ไม่ได้ฆ่าพวกเขา ความจนต่างหากที่ลงมือ มันคือสภาพที่เป็นคนเหมือนกัน แต่ไม่เท่ากัน
 
เครือข่ายประชาชนและองค์กรพัฒนาเอกชน นักวิชาการ บุคลากรสาธารณสุข จึงร่วมกันต่อสู้ ศึกษาวิจัย ผลักดัน เรียกร้อง เพื่อสร้างความเป็นคนเท่ากันผ่านรัฐธรรมนูญปี 2540 ให้มีการรับรองสิทธิ์ คุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และกำหนดสิทธิขั้นพื้นฐานในการดำรงชีวิต ซึ่งรวมถึงสิทธิในการเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพและเท่าเทียม 5 ปีต่อมา พระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น หรือที่รู้จักกันในเวลานั้นว่า 30 บาทรักษาทุกโรค
 
การมีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ามิใช่การสิ้นสุดภารกิจ ตรงกันข้าม มันเป็นเพียงการเริ่มต้น เพื่อพัฒนาหลักประกันสุขภาพให้สมกับคำว่า 'ถ้วนหน้า' เครือข่ายประชาชนยังต้องต่อสู้เรียกร้องอีกหลายต่อหลายครั้ง กระทั่งโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูงอย่างโรคเอดส์ โรคไต โรคหัวใจ โรคมะเร็งทยอยได้รับสิทธิ์ ผู้ป่วยไม่ต้องล้มละลายจากการรักษา จากที่เคยเก็บ 30 บาทเปลี่ยนเป็นไม่ต้องจ่าย การพัฒนาระบบให้เกิดความยั่งยืน และอื่นๆ จนระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าได้รับการยกย่องชื่นชมในระดับสากล
 
แต่แล้ว ปี 2555 ภัยคุกคามหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ทั้งจากนโยบายรัฐ จากกลุ่มคนและกลุ่มทุนที่สูญเสียผลประโยชน์ก็แสดงตัวชัดขึ้นๆ เครือข่ายต่างๆ ที่ร่วมกันสร้างและพัฒนาหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าจึงจับมือกันเป็น 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' เพื่อปกป้อง ไม่ว่าจะด้วยการถกเถียง ต่อรอง ตรวจสอบ สื่อสารข้อเท็จจริงกับสังคม ศึกษาวิจัย คัดค้าน ชุมนุมประท้วง หรือแม้กระทั่งการนอนกับพื้นเพื่อขัดขวางกระบวนการที่ไม่ชอบธรรม
 
ถึงปัจจุบัน ภายใต้แนวคิดที่เห็นคนไม่เท่ากัน อันสะท้อนผ่านรัฐธรรมนูญปี 2560 การถอยหลังจากสิทธิไปสู่การสงเคราะห์ ความพยายามอย่างแข็งขันของคนบางกลุ่มและกลุ่มผลประโยชน์ที่ต้องการทำลายหลักการสำคัญของพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ การกล่าวหาว่าระบบจะทำให้ประเทศล้มละลาย สิ่งเหล่านี้กำลังบ่อนทำลายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และ 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' คือปราการที่ยืนขวางกั้น เพื่อปกป้องร่วมกับประชาชนอีก 48 ล้านคนที่ได้รับการดูแลจากหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า มิให้ถูกลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เช่นในอดีต
 
ยิ่งกว่าการร่วมพลังค้าน 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' ยังลงมือลงแรงผลักเพดานสิทธิและความเท่าเทียมของคนไทยให้สูงขึ้นด้วยหลักการ 'ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรม ระบบสุขภาพมาตรฐานเดียว' ที่สำคัญยังจุดประกายและส่งต่อความคิด 'รัฐสวัสดิการ' ให้หยั่งรากลึกในสังคมอย่างกว้างขวาง  สร้างความตระหนักรู้ว่าเราทุกคนมีสิทธิ์ และรัฐมีหน้าที่ต้องดูแลประชาชนให้เข้าถึงสิทธิ์ในทุกๆ ด้านอย่างเท่าเทียม
 
บนหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย ไม่มีสิทธิใดที่ประชาชนจะได้มาโดยปราศจากการต่อสู้ ยิ่งในห้วงยามที่หม่นมืดของระบอบประชาธิปไตย  การลิดรอนสิทธิเสรีภาพและละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวาง การต่อสู้ของประชาชนก็ยิ่งต้องใช้ความกล้าหาญในการต่อสู้กับอำนาจที่ไม่ชอบธรรมและหัวใจที่แข็งแรงกว่าปกติ ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเธอและเขาในฐานะ 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' มีอยู่พร้อม 
 
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ อาจสรุปการต่อสู้ของ 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' ด้วยวลีเดียวว่า 'คนเท่ากัน' และมูลนิธิโกมลคีมทองจะขอร่วมยืนยันอุดมการณ์และยกย่อง 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' เป็นบุคคลเกียรติยศของมูลนิธิโกมลคีมทองประจำปี 2561
 
สำหรับ กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ นั้นเกิดจากการรวมตัวกันของผู้คนมากหน้าหลายตา ท่ามกลางความพยายามทำลายหลักการของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของรัฐบาล คสช.และรัฐราชการ 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' ออกมาเคลื่อนไหว เฝ้าระวัง ปกป้อง และยันสถานการณ์เอาไว้อย่างสุดกำลัง สำหรับสถานการณ์ในปีหน้าที่พอจะเห็นเค้าลางว่า หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าจะยิ่งเผชิญการคุกคามที่หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ คงไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่า 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' กำลังยืนขวางระหว่างรัฐบาลและกลุ่มคนที่ต้องการทำลายกับผู้คน 48 ล้านคนที่ได้รับการดูแลหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และคอยย้ำเตือนว่าการรักษาพยาบาลคือสิทธิของประชาชนที่รัฐไม่อาจพรากมันไปได้
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

วัฒนา เมืองสุข ปฏิเสธตลาดสวนหลวงไม่ใช่ของเมีย

Posted: 24 Feb 2018 04:11 AM PST

วัฒนา เมืองสุข ปฏิเสธข่าวภรรยาเปิดตลาดสวนหลวงล้อมบ้าน "ป้าทุบรถ" ย้ำเมียชื่อ "พัชรา" ไม่ใช่ "พัชรี" ขณะที่ล่าสุดผู้ว่า กทม. สั่งปิดตลาด 3 ใน 5 แห่ง เพราะไม่มีใบอนุญาตตั้งตลาด มีผลตั้งแต่ 27 ก.พ. นี้

24 ก.พ. 2560 วัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีหลายสมัยและอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ระหว่างร่วมงาน "ปากปราศรัย น้ำใจเชือดเผด็จการฯ" ที่ ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ปฏิเสธข่าวว่าภรรยาที่ชื่อ "พัชรา เจียรวนนท์" ไม่ใช่เจ้าของตลาดยิ่งนรา หนึ่งในตลาดที่ล้อมบ้านป้าทุบรถ ภายในหมู่บ้านเสรีวิลล่า แขวงหนองบอน เขตประเวศ กทม. ย่านสวนหลวง

วัฒนากล่าวว่าภรรยาเขาชื่อ "พัชรา" ส่วน "พัชรี" ที่เป็นเจ้าของตลาดดังกล่าว เป็นภรรยาคนอื่น ดังนั้นกรณีตลาดย่านสวนหลวงดังกล่าว จึงเป็นเรื่องที่เขาไม่สามารถอธิบายแทนได้ และไม่จำเป็นต้องอธิบาย พร้อมขอให้โลกโซเชียลช่วยกันตรวจสอบข้อเท็จจริง ก่อนที่จะมีการวิพากษ์วิจารณ์

อนึ่งจากข้อมูลของไทยรัฐ วัฒนา เมืองสุข เกิด 28 พ.ค. 2500 เป็นบุตรของนายย้อม และนางนวรัตน์ เมืองสุข ภรรยาชื่อ พัชรา เจียรวนนท์ มีบุตร-ธิดา 3 คน ชื่อเพ็ญพิชชา, ดิศญุตม์ และวีดา ขณะที่สำนักงานอิศราระบุว่าวัฒนามีบุตร-ธิดา 4 คน ส่วนบุตรสาวคนโต วัฒนาได้จดทะเบียนให้เป็นบุตรบุญธรรมชาวต่างชาติ

โดยวัฒนาเริ่มต้นเส้นทางการเมืองในปี 2539 เป็น ส.ส.ปราจีณบุรี พรรคชาติพัฒนา ก่อนย้ายมาพรรคไทยรักไทยในปี 2544 เคยรับตำแหน่ง รมช.พาณิชย์ รมว.พาณิชย์ รมว.อุตสาหกรรม และ รมว.กระทรวงการพัฒนาสังคม ในช่วงรัฐบาลไทยรักไทย และเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทยในเวลาต่อมา

ทั้งนี้ในสมัยที่เป็น รมว.กระทรวงการพัฒนาสังคมในปี 2548 เคยเสนอแก้ปัญหาวัยรุ่นขับมอเตอร์ไซต์แข่งกันบนทางหลวง ด้วยการเปิดสนามแข่งรถจัดกิจกรรมแทน ซึ่งเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในเวลานั้น ก่อนที่ในสมัยปลายรัฐบาลยิ่งลักษณ์จนถึงยุค คสช. วัฒนาจะผันตัวมาเป็นนักเรียกร้องประชาธิปไตย

 

กรณีป้าทุบรถ สะเทือนถึงตลาดไม่มีใบอนุญาต

ในรอบสัปดาห์นี้มีกรณีป้าทุบรถ หรือกรณีที่ รัตนฉัตร แสงหยกตระการ อายุ 61 ปี และราณี แสงหยกตระการ อายุ 57 ปี ใช้ขวานและเสียมทุบทำลายรถยนต์กระบะที่จอดขวางประตูเข้าออกหน้าบ้านหมู่บ้านเสรีวิลลา เขตประเวศ เมื่อวันที่ 18 ก.พ. โดยตำรวจออกหมายเรียกรวม 3 ข้อหา คือ ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ ข่มขู่ทำให้ผู้อื่นตกใจกลัว และพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่มีเหตุอันควร

ต่อมาผู้ก่อเหตุดังกล่าว ตั้งโต๊ะชี้แจงหน้าบ้านเมื่อวันที่ 20 ก.พ. สาเหตุการทุบรถที่จอดขวางประตูบ้านว่าต้องทนเดือดร้อนมากว่า 10 ปี เพราะซื้อที่ดินจัดสรรเพื่อเป็นบ้านอยู่อาศัย แต่สำนักงานเขตกลับปล่อยให้มีตลาดตั้งรอบบ้าน มีการจอดรถกีดขวางหน้าบ้านทุกวัน ต้องรอเขาซื้อของเสร็จถึงจะได้ออกจากบ้าน นอกจากนี้ยังเปิดเสียงดังรบกวนผู้อาศัยตลอดเวลา ตลาดก่อมลภาวะพิษ ทั้งควันรถ ควันอาหารทุกอย่าง มีการขนถ่ายสินค้าทั้งกลางวันและกลางคืน เสียงรบกวนชาวบ้านทั้งกลางวันกลางคืนยามวิกาล ไม่สบายก็ออกจากบ้านไม่ได้ นอกจากนี้เหตุผู้มีอิทธิพลคุกคามผู้อาศัย มีการลอบวางเพลิง ใส่ร้ายว่าเป็นบ้านค้าประเวณี ส่งหญิงข้ามชาติ ค้าสิ่งเสพติด รวมทั้งมีผู้ใช้บ้านเลขที่ไปจดทะเบียนเพื่อจ้างแรงงานข้ามชาติด้วย

ที่ผ่านมาเจ้าของบ้านได้ฟ้องศาลแล้วจนศาลปกครองมีคำสั่งคุ้มครอง แต่ที่ผ่านเจ้าหน้าที่ กทม. ยังไม่ดำเนินการแก้ไข ยังปล่อยให้มีตลาดรอบบ้านพัก

ทั้งนี้ตลาดที่ตั้งล้อมบ้านพักดังกล่าว ได้แก่ 1. ตลาดสวนหลวง (1) มีการขออนุญาตก่อสร้างอาคารจากสำนักการโยธา กทม. แต่ไม่มีการขออนุญาตสร้างตลาด 2. ตลาดเปิ้ลมาร์เก็ต และ 3. ตลาดยิ่งนรา  มีใบขออนุญาตใช้พื้นที่เชิงพาณิชย์ แต่ห้ามขายของสด 

4. ตลาดรุ่งวานิชย์ และ 5. ตลาดร่มเหลือง ไม่มีใบอนุญาตสร้างตลาด

โดยขณะนี้ผู้ว่าราชการ กทม. พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง สั่งตรวจสอบตลาดทั้งหมด และยังสั่งการให้สำนักงานเขตประเวศ ออกคำสั่งให้หยุดการดำเนินการตลาด 3 แห่ง ประกอบด้วย ตลาดรุ่งวาณิชย์ ตลาดร่มเหลือง และตลาดสวนหลวง (1) มีผลวันที่ 27 ก.พ. นี้

ทั้งนี้การขอเปิดตลาดในพื้นที่ ต้องขออนุญาตฝ่ายสิ่งแวดล้อม สำนักงานเขตประเวศ กรุงเทพมหานคร

 

ผู้ทำบัญชียันบริษัทยิ่งนรา ไม่ได้ทำธุรกรรมเกี่ยวกับตลาดยิ่งนรา 

โดยหลังกรณี "ป้าทุบรถ" มีข่าวว่าตลาดยิ่งนรา หนึ่งในตลาดที่ตั้งล้อมบ้านป้าทุบรถ มีเจ้าของคือ "พัชรี เจียรวนนท์" โดยไทยพีบีเอสพบข้อมูลจดทะเบียนบริษัทเมื่อปี 2553 ชื่อ "บริษัทยิ่งนราจำกัด" แจ้งประกอบธุรกิจซื้อและการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นของตนเองที่ไม่ใช่ เพื่อเป็นที่พักอาศัย เมื่อตรวจสอบย้อนหลังรายได้ ผลประกอบการ กำไร-ขาดทุนในแต่ละปี พบว่า ตั้งแต่ปี 2556 มีรายได้ 58 บาท ปี 2557 รายได้ 38 บาท ปี 2558 รายได้ 17 บาท และ 2559 มีรายได้ 18 บาท ปี 2560 ยังไม่มีข้อมูลแสดงผลประกอบการ กำไรขาดทุน

ทั้งนี้ไทยพีบีเอสตรวจสอบกับผู้ทำบัญชี จี้แจงว่าบริษัทยิ่งนรา เป็นนิติบุคคล ไม่เกี่ยวข้องกับตลาดสดยิ่งนรา แม้ว่าเจ้าของตลาดคือพัชรี จะเป็นหนึ่งในกรรมการบริษัท

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

[คลิป] ประเทศไทยภายใต้การเปลี่ยนแปลงฯ: สิริพรรณ-สฤณี-อภิชาต-ปิยบุตร

Posted: 24 Feb 2018 02:53 AM PST

คลิปจากงานเสวนา "ประเทศไทยภายใต้การเปลี่ยนแปลง : อดีต ปัจจุบัน อนาคต ในบริบททางเศรษฐกิจ การเมือง กฎหมายและสังคม" ช่วงแรก

คลิปจากงานเสวนาหัวข้อ "ประเทศไทยภายใต้การเปลี่ยนแปลง : อดีต ปัจจุบัน อนาคต ในบริบททางเศรษฐกิจ การเมือง กฎหมายและสังคม" ช่วงที่สอง

คลิปจากงานเสวนาหัวข้อ "ประเทศไทยภายใต้การเปลี่ยนแปลง : อดีต ปัจจุบัน อนาคต ในบริบททางเศรษฐกิจ การเมือง กฎหมายและสังคม" 23 กุมภาพันธ์ 2561 ห้อง s106 บร.5 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต

วิทยากรโดย [1] สิริพรรณ นกสวน สวัสดี คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย [2] สฤณี อาชวานันทกุล นักเขียนและนักแปล [3] อภิชาต สถิตนิรามัย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ [4] ปิยบุตร แสงกนกกุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดำเนินรายการโดย เจนวิทย์ เชื้อสาวะถี

จัดโดย สภานักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เนื่องในงานสัมมนาสภานิสิต นักศึกษาระดับอุดมศึกษาทั่วประเทศ ครั้งที่ 24

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เลขาฯ คณะคุยสันติสุขย้ำนานาชาติยอมรับแนวทางดับไฟใต้

Posted: 24 Feb 2018 02:45 AM PST

เลขาฯ คณะพูดคุยสันติสุขใต้ยืนยันแนวทางทำงานเป็นที่ยอมรับของนานาชาติ ย้ำตั้ง Safe House ภายใต้กฎหมายปกติ ไม่ได้ใช้มาตรการพิเศษ ผู้เห็นต่างที่มีหมายที่เข้าร่วมอาจได้ปล่อยตัวก่อน

 
24 ก.พ. 2561 สำนักข่าวไทย รายงานว่าพล.ต.สิทธิ์ ตระกูลวงศ์ เลขานุการคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ ชี้แจงประเด็นที่เป็นข้อกังวลและข้อคำถามที่สังคมยังมีความเข้าใจที่ไม่ตรงกัน เกี่ยวกับกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่า เป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาตามแนวทางสันติวิธี ของรัฐบาล เพื่อแสวงหาความร่วมมือในการยุติความรุนแรง ความขัดแย้งที่มีมาอย่างยาวนาน และสร้างสันติสุขร่วมกันกับกลุ่มบุคคลที่มีความคิดและอุดมการณ์ต่างจากรัฐ ผ่านทางกระบวนการพูดคุยซึ่งเป็นวิธีที่นานาประเทศให้การยอมรับ และในอดีตประเทศไทยได้เคยนำมาใช้จนทำให้ประเทศสามารถผ่านพ้นวิกฤติเรื่องความขัดแย้งทางด้านลัทธิ และอุดมการณ์ทางการเมือง ที่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้คนในชาติต้องจับอาวุธมาต่อสู้กันเอง
 
พล.ต.สิทธิ์  กล่าวว่า ส่วนการจัดตั้ง Safe House หรือศูนย์ประสานงาน เป็นขั้นตอนแรกของการจัดตั้ง Safety Zone หรือพื้นที่ปลอดภัยโดย Safe House จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการประสานงาน และการรับฟังข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ รวมทั้งข้อกังวลของทุกภาคส่วนทั้งที่เป็นผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย กับสถานการณ์ หรือผู้ที่มีความสนใจที่จะเข้ามามีส่วนร่วมทั้งจากในและนอกพื้นที่ โดยการปฏิบัติงานใน Safe House จะประกอบด้วยผู้แทน จาก Party A คือเจ้าหน้าที่รัฐและ Party B คือกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐ ฝ่ายละ 7 คน ซึ่งจะทำบัตรประจำตัวให้กับบุคคลดังกล่าวนี้ เพื่อใช้เป็นมาตรการในการ รักษาความปลอดภัย และการอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติงานใน Safe House และ Safety Zone 
 
"ผู้แทนของ Party B ที่เป็นบุคคลที่มีหมาย จะได้รับการช่วยเหลือให้ได้รับความเป็นธรรมทางด้านคดี ตามกระบวนการยุติธรรมปกติ ไม่ใช่การพักโทษ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ใช้กับผู้ต้องขังและหากมีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่ กระทรวงยุติธรรมกำหนดอาจได้รับการพิจารณาให้ได้รับการปล่อยตัวก่อนที่จะครบกำหนดระยะเวลาตามคำพิพากษา ดังนั้น การจัดตั้ง Safe House จึงไม่ใช่การเปิดโอกาสให้คนร้ายเข้าประเทศตามที่มีการตั้งข้อสังเกตไว้ เพราะกระบวนการพูดคุยในระยะปัจจุบัน เป็นการดำเนินการภายใต้กรอบกฎหมายปกติทั้งสิ้น  ไม่ได้ออกกฏหมายพิเศษเพิ่มเติมใดๆ มารองรับอย่างที่หลายฝ่ายเข้าใจ" พล.ต.สิทธิ์ กล่าว
 
พล.ต.สิทธิ์ กล่าวว่า คณะพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ขอขอบคุณทุกฝ่ายที่ให้ข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะต่อกระบวนการพูดคุย ตลอดเวลาที่ผ่านมาคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ยึดถือตามนโยบายและแนวทางที่นายกรัฐมนตรีได้ให้ไว้ และใคร่ครวญการดำเนินการร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนได้นำข้อคิดเห็นและข้อเสนอจากทุกภาคส่วนมาพิจารณา เพื่อให้เกิดความรอบคอบ โดยมีเป้าหมายที่สำคัญคือ การยุติปัญหาที่เป็นสาเหตุของความรุนแรง และการสูญเสียที่มีอย่างยาวนาน เพื่อนำสันติสุขกลับคืนสู่พื้นที่
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ตัวแทนประเทศมุสลิม เรียกร้องให้มาเลเซียเลิก 'ขลิบอวัยวะเพศหญิง' บอกไม่ใช่ประเพณีชาวมุสลิม

Posted: 23 Feb 2018 11:31 PM PST

สื่อเดอะสตาร์จากมาเลเซียรายงานว่าในที่ประชุมเกี่ยวกับเรื่องสิทธิสตรี ประเทศมุสลิมประเทศอื่นๆ วิพากษ์วิจารณ์มาเลเซียในเรื่องที่ยังคงอนุญาตให้มีการขลิบอวัยวะเพศหญิง และเรียกร้องให้มีการยกเลิกประเพณีเช่นนี้

 
ในการประชุมอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (CEDAW) ครั้งที่ 69 เมื่อวันที่ 20 ก.พ. 2561 ที่ผ่านมามีกลุ่มตัวแทนชาวมุสลิมตั้งคำถามต่อการที่มาเลเซียยังคงอนุญาตให้มีประเพณีขลิบอวัยวะเพศหญิง
 
ตัวแทนชาวมุสลิมจากบังกลาเทศ อิสมาต จาฮาน กล่าวว่าประเพณีขลิบอวัยวะเพศหญิงนั้นไม่ใช่ประเพณีของอิสลามและเรียกร้องให้มีการยกเลิกประเพณีนี้ จาฮานบอกว่าในฐานะที่เขามาจากบังกลาเทศซึ่งเป็นประเทศที่คนส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม การตัดปุ่มกระสันของผู้หญิงโดยอ้างศาสนาอิสลามนั้นถือเป็นเรื่องรบกวนจิตใจเขาอย่างมาก
 
นีลา กับร์ จากอียิปต์ก็กล่าวในทำนองเดียวกันว่าการขลิบอวัยวะเพศหญิงเป็นประเพณีของชาวแอฟริกันและไม่เกี่ยวข้องอะไรกับอิสลาม อย่างไรก็ตามในประเทศแอฟริกันและมุสลิมส่วนมากก็ไม่ได้ทำตามประเพณีนี้อีกต่อไปแล้ว กับร์บอกอีกว่าในประเทศอียิปต์มีการสั่งห้ามการขลิบอวัยวะเพศหญิงแล้วไม่ว่าจะมาจากคำสั่งของหมอหรือครอบครัวก็ตาม อีกทั้งเสนอว่าควรจะมีการศึกษาเปรียบเทียบเรื่องเหล่านี้กับประเทศมุสลิมอื่นๆ เพื่อความเข้าใจมากขึ้น
 
อย่างไรก็ตามตัวแทนจากมาเลเซียซึ่งเป็นคนจากสำนักงานอธิบดีกรมอัยการกล่าวว่าการขลิบอวัยวะเพศหญิง "เป็นส่วนหนึ่งของคำสอนศาสนาอิสลาม" และควรจะให้ชาวมุสลิมรับทราบการตัดสินใจของคณะกรรมการฟัตวาประจำชาติมาเลเซีย และบอกว่ามันสามารถยกเว้นได้ถ้าหากมันจะทำอันตรายต่อเด็กผู้หญิง อย่างไรก็ตามตัวแทนจากกระทรวงสาธารณสุขของมาเลเซียก็อ้างว่าการตัดปุ่มกระสันออกเป็นสิ่งที่ "ไม่เป็นอันตราย" ถ้าหากทำตามกระบวนการของทีกระทรวงวางไว้
 
อย่างไรก็ตามกลุ่มแนวร่วมองคกรภาคประชาชนในมาเลเซีย 37 องค์กรแถลงว่ามีสมาชิก 6 รายจากองค์การแห่งความร่วมมืออิสลาม (OIC) ที่ทั้งหมดไม่เห็นว่าการขลิบอวัยวะเพศหญิงจะเกี่ยวข้องกับอิสลามแต่อย่างใด อีกทั้งยังมองว่าเป็นการที่รัฐบาลพยายามจะ "ควบคุม" ความต้องการทางเพศของผู้หญิงไว้
 
องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่าการขลิบอวัยวะเพศหญิงหมายถึงการตัดหรือนำชิ้นส่วนบางส่วนจากอวัยวะเพศออกรวมถึงการสร้างความเสียหายต่ออวัยวะเพศนั้นๆ โดยที่ไม่ใช่ด้วยเหตุผลทางการแพทย์ สำหรับชาวมุสลิมในมาเลเซียแล้วมักจะทำการขลิบอวัยวะเพศหญิงในแบบที่ 1 คือการตัดหนังหุ้มของคลิตอริสออก แต่ก็มีบางส่วนที่กระทำในแบบที่ 4 คือ การจี้หรือตัดคลิตอริสออก
 
โดยที่ในปี 2555 ที่ประชุมสมัชชาใหญ่ของสหประชาชาติผ่านร่างมติที่ระบุว่าการกระทำเช่นนี้ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนและเรียกร้องให้นานาชาติสั่งห้ามการกระทำเช่นนี้
 
มาเลเซียเป็นประเทศที่ให้สัตยาบันในอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบตั้งแต่ปี 2538 และจะต้องรายงานความคืบหน้าทุกๆ 4 ปี

เรียบเรียงจาก
 
Malaysia urged to abolish female genital mutilation, The Star, 22-02-2018

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ผู้ป่วยไตเดือดร้อนหนัก รพ.รัฐใน จ.อุบลราชธานี เรียกเก็บเงินค่ามัดจำทำเส้นฟอกเลือด 3 หมื่น

Posted: 23 Feb 2018 10:05 PM PST

เครือข่ายผู้ป่วยโรคไตโวย โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งใน จ.อุบลราชธานี เรียกเก็บเงินมัดจำค่าทำเส้นฟอกเลือด 30,000 บาท ถ้าไม่จ่ายก็ไม่ได้รับบริการ สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้ป่วยทั้งเขต อัดไม่เป็นธรรม กีดกันการเข้าถึงบริการ พร้อมยื่นข้อเรียกร้องห้ามเก็บเงินร่วมจ่าย-เงินมัดจำทุกกรณี

 
 
24 ก.พ. 2561 นายธนพลธ์ ดอกแก้ว ประธานชมรมเพื่อนโรคไตแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ได้รับการร้องเรียนจากผู้ป่วยไตวายที่ต้องเข้ารับการรักษาด้วยวิธีการฟอกเลือดว่า โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งใน จ.อุบลราชธานี ได้ทำการเรียกเก็บเงินค่ามัดจำจากการทำเส้นฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม เป็นจำนวนเงิน 30,000 บาท ถ้าไม่มีเงินมัดจำก็จะไม่ได้รับบริการ
 
นายธนพลธ์ กล่าวว่า โรงพยาบาลดังกล่าวได้ออกประกาศเมื่อวันที่ 12 ก.พ. 2561 ว่า 1.ในวันนัดทำการผ่าตัด โรงพยาบาลจะตรวจสอบสิทธิซ้ำ หากผู้ป่วยได้ทำการส่งเบิกจากโรงพยาบาลอื่นแล้วจะถือว่าใช้สิทธิเบิกครบ 1 ครั้งต่อ 1 ปี ผู้ป่วยต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง และ 2.ในวันนัด ผู้ป่วยต้องจ่ายเงินมัดจำตามที่ระบุ ซึ่งในข้อนี้เองที่สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้ป่วยอย่างหนัก ถือว่าไม่มีความเป็นธรรมและกีดกันไม่ให้ผู้ป่วยเข้าถึงบริการ ขนาดโรงพยาบาลเอกชนจะทำการรักษายังไม่มีการเรียกเก็บเงินมัดจำเลย แต่นี่เป็นโรงพยาบาลของรัฐแท้ๆ กลับให้จ่ายมัดจำได้อย่างไร
 
นายธนพลธ์ กล่าวว่า เครือข่ายผู้ป่วยโรคไตได้ทำการร้องเรียนไปยังสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในฐานะผู้ซื้อบริการแทนประชาชน รวมทั้งได้เข้าพบผู้บริหารโรงพยาบาลดังกล่าวเมื่อวันที่ 23 ก.พ. 2561 เพื่อพูดคุยพร้อมทั้งได้ยื่นข้อเรียกร้อง 3 ข้อ คือ คือ 1.ให้ยกเลิกประกาศของโรงพยาบาลโดยเร่งด่วน 2.ห้ามเก็บร่วมจ่ายโดยเด็ดขาด 3.ห้ามเก็บมัดจำทุกกรณี โดยเบื้องต้นทางผู้บริหารของโรงพยาบาลกล่าวว่าจะกลับไปทบทวนคำสั่ง โดยคาดว่าทุกอย่างจะเสร็จสิ้นภายในวันที่ 28 ก.พ. 2561 นี้ ซึ่งทางชมรมเพื่อนโรคไตแห่งประเทศไทยจะได้ติดตามความคืบหน้าต่อไป
 
"มันเกิดอะไรขึ้นกับระบบหลักประกันสุขภาพและเกิดอะไรขึ้นกับโรงพยาบาล อยู่ๆ ออกประกาศภายในโรงพยาบาล แล้วมาเรียกเก็บมัดจำกับคนไข้นี่ทำให้เราตกใจมากเลย ผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้จะเยอะมาก เพราะผู้ป่วยในพื้นที่ สปสช.เขต 10 อุบลราชธานี ที่ทำเส้นฟอกเลือดจะต้องส่งมาทำที่โรงพยาบาลนี้หมด และเดือดร้อนกันทั้ง 3 กองทุน ไม่ใช่แค่บัตรทอง ประกันสังคมก็ต้องจ่ายเหมือนกัน" นายธนพลธ์ กล่าว
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

มิเชลล์-บารัก โอบามา แถลงสนับสนุนกลุ่มนักเรียนผู้ประท้วงเรียกร้องควบคุมอาวุธปืน

Posted: 23 Feb 2018 09:47 PM PST

อดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา และอดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐฯ มิเชลล์ โอบามา แถลงว่าพวกเขาสนับสนุนการประท้วงของนักเรียนในฟลอริดาและที่อื่นๆ ของสหรัฐฯ นักเรียนผู้ประท้วงนับหมื่นเรียกร้องให้มีการปรับปรุงกฎหมายอาวุธปืนหลังจากที่เกิดเหตุกราดยิงในโรงเรียนมาร์จอรี สโตนแมน ดักลาส ซึ่งเป็นเหตุกราดยิงครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ ที่มีผู้เสียชีวิต 17 ราย

 
 
23 ก.พ. 2561 มิเชลล์ โอบามา ส่งสารแสดงการสนับสนุนนักเรียนเหล่านี้ผ่านทางทวิตเตอร์ในช่วงคืนวันที่ 21 ก.พ. ที่ผ่านมาระบุว่าเธอรู้สึก "ความน่าเกรงขาม" ในการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักเรียนในฟลอริดา และระบุอีกว่า "เช่นเดียวกับการเคลื่อนไหวเพื่อความก้าวหน้าทั้งหลายในประวัติศาสตร์ของพวกเรา การปฏิรูปอาวุธปืนจะต้องอาศัยความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวและความอดทน"
 
"แต่ @barackobama (บัญชีผู้ใช้ทางเป็นทางการของบารัก โอบามา) และฉันก็เชื่อในตัวพวกคุณ พวกเราภูมิในตัวพวกคุณ และพวกเราขออยู่หนุนหลังพวกคุณในทุกก้าวเดิน"
 
ตั้งแต่ช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมามีนักเรียนรัฐฟลอริดาทำการเดินออกจากห้องเรียนเพื่อประท้วง มีนักเรียนส่วนหนึ่งเดินทางไปที่หน่วยงานราชการกลางของรัฐฟลอริดาเพื่อเข้าพบ ส.ส. ในประเด็นนี้และเดินขบวนเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายเกี่ยวกับอาวุธปืน หลังจากที่เหตุการณ์ที่มาร์จอรี สโตนแมน ดักลาส คร่าชีวิตคนไป 17 ราย และทำให้มีผู้บาดเจ็บ 14 ราย
 
หลังจากการกราดยิงเมื่อช่วงสัปดาห์ที่แล้ว เหล่านักเรียนได้จัดตั้งกลุ่มเพื่อกดดันนักการเมืองในนาม "Never Again MSD" นอกจากในฟลอริดาแล้ว ในรัฐอื่นๆ ก็มีวัยรุ่นจำนวนมากออกมาเดินขบวนเพื่อเรียกร้องให้มีกฎหมายจำกัดอาวุธปืนเข้มงวดขึ้นซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการนำโดยเยาวชนซึ่งกำลังเติบโตขึ้น มีกลุ่มที่ไปตะโกนคำขวัญหน้าทำเนียบขาวต่อต้านสมาคมอาวุธปืน และในวันก่อนหน้านี้ก็มีกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า "กลุ่มวัยรุ่นเพื่อการปฏิรูปอาวุธปืน" ทำการประท้วงด้วยการนอนราบลงกับพื้น นักเรียนในโรงเรียนเวสต์โบกาจำนวนหลายร้อยคนทำการเดินออกจากห้องเรียนและสงบนิ่งเพื่อประท้วงในเรื่องนี้ รวมถึงเดินขบวน 12 ไมล์ไปยังโรงเรียนมาร์จอรี สโตนแมน ดักลาส
 
ในวันที่ 22 ก.พ. ที่ผ่านมา หลังจากการประท้วงของนักเรียนนับหมื่นทั่วประเทศสหรัฐฯ อดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามา ก็แถลงชื่นชมและแสดงการสนับสนุน "เหล่านักเรียนผู้ไม่เกรงกลัว" เหล่านี้ โอบามากล่าวอีกว่าถึงแม้เขาจะเสียใจที่ไม่สามารถออกกฎหมายควบคุมอาวุธปืนได้สำเร็จกำลังเกิดเหตุกราดยิงในแซนดีฮุกเมื่อปี 2555 แต่เขาก็เคยให้คำมั่นว่าวันใดวันหนึ่งประเทศสหรัฐฯ จะสามารถทำเรื่องนี้สำเร็จได้
 
"คนหนุ่มสาวเป็นผู้นำการเคลื่อนไหวที่ยอดเยี่ยมของพวกเราทุกขบวนการ มันช่างเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจที่ได้เห็นมันอีกครั้ง เหล่านักเรียนผู้ไม่เกรงกลัวและเฉลี่ยวฉลาด เดินขบวนและจัดตั้งเพื่อทำให้โลกเราเป็นอย่างที่ควรจะเป็น พวกเรากำลังรอคอยพวกคุณอยู่ และพวกเราก็ขอหนุนหลังพวกคุณ" โอบามาระบุในทวิตเตอร์
 
นอกจากกลุ่มนักเรียนแล้วผู้รอดชีวิตและพ่อแม่ของเด็กในเหตุการณ์กราดยิงยังเข้าพบกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อวันที่ 21 ก.พ. ที่ผ่านมาในช่วง "เปิดรับฟัง" ของทำเนียบขาว แต่โดนัลด์ ทรัมปฺ์ก็เสนอวิธีการแก้ไขปัญหาการกราดยิงในโรงเรียนว่าควรให้ครูติดอาวุธ
 
ขณะที่สมาคมอาวุธปืนไรเฟิลของสหรัฐฯ พูดถึงประเด็นการประท้วงของนักเรียนในที่ประชุมประจำปีของขบวนการอนุรักษ์นิยมโดยกล่าวอ้างให้ระวังว่าการร่วมเรียกรวมกลุ่มของนักเรียนเหล่านี้เป็น "กระแสสังคมนิยม"
 
นับตั้งแต่การกราดยิงในโรงเรียนครั้งล่าสุด มีนักเรียนจำนวนมากร่วมมือกันเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลง หนึ่งในนั้นมีการวางแผนเดินขบวนในวันที่ 24 มี.ค. ที่จะถึงนี้ในนาม "เดินขบวนเพื่อชีวิตพวกเราเอง" และเรียกร้องให้นักเรียนทั่วประเทศสหรัฐฯปฏิบัติการเพื่อหยุดการแพร่ระบาดของเหตุกราดยิง
 
เรียบเรียงจาก
 
Obama Praises Young Activists Demanding Gun Control After Florida, Mother Jones, 22-02-2018
 
Teenagers Pour Into the Streets Calling for Gun Control After Parkland Shooting, Mother Jones, 21-02-2018 
 
Barack and Michelle Obama Praise Florida Students Fighting for Gun Reform: 'We've Got Your Backs', People, 22-02-2018
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เกิดเหตุรุนแรงที่ 'ปัตตานี-นราธิวาส' หลายจุด

Posted: 23 Feb 2018 09:26 PM PST

เมื่อคืนที่ผ่านมาเกิดเหตุเผายางรถยนต์ ยิงจุดตรวจเจ้าหน้าที่ วางเพลิง หลายจุด ที่ จ.ปัตตานี และ จ.นราธิวาส

 
24 ก.พ. 2561 สำนักข่าวไทย รายงานว่า พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงกรณีกลุ่มผู้ก่อเหตุลงมือก่อเหตุในหลายพื้นที่ของ จ.ปัตตานี เมื่อช่วงหัวค่ำของวันที่ 23 ก.พ. 2561 ว่าได้รับรายงานจาก กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ว่าตั้งแต่ เมื่อเวลา 19.35 น. เกิดเหตุคนร้ายเผายางรถยนต์ บริเวณหน้าปั้ม ปตท. บ้านปาลัส ฝั่ง อ.มายอ
 
- เวลา 19.40 น. เกิดเหตุยิงก่อกวนฐาน อส.ตะโล๊ะไกรทอง อ.ไม้แก่น  ยังไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บ
 
- เวลา 19.40 น. เกิดเหตุยิงใส่จุดตรวจกะลาพอ   อ.สายบุรี  เป็นลักษณะยิงก่อกวน ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ไม่มีทรัพย์สินเสียหาย
 
- เวลา 19.40 น. เกิดเหตุยิงใส่จุดตรวจมะนังดาลำ อ.สายบุรี  เป็นลักษณะยิงก่อกวนไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ไม่มีทรัพย์สินเสียหาย
 
- เวลา 20.10 น. เกิดเหตุยิงใส่จุดตรวจทหาร บริเวณ บ้านดี อ.เมือง เป็นลักษณะยิงก่อกวน ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ไม่มีทรัพย์สินเสียหาย
 
- เวลา  20.25 น. พบวัตถุต้องสงสัย ถ.ปากน้ำ ซอย 2 (แวมิง) ถ.ปากน้ำปัตตานี ใกล้โกดังเก็บของ
 
- เวลา  20.30 น. มีเสียงดังคล้ายระเบิดในพื้นที่เมืองปัตตานี โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังเข้าตรวจที่เกิดเหตุเพื่อพิสูจน์ทราบและรวบรวมพยานหลักฐานอย่างละเอียด โดยบูรณาการกำลังผู้ปฏิบัติร่วมกับฝ่ายทหาร ฝ่ายปกครอง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบว่ามีการเชื่อมโยง กับกลุ่มใดเหตุการณ์ใดหรือไม่ เพื่อเร่งรัดจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
 
ด้าน TNN24 รายงานว่าช่วงเวลา 00.00 น. (24 ก.พ.) ที่ในตัวเมืองนราธิวาส เกิดเหตุกลุ่มก่อความไม่สงบได้ลอบวางเพลิงถึง 2 จุด  ที่แรกเป็นร้านจำหน่ายสินค้าราคาถูก ไม่มีเลขที่ ซึ่งตั้งอยู่บนถนนระแงะมรรคา เจ้าหน้าที่ใช้เวลา2 ชั่วโมงในการฉีดน้ำสกัดกั้น พบว่าร้านค้าถูกเพลิงไหม้ได้รับความเสียหายไป 2 คูหา อีกจุดเป็นห้างซุปเปอร์ดีพาร์ทเม้นต์สโตร์ ซึ่งเป็นห้างที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัด ตั้งอยู่บนถนนจำรูญนรา เขตเทศบาลเมือง เพลิงได้ลุกไหม้วัสดุไวไฟ จึงต้องใช่เวลาดับนานกว่า 4 ชั่วโมง  ทำให้เพลิงได้เผาวอดไปจนหมดทั้งห้าง
 
ขณะนี้เจ้าหน้ากองพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบจุดเกิดเหตุทั้ง 2 จุด เพื่อเก็บรวบรวมหลักฐานหาผู้ที่ก่อเหตุครั้งนี้  ขณะที่ฝ่ายความมั่นคงกำลังก็แกะรอยคนร้ายจากกล้องวงจรปิดรอบๆพื้นที่
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น