ประชาไท | Prachatai3.info |
- “ลูกโป่งที่ลอยไปแล้ว” จากแม่ถึงการ์ตูน NDM
- นักศึกษา ม.อ.ปัตตานี แสดงออกเชิงสัญลักษณ์หยุดโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา
- ครม.ไฟเขียวปรับอัตราโทษอาญาไม่ร้ายแรงสอดคล้อง รัฐธรรมนูญ ม.77
- ครม.ขึ้นค่าตอบแทน 10 % ให้ 'ศาล-องค์กรอิสระ' ย้อนหลังถึงปี 57
- เอกชัยอดมอบ 'นาฬิกา-ดอกไม้' ให้ประวิตรอีกครั้ง
- ประยุทธ์ฝากผู้ปกครองดูแลกลุ่มนักศึกษาที่ออกมาเคลื่อนไหว
- ค้านโรงไฟฟ้าเทพา-กระบี่อดข้าวประท้วงหน้าตึกยูเอ็นต่อ เมินคำสั่ง ตร. ให้แยกย้าย
- ส่อง 4+3 ประเด็นเห็นแย้งกฎหมายลูก ส.ส. – ส.ว. เผย 5+5 รายชื่อ กรธ. นั่งพิจารณาร่วม
- เปิดคำวินิจฉัยเสียงข้างน้อยศาลปกครอง กรณีขอทุเลายึดทรัพย์ยิ่งลักษณ์จำนำข้าว
- ครม.มติรับทราบกำหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ 4 กลุ่มอุตสาหกรรม 16 สาขาอาชีพ
- ใบตองแห้ง: บานปลาย! ตั้งเลขาฯ ศาลปกครอง
- อดีตผู้นำมัลดีฟส์เตือนประเทศอาจถูกจีนยึด เหตุหนี้สินมหาศาลในโครงการที่ไม่เกิดประโยชน์
- สมชัย เผย 1 เสียงของ กกต. อาจชี้ขาดคว่ำหรือไม่ กฎหมายลูก ส.ว.
- รมว.ศึกษาฯ ขอโทษประวิตร ปมพาดพิงนาฬิกาหรู รับเสียมารยาท ยันยังไม่ลาออก
- ชาววานรนิวาส ยื่นอุทธรณ์คำสั่งหลังอุตสาหกรรมจังหวัดสกลฯ ไม่เปิดข้อมูลเหมืองแร่โปแตซ
“ลูกโป่งที่ลอยไปแล้ว” จากแม่ถึงการ์ตูน NDM Posted: 13 Feb 2018 10:49 AM PST "พอเรื่องจริงเกิดขึ้นกับเรา มันไม่ใช่อย่างที่เราคิดเลย มันมีความรู้สึกว่า เหมือนลูกโป่งมันลอยไปแล้ว เรามองมันทั้งเสียดาย ทั้งเศร้า เหมือนมันจะไม่ลอยลงมาหาเราอีกแล้ว แล้วเราก็นึกถึงช่วงเวลาที่เขาเถียงกับพ่อ ว่าเขาไม่เห็นด้วยกับมาตรานี้ คนรอบตัวเขาก็โดนผลกระทบจากมาตรานี้ เขาเห็นว่ามาตรานี้ควรมีการเปลี่ยนแปลงเพราะมันไม่เป็นธรรมในสังคมระบอบประชาธิปไตย และบอกว่าถ้าเขาโดนมาตรานี้เขาจะขอลี้ภัยไปอยู่ที่อื่น" คือส่วนหนึ่งจากการคุยกับแม่ของ การ์ตูน-ชนกนันท์ รวมทรัพย์ อดีตโฆษกขบวนการประชาธิปไตยใหม่ (NDM) ถูกกล่าวหาว่ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือกฎหมายหมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ จากการแชร์รายงานพระราชประวัติรัชกาลที่ 10 ที่เว็บไซต์บีบีซีไทย รายงานซึ่งมีผู้แชร์ร่วมกันกับเธอราว 2,800 คน ลงในเฟสบุ๊คตั้งแต่ ธ.ค.ปี 2559 หมายนัดมาถึงบ้านของเธอในวันเสาร์ที่ 13 มกราคม ซึ่งตรงกับวันเด็กที่ผ่านมา ตอนนั้นครอบครัวยังเข้าใจว่าคือหมายที่มาเป็นประจำเกี่ยวกับคดีอุทยานราชภักดิ์ที่เธอต้องไปขึ้นศาลอยู่เรื่อยๆ จนกระทั่งเมื่อเธอได้อ่านมันและพบว่าเป็นหมายเรียกให้ไปรับทราบข้อกล่าวหาคดี 112 นำมาสู่การตัดสินใจลี้ภัยอย่างเร่งด่วนในวันต่อมา ท่ามกลางความตกใจของครอบครัวที่พบว่า การจากไปครั้งนี้ของเธออาจหมายถึงการไม่ได้กลับมาอีก ระหว่างคุยเรามีน้ำตาซึม อาจเพราะเรื่องราวที่คุยนอกเหนือจากตัวบทกฎหมายตามหลักการแล้ว เราได้เห็นผลกระทบจริงที่เกิดขึ้นต่อครอบครัวหนึ่ง เราเห็นความรักและความผูกพันของครอบครัว แม้พ่อจะเห็นต่างทางการเมืองกับลูก แม้พ่อและแม่จะเป็นห่วงความปลอดภัยของลูก แต่ก็ไม่เคยห้ามไม่ให้แสดงออก เราค้นพบความเข้าใจและเอื้ออาทรต่อกันในครอบครัวจากเรื่องเล่านี้ เราพบความเข้มแข็ง ไม่หวาดกลัว จึงอยากให้คุณลองทำความรู้จักกับการ์ตูนและครอบครัวไปพร้อมกับเราผ่านแม่ของเธอ
การ์ตูนเป็นลูกสาวคนแรกของครอบครัว ทั้งครอบครัวเห่อเพราะเป็นลูกสาวคนแรก การ์ตูนเป็นเด็กชอบเรียนรู้ วันเกิดตอน 3 ขวบ แม่ถามเขาว่าอยากได้อะไร เขาตอบว่าอยากได้หนังสือ การ์ตูนไม่ชอบเล่นตุ๊กตา แต่ชอบอ่านหนังสือ ต่างจากเด็กอื่นทั่วไปในวัยเดียวกัน พอตูนอายุได้ประมาณ 4-5 ขวบ น้องก็เพิ่งคลอดได้ 5 เดือน คุณยายที่เป็นพี่เลี้ยงก็เสียไปพอดี ทุกคนเลยต้องมาดูน้องที่เพิ่งคลอด เขาก็ต้องช่วยเหลือตัวเอง เลยค่อนข้างจะเข้มแข็งและช่วยเหลือตัวเองมาตั้งแต่เล็ก พอย้อนกลับมาดูแล้วระหว่างน้องกับเขา แม่คิดว่าแม่เลี้ยงต่างกันเยอะเลย เพราะพอน้องอายุ 4-5 ขวบเหมือนกัน เราก็มีแม่บ้านซึ่งจะคอยดูแล คอยโอ๋น้อง พาไปส่งถึงห้องเรียน ในขณะที่ตูนในตอนอายุเท่านั้นต้องช่วยเหลือตัวเอง รู้สึกผิดหน่อยๆ เหมือนกัน เขาเป็นคนที่ค่อนข้างต้องการได้รับการยกย่อง จากสายตาที่พ่อแม่ดู เช่น ถ้าเขาเรียนดีมีคนชมเชย พ่อแม่ยกย่อง เขาก็จะมุ่งไปทางนั้น หรือตอนป.2 อยู่ๆ เขาก็มาบอกว่า แม่ หนูจะประกวดนางนพมาศ ซึ่งเราก็แปลกใจ ไม่เคยเห็นเขาจะมาสนใจอะไรแบบนี้เลย ซึ่งในความคิดของเขาตอนนั้นคือ ถ้าคนที่สวยงามก็จะได้รับการยกย่อง ก็เลยไปสมัครประกวดเอง แม่คิดว่าเขาเป็นคนมีความคิดดี แต่ในสังคมเมืองไทยเขาจะออกไปในแนวแข็งหน่อย ที่บ้านทั้งตระกูลเขาจะนิยมให้ลูกหลานเรียนภาษาอังกฤษ การ์ตูนเป็นคนไม่ชอบการชี้นำ พอบอกว่าเรียนภาษาอังกฤษ เขาก็จะ 'ไม่' ทันที ก็เลยไปเรียนภาษาญี่ปุ่นแทน ตูนเป็นคนทำอะไรด้วยตัวเอง การมาบอกแม่คือการแจ้งให้ทราบ เหมือนกับการลงท้ายว่า 'จึงเรียนมาเพื่อทราบ' จุดฟูลสต็อป แล้วจบ ตอนเข้าม.4 ตูนคิดว่าเรียนจบจะไปเรียนต่อโครงการทุนของญี่ปุ่น ซึ่งต้องสอบภาษาอังกฤษด้วย เป็นสิ่งที่เขาไม่ถนัด เขาก็เลยคิดว่าถ้างั้นต้องไปแลกเปลี่ยนโครงการต่างประเทศ และจะได้ภาษาแน่ๆ ซึ่งข้อมูลทั้งหมดเขาเป็นคนหาเองแล้วมาแจ้งพ่อแม่ เราก็ เหรอๆ อย่างนี้เหรอ แล้วก็ไปอยู่อเมริกาปีหนึ่ง แล้วกลับมาก็ได้ภาษา พอตอนต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย ญาติๆ ฝั่งพ่อก็เชียร์มากว่าต้องธรรมศาสตร์ เพราะทุกคนก็เรียนธรรมศาสตร์ พอเป็นแบบนั้นปั๊บ เขาก็ลบลิสต์รายการที่เป็นธรรมศาสตร์ออกหมดเลย ข้อดีของนิสัยตรงนี้เขาคือมันเป็นแรงผลักอย่างดีในการจะทำอะไรสักอย่างหนึ่งโดยไม่ต้องการการชักจูง การชี้นำ แต่มาจากการตัดสินใจของเขาเอง แต่ข้อเสียก็คือเขาลืมมองว่าสิ่งที่คนอื่นชักจูงมันดีรึเปล่า เขาจะไม่คิดเลย เขาจะคิดแค่ว่าเขามีสิทธิที่จะตัดสินใจ สุดท้ายเขาก็ติดรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ความคิดทางการเมืองของการ์ตูนช่วงเข้ามหาวิทยาลัยเป็นยังไง ช่วงนั้นการเมืองก็เปลี่ยนคนมาหลายยุคหลายสมัย ทางครอบครัวฝั่งพ่อสนใจเรื่องการเมือง เขาก็จะอยู่ฝั่งประชาธิปัตย์กัน แต่พอตูนเรียนรัฐศาสตร์ ความคิดเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปอีกแนวหนึ่ง ช่วงนั้นเขาค่อนข้างเก็บตัว เพราะเหมือนคุยกันแล้วคุยไม่รู้เรื่อง การเมืองไทยก็แรงขึ้น การรับรู้ของเขาเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ อย่างเรื่องมาตรา 112 ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาจะมาพูดกับพ่อเสมอ พ่อก็จะบอกว่าไม่เห็นด้วยที่จะไปยุ่ง เพราะเพื่อนพ่อก็โดนมาตรานี้แล้วก็ติดคุก แต่เขาก็จะบอกว่าเขาไม่เห็นด้วยที่จะมีมาตรานี้ ซึ่งเขาก็ไม่เคยหมิ่นหรืออะไร เขาก็แสดงความคิดเห็นในเชิงหลักการ การเรียนรู้ของเขาอาจไม่เหมือนกับสมัยพ่อแม่ ของเราอาจจะเรียนรู้จากแค่ตำรา แต่ของตูนเรียนรู้จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในตอนนั้นด้วย อาจารย์ก็จะกล้ามากกว่าในรุ่นของพ่อแม่ นักเรียนก็จะกล้ากว่าในการแสดงความคิดเห็น ก็กลายเป็นว่าเขาได้รับรู้บางสิ่งที่ไม่มีในตำรา แล้วเขาก็เกิดคำถามขึ้นมา ก่อนหน้านั้นเขาก็มีกิจกรรมการเมืองที่เขาค่อนข้างจะเป็นแกนนำอยู่ ตอนนั้นในครอบครัว พ่อก็ไปอีกทาง เขาก็ไปอีกทาง เขาบอกว่าเขายึดหลักประชาธิปไตย ส่วนแม่กับน้องสาวก็จะขอความสงบ ไม่อยากยุ่งกับการเมือง เราเห็นว่าพอมันเกิดความเห็นต่าง เราเองก็ได้รับผลกระทบ เรามองแค่ตัวเราเอง แต่ไม่ได้มองไกลออกไปเหมือนกับที่พ่อและลูกเขามองกัน บ้านนี้จะคุยอะไรทีต้องระวังเดี๋ยวล้ำเส้น ก็ต้องเบรกกันหัวทิ่มเหมือนกัน น้องสาวก็จะไม่เอาเรื่องการเมืองเลย ไม่ชอบฟังพ่อกับพี่ทะเลาะกัน แต่เราก็อยู่กันได้ พอมันจูนกันไปจูนกันมาก็เคารพในความคิดกัน ไม่ล้ำเส้นกัน
วันที่โดนข้อหา 112 เริ่มตั้งแต่คืนนั้นเขาแชร์บทความของ บีบีซีไทย ในเฟสบุ๊คตอนที่เขาอยู่บราซิล พ่อก็กังวลมาก เลยโทรไปบอกเขา คืนนั้นพ่อนอนไม่หลับ เพราะพ่อคิดว่าเขากลับมาต้องมีสิทธิถูกล็อกตัว พ่อคิดว่าลูกสาวไม่ควรจะต้องมาติดคุกเพราะเรื่องนี้ พ่อพูดกับแม่ว่า บอกตูนว่าไม่ต้องกลับมา ให้อยู่ที่บราซิลเลยดีกว่า แล้วเขาจะส่งเสียเอง ซึ่งแม่บอกว่าไม่ได้หรอก แล้วจะส่งเสียไปถึงเมื่อไหร่ แล้วถ้าเกิดพ่อตายขึ้นมาก่อนแล้วใครจะส่งเสียเขาต่อ คือยังไงก็คงต้องกลับมาแล้วว่ากันอีกทีหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นเราก็กังวลอยู่ว่าเขากลับมาแล้วจะได้เข้าประเทศรึเปล่า แต่ก็เข้าได้ไม่มีเหตุการณ์อะไร หมายเพิ่งมาตอนต้นปีนี้ ตอนที่หมายมาเป็นวันเด็ก แม่ก็ไปต่างจังหวัด เขาก็ไปต่างจังหวัด ตูนกลับมาวันจันทร์เขาก็คิดว่าเป็นหมายปกติที่เป็นคดีราชภักดิ์ซึ่งเขาต้องไปขึ้นศาลอยู่เรื่อยๆ พอเขารู้ว่าเป็นหมายนี้ ก็เหมือนเดิมคือเขาไปปรึกษากับเพื่อนเขา แล้วก็มาบอกแม่ เป็นการ 'แจ้งมาเพื่อทราบ' เหมือนทุกครั้ง พ่อเขาก็มีความเห็นเหมือนกับเพื่อนๆ คือพ่ออยากให้ไปที่อื่นดีกว่า ถ้าเป็นคดีอื่นพ่อเขาก็ไม่คิดจะให้ไปที่อื่น อย่างคดีราชภักดิ์ ก็สู้กันไป ถ้าพิพากษามายังไงก็ตามนั้น แต่คดีนี้พ่อเขาก็คิดว่าไม่ต้องสู้อะไร ไปเถอะ ตอนที่เขาต้องจากบ้านและครอบครัวไปทุกคนช็อก ความรู้สึกของแม่ตอนที่รู้ว่าเขาต้องไปแล้วไม่ได้กลับ มันบอกไม่ถูก เหมือนกับว่ามันอึ้งๆ จะร้องไห้ไหมมันก็ไม่ออก มันมีความรู้สึกว่านี่มันเป็นเรื่องจริงเหรอ แต่ตอนนั้นเราก็มีอะไรให้ต้องคิดเยอะเลย ว่าต้องเตรียมอะไรยังไง ต้องเอาโน้ตบุ๊กเขาไปซ่อม ประเด็นสำคัญเรื่องเงินทองที่เขาจะไม่มีใช้ ทุกอย่างต้องจัดการภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ก่อนหน้านี้เขาเคยคุยกับพ่อเรื่องทำนองนี้ ตอนนั้นเราคิดว่าถ้าเขามีความเห็นต่างแบบนี้ อยู่ประเทศอื่นเขาอาจจะมีความสุขกว่ามั้ง แต่พอเรื่องจริงเกิดขึ้นกับเรา มันไม่ใช่อย่างที่เราคิดเลย มันมีความรู้สึกว่า เหมือนลูกโป่งมันลอยไปแล้ว เรามองมันทั้งเสียดาย ทั้งเศร้า เหมือนมันจะไม่ลอยลงมาหาเราอีกแล้ว แล้วเราก็นึกถึงช่วงเวลาที่เขาเถียงกับพ่อ ว่าเขาไม่เห็นด้วยกับมาตรานี้ คนรอบตัวเขาก็โดนผลกระทบจากมาตรานี้ เขาเห็นว่ามาตรานี้ควรมีการเปลี่ยนแปลงเพราะมันไม่เป็นธรรมในสังคมระบอบประชาธิปไตย และบอกว่าถ้าเขาโดนมาตรานี้เขาจะขอลี้ภัยไปอยู่ที่อื่น พอเขาไปแล้วเราก็มีความรู้สึกว่าหันมามองจริงจังกับเรื่องนี้ ซึ่งแต่ก่อนแม่ไม่ได้สนใจเลย เราไม่เคยคิดจะขยับเข้าไปใกล้มาตรา 112 ตั้งแต่แรกที่ลูกไปก็คิดว่า เรื่องแค่นี้เลยเหรอที่ทำให้เราต้องพลัดพรากกันขนาดนี้ คือเหมือนการจากมันมีจากเป็นกับจากตาย จากตายมันก็โหดร้าย แต่มันจบเร็ว แต่จากเป็นมันมีความทุกข์ใจ เศร้าใจ เป็นห่วงไปตลอด แล้วไม่ว่าลูกอยู่ใกล้อยู่ไกลแค่ไหน ในยามที่เขามีความทุกข์ พ่อแม่ก็จะต้องเป็นห่วงเขาเป็นธรรมดา พ่อก็รู้สึกอาจจะยิ่งกว่าแม่ เพราะเขาก็รักมาก ตอนนี้ที่บ้านก็เหมือนซอมบี้ มันมีบรรยากาศอึมๆ ครึมๆ เป็นห่วงเขามากว่าเขาจะอยู่ยังไง อนาคตเขาจะเป็นแบบไหน
พอเป็นแบบนี้เคยคิดไหมว่าเขาไม่น่าเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางการเมือง ตั้งแต่ตอนแรกที่ตูนโดน ความคิดพวกนี้ไม่มีอยู่ในหัวเลย พอเขาต้องไปก็คิดแค่ว่าทำยังไงให้เขาไปอยู่ที่อื่นโดยปลอดภัยได้แน่ๆ พอหลังจากเหตุการณ์ผ่านไปแล้วเป็นอาทิตย์ แม่ก็เริ่มหาข้อมูล เริ่มหาตัวบทของมาตรานี้ เริ่มอ่านเคสต่างๆ รู้เกี่ยวกับมาตรานี้เยอะขึ้น แล้วแม่ก็ไม่รู้ว่าเข้าข้างลูกมากเกินไปรึเปล่า เหมือนกับคนที่เรารักโดน เราก็จะมีความไม่เป็นกลาง เราเข้าใจคนที่เขาต่อต้านมาตรานี้ว่าเขามีความคิดอะไรยังไง เราก็คิดว่ามันไม่น่าขนาดนี้เลย ทั้งโทษที่หนักไป ความผิดที่ไม่ชัดเจน ความผิดครอบคลุมกว้างขวาง ใครฟ้องก็ได้ เกิดการกลั่นแกล้งกันโดยใช้มาตรานี้อย่างที่มีตัวอย่างที่เกิดขึ้นแล้ว แล้วการพิพากษาก็ค่อนข้างเห็นชัดเจนว่าเป็นยังไงสำหรับคดีนี้ ถึงได้เข้าใจว่ามาตรานี้ที่เขามีการรณรงค์ปรับเปลี่ยนแก้ไขยกเลิกเพราะอะไร แล้วก็เพิ่งมารู้ว่าครอบครัว ยังไงก็มีความรักกันโดยสายเลือด น้องสาวของตูนจะบุคลิกตรงข้ามกับเขา ถ้าคนภายนอกดูก็จะรู้สึกว่าพี่สายโหด น้องจะสายอ่อนโยน แต่จริงๆ สองคนนี้แกนในเขาแข็งพอๆ กัน พี่ก็ไม่ยอมน้อง น้องก็ไม่ยอมพี่ ปะทะคารมกันทีก็ไม่มีใครยอมใคร มีเรื่องทะเลาะกันมาประมาณ 4 เดือนแล้ว ไม่พูดกันเลย อยู่กันมาแบบอึดอัด พอถึงวันที่พี่เขาต้องไป น้องไม่อยู่เพราะน้องอยู่หอ กลับบ้านเฉพาะศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ วันที่พี่ตูนไปคือวันอังคาร แม่ก็ไม่ได้บอกน้องเพราะช่วงนั้นเราไม่กล้าที่จะบอกใคร ห่วงความปลอดภัยของตูน จนกระทั่งวันที่ไปรับน้องกลับบ้าน แล้วเล่าให้ฟังในรถ น้องก็ซึมไปเลย เป็นความรู้สึกสูญเสีย ร้องไห้ ซึ่งแม่ก็ร้องไห้ บอกว่าพี่ตูนเขาไปแล้วนะ ไม่ได้กลับแล้ว แล้วเขาก็วิดีโอคอลคุยกัน พอเราเห็นพี่น้องพอถึงเวลาต้องพลัดพรากจากกันจริงๆ มันจะลืมเรื่องอื่นทั้งหมดไปเลย แล้วตอนนี้มันก็ยังเป็นความทุกข์ใจของที่บ้าน เขาไปตั้งแต่ 16 มกรา วันเกิดเขาวันที่ 5 กุมภา เราก็ไม่ได้อวยพรเลย ก็เลยทำการ์ดกันสามคนพ่อแม่ลูกแล้วก็ส่งไปให้เขา แล้วตอนนี้ก็วาเลนไทน์ แต่ก่อนทุกปีแม่จะให้ช็อคโกแลตเขาทั้งคู่ ปีนี้น้องก็มาบอกว่า แม่ไม่ต้องซื้อให้หนูแล้วนะ เพราะว่าพี่ตูนก็ไม่ได้ หนูก็ไม่ได้เหมือนกันดีกว่า บางคนบอกว่าทำไมไม่ให้เขาไปรายงานตัว ถ้าติดคุกจริงๆ ก็แค่ 5 ปี ถ้ารับสารภาพก็ 2 ปีครึ่ง เหมือนคดีของไผ่ พ่อบอกว่าพ่อไม่เห็นด้วย พ่อบอกว่าสถานที่นั้นไม่ใช่ที่อยู่ของลูก ถ้าลูกฆ่าคนตายหรือไปทำให้คนเดือดร้อนแล้วต้องไปอยู่แบบนั้น พ่อเขารับได้ แต่กับเรื่องนี้ให้ลูกไปอยู่แบบนั้นกลับมาเขาก็ต้องไม่ได้ลูกคนเดิม เพราะสภาพจิตใจของตูนจะต้องเปลี่ยนไปแน่นอน เหมือนเขาจะได้รับโทษในสิ่งที่เขาคิดอยู่แล้วว่ามันไม่ถูกต้อง มันยิ่งทำร้ายจิตใจเขา ถ้าต้องเข้าไปอยู่ในสภาพแบบนั้นก็จะสร้างความโกรธแค้นต่อจิตใจเขามากขึ้น ให้ลูกไปเผชิญปัญหาข้างหน้าอยู่ข้างนอกยังดีกว่าต้องไปอยู่ในนั้น พ่อเขาคิดแบบนี้ตั้งแต่ตอนที่ลูกแชร์โพสต์ที่บราซิลแล้ว พ่อเขาเป็นทนายด้วย ก็เลยจะรู้เรื่องอะไรพวกนี้เยอะกว่าแม่
ก่อนหน้านี้ตอนเราอยู่ด้วยกัน ความคิดเห็นไม่ตรงกันเราก็จะหงุดหงิดกันบ้าง แต่ตอนนี้มันรู้สึกถึงความรัก ความคิดถึงกัน น้องสาวก็ห่วงพี่เขา ห่วงพ่อแม่ ห่วงสภาพจิตใจในครอบครัว แล้วเหมือนเราก็ไม่อยากคุยเรื่องแบบนี้กับใครมากขึ้น มันมีความซึมเศร้า พอคุยกับบางคนที่เขาไม่ได้เจอกับตัวเอง เขาก็มีความคิดเห็นว่า "สมน้ำหน้า" หรือ "ก็มันทำมันก็ต้องได้รับผล" บางคนก็มาถามเราแต่บางครั้งคำพูดมันก็ยิ่งทำให้เราแย่ลงไปอีก ขนาดคนที่เราสนิท พอเขารู้เรื่องจากที่ตูนโพสต์ว่าโดนข้อหา 112 เขาโทรมาบอกว่า เนี่ย น่าสงสารแม่กับพ่อจริงๆ เลย เรารู้สึกปรี๊ดขึ้นมา เราน่าสงสารตรงไหน เหมือนกับลูกเรามันแย่มันเลว ทำให้พ่อแม่ต้องน่าสงสารในสายตาคนอื่น ซึ่งจริงๆ เรามองกลับกันว่าลูกเราไม่ควรจะต้องโดนถึงขนาดนี้ แต่บางคนที่เขารับรู้เรื่องแบบนี้มาเขาก็เข้าใจหัวอกแล้วก็ให้กำลังใจ ช่วยเหลือกัน
การ์ตูนเหมือนจะเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็ง แต่จริงๆ เขาเซ้นสิทีฟเยอะ อารมณ์เขาไม่นิ่งพอ เจอเรื่องกระทบที่ไม่ถูกใจขึ้นมาก็จะควบคุมอารมณ์ไม่ได้ แล้วไปอยู่ไกลขนาดนั้น ไปอยู่ในถิ่นที่ไม่ได้ใช้ภาษากำเนิด สถานะก็ปรับเปลี่ยนไป ความสะดวกสบายก็ไม่มี แม่ว่าก็ต้องลำบากแน่นอน ตอนนี้เขาทำเรื่องขอสถานะอยู่ถ้าไม่ได้ขึ้นมา ก็ทำงานไม่ได้ ปริญญาที่จบไปก็เหมือนไม่มีค่าในต่างแดน แล้วเขาก็จะมีความรู้สึกว่าอายุขนาดเขา เขาไม่อยากมาเป็นที่เดือดร้อนของพ่อแม่ เขาก็จะดิ้นรนให้มีรายได้เล็กๆ น้อยๆ แต่ดีอย่างที่ตอนนี้เขาก็เริ่มแฮปปี้กับสถานที่กับผู้คนแล้ว และถ้าเขาได้รับสถานะแล้วการที่เราจะไปหาเขามันก็ไม่ใช่เรื่องยาก แม่ภูมิใจที่เขาเป็นเด็กมีความคิด เป็นคนกล้าแสดงออกทางความคิด แต่ส่วนที่แม่ไม่ค่อยประทับใจเขาก็คือ เวลาใครเห็นต่างจากเขา เขาก็จะแรงๆ เหมือนกัน ซึ่งอันนี้แม่ก็คิดว่าเขาน่าจะรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นบ้าง แต่เราก็ไม่รู้ว่าโลกของเขาเขาเผชิญกับความขัดแย้งมาเยอะจนกระทั่งต้องมองโลกแบบนั้นรึเปล่า เขาไม่ค่อยคุยเรื่องการเมืองกับแม่ จะเป็นแบบ 'แจ้งมาเพื่อทราบ' ฟูลสต็อป จบ ประมาณนั้น แล้วเขาก็รู้ว่าทำไปแม่ก็ไม่ค่อยจะเห็นด้วยเท่าไหร่ เราก็จะห่วงความปลอดภัยเขา แต่เราก็ไม่เคยห้าม ที่เขาแสดงออกมันไม่ใช่เรื่องเลวร้าย ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน เขาก็เต็มที่ไปในสิ่งที่เขาจะทำ แล้วเขาก็มีวุฒิภาวะพอในการตัดสินใจ ถึงแม้ทางที่เขาเลือกเดินเราจะรู้สึกว่า อย่าไปเลยทางนั้นมันลำบาก มาทางนี้ดีกว่า อยากบอกแต่ก็รู้ว่าไม่มีประโยชน์ ฝืนใจกันเปล่าๆ ก็เลยไม่พูด
ยังเลย แต่ก่อนหน้านี้ที่เขาทำกิจกรรมตอนอยู่มหาวิทยาลัยมีเยอะเลย เยอะแบบเปิดบ้านต้อนรับ บางทีเราจะออกไปธุระข้างนอก เขาก็จะมาแบบไม่มีการแจ้งมาก่อน ข้างบ้านก็จะมองในแง่ว่า มาอีกแล้วทหาร มาปรับทัศนคติ แต่พอดีหมู่บ้านที่อยู่ส่วนใหญ่ก็มีความคิดเห็นไปในแนวเดียวกับการ์ตูน เราเลยไม่ค่อยอึดอัดใจกับเพื่อนบ้านเท่าไหร่
ในแง่ของพ่อกับแม่ เราเลยจุดความกลัวมาแล้ว เรามีความรู้สึกว่าเราไม่ได้ทำผิด การที่ลูกเราได้รับผลขนาดนี้ก็เกินไปแล้ว และไม่สามารถสู้ในชั้นศาล ถ้าสู้ก็คือแพ้อยู่แล้ว แม่เป็นนักบัญชี ไม่ได้สนใจเรื่องการเมือง มีความรู้สึกว่ามันน่าเบื่อหน่ายมาก พอเจอเหตุการณ์นี้เราก็ค้นคว้าศึกษา เราอยากรู้จริงๆ ว่าคดีนี้มันเป็นยังไง พออ่านแล้วก็รู้สึกว่า เหมือนกับผู้หญิงทำไมแต่งงานแล้วต้องใช้นาง เพราะผู้ชายเขียนกฎหมาย เรารู้สึกว่ามันเป็นการเขียนกฎหมายโดยไม่ชอบธรรม เราโชคไม่ดีที่อยู่ในประเทศที่เราไม่ได้มีส่วนในการเขียนกฎหมาย เราได้รู้ละเอียดขึ้น เยอะขึ้น แล้วเราก็รู้ว่าสิ่งที่ลูกคิด ลูกพูดที่ผ่านมามันมีเหตุมีผล อย่างกรณีไผ่ หรืออย่างของการ์ตูน เรารู้ว่าเด็กเขาทำไปด้วยความกล้าของเขา บางทีเด็กก็มีความกล้ากว่าคนที่ผ่านโลกมาเยอะ มันน่าจะให้โอกาสเขามากกว่านี้ แล้วกลายเป็นว่าทำให้คนรู้สึกไม่พอใจกับมาตรานี้มากขึ้น จากคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวแต่พอมารู้ผลกระทบแล้วมันก็รู้สึกว่าอะไรกันขนาดนี้ มันไม่ควรเป็นความผิดตั้งแต่แรก แต่พอทัศนคติไม่ตรงกัน ก็ต้องไปจำกัดสถานที่เขา จำกัดอนาคตเขา จำกัดความคิดเห็นเขา จำกัดการแสดงออก จำกัดไปหมดเลย มันอยู่ด้วยกันแบบนี้ไม่ได้หรอก เหมือนอย่างที่บ้านเราก็ทัศนคติต่างแต่อยู่กันได้ เคารพความเห็นของแต่ละคน ประคองให้อยู่ด้วยกันได้ สังคมก็ต้องมีความเอื้ออาทร เอื้อเฟื้อทางด้านจิตใจกันมากกว่านี้ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
นักศึกษา ม.อ.ปัตตานี แสดงออกเชิงสัญลักษณ์หยุดโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา Posted: 13 Feb 2018 08:19 AM PST นักศึกษา ม.อ.ปัตตานี ร่วมเขียนป้ายผ้าแสดงสัญลักษณ์คัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหิน หวังเปิดพื้นที่ให้นักศึกษาร่วมแสดงจุดยืนปกป้องสิทธิชุมชนและให้กำลังใจเครือข่ายฯ ที่กำลังเคลื่อนไหวประท้วงอดอาหาร 13 ก.พ.2561 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (12 ก.พ.61) เมื่อเวลา เวลา 11.00 น. ที่ บริเวณหน้าอาคารเรียนรวม 19 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี (ม.อ.ปัตตานี) ชมรมอนุรักษ์ธรรมชาติ ม.อ.ปัตตานี ร่วมกับนักศึกษาทั่วไป จัดกิจกรรมแสดงออกเชิงสัญลักษณ์คัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา โดยเปิดให้นักศึกษารวมทั้งผู้ที่สัญจรผ่านมีส่วนร่วมเขียนป้ายผ้าเพื่อแสดงจุดยืนเพื่อคัดค้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา เกื้อ ฤทธิบูรณ์ อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.อ.ปัตตานี ได้อธิบายถึงการทำกิจกรรมของนักศึกษาในครั้งนี้ว่าเพื่อเป็นพื้นที่ให้นักศึกษาในมหาวิทยาลัยได้มีส่วนร่วมในการแสดงความเห็นทางการเมืองเกี่ยวปัญหาสิทธิชุมชนในพื้นที่ เนื่องจากการออกมาเคลื่อนไหวของนักศึกษาต่อประเด็นโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพายังคงมีจำนวนน้อย จึงอยากให้การแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ดังกล่าวเป็นพื้นที่สำหรับนักศึกษาที่มีโอกาสเข้าร่วมได้แสดงออกร่วมกัน ขณะที่ กัสมา นักศึกษาสาขาชีววิทยา คณะศึกษาศาสตร์ ชั้นปีที่ 3 หนึ่งในนักศึกษาที่ร่วมจัดกิจกรรมครั้งนี้ได้กล่าวถึงกิจกรรมครั้งนี้ว่า เป็นการแสดงออกเล็กๆ ที่อยากให้นักศึกษาได้มีส่วนร่วมต่อประเด็นปัญหา ไม่ใช่แค่กลุ่มเครือข่ายที่ออกมาคัดค้านอย่างเดียว ไม่อยากให้นักศึกษานิ่งเงียบเพราะหากไม่เคลื่อนไหวก็เท่ากับยอมรับการจัดตั้งโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา กัสมา กล่าวต่อว่า ตนเคยมีโอกาสลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูลปัญหาโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา พบว่าแต่ละบ้านมีการแสดงสัญลักษณ์ชัดเจนว่าบ้านหลังใดสนับสนุนหรือคัดค้าน หากสนับสนุนจะมีธงสีชมพูหน้าบ้าน หากคัดค้านจะมีธงสีเขียวอยู่หน้าบ้าน โดยกัสมาได้มีโอกาสพูดคุยกับคนที่สนับสนุนพบว่าเขาได้รับข้อมูลจากการไฟฟ้าส่วนผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และได้รับเงินจากการขายที่ดินสำหรับการสร้างโรงไฟฟ้า กัสมา ยอมรับว่าเป็นเรื่องยากที่จะเข้าถึงบ้านที่สนับสนุนเพราะเขามักปิดบ้าน หรือแปะป้ายไว้ว่าไม่มีคนอยู่ สำหรับกิจกรรมการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ดังกล่าวจัดขึ้นจนถึงเวลา 15.00 น. ทั้งนี้ ทางนักศึกษาที่มีส่วนร่วม มีความคาดหวังว่าการแสดงออกดังกล่าวนอกเหนือเป็นการแสดงจุดยืน ยังถือเป็นการให้กำลังใจเครือข่ายคัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา ที่หน้าอาคารองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) โดยนักศึกษาทราบว่าเครือข่ายคัดค้านจะเริ่มมีการประท้วงอดอาหารที่ได้เริ่มไปเมื่อวันที่ 12 ก.พ. ที่ผ่านมา
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ครม.ไฟเขียวปรับอัตราโทษอาญาไม่ร้ายแรงสอดคล้อง รัฐธรรมนูญ ม.77 Posted: 13 Feb 2018 07:55 AM PST 13 ก.พ.2561 สำนักข่าวไทย รายงานว่า พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้พิจารณาการกำหนดโทษทางอาญาของกฎหมายให้สอดคล้องกับ ม.77 ของรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้หน่วยงานเปิดรับฟังความคิดเห็นก่อนจะมีการตรากฎหมายขึ้น รวมถึงให้มีกฎหมายเท่าที่จำเป็น โดยเห็นว่าควรปรับโทษทางอาญาที่ไม่รุนแรงให้เป็นโทษอื่น โดยเน้นที่กฎหมายที่กำลังจะตราขึ้นใหม่ และไม่ใช่เรื่องที่กระทบต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชนอย่างร้ายแรง และกระทบกับประชาชน โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ให้ปรับโทษปรับอาญาเป็นโทษปรับทางปกครอง ซึ่งจะไม่มีการจดบันทึกในประวัติ นอกจากนี้ยังให้พิจารณาปรับโทษที่เท่ากันในความผิดที่มีความรุนแรงต่างกัน และให้แยกโทษนิติบุคคลออกจากโทษของบุคคลธรรมดา โดยให้กฤษฎีกาเป็นผู้ทำกฎหมายกลางเพื่อกำหนดโทษใหม่ที่ใช้แทนโทษทางอาญาเพื่อไม่ต้องแก้กฎหมายทุกฉบับ พล.ท.สรรเสริญ กล่าวว่า นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ยืนยันในที่ประชุมครม.ว่า เรื่องนี้ไม่ได้เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ที่มีฐานะ เพราะได้กำหนดให้ทำได้เฉพาะความผิดที่ไม่ร้ายแรงและไม่กระทบต่อศิลธรรมอันดี ดังนั้นผู้มีรายได้น้อยจึงจะได้รับประโยชน์ด้วยเช่นกัน ในที่ประชุมนายกรัฐมนตรี เป็นห่วงว่าสังคมจะตั้งข้อสังเกตว่าเอื้อประโยชน์ต่อคนบางกลุ่มโดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีสตางค์หรือไม่ ซึ่งนายวิษณุ เครืองาม ระบุว่าต้องเป็นเรื่องไม่ร้ายแรงและไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีและมีผลต่อส่วนรวมเท่านั้น โดยครม.มีมติเห็นชอบซึ่งถือเป็นกระบวนการปฎิรูปกฎหมาย สำหรับรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 77 บัญญัติไว้ว่า มาตรา 77 รัฐพึงจัดให้มีกฎหมายเพียงเท่าที่จําเป็น และยกเลิกหรือปรับปรุงกฎหมาย ที่หมดความจําเป็นหรือไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ หรือที่เป็นอุปสรรคต่อการดํารงชีวิตหรือการประกอบอาชีพ โดยไม่ชักช้าเพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ประชาชน และดําเนินการให้ประชาชนเข้าถึงตัวบทกฎหมายต่าง ๆ ได้โดยสะดวกและสามารถเข้าใจกฎหมายได้ง่ายเพื่อปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างถูกต้อง ก่อนการตรากฎหมายทุกฉบับ รัฐพึงจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้อง วิเคราะห์ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายอย่างรอบด้านและเป็นระบบ รวมทั้งเปิดเผยผลการรับฟังความคิดเห็น และการวิเคราะห์นั้นต่อประชาชน และนํามาประกอบการพิจารณาในกระบวนการตรากฎหมายทุกขั้นตอน เมื่อกฎหมายมีผลใช้บังคับแล้ว รัฐพึงจัดให้มีการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายทุกรอบระยะเวลาที่กําหนด โดยรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องประกอบด้วย เพื่อพัฒนากฎหมายทุกฉบับให้สอดคล้องและเหมาะสม กับบริบทต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป รัฐพึงใช้ระบบอนุญาตและระบบคณะกรรมการในกฎหมายเฉพาะกรณีที่จําเป็น พึงกําหนดหลักเกณฑ์ การใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ของรัฐและระยะเวลาในการดําเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ ที่บัญญัติไว้ ในกฎหมายให้ชัดเจน และพึงกําหนดโทษอาญาเฉพาะความผิดร้ายแรง
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ครม.ขึ้นค่าตอบแทน 10 % ให้ 'ศาล-องค์กรอิสระ' ย้อนหลังถึงปี 57 Posted: 13 Feb 2018 07:26 AM PST
ครม.เห็นชอบ เรื่องการปรับปรุงค่าตอบแทนของผู้ดำรงตำแหน่ง ศาล-องค์กรอิสระ 10% มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ 1 ธ.ค.57 เว้นศาลรัฐธรรมนูญที่มีผลย้อนหลังถึงปี 55 แต่ไม่รวมข้าราชการการเมืองทั้งหมด 13 ก.พ. 2561 รายงานข่าวระบุว่า วันนี้ ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ครม.เห็นชอบ เรื่องการปรับปรุงค่าตอบแทนของผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง ตามร่างพ.ร.บ.เงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ประธานและกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ประธานและผู้ตรวจการแผ่นดิน ประธานและกรรมการป้องกันการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ประธานและคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน(คตง.) และกรรมการสิทธิมนุษยชน(กสม.) ฉบับที่ พ.ศ…. ร่างพ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการฉบับที่ พ.ศ…. ร่างพ.ร.บ.เงินประจำตำแหน่งและค่าตอบแทนของคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.) และกฤษฎีกาประโยชน์ค่าตอบแทนของคณะกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์หรือวินิจฉัยร้องทุกข์ โดยจะได้รับปรับเพิ่มค่าตอบแทน 10 เปอร์เซ็นต์ ให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ 1 ธ.ค. 2557 เว้นศาลรัฐธรรมนูญที่มีผลย้อนหลังถึงปี 2555 ทั้งนี้ การปรับขึ้นค่าตอบแทนดังกล่าว เพื่อลดความเหลื่อมล้ำให้กับข้าราชการที่ไม่ได้รับการปรับขึ้นก่อนหน้าที่คสช. จะเข้ามาบริหารเหมือนกับข้าราชการประจำ ซึ่งการปรับขึ้นค่าตอบแทนครั้งนี้จะไม่รวมข้าราชการการเมืองทั้งหมด ทั้งรัฐสภา รัฐบาล โดยให้ตีกลับเรื่องส่งต้นสังกัด เพื่อป้องกันข้อครหาว่าขึ้นค่าตอบแทนให้กับตัวเอง หรือหากจะพิจารณาปรับขึ้นก็จะมีผลกับรัฐบาลหน้าที่จะเข้ามาบริหาร นอกจากนั้นครม.ยังมอบให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา พิจารณาเรื่องค่าตอบแทนของตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรี เพื่อเสนอให้ครม.พิจารณาต่อไป พล.ท.สรรเสริญ กล่าวว่า การปรับขึ้นเงินค่าตอบแทนตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครองสูงสุด จะได้ปรับเพิ่มเป็น 83,090 บาท จากเดิม 75,590 บาท ประธานกรรมการในองค์กรอิสระและองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ได้รับ 81,920 บาท จากเดิม 74,420 บาท ขณะที่อัยการสูงสุด รองประธานศาลฎีกาหรือเทียบเท่า รองประธานศาลปกครองสูงสุดหรือเทียบเท่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้รับ 81,920 จากเดิม 73,240 บาท ประธานก.พ.ค. กรรมการในองค์กรอิสระและองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ได้รับ 80,540 บาท จากเดิมได้รับ 73,240 บาท ตุลาการศาลยุติธรรมตำแหน่งอื่นชั้น 4 ตุลาการศาลปกครองตำแหน่งอื่นชั้น 3 ได้รับ 76,800 บาท จากเดิม 69,810 บาท โดยประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครองสูงสุด แต่จะตัดเงินเพิ่มพิเศษที่เคยได้รับให้ไปอยู่กับเงินค่าตอบแทนที่ได้เพิ่มขึ้น เพื่อประหยัดงบประมาณ ทั้งนี้ จะมีผลหลังจากกฎหมายใช้บังคับ พล.ท.สรรเสริญ กล่าวว่า ครม.อนุมัติร่างกฎ ก.พ.ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจัดประเภทตำแหน่งและระดับตำแหน่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. และร่างกฎ ก.พ.ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินประจำตำแหน่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. รวม 2 ฉบับ ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ โดยกำหนดให้ตำแหน่ง รองผอ.สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(สนทช.) เป็นตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง และกำหนดให้ตำแหน่งผอ.สนทช.และรองผอ.สนทช. ได้รับเงินประจำตำแหน่ง ในอัตรา 21,000 บาท และ 14,500 บาทตามลำดับ ที่มา : ข่าวสดออนไลน์ และมติชนออนไลน์ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
เอกชัยอดมอบ 'นาฬิกา-ดอกไม้' ให้ประวิตรอีกครั้ง Posted: 13 Feb 2018 07:03 AM PST 'เอกชัย-โชคชัย' มาทำเนียบฯ เพื่อมอบนาฬิกา-ดอกไม้ ให้ประวิตรอีกครั้ง แต่ไม่ได้เข้าพบตามเคย ขณะที่ 'ประวิตร' ยื่น ป.ป.ช.ขอขยายเวลาชี้แจงปมนาฬิกาหรู ภาพจากเฟสบุ๊ค เอกชัย หงส์กังวาน 13 ก.พ.2561 ความคืบหน้ากรณีตรวจสอบนาฬิกาหรูจำนวนมาก ที่ปรากฎตามสื่อของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นั้น ล่าสุดวันนี้ (13 ก.พ.61) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล ซึ่งมีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เอกชัย หงส์กังวาน นักกิจกรรมทางการเมือง และโชคชัย ไพบูลย์รัชตะ เดินทางไปมอบนาฬิกาพร้อมดอกไม้ให้กับ พล.อ.ประวิตร แต่ไม่ได้เข้าพบเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา 'ประวิตร' ยื่น ป.ป.ช.ขอขยายเวลาชี้แจงปมนาฬิกาหรูไทยพีบีเอส รายงานว่า วรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.เปิดเผยว่า หลังจากที่ ป.ป.ช.ได้ให้ พล.อ.ประวิตร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีแหวนเพชรและนาฬิกาหรู รอบที่ 3 ซึ่งครบกำหนดยื่นเอกสารเมื่อวันที่ 8 ก.พ.ที่ผ่านมา ปรากฏว่า พล.อ.ประวิตร ได้ส่งหนังสือขอขยายระยะเวลาในการชี้แจงข้อเท็จจริงออกไปอีก 7 วัน โดยให้เหตุผลว่าติดภารกิจปฏิบัติราชการที่ต่างประเทศ วรวิทย์ ระบุว่า อย่างไรก็ตาม ยังไม่ชัดเจนว่าต้องเรียกสอบพยานเพิ่มเติมอีกหรือไม่ เพราะต้องรอคำชี้แจงครั้งล่าสุดของ พล.อ.ประวิตร ก่อน ซึ่งจะครบกำหนดอีกครั้งในวันที่ 15 ก.พ.นี้ ทั้งนี้ หาก พล.อ.ประวิตร จะขอขยายระยะเวลาเพิ่มเติมอีก ก็ต้องดูเหตุและผลว่าสามารถขยายได้หรือไม่ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.ยังไม่ยืนยันว่าการพิจารณากรณีเรื่องนาฬิกาหรูและแหวนเพชรของ พล.อ.ประวิตร จะแล้วเสร็จภายในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ ตามที่เคยระบุไว้ก่อนหน้านี้หรือไม่ โดยได้ทำท่าชูนิ้วชี้จุ๊ปาก และปฏิเสธที่จะตอบคำถามถึงรายละเอียดอื่นๆ อีก
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ประยุทธ์ฝากผู้ปกครองดูแลกลุ่มนักศึกษาที่ออกมาเคลื่อนไหว Posted: 13 Feb 2018 05:53 AM PST ประยุทธ์ ยันสถานการณ์เคลื่อนไหวขณะนี้อยู่ในระดับไม่น่ากังวล ฝากผู้ปกครองดูแลกลุ่มนักศึกษาที่ออกมาเคลื่อนไหว ย้ำต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดและเท่าเทียมกับทุกคน 13 ก.พ. 2561 รายงานข่าวระบุว่า วันนี้ เมื่อเวลา 14.20 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีมีการรวมตัวนัดชุมนุมว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องผิดกฎหมายหรือเปล่า ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนหรือไหม รวมไปถึงทำให้การจราจร ถนนเสียหายไปด้วยหรือไม ซึ่งเมื่อรู้อยู่ว่าสิ่งที่ทำอยู่เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย ก็อย่าไปทำ ขอให้รอเวลาก่อนค่อยทำ พร้อมทั้งขอให้นึกถึงส่วนรวมบ้าง หัวหน้า คสช. กล่าวถึงสถานการณ์ด้านความมั่นคงในช่วงเวลาที่ผ่านมาว่า ที่มีหลายกรณีที่เคลื่อนไหวอยู่ในขณะนี้ ซึ่งอยู่ในระดับไม่น่ากังวล เป็นเพียงการทำผิดกฎหมาย ขัดคำสั่ง คสช. "รัฐบาลไม่ได้มุ่งปิดกั้นหรือทำร้ายใคร แต่พบว่ามีความพยายามกระทำการฝ่าฝืนกฎหมายหลายครั้ง ที่ผ่านมารัฐบาลดูแลและผ่อนปรนมาพอสมควร ทั้งการให้ประกันตัว ตักเตือน แต่ยังมีกลุ่มเดิมออกมาเคลื่อนไหว ซึ่งไม่ทราบความต้องการที่แท้จริง ขอฝากประชาชนและผู้ปกครองดูแลกลุ่มนักศึกษาที่ออกมาเคลื่อนไหว เพราะอาจจะมีปัญหาในอนาคต ผมไม่ได้ข่มขู่ แต่ต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดและเท่าเทียมกับทุกคน" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ในที่ประชุมคสช.ยังมีการหารือถึงเรื่องของรัฐธรรมนูญด้วย เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดมาหลายอย่าง จึงต้องไปดูว่าจะต้องทำอะไร แค่ไหน อย่างไร ประชุมแล้วไม่ใช่ว่าออกคำสั่ง ๆ มันไม่ใช่ ตนต้องการใช้คำสั่งให้น้อยลง และเท่าที่จำเป็น จึงต้องมาหาทางออกทางอื่นด้วยกฎหมายปกติ หรือทางอื่น ๆ ด้วย วันนี้จึงไม่มีคำสั่ง สำหรับคำถามที่ว่าถามว่าทางกลุ่มนักศึกษายืนยันที่จะชุมนุมต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมีเลือกตั้งนั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ชุมนุมไปก็ผิดกฎหมาย สื่อก็ต้องไปบอกเขา ว่าเขาทำผิดกฎหมาย และทำให้ประชาชนเดือดร้อน ถนนหนทางก็เสียหาย รวมถึงการจราจรก็มีปัญหา สังคมต้องสอนเขาแบบนี้ และยังไปพ่นสีถนนจนเลอะเทอะไปหมด ก็ผิดกฎหมายทั้งนั้น และสื่อจะไปเปิดพื้นที่ให้เขาทำไม ในเมื่อรู้อยู่ว่ากฎหมายทำไม่ได้ ก็อย่าเพิ่งทำ เอาไว้เวลาทำได้ ค่อยไปทำ แล้วไม่คิดถึงคนอื่นที่เขาเดือดร้อนหรือ รถติด การจราจรไปไหนไม่ได้ คนจะไปทำธุระอะไรก็ไม่ได้ นึกถึงคนอื่นเขาบ้าง "ท่านบอกว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือละเมิดเสรีภาพ ผมขอถามว่าแล้วคนอื่นเขาไม่มีสิทธิเสรีภาพบ้างหรือ คนที่ไม่มาชุมนุม นึกถึงคนอื่นเขาบ้าง เข้าใจหรือยัง" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ที่มา : เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล, สำนักข่าวไทย และมติชนออนไลน์
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ค้านโรงไฟฟ้าเทพา-กระบี่อดข้าวประท้วงหน้าตึกยูเอ็นต่อ เมินคำสั่ง ตร. ให้แยกย้าย Posted: 13 Feb 2018 05:49 AM PST ผอ.รพ.จะนะ นักเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งแวดล้อมเผย อดอาหารคืืออารยะขัดขืนสูงสุด เอากาย ใจ เข้าแลกเพื่อปกป้องบ้านเกิด อัด รมว.พลังงานประกาศเลื่อนพิจารณาตั้งโรงไฟฟ้า 3 ปี แต่ยังให้เตรียมการอย่างอื่นไปก่อนได้เป็นการเลื่อนที่ไม่จริงใจ ตร.สน.นางเลิ้ง ยื่นหนังสือให้ผู้ชุมนุมออกจากพื้นที่เวลา 16.00 น. แต่ผู้ชุมนุมยังคงปักหลักอยู่ต่อ ที่มาภาพ: เพจหยุดถ่านหินกระบี่ 13 ก.พ. สำนักข่าวอิศรารายงานว่า ผู้ชุมนุมเครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหินและเครือข่ายคนสงขลาไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหิน (กระบี่ - เทพา) จำนวนกว่า 150 คน ปักหลักชุมนุมกันที่หน้าอาคารองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เพื่อแสดงจุดยืนให้รัฐบาลยกเลิกโครงการโรงไฟฟ้าทั้งสองพื้นที่ ผู้ชุมนุมได้อดอาหารประท้วง โดยดื่มเพียงของเหลวเท่านั้น ล่าสุดมีผู้ร่วมอดอาหารแล้วทั้งหมด 63 คน โดยสุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะนะและนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม โพสท์ในเฟสบุ๊กเพจตัวเองว่า การอดข้าวประท้วงคือการอารยะขัดขืนขั้นสูงสุดที่มนุษย์พึงกระทำได้ เพื่อแสดงการเอากายและใจเข้าแลกเพื่อปกป้องบ้านเกิด ลูกหลาน ให้พ้นจากภัยจากนโยบายการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่และเทพาโดยไม่ฟังเสียงประชาชน แม้ว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานจะระบุว่าจะเลื่อนการพิจารณาสร้างหรือไม่สร้างโรงไฟฟ้าไปอีก 3 ปี แต่ก็ไม่ปรากฏลายลักษณ์อักษรใดๆ และในระหว่างสามปียังได้อนุญาตให้มีการเตรียมการอื่น เช่น ให้มีการศึกษาผลกระทบทางสุขภาพและสิ่งแวดล้อม (EHIA) การเลื่อน 3 ปีจึงไม่ใช่การเลื่อนที่จริงใจ ทั้งการที่รัฐจะมาสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินบนพื้นที่ที่มีทะเลสวย สร้างรายได้เข้าประเทศจำนวนมากเป็นความคิดที่แค่คิดก็ผิดแล้ว สำหรับคนกระบี่และเทพา เขาศึกษาข้อมูลจนมีความชัดเจนแล้วว่า ทั้งกระบี่และเทพาอุดมสมบูรณ์เกินกว่าที่จะมาแลกด้วยโรงไฟฟ้าถ่านหิน กระบี่เมืองท่องเที่ยวโลก ผู้คนทั่วโลกมากระบี่เพราะทะเลสวยฟ้าใสอากาศดี สร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 500,000 ล้านบาท สร้างงานสร้างเงินแก่คนนับแสน ยั่งยืนยาวนาน แต่รัฐกลับจะมาสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน แค่คิดก็ผิดแล้ว ส่วนที่เทพาเมืองแห่งวิถีชีวิตที่สุขสงบในธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ นอกจากการทำลายธรรมชาติแล้ว ยังต้องมีการบังคับโยกย้ายพี่น้องเทพาออกจากบ้านเกิดเมืองนอนที่ฝังรกรากถึง 240 หลังคาเรือนเพื่อเอาที่ดินมาสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน กว่า 1,000 คนที่ต้องระหกระเหินไปหาที่อยู่ใหม่ คนอีก 25,000 คนต้องทนอยู่อาศัยในรัศมี 5 กิโลเมตรจากโรงไฟฟ้า ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ไม่ควรเกิดขึ้นแล้วในยุคนี้ ข้อความตอนหนึ่งจากโพสท์เฟสบุ๊กของ นพ.สุภัทร สำนักข่าวบีบีซี รายงานว่า พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีระบุว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไม่ได้พูดคุยประเด็นโรงไฟฟ้าถ่านหินวันนี้ แต่ที่ผ่านมาได้พยายามหารือกับทุกฝ่ายเพื่อศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม แต่ยังไม่ทราบผลการศึกษา ถ้าจะเรียกร้องให้ยกเลิก คำตอบในปัจจุบันคือเป็นไปไม่ได้ สุภัทรได้โพสท์ในเฟสบุ๊กส่วนตัวว่า ในวันนี้ได้มีหนังสือมาจากตำรวจจากสถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้ง ประกาศให้ผู้ชุมนุมออกจากหน้ายูเอ็นในเวลา 16.00 น. โดยอ้างว่ากีดขวางการจราจร แต่ชาวบ้านกระบี่-เทพา ทั้งที่อดข้าวและมาสนับสนุนจำนวนรวมกันเป็นร้อยคนยังคงยืนยันจะนั่งที่เดิมต่อ โดยรายงานล่าสุด เมื่อเวลา 18.00 น. ยังไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นกับผู้มาชุมนุม เมื่อ 9 ก.พ. มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการนำประกาศจากกองบังคับการตำรวจนครบาล ที่ 54/2561 ลงวันที่ 9 ก.พ. 2561 เข้าไปติดที่บริเวณของการทำกิจกรรมชุมนุม ประกาศฉบับดังกล่าว ระบุเรื่องห้ามการไม่ให้มีการชุมนุมในรัศมี 50 เมตร รอบพื้นที่ทำเนียบรัฐบาล โดยอ้างอำนาจตามพ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 มาตรา 7 วรรคท้าย ประกาศระบุว่าเนื่องจากกองบังคับการตำรวจนครบาล (บก.น.) เห็นว่าบริเวณดังกล่าวมีกลุ่มผู้ชุมนุมเรียกร้องจำนวนหลายกลุ่ม และมีแนวโน้มเพิ่มจำนวนมากขึ้น มีการใช้ทางเดินเท้าถนนพิษณุโลก โดยกลุ่มผู้ชุมนุมมีการใช้แผ่นไวนิลซึ่งติดแสดงข้อเรียกร้องและใช้ทำเป็นทีบังแดด ทำให้ประชาชนผู้ใช้ทางเดินเท้าไม่สามารถเดินผ่านได้ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ส่อง 4+3 ประเด็นเห็นแย้งกฎหมายลูก ส.ส. – ส.ว. เผย 5+5 รายชื่อ กรธ. นั่งพิจารณาร่วม Posted: 13 Feb 2018 05:48 AM PST กรธ. สรุปความเห็นแย้งกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส. 4 ประเด็น จำกัดสิทธิคนไม่ไปเลือกตั้งห้ามได้รับการแต่งตั้งดำรงตำแหน่งต่างๆ การจัดมหรสพ การขยายเวลาลงคะแนนเสียง และการออกเสียงแทนผู้พิการ ส่วนกฎหมายสรรหา ส.ว. เห็นแย้ง 3 ประเด็น เรื่องลดจำนวนกลุ่มอาชีพ แก้เลือกไขว้ และแยกประเภทผู้สมัคร 13 ก.พ. 2561 อุดม รัฐอมฤต โฆษกกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) แถลงข่าวถึงการส่งข้อโต้แย้งของร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พ.ศ. .... ว่ามีทั้งหมด 4 ประเด็นที่ไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ประกอบด้วย 1.มาตรา 35 (4) และ (5) และวรรคสามการจำกัดสิทธิในการได้รับแต่งตั้งเพื่อดำรงตำแหน่งต่างๆ โดย กรธ.เห็นว่า รัฐธรรมนูญบัญญัติให้การจำกัดสิทธิบางประการของผู้มีสิทธิเลือกตั้งซึ่งไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งโดยมิได้แจ้งเหตุอันสมควรเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัตินั้น เป็นการจำกัดสิทธิของผู้ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง เพื่อเป็นการลงโทษผู้นั้นมิให้ได้รับประโยชน์จากการใช้สิทธิบางประการที่ตนเองมีอยู่ ซึ่งหมายถึงสิทธิเฉพาะตัวของผู้ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งนั้นเองที่ผู้นั้นสามารถเลือกที่จะใช้สิทธินั้นได้ตามอำนาจที่กฎหมายรับรอง โดยสิทธิที่จะจำกัดต้องไม่ใช่สิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคลตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่การจำกัดสิทธิของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ไม่ใช่การจำกัดสิทธิของผู้มีสิทธิเลือกตั้งซึ่งไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง เพราะไม่ใช่เป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้นั้นที่จะเลือกให้มีผลได้ด้วยตนเอง แต่เป็นการจำกัดสิทธิของบุคคลอื่นซึ่งเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้ง และอาจเป็นผลลงโทษให้ผู้มีอำนาจแต่งตั้งนั้นต้องรับผิดชอบหากแต่งตั้งบุคคลดังกล่าวโดยไม่ทราบว่าเป็นผู้ที่ถูกจำกัดสิทธิด้วยเหตุผลดังกล่าว โดยเฉพาะข้าราชการการเมืองบางตำแหน่ง 2.มาตรา 73 การจัดให้มีมหรสพหรือการรื่นเริงต่างๆ ซึ่งเดิมมีบทบัญญัติห้ามไว้ เพื่อให้การดำเนินการเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม การที่ สนช. ตัดบทบัญญัติดังกล่าวออกไปจะทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างผู้สมัครและพรรคการเมืองที่มีฐานะทางการเงินแตกต่างกันได้ 3. มาตรา 86 การขยายระยะเวลาการออกเสียงลงคะแนน ที่กำหนดให้เริ่มตั้งแต่เวลา 7.00 - 17.00 น. นั้น กรธ.เห็นว่ากำหนดเวลาการออกเสียงลงคะแนนตามที่กำหนดไว้แต่เดิม คือ ตั้งแต่เวลา 8.00 - 16.00 น. เป็นระยะเวลาที่เจ้าหน้าที่หรือเจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้งสามารถปฏิบัติงานได้โดยเรียบร้อย สุจริตและเที่ยงธรรม ซึ่งการขยายระยะเวลาเลือกตั้งนั้นส่งผลกระทบต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่ กกต.โดยตรง และอาจส่งผลต่อการจัดการเลือกตั้งในบางพื้นที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดความสงบในพื้นที่ได้ อาทิ 3จังหวัดชายแดนใต้ และ 4. มาตรา 92 การออกเสียงลงคะแนนแทนคนพิการหรือทุพพลภาพ หรือผู้สูงอายุ ที่ สนช.ได้แก้ไขให้คนพิการหรือทุพพลภาพ หรือผู้สูงอายุ ที่ไม่สามารถทำเครื่องหมายลงในบัตรเลือกตั้งได้ ให้บุคคลอื่นหรือกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งเป็นผู้กระทำการแทนโดยความยินยอมและเป็นไปตามเจตนาของคนพิการหรือทุพพลภาพ หรือผู้สูงอายุ นั้น กรธ.เห็นว่า วิธีการดังกล่าว ไม่ตรงตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญได้บัญญัติให้ใช้วิธีออกเสียงลงคะแนนโดยตรงและลับ หากการเลือกตั้งไม่เป็นไปโดยลับแล้ว การเลือกตั้งก็ไม่อาจที่จะเป็นการเลือกตั้งโดยเสรีได้ ดังนั้น กรธ.เห็นว่า กกต.ต้องหาวิธีดำเนินการเลือกตั้งให้เป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ อุดม กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ประชุม กรธ. ได้มีมติเสนอรายชื่อกรรมการ กรธ. ที่จะเข้าร่วมหารือในคณะกรรมาธิการร่วม 3 ฝ่าย พิจารณาร่างกฎหมายลูกฉบับดังกล่าว ประกอบด้วย พลเอกอัฎฐพร เจริญพานิช , ภัทระ คำพิทักษ์ , ศุภชัย ยาวะประภาษ , ธนาวัฒน์ สังข์ทอง และนรชิต สิงหเสนี ทั้งนี้ กรธ.เห็นว่าข้อโต้แย้งทั้ง 4 ประเด็นเป็นเรื่องทางเทคนิค ที่สามารถหารือให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันได้ ขณะที่ข้อถกแย้ง ของร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) พ.ศ. .... มีทั้งหมด 3 ประเด็นที่ไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ประกอบด้วย 1. มาตรา 11 การเปลี่ยนแปลงจำนวนกลุ่มการสมัครจาก 20 กลุ่ม เหลือ 10 กลุ่ม โดย กรธ.มีเจตนารมณ์ให้ ส.ว.เป็นสภาที่ประชาชนจากทุกภาคส่วนของสังคมสามารถมีส่วนร่วมทางการเมืองได้แท้จริง โดยประชาชนซึ่งมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด สามารถสมัครเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการนิติบัญญัติได้ ดังนั้น การที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติให้ลดจำนวนกลุ่มลงเหลือเพียง 10 กลุ่ม จากเดิมที่ กรธ.กำหนดไว้ 20 กลุ่ม จึงเป็นการลดทอนหลักประกันว่าวุฒิสภาจะเป็นสภาที่ประกอบด้วยประชาชนจากทุกภาคส่วนของสังคมอย่างแท้จริง 2.มาตรา 13 การแบ่งผู้สมัครในแต่ละกลุ่มออกเป็น 2 ประเภท คือ ประเภทที่สมัครโดยอิสระ กับประเภทที่สมัครโดยต้องได้รับการเสนอชื่อจากองค์กรตามที่กำหนด และให้ผู้สมัครในแต่ละประเภทเลือกกันเองเท่านั้น ไม่สามารถเลือกข้ามประเภทได้แม้จะอยู่ในกลุ่มเดียวกัน ซึ่งไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของการเลือกกันเองตามมาตรา 107 วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญ ที่กำหนดให้ประชาชนซึ่งมีสิทธิสมัครรับเลือกทุกคนสามารถสมัครรับเลือกในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งได้อย่างเสรี โดยไม่จำเป็นต้องได้รับการเสนอชื่อหรือรับรองหรือผ่านการคัดกรองจากองค์กรใดๆ ก่อน และ 3. การยกเลิกการเลือกไขว้ ตามมาตรา 42 มาตรา 43 และมาตรา 44 กรธ. เห็นว่า การกำหนดมาตรการเลือกไขว้จะทำให้การสมยอมกันในการเลือกทำได้ยากขึ้น อันจะทำให้การเลือกเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ดังนั้น การที่ สนช.ตัดมาตรการเลือกไขว้ออกโดยไม่มีมาตรการที่เท่าเทียมหรือเข้มข้นกว่าในการลดความเป็นไปได้ในการสมยอมกันในการเลือกมาแทน เป็นการเพิ่มความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการสมยอมกันโดยไม่สุจริตในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่มุ่งหมายให้การเลือกสมาชิกวุฒิสภาเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ทั้งนี้ที่ประชุม กรธ.ได้มีมติเสนอ 5 รายชื่อกรรมการ กรธ. ที่จะเข้าร่วมหารือในคณะกรรมาธิการร่วม 3 ฝ่าย พิจารณาร่างกฎหมายลูกฉบับดังกล่าว ประกอบด้วย อัชพร จารุจินดา , อภิชาต สุขัคคานนท์ , ชาติชาย ณ เชียงใหม่ , ปกรณ์ นิลประพันธ์และ อุดม รัฐอมฤต ทั้งนี้ คาดว่า สนช.จะตั้ง กรรมาธิการร่วม 3 ฝ่าย ในการประชุม สนช.วันพฤหัสบดีที่ 15 ก.พ.นี้ และจะต้องพิจารณาร่างกฎหมายให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน
เรียบเรียงจาก: เว็บข่าวรัฐสภา 1 , 2
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
เปิดคำวินิจฉัยเสียงข้างน้อยศาลปกครอง กรณีขอทุเลายึดทรัพย์ยิ่งลักษณ์จำนำข้าว Posted: 13 Feb 2018 05:06 AM PST องค์คณะพิเศษของศาลปกครอง 7 เสียงยกคำร้องขอทุเลาการยึดทรัพย์ตามคำสั่งกระทรวงการคลังที่ให้ยิ่งลักษณ์ชดใช้ความเสียหายจำนำข้าว 3.5 หมื่นล้านไปเมื่อปลาย ม.ค. แต่มี 2 เสียงที่เห็นแย้ง โดยเฉพาะภานุพันธ์ ชัยรัต ที่พิจารณาถึงที่มาของรัฐบาลประยุทธ์ และพูดถึงสถานการณ์อันไม่ปกติของประเทศไทยซึ่งทำให้ศาลจำเป็นต้องตรวจสอบอำนาจและพิจารณาคดีแบบ Judicial Activism (ตุลาการภิวัตน์) คดี "จำนำข้าว" เป็นคดีใหญ่ที่มีผลทางการเมืองอย่างมาก ข้อถกเถียงสำหรับ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ว่ามันคือ "การทุจริต" หรือ "การดำเนินนโยบายทางการเมืองปกติ" เป็นสิ่งที่ปรากฏอยู่แม้ในคำวินิฉัยของศาลปกครองที่วินิจฉัยเรื่องการขอทุเลาคำสั่งยึดหรืออายัดทรัพย์ของยิ่งลักษณ์ เพื่อชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายจากโครงการนี้เป็นเงิน 3.5 หมื่นล้านบาท เรื่องค่าเสียหายนี้เป็นอีกคดีหนึ่งที่แยกออกมาจากคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ตัดสินไปเมื่อ 27 กันยายน 2560 ให้จำคุกยิ่งลักษณ์เป็นเวลา 5 ปีโดยไม่รอการลงโทษ ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และละเลยไม่ยับยั้งโครงการจำนำข้าว ค่าเสียหาย 3.5 หมื่นล้านนี้เป็นคำสั่งทางปกครองของกระทวงการคลังที่กำหนดให้อดีตนายกรัฐมนตรีต้องชดใช้ให้รัฐ นับเป็นจำนวน 20% ของมูลค่าความเสียหายทั้งหมดที่คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงโครงการจำนำข้าวสรุปมาว่า เสียหายกว่า 1.7 แสนล้านบาท ยิ่งลักษณ์จึงได้ยื่นคำฟ้อง นายกรัฐมนตรี (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (ที่ 2) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (ที่3) ปลัดกระทรวงการคลัง (ที่ 4) ต่อศาลปกครองเพื่อให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งจนถึงปัจจุบันศาลปกครองยังไม่มีคำพิพากษา ระหว่างนั้นยิ่งลักษณ์ก็ได้ยื่นคำขอทุเลาการบังคับตามคำสั่งทางปกครอง (คำสั่งกระทรวงการคลัง) ด้วย เพราะจะส่งผลให้ถูกยึดทรัพย์หลายรายการ ครั้งแรกศาลปกครองยกคำขอ และครั้งล่าสุด ศาลปกครองก็ยกคำขอเช่นกันสดๆ ร้อนๆ เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2561 ที่ผ่านมา ที่น่าสนใจคือ คำวินิจฉัยเสียงข้างน้อย 2 เสียงที่ไม่เห็นด้วยกับการยกคำขอทุเลาการบังคับตามคำสั่งปกครองครั้งล่าสุด (จากทั้งหมด 7 เสียง) คือ นายภานุพันธ์ ชัยรัต รองอธิบดีศาลปกครองกลาง และนายวชิระ ชอบแต่ง ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครอง โดยมีเหตุผลที่น่าสนใจ เช่น เรื่อง "ความไม่เป็นกลาง" ของการออกคำสั่งทางปกครอง มูลค่าความเสียหายที่กระทรวงการคลังอ้างถึงนั้นยังไม่เป็นข้อยุติ ยิ่งลักษณ์ไม่เป็น "เจ้าหน้าที่" ตามนิยามของกฎหมาย เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในส่วนของนายภานุพันธ์นั้นนับเป็นคำวินิจฉัยที่เราอาจเห็นได้ไม่บ่อยนัก "นอกจากนี้ ตุลาการในองค์คณะฝ่ายเสียงข้างน้อยพิเคราะห์แล้วเห็นว่าคดีนี้ไม่ใช่คดีปกครองลักษณะทั่วไปซึ่งเป็นข้อพิพาททางปกครองในสถานการณ์ที่ประเทศไทยมีสภาพการปกครองตามปกติ แต่เป็นคดีปกครองที่มีข้อเท็จจริงเกี่ยวเนื่องทางการเมืองและมีการใช้อำนาจรัฐแบบเบ็ดเสร็จในการปกครองประเทศทุกระดับ จึงเกี่ยวข้องกับอำนาจทางปกครองเพื่อคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และจะต้องวินิจฉัยคดีนี้ตามหลัก Judicial Activism เนื่องจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และคณะรักษาความสงบแห่งชาติได้ทำการรัฐประหาร (Coup d'etat) ยึดอำนาจการปกครองประเทศ ซึ่งเป็นการได้อำนาจรัฐมาโดยไม่ใช่วิถีทางของระบอบประชาธิปไตยตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และไม่ใช่วิถีการปกครองซึ่งได้รับการรับรองจากนานาอารยะประเทศและองค์การสหประชาชาติที่ประเทศไทยเป็นภาคีสมาชิก เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ นำกำลังเข้ายึดอำนาจการปกครองประเทศแล้ว ได้ยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ และนำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ มาใช้บังคับ โดยตัดบทบัญญัติความว่า "การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญและหน่วยงานของรัฐต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม" ซึ่งเป็นหลักการสำคัญอันเป็นหลักประกันในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทยที่เคยบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยก่อนหน้าที่ออกไป ต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้อาศัยอำนาจตามมาตรา ๔๔ แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ มีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ ๕๖/๒๕๕๙ ลงวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๙ คุ้มครองเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการเกี่ยวกับคดีนี้และคดีการระบายข้าว เพื่อให้กรมบังคับคดีซึ่งมีอำนาจในการบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลเข้ามามีอำนาจยึดหรืออายัดทรัพย์สินตามคำสั่งของฝ่ายปกครอง จากนั้นผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ กับพวกได้ดำเนินการพิจารณาทางปกครองเพื่อจัดให้มีคำสั่งกระทรวงการคลังที่ ๑๓๕๑/๒๕๕๙ ลงวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๙ เรื่องให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน และมีหนังสือกระทรวงการคลังด่วนที่สุด ที่ กค ๐๒๐๖/๔๔ ลงวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๖๐ แจ้งผู้ฟ้องคดีว่าจะใช้มาตรการบังคับทางปกครองยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีขายทอดตลาด การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และคณะรักษาความสงบแห่งชาตินำกำลังเข้ายึดอำนาจรัฐและการบริหาราชการแผ่นดินจากผู้ฟ้องคดี ยกเลิกบทบัญญัติรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับนิติธรรม จากนั้นได้พิจารณาเพื่อจัดให้มีคำสั่งทางปกครองที่เป็นเหตุแห่งการฟ้องคดีต่อผู้ฟ้องคดี จะเห็นว่า ตามข้อเท็จจริงที่กล่าวมาเป็นข้อพิรุธทำให้เคลือบแคลงสงสัยต่อการใช้อำนาจรัฐและอำนาจทางปกครองต่อมาในภายหลัง ศาลปกครองในฐานะองค์กรตุลาการของรัฐจึงต้องตรวจสอบการใช้อำนาจทางปกครองตามที่กล่าวมาให้เป็นไปตามหลักนิติธรรมตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเพื่อคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของผู้ถูกฟ้องคดี" "ในสภาพการณ์ที่ประเทศไทยตกอยู่ภายใต้การปกครองซึ่งไม่ปกติ เพราะประเทศถูกปกครองโดยคณะบุคคลที่มีอำนาจสูงสุดซึ่งมาจากการทำรัฐประหารโดยในการปกครองประเทศและการบริหารราชการแผ่นดินไม่มีระบบตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจที่แท้จริงตามหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เมื่อคณะบุคคลดังกล่าวได้ใช้อำนาจทางปกครองต่อประชาชน เกิดเป็นข้อพิพาทและนำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครอง ตุลาการศาลปกครองซึ่งทำหน้าที่ในนามศาลปกครองในฐานะองค์กรตุลาการของรัฐและมีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบการใช้อำนาจทางปกครองตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ต้องตระหนักและสำนึกต่อการทำหน้าที่ตุลาการเพื่อคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ซึ่งเป็นหน้าที่อันสำคัญขององค์กรตุลาการในรัฐสมัยใหม่ตามหลักกฎหมายมหาชน ทั้งนี้เพื่อตรวจสอบการใช้อำนาจทางปกครองและการใช้อำนาจรัฐให้เป็นไปตามหลักนิติธรรมในฐานะรัฐที่ดี เพื่อป้องกันการใช้อำนาจรัฐตามอำเภอใจหรือไม่เป็นธรรม และเพื่อเป็นหลักประกันและสร้างความมั่นใจแก่สังคมไทย ตลอดจนความเชื่อถือในการอำนวยความยุติธรรมทางปกครองของศาลปกครองไทยต่อสังคมโลก" เพื่อให้เข้าใจภาพรวมได้อย่างกระชับที่สุด ด้างล่างนี้เป็นตารางเปรียบเทียบเหตุผลในคำวินิจฉัยกลางขององค์คณะ กับ ตุลาการเสียงข้างน้อย 2 เสียงดังกล่าว ส่วนล้อมกรอบด้านล่างเป็นคำวินิจฉัยเสียงข้างน้อย 2 เสียงฉบับเต็ม ขณะที่ในไฟล์แนบเป็นฉบับสมบูรณ์ของทุกส่วน ขอให้ทุกท่านตามอ่านด้วยความสนุกสนาน
|
Attachment | Size |
---|---|
full.pdf | 2.97 MB |
This posting includes an audio/video/photo media file: Download Now
ครม.มติรับทราบกำหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ 4 กลุ่มอุตสาหกรรม 16 สาขาอาชีพ
Posted: 13 Feb 2018 03:23 AM PST
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ จำนวน 4 กลุ่มอุตสาหกรรม รวม 16 สาขาอาชีพ
13 ก.พ.2561 วันนี้ เมื่อเวลา 09.00 น. ที่ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) และภายหลังการประชุม เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาลรายงานผลการประชุม โดย ครม. มีมติรับทราบประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ (ฉบับที่ 7) ลงวันที่ 30 ต.ค. 2560 เพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีผลใช้บังคับต่อไป ตามที่กระทรวงแรงงาน เสนอ
ดังนี้ 1. การกำหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือเป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการค่าจ้าง ซึ่งเป็นองค์กรไตรภาคี พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2551 ประกอบด้วย ผู้แทนฝ่ายนายจ้าง ผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง และผู้แทนฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายละ 5 คนเท่ากัน โดยอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือนี้มุ่งที่จะคุ้มครองลูกจ้างที่ผ่านการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติแต่ละสาขาอาชีพและแต่ละระดับให้ได้รับค่าจ้างที่เหมาะสมและเป็นธรรม อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้ลูกจ้างมีการพัฒนาฝีมือแรงงานและมีผลิตภาพแรงงานเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับการพัฒนาของประเทศและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ รวมถึงเพิ่มศักยภาพแรงงานไทยให้เป็นที่ยอมรับทั้งในประเทศและต่างประเทศ
2. คณะกรรมการค่าจ้างได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ จำนวน 4 กลุ่มอุตสาหกรรม เพื่อศึกษาและจัดทำร่างอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ รวม 16 สาขาอาชีพ ซึ่งในการประชุมคณะกรรมการค่าจ้าง ชุดที่ 19 ครั้งที่ 9/2560 เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2560 ได้มีมติเห็นชอบให้กำหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ จำนวน 4 กลุ่มอุตสาหกรรม รวม 16 สาขาอาชีพ โดยให้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ดังนี้
อัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ 4 กลุ่มอุตสาหกรรม 16 สาขาอาชีพ
กลุ่มอุตสาหกรรม / สาขาอาชีพ | ระดับ 1 | ช่วงห่าง | ระดับ 2 |
กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก | |||
(1) พนักงานหลอมเหล็กเตาอาร์คไฟฟ้า | 480 | 100 | 580 |
(2) พนักงานปรุงแต่งน้ำเหล็กในเตาปรุงน้ำเหล็ก (Ladle Furnace) | 500 | 100 | 600 |
(3) พนักงานหล่อเหล็ก | 460 | 100 | 560 |
(4) พนักงานควบคุมการอบเหล็ก | 440 | 100 | 540 |
กลุ่มอุตสาหกรรมพลาสติก | |||
(5) ช่างเทคนิคเครื่องฉีกพลาสติก | 380 | 70 | 450 |
(6) ช่างเทคนิคเครื่องเป่าถุงพลาสติก | 380 | 70 | 450 |
(7)ช่างเทคนิคเครื่องเป่าภาชนะกลวง | 380 | 70 | 450 |
(8) ช่างเทคนิคการซ่อมเครื่องเป่าถุงพลาสติก | 410 | 70 | 480 |
กลุ่มอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ | |||
(9) พนักงานเตรียมวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ไม้จริง | 340 | 30 | 370 |
(10) พนักงานผลิตชิ้นส่วนเฟอร์นิเจอร์ไม้จริงด้วยเครื่องจักรอัตโนมัติ | 380 | 60 | 440 |
(11) พนักงานประกอบเฟอร์นิเจอร์ไม้จริง | 350 | 50 | 400 |
(12) ช่างทำสีเฟอร์นิเจอร์ไม้จริง | 360 | 40 | 400 |
กลุ่มอุตสาหกรรมรองเท้า | |||
(13) พนักงานตัดวาดรองเท้า | 370 | 35 | 405 |
(14) พนักงานอัดพื้นรองเท้า | 380 | 40 | 420 |
(15) ช่างเย็บรองเท้า | 380 | 40 | 420 |
(16) พนักงานประกอบรองเท้า (เย็น) | 360 | 30 | 390 |
ใบตองแห้ง: บานปลาย! ตั้งเลขาฯ ศาลปกครอง
Posted: 13 Feb 2018 02:47 AM PST
สำนักข่าวอิศราตีข่าว เลือกเลขาฯ สนง.ศาลปค.ใหม่วุ่น! ปิยะ สั่งล้มคกก.สรรหา ชงชื่อ'จำกัด'ปาดหน้า 'อติโชค' สรุปความได้ว่า ท่านปิยะ ปะตังทา (ชื่อเดิม เกษม คมสัตย์ธรรม) ประธานศาลปกครองสูงสุด ได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาคัดเลือกบุคคลที่เหมาะสมจะดำรงตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานศาลปกครองคนใหม่ แทนนายไกรรัช เงยวิจิตร ที่ลาออกไป แต่ปรากฏว่า หลังจากคณะกรรมการเปิดรับสมัคร ให้ผู้สมัครเข้าสอบสัมภาษณ์ แสดงวิสัยทัศน์ จนลงมติเสนอชื่อบุคคลที่เหมาะสม และส่งชื่อมาให้ท่านประธานแล้ว ท่านกลับเสนอชื่ออีกบุคคลหนึ่ง ซึ่งไม่ได้สมัครเข้ารับคัดเลือกด้วยซ้ำ ให้ที่ประชุมคณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง (ก.ศป.) เมื่อวันที่ 7 ก.พ.ลงมติเห็นชอบ
ก.ศป.ไม่ยอมรับ โดยแย้งว่าท่านประธานจะทำเช่นนี้มิได้ เพราะเมื่อท่านตั้งคณะกรรมการคัดเลือกแล้ว ก็ต้องทำให้จบกระบวนการ มิใช่ผลการคัดเลือกยังค้างเติ่งอยู่ ก็มาเสนอบุคคลอื่น
วันรุ่งขึ้น ท่านประธานจึงลงนามในคำสั่งยกเลิกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกฯ เสีย และเตรียมจะเสนอชื่ออีกทีในการประชุม ก.ศป.ครั้งต่อไปวันพุธ วันแห่งความรักนี่เอง
เรื่องยังบานปลายอีกว่า การแต่งตั้งเลขาธิการศาลปกครองครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังการแก้ไข พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจาณาคดีปกครองครั้งล่าสุด ซึ่งเพิ่มมาตรา 78 /1 "เลขาธิการสำนักงานศาลปกครองอาจแต่งตั้งจากตุลาการศาลปกครองโดยความเห็นชอบของ ก.ศป." พูดง่ายๆ ก็คือ เพิ่มตัวเลือกจากมาตรา 78 เดิม ที่ตั้งจากข้าราชการฝ่ายสำนักงานศาลปกครอง มาเป็น "อาจ" แต่งตั้งจากฝ่ายตุลาการ โดยมีข้อแตกต่างว่า เลขาธิการซึ่งตั้งตามมาตรา 78 มีวาระ 4 ปี เลขาธิการซึ่งมาจากตุลาการตามมาตรา 78/1 มีวาระ 2 ปี
แล้วก็บังเอิญ สำนักข่าวอิศราเผยว่า ในการคัดเลือกครั้งนี้ มีผู้สมัคร 3 ราย ได้แก่ นายประเวศ รักษพล ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองชั้นต้น นายเกียรติภูมิ แสงศศิธร ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองชั้นต้น และนายอติโชค ผลดี รองเลขาธิการสำนักงานศาลปกครองอันดับ 1
แล้วคณะกรรมการซึ่งมีนายนพดล เฮงเจริญ รองประธานศาลปกครองสูงสุด เป็นประธาน ลงมติ 6-1 เลือกนายอติโชค แต่ท่านประธานกลับเสนอชื่อนายจำกัด ชุมพลวงศ์ ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองชั้นต้นอีกคน ซึ่งไม่ได้สมัครเข้ารับการคัดเลือกเลย
อำนาจประธาน ไหงทำให้งง
นายประวิตร บุญเทียม ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองสูงสุด โฆษกศาลปกครอง ชี้แจงว่า กฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจของประธานศาลปกครองสูงสุดในการคัดเลือกผู้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง เพียงต้องเสนอ ก.ศป.ให้ความเห็นชอบเท่านั้น
ชี้อำนาจเลือกอยู่ที่ ปธ.ศาล ปค.สูงสุด! โฆษกรับ 'ปิยะ' สั่งล้ม คกก.สรรหาเลขาฯ สนง.ใหม่
ใช่เลยครับ ก็เป็นอย่างท่านชี้แจง ก.ศป.ไม่มีอำนาจเลือก ท่านประธานเลือก แล้วมาให้ ก.ศป.เห็นชอบ แต่ถ้า ก.ศป.ไม่เห็นชอบ ท่านก็ต้องเสนอคนใหม่
"กฎหมายไม่ได้กำหนดวิธีการคัดเลือกเลขาธิการของประธานศาลปกครองสูงสุด ว่าต้องดำเนินการโดยวิธีใด และไม่ได้กำหนดให้ต้องตั้งคณะกรรมการคัดเลือก ดังนั้นหากมีการตั้งคณะกรรมการคัดเลือกก็เป็นเพียงวิธีการหนึ่งที่ประธานจะนำมาประกอบการพิจารณา โดยประธานไม่จำต้องคัดเลือกตามข้อเสนอของคณะกรรมการ"
อันนี้ก็ใช่อีก ท่านประธานไม่จำเป็นต้องตั้งคณะกรรมการคัดเลือก ท่านจะจิ้มชื่อใครมาเสนอ ก.ศป.ก็ได้ ก็ยังงงกันอยู่ไง งงทั้งศาลปกครอง ว่าท่านตั้งกรรมการขึ้นทำไม ตั้งมา 7 ท่าน เป็นตุลาการผู้ทรงเกียรติทั้งนั้น มีรองฯ นพดลเป็นประธาน ทั้ง 7 ท่านอุตส่าห์เปิดรับสมัคร ให้แสดงวิสัยทัศน์ สอบสัมภาษณ์ ลงมติเสร็จสรรพ ท่านกลับไม่ใช้ผลการคัดเลือกนั้น เออ แล้วจะตั้งมาทำไม
คำถามคือแม้เป็นอำนาจของท่าน แต่เมื่อตั้งแล้ว มีผลผูกพันการตัดสินใจไหม เพราะนักกฎหมายบางคนก็ยกหลักกฎหมายปกครองข้อหนึ่งว่า "ฝ่ายปกครองต้องเคารพหลักเกณฑ์ที่ตนเองตั้งขึ้น"
ผมก็ตอบไม่ได้ ขอตั้งปุจฉาทิ้งไว้ดีกว่า เป็นข้อสอบวิชากฎหมายปกครอง สมมตินะ สมมติ อธิบดี ก.มีอำนาจแต่งตั้งหัวหน้ากอง โดยกฎหมายไม่กำหนดขั้นตอนไว้ อธิบดีอยากตั้งใครก็ได้ แต่ดันไปตั้งคณะกรรมการคัดเลือก คณะกรรมการมีมติเลือกนาย ข. แล้วอธิบดีกลับไม่เอาตาม อธิบดีกลับข้ามไปตั้งนาย จ. ถามว่าถ้านาย ข.ฟ้องศาลปกครอง ศาลจะตัดสินอย่างไร อธิบดีผิดหรือไม่
ท่านโฆษกยังชี้แจงด้วยว่า "ก.ศป. มีข้อสังเกตว่า ก่อนที่ประธานจะเสนอชื่อผู้อื่น ประธานควรยกเลิกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือก และแจ้งผู้สมัครทราบก่อน ประธานจึงขอถอนเรื่องดังกล่าวออกจากการประชุมหลังจากนั้น ประธานจึงมีคำสั่งยกเลิกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือก"
ประเด็นนี้ก็ฟังแล้วงงกันไป เพราะไม่เห็นจำเป็นที่ท่านประธานจะต้องยุบคณะกรรมการ ซึ่งทำหน้าที่เสร็จสิ้นแล้ว คัดเลือกบุคคลแล้ว สิ่งที่ท่านต้องทำ ก็แค่ทำให้จบกระบวนการ คือเปิดเผยผลการคัดเลือกต่อผู้สมัคร แจ้งให้เขาทราบ แต่ใช้อำนาจประธานสรุปว่าไม่เห็นด้วยกับผลการคัดเลือก เท่านั้นก็จบ
ทำไมต้องเจาะจงตุลาการ
โฆษกศาลยังชี้แจงอีกตอนหนึ่งว่า "การคัดเลือกเลขาธิการสำนักงานศาลปกครองในครั้งนี้ คณะกรรมการคัดเลือกได้เสนอผลการคัดเลือกตามความเห็นของเสียงข้างมาก แต่มีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับวิธีการคัดเลือก และความเหมาะสมของผู้ที่คณะกรรมการคัดเลือกเสนอ รวมทั้งมีข้อเรียกร้องให้การแต่งตั้งเลขาธิการในครั้งแรกหลังจากมีการแก้กฎหมาย ควรแต่งตั้งจากตุลาการ ประธานศาลปกครองสูงสุดพิจารณาแล้ว จึงไม่เสนอชื่อบุคคลที่คณะกรรมการคัดเลือกเสนอ และได้คัดเลือกผู้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการจากบุคคลอื่นที่มีความเหมาะสมมากกว่าและไม่มีข้อด่างพร้อยใดๆ เสนอต่อ ก.ศป. เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2561"
คำชี้แจงของท่านข้อนี้ แทนที่จะยุติปัญหา อาจทำให้บานปลาย ในเมื่อสำนักข่าวอิศราเผยออกมาแล้วว่า คณะกรรมการคัดเลือกรองเลขาธิการสำนักงานศาลปกครองอันดับ 1 แต่ท่านโฆษกแถลงว่ามีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับวิธีการคัดเลือกและ "ความเหมาะสม" จึงได้คัดเลือกบุคคลอื่นที่ "มีความเหมาะสมมากกว่าและไม่มีข้อด่างพร้อยใดๆ"
ขณะเดียวกันก็ผสมประเด็นที่มา ว่าการแต่งตั้งครั้งแรกหลังแก้กฎหมาย "มีข้อเรียกร้องให้" แต่งตั้งจากตุลาการ โดยอ้างถึงการแก้ไขกฎหมายว่า ต้องการให้การปฏิบัติหน้าที่ของเลขาธิการสอดคล้องเป็นทิศทางเดียวกับการพิจารณาคดีของศาล โดยเทียบเคียงการแต่งตั้งเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมที่กฎหมายกำหนดให้ต้องตั้งจากผู้พิพากษาเท่านั้น
โดยท่านยังอ้างอีกว่า ครั้งนี้ถ้าตั้งตุลาการ ก็จะอยู่ในวาระแค่ 2 ปี ซึ่งท่านประธานปิยะจะหมดวาระพอดี ใครมาเป็นประธานคนใหม่ก็จะได้คัดเลือกเลขาธิการใหม่ เทียบเคียงแนวปฏิบัติศาลยุติธรรมที่เมื่อเปลี่ยนประธานศาลฎีกา เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมก็จะขอโอนกลับไปเป็นผู้พิพากษาเพื่อให้ประธานศาลฎีกาคนใหม่คัดเลือกเลขาธิการใหม่
ฟังแล้วก็ไม่ทราบว่าข้าราชการสำนักงานศาลปกครองจะรู้สึกอย่างไร เพราะเหมือนการยืนยันว่ายังไงๆ รองเลขาธิการก็ไม่ได้เป็นแหงๆ โดยไม่ใช่แค่เรื่องที่มา ที่อ้างว่าเมื่อแก้กฎหมายแล้วก็ควรแต่งตั้งจากฝ่ายตุลาการ แต่ยังพาดพิงตัวบุคคลว่า มีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับความเหมาะสม จึงคัดเลือกบุคคลอื่นที่เหมาะสมกว่าและ "ไม่มีข้อด่างพร้อยใดๆ"
คำถามมีอยู่ว่า ถ้าจะเอาอย่างศาลยุติธรรม ทำไมไม่แก้กฎหมายให้สะเด็ดน้ำเสียเลยละครับ ว่าให้เลขาธิการมาจากตุลาการเท่านั้น ข้าราชการสำนักงานไม่มีวาสนา แต่การแก้ไข พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองฯ มาตรา 78/1 กลับใช้คำว่า "อาจ" และกำหนดวาระเพียงกึ่งหนึ่งคือ 2 ปี
เจตนารมณ์ของกฎหมายคืออะไร ตีความแบบบ้านๆ ก็เห็นได้ว่า เขียนเผื่อให้ตั้งตุลาการได้ในกรณีไม่มีบุคคลที่เหมาะสม แต่ถ้ามีบุคคลที่เหมาะสมแล้วก็ไม่จำเป็น นี่ตีความแบบบ้านๆ นะครับ ถ้าตีความแบบมือกฎหมายก็สามารถใช้คำว่า "อาจ" เป็นช่องแต่งตั้งตุลาการไปชั่วกัลปาวสาน
ก็ไม่ทราบเขียนกฎหมายมาอย่างนี้ทำไม ไม่คิดหรือว่าจะทำให้เกิดความขัดแย้งเปล่าๆ
เก้าอี้เลขาธิการสำนักงานศาลปกครองไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งมาเกือบปีแล้ว หลังจากนายไกรรัช เงยวิจิตร ลาออกด้วยเหตุผลส่วนตัว มีผลเมื่อเดือน พ.ค.2560 ตอนนั้นก็ตั้งรักษาการไว้ก่อน กระทั่งกฎหมายใหม่ประกาศในราชกิจจาฯ เมื่อ 26 ก.ย.2560 ท่านประธานก็ตั้งคณะกรรมการคัดเลือกขึ้นเมื่อวันที่ 10 ต.ค.2560 คณะกรรมการเปิดรับสมัคร สอบสัมภาษณ์ ให้แสดงวิสัยทัศน์ และมีมติตั้งแต่ต้นเดือน ธ.ค.2560 ซึ่งท่านประธานจะต้องนำชื่อเสนอ ก.ศป.เพื่อให้ความเห็นชอบ (หรือไม่ก็ใช้อำนาจของท่าน ไม่เห็นด้วยกับคณะกรรมการคัดเลือก)
แต่ปรากฏว่า นายเกียรติภูมิ แสงศศิธร ตุลาการหัวหน้าคณะในศาลปกครองชั้นต้น หนึ่งในผู้สมัคร ทำหนังสือร้องเรียนว่า นายนพดล เฮงเจริญ รองประธานศาลปกครองสูงสุด ในฐานะประธานคณะกรรมการคัดเลือกฯ ได้พูดจาโน้มน้าวต่อคณะกรรมการ โดยอ้างความเห็นบุคคลระดับสูงในศาลปกครองว่า ข้าราชการฝ่ายสำนักงานไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้ตุลาการมาดำรงตำแหน่ง เพราะจะเป็นอุปสรรคต่อความเจริญก้าวหน้า และอาจไม่ได้รับความร่วมมือสนับสนุนการทำงานเท่าที่ควร ในการประชุมวันที่ 20 ธ.ค.ท่านประธานจึงนำหนังสือร้องเรียนมาเสนอต่อที่ประชุม ก.ศป. แต่ที่ประชุมทักท้วงว่า การพิจารณาหนังสือร้องเรียน เป็นอำนาจหน้าที่ของประธาน ที่ประชุมไม่รับพิจารณา และเห็นว่าเมื่อท่านตั้งคณะกรรมการคัดเลือกขึ้นแล้ว ก็ต้องพิจารณาว่าเห็นชอบกับมติคณะกรรมการหรือไม่ ท่านก็ถอนเรื่องกลับไป และค้างคามาจนนำเข้าที่ประชุมอีกครั้งในวันที่ 7 ก.พ. แล้วก็ต้องเสนอใหม่ในวันแห่งความรัก
ผลการประชุมครั้งนี้ออกมาอย่างไร ไม่ใช่เรื่องเล็กแน่ เพราะเกิดความขัดแย้งขึ้นแล้ว อย่างน้อย รองประธานศาลปกครองสูงสุด ก็ถูกกล่าวหา คณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมาก็ถูกยุบ ขณะที่ข้าราชการฝ่ายสำนักงานจะมีปฏิกิริยาอย่างไร หากรู้สึกว่ามีการ "ตั้งธง" ให้ฝ่ายตุลาการมาเป็น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าอ่านตามข่าว ก็จะเห็นว่า ก.ศป.หลายคนไม่เห็นด้วยกับกระบวนการตัดสินใจของท่านประธาน แต่จะเป็นเสียงข้างมากข้างน้อยและส่งผลอย่างไร คงได้รู้กัน
อดีตผู้นำมัลดีฟส์เตือนประเทศอาจถูกจีนยึด เหตุหนี้สินมหาศาลในโครงการที่ไม่เกิดประโยชน์
Posted: 13 Feb 2018 02:33 AM PST
อดีตประธานาธิบดีมัลดีฟส์ผู้ที่บอกว่าเคย "ถูกเอาปืนจี้" ให้ลาออก พูดถึงวิกฤตของประเทศตัวเองที่ให้จีนแผ่อิทธิพลผ่านโครงการให้เงินกู้ยืมในแบบที่จ่ายคืนไม่ได้ และเตือนว่าหากการเลือกตั้งในประเทศเดือน ส.ค. นี้ดำเนินไปอย่างไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม ก็มีโอกาสที่จีนจะอ้างเรื่องหนี้สินยึดครองพื้นที่ประเทศ ทำมัลดีฟส์สูญเสียอธิปไตยได้
มัลดีฟส์เป็นประเทศเกาะแถบมหาสมุทรอินเดียที่เป็นที่นิยมสำหรับนักท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม รัฐจัดเก็บรายได้น้อยกว่า 100 ล้านดอลลาร์ต่อเดือนทำให้นาชีดประเมินความเป็นไปได้ว่าถ้าหากการเลือกตั้งประธานาธิบดีมัลดีฟส์ในปี 2561 เกิดปัญหา จีนก็อาจจะยึดครองประเทศได้
โมฮัมเหม็ด นาชีด เคยดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีมัลดีฟส์ในช่วงปี 2551-2555 เขาลาออกจากตำแหน่งหลังจากที่มีผู้ประท้วงซึ่งมีตำรวจและทหารร่วมชุมนุมด้วย เขาบอกว่าเขา "ถูกปืนจี้" ให้ลาออก เขาลี้ภัยไปที่อังกฤษในปี 2559 หลังจากถูกลงโทษจำคุกภายใต้กฎหมายต่อต้านการก่อการร้ายเพราะเคยสั่งจับกุมผู้พิพากษารายหนึ่งขณะที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ทำให้ตอนนี้นาชีดใช้ชีวิตเดินทางไปมาระหว่างอังกฤษกับศรีลังกา
จากข้อมูลช่วงเดือน ม.ค. ที่ผ่านมาระบุว่ามัลดีฟส์ติดหนี้จีนคิดเป็นเกือบร้อยละ 80 ของหนี้ต่างชาติทั้งหมด โดยที่เงินส่วนใหญ่ไปอยู่ในโครงการเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน สนามบิน หรือสะพาน แต่นาชีดก็บอกว่าโครงการเหล่านี้เป็นแค่โครงการในเชิง "อวดเบ่ง" ไม่ได้มีประโยชน์จริง ทำให้เกิดสนามบินว่างเปล่า ถนนที่ไม่ได้นำทางไปที่ใดเลย ทำให้เกิดแต่ภาระหนี้สิน และถ้าหนี้สินเหล่านี้จ่ายคืนจีนไม่ได้ จีนก็จะอ้างเรื่อง "กรรมสิทธิ์หุ้นส่วน" ในการขอยึดพื้นที่จากมัลดีฟส์ไปฟรีๆ
"การรุกคืบยึดครองพื้นที่เช่นนี้ทำให้อธิปไตยของพวกเรากลวงเปล่าจากข้างใน" นาชีดกล่าว เขาบอกอีกว่าวิธีการของจีนเป็นวิธีการอาศัยอำนาจทางเศรษฐกิจในการแผ่อิทธิพลโดยไม่ต้องใช้กำลังอาวุธใดๆ เขากล่าวหาว่าในช่วงสมัยประธานาธิบดีคนปัจจุบัน อับดุลลา ยามีน จีนได้ "ยึดไปแล้ว 16 เกาะ" แต่ก็ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดว่ามีเกาะใดบ้าง
การยึดครองดังกล่าว นาชีดเผยในรายละเอียดว่ามาจากการที่จีนเข้าไปสร้างท่าเรือพาณิชย์ แต่มันจะตกเป็นสมบัติของกองทัพได้ง่ายมาก และกรณีนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับประเทศจิบูตีที่มีจีนลงไปตั้งฐานทัพเรือเมื่อปีที่แล้ว นอกจากนี้รัฐบาลของยามีนที่มีจีนหนุนหลังยังคอยลิดรอนเสรีภาพของฝ่ายต่อต้านมาเป็นเวลาหลายปี เช่น กรณีที่รัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและสั่งจำคุกผู้พิพากษาศาลสูงสุด หลังจากที่ผู้พิพากษาเหล่านี้ยกเลิกความผิดของนาชีดและสั่งให้มีการปล่อยตัวและคืนตำแหน่งให้นักโทษการเมืองฝ่ายค้านในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา
นาชีดเรียกร้องให้รัฐบาลปล่อยตัวผู้พิพากษาและทำตามคำตัดสินของศาล ขณะเดียวกันก็โต้ตอบในเรื่องนี้ด้วยการเรียกร้องให้ตัวแทนจากอินเดียที่มีกองทัพหนุนหลังเข้าไปแก้ไขวิกฤตการณ์ อินเดียทำตามด้วยการเพิ่มกำลังเรือในพื้นที่น่านน้ำสากลรอบเมืองหลวงมาเลของมัลดีฟส์ ในระยะห่างที่ใช้เวลาเดินทาง 1 ชม. แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั้น
อย่างไรก็ตาม ชาวมาเลบางส่วนก็ไม่สบายใจกับการวางกำลังเช่นนี้ของอินเดีย ขณะที่นาชีดบอกว่ากองกำลังของอินเดียไม่ได้มาเพื่อยึดครองแต่มาเพื่อ "ปลดปล่อย" นาชีดบอกอีกว่าถ้าหากการเลือกตั้งประธานาธิบดีของมัลดีฟส์ที่จะมีขึ้นในเดือน ส.ค. ที่จะถึงนี้ไม่เป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมก็จะทำให้จีนยึดครองประเทศและกลายเป็นภัยสำหรับภูมิภาคมหาสมุทรอินเดีย
เรียบเรียงจาก
Maldives faces Chinese 'land grab' over unpayable debts, ex-leader warns, Asian Nikkei Review, 13-02-2018
สมชัย เผย 1 เสียงของ กกต. อาจชี้ขาดคว่ำหรือไม่ กฎหมายลูก ส.ว.
Posted: 13 Feb 2018 02:02 AM PST
สมชัย เผย 1 เสียงของประธาน กกต. ในฐานะกรรมาธิการร่วมพิจารณา พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว. อาจเป็นเสียงชี้ขาดว่า จะมีการคว่ำร่างกฎหมายดังกล่าวหรือไม่ ระบุ ไม่ว่าเลือกทางไหนก็ต้องมีเหตุผลที่ดีชี้แจงต่อสังคม เผยจากการประชุม กกต. ยันไม่โหวตแย้ง สนช. แต่ ปธ.กกต มีอิสระในการตัดสินใจ
แฟ้มภาพประชาไท
13 ก.พ. 2561 สมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวถึงการตั้งกรรมาธิการร่วม 3 ฝ่าย เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วย ส.ว .ซึ่งจะประกอบไปด้วยกรรมาธิการจาก กกต. 1 คน และคณะกรรมาธิการจาก สภานิตบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ฝ่ายละ 5 คน
สมชัยระบุว่า ขณะนี้ทาง กรธ. และ สนช. มีความเห็นไม่ตรงกับในประเด็นการจำแนกประเภทผู้สมัครเข้ารับการสรรหาเป็น ส.ว. ที่เป็นผู้สมัครอิสระ กับองค์กรที่เป็นนิติบุคคล การลดจำนวนกลุ่มอาชีพ และการเปลี่ยนวิธีการเลือกไขว้มาเป็นการเลือกตรง ซึ่งจะมีผลต่อโครงสร้างใหญ่ของกฎหมาย ถ้าหากเลือกความคิดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง กฎหมายก็จะถูกเขียนใหม่ไปในทางหนึ่ง ดังนั้นในขั้นของกรรมาธิการร่วม 3 ฝ่าย หากไม่สามารถที่จะเจรจากันด้วยเหตุผล และยังยืนยันความเห็นของตัวเองอยู่ เสียงของศุภชัย สมเจริญประธาน กกต. หนึ่งเสี่ยงจะกลายเป็นเสียงสำคัญ เป็นเสียงที่ชี้ขาด ว่ามติของกรรมาธิการร่วม 3 ฝ่าย จะเป็นไปทางไหน หากประธาน กกต. เลือกเหตุผลของ กรธ. ผลที่เกิดขึ้น อาจกลายเป็นแพ้โหวต ก็อาจทำให้กฎหมายล้มไปทั้งฉบับ ถูกคว่ำไปในที่สุด และจะต้องไปร่างกันใหม่
สมชัย กล่าวว่า ท่าทีของประธาน กกต. สำคัญมาก ไม่ว่าจะโหวตไปฝ่ายไหน ก็ต้องมีเหตุผลที่จะชี้แจงต่อสังคม ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ประธาน กกต.เองก็จะกลายเป็นจำเลยของสังคมอีกคนหนึ่งว่า มีส่วนในการที่จะช่วยทำให้สถานการณ์ต่าง ๆ ไปในทิศทางที่เป็นปัญหาต่อบ้านเมือง ซึ่งจริงๆ แล้ว ทาง กกต. ควรจะโหวตไปทาง สนช. เนื่องจากในความเห็นแย้งจากที่ประชุมของ กกต. ที่ส่งไปยัง สนช. นั้น เราไม่ได้ทำความเห็นแย้งไปในประเด็นที่ กรธ. เสนอ เราไม่ติดใจเรื่องเกี่ยวกับการแบ่งประเภท การแบ่งกลุ่ม และวิธีการเลือกตรงหรือเลือกไขว้ เราถือว่ากระบวนการต่าง ๆ เหล่านี้เป็นการออกแบบ ซึ่งสามารถออกแบบอย่างไรก็ได้ แต่ยังไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าอะไรที่สามารถป้องกันการทุจริต ป้องกันการฮั้ว ระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ได้ดีกว่ากัน เป็นเพียงแค่การคาดการของแต่ละฝ่ายว่า แบบนี้ดีกว่า แบบนั้นดีกว่า ดังนั้น เรายังไม่เห็นอนาคตว่าเป็นยังไง เราก็ไม่ได้ทำความเห็นแย้งว่ามันขัดกับรัฐธรรมนูญ
"ท่าทีที่ปลอดภัยกับทาง กกต. คือโหวตไปทางซีกของ สนช. ก็เท่ากับว่าไม่ได้ไปขัดกับสภาใหญ่ แล้วก็ไม่ได้ทำให้เป็นประเด็นที่นำไปสู่การคว่ำกฎหมายฉบับนี้ แต่ก็แล้วแต่ท่านประธาน กกต. เพราะท่านก็มีความเห็นอิสระในการที่จะคิดตัดสินใจเอง ท่านไม่มีความจำเป็นต้องกลับมาถาม กกต. อีก เพราะเป็นเรื่องที่เราคุยกันในกรรมการ กกต. แล้ว ว่าจะไม่แย้ง เมื่อไม่แย้งความเห็น กกต.จึงเห็นว่าไม่เป็นปัญหา ดังนั้น ถ้ายึดตามมติเดิมแปลว่า กกต. ไม่ติดใจ ก็ไม่น่าจะต้องไปโหวตในฝั่งของ กรธ."สมชัย กล่าว
สมชัย กล่าวว่า หากวันที่ประชุมร่วม 3 ฝ่าย กรธ. มีเหตุผลที่ดีมากๆ ทำให้จูงใจ สนช. และกกต.ให้สนับสนุน ก็ยังมีโอกาสเสี่ยง ว่า ตัวแทนของ สนช. ที่มาร่วมเป็นกรรมาธิการนั้นไม่ได้เป็นเสียงของ สนช.ทั้งหมด อาจทำให้ สนช.ทั้งหมดร่วมกันโหวตด้วยเสียงมากกว่า 2 ใน 3 ไม่เห็นด้วยทำให้กฎหมายดังกล่าวตกไปทั้งฉบับ
เรียบเรียงจาก: สำนักข่าวไทย
รมว.ศึกษาฯ ขอโทษประวิตร ปมพาดพิงนาฬิกาหรู รับเสียมารยาท ยันยังไม่ลาออก
Posted: 13 Feb 2018 01:44 AM PST
นพ.ธีระเกียรติ เผยแจ้ง 'ประยุทธ์' และขอโทษ 'ประวิตร' การณีกล่าวพาดพิงนาฬิกาหรูแล้ว รับพูดจริง แต่ไม่เป็นทางการ ยันยังอยู่ในตำแหน่งต่อไป เพราะเชื่อมั่นในตัวนายกรัฐมนตรี
13 ก.พ. 2561 จากกรณีวานนี้(12 ก.พ.61) บีบีซีไทย เผยแพร่คลิปเสียงของ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งพูดถึงประเด็นนาฬิกาหรูของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขณะพูดคุยกับนักเรียนไทย และนักธุรกิจไทยที่มาร่วมงานเลี้ยงรับรองที่สถานเอกอัครราชทูตไทยในกรุงลอนดอน เมื่อวันศุกร์ที่ 9 ก.พ. ที่ผ่านมา ว่าหากเป็นตนเองคงลาออกไปตั้งแต่นาฬิกาเรือนแรกแล้ว นั้น
ล่าสุดวันนี้ (13 ก.พ.61) นพ.ธีระเกียรติ กล่าวว่า วันนี้ได้ชี้แจงเหตุการณ์ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีทราบ และยอมรับว่าได้พูดจริงตามคลิป แต่ไม่ใช่การสัมภาษณ์เป็นทางการ เป็นการยืนคุยภายหลังการบรรยายโดยไม่รู้ว่าถูกอัดเทป ยืนยันว่าไม่ได้ตัดต่อ เพียงแต่เสียงกับภาพเป็นเหตุการณ์คนละที่เท่านั้น
รมว.ศึกษาธิการกล่าวยอมรับว่า การพูดดังกล่าวเป็นการเสียมารยาท และได้ขอโทษ พล.อ.ประวิตรแล้ว ซึ่ง พล.อ.ประวิตรพยักหน้ารับ มั่นใจว่าจะไม่กระทบการทำงานร่วมกับ พล.อ.ประวิตร ใน ครม. ไม่มีปัญหามองหน้ากันไม่ติด เพราะเมื่อสักครู่นี้ก็ยังมองหน้ากัน และตนเองจะยังอยู่ในตำแหน่ง ทำงานในรัฐบาลต่อไป เพราะเชื่อมั่นในตัวนายกรัฐมนตรี
"ท่านก็พยักหน้ารับ ผมก็ขอโทษท่านนะครับว่า ผมจะเรียกว่าเสียมารยาทนะครับ" นพ.ธีระเกียรติ เล่าถึงตอนกล่าวขอโทษ พล.อ.ประวิตร
รมว.ศึกษาธิการกล่าวยอมรับว่า สิ่งที่พูดในคลิปนั้นเป็นความคิดเห็นส่วนตัว ใครก็มีความคิดเห็นส่วนตัวได้ ส่วนความคิดเห็นในโลกโซเชียลฯ นั้นก็มีทั้งสองด้าน และยอมรับว่าตนเองมีส่วนผิดที่ทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้น
ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์ และเฟสบุ๊ค Wassana Nanuam
ชาววานรนิวาส ยื่นอุทธรณ์คำสั่งหลังอุตสาหกรรมจังหวัดสกลฯ ไม่เปิดข้อมูลเหมืองแร่โปแตซ
Posted: 13 Feb 2018 12:45 AM PST
เครือข่ายประชาชนวานรนิวาสส่งหนังสืออุทธรณ์คำสั่งกับประธานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสาร หลังอุตสาหกรรมจังหวัดสกลนคร ปฏิเสธไม่เปิดเผยข้อมูลเหมืองแร่โปแตชวานรนิวาส ระบุการดำเนินโครงการต้องเปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนมีส่วนร่วมตัดสินใจ
13 ก.พ. 61 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มะลิ แสนบุญศิริ ตัวแทนเครือข่ายประชาชนวานรนิวาส ได้ส่งหนังสือ อุทธรณ์คำสั่งไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 เกี่ยวกับโครงการเหมืองแร่โปแตชในท้องที่อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร ไปยังประธานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ หลังจากสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสกลนคร มีหนังสือปฏิเสธไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสาร ตามหนังสือขอข้อมูลเกี่ยวกับโครงการเหมืองแร่โปแตชในท้องที่อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร ของบริษัท ไซน่า หมิงต๋า โปแตชคอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ของเครือข่ายประชาชนวานรนิวาส
วันนี้ตัวแทนชาวบ้านได้เดินทางไปส่งจดหมายถึงสำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ ที่ทำการไปรษณีย์ อ.วานรนิวาส เพื่อขอให้คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ พิจารณาให้เปิดเผยข้อมูลโครงการเหมืองแร่โปแตชในท้องที่อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร กับประชาชน พร้อมทั้งระบุด้วยว่า แม้จะพ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ ที่ให้สิทธิการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของราชการ ตั้งแต่พ.ศ. 2540 แต่ในทางปฏิบัติกลับพบว่า ประชาชนยังคงถูกปิดกั้นข้อมูลข่าวสาร การดำเนินโครงการต่างๆ ของทั้งภารัฐและเอกชน ที่จะส่งผลให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ และสิ่งแวดล้อม ที่จำเป็นต้องเปิดเผยให้ประชาชนรับทราบและมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อชุมชน การปกปิดข้อมูลเป็นหนึ่งปัจจัยที่สำคัญที่นำไปสู่ความขัดแย้งของประชาชน เมื่อถูกละเมิดสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร ย่อมทำให้ชาวบ้านเกิดความสงสัยในการปฏิบัติหน้าที่ของภาครัฐ ว่าปฏิบัติหน้าที่เพื่อใคร โดยหนังสือดังกล่าวมีเนื้อหาดังนี้
เครือข่ายวานรนิวาสได้ใช้สิทธิขอข้อมูลข่าวสารในหนังสือฉบับลงวันที่ 15 มกราคม 2560 ถึงสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสกลนคร เพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับโครงการเหมืองแร่โปแตชในท้องที่อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร ของบริษัท ไซน่า หมิงต๋า โปแตชคอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ตามสิ่งที่ส่งมาด้วย 1 มีรายการดังต่อไปนี้
รายการที่ 1 เอกสารแผนผังการสำรวจแร่โปแตช ตามอาชญาบัตรพิเศษของบริษัท ไชน่า หมิงต๋า โปแตช คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด เลขที่ 1-12/2558 และเอกสารที่เกี่ยวข้องอื่นๆ รวมทั้งแผนที่ประกอบตามรายการดังกล่าวด้วย
รายการที่ 2 เอกสารอาชญาบัตรพิเศษของบริษัท ไชน่า หมิงต๋า โปแตช คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด เลขที่ 1-12/2558 และแผนที่แนบท้ายอาชญาบัตรพิเศษ รวมทั้งเอกสารที่เกี่ยวข้องรายการอื่นๆ ด้วย
ต่อมาทางสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสกลนครมีหนังสือสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสกลนคร เลขที่ สน 0033(4.1)/85 ลงวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2561 ตามสิ่งที่ส่งมาด้วย 2 โดยชี้แจงดังนี้
1. แผนผังการสำรวจแร่โปแตล ตามอาชญาบัตรพิเศษของบริษัท ไชน่า หมิงต๋า โปแตช
คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด เลขที่ 1-12/2558 และเอกสารที่เกี่ยวข้องอื่นๆ รวมทั้งแผนที่ประกอบตามรายการดังกล่าวด้วย
2. อาชญาบัตรพิเศษของบริษัท ไชน่า หมิงต๋า โปแตช คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด เลขที่ 1-12 /2558 และแผนที่แนบท้ายอาชญาบัตรพิเศษ รวมทั้งเอกสารที่เกี่ยวข้องรายการอื่นๆ ด้วยทั้งนี้ขอให้แจ้งผลเป็นลายลักษณ์อักษรมายังที่อยู่ที่ปรากฏบนหนังสือฉบับนี้ ภายใน 15 วัน นั้น
สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสกลนคร พิจารณาเห็นแล้วว่า เนื่องจากการเปิดเผยข้อมูล เอกสารแผนผังการสำรวจแร่โปแตช ตามอาชญาบัตรพิเศษของบริษัท ไชน่า หมิงต๋า โปแตช คอร์ปอเรชั่น(ประเทศไทย) จำกัด เลขที่ 1-12/2558 และเอกสารที่เกี่ยวข้องอื่นๆรวมทั้งแผนที่ประกอบตามรายการดังกล่าว พร้อมทั้งอาชญาบัตรพิเศษของบริษัท ไชน่า หมิงต๋า โปแตช คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด เลขที่ 1-12/2558 และแผนที่แนบท้ายอาชญาบัตรพิเศษ รวมทั้งเอกสารที่เกี่ยวข้องรายการอื่นๆ อาจมีรายละเอียดข้อมูลที่กระทบถึงผลประโยชน์ได้เสียของบุคคลอื่น จึงไม่อาจสำเนาให้ท่านได้
ดังนั้นการที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสกลนคร มีหนังสือปฏิเสธไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามรายการที่ 1-2 ข้างต้นนั้น ข้าพเจ้าในนามผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนวานรนิวาส และภาคีเครือข่ายประชาชนวานรนิวาส ซึ่งเป็นผู้อยู่อาศัยในพื้นที่โครงการเหมืองแร่ดังกล่าวและอาจจะได้รับผลกระทบจากกิจกรรมการดำเนินการเจาะสำรวจตามอาชญาบัตรพิเศษของบริษัทเอกชนดังกล่าว จึงอาจจะได้รับความเสียหายจาก คำสั่งปฏิเสธไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารข้างต้นนั้น จึงมีความประสงค์อุทธรณ์โต้แย้ง คำสั่งดังกล่าวต่อคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายดังนี้
ข้อ 1) อาชญาบัตรพิเศษของบริษัท ไชน่า หมิงต๋า โปแตช คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัดถือเป็นใบอนุญาตให้ทำการสำรวจแร่ ซึ่งออกให้โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) กระทรวงอุตสาหกรรม นับเป็นใบอนุญาตให้สิทธิสำรวจแร่ทางธรณีวิทยาในขั้นรายละเอียด โดยกำหนดเงื่อนไขการเข้าพื้นที่เพื่อสำรวจแร่ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของพื้นที่ก่อน และต้องทำการฝังกลบพร้อมฟื้นฟูพื้นที่หลังเสร็จสิ้นการสำรวจ ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมได้อนุญาตอาชญาบัตรพิเศษเพื่อสำรวจแร่โพแทชให้แก่บริษัท ไชน่า หมิงต๋า โปแตช คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ในพื้นที่อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร จำนวน 12 แปลง เนื้อที่รวม 116,875 ไร่ อาชญาบัตรพิเศษมีอายุ 5 ปี ตั้งแต่วันที่ 12 มกราคม 2558 สิ้นอายุวันที่
4 มกราคม 2563 โดยได้กำหนดเงื่อนไขการเข้าพื้นที่เพื่อสำรวจแร่ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของพื้นที่ก่อนที่ผ่านมาบริษัทได้เริ่มเข้าสำรวจแต่ได้มีการดำเนินการเจาะสำรวจแร่ในพื้นที่โดยไม่มีการแจ้งแก่ประชาชนทราบ เช่น ได้มีการเจาะสำรวจในที่ราชพัสดุ โดยไม่ได้รับอนุญาตซึ่งก่อความเสียหายมาแล้ว และได้ทำการขุดเจาะน้ำบาดาลเพื่อการสำรวจแร่โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งทางกรมทรัพยากรน้ำบาดาล จังหวัดสกลนคร ชี้ว่าบริษัทมีความผิดจริงเพราะมิได้ขออนุญาตขุดเจาะน้ำบาดาลดังกล่าว ดังนี้เพื่อป้องกันความเสียหายต่อสมบัติสาธารณะดังที่เคยเกิดขึ้น เพื่อให้ประชาชนสามารถมีส่วนรวมติดตามตรวจสอบ
การสำรวจแร่ดังกล่าวให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด จึงถือเป็นสิทธิของประชาชนในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารการสำรวจแร่ดังกล่าวโดยละเอียดถูกต้อง
ข้อ 2) เอกสารแผนผังการสำรวจแร่โปแตช ตามอาชญาบัตรพิเศษของบริษัท ไชน่า หมิงต๋า โปแตช คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (รายการที่ 1) และเอกสารอาชญาบัตรพิเศษของบริษัท ไชน่า หมิงต๋า โปแตช คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด เลขที่ 1-12/2558 และแผนที่แนบท้ายอาชญาบัตรพิเศษ รวมทั้งเอกสารที่เกี่ยวข้องรายการอื่นๆ (รายการที่ 2) ซึ่งประกอบด้วยเอกสารประกอบการออกอาชญาบัตรพิเศษได้แก่
2.1 แผนงานและวิธีการสำรวจแร่ เหมือนกับการขออาชญาบัตรผูกขาดสำรวจแร่
2.2 รายละเอียดเกี่ยวกับคำขออาชญาบัตรผูกขาดสำรวจแร่ คำขออาชญาบัตรพิเศษ และคำขอ ประทานบัตร แปลงอื่นๆ ที่ผู้ขอได้ยื่นคำขอไว้ก่อนแล้ว หรือที่ผู้ขอถืออยู่ในขณะยื่นคำขอ
2.3 ข้อผูกพันสำหรับการสำรวจแร่ โดยแจ้งจำนวนเงินที่จะใช้เพื่อการสำรวจในแต่ละปี ตลอดอายุของอาชญาบัตรพิเศษ
2.4 รายการข้อเสนอผลประโยชน์พิเศษที่ประสงค์จะให้แก่รัฐ เมื่อได้รับมอบอาชญาบัตรพิเศษ
2.5 หลักฐานแสดงทุนทรัพย์ในการสำรวจแร่ โดยใช้หนังสือค้ำประกันของธนาคารหรือสถาบันการเงิน ตามวงเงินงบประมาณค่าใช้จ่ายในการสำรวจแร่ ซึ่ง กพร. ได้กำหนดไว้ 30-60 บาทต่อไร่ ขึ้นอยู่กับวิธีการที่ยื่นขอสำรวจ หลักฐานนี้จะใช้ในขั้นตอนก่อนรับมอบอาชญาบัตรพิเศษภายหลังจากได้รับอนุญาตแล้ว
ดังนั้นเอกสารรายการที่ 1 และ 2 พร้อมเอกสารประกอบอื่น ๆ ที่ร้องขอให้มีการเปิดเผยซึ่งอยู่ในความครอบครองของสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสกลนคร จึงถือเป็นเอกสารข้อมูลข่าวสารของราชการที่ต้องเปิดเผยแก่ประชาชนได้ตาม พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสาร พ.ศ.2540 มาตรา 9 (6) "สัญญาสัมปทาน สัญญาที่มีลักษณะเป็นการผูกขาดตัดตอนหรือสัญญาร่วมทุนกับเอกชนในการจัดทำบริการสาธารณะ" และตามประกาศคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ เรื่อง การกำหนดให้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและสุขภาพเป็นข้อมูลข่าวสารที่ต้องจัดไว้ให้ประชาชนเข้าตรวจดูได้ตามมาตรา 9 (8) แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสาร พ.ศ.2540 ข้อ 11 "สัญญา สัมปทนา ใบอนุญาต ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกิจการหรือการดำเนินการที่มีผลหรืออาจมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และหรือสังคม รวมทั้งสัญญา สัมปทาน และหรือใบอนุญาตที่เกี่ยวข้องกับการใช้หรือแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติด้วย" ซึ่งหน่วยงานของรัฐต้องจัดให้มีข้อมูลข่าวสารของราชการดังกล่าวไว้ให้ประชาชนเข้าตรวจดูได้ ดังนั้นข้อมูลข่าวสารที่ร้องขอยกเว้นสำเนาบัตรประชาชน ทะเบียนบ้านซึ่งเป็นข้อมูลส่วนบุคคลนั้น อุตสาหกรรจังหวัดสกลนครซึ่งมีข้อมูลข่าวสารดังกล่าวในครอบครองจึงจะต้องเปิดเผยแก่ประชาชนได้ตามที่กฎหมายกำหนด
นอกจากนี้ผู้อุธรณ์ขอเรียนว่าพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 มีเจตนารมณ์ที่กำหนดเป็นหลักการสำคัญว่า"ข้อมูลข่าวสารของราชการ" จะต้องเปิดเผยเป็นการทั่วไป ส่วนการปกปิดไม่เปิดเผยเป็นเพียง "ข้อยกเว้น" ซึ่งความหมายว่า ในกรณีที่หน่วยงานรัฐจะมีคำสั่งไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารใด จะต้องเป็นกรณีที่มีกฎหมายกำหนดเป็นข้อยกเว้นไว้โดยชัดแจ้ง หรือหากเป็นกรณีที่กฎหมายให้อำนาจหน่วยงานรัฐผู้ครอบครองข้อมูลข่าวสารสามารถใช้ดุลพินิจในการเปิดเผยข้อมูลนั้น ก็จะต้องระมัดระวัง กล่าวคือ ต้องตีความข้อยกเว้นให้กระทบต่อสิทธิในการเข้าถึงขข้อมูลข่าวสารประชาชนน้อยที่สุด ซึ่งข้อมูลที่อุทธรณ์ได้ขอไปนั้น เป็นข้อมูลที่มีความจำเป็นต้องเปิดเผยให้ประชาชนได้รับรู้รับทราบอย่างทั่วกัน เนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อสิทธิประชาชนและชุมชนในการมีส่วนร่วมกับรัฐในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและข้อมูลข่าวสารดังกล่าวยังมิใช่ข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคล ข้อมูลความลับทางการค้าที่มีกฎหมายห้ามเปิดเผยหรือข้อมูลที่การเปิดเผยจะกระทบต่อประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสียอันต้องสอบถามยินยอมจากผู้มีส่วนได้เสียนั้นก่อน ตรงกันข้ามกลับเป็นข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับประโยชน์สาธารณะและสวัสดิภาพความปลอดภัยของประชาชนและประโยชน์สาธารณะด้วย
ดังนั้น การที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสกลนคร มีหนังสือลงวันที่ 19 มกราคม 2561 ปฏิเสธไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารที่อยู่ในความครอบครอง โดยอ้างเอกสารที่ร้องขออาจกระทบต่อประโยชน์ได้เสียของบุคคลจึงมีคำสั่งไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสาร จึงเป็นเหตุผลที่ไม่ถูกต้อง ขัดต่อข้อกฎหมายและเจตนารมณ์แห่งกฎหมาย และเป็นการใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น ผู้อุทธรณ์จึงขอให้สิทธิอุทธรณ์คำสั่งไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารต่อคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการตามมาตรา 18 แห่ง พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 เพื่อให้คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารพิจารณาข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องและขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการ มีคำวินิจฉัยสั่งให้อุตสาหกรรมจังหวัดสกลนคร เปิดเผยเอกสารทั้ง 2 รายการโดยให้สำเนาเอกสารดังกล่าวแก่ผู้อุทธรณ์ตามคำขอทั้งหมด ทั้งนี้ เพื่อคุ้มครองสิทธิของประชาชนและสร้างบรรทัดฐานที่ดีเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการให้หน่วยยึดถือปฏิบัติต่อไป
You are subscribed to email updates from ประชาไท. To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google, 1600 Amphitheatre Parkway, Mountain View, CA 94043, United States |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น