โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

ประยุทธ์ ประกาศ 'สิทธิมนุษยชน' เป็นวาระแห่งชาติ ย้ำคนยังขาดความเข้าใจเรื่องนี้

Posted: 12 Feb 2018 11:42 AM PST

พล.อ.ประยุทธ์ ปาฐกถาพิเศษเพื่อประกาศ "วาระแห่งชาติ: สิทธิมนุษยชนร่วมขับเคลื่อน Thailand 4.0 เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน" ชี้คนยังขาดความเข้าใจในเรื่องนี้ ระบุสิทธิมนุษยชนต้องไม่ละเมิดกฎหมายและต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ 

ที่มาภาพ เว็บไซต์ทำเนียบฯ

12 ก.พ.2561 รายงานข่าวระบุว่า วันนี้ เวลา 9.30 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานงานวันสิทธิมนุษยชนสากล และกล่าวปาฐกถาพิเศษเพื่อประกาศ "วาระแห่งชาติ: สิทธิมนุษยชนร่วมขับเคลื่อน Thailand 4.0 เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน" ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล

โดย มติชนออนไลน์ รายงานด้วยว่า พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวตอนหนึ่งว่า ขณะนี้ยังขาดความเข้าใจในเรื่องของสิทธิมนุษยชน ซึ่งความจริงแล้วสิทธิมนุษยชนต้องไม่ละเมิดกฎหมายและต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ เพื่อนำไปสู่สังคมที่ปรองดอง แต่ขณะนี้ประเทศไทยมี 2 คน ขยับอยู่ต่างประเทศ แต่กลับทำให้คนป่วนไปหมดในประเทศ ส่วนตัวจึงไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น

มติชนออนไลน์ รายงานด้วยว่า พล.อ.ประยุทธ์ ยังได้เยี่ยมชมเกมส์ SIM Democracy ซึ่งเป็นเกมเมืองประชาธิปไตย ให้ผู้เล่นทอยลูกเต๋า เปิดการ์ดแล้วให้แก้ปัญหาในเรื่องของสิทธิมนุษยชน ประชาธิปไตย ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ขอให้มีการตั้งกติกาที่จะต้องลดความขัดแย้งและมีธรรมาภิบาลในสังคม และกล่าวว่า หากใครทำผิดก็ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ขณะเดียวกันได้กล่าวย้ำอีกครั้งว่า ขยับทีเป็นข่าวไปหมดเดือดร้อนคนทั้งประเทศ

สำหรับรายละเอียดการกล่าวปาฐกถาพิเศษในครั้งนี้นั้น เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล รายงานว่า พล.ท.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสำคัญที่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว ดังนี้ 

นายกรัฐมนตรีมีความยินดีที่ได้มาเป็นประธานงานวันสิทธิมนุษยชนสากล เพื่อประกาศ "วาระแห่งชาติ: สิทธิมนุษยชนร่วมขับเคลื่อน Thailand 4.0 เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน" ปัจจุบันเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นประเด็นที่แต่ละประเทศให้ความสำคัญเพราะเป็นหลักการสากลที่ทั่วโลกต่างให้การยอมรับที่จะช่วยทำให้เกิดสันติภาพและความเจริญก้าวหน้าต่อมวลมนุษยชาติ ทั้งนี้รัฐบาลมีเจตนารมณ์และความมุ่งมั่นในการส่งเสริม คุ้มครองสิทธิมนุษยชนอย่างจริงจัง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นกับนานาประเทศ และมุ่งหวังให้ประเทศไทยเกิดความสงบสุข สันติสุข ให้ทุกคนมีความรักสามัคคี รู้สิทธิ รู้หน้าที่ เคารพสิทธิซึ่งกันและกัน และไม่ไปละเมิดสิทธิผู้อื่น โดยคำนึงถึงหลักปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declarations of Human Rights) ที่ผ่านมารัฐบาลไม่ได้ละเลยต่อการดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชน จะเห็นได้จากการประกาศ ใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 นโยบายลดความเหลื่อมล้ำในด้านต่างๆ การประกาศใช้กฎหมายหลายฉบับ ตลอดจนการประกาศใช้แผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ 3 (พ.ศ.2557-2561) เพื่อส่งเสริมคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิเสรีภาพและสิทธิมนุษยชน 

ล่าสุดคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2560 เห็นชอบและประกาศวาระแห่งชาติ "สิทธิมนุษยชนร่วมขับเคลื่อน Thailand 4.0 เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน" ในการยกระดับสิทธิมนุษยชนให้เป็นวาระแห่งชาติ สนับสนุนการพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติและนโยบาย Thailand 4.0 ไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน โดยมีเป้าหมายที่ต้องการ ให้ "สังคมไทยเป็นสังคมที่ส่งเสริมสิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียมกันโดยคำนึง ถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เพื่อนำไปสู่สังคมสันติสุข" ภายใต้กรอบนโยบาย ถอดรหัสวาระแห่งชาติ 4 สร้าง 3 ปรับ 2 ขับ 1 ลด = กุญแจสู่สังคมสันติสุข 

นายกรัฐมนตรีหวังว่าทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน จะร่วมมือกันนำกรอบนโยบายของวาระแห่งชาตินี้ ไปเพิ่มขีดความสามารถการทำงานด้านสิทธิมนุษยชน และบูรณาการการทำงานร่วมกัน เพื่อให้เกิดผลที่เป็นรูปธรรม โดยมีการดำเนินการดังนี้ 

 (1) การดำเนินการป้องกันและจัดการการค้ามนุษย์ด้วยการประกาศวาระแห่งชาติ ภายใต้ "ประชารัฐ ร่วมใจ ต้านภัย การค้ามนุษย์ อย่างเข้มแข็ง" ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 เป็นต้นมา เพื่อป้องกันและแก้ปัญหาการค้ามนุษย์อย่างจริงจัง ภายใต้มาตรการ 3P คือ 1. การดำเนินคดี Prosecution/ 2. การคุ้มครองช่วยเหลือ Protection/และ 3. การป้องกัน Prevention 
 (2) ด้านสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อย ความมั่นคง ศีลธรรมอันดี และการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนทุกคน 
 (3) ด้านสิทธิการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 
(4) ด้านสิทธิของผู้ต้องหาหรือผู้ถูกควบคุมที่มีความเสี่ยงหรือมีโอกาสที่จะถูกซ้อมทรมาน ประเทศไทยต่อต้านการทรมานและการปฏิบัติ หรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี 

ในโอกาสที่ปีนี้จะครบรอบ 70 ปี ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน นายกรัฐมนตรีเห็นว่าหากทุกภาคส่วนให้ความสำคัญของการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ สิทธิมนุษยชนร่วมขับเคลื่อน Thailand 4.0 เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ก็จะส่งผลให้ประเทศไทยเป็นสังคมที่มีคุณภาพ มีความเป็นอยู่ที่ดี มีสุขอย่างยั่งยืน ดังหลักคิดของนายกรัฐมนตรีที่ได้เคยกล่าวไว้ว่า "เราจะเดินหน้าไปด้วยกันและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง" (Stronger, Together and Leave No One Behind) 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

(คลิป) วงถก จากเถ้าถ่านสู่การกำเนิดใหม่ : ฝ่ายซ้ายและการกลับมาจากซากของเสรีนิยม

Posted: 12 Feb 2018 08:54 AM PST

วีดีโอเสวนาหัวข้อ "จากเถ้าถ่านสู่การกำเนิดใหม่ : ฝ่ายซ้ายและการกลับมาจากซากของเสรีนิยม" วิทยากร ผศ.ดร.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พริษฐ์ ชิวารักษ์ (เพนกวิน) กลุ่ม Third Way Thailand และจักรพล ผลละออ Group of Comrades จัดโดย สาขาวิชาปรัชญา การเมือง และเศรษฐศาสตร์ วิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ Group of Comrades ส่วนหนึ่งของกิจกรรม สัมมนา Marxism 2018 ณ ห้อง 302 วิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เมื่อวันที่ 4 ก.พ.2561

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รมว.ศึกษาฯ เปรยถ้าถูกขุดปมนาฬิกาแค่เรือนแรก "ผมก็ออกแล้ว"

Posted: 12 Feb 2018 08:40 AM PST

บีบีซีไทย เผยคลิปเสียง รมว.ศึกษาฯ ระบุปมนาฬิกา ถ้าตนถูกเปิดโปงเรือนแรก "ผมก็ออกแล้ว" ด้าน อดีต สปช.ชี้ ผิดมารยาทร่วมครม. ทั้งที่ยังไม่มีข้อยุติ

12 ก.พ.2561 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ บีบีซีไทย เผยแพร่คลิปเสียงของ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งพูดถึงประเด็นนาฬิกาหรูของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขณะพูดคุยกับนักเรียนไทย และนักธุรกิจไทยที่มาร่วมงานเลี้ยงรับรองที่สถานเอกอัครราชทูตไทยในกรุงลอนดอน เมื่อวันศุกร์ที่ 9 ก.พ. ที่ผ่านมา

โดย รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า "เรื่องนาฬิกา ถ้าผมถูก exposed (เปิดโปง) เรือนแรก ผมก็ออกแล้ว อันนี้ถามผมนะ ส่วนใครจะว่าอะไร ให้ไปถามคนนั้น ของอย่างนี้ คนก็ไม่กล้าพูด กลัวอะไร ทำไม พูดแล้ว มันจะมาไล่ผมออกหรือ"

อดีตสปช.ชี้ ผิดมารยาทร่วมครม. ทั้งที่ยังไม่มีข้อยุติ

ขณะที่ข่าวสดออนไลน์ รายงานปฏิกิริยา จาก บัญชา ปรมีศณาภรณ์ อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) และอดีตสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.) ถึงกรณีนี้ ว่า ไม่เห็นด้วยกับท่าทีของ น.พ.ธีระเกียรติ ประเด็นแรกกรณีของนาฬิกาดังกล่าวในแง่ของข้อเท็จจริง เป็นกรณีที่ยังไม่มีข้อยุติที่ลงตัวว่าเรื่องนี้เป็นความผิดหรือไม่ เพราะเรื่องยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แม้ว่าในส่วนของกระแสสังคมก็ย่อมเป็นตามธรรมชาติของคนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ ที่ต้องมีทั้งกระแสบวกและลบ ต่อต้านและสนับสนุน ในภาพรวมก็ต้องถือว่ายังไม่มีข้อยุติ ทั้งทางด้านของเท็จจริงและข้อกฎหมาย แต่เมื่อ นพ.ธีระเกียรติ แสดงท่าทีออกมาอย่างนี้ ย่อมเปิดไปสู่ประเด็นเรื่องความชอบธรรมของพฤติการณ์ของ น.พ.ธีระเกียรติ เองในสองประเด็น ได้แก่ การกล่าวหาผู้อื่นซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นระดับผู้บังคับบัญชาของตัวเอง ในขณะที่กรณียังไม่มีข้อยุติเช่นนี้ก็ย่อมถือว่าเป็นการปรักปรำ

อดีต สปช. กล่าวด้วยว่า ประเด็นที่สองที่มีด้วยแน่นอนก็ได้แก่ประเด็นเรื่องของมารยาทในการอยู่ร่วมรัฐบาล ภายใต้คำถามง่ายๆว่า ควรหรือที่คนร่วมรัฐบาลเดียวกันจะมาเสียมารยาทว่ากล่าวติฉินคนในรัฐบาลเดียวกันให้เสียหายในที่สาธารณะ ดังนั้น เมื่อ นพ.ธีระเกียรติ ให้สัมภาษณ์โดยยกตัวอย่างกรณีมารยาทของนักการเมืองอังกฤษว่ามีอย่างล้นเหลือ หลักของกรณีเช่นเดียวกันนี้ก็ย่อมเหวี่ยงกลับมาหานพ.ธีระเกียรติ อย่างเลี่ยงไม่ได้ว่ามีมารยาทให้การร่วมรัฐบาลหรือไม่

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สันติบาลตาม 'คนอยากเลือกตั้ง' ถึงภูมิลำเนา แพลมข้อหาขัดคำสั่ง คสช. เจ้าตัวประกาศไม่หวั่น

Posted: 12 Feb 2018 08:26 AM PST

ตามถามประวัติสาวเสื้อแดงที่ทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์เมื่อ 10 ก.พ.ถึงภูมิลำเนา เผยอาจโดนข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช. เจ้าตัวบอกไม่หวั่นเลือกเดินทางนี้ทำใจแล้วว่าต้องโดน กิจกรรมครั้งต่อไปก็จะมาร่วมอีก

12 ก.พ.2561 ยุภา แสงใส คนเสื้อแดงที่เข้าร่วมกิจกรรม "คนอยากเลือกตั้ง" ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2561 และประชาไทได้สัมภาษณ์เผยแพร่เป็นคลิปวิดีโอได้แจ้งกับผู้สื่อข่าวว่า ทางผู้ใหญ่บ้านที่ อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ ซึ่งเป็นภูมิลำเนาที่เธอมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านได้โทรศัพท์ติดต่อมาแจ้งว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาลไปติดตามสอบถามหาตัวยุภา ในหมู่บ้านพร้อมกับนำภาพของยุภามาให้ผู้ใหญ่บ้านยืนยัน และเมื่อผู้ใหญ่บ้านสอบถามสาเหตุว่าต้องการติดตามตัวเพื่ออะไร เจ้าหน้าที่ได้ตอบว่าเนื่องจากมีการกระทำขัดคำสั่งหัวหน้า คสช.

ยุภาเล่าว่า ไปร่วมกิจกรรม "คนอยากเลือกตั้ง" ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 10 ก.พ.ที่ผ่านมาด้วยความสมัครใจ และได้ทำสัญลักษณ์ ชูสามนิ้ว ทำท่าปิดหู ปิดตา ปิดปาก ร่วมกับผู้ชุมนุมคนอื่นและได้ทำท่าก้มหัวลงไปกับพื้นให้ผู้ร่วมกิจกรรมอีกคนทำท่ากดหัวเอาไว้

"คนที่ทำกิจกรรมด้วยกันก็ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน"

"ทั้งหมดที่แสดงออกไปเป็นการแสดงเชิงสัญลักษณ์ เพื่อบอกว่าเราถูกจำกัดสิทธิ ไม่ให้พูด ไม่ให้แสดงความคิดเห็น เราไม่พอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่เท่านั้น"

ยุภา เล่าต่อว่า วันนั้นยังได้กล่าวปราศัยด้วยโดยใช้เวลาสั้นๆ เธอบอกว่า "เราคิดว่า เราพูดอยู่ในกรอบ ไม่ได้พูดรุนแรงพูดถึงความรู้สึกของเรา พูดถึงเรื่องสิทธิของเรา"

"เราไม่หวั่นไหว แต่คนรอบข้างกลัวมาก ตอนนี้ทั้งพ่อแม่ ทั้งลูก รู้ข่าวต่างก็หวาดกลัว ยังไม่ได้บอกให้สามีรู้เพราะเดี๋ยวจะเป็นเรื่องใหญ่ แต่โดยส่วนตัวไม่รู้สึกกลัวอะไร เลือกเดินทางนี้แล้ว เรื่องพวกนี้เป็นสิ่งที่ต้องเผชิญ ถ้ามีการนัดทำกิจกรรมในครั้งต่อไปก็จะไปอีก" ยุภากล่าว

ทั้งนี้ยังไม่มีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการจาก คสช.ว่าจะมีการดำเนินคดีผู้ร่วมกิจกรรม "คนอยากเลือกตั้ง" ในครั้งนี้หรือไม่ ในข้อหาอะไร

อนึ่ง ยุภา แสงใส เคยเข้าร่วมกิจกรรม "ยืนเฉยๆ" คัดค้านกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจทหารบุกจับตัว 8 แอดมินแฟนเพจเรารักพลเอกประยุทธ์ เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2559 เธอถูกเจ้าหน้าที่เข้าทำการจับกุมตัว แต่ได้รับการปล่อยตัวในภายหลังโดยไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อัยการ จ.ฉะเชิงเทรา ไม่ฎีกาคดี รอง หน.พรรค ปชป.แกนนำ กปปส.ฆ่าถ่วงน้ำคนเสื้อแดง

Posted: 12 Feb 2018 07:22 AM PST

อิสสระ สมชัย รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และแกนนำ กปปส. โพสต์เฟสบุ๊คประกาศพ้นมลทินจากข้อกล่าวหาฆ่าถ่วงน้ำเสื้อแดงที่แม่น้ำบางปะกง ช่วงชุมนุมขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์

คดีที่อิสสระ สมชัย ถูกฟ้องที่ศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา ข้อหาพยายามฆ่า( จับคนเสื้อแดงมัดทิ้งลงแม่น้ำบางปะกง) และข้อหาอื่นๆ อีกรวม 5 ข้อหา เหตุเกิดระหว่างการชุมนุมขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ของ กปปส. ซึ่งคดีนี้ทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง ในวันนี้อัยการศาลสูง จ.ฉะเชิงเทรา ได้แจ้งให้อิสสระทราบว่า ในคดีนี้อัยการจะไม่ฎีกา จึงทำให้คดีถึงที่สุดตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2561 

อิสระได้กล่าวขอบคุณ นายชวน หลีกภัย อดีตหัวหน้าพรรค,นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการพรรค และเลขาธิการ กปปส. และทุกท่านที่ให้กำลังใจในการสู้คดี

ทั้งนี้ อิสสระ ในฐานะของรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และแกนนำ กปปส.ยังมีคดีข้อหากบฏและข้อหาอื่นๆ อีกรวมแล้ว 13 ข้อหา 25 กรรม ซึ่งเป็นคดีเพิ่งถูกฟ้องเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2561 

อิสสระระบุว่า เหตุที่เกิดทั้งหมดนี้เป็นเหตุเกิดจากการออกไปเป็นแกนนำร่วมกับกปปส.เพื่อขับไล่รัฐบาลระบอบทักษิณ 


นายยืม นิลหล้า เหยื่อผู้ถูกช่วยเหลือขึ้นมาจากแม่น้ำบางประกง
 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เหลือปีเดียว ตู่ จตุพร ได้หักวันคุมขังคดีหมิ่นอภิสิทธิ์ แต่ยังไม่ได้พิจารณาเลื่อนชั้นนักโทษ

Posted: 12 Feb 2018 06:47 AM PST

เหลือโทษต้องขังในเรือนจำประมาณหนึ่งปี หลังจากวันนี้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งตามที่จำเลยได้ยื่นอุทธรณ์ให้หักวันถูกคุมขัง เนื่องจากในระหว่างพิจารณาคดีที่สอง จตุพร ถูกควบคุมตัวอยู่ภายในเรือนจำฯ ตามคำพิพากษาคดีที่หนึ่งอยู่แล้ว

12 กุมภาพันธ์ 2561   ศาลได้มีคำสั่งให้เบิกตัว จตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ( นปช.) จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพ มาที่ที่ศาลอาญารัชดา เพื่อฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ 

ศาลมีคำสั่งตามที่จำเลยได้อุทธรณ์คำสั่งศาล คือให้หักวันถูกคุมขัง ตามหมายขังในคดีที่หนึ่งด้วย เนื่องจากในระหว่างพิจารณาคดีที่สอง (คดีที่ จตุพรถูกกล่าวหาว่าหมิ่นประมาทนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ว่าได้มีคำสั่งฆ่าประชาชน และประวิงเวลาเรื่องการยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ ดอกเตอร์ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยคนเสื้อแดง) จตุพร ถูกควบคุมตัวอยู่ภายในเรือนจำฯ ตามคำพิพากษาคดีที่หนึ่ง(คดีหมิ่นประมาทว่านายอภิสิทธิ์  สั่งฆ่าประชาชน ในการปราศรัยที่วัดไผ่เขียว ในปี 2552  ซึ่งจำเลยถูกคุมขังตามหมายศาลอยู่  จึงขอให้หักวันที่ถูกคุมขังแล้วออกจากจำนวนวันคุมขังตามที่ต้องรับโทษตามคำพิพากษา

จากการหักวันถูกคุมขังตามคำสั่งศาล จะทำให้ จตุพร พรหมพันธ์ อดีต สส.พรรคเพื่อไทย และ ประธาน นปช.เหลือวันขังอยู่ประมาณ 1 ปี เท่านั้น 

วิญญัติ ชาติมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงสภาพของจตุพรว่า ตอนนี้ยังไม่ได้รับการพิจารณาเลื่อนชั้นเป็นผู้ต้องขังชั้นดี (ซึ่งจะมีผลต่อการลดโทษ พักโทษ และการอภัยโทษ) สำหรับสุขภาพ จตุพรน้ำหนักลดลงกว่ายี่สิบกิโลหลังการถูกตัดสินจำคุก แต่สุขภาพร่างกายและจิตใจยังสมบูรณ์ 
 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

บอร์ด สปสช.อนุมัติแผนรับฟังความคิดเห็นทั่วไปฯ ปี 61 เน้นรับฟังต่อเนื่องตลอดปีผ่านระบบออนไลน์

Posted: 12 Feb 2018 05:05 AM PST

เพิ่มกระบวนการเชิงรุกให้มีการสื่อสารแบบ 2 ทาง ทั้งรับข้อมูล-ส่งคืนข้อมูลย้อนกลับ เพิ่มกลุ่มเป้าหมายในกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนและเครือข่ายโรงพยาบาลกลุ่มสถาบันแพทย์ศาสตร์ นอกเหนือจาก ผู้ให้บริการ ผู้รับบริการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นักวิชาการ และกลุ่มเฉพาะหรือกลุ่มเปราะบางของพื้นที่

 

12 ก.พ.2561 รายงานข่าวแจ้งว่า วันนี้ ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถ.แจ้งวัฒนะ กทม. ศาสตราจารย์คลินิกเกียรติคุณนายแพทยฺปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่ประชุมพิจารณาวาระแนวทางการจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นจากผู้ให้บริการและผู้รับบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติประจำปี 2561 ซึ่งเป็นข้อเสนอจากคณะอนุกรรมการสื่อสารสังคมและรับฟังความคิดเห็น ที่มี นพ.จรัล ตฤณวุฒิพงษ์ กรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเป็นประธาน

การรับฟังความคิดเห็นทั่วไปฯ สปสช.ได้จัดดำเนินการตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา สำหรับการจัดรับฟังความคิดเห็นประจำปี2561 นี้จะเป็นครั้งที่ 15 โดยปีนี้ ดำเนินการตามยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 4 (พ.ศ.2560-2564) ยุทธศาสตร์ที่ 4 สร้างความมั่นใจในการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน กลวิธีที่ 4.3 ปฏิรูปการรัปฟังความคิดเห็น โดย 1.เพิ่มความสำคัญของ Stakeholder กลุ่มต่างๆ 2.รับฟังประเด็นเฉพาะ และ 3.ด้วยรูปแบบและวิธีการที่หลากหลาย

หลักเกณฑ์รับฟังความคิดเห็นที่จะมีการเปลี่ยนแปลงจากการจัดรับฟังในปี 2560 นั้น กลุ่มเป้าหมายคือ ผู้ให้บริการ ผู้รับบริการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นักวิชาการ และกลุ่มเฉพาะหรือกลุ่มเปราะบางของพื้นที่ พร้อมทั้งจะเน้นกระบวนการเชิงรุกให้มีการสื่อสารแบบ 2 ทาง ทั้งรับข้อมูลและส่งคืนข้อมูลย้อนกลับ เพิ่มกลุ่มเป้าหมายในกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนและเครือข่ายโรงพยาบาลกลุ่มสถาบันแพทย์ศาสตร์ หรือ UHosNET โดยจะมีการรับฟังต่อเนื่องตลอดปี ผ่านกระบวนการระบบออนไลน์ต่างๆ, การสังเคราะห์จากข้อคิดเห็นที่เกี่ยวข้องกับระบบหลักประกันสุขภาพที่มีการรวบรวมไว้แล้วอย่างเป็นระบบ เช่น งานวิจัย วิชาการ สมัชชาสุขภาพระดับท้องถิ่น และการสอบถามความคิดเห็นในการประชุมที่ สปสช.จัดขึ้น

นอกจากนั้นยังเน้นพัฒนาเพื่อยกระดับความสามารถในการเสนอความคิดเห็นและสังเคราะห์ข้อมูลทั้งเครือข่ายผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและบุคลากร มีการรับฟังความคิดเห็นและการสื่อสารข้อมูลไปพร้อมกัน มีระบบการรวบรวมข้อเสนอและสืบค้นข้อมูลที่ง่ายขึ้น และมีระบบการรวบรวมข้อเสนอและสืบค้นข้อมูลที่ง่ายขึ้น ซึ่งทั้งหมดจะนำไปสู่การได้ข้อเสนอเชิงนโยบายที่ชัดเจน และได้ข้อเสนอเชิงกิจกรรมเพื่อให้องค์กรนำไปปรับปรุงพัฒนาต่อได้ โดยการจัดรับฟังความคิดเห็นในระดับภูมิภาคในปีนี้จะเริ่มตั้งแต่เดือนเมษายนจน-กรกฎาคม  2561 ใน 13 เขตทั่วประเทศ และจะมีจัดรับฟังความคิดเห็นระดับประเทศภายในเดือนสิงหาคม 2561

ทั้งนี้ กระบวนการรับฟังความเห็นนับเป็นจุดแข็งของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ นอกจากทำให้เกิดการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนแล้ว ยังเป็นการประเมินผลการดำเนินนโยบายที่ผ่านมา รับทราบปัญหา พร้อมเปิดรับฟังข้อเสนอแนะที่นำไปสู่การพัฒนากระบวนการทำงานและพัฒนาเชิงนโยบาย นอกจากนี้ยังเป็นการนำไปสู่การสร้างความเข้าใจและลดความขัดแย้งในระบบ เหล่านี้เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติประสบผลสำเร็จ และได้รับการยอมรับทั้งจากในประเทศและต่างประเทศตลอดระยะเวลากว่า 16 ปีที่ผ่านมา

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

จ่อชงบอร์ด สปสช.ตั้ง คกก.ร่วมหาข้อยุติ จ่ายเงินช่วยตาม ม.41 กรณีทำหมันแล้วท้อง

Posted: 12 Feb 2018 04:22 AM PST

สปสช.เปิดวงถกความเห็นต่างกรณีจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นตาม ม.41 ไม่พิสูจน์ถูกผิดเพื่อมนุษยธรรม กรณีทำหมันแล้วท้อง เป็น "พยาธิสภาพ" หรือ "เหตุสุดวิสัย"ได้ข้อสรุป 4 ประเด็นความเห็นต่าง เตรียมเสนอบอร์ด สปสช. ตั้ง คกก.ร่วมหาข้อยุติ

 
 
12 ก.พ.2561 รายงานข่าวแจ้งว่า ที่โรงแรมเซ็นทราฯ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ วันนี้ ในเวทีถกแถลงทางนโยบาย (Policy Dialogue) เรื่อง "การจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นตามมาตรา 41 ในกรณีการเกิดภาวะอันไม่พึงประสงค์ภายหลังการคุมกำเนิด" จัดโดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) มีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและข้อเท็จจริงการจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นตามมาตรา 41 กรณีที่มีความเห็นต่างต่อการตั้งครรภ์ภายหลังคุมกำเนิด 2 ด้านคือ 1.ให้ถือเป็นไปตามพยาธิสภาพ หรือ 2.ให้ถือว่าเป็นกรณีเหตุสุดวิสัย
 
รศ.นพ.อรรณพ ใจสำราญ ผู้แทนราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า การคุมกำเนิดมีทั้งการคุมกำเนิดแบบชั่วคราว แบบถาวร รวมถึงกึ่งถาวร มีรูปแบบการใช้ยาฉีด ยาคุม ยาฝังคุมกำเนิด แผ่นแปะ ห่วงอนามัย รวมถึงการผ่าตัดทำหมันที่เป็นการทำหมันถาวร มีหลักการคือทำให้ท่อรังไข่อุดตัน แม้ว่าหลังการผ่าตัดทำหมันแล้วโอกาสการตั้งครรภ์ยังเกิดขึ้นได้ แม้ปัจจุบันจะมีโอกาสน้อยมาก โดยข้อมูลช่วง 5 ปีย้อนหลัง สหรัฐอเมริกามีอัตราการตั้งครรภ์หลังการทำหมัน 13 รายต่อพันราย อังกฤษมีอัตราตั้งครรภ์หลังการทำหมัน 2-5 รายต่อพันราย ขณะที่องค์การอนามัยโลกกำหนดอัตราการตั้งครรภ์ที่เกิดขึ้นได้หลังจากการทำหมัน 5 รายต่อพันราย
 
ส่วนประเทศไทยข้อมูลการตั้งครรภ์หลังการทำหมันอยู่ที่ 0.2-2 ต่อพันราย สาเหตุเกิดขึ้นได้ทั้งจากตัวผู้ให้บริการที่ไปผูกตัดท่อที่ไม่ใช่ท่อรังไข่ และเกิดขึ้นเองโดยท่อรังไข่ต่อกันเอง ซึ่งเกิดได้ทั้งภาวะตั้งครรภ์ในมดลูกและนอกมดลูก
 
นพ.เมธี วงศ์ศิริสุวรรณ ผู้แทนแพทยสภา กล่าวว่า การทำหมันถาวรนั้น ข้อเท็จจริงไม่มีการทำหมันถาวร แต่เป็นคำใช้ติดปาก โดยแพทยสภาได้รับข้อร้องเรียนขอความเป็นธรรมจากแพทย์ เนื่องจากได้ทำหัตถการทำหมันอย่างถูกต้องแล้ว แต่ทำไมจึงถูกร้องเรียนภายหลังได้ จึงให้กลุ่มงานกฎหมายแพทยสภาไปหาข้อเท็จจริง เพื่อให้ระบบเดินหน้าต่อไปได้ โดยประเด็นปัญหาเริ่มตั้งแต่นิยามมาตรา 3 บริการสาธารณสุข พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ซึ่งในปี 2555 ได้มีการเปลี่ยนแปลงนิยามการรักษาพยาบาลให้ครอบคลุมถึงบริการสาธารณสุขจนเกิดการตีความครอบจักรวาล ขณะที่ ม.41 ระบุว่าการช่วยเหลือเบื้องต้นให้เป็นกรณีความเสียหายจากการรักษาพยาบาลโดยหน่วยบริการเท่านั้น ทั้งใน ม.42 ยังกำหนดให้ไล่เบี้ยสอบสวนผู้กระทำผิดอีก แม้ว่าที่ผ่านมาบอร์ด สปสช.จะไม่เคยให้มีการไล่เบี้ยก็ตาม 
 
ขณะที่ในการพิจารณาของอนุกรรมการระดับจังหวัด ยังมีการตัดสินที่ไม่เป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยมีกรณีการอนุมัติจ่ายเงินช่วยเหลือเหตุตั้งครรภ์หลังการทำหมันโดยให้เหตุผลว่า แม้ไม่เข้าหลักเกณฑ์การช่วยเหลือเบื้องต้น แต่ให้มีการจ่ายเพื่อเป็นการช่วยเหลือทางศลีธรรมและบรรเทาความดือดร้อนของครอบครัว โดยที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ส่วนกลางกลับไม่สามารถยกเลิกคำตัดสินที่ไม่ถูกต้องได้ ดังนั้นมองว่าเรื่องนี้จึงควรแก้ไขให้ถูกต้องตามกฎหมาย หากให้มีการช่วยเหลือกรณีตั้งครรภ์หลังจากทำหมันแล้ว เพราะไม่ใช่เหตุสุดวิสัย ทั้งการจ่ายเงินช่วยเหลือโดยไม่มีกฎหมายรองรับเป็นเรื่องอันตรายมาก ซึ่งแพทยสภาเสนอมาวันนี้เป็นการติเพื่อก่อ เมื่อผิดแล้วเราจะแก้ไขให้ถูกต้องหรือไม่
 
ทั้งนี้ที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขได้มีการทำแบบฟอร์มหนังสือแสดงความยินยอมการรักษาส่งไปยังโรงพยาบาลในสังกัดและมีเรื่องการทำหมันอยู่ด้วย โดยมีเนื้อหาระบุว่าหากการทำหมันล้มเหลว ไม่ถือเป็นความผิดของผู้ให้บริการ เนื่องจากกรณีการตั้งครรภ์หลังการทำหมันพบได้ 4 รายต่อพันราย        
 
ด้าน นพ.ธีรศักดิ์ คทวณิช ประธานอนุกรรมการพิจารณาวินิจฉัยคำร้องขอรับเงินช่วยเหลือเบื้องต้นจังหวัดลำพูน กล่าวว่า ในการช่วยเหลือเบื้องต้นกรณีทำหมันแล้วท้องที่จังหวัดลำพูนมี 17 ราย แยกเป็นกรณีผ่าตัดทำหมันแล้วท้อง 14 ราย และกรณีฉีดยาคุมแล้วตั้งท้อง 3 ราย ในจำนวนนี้มี 2 ราย ไม่ได้รับการช่วยเหลือ เนื่องจาก 1 ราย มายื่นภายหลังพ้นจากระยะเวลาที่กำหนด และอีก 1 ราย เป็นการยื่นในช่วงที่ถูกระบุว่าเรื่องนี้ให้ถือเป็นพยาธิสภาพ จึงไม่ได้รับการช่วยเหลือ โดยทุกกรณีที่ขอรับความช่วยเหลือตนจะลงไปเยี่ยมบ้านผู้ป่วยด้วยตนเองเพื่อดูข้อเท็จจริง สภาพความเป็นอยู่ครอบครัว
 
วามเห็นส่วนตัว ไม่เห็นด้วยกับการที่จะไม่จ่ายเงินช่วยเหลือผู้ที่ผ่าตัดทำหมันแล้วตั้งท้อง เพราะคนเหล่านี้มีลูกเพียงพอแล้วและไม่คิดจะมีลูกแน่นอน จึงได้ตัดสินใจทำหมัน ซึ่งการมีลูก 1 คนมีค่าใช้จ่ายที่ตามมา ซึ่งชาวบ้านที่เป็นเกษตรกรส่วนใหญ่มีรายได้นิดเดียว หากต้องมีลูกอีกคนก็รับค่าใช้จ่ายไม่ไหว แต่เมื่อมีแล้วก็ต้องเลี้ยงกันไป ดังนั้นเราควรช่วยเหลือ
 
"ชาวบ้านไม่รู้เพราะคิดว่าเมื่อทำหมันแล้ว นั่นหมายถึงเขาจะไม่มีลูกอีก แต่เมื่อตั้งท้องทั้งที่ทำหมันแล้ว เราควรช่วยเหลือ ผมเห็นด้วยกับเกณฑ์การจ่ายเงินช่วยเหลือกรณีนี้ไม่เกิน 1 แสนบาท โดยพิจารณาตามเศรษฐานะ ซึ่ง 1 แสนบาทจะเป็นค่าอะไรผมไม่รู้ แต่เพื่อชีวิตที่จะเกิดมาใหม่ ซึ่งการที่ทำหมันแล้วท้องจะเป็นเรื่องพยาธิสภาพหรือไม่ผมไม่รู้ แต่ควรมีมนุษยธรรมกันบ้าง เพื่อให้เด็กคนหนึ่งได้เติบโตเป็นทรัพยากรที่มีคุณภาพของประเทศต่อไป" นพ.ธีรศักดิ์ กล่าว
 
ขณะที่ นพ.ชาตรี บานชื่น ประธานกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข สปสช. กล่าวว่า ทั้งมาตรา 41 และ 42 มีมาตั้งแต่เริ่มหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ยึดหลัก 3 ข้อ คือ การช่วยเหลือเบื้องต้น ไม่พิสูจน์ถูกผิด ที่เป็นการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และลดความขัดแย้งในระบบสุขภาพ อย่างไรก็ตามเมื่อความเห็นต่างในการช่วยเหลือเบื้องต้นกรณีทำหมันแล้วตั้งท้อง ควรร่วมกันหาทางออก ซึ่งสามารถสรุปความเห็นต่าง 4 ประเด็น คือ 1.การทำหมันแล้วตั้งท้องถือเป็นพยาธิสภาพหรือเหตุสุดวิสัย 2.การออกระเบียบการรักษาพยาบาลตามมาตรา 41 ครอบคลุมถึงบริการสาธารณสุขถูกต้องหรือไม่ ถ้าถูกต้องเราจะปฏิบัติอย่างไร และไม่ถูกจะปฏิบัติอย่างไร 3.กรณีที่ใช้นิยามคำว่าสุดวิสัยกับระบบบริการถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ และ 4. การหาผู้รับผิดโดยไม่พิสูจน์ถูกผิดจะปฏิบัติอย่างไร ขณะที่ สตง.ระบุให้ต้องหาผู้รับผิดชอบ
 
"ถึงเวลาแล้วที่ต้องมาทบทวนความเห็นต่างในประเด็นข้างต้นร่วมกันเพื่อให้เกิดความชัดเจน ทั้งแง่รัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ โดยให้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 1 ชุด ประกอบด้วยผู้แทนจากคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและคณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข เพื่อหาข้อสรุปในประเด็นเห็นต่างเหล่านี้ เบื้องต้นจะนำข้อมูลที่ได้วันนี้เสนอต่อบอร์ด สปสช.เพื่อดำเนินการต่อไป" ประธานกรรมการควบคุมคุณภาพฯ กล่าว
 
ทั้งนี้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้นำเสนอข้อมูลการยื่นคำร้องและการจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นตามมาตรา 41 พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติฯ โดยตั้งแต่ปี 2549-2560 มีการยื่นคำร้องกรณีการทำหมันจำนวน 792 ราย จากคำร้องทั้งหมด 10,445 ราย แยกเป็นการผ่าตัดทำหมันจำนวน738 ราย และเป็นการทำหมันชั่วคราว 54 ราย รวมเป็นการจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นตลอดในช่วง 12 ปี จำนวน 42,879,000 บาท 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สลักธรรม โตจิราการ: ตอบ"ดี้" เรื่องประชาธิปไตย

Posted: 12 Feb 2018 03:44 AM PST

 

ที่คุณดี้ นิติพงษ์ ออกมาตั้งคำถามกับประชาธิปไตย 9 ข้อ และสรุปว่าชื่นชมระบอบไทยนิยมของ คสช.มากกว่า ผมจะตอบรวมๆ ละกันครับ

1. ประเด็นว่าการเลือกตั้งเปิดโอกาสให้กลุ่มทุนใช้ความสัมพันธ์ทางการเมืองหาประโยชน์ได้ง่ายหรือไม่?

ในขณะที่มัวแต่กลัวทุนการเมือง แต่ระบอบไทยนิยมตอนนี้เปิดโอกาสให้กับกลุ่มทุนที่ใกล้ชิดอย่างมากในนามของความร่วมมือ "ประชารัฐ"

ลองคิดดูว่าถ้ารัฐบาลเลือกตั้งลดภาษีให้แค่บางบริษัท แต่เก็บภาษีบริษัทอื่นในอัตราปกติ โดยบริษัทที่ได้ลดภาษีนั้นไม่ได้ผลิตสินค้าอะไรใหม่เป็นพิเศษ คนจะสงสัยในความยุติธรรมไหม? แต่ก็เกิดขึ้นในยุคนี้ ลองอ่านได้จากข่าว https://voicetv.co.th/read/HJP7yLCbG

ถามว่าระบบรวบอำนาจที่อื่นเป็นอย่างนี้ไหม? ก็เป็นเช่นกัน ยกตัวอย่างกลุ่มแชโบลในเกาหลีใต้ซึ่งเติบโตขึ้นมาในยุคเผด็จการทหารปาร์คจองฮีเป็นต้น

ในขณะที่ในยุคประชาธิปไตย ความพยายามอาจมี แต่การตรวจสอบเป็นไปได้ง่ายกว่า เพราะเคารพสิทธิ์ในการแสดงออก และโอกาสเกิดขึ้นยากกว่า เพราะประชาชนถ้าไม่พอใจมีสิทธิ์ไม่เลือกใหม่ในรอบหน้า และบางครั้งที่พูดๆกันว่านายทุนได้ประโยชน์มากในช่วงรัฐบาลเลือกตั้งก็เกินจริงตัวอย่างเช่นบริษัทชินคอร์ป ในช่วงรัฐบาลทักษิณ มูลค่าหุ้นก็เติบโตต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในตลาดหุ้นด้วยซ้ำ

2. ประเด็นที่ว่าถ้าเลือกตั้งแล้ว ต้องเลือกระหว่าง สส.ที่ทำตามมติพรรค หรือ สส.อิสระที่อาจ "ขายเสียง"

ถ้ากลัวเรื่องต่างตอบแทน แล้วไม่กลัวหรือว่าตัวแทนที่มาจากการแต่งตั้งจะไม่ตอบแทนผู้ที่แต่งตั้งเข้ามา?

ในขณะที่ถ้ามีการเลือกตั้ง ถ้าอยากได้แบบกลางๆ ไม่ตามมตติพรรคเกินไป หรือไม่อิสระเกินไป ก็เลือกหรือตั้งพรรคที่มีนโยบายการโวตของ สส.ตรงใจได้

ในขณะที่ถ้าแต่งตั้งมา เราไม่มีสิทธิ์เลือกเลย ต้องแล้วแต่ความต้องการของผู้แต่งตั้งทั้งหมด

3. ประเด็นที่กลัวว่าถ้าตั้งพรรคเพื่อขับเคลื่อนไอเดียเอง ถ้าไม่มีเงินทุนมหาศาล ก็จะไม่มีสิทธิ์ชนะเลือกตั้งเลย

ถ้าอยู่ในระบบรวบอำนาจ หากผู้มีอำนาจไม่เอาด้วย ไอเดียของคุณไม่มีทางได้นำไปใช้แน่นอน ยกเว้นล้างผู้มีอำนาจชุดเก่าออกไปด้วยความรุนแรงแล้วตั้งผู้มีอำนาจชุดใหม่ซึ่งเห็นด้วยกับคุณ ซึ่งนั่นย่อมสร้างความเสียหายมหาศาลกับทุกฝ่าย

ตรงข้าม ถ้าเป็นระบอบที่มีสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นอย่างประชาธิปไตย แม้วันนี้ไอเดียคุณอาจไม่เป็นที่ยอมรับ แต่หากไอเดียสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของสังคมและนำเสนอออกไป ในอนาคตไอเดียนั้นอาจกลายเป็นกระแสหลักของสังคมและถูกนำไปปฏิบัติได้โดยไม่ต้องเผชิญความรุนแรงระหว่างไอเดียเก่าและใหม่

อีกอย่างการขยายไอเดียทางการเมือง ไม่ได้ต้องใช้เงินเสมอไป และคนที่มีเงินมากก็ไม่ใช่ว่าจะชนะเสมอไป ถ้าคนฟังคุณแล้วเห็นด้วย เขาจะช่วยคุณบอกต่อเอง วันนี้คุณอาจมีเงินในกระเป๋าแค่ 250 บาท แต่ถ้าคุณบอกต่อดีๆ คนที่มีเงินในกระเป๋า 1 ล้านสิบคนจะมาช่วยคุณสู้กับคนที่มีเงินในกระเป๋าพันล้าน ไม่เช่นนั้น การปฏิวัติโค่นล้มผู้มีอำนาจในที่ต่างๆทั่วโลกโดยฝ่ายที่เสียเปรียบคงไม่มีโอกาสชนะเลย

มันอยู่ที่ว่า คุณมี "กึ๋น" พอที่จะทำหรือไม่ต่างหาก

 

เผยแพร่ครั้งแรกใน: เฟสบุ๊ค สลักธรรม โตจิราการ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ร้อง กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ทบทวนวิธีการปฏิบัติอาจส่งผลกระทบต่อเด็ก

Posted: 12 Feb 2018 12:00 AM PST

3 องค์กรสิทธิฯ-เยาวชน ร้อง กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ทบทวนวิธีการปฎิบัติอาจส่งผลกระทบต่อเด็กทั้งทางร่างกายและจิตใจ หลังปรากฎทหารพกพาอาวุธปืนไปในโรงเรียนตาดีกา

12 ก.พ.2561 จากกรณีเมื่อวันที่ 10 ก.พ.ที่ผ่านมาได้มีเจ้าหน้าที่ทหารจากหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 22 เข้าไปในโรงเรียนตาดีกานูรุลอิหส้าน(เกาะแน) หมู่ 4 ต.คลองใหม่ อ.ยะรัง จ.ปัตตานี พร้อมด้วยอาวุธประจำกาย และได้มีการถ่ายภาพบัตรประชาชน ครูผู้สอน รายชื่อเด็ก และ เด็ก ทั้งนี้โรงเรียนตาดีกาเป็นโรงเรียนที่จัดการเรียนการสอนศาสนาอิสลาม จากการติดตามนโยบายภาครัฐที่มีผลกระทบต่อเด็กโดยเครือข่ายปกป้องคุ้มครองเด็กพบว่าในปี 2560 เจ้าหน้าที่ทหารได้ประสานกับผู้รับผิดชอบโรงเรียนตาดีกาเพื่อให้เจ้าหน้าที่ทหารดำเนินการจัดการเรียนการสอนเกี่ยวกับหน้าที่พลเรือนให้กับเด็กในโรงเรียนตาดีกาซึ่งเป็นเด็กที่มีอายุระหว่าง 5-12 ปี โดยในช่วงปลายปีเริ่มมีภาพเจ้าหน้าที่ทหารแต่งกายด้วยชุดเครื่องแบบและพกพาอาวุธปืนไปในโรงเรียนตาดีกาประมาณ 6-7 คน เพื่อไปทำกิจกรรมกับเด็กที่โรงเรียนตาดีกาปรากฎในสื่อออนไลน์ ซึ่งการเข้าไปปฎิบัติงานและการบันทึกข้อมูลของเจ้าหน้าที่ทหารกระทำเฉพาะโรงเรียนตาดีกา นั้น

ล่าสุดวานนี้ (11 ก.พ.61) กลุ่มด้วยใจ มูลนิธินูซันตารอเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา และ สมาคมฟ้าใสส่งเสริมสุขภาวะเด็กและเยาวชนชายแดนใต้ เรียกร้องต่อ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า) เรื่องดังกล่าว เรียกร้องผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการปฎิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทหารในโรงเรียนตาดีกาได้ทบทวนวิธีการปฎิบัติงานที่อาจส่งผลกระทบต่อเด็กทั้งทางร่างกายและจิตใจ การปฎิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทหารจะต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นหัวใจในการทำงาน และนโยบายและการทำงานของเจ้าหน้าที่จะต้องไม่เลือกปฎิบัติทางเชื้อชาติหรือศาสนา

รายละเอียดหนังสือดังกล่าว : 

วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2561
 
เรื่อง การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ทหารในโรงเรียนตาดีกา
 
เรียน กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า
 
สำเนาเรียน ผบ.ฉก จังหวัดปัตตานี, เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารราชการจังหวัดชายแดนใต้
 
เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2561 ได้มีเจ้าหน้าที่ทหารจากหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 22 เข้าไปในโรงเรียนตาดีกานูรุลอิหส้าน(เกาะแน) หมู่ 4 ตำบล คลองใหม่ อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี พร้อมด้วยอาวุธประจำกาย และได้มีการถ่ายภาพบัตรประชาชน ครูผู้สอน รายชื่อเด็ก และ เด็ก ทั้งนี้โรงเรียนตาดีกาเป็นโรงเรียนที่จัดการเรียนการสอนศาสนาอิสลาม จากการติดตามนโยบายภาครัฐที่มีผลกระทบต่อเด็กโดยเครือข่ายปกป้องคุ้มครองเด็กพบว่าในปี 2560 เจ้าหน้าที่ทหารได้ประสานกับผู้รับผิดชอบโรงเรียนตาดีกาเพื่อให้เจ้าหน้าที่ทหารดำเนินการจัดการเรียนการสอนเกี่ยวกับหน้าที่พลเรือนให้กับเด็กในโรงเรียนตาดีกาซึ่งเป็นเด็กที่มีอายุระหว่าง 5-12 ปี โดยในช่วงปลายปีเริ่มมีภาพเจ้าหน้าที่ทหารแต่งกายด้วยชุดเครื่องแบบและพกพาอาวุธปืนไปในโรงเรียนตาดีกาประมาณ 6-7 คน เพื่อไปทำกิจกรรมกับเด็กที่โรงเรียนตาดีกาปรากฎในสื่อออนไลน์ ซึ่งการเข้าไปปฎิบัติงานและการบันทึกข้อมูลของเจ้าหน้าที่ทหารกระทำเฉพาะโรงเรียนตาดีกา
 
อนุสัญญาที่ว่าด้วยสิทธิเด็กที่เด็กจะต้องได้รับประโยชน์สูงสุดและคำนึงถึงความปลอดภัยของเด็กและเด็กไม่ถูกใช้ประโยชน์ในทางการเมืองไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใด และ อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบในข้อ 2(ก)ระบุว่ารัฐภาคีแต่ละรัฐจะไม่กระทำการใด ๆ ที่จะเป็นการเลือกปฏิบัติต่อบุคคลกลุ่มบุคคล หรือสถาบัน และจะประกันว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐทุกคน และสถาบันของรัฐทุกแห่งทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่นจะปฏิบัติตามพันธกรณี
 
การเข้าไปปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทำให้กระทบถึงการศึกษาทางด้านศาสนาและสร้างความกังวลใจต่อครูผู้สอนจากการเก็บข้อมูลและการถ่ายภาพของเจ้าหน้าที่ทหารโดยเฉพาะการนำอาวุธปืนเข้าไปในโรงเรียนทำให้เด็กมีภาพจำของอาวุธสงครามและเด็กมีความเสี่ยงที่จะตกเป็นเป้าในการโจมตีจากกองกำลังติดอาวุธดังที่เคยปรากฎ และทำให้ชั่วโมงในการเรียนการสอนลดลงและสร้างความกังวลใจถึงความปลอดภัยของเด็กและครู และบางกิจกรรมก็ไม่สอดคล้องกับการเรียนการสอนเดิม
 
จากความห่วงกังวลถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นทางเครือข่ายองค์กรพัฒนาเอกชนในจังหวัดชายแดนใต้จึงขอเรียกร้องให้
 
• ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการปฎิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทหารในโรงเรียนตาดีกาได้ทบทวนวิธีการปฎิบัติงานที่อาจส่งผลกระทบต่อเด็กทั้งทางร่างกายและจิตใจ
 
• การปฎิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทหารจะต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นหัวใจในการทำงาน
 
• นโยบายและการทำงานของเจ้าหน้าที่จะต้องไม่เลือกปฎิบัติทางเชื้อชาติหรือศาสนา
 
 
กลุ่มด้วยใจ
 
มูลนิธินูซันตารอเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา
 
สมาคมฟ้าใสส่งเสริมสุขภาวะเด็กและเยาวชนชายแดนใต้
 

ที่มา deepsouthwatch.org

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สื่อบราซิลแบนเฟสบุ๊ค จวกปรับนิวส์ฟีดใหม่ทำลายคุณภาพสื่อ

Posted: 11 Feb 2018 08:59 PM PST

หลังจากที่ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาเฟสบุ๊คออกอัลกอริทึมใหม่ในการเผยแพร่ข้อมูลในเว็บไซต์ ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่าเป็นการกีดกันเนื้อหาที่ 'มีคุณภาพ' และการแพร่หลายของ 'ข่าวปลอม' เร็วขึ้นมาก โดยที่สื่อใหญ่ที่สุดในบราซิล ''โฟลยา เดอ เอส เปาโล" (Folha de S. Paulo) หรือเรียกสั้นๆ ว่า "โฟลยา" ประท้วงด้วยการประกาศว่าจะยกเลิกการเผยแพร่ข่าวและบทความของพวกเขาผ่านทางเฟสบุ๊ค

11 ก.พ. 2561 แซร์โจ ดาวิลา ผู้อำนวยการบริหารของสื่อโฟลยาวิจารณ์อัลกอริทึมหรือขั้นตอนวิธีแบบใหม่ในการเผยแพร่ข้อมูลของเฟสบุ๊คว่าเป็นการ "ปิดกั้นสื่อมืออาชีพจากหน้าเพจเพื่อส่งเสริมเนื้อหาส่วนตัวและเปิดโอกาสให้ 'ข่าวปลอม' แพร่กระจายซ้ำๆ มากขึ้น" โดยที่สื่อโฟลยาที่มีฐานสมาชิกทั้งแบบสิ่งพิมพ์และแบบออนไลน์อยู่ราว 285,000 รายและเพจของพวกเขาก็มีผู้ติดตามมากกว่า 5.7 ล้านราย
 
แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นสื่อบราซิลที่ได้รับความนิยมสูงมาก พวกเขาก็พบว่าในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมามียอดการปฏิสัมพันธ์กับโพสต์ในเฟสบุ๊คของพวกเขาลดลง และไม่ได้เกิดขึ้นแต่กับสื่อโฟลยาเท่านั้นพวกเขาพบว่ากับหนังสือพิมพ์อื่นๆ ของบราซิลก็ประสบปัญหาเดียวกันด้วย ในทางตรงกันข้ามนักวิเคราะห์ของหนังสือพิมพ์โฟลยาพบว่าเพจที่สร้างข่าวเทียมมีจำนวนการโต้ตอบมากกว่าสื่อวิชาชีพ 5 เท่า
 
โฟลยาระบุถึงอัลกอริทึมใหม่ของเฟสบุ๊คที่พวกเขามองว่าทำให้ผู้คนถูกกักอยู่ใน "ฟองสบู่" ทางความคิดของตัวเองแทนที่จะเอื้อต่อสื่อวิชาชีพกลับเอื้อต่อการแพร่กระจาย "ข่าวปลอม" มากขึ้น และการแพร่กระจายเนื้อหาที่เป็นเท็จเหล่านี้เองที่เคยส่งผลกระทบเช่นในการเลือกตั้งสหรัฐฯ ปี 2559
 
สื่อโฟลยาระบุอีกว่าการตัดสินใจเลิกเผยแพร่ข่าวทางเฟสบุ๊คนั้นมาจากการเสียงสะท้อนของการปรึกษาหารือภายในของพวกเขาเองว่าจะทำให้เนื้อหาของหนังสือพิมพ์เข้าถึงผู้อ่านได้อย่างไร ซึ่งพวกเขามองว่าการตัดสินใจปรับอัลกอริทึมของเฟสบุ๊คแสดงให้เห็นถึงความเสียเปรียบมากขึ้นในการใช้ช่องทางนี้เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารสำหรับสื่อวิชาชีพ
 
หลังจากที่โฟลยาประกาศในเรื่องนี้ เจฟฟ์ เบนนิซิโอ คอลัมนิสต์ของสื่อบราซิลและเว็บไซต์บันเทิง Terra ก็เรียกร้องให้องค์กรอื่นๆ ประท้วงเฟสบุ๊คด้วยวิธีการเดียวกัน โดยเบนนิซิโอมองว่าถ้าหากสื่อพากันออกจากพื้นที่ของเฟสบุ๊คพร้อมๆ กันก็จะทำให้โซเชียลมีเดียหมดความสำคัญในการเป็นช่องทางนำเสนอสื่อ แต่จะกลายเป็นพื้นที่เสมือนจริงให้เพื่อนและครอบครัวหยอกเย้ากันแทน
 
 
 
เรียบเรียงจาก
 
Accusing Facebook of 'Effectively Banning Professional Journalism,' Brazil's Largest Paper Ditches Platform, Common Dreams, 09-02-2018
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น