โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันเสาร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

ชาวกระบี่-เทพาเจรจายูเอ็น เชื่อโรงไฟฟ้าถ่านหินจะยุติ แม้ไร้ท่าทีจากรัฐบาล

Posted: 17 Feb 2018 11:38 AM PST

คุยกับผู้มาร่วมชุมนุมถึงเหตุผลการมา ผลเสียของโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินของผู้มาร่วมชุมนุมค้านการสร้างโรงไฟฟ้ากระบี่-เทพา ในวันที่ 6 ของการชุมนุม และเพียงสิ่งเดียวที่ตอบรับมาจากทางภาครัฐคือหมายศาล ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนจังหวัดชายแดนภาคใต้ปกป้องสิทธิชุมชนและสิ่งแวดล้อมเพื่อสันติภาพระบุ ยูเอ็นเห็นด้วยกับการยุติสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน 

  

"คิดถึงบ้าน แต่ไม่อยากกลับ ต้องชนะก่อนถึงจะกลับ"

คือปากคำจากเด็กหญิงชาวกระบี่วัย 7 ขวบที่เปล่งออกมาอย่างไร้เดียงสา ขัดกับเสียงของเจ้าพนักงานคนหนึ่งที่กล่าวกับผู้สื่อข่าวที่แวดล้อมในบริเวณนั้นว่า "ถ่ายรูป (หมายศาล) ไปเลย พวกชุมนุมผิดกฎหมาย"

ท่ามกลางอากาศร้อนจัดในเมืองกรุง เต็มไปด้วยฝุ่นควันมลพิษจากยานพาหนะ ณ องค์การสหประชาชาติ ชาวบ้านจาก อ.เทพา จ.สงขลา และ จ.กระบี่ ในนามของ "เครือข่ายปกป้องสองฝั่งทะเลกระบี่-เทพา ยุติโรงไฟฟ้าถ่านหิน" ยังคงยืนหยัดปักหลักชุมนุมในบริเวณนั้นอย่างเหนียวแน่น จากคำบอกเล่าของชาวบ้านชี้ว่า ยังมีชาวบ้านบางส่วนอยู่ในระหว่างการเดินทางจากบ้านเกิดตามขึ้นมาสมทบ และจะไม่ไปไหนจนกว่ารัฐบาลจะยุติโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน

เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 16 ก.พ. 2561 ตัวแทนประชาชนชาวเทพาและกระบี่ที่ชุมนุมแสดงจุดยืนอยู่ที่หน้าสำนักงานองค์การสหประชาชาติ (UN) เข้าพูดคุยกับตัวแทนจากองค์การสหประชาชาติ หน่วยงานธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน องค์การอนามัยโลก (WHO) องค์การสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) และองค์การสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ เพื่ออธิบายถึงผลกระทบระยะยาวด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และวิถีชีวิตของชาวบ้านที่จะเปลี่ยนไปในพื้นที่ อ.เทพา จ.สงขลา และ จ.กระบี่ หากยังเดินหน้าดำเนินการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน

ดิเรก เหมนคร ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนจังหวัดชายแดนภาคใต้ปกป้องสิทธิชุมชนและสิ่งแวดล้อมเพื่อสันติภาพกล่าวว่า ทางองค์การสหประชาชาติมีท่าทีเห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวเพื่อยุติการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน เพราะโครงการก่อสร้างสวนทางกับวิถีที่นานาประเทศทั่วโลกกำลังผลักดันเรื่องสิ่งแวดล้อม พร้อมยืนยันว่าไม่เห็นด้วยกับคำโฆษณาชวนเชื่อที่ว่า โรงไฟฟ้าถ่านหินเป็นพลังงานสะอาด ไม่ก่อให้เกิดมลพิษ

"ที่จริงมันเป็นแค่โฆษณาชวนเชื่อ เพราะในรายงาน EHIA รายงานที่เป็นทางการของ กฟผ. ก็บอกว่าถ่านหินที่นำเข้ามาจากอินโดนีเซียมีโลหะหนักจำนวนมหาศาล และไม่สามารถกำจัดได้หมดด้วย มีทั้งปรอท ทั้งแคดเมียม ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งทั้งนั้น อันนี้มีระบุอยู่ในรายงาน EHIA ทั้งหมด เขาก็ระบุว่าเวลาเผาแล้วมันกำจัดไม่หมด ที่เหลือก็ปล่อยออกมาทางปล่องควันแล้วเอาไปทิ้งในบ่อขี้เถ้า ฉะนั้นรายงานก็บอกอยู่แล้วว่ามันไม่สะอาด แต่ที่บอกว่าสะอาดเป็นแค่โฆษณาชวนเชื่อเท่านั้นเอง" ดิเรกชี้แจง

ดิเรก เหมนคร ยืนยันว่าโรงไฟฟ้าถ่านหินก่อมลพิษ ไม่ใช่พลังงานสะอาดดังโฆษณาชวนเชื่อ

นอกจากนั้น ดิเรกยังย้ำว่า ผู้ชุมนุมต้องการเวทีการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้สนับสนุน ผู้คัดค้าน และนักวิชาการ เพื่อร่วมกันหาทางออกในประเด็นนี้ เพราะในปัจจุบันรัฐบาลและหลายองค์กรที่เกี่ยวข้องเพิกเฉยต่อข้อร้องเรียนของชาวบ้าน และยังยืนยันจะเดินหน้าโครงการต่อไป

"บรรยากาศการพูดคุยเป็นเรื่องที่สำคัญมาก การมาซักถามแลกเปลี่ยนช่วยแก้ปัญหาได้เชิญผู้สนับสนุน เชิญนักวิชาการที่ไม่เห็นด้วย และเชิญพวกเรามา พูดคุย ถกเถียงข้อมูล  ตอบคำถาม ตอบได้ตอบไม่ได้ ชาวบ้านก็เป็นคนตัดสินใจเอง" ดิเรกกล่าว

ในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้งนำหมายนัดของศาลแพ่งมาติดประกาศบริเวณหน้าองค์การสหประชาชาติ ซึ่งเป็นสถานที่ปักหลักของกลุ่มผู้ชุมนุมเครือข่ายปกป้องสองฝั่งทะเลกระบี่-เทพา ยุติโรงไฟฟ้าถ่านหิน ความว่า ให้สมยศ โต๊ะหลัง จินดารัตน์ เพิ่มลาภวิรุฬห์ และกลุ่มผู้ชุมนุมคนอื่นเข้ารับฟังการไต่สวนคำร้องเรื่อง "ขอยกเลิกการชุมนุมตามพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะฯ เพื่อให้เกิดความชัดเจนเกี่ยวกับพฤติการณ์การชุมนุม" ในวันที่ 20 ก.พ. 2561 เวลา 09.00 น.

เจ้าพนักงานจาก สน. นางเลิ้งนำหมายศาลแพ่งมาแปะ หลังร้องต่อศาลให้ชาวบ้านยุติการชุมนุม

ประกาศดังกล่าวเป็นผลสืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 13 ก.พ. 2561 สน.นางเลิ้ง ได้นำประกาศเรื่อง "ให้แก้ไข พ.ร.บ. การชุมนุมสาธารณะฯ" มาประกาศ อ้างว่ากลุ่มผู้ชุมนุมฝ่าฝืนพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การชุมนุมสาธารณะฯ มาตรา 16 (1)  คือ กีดขวางและก่อให้เกิดความไม่สะดวกแก่ประชาชนที่ใช้ทางเท้าและประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนในบริเวณดังกล่าว นอกจากนั้น ยังอาจก่อให้เกิดความเดือดร้อนอันพึงคาดหมาย อาทิ เมื่อผู้ชุมนุมลงไปเดินบนถนน อาจถูกรถเฉี่ยวชนได้ โดยมีคำสั่งให้ผู้ชุมนุมทั้งหมดย้ายสถานที่ชุมนุมไปยังริมคลองผดุงกรุงเกษม ภายในเวลา 16.00 น. ของวันนั้น

หลังจากนั้น เครือข่ายปกป้องสองฝั่งทะเลกระบี่-เทพา ยุติโรงไฟฟ้าถ่านหิน ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อผู้กำกับ สน.นางเลิ้ง เพื่อยืนยันการใช้เสรีภาพการชุมนุมในสถานที่เดิม และขอให้เพิกถอนประกาศฉบับดังกล่าว ให้เหตุผลว่า การชุมนุมครั้งนี้ปราศจากอาวุธและความรุนแรงทุกรูปแบบ และการปักหลักชุมนุมในบริเวณนั้นไม่ได้กีดขวางการจราจรบนพื้นผิวถนน การเดินสัญจรไปมาบนทางเท้าก็สามารถทำได้ตามปกติ อีกทั้งยังไม่กีดขวางทางเข้าออกของอาคารสำนักงานใดๆ บริเวณนั้น นอกจากนั้น ข้ออ้างของเจ้าหน้าที่ที่ว่าอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุถูกรถเฉี่ยวชนก็ไม่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายแต่อย่างใด เนื่องจากเป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานเองที่ต้องดูแลอำนวยความสะดวกการชุมนุมที่ชอบด้วยกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. การชุมนุมสาธารณะฯ มาตรา 19

ต่อมา ในวันที่ 15 ก.พ. 2561 สน.นางเลิ้งได้แจ้งผลอุทธรณ์ว่าไม่รับอุทธรณ์ เจ้าพนักงานจึงดำเนินการร้องต่อศาลแพ่ง เพื่อให้ทางเครือข่ายฯ ยุติการชุมนุม โดยทางเครือข่ายฯ ก็ต้องเข้ารับฟังการไต่สวนคำร้องในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2561 ต่อไป

ทั้งนี้ วันที่ 16 ก.พ. 2561 เป็นวันที่หก นับตั้งแต่ชาวบ้านจากเทพาและกระบี่ย้ายจากทำเนียบรัฐบาลมาปักหลักชุมนุมบริเวณหน้าองค์การสหประชาชาติ โดยก่อนหน้านั้นกลุ่มผู้ชุมนุมถูกสั่งเคลื่อนย้ายออกจากบริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาล เนื่องจากเจ้าหน้าที่อ้างอำนาจตามพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะฯ มาตรา 7 วรรคท้าย ว่าการชุมนุมดังกล่าวกีดขวางการจราจรและทางเดินเท้า จึงห้ามไม่ให้มีการชุมนุมในรัศมีไม่เกิน 50 เมตรรอบทำเนียบรัฐบาลตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

วานนี้ (17 ก.พ. 2561) ทางเครือข่ายฯ จัดกิจกรรมอดอาหารและนั่งสมาธิหน้าองค์การสหประชาชาติ โดยเชิญประชาชนผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวด้วย เพื่อส่งใจถึงนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้รับฟังข้อร้องเรียนและยุติโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่-เทพา

นอกจากนั้น ในวันที่ 18 ก.พ. 2561 ทางเครือข่ายจะจัดกิจกรรม "รวมพล...คนไม่เอาถ่าน" เพื่อให้รัฐบาลยุติโครงการฯ ดังกล่าว เริ่มจากการอดอาหาร 9 ชั่วโมง ตั้งแต่เวลา 09.00 น. ถึง 18.00 น. และร่วมรับฟังการเสวนาเพื่อแสดงเจตนารมณ์ ตั้งแต่เวลา 16.00 น. ถึง 18.00 น. ทั้งนี้ กิจกรรมดังกล่าวจะจัดขึ้นหน้าองค์การสหประชาชาติ ด้วยแนวคิดที่ว่าให้องค์การสหประชาชาติ หนึ่งในองค์กรนานาชาติผู้พิทักษ์หลักการสิทธิมนุษยชน

เมื่อสอบถามถึงระยะเวลาการชุมนุม ดิเรก กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ตนจะปักหลักชุมนุมอยู่ตรงนี้จนกว่าโครงการจะยุติ เพราะเชื่อมั่นเหลือเกินว่านายกรัฐมนตรีจะเห็นใจประชาชนจนรับฟังข้อร้องเรียน และนำไปสู่การยุติดำเนินการงานวิจัย EHIA และยุติโครงการไปในที่สุด

นอกจากนั้น ดิเรกยังชี้ว่า การขับเคลื่อนโดยประชาชนกลุ่มอื่นเป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญมากที่ทำให้รัฐบาลมีแนวโน้มโอนอ่อนลงได้ โดยต้องส่งสารให้รัฐบาลทราบว่าการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินให้โทษอย่างไร "ผมมองว่าทุกคนต้องช่วยกันสื่อสารไปยังรัฐบาลว่าโรงไฟฟ้าถ่านหินมันทำลายประเทศไทย เราไม่เอา คือถ้าเรารักประเทศของเรา เรารักสถานที่ท่องเที่ยว เรารักอาหารทะเล เรารักคนไทยด้วยกัน ผมอยากให้ทุกคนช่วยกันสื่อสารไปยังรัฐบาลด้วยวิธีไหนก็ได้ว่าเราไม่เห็นด้วยกับโรงงานไฟฟ้าถ่านหิน เพราะมันทำลายประเทศของเรา" ดิเรกกล่าว

สำหรับดิเรก หากโครงการโรงงานไฟฟ้าถ่านหินดำเนินการแล้วเสร็จจะถือเป็นหายนะครั้งยิ่งใหญ่ของประเทศไทย เพราะโรงไฟฟ้าทั้งสองทั้งอยู่ทั้งฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน ทำให้มลพิษจะสามารถปกคลุมทั่วทั้ง 14 จังหวัดภาคใต้ และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ตลอดจนอาชีพดั้งเดิมของชาวทะเลอย่างการทำประมงจะล่มสลาย

 "อยากเรียกร้องให้องค์กรทั้งหมดที่ดูแลเรื่องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหยุดหายนะอันนี้ มันเป็นหายนะครั้งยิ่งใหญ่ของประเทศไทย ถ้าเกิดขึ้นแล้วเราไม่สามารถจะเอาทรัพยากรธรรมชาติที่ดีของภาคใต้กลับคืนมาได้แล้ว หมายความว่าภาคหนึ่งของเราจะเป็นพื้นที่ที่ไม่น่าอยู่อาศัยอีกต่อไป ผมจึงมองว่าต้องเข้าใจผลกระทบของมัน และรีบหยุดโรงไฟฟ้าถ่านหินให้เร็วที่สุด" ดิเรกกล่าว

สุภาพร ตาวัน จากกระบี่ เข้ามาชุมนุมวันนี้เป็นวันนี้เป็นวันที่สิบเอ็ด หลังจากถูกสั่งเคลื่อนย้ายจากหน้าทำเนียบรัฐบาล

"ไม่มีใครที่อยากมาหรอกค่ะ ทุกคนที่นั่งตรงนี้ไม่มีใครอยากมาเลย แต่ละคนมาภาระหน้าที่ทั้งนั้น มาเพราะเดือดร้อนจริงๆ"

สุภาพร ตาวัน ผู้ชุมนุมชาวกระบี่ อายุ 30 ปี กล่าวกับผู้สื่อข่าว พร้อมให้ข้อมูลว่า ยังมีประชาชนจากกระบี่บางส่วนกำลังเดินทางมาสมทบ ชี้ว่า หากไม่เดือดร้อนจริงๆ ไม่มีใครอยากขึ้นมาอยู่ลำบาก ต้องนอนบนเกาะกลางถนนที่ไม่มีร่มเงากำบัง เต็มไปด้วยฝุ่นควันมลพิษและยุง ปราศจากสิ่งอำนวยความสะดวก โดยเฉพาะสุขา ซึ่งผู้ชุมนุมได้ดำเนินการขอรถสุขามาประจำบริเวณที่ชุมนุมจาก สน.นางเลิ้งแล้ว แต่ไม่ได้รับการเหลียวแล

 "เราไม่ใช่คนมีการศึกษาเหมือนเขา เราทำแต่งานนั้นมาทั้งชีวิตเพื่อส่งเสียลูกให้มีการศึกษา ลูกหลานเราต่อไปจะกินอะไร ปลาก็มีสารพิษ อากาศก็มีสารพิษ ที่ดินปาล์มน้ำมันก็จะไม่ส่งผลออกลูก จะให้เราไปอยู่ตรงไหน เราไม่มีที่อยู่ ถึงมีที่อยู่ก็มีแค่บ้าน แต่งานเราล่ะ ลูกหลานเราล่ะ เราจะทำมาหากินอะไรเพื่อส่งพวกเขาเรียน ถ้าเราไม่ทำงานจากทะเล" สุภาพรอ้อนวอน

ณ วันที่หกของการปักหลักชุมนุมหน้าองค์การสหประชาชาติ ชาวบ้านจากแดนใต้กว่า 100 ชีวิตยังคงชุมนุมอย่างมีความหวังต่อไป กว่า 60 ชีวิตใช้วิธีอดอาหารอย่างสันติอหิงสา แต่ยังไร้วี่แววว่ารัฐบาลจะยอมรับฟังเสียงของประชาชน   

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'คนอยากเลือกตั้ง' ยืนยันจัดกิจกรรมต่อ

Posted: 17 Feb 2018 03:25 AM PST

แกนนำกลุ่มคนอยากเลือกตั้งแถลงข่าวยืนยันจัดกิจกรรมต่อ ชุมนุมโคราช 18 ก.พ. นี้ พร้อมชุมนุมค้างคืน 19-22 พ.ค. ครบรอบ 4 ปีรัฐประหาร เชิญทุกสีทุกพรรคร่วมด้วย

 
17 ก.พ. 2561 เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ รายงานว่าที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ตึกกิจกรรมนักศึกษา แกนนำกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง นำโดยนายรังสิมันต์ โรม, น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา และนายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือจ่านิว ร่วมกันแถลงจุดยืนและแนวทางการเคลื่อนไหวในอนาคต
 
โดยน.ส.ณัฏฐา กล่าวว่า การที่ พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารปฏิบัติการประจำกองบัญชาการกองทัพบกปฎิบัติหน้าที่ทำงานด้านกฎหมายส่วนงานการรักษาความสงบแห่งชาติ ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน นางเลิ้ง กล่าวโทษต่อแกนนำฯกรณีการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 ก.พ.ที่ผ่านมา บริเวณ อนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย ด้วยข้อกล่าวหากกระทำผิด ร่วมกันมั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมืองที่ใดที่มีจำนวนคนตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป และขัดคำสั่งคสช. และผิดกฎหมายอาญามาตรา 116 ฐานยุยงปลุกปั่น แม้จะยังไม่มีหมายเรียกเข้ารายงานตัว แต่ตนจะเดินทางไปรายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ที่ สน.นางเลิ้งก่อน ขอยืนยันว่าก่อนการจัดชุมนุมแต่ละครั้ง เราได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.สำราญราษฏร เพื่อให้รับทราบ โดยไม่ใช่การขออนุญาต เพราะถือเป็นการทำตามสิทธิที่รัฐธรรมนูญรองรับไว้แล้ว
 
ด้านนายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ กล่าวว่า จุดยืนในการเคลื่อนไหวของประชาชนที่ออกมาเรียกร้อง ไม่ได้เป็นสิ่งใหม่ แต่มีการเคลื่อนไหวเรียกร้องโดยตลอดตั้งแต่มีการรัฐประหาร จนพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เคยประกาศในเวทีนานาชาติว่าจะมีการเลือกตั้งในปี 2561 นั้น แต่ก็มีท่าทีว่าจะเลื่อนเลือกตั้ง ผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติ สนช. อยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า เราจึงต้องออกมาแสดงจุดยืนว่า ถึงเวลาแล้วที่ต้องมีการเลือกตั้ง เพราะการเลือกตั้ง ถือเป็นการกำหนดทิศทางความเป็นไปของประเทศชาติ และเป็นการเปิดพื้นที่ทางการเมืองให้กับประชาชนทุกคน พร้อมยืนยันว่า สิ่งที่ทางกลุ่มออกมาเคลื่อนไหวไม่ใช่การกระทำเพื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ต้องการให้ประเทศพ้นจากผู้กุมอำนาจอย่าง คสช. รวมถึงได้รัฐบาลที่ไม่ใช่แม่น้ำ 5 สาย ที่ทำเพื่อประโยชน์ของตนเอง
 
นายสิรวิชญ์ กล่าวต่อไปว่า ส่วนคนที่ไม่เห็นด้วยกับการออกมาเคลื่อนไหวของกลุ่มนั้น อยากให้เข้าใจว่าว่าสุดท้ายแล้วการเคลื่อนไหวครั้งนี้ ทุกคนจะได้ประโยชน์จากการเลือกตั้ง ยืนยันว่า การชุมนุมทุกครั้งไม่ได้กระทบสิทธิเสรีภาพของใคร เพราะข้อเรียกร้องของเราคือ หยุดถ่วงการเลือกตั้ง หยุดสืบทอดอำนาจ และต้องมีการเลือกตั้งภายในปี 2561 เท่านั้น เพราะไม่ใช่ว่าประเทศไทยไม่เคยมีเลือกตั้งมาก่อน แต่ควรต้องฟังเสียงประชาชนด้วย ที่ผ่านมา ผู้นำ คสช. ไม่เคยฟังเสียงประชาชน เขาต้องการให้ตัวเองอยู่ต่อไปฟรีๆ โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย ศัตรูของพวกเราคือ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม
 
นายสิรวิชญ์ กล่าวอีกว่า ในระหว่างคณะกรรมาธิการร่วม 3 ฝ่าย กำลังพิจารณาร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้ ส.ว. โดยทางกลุ่มคงไม่ยื่นข้อเสนอเพื่อประกอบการพิจารณา ซึ่งเราเคยยื่นหนังสือมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้รับการเหลียวแล และคนที่เป็น สนช. ตอนนี้ ก็เป็นคนของ คสช. รับรองได้เลยว่าหากลงสมัครรับเลือกตั้ง ก็ไม่มีใครเลือก จึงอยากอยู่ในตำแหน่งนี้นานๆ
 
ขณะที่นายรังสิมันต์ โรม กล่าวว่า สิ่งที่ทางกลุ่มได้ทำเพราะเห็นว่าไม่มีหนทางอื่นทำให้เกิดการเลือกตั้งในประเทศได้ จึงอยากเรียกร้องให้ทุกคน ทุกกลุ่ม ทุกสี และทุกพรรคการเมือง ออกมาร่วมกันแสดงพลังร่วมกัน เพื่อให้ คสช. ตระหนักว่า ใครกันแน่ที่คือผู้มีอำนาจที่แท้จริง โดยทางกลุ่มจะเริ่มกิจกรรมตั้งแต่วันที่ 18 ก.พ. เวลา 17.00 น. กลุ่มสตาร์ทอัพพีเพิ่ล จะจัดการชุมนุมที่ลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี หรือย่าโม อ.เมือง จ.นครราชสีมา เพราะถือว่าเป็นประตูภาคอีสาน
 
จากนั้นวันที่ 24 ก.พ. ตั้งแต่เวลา 15.00 น. เป็นต้นไป จะจัดกิจกรรม ที่หน้าหอประชุมเล็ก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ โดยจะมีกิจกรรมเซอร์ไพรส์ คสช. แต่ยืนยันว่าจะไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนอย่างแน่นอน จากนั้นในวันที่ 10 และ 24 มี.ค. ช่วงเย็น ทางกลุ่มจะจัดกิจกรรมอีกครั้ง แต่ยังไม่ขอบอกสถานที่ว่าจะเป็นที่ไหน ทั้งนี้เราจะหยุดจัดกิจกรรมในช่วงเดือน เม.ย.
 
นายรังสิมันต์ กล่าวอีกว่า ทางกลุ่มจะจัดการชุมนุมอีกครั้ง ทุกวันเสาร์ในเดือน พ.ค. โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่ 19-22 พ.ค. จะมีการจัดกิจกรรมแบบค้างคืน จนกว่าประชาชนจะได้อำนาจกลับคืนมา โดยช่วงเวลาดังกล่าวจะเป็นวันครบรอบ 4 ปี ของการยึดอำนาจโดย คสช.
 
อย่างไรก็ตาม ยังไม่ขอระบุสถานที่ แต่คาดว่าจะเป็นบริเวณใกล้กับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย นี่คือโรดแม็พของประชาชนที่มีความชัดเจน ซึ่งต่างจาดโร้ดแม็พของ คสช. ที่เลื่อนตลอด
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'เกษตรกรดอยเทวดา' หนุนเดินมิตรภาพ ยันเจตนาสื่อสารปัญหา แต่ถูกจับกุม-ดำเนินคดี

Posted: 17 Feb 2018 02:30 AM PST

นักศึกษา ม.ราชภัฏเชียงราย เข้าสอบถามชาวบ้านดอยเทวดา หลังจับกุม-ดำเนินคดี เหตุชูป้ายหนุนเดินมิตรภาพ ชาวบ้านยันเจตนาเพียงอยากสื่อสารกับสังคมภายนอกรับรู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชนเพื่อหาทางออก

ภาพนักศึกษาที่ลุงพูดคุยกับกลุ่มเกษตรกรบ้านดอยเทวดา

17 ก.พ. 2561 กรณีกลุ่มเกษตรกรบ้านดอยเทวดา ต.สบบง อ.ภูซาง จ.พะเยา และนักศึกษา รวม 14 คน จัดกิจรรมเดินมิตรภาพเพื่อสนับสนุนและให้กำลังใจกลุ่ม People Go Network เมื่อวันที่ 5 ก.พ.ที่ผ่านมา จนเป็นเหตุทำให้ถูกเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจเรียกตัวไปสอบสวนช่วงดึกของวันเดียวกัน ต่อมาเจ้าหน้าที่ทหารมีการแจ้งความดำเนินคดีต่อชาวบ้านและนักศึกษา รวมทั้งหมด 14 ราย ในข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 เรื่องการชุมนุมทางการเมือง ก่อนที่พนักงานสอบสวนจะมีการแจ้งข้อกล่าวหากับผู้ต้องหาจำนวน 11 ราย นั้น

ผู้สื่อข่าวประชาไท ได้รับแจ้งจาก นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายโปรแกรมนิเทศศาสตร์การสื่อสารสื่อใหม่ได้ทำการรวมกลุ่มกันลงพื้นที่สอบถามปัญหาชาวบ้านในพื้นที่ ดังกล่าวเมื่อวันที ่11 ก.พ.ที่ผ่านมา หลังจากที่ชาวบ้านได้รวมกลุ่มกันออกมาเดินในชุมชนเพื่อบอกเล่าถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชน และได้ถือป้ายรณรงค์ให้รัฐบาลจัดสรรที่ดินตามที่ภาคประชาชนในนามขบวนการประชาชนเพื่อสังคมเป็นธรรมเพื่อให้เกิดกระบวนการแก้ไขปัญหาจากหน่วยงานต่างๆที่มีความเกี่ยวข้องได้ออกมาแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง

นักศึกษากลุ่มดังกล่าว ระบุว่าเจตนารมณ์ของชาวบ้านที่ออกมารวมกลุ่มกันเดินเพื่อเพียงอยากจะสื่อสารให้สังคมภายนอกได้รับรู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชนเพื่อหาทางออกและทำการแก้ไขต่อไป

ภาพซ้าย : กลุ่มชาวบ้านดอยเทวดา ต.สบบง อ.ภูซาง จ.พะเยา ทำกิจกรรมหนุน "We walk เดินมิตรภาพ" เมื่อช่วงกลางวัน วันที่ 5 ก.พ. ก่อนถูกเรียกสอบช่วงค่ำที่ สภ.ภูซาง ภาพขวา : เจ้าหน้าที่ทหาร-ตำรวจเรียกกลุ่มชาวบ้านดอยเทวดา สอบกลางดึก (ที่มา: เพจสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ)

รายงานข่าวยังแจ้งด้วยว่า นักศึกษาทำการสอบถามเรื่องปัญหาที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านโดยมี แสง สบบง เป็นผู้ให้ข้อมูล จึงได้พบว่า ปัญหาหลักๆของชาวบ้านคือปัญหาเรื่องสาธารณูปโภคต่างๆ เช่นปัญหาเรื่อง น้ำประปาไม่สะอาด  ถนนในหมู่บ้านไม่มีไฟฟ้า  และทางเข้าหมู่บ้านยังเป็นทางรุกรัง ซึ่งปัญหาที่กล่าวมาถือเป็นปัญหาเรื้อรังมานานกว่า 20 กว่าปีเพราะยังไม่มีหน่วยงานไหนเข้ามารับผิดชอบหรือแก้ไขปัญหาอย่างจิงจัง

แสง เล่าด้วยว่าตั้งแต่วันที่ 7 ที่ผ่านมา มีเจ้าหน้าที่ทหารได้เข้ามาให้การดูแลเป็นพิเศษที่บ้าน วันละ 7 คน โดยเจ้าหน้าทหารแจ้งว่าได้รับมอบมายให้มาทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่เพื่อสร้างความสมานฉันท์ปองดองกับประชาชน

นักศึกษากลุ่มดังกล่าว ยังแจ้งดว้ยว่าล่าสุดมีหน่วยงานเข้ามาให้ความสนใจเรื่องสาธารณูปโภคและรับปากว่าจะแก้ไขเรื่องน้ำประปา เรื่องไฟฟ้าให้ทั่วถึง และปัญหาทางเข้าหมู่บ้านรุกรัง ภายในเร็วๆนี้

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'ชาญชัย ชัยรุ่งเรือง' ถึงแก่อนิจกรรมด้วยโรคมะเร็งลำไส้

Posted: 17 Feb 2018 02:24 AM PST

นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง อดีต รมว.อุตสาหกรรม ถึงแก่อนิจกรรมด้วยโรคมะเร็งลำไส้ สิริอายุ 65 ปี ตั้งศพวัดสระเกศฯ ศาลาใหญ่ และจะมีพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ พรุ่งนี้ (18 ก.พ.) เวลา 16.00 น.

 
17 ก.พ. 2561 สำนักข่าวไทย รายงานว่านายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ถึงแก่อนิจกรรมด้วยโรคมะเร็งลำไส้ สิริอายุ 65 ปี ที่โรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอลเซ็นเตอร์ ทั้งนี้ จะตั้งศพที่วัดสระเกศฯ ศาลาใหญ่ และมีพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ ในวันพรุ่งนี้ (18 ก.พ.) เวลา 16.00 น.
 
สำหรับประวัตินายชาญชัย เกิดเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2495 เป็นบุตรของนายสดใส และนางทองใบ ชัยรุ่งเรือง ที่ อ.บรบือจ.มหาสารคาม สำเร็จการศึกษาชั้นประถมศึกษา จากโรงเรียนบรบือ และสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษา จากโรงเรียนสารคามพิทยาคม จ.มหาสารคาม ระดับอาชีวศึกษา จากวิทยาลัยช่างก่อสร้างอุเทนถวาย ในระดับปริญญาตรี จากมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม และหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร ภาครัฐ เอกชน และการเมือง (วปม.) รุ่นที่ 1 ในระดับปริญญาโท รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
 
นายชาญชัย เริ่มเข้าสู่การเมืองโดยการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดมหาสารคาม ในปี พ.ศ. 2526 พ.ศ. 2529 พ.ศ. 2535/1 พ.ศ. 2538 พ.ศ. 2544 และ พ.ศ. 2548 เคยดำรงตำแหน่งทางการเมืองในตำแหน่งรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ช่วงปลายปีพ.ศ. 2550 และถูกปรับออกจากตำแหน่งในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2553 หลังการอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีในประเทศไทย พ.ศ. 2553
 
นายชาญชัย ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเลขาธิการพรรคเพื่อแผ่นดิน ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2551 ซึ่งมี พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก เป็นหัวหน้าพรรค ต่อมามีการยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการประชุมว่าผิดข้อบังคับ โดย กกต.มีมติเห็นว่าการประชุมดังกล่าวผิดข้อบังคับ หลังจากนั้นได้มีการลงมติเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ ปรากฏว่า นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดินแทน จนกระทั่งในช่วงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2554 นายชาญชัย พร้อมด้วยสมาชิกพรรคเพื่อแผ่นดิน ตัดสินใจย้ายไปร่วมงานการเมืองกับพรรครวมชาติพัฒนา และเปลี่ยนชื่อพรรคใหม่เป็น พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

โพลล์เผยคนกรุงเทพฯ 67.9% ยอมรับเคยมีเพศสัมพันธ์ก่อนการแต่งงาน

Posted: 17 Feb 2018 02:16 AM PST

บ้านสมเด็จโพลล์เผยผลสำรวจ คนกรุงเทพฯ 1,174 คน พบ 67.9% ระบุเคยมีเพศสัมพันธ์ก่อนการแต่งงาน 62.7% รับได้กับเรื่องของการมีเพศสัมพันธ์ก่อนการแต่งงาน

 
 
17 ก.พ. 2561 ศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ได้ดำเนินโครงการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับเพศสัมพันธ์ก่อนการแต่งงาน โดยเก็บจากกลุ่มตัวอย่างจากประชาชนที่อาศัยอยู่ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร จำนวนทั้งสิ้น 1,174 กลุ่มตัวอย่าง เก็บข้อมูลในวันที่ 6 - 9 กุมภาพันธ์ 2561  ซึ่งกลุ่มตัวอย่างในการสำรวจครั้งนี้ใช้เกณฑ์ตารางสำเร็จรูปของ Taro Yamane กำหนดว่าประชากรเกิน 100,000 คนต้องการความเชื่อมั่น 95% และความผิดพลาดไม่เกิน 3% ต้องใช้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,111 กลุ่มตัวอย่าง 
 
ผู้ช่วยศาสตราจารย์สิงห์ สิงห์ขจร ประธานคณะกรรมการศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ กล่าวว่า ผลการสำรวจในครั้งนี้ต่ออยากจะสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาสังคมอีกมุมหนึ่งที่สังคมอาจจะไม่อยากรับรู้ ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในสังคม แต่ปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบกับสังคม การมีเพศสัมพันธ์ก่อนการแต่งงานมักไม่ได้คิดถึงผลที่จะเกิดตามมา การที่ไม่มีความพร้อม ทำให้เกิดปัญหาครอบครัวซึ่งนำไปสู่ปัญหาการหย่าร้าง การมีเพศสัมพันธ์อาจทำให้เกิดการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ ที่สำคัญคือ โรคเอดส์ และโรคในกลุ่มกามโรค ปัญหาสังคมในเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ก่อนการแต่งงานส่งผลกระทบต่อขนบธรรมเนียม วัฒนธรรมอันดีของสังคมไทย  โดยผลการสำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์เกี่ยวกับเพศสัมพันธ์ก่อนการแต่งงาน โดยมีข้อมูลที่น่าสนใจดังต่อไปนี้
 
กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่คิดว่าปัญหาการมีเพศสัมพันธ์ก่อนการแต่งงาน เป็นปัญหาสังคม ร้อยละ 52.6 อันดับที่สองคือไม่ใช่ ร้อยละ 27.0 อันดับที่สามคือ ไม่แน่ใจ ร้อยละ 20.4 และคิดว่าสังคมไทยในปัจจุบันสามารถรับได้กับเรื่องของการมีเพศสัมพันธ์ก่อนการแต่งงานร้อยละ 62.7 อันดับที่สองคือรับไม่ได้ ร้อยละ 19.6 และอันดับที่สามคือ ไม่แน่ใจ ร้อยละ 17.7
 
กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่คิดว่าการมีเพศสัมพันธ์ก่อนการแต่งงานเป็นเรื่องปกติ ร้อยละ 70.2อันดับที่สองคือไม่แน่ใจ ร้อยละ 15.7 และอันดับที่สามคือไม่ใช่ ร้อยละ 14.1 และอยากให้สังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับความคิดเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ก่อนการแต่งงาน ร้อยละ 74.4 อันดับที่สองคือไม่แน่ใจ ร้อยละ 13.4 และอันดับที่สามคือไม่อยากให้ยอมรับ ร้อยละ 12.2
 
กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่คิดว่าการป้องกันโรคติดต่อของการมีเพศสัมพันธ์วิธีที่ดีที่สุดคือใช้ถุงยางอนามัย ร้อยละ 78.3 อันดับที่สองคือเลือกคู่นอนที่รู้สึกปลอดภัย ร้อยละ 14.0 และอันดับที่สามคือไม่สนใจในการป้องกัน ร้อยละ 7.7 และคิดว่าการป้องกันการตั้งครรภ์วิธีที่ดีที่สุดคือใช้ถุงยางอนามัย ร้อยละ 65.0 อันดับที่สองคือทานยาคุมกำเนิด ร้อยละ 19.2 และอันดับที่สามคือหลั่งภายนอก ร้อยละ 15.8
 
กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เคยมีเพศสัมพันธ์ก่อนการแต่งงาน ร้อยละ 67.9 อันดับที่สองคือไม่แน่ใจ ร้อยละ 20.9 และอันดับที่สามคือไม่เคย ร้อยละ 11.2 และมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกมากที่สุดคืออายุ 16 – 18  ปีร้อยละ 28.3 อันดับที่สองคืออายุ 19 – 20 ปี ร้อยละ 26.3 อันดับที่สามคืออายุมากกว่า 20 ปี ร้อยละ 15.8 อันดับที่สี่คืออายุ 12 – 15 ปีและไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ ร้อยละ 13.6 และอันดับที่สุดท้ายคืออายุต่ำกว่า 12 ปี ร้อยละ 2.4
 
ในส่วนของการเคยมีเพศสัมพันธ์มาแล้ว 2 – 3 คน ร้อยละ 34.6 อันดับที่สองคือ 4 – 5 คน ร้อยละ 19.8 อันดับที่สามคือ 1 คนร้อยละ 17.0 อันดับที่สี่คือไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ ร้อยละ 13.6 อันดับที่ห้าคือ 6 – 10 คน ร้อยละ 7.9 และอันดับที่สุดท้ายคือมากกว่า 10 คน ร้อยละ 7.1
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

คณะทำงานวาระผู้หญิงชายแดนใต้ เสนอนโยบายสภาวะแวดล้อมที่หนุนเสริมสันติภาพ

Posted: 17 Feb 2018 01:04 AM PST

คณะทำงานวาระผู้หญิงชายแดนใต้ ทำจดหมายถึงพลเอกอักษรา เกิดผล  หัวหน้าคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ และหัวหน้าคณะพูดคุยเพื่อสันติภาพสภาชูรอแห่งปาตานี (MARA PATANI) ขอให้ปรึกษาหารือเพื่อร่วมกันหาทางออกให้เกิดสภาวะแวดล้อมที่เอื้อต่อกระบวนการสันติภาพ

 
17 ก.พ. 2561 คณะทำงานวาระผู้หญิงชายแดนใต้ (Peace Agenda of Women - PAOW) ทำจดหมายถึงพลเอกอักษรา เกิดผล หัวหน้าคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้  และหัวหน้าคณะพูดคุยเพื่อสันติภาพสภาชูรอแห่งปาตานี (MARA PATANI) เพื่อขอให้ปรึกษาหารือ เพื่อร่วมกันหาทางออกให้เกิดสภาวะแวดล้อมที่เอื้อต่อกระบวนการสันติภาพ โดยระบุว่าด้วยคณะทำงานวาระผู้หญิงชายแดนใต้ (Peace Agenda of Women - PAOW) ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกกลุ่ม/องค์กรผู้หญิงภาคประชาสังคมทั้งชาวพุทธและชาวมุสลิม ที่ทำงานสนับสนุนกระบวนการสร้างสันติภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้รวม 23 กลุ่ม/องค์กร ได้ให้ความสนใจและติดตามสถานการณ์การพูดคุยระหว่างตัวแทนรัฐบาลไทย และกลุ่มมารา ปาตานีอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเห็นว่าเป็นแนวทางสำคัญที่เป็นสันติวิธี ที่จะช่วยคลี่คลายสถานการณ์ในพื้นที่ และได้ทราบว่าการพูดคุยมีความก้าวหน้ามากพอสมควร โดยคู่พูดคุยได้มีการเลือกอำเภอนำร่องพื้นที่ปลอดภัยแล้ว และกำลังเตรียมการเพื่อที่จะสร้างพื้นที่ปลอดภัยตามแผนที่ได้ตกลงร่วมกัน
 
อย่างไรก็ตาม คณะทำงานวาระผู้หญิงชายแดนใต้ เห็นว่ากระบวนการพูดคุยและการสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ประสบความสำเร็จ และได้รับการสนับสนุนจากชุมชนสังคม จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีสภาวะแวดล้อมที่เอื้อต่อกระบวนการสันติภาพ แต่ในขณะนี้ เรากลับพบว่า สภาวะแวดล้อมในหลาย ๆ ด้านในพื้นที่ มีความน่าห่วงใย และไม่เอื้อต่อกระบวนการสันติภาพเท่าที่ควรจะเป็น อาทิ การใช้ปฏิบัติการทางทหารด้วยการปิดล้อมตรวจค้นหมู่บ้านและกลุ่มคนเป็นจำนวนมากแบบเหวี่ยงแห การใช้กฎอัยการศึกตรวจค้นบ้านพักของผู้หญิงที่เป็นนักปกป้องสิทธิมนุษยชน การฟ้องร้องนักปกป้องสิทธิมนุษยชนและสื่อมวลชน ที่รายงานหรือพูดถึงเรื่องการซ้อมทรมาน การใช้พฤติกรรมและท่าทีที่แข็งกร้าวในการแก้ปัญหาที่สุ่มเสี่ยง ต่อการหันเหไปจากแนวทางสันติวิธีที่เป็นนโยบายหลักของรัฐบาล การไม่มีพื้นที่ทางการเมืองให้กลุ่มคนที่มีความเห็นต่างได้แสดงออกอย่างเสรีและปลอดภัย การก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่สาธารณะต่างๆที่สร้างผลกระทบต่อผู้หญิง เด็กและพลเรือน เช่น กรณีเหตุระเบิดในตลาด เส้นทางใกล้สถานศึกษา กราดยิงโรงพยาบาล เป็นต้น รวมทั้ง ดูเหมือนว่าจะมีการพุ่งเป้าท าร้ายโจมตีประชาชนบางกลุ่ม โดยเฉพาะที่เป็นชาวพุทธ
 
หากปล่อยให้มีการใช้ปฏิบัติการทางทหารและความรุนแรงตอบโต้กันไปมาเช่นนี้ในระหว่าง คู่ขัดแย้ง หรืออาจจะเป็นการผสมโรงใช้ความรุนแรงจากบุคคล/กลุ่มอื่นใดอีกก็แล้วแต่ ก็รังแต่จะทำให้เกิดความรุนแรงที่กลายเป็นวงจรไม่มีวันสิ้นสุด และส่งผลกระทบต่อเด็ก ผู้หญิง และพลเรือนที่ไม่ใช่คู่ขัดแย้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะผู้หญิงที่ต้องแบกรับผลกระทบจากทุกกรณี นอกจากนั้น ยังเป็นอุปสรรคสำคัญที่จะฉุดรั้งการพูดคุยและการสร้างพื้นที่ปลอดภัย ไม่ให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างราบรื่น รวมทั้งได้รับการยอมรับจากประชาสังคม ชุมชน และสังคม
 
ด้วยเหตุนี้ คณะทำงานวาระผู้หญิงชายแดนใต้ จึงขอให้ท่านได้โปรดพิจารณาข้อกังวล และห่วงใยของพวกเราไปปรึกษาหารือในระหว่างการพูดคุย เพื่อหาทางออกร่วมกัน ที่จะช่วยกันทำให้สภาวะแวดล้อมในพื้นที่เอื้อ ส่งเสริม และสนับสนุนต่อกระบวนการสันติภาพได้อย่างแท้จริง
 
ก่อนหน้านี้ คณะทำงานวาระผู้หญิงชายแดนใต้ เคยเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นของผู้หญิง ชาวพุทธและมุสลิม ในชุมชนที่ได้รับผลกระทบ และภาคประชาสังคมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน 380 คน จาก 5 เวที (ในช่วงเดือนพ.ย. 2559 - ส.ค. 2560) เพื่อรับฟังข้อห่วงใย และข้อเสนอของผู้หญิงต่อการสร้างสภาวะแวดล้อมที่เอื้อต่อกระบวนการสันติภาพ พบว่ามี 4 เรื่องสำคัญ ประกอบด้วย 1.ความปลอดภัย 2.ความเป็นธรรม กระบวนการยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน 3.เศรษฐกิจ และ 4.การอยู่ร่วมกันในสังคม พหุวัฒนธรรม รายละเอียดปรากฏอยู่ในข้อเสนอเชิงนโยบายการสร้างสภาวะแวดล้อมที่หนุนเสริมสันติภาพ ตามที่ส่งมาให้ท่านได้พิจารณาพร้อมกันด้วยนี้
 
จึงเรียนมาเพื่อให้ท่านได้โปรดพิจารณา ข้อห่วงใย และข้อเสนอตามที่เรียนมาข้างต้น
 
 
AttachmentSize
ข้อเสนอเชิงนโยบาย-สภาวะแวดล้อมที่เอื้อต่อการสร้างสันติภาพ346.41 KB
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

This posting includes an audio/video/photo media file: Download Now

'ระพี สาคริก' ถึงแก่อนิจกรรมเช้าวันนี้

Posted: 17 Feb 2018 12:13 AM PST

'ศาสตราจารย์ระพี สาคริก' ราษฎรอาวุโส ปรมาจารย์ด้านกล้วยไม้ของไทย ถึงแก่อนิจกรรมอย่างสงบ ด้วยวัย 95 ปี ช่วงเช้าวันนี้

 
17 ก.พ. 2561 เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจรายงานว่า เมื่อเวลา 07.00 น. วันนี้ ศ.ระพี สาคริก ราษฎรอาวุโส , ปรมาจารย์ด้านกล้วยไม้ ผู้บุกเบิกวงการกล้วยไม้ของประเทศไทยสู่สากล ,อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ถึงแก่อนิจกรรมอย่างสงบด้วยวัย 95 ปี ที่บ้านพักย่านบางเขน โดยจะมีการตั้งศพบำเพ็ญกุศล ณ วัดพระศรีมหาธาตุบางเขน ในวันจันทร์ที่ 19 ก.พ. 2561 เป็นต้นไป 
 
สำหรับศาสตราจารย์ ระพี สาคริกเกิดเมื่อ 4 ธันวาคม  2465  เกิดที่วรจักร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร เป็นบุตรชายคนโตของขุนตำรวจเอก พระมหาเทพกษัตริยสมุห (เนื่อง สาคริก) และคุณแม่สนิท ภมรสูตร
 
เริ่มต้นการศึกษาระดับประถมที่โรงเรียนสามเสนวิทยาคาร และจากนั้นได้ย้ายโรงเรียนอีกหลายแห่ง ตั้งแต่โรงเรียนเซนต์คาเบรียล โรงเรียนจิตรลดา โรงเรียนนาฏศิลป์ โรงเรียนวัดเบญจมบพิตรหรือ โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตรในปัจจุบัน จนจบชั้นมัธยมบริบูรณ์ และได้รับประกาศนียบัตรจากกระทรวงศึกษาธิการถึง 2 ใบ
 
จากนั้นจึงได้เข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนเตรียมวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (ต่อมาสถาปนาขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หลักสูตรปริญญาตรี 5 ปี เมื่อ พ.ศ. 2486) ซึ่งเปิดสอนระดับเตรียมมหาวิทยาลัยที่แม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่ (แม่โจ้รุ่น 7) โดยศึกษาในคณะเกษตร
 
ศาสตราจารย์ระพี สาคริก ได้เลือกศึกษาด้านกสิกรรมและสัตวบาล สาขาปฐพีวิทยาระดับปริญญาตรีและได้รับพระราชทานปริญญาบัตรเมื่อ พ.ศ. 2490 ศาสตราจารย์ระพี ยังได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขานวัตกรรมเกษตรจาก มหาวิทยาลัยรังสิต ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
 
ศ.ระพี สาคริกได้รับการทาบทามจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ที่กรุงเทพฯ ให้เข้าเป็นอาจารย์ประจำ แต่เนื่องจากความชอบทำงานค้นคว้าภาคสนามจึงเลือกไปทำงานที่สถานีทดลองกสิกรรมที่แม่โจ้ในตำแหน่งลูกจ้างชั่วคราว ได้รับมอบหมายให้ทำการวิจัยพันธุ์ข้าว พันธุ์ผักและยาสูบ
 
ในขณะเดียวกันก็ทำการศึกษาค้นคว้าด้าน "กล้วยไม้" ไปด้วยด้วยทุนส่วนตัว ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นกิจวัตรในชีวิตของท่านที่ได้อุทิศให้กับงานค้นคว้าวิจัยด้านกล้วยไม้ตลอดมาจนได้รับการยอมรับจากวงการกล้วยไม้ของโลกว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญมากที่สุดผู้หนึ่ง เมื่อทำงานวิจัยได้ 2 ปี จึงกลับเข้ามารับราชการเป็นอาจารย์ประจำที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
 
ผลงานการค้นคว้าและส่งเสริมกล้วยไม้ทั้งในด้านการปรับปรุงพันุธุ์ ขยายพันธุ์ตลอดจนด้านธุรกิจการส่งออก ทำให้กล้วยไม้ไทยกลายเป็นสินค้าส่งออกด้านเกษตรที่สำคัญชนิดหนึ่งของประเทศไทย ด้วยเหตุนี้ ศาสตราจารย์ระพี สาคริกจึงได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานเหรียญดุษฎีมาลา เข็มศิลปวิทยา สาขาเกษตรศาสตร์ พ.ศ. 2511 
 
นอกจากนี้ยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ พ.ศ. 2513อีกด้วย
 
อ.ระพี สาคริก เคยดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในรัฐบาลพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ รวมทั้งตำแหน่งอื่นๆ ที่สำคัญอีกมากมาย แม้จะเกษียณอายุราชการนานแล้วก็ตาม ศาสตราจารย์ระพี สาคริกก็ยังได้รับความเคารพยกย่องเป็นปูชนียบุคคล โดยเฉพาะในวงการศึกษาและวงการกล้วยไม้ จนได้รับการกล่าวขานว่าเป็น บิดาแห่งกล้วยไม้ไทย 
 
ชีวิตครอบครัว ศ.ระพี สาคริกสมรสกับคุณกัลยา มนตริวัตร บุตรีขุนพิชัยมนตรี หัวหน้าเสรีไทยสายกาญจนบุรี มีบุตร 4 คน เป็นชาย 3 คน ได้แก่ นาย รวิวรรณ สาคริก นาย พีระพงศ์ สาคริก  นาย วงษ์ระวี สาคริก หญิง 1 คน ได้แก่ นางสาว มาลีกันยา สาคริก
 
เมื่อปี 2533 ศาสตราจารย์ระพี สาคริกได้ลาออกจากตำแหน่งประจำต่างๆ ที่ท่านดำรงทั้งภาคราชการ กึ่งราชการและภาคเอกชน เพื่อหันมาใช้ชีวิตที่สงบและเรียบง่าย เหลือเพียงการเป็นที่ปรึกษาให้วิทยาทานด้วยการบรรยาย สัมมนา โดยเฉพาะด้านการพัฒนาชนบทและเยาวชนที่เน้นด้านคุณธรรมและจริยธรรม
 
อ.ระพี สาคริกได้นอนพักรักษาตัวที่บ้านย่านบางเขน หลังมีอาการวูบขณะร่วมงานทางวิชาการงานหนึ่งเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2559  ซึ่ง ศ.ระพีเป็นประธานในพิธี จนต้องนำตัวส่งโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าในทันที หลังแพทย์ตรวจรักษาพบเป็นเบาหวานและมีอาการทางสมอง คนไข้มีอาการเพ้อตลอดเวลา น่าจะเป็นอาการสับสนเฉียบพลัน ซึ่งเป็นปกติของผู้สูงอายุ และอาการป่วยดีขึ้นเป็นลำดับ ก่อนกลับมาพักรักษาตัวที่บ้านและถึงแก่อนิจกรรมในวัย 95 ปี
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ: 'แพทย์ป่วย'เมื่อ MedTech กำลังทำลายกระบวนการทำงานดั้งเดิมของวงการแพทย์

Posted: 17 Feb 2018 12:09 AM PST


 

ผมไม่ได้ไปโรงพยาบาลรัฐบ่อยนัก ผมมีโอกาสได้ไปเยี่ยมเพื่อนที่โรงพยาบาลรามาธิบดีสองสามครั้งในรอบเดือนที่ผ่านมา และพบกับประสบการณ์ที่เชื่อว่าใครที่เคยเป็นผู้ป่วยหรือญาติผู้ป่วยย่อมเคยได้รับประสบการณ์เช่นนี้ คือ พื้นที่แน่นขนัด, การรอคอยแพทย์ที่ยาวนานไร้ที่สิ้นสุด, กระบวนการจ่ายยาและจ่ายเงินที่ชักช้า, ราคาและต้นทุนการรักษาพยาบาลที่ไม่ชัดเจนและควบคุมไม่ได้ และที่สำคัญคนไข้รู้สึกไม่สามารถควบคุม/เข้าใจถึงสถานภาพตนเองได้

แต่การแพทย์และระบบรักษาพยาบาลไทยไม่จำเป็นต้องเป็นอย่างนี้ตลอดไป

อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กสมัยใหม่ที่เชื่อมต่อกันอย่างไร้สายไร้พรมแดนกับพลังแห่งปัญญาประดิษฐ์สามารถปฏิวัติวงการแพทย์ได้

ปัจจุบันนาฬิกาเพื่อสุขภาพสามารถเก็บข้อมูลสุขภาพต่างๆ (เช่น การเต้นของหัวใจ, ชีพจร, จำนวนก้าวเท้า และอัตราการหายใจขณะนอน เป็นต้น) ของผู้สวมใส่ได้ อุปกรณ์จำพวกนี้ในอนาคตจะมีราคาถูกลง, มีการใช้แพร่หลายมากขึ้น และมีอรรถประโยชน์ใช้สอยมากขึ้น

อุปกรณ์ไฟฟ้าขนาดเล็กสมัยใหม่ในอนาคตอาจตรวจองค์ประกอบของเหงื่อหรือปัสวะ ส่งข้อมูลองค์ประกอบเหล่านั้นเข้าประมวลผลด้วยปัญญาประดิษฐ์ ร่วมกับข้อมูลสุขภาพส่วนตัวที่เกิดมาก่อนหน้า ตรวจสอบความเหมือนกันของอาการกับฐานข้อมูลของคนทั่วโลก และส่งคำแนะนำการรักษาที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด/เหมาะสมที่สุดรายบุคคลให้กับเจ้าตัวได้

หรืออุปกรณ์เหล่านี้อาจทำให้คนไข้สามารถตรวจจับน้ำตาลในเลือดได้ด้วยตัวเอง (ลองดู app ชื่อ bluestar ที่ตรวจจับเบาหวานและแนะนำทางแก้ให้กับผู้เป็นเบาหวาน) และบันทึกการเปลี่ยนแปลงด้วยตัวเอง โดยที่แพทย์เจ้าของไข้สามารถตรวจสอบออนไลน์ได้ทุกเวลา อุปกรณ์เหล่านี้อาจสามารถ แนะนำ/ตรวจจับ/ติดตาม/รายงานความก้าวหน้าของการทำกายภาพบำบัดของผู้ป่วยโดยที่ผู้ป่วยไม่ต้องไปโรงพยาบาล

โทรศัพท์มือถืออาจทำให้การจองคิวนัดพบแพทย์หรือจองคิวเครื่องแสกน MRI ง่ายเหมือนกับการจองโรงแรมผ่าน booking.com หรือเรียกรถจาก Uber แพทย์อาจสามารถเข้าถึงข้อมูลคนไข้ผ่านข้อมูลที่ถูกเก็บโดยอุปกรณ์ต่างๆ ล่วงหน้าก่อนเวลานัดหมาย ลดเวลาการตรวจหน้างานและทำให้การรักษาแม่นยำขึ้น

ข้อมูลสุขภาพจำนวนมหาศาลจะถูกประมวลผลโดยปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถให้คำแนะนำสุขภาพเบื้องต้นได้โดยไม่ผ่านระบบโรงพยาบาลอย่างที่เป็นอยู่ ในกรณีการเจ็บป่วยไม่รุนแรงและซับซ้อน อาจสั่งจ่ายยาได้เลย ในกรณีที่รุนแรงหรือซับซ้อน บุคลากรทางการแพทย์สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ลึกกว่าปัจจุบัน และสามารถร่วมกันวินิจฉัยทางออนไลน์ได้

ตัวอย่างของบริษัทที่ประสบความสำเร็จใน Medtech เช่น แอพพลิเคชั่น Pivot ช่วยแนะนำและติดตามผลให้คนเลิกบุหรี่ ผู้ใช้โปรแกรมสามารถซื้อเซ็นเซอร์ตรวจจับนิโคตินในลมหายใจติดตั้งกับโทรศัพท์ และถ่ายข้อมูลลมหายใจสู่โทรศัพท์ด้วย bluetooth โปรแกรมนี้ใช้อย่างแพร่หลายและได้รับการยอมรับจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา

เช่นเดียวกับ Fintech, Medtech ไม่ได้ต้องการทำลายความรู้ที่มีอยู่ แต่ต้องการทำลายองค์กร/สถาบัน/ขั้นตอน ที่ไม่มีประสิทธิภาพ, ซับซ้อนและยุ่งเหยิง ที่เทคโนโลยีสมัยใหม่แก้ไขได้

ในกรณีของ Fintech การบริการให้คำแนะนำการลงทุนซึ่งแต่เดิมเป็นบริการสำหรับคนรวยจากบุคลากรของธนาคารชั้นนำ ปัจจุบันการบริการให้คำแนะนำการลงทุนในทรัพย์สินต่างๆสามารถทำได้ผ่านปัญญาประดิษฐ์ โดยมีผู้เชียวชาญกำกับดูแลห่างๆ ต้นทุนของการให้บริการจึงต่ำลงและทำให้คนทุกคนเข้าถึงบริการให้คำแนะนำการออมและการลงทุนได้ ทุกคนสามารถเป็นผู้ลงทุน, นักวิเคราะห์, นักจัดสัดส่วนการลงทุน และทำการซื้อขายด้วยตนเอง โดยไม่ผ่านระบบธนาคารดั้งเดิม

Bitcoin ปลดปล่อยการผูกขาดตัวกลางการแลกเปลี่ยนสินค้าจากรัฐชาติและธนาคารกลาง, ebanking ทำลายระบบหน้าร้านของธนาคาร ธุรกรรมสามารถทำได้โดยไม่ต้องไปธนาคารอีกต่อไป, crowd funding อนุญาติให้ผู้ออมและผู้ต้องการเงินลงทุนพบและทำธุรกรรมกันได้โดยตรง เป็นต้น

แต่ทั้งหมดไม่ได้ทำลายความรู้พื้นฐานด้านการเงินเช่น การคำนวนมูลค่าปัจจุบัน discounted cashflow, ทฤษฎีการประเมินมูลค่า Black-Scholes model, หรือความเข้าใจและการประยุกต์ใช้สัญญาซื้อขายล่วงหน้าต่างๆ

Medtech จะทำลายสถาบันเก่าในวงการแพทย์อย่างถึงรากถึงโคนเช่นเดียวกัน นับตั้งแต่กระบวนการลงทะเบียนรับผู้ป่วย, การเก็บและใช้ข้อมูลสุขภาพ, กระบวนการวินิจฉัยและรักษา, กระบวนการติดตามผล, การจ่ายยา, การจ่ายเงิน, และการประเมินผลแพทย์

แม้ความรู้ทางการแพทย์จะก้าวหน้าไปมาก แต่กระบวนการรักษาและขั้นตอนปฏิบัติการของวงการแพทย์ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมานาน วันที่กระบวนการที่เก่า, ช้า, เทอะทะและไม่มีประสิทธิภาพของวงการแพทย์จะถูกปฏิวัติอาจกำลังใกล้เข้ามา

ตัวอย่างหนึ่งของสัญญาณการเปลี่ยนแปลงคือการที่ Berkeshire Hathaway, JP Morgan Chase และ Amazon สามบริษัทชั้นนำของโลกตัดสินใจทำงานร่วมกันเพื่อเปลี่ยนแปลงการให้บริการทางการแพทย์ในสหรัฐอเมริกา โดยเริ่มจากการให้บริการในรูปแบบใหม่กับพนักงานของทั้งสามบริษัท ถึงตอนนี้รูปธรรมของโครงการยังไม่เปิดแผยต่อภายนอก แต่เราคาดเดาได้แน่นอนว่าอะไรที่สามบริษัททำแล้วประสบความสำเร็จกับพนักงานของตนเอง สิ่งนั้นจะถูกขยายผลออกมายังโลกภายนอก


สังคมไทยจะเริ่มใช้ Medtech ได้อย่างไร?

อนิจจาข้อมูลของผู้ป่วยปัจจุบันถูกเก็บในรูปแบบกระดาษซึ่งปัญญาประดิษฐ์ไม่สามารถอ่านได้ การเก็บข้อมูลในรูปแบบกระดาษทำให้การเชื่อมโยงและการเรียนรู้หารูปแบบการเกิดโรคหรือรูปแบบการแก้ปัญหาที่ประสบความสำเร็จเป็นไปไม่ได้

แน่นอนอุปกรณ์ไฟฟ้าสมัยใหม่และปัญญาประดิษฐ์ไม่สามารถแทนที่เครื่อง MRI ได้ แต่ก้าวแรกของการใช้ Medtech เกิดขึ้นได้จากการเริ่มเก็บข้อมูลในรูปแบบอิเลคโทรนิค

ก้าวแรก รัฐไทยควรส่งเสริมให้เกิดการเก็บข้อมูลสุขภาพของประชาชนในรูปแบบอิเลคโทรนิคในโรงพยาบาลและศูนย์การแพทย์ของรัฐทั้งหมด และให้เจ้าตัวสามารถดูและเข้าถึงข้อมูลของตนเองได้ตลอดเวลา เจ้าตัวจะเป็นเจ้าของสุขภาพของตนเองและมีอำนาจเหนือการเลือกการรักษา เจ้าตัวสามารถมีให้อำนาจคนที่ตนเองไว้ใจ เช่นแพทย์, ญาติสนิท หรือ app ต่างๆ เข้าดูข้อมูลดังกล่าวได้

ไกลกว่านั้น รัฐควรสนับสนุนให้คนรุ่นใหม่ที่มีความรู้สามารถสร้าง software หรือ hardware เพื่อจัดการแยกแยะข้อมูลและใช้ความรู้การแพทย์บริหารข้อมูลดังกล่าว (ตามแต่ความสมัครใจของเจ้าของข้อมูล) ให้เกิดประโยชน์ในการรักษาและประโยชน์สูงสุดต่อสังคมได้

กลไกการทำงานของวงการแพทย์เป็นอย่างที่เป็นอยู่มานาน ภาคการเงินและวงการสื่อสารมวลชนถูกเขย่าอย่างแรงจากการเข้ามาของ Fintech และ New Media อีกไม่นาน Medtech จะเขย่าวงการแพทย์อย่างแรงไม่แพ้กัน ตัวกลางที่เทอะทะไม่จำเป็นหรือหมดหน้าที่ในโลกใหม่จะล่มสลายพร้อมกับคนหรือสถาบันที่ไม่ยอมปรับตัว

 

หมายเหตุ: เผยแพร่ครั้งแรกใน Facebook Thanathorn Juangroongruangkit

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

[คลิป] วงถก 'การศึกษาไทยในยุค 4.0 : ทางเลือกและทางรอดในโลกเสรีนิยมใหม่?'

Posted: 16 Feb 2018 10:53 PM PST

วิดีโอเสวนาหัวข้อ "การศึกษาไทยในยุค 4.0 : ทางเลือกและทางรอดในโลกเสรีนิยมใหม่?" วิทยากร ดร.วงอร พัวพันธุ์สวัสดิ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พุฒิพงศ์ พจน์จำเนียร และ ธนพงษ์ หมื่นแสน Group of Comrades จัดโดย สาขาวิชาปรัชญา การเมือง และเศรษฐศาสตร์ วิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ Group of Comrades ส่วนหนึ่งของกิจกรรม สัมมนา Marxism 2018 ณ ห้อง 302 วิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เมื่อวันที่ 4 ก.พ.2561

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ถ้าจะเรียกร้องความเป็นธรรมให้สัตว์ป่าทุ่งใหญ่ฯ ก็ต้องเรียกร้องความเป็นธรรมให้ชาวบ้านทุ่งใหญ่ฯ

Posted: 16 Feb 2018 04:39 PM PST



ข่าวการจับกุมนายเปรมชัย กรรณสูตร เจ้าของธุรกิจก่อสร้างยักษ์ใหญ่ ได้สร้างพึงพอใจให้กับสังคมในการปกป้องชีวิตสัตว์ป่า ด้วยความหวังว่าทุกคนเท่าเทียมตามกฎหมาย ในปฏิบัติหน้าที่ครั้งนี้ กรมอุทยานแห่งชาติ และนายวิเชียร ชิณวงษ์ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรตะวันตก ได้รับการยกย่องจากสังคมอย่างสูง

ในขณะที่ กรมอุทยานแห่งชาติ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรตะวันตกเข้าควบคุมตัวนายเปรมชัย และเพื่อน ที่มีอาวุธร้ายแรง เช่น ปืนไรเฟิล อย่างสงบ แต่ก่อนหน้านี้ไม่นาน หน่วยงานนี้มีการปฏิบัติการรุนแรงกับชาวบ้านด้วยการซุ่มยิงชาวบ้านที่ออกไปหาของป่า

เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2560 เจ้าหน้าที่อุทยานเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรตะวันตก ที่มีนายวิเชียร ชิณวงษ์ เป็นหัวหน้าหน่วย ได้ไปซุ่มยิงชาวบ้านห้วยเสือ ต.ชะแล อ.ทองผาภูมิ ที่ไปหาของป่า ตายหนึ่ง บาดเจ็บหนึ่ง

Thai PBS มีสกู๊ปเรื่องนี้ เหตุการณ์นี้ได้นำไปสู่การประท้วงของชาวบ้านกว่า 100 คน ร่วมกันยื่นข้อเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้กับผู้ตายจากการทำเกินกว่าเหตุของเจ้าหน้าที่อุทยานต่อผู้ว่าราชการจังหวัดในวันที่ 13 พฤศจิกายน หน่วยงานนี้ชี้แจงว่ามีเหตุจำเป็นในการยิงชาวบ้าน

ก่อนหน้านั้นหนึ่งปี ในเดือนพฤศจิกายน 2559 เจ้าหน้าที่อุทยานเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทุ่งใหญ่นเรศวร เช่นเดียวกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรตะวันตก ได้ซุ่มยิงชาวบ้านที่ไปเก็บเห็ดเสียชีวิต ที่บ้านไกเกียง สรุชา บุญเปี่ยม สปริงนิวส์ เคยทำรายงานเรื่องนี้ และติดตามความคืบหน้า ล่าสุดญาติผู้เสียชีวิตกำลังฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากเจ้าหน้าที่

พื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ตั้งแต่ปี 2525 เจ้าหน้าที่อุทยานยิงชาวบ้านแถบนี้ตายอย่างน้อย 5 คน ชาวบ้านที่ถูกยิงตายเป็นชาวกะเหรี่ยง รวมถึงคนตายรายล่าสุด แต่ไม่ปรากฎเป็นข่าวเพราะยังไม่มีเฟสบุ๊ค ถ้ามีการรวบรวมข้อมูลทั้งหมดจากพื้นที่อื่นที่อยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานนี้ จำนวนรวมอาจจะมากกว่านี้ การไม่เคยเป็นข่าวก่อนหน้ายุคเฟสบุ๊ค ย่อมแสดงว่าพวกเขาเป็นผู้ถูกหลงลืมไปสังคมไทย ได้ตั้งถิ่นฐานในพื้นที่แถบนี้มานานกว่าสองร้อยปี

ข่าวเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ สื่อจะรายงานเฉพาะจากฝ่ายกรมอุทยานแห่งชาติเท่านั้น ไม่มีความพยายามใดๆ ในการหาข้อเท็จจริงจากฝ่ายชาวบ้าน ถ้าไม่มีเฟสบุ๊ค เหตุการณ์ครั้งหลังสุดนี้ก็เหมือนจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น

หลังการแพร่กระจาย การยิงชาวกะเหรี่ยงไกเกียงบนเฟสบุ๊ค ศศิน เฉลิมลาภ ประธานมูลนิธิสืบ นาคะเสถียร ผู้ไม่เคยพูดถึงการคุกคามชาวกะเหรี่ยงทุ่งใหญ่นเรศวร แต่ได้ปกป้องการกระทำเจ้าหน้าที่อุทยาน ด้วยแชร์ผู้ใช้เฟสบุ๊ค "ปุณพจน์ ศรีเพ็ญจันทร์" ที่เล่าว่า เจ้าหน้าที่ยิง เพราะชาวบ้านมีอาวุธเล็งมาที่เจ้าหน้าที่อุทยาน จึงจำเป็นต้องยิง เหมือนกับคำอธิบาย การซุ่มยิงชาวบ้านห้วยเสือทองผาภูมิของเจ้าหน้าที่อุทยานทุ่งใหญ่ตะวันตก

ผมได้เขียนถาม ศศิน ว่า "ทำไมคุณไม่เล่าเหตุการณ์จากฝ่ายชาวบ้านด้วย ทำแบบนี้เท่ากับปกป้องการกระทำเกินกว่าเหตุ"

ศศิน ตอบ "จะให้ผมทำยังงัย"

เมื่อบุคคลที่น่าจะเป็นเจ้าหน้าที่อุทยาน ได้มาตอบและบอกว่าชาวบ้านเลว ล่าสัตว์ ยิงเจ้าหน้าที่ พวกเขาอดทนอดกลั้น

ผมถามไปว่า "ถ้าพวกคุณรู้จักชาวบ้านและพื้นที่ดี ช่วยอธิบายว่าชื่อห้วยขาแข้งมาจากไหน"

เขาตอบว่า "เ...ย"

ผมไม่สามารถแคปเจอร์หน้าจอมาได้ เพราะศศิน ได้อันเฟรนด์ไปแล้ว

สื่อส่วนใหญ่จะเผยแพร่ผลงานการจับกุม ทำให้เห็นกรมอุทยานแห่งชาติเป็นหน่วยงานแสนดี และหลีกเลี่ยงการรายงานการคุกคามชาวบ้าน การรายงานข่าวก็มักเกิดขึ้นจากการแพร่กระจายบนเฟสบุ๊ค เมื่อมีการแพร่กระจายบนเฟสบุ๊คแล้ว สื่อส่วนใหญ่ยังคงเป็นพื้นที่ให้หน่วยงานรัฐชี้แจงฝ่ายเดียว ไม่ให้น้ำหนักกับเสียงชาวบ้าน แน่นอนบทบาทของสื่อในยุคปัจจุบันไม่มีความสำคัญอีกแล้ว เพราะชาวบ้านมีเครื่องมือการสื่อสารยุคใหม่ที่ไม่มีความจำเป็นต้องพึ่งพาสื่ออีกต่อไป

ด้วยข้ออ้างปกป้องผืนป่าของทางการ แล้วชี้ว่าชาวบ้านกะเหรี่ยงเหล่านี้บุกรุกป่าย่อมไม่ถูกต้อง เพราะพวกเขาอยู่ที่นี่มายาวนาน จากเว็บบ้านจอมยุทธ สรุปว่า พวกเขาตั้งถิ่นฐานมานานตั้งแต่สมัยพระไชยราชา

ในประวัติศาสตร์ ชุมชนชาวกะเหรี่ยงสังขละบุรีต้องส่งเครื่องบรรณาการให้ผู้ปกครองไทย ย่อมแสดงฐานะเป็นประเทศราช สังขละบุรีเป็นรัฐกันชนไทยกับพม่า พวกเขามีส่วนปกป้องราชอาณาจักรไทยจากสงครามระหว่างรัฐไทยกับรัฐพม่า จนถึงสมัยรัชกาลที่ 3 ทรงโปรดเกล้าให้ เจ้าเมืองสังขละบุรี มีตำแหน่งพระศรีสุวรรณคีรี เป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรไทย

จากวรรณคดีขุนช้างขุนแผน ซึ่งสันนิษฐานว่าแต่งขึ้นยุคต้นกรุงรัตนโกสินธ์ แต่อาจจะเป็นเรื่องราวของกรุงศรีอยุธยา เมื่อขุนไกร ถูกลงอาญาของพระเจ้าอยู่หัว นางทองประศรีพาขุนแผนไปอยู่ในพื้นที่กาญจนบุรีและสามารถพ้นราชภัยได้ ย่อมแสดงว่า ราชอาณาจักรไทยยุคนั้น มีพรมแดนสิ้นสุดที่สุพรรณบุรีเท่านั้น

ชาวกะเหรี่ยงทุ่งใหญ่มีความเชื่อของตัวเองที่เรียกว่า ฤาษี หรือ เพอเจะ ในภาษาปกาเกอะญอ มีตำนานบอกว่า พวกเขาต้องอาศัยอยู่ในทุ่งใหญ่นเรศวร  หรือเซซาโว่ ชื่อในภาษาโพล่ง เพื่อเข้าสู่สังคมพระศรีอารยะ เรื่องนี้ดูเหมือนว่า มีศักดิ์สิทธิ์ปกป้องความเชื่อนี้

ตำนานฤาษีได้เล่าช่วงเวลาย้อนไปหลายร้อยปี เล่าถึงฤาษีองค์แรก ได้มาถึงเซซาโว่ ประกาศความเชื่อและมีอุปสรรคขัดขวาง จนวันหนึ่งฤาษีองค์นี้ประกาศว่า ในเมื่อส่งเสริมให้คนทำดีไม่ได้ ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปทำไม แล้วกระโจนเข้าสู่กองไฟ เผาตัวตาย

ถ้าพูดถึงอาถรรพ์ทุ่งใหญ่นเรศวร พวกเราอาจจะนึกถึงเหตุการณ์คดีล่ากระทิงป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ในปี 2516 แต่เหตุการณ์เหลือเชื่อเกิดขึ้นเมื่อมีการสร้างเขื่อนน้ำโจน ในปี 2522 เสียงคัดค้านเป็นอย่างกว้างขวาง ในปี 2526 เกิดแผ่นดินไหวที่กาญจนบุรี ความรุนแรงมากกว่า 5 ริกเตอร์หลายครั้ง แรงสั่นสะเทือนรับรู้ถึงกรุงเทพฯ นี่น่าจะเป็นสาเหตุทำให้มีการทบทวนแผนการก่อสร้าง หลังจากนั้นแผ่นดินไหวที่กาญจนบุรีมีความถี่น้อยลงเป็นหลายปีต่อครั้ง และความรุนแรงไม่เกิน 4 ริกเตอร์ ด้วยเครื่องวัดที่มีประสิทธิภาพมากกว่า ปัจจุบันเครื่องวัดของไทยรับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวที่ระดับ 1 ริกเตอร์

เหตุการณ์คดีล่ากระทิงป่าทุ่งใหญ่นเรศวร อาจจะไม่ใช่อาถรรพ์จากการล่าสัตว์โดยตรง แต่เป็นอาถรรพ์จากการสร้างเขื่อนเขาแหลม และเขื่อนศรีนครินทร์ ที่คุกคามพื้นที่ทุ่งใหญ่นเรศวร แต่เรื่องอาถรรพ์ทุ่งใหญ่นเรศวรเป็นเพียงเรื่องเล่าและความเชื่อเท่านั้น ไม่อาจจะพิสูจน์ได้

ชาวกะเหรี่ยงทุ่งใหญ่นเรศวรที่อุ้มผาง ที่รวมตัวในเชื่อกลุ่ม "ต้นทะเล" ตำบลแม่จัน อำเภออุ้มผาง เคยเสนอกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรตะวันออกว่า พวกเขาควรจะให้เก็บสมุนไพรจากป่า เช่น กระวาน มะอิ เพื่อการจำหน่าย เพราะนี่จะทำให้ชาวบ้านตระหนักถึงประโยชน์ที่จะได้รับ จะได้ช่วยกันรักษาสภาพป่าไว้ ตัวอย่างเช่น ที่บ้านม่งคั๋วะหรือหม่องคั๋วะ ใน ต.แม่จัน อ.อุ้มผาง มีพื้นที่ราบที่เหมาะสมกับต้นมะอิ แต่ชาวบ้านไม่ได้ประโยชน์จึงแปลงสภาพจากทุ่งมะอิเป็นที่นาแทน ฝ่ายเจ้าหน้าที่ได้รับข้อเสนอนี้และยินยอมให้เก็บผลผลิตมะอิ แต่ทุ่งใหญ่นเรศวรตะวันออก มีความเป็นมาบางประการที่เจ้าหน้าที่ยอมผ่อนปรนมากกว่าที่อื่น

ชาวกะเหรี่ยงกลุ่ม "ต้นทะเล" ได้รับรางวัล "คนค้นฅนอวอร์ด" ในปี 2555

การคุกคามชาวกะเหรี่ยงและที่ทำกินที่ทุ่งใหญ่นเรศวร ไม่ใช่พื้นที่เดียว เรื่องนี้ทำให้คิดถึงการบุกขับไล่และเผายุ้งข้าวชาวกะเหรี่ยงแก่งกระจาน ของเจ้าหน้าที่อุทยานนำโดยนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร และทหารติดอาวุธ เหตุการณ์ครั้งนั้น ปรากฎว่าเฮลิคอปเตอร์ลำเลียงกำลังพลและเฮลิคอปเตอร์ค้นหาตก ทำให้มีการวิจารณ์ของชาวกระเหรียงว่านี่เป็นอาถรรพ์ของการเผายุ้งข้าว

เมื่อพูดถึงทุ่งใหญ่นเรศวร ต้องคิดถึงสืบ นาคะเสถียร คุณสืบมีอุดมการณ์ปกป้องป่าและสัตว์ป่า แต่ความสิ้นหวังของเขาไม่ใช่ปัญหาการปกป้องจากบุคคลภายนอก ทว่าสิ้นหวังกับผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงาน ที่นำไปสู่การทำอัตวินิบาตกรรม

เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งได้รับการยกย่องจากสื่อจำนวนมาก ครั้งหนึ่ง มาโนช พุฒตาล เคยทำสกู๊ป ผู้ปกป้องผืนป่าตะวันตก ออกอากาศช่อง Thai PBS ยกย่องเจ้าหน้าที่อย่างเลอเลิศในฐานะผู้ปกป้องผืนป่า

เกี่ยวกับหน่วยงานนี้ มีพระธุดงค์รูปหนึ่ง ที่ธุดงค์ทุ่งใหญ่นเรศวรหลายครั้ง เล่าให้ฟังว่า เจ้าหน้าที่อุทยานเป็นตัวการล่าสัตว์ มีครั้งหนึ่งเดินผ่านหลังสำนักเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง มีซากสัตว์เพิ่งชำแหละเสร็จมาทิ้งไว้ พระรูปนี้ไม่มีเหตุโกรธเคือง จึงไม่มีเหตุอะไรจะต้องปั้นเรื่องเท็จ ซึ่งเป็นบาปใหญ่หลวงกับผู้ทรงศีล

ในสกู๊ปนั้น มาโนช พุดตาล ไม่ได้พูดถึงหน่วยงานนี้อย่างรอบด้าน และไม่มีการรายงานถึงการสังหารชาวบ้านในพื้นที่รับผิดชอบด้วยเช่นกัน

ทั้งเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรตะวันตก และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง และหน่วยอื่นๆ ของกรมอุทยานต่างปฏิบัติอย่างรุนแรงกับชาวบ้าน ละเมิดต่อสิทธิการดำรงชีวิต ละเมิดต่อทรัพย์สินด้วยเข้าครอบครองอย่างไม่ชอบธรรม เห็นชาวบ้านเป็นศัตรู คุกคาม และสังหาร มาโดยตลอด จนเป็นนโยบายแท้จริงในเชิงพฤตินัย

ถ้าฝ่ายรัฐจัดการผืนที่ป่าที่มีผู้ครอบครองมาก่อนด้วยการให้มีส่วนรวม เช่น ตามแนวทางหมู่บ้านป่าไม้แผนใหม่ ย่อมนำไปสู่การรักษาป่าที่ยั่งยืน เพราะชาวบ้านไม่ใช่แค่ผู้อยู่อาศัย ที่ไม่มั่นใจว่าจะถูกขับไล่เมื่อไร มาเป็นผู้ที่ตั้งถิ่นฐานถาวร พวกเขาย่อมจะพยายามรักษาผืนป่าอย่างเข้มแข็ง เหมือนข้อเสนอของกลุ่มกะเหรี่ยง "ต้นทะเล" เจ้าหน้าที่อุทยานย่อมจะได้รับการสนับสนุนกับคนในที่พื้นที่

การยอมให้ชาวบ้านมีส่วนร่วมย่อมเกิดขึ้นยาก เพราะการบังคับใช้กฎหมายสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า และกฎหมายอุทยานแห่งชาติ ให้อำนาจเด็ดขาดกับพวกเขาตามระบบอำนาจนิยม

การจับกุมนายเปรมชัย กรรณสูตร ของนายวิเชียร เป็นเรื่องถูกต้อง กรมอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรตะวันตกสมควรได้รับการยกย่องอย่างยิ่ง ในการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเข้มงวด

แต่สำนักงานเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทั้งสองแห่งสังหารชาวบ้านเป็นกระทำเกินกว่าเหตุ กรมอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าต้องรับผิดชอบและทบทวนการเลือกปฏิบัติ กรมจะต้องปฏิบัติกับผู้ฝ่าฝืนกฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ใช่การจับกุมกับคนกลุ่มหนึ่ง และยิงทิ้งคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ฝ่าฝืนกฎหมายฉบับเดียวกัน

ในเมื่อสังคมจะเรียกร้องความเป็นธรรมให้สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ก็ต้องเรียกร้องความเป็นธรรมให้ชาวบ้านทุ่งใหญ่นเรศวรด้วย

 

 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ใบตองแห้ง: กองหนุน “อย่างหนา "

Posted: 16 Feb 2018 04:04 PM PST



"อย่างหนาตราช้าง" แล้วไงล่ะ แล้วหมอธีก็ต้องขอโทษพี่ใหญ่ใจดี ผู้โอบอ้อมอารี รักพี่รักน้องรักสัตว์รักป่า เป็นอุทาหรณ์แก่นักเรียนไทย ซึ่งหมอธีพูดให้ฟังที่ลอนดอนว่า กลับมาทำงานบ้านเรา จะยึดวัฒนธรรมแป้งบางตามก้นฝรั่งไม่ได้นะ ไม่งั้นจะเอาตัวไม่รอด

ที่พูดไม่ออกเห็นจะเป็นสมาคมผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา อุตส่าห์สดุดีหมอธีกล้าหาญชาญชัย เป็นแบบอย่างให้เด็กและครู ไม่หวาดหวั่นพรั่นพรึง แม้อาจถูกปรับออกจากคณะรัฐมนตรี

แล้วทีนี้ จะสอนเด็กยังไงล่ะ เอาอย่างนี้สิ คุณครูควรชี้ให้เห็นว่าหมอธีเป็นผู้เสียสละ เพราะทีแรกใครๆ ก็ประเมินว่า หลังจากคลิปเสียงบีบีซีแพร่ออกไป (จนไม่สามารถปฏิเสธ ว่าไม่ได้พูด แค่อ้างว่าถูกอัดเทปไม่รู้ตัว) ถ้าหมอธีเป็นคนรักหน้า รักศักดิ์ศรีมากกว่าเสถียรภาพรัฐบาล สถานการณ์ก็อาจบานปลายถึงขั้น "พี่ป้อมไม่ออก หมอธีออก" ซึ่งจะเละไปกันใหญ่ ส่งผลร้ายต่อรัฐบาล เข้าทางพวกจ้องทำลาย

หมอธีเลยต้องเสียสละไง ยอมเสียหมอ ยอมให้ใครต่อใครด่าขรม มวยล้มต้มกองเชียร์ ทั้งที่คนอย่างหมอธี จะสะบัดก้นลาออก กลับไปทำงานกับวัฒนธรรมเมืองนอกเมื่อไหร่ก็ได้

แต่มาช่องนี้ ก็กลายเป็นยอมรับแรงกดดันแทนพี่ใหญ่ ถ้าหมอธีออก พี่ป้อมก็ถูกทะลวงฟัน พอหมอธีไม่ออก ตัวเองก็ถูกสกรัม

กรณีหมอธียังพิสูจน์ว่า เลิกตื๊อเรื่องนาฬิกาเหอะ ขนาดรัฐมนตรีด้วยกันใช้คำว่าอย่างหนาตราช้าง รัฐบาลใจเพชรยังไม่สะดุ้งสะเทือน ตอกย้ำความจำเป็นต้องผูกขาไปด้วยกัน ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

กองหนุน คสช. กองหนุนรัฐประหาร ที่เสียงแตกคนละทาง ต้องศึกษาหมอธีเป็นเยี่ยงอย่าง ไม่มีประโยชน์ที่ชูจริยธรรมกดดันพี่ป้อม โดยหวังลดแรงเสียดทานรัฐบาล ตรงกันข้าม จะทำลายเสถียรภาพต่างหาก ใครยังเล่นไม่เลิก คือพวกจ้องทำลาย ใครรักลุงตู่ ต้องทำใจรักพี่ป้อมด้วย

 

หลังกรณีหมอธี หลังชุมนุมเรียกร้องเลือกตั้ง หลายคนคิดว่ารัฐบาลขาลงจะสั่นคลอน แต่ไม่หรอกครับ เผลอๆ จะเกิดปรากฏการณ์ตีกลับ ทำให้กองหนุนผนึกกำลัง กลับมาค้ำจุนรัฐบาล เพราะยิ่งสั่นคลอน ยิ่งวิตกกังวล ก็ยิ่งต้องปกป้อง เหมือนที่ปรากฏมาหลายครั้ง

การชุมนุมซึ่งเกิดขึ้นอย่างห้าวหาญ ไม่หวั่นเกรงแม้ถูกจับกุมดำเนินคดี แม้มีคนไม่กี่ร้อย แต่ก็เป็นที่สนใจอย่างมาก มีคนดูคลิปถ่ายทอดในเฟสบุ๊คไลฟ์หลายแสนคน สะท้อนว่าประชาชนกำลังอัดอั้น หากปล่อยไปถึงจุดพลิกผัน ก็น่ากลัวอยู่เหมือนกัน

ทันใดนั้นจึงเกิดแรงสะท้อนกลับ กองหนุนที่ก่นขรม กลับไปพิทักษ์จุดยืนมั่นคง "ประชาธิปไตยคือเผด็จการ" ไม่อยากเลือกตั้ง ยิ่งเห็นทักษิณ ยิ่งลักษณ์ ไปซื้อเกาลัดเมืองจีนวันเดียวกัน "เกมโลกล้อมไทย" ทฤษฎี conspiracy ให้ร้ายป้ายสี ก็ทำงานแข็งขัน สื่อหน้ามืดปลุกความเกลียดชัง ใครอยากเลือกตั้งคือเสื้อแดงเผาบ้านเผาเมือง

โธ่ถัง ขนาดหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ วิพากษ์เลื่อนเลือกตั้งผิดคำมั่นอยู่หลัดๆ ก็ยังอ้างโพลทำเองตีกินสองทาง ว่าความไม่พอใจ คสช.สั่งสมมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็ไม่มั่นใจคนเคลื่อนไหว "รังเกียจ" ไม่ต้องการให้นำกลับไปสู่ระบอบทักษิณอีก

ก็ไม่ได้ผิดหวังหรือแปลกใจอะไร เคยทำนายไว้หลายครั้งแล้วว่า คสช.จะอยู่ยั้งยืนยง แม้ถึงขาลง และหาทางลงไม่ได้ เพราะสังคมไทยอยู่ในยุคมืดมน ยิ่งเข้าตาจน คนชั้นกลางระดับบนคนมั่งมีที่เสียงดังกว่าใคร ก็ยิ่งต้องปกป้องอำนาจ เพราะหวาดกลัวความไม่มั่นคง มองไม่เห็นอนาคตหมด คสช.แล้วเราจะอยู่กันอย่างไร ต่อให้ไม่พอใจ ก็ต้องกอดแข้งกอดขา ยอมพาตัวเองให้ต่ำตม ตะแบงปกป้องอย่างไร้ตรรก ไร้เหตุผล ยอมจำนนโยนคำว่าจริยธรรม ก็กลัวรัฐบาลพังนี่หว่า ต้องประคองกันจนถึงนายกฯ คนนอก ตลอด 5 ปี หรือยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี

ถามว่ามีกองหนุนหดหายบ้างไหม ก็เยอะอยู่ แต่ส่วนใหญ่กลายเป็นพวก "ตายด้านทางการเมือง" หมดอารมณ์ ไม่ยุ่งไม่เกี่ยวดีกว่า จะวุ่นวายทำไม อยากทำความดี ก็บริจาคเงินซื้ออุปกรณ์โรงพยาบาล อยากเรียกร้องความเป็นธรรม ก็ใส่เสื้อเสือดำ อยากเห็นความยุติธรรม ก็ตามดูคดีหวย 30 ล้าน การเมืองไม่ใช่เรื่องของเรา

กระแสก็จะวนๆ อยู่อย่างนี้ เดี๋ยวบ่นเดี๋ยวหน่ายเดี๋ยวตีกลับ แม้ถอยถดลงไป หดหายกันไป แต่กระแสหลักก็ยังหัวปักหัวปำ เหมือนครั้งซื้อเรือดำน้ำ เหมือนครั้งฝายแม่ผ่องพรรณ ฯลฯ สุดท้ายก็ต้องกอดคอกัน

ทำไงได้ เพราะนี่ไม่ใช่รัฐประหารโดยกองทัพเท่านั้น เป่านกหวีดมาด้วยกัน ก็ต้องรับผิดชอบร่วมกันสิครับ จะมาอ้างจริยธรรม อย่างหนา ถีบเรือแป๊ะได้อย่างไร

 

ที่มา: ข่าวสดออนไลน www.khaosod.co.th

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น