ประชาไท | Prachatai3.info |
- รมว.ศึกษาฯ ให้ ป.ป.ช.สอบปมถือหุ้น SCC เผย รมต.คนอื่นๆ ก็มีปัญหาแบบเดียวกัน
- สภาพลเมืองเชียงใหม่: ประชาธิปไตยที่ปฏิบัติได้
- ทำไมกระบี่-เทพา ต้องอดข้าวประท้วง ทางเลือกสันติวิธีที่เหลืออยู่ เพื่อยกเลิกโรงไฟฟ้าถ่านหิน
- คุยกับผู้ชุมนุมค้านโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่-เทพา ในวันที่พี่น้องอดอาหารจนเป็นลม
- ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา: ฟังเรื่อง “โลกยุค 5G” จากยักษ์โทรคมนาคมญี่ปุ่น
- รัฐสภากัมพูชา ผ่านกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ นักสิทธิฯ หวั่นถูกใช้เหมือนไทย
- ชูป้ายเรียกร้อง คสช.เร่งเลือกตั้ง-หยุดสืบทอดอำนาจที่เชียงใหม่
- สหรัฐฯวิจารณ์ไทย ปมส่งกลับ ‘มือขว้างรองเท้า’ ใส่ป้าย ‘ฮุน เซน’ ทั้งที่ได้รับสถานะผู้ลี้ภัย
- Realfame: รักเธอน้อยกว่าประชาธิปไตย 'เอกชัย หงส์กังวาน'
- ทหารเกณฑ์นาวิกโยธินค่ายตากสินเสียชีวิต พ่อระบุครูฝึกแจ้งว่า ป่วยเป็นฮีทสโตรก
- ใจคอไม่ดี ซิงเกิลใหม่ 'ใจเพชร' ของประยุทธ์ เปิดตัวยอดดิสไลก์ทะลุ 1.8 หมื่น ถูกใจไม่ถึงพัน
- ซุยหมิง – สมบัด สมพอน 'ความรักไม่เคยหายไป'
- กอ.รมน.ภาค 4 ฟ้อง 'อิสมาแอ เต๊ะ' หลังแฉปมซ้อมทรมานผ่าน Thai PBS
- 'ฮิวแมนไรท์วอทช์' ชี้ รบ.ทหารประกาศสิทธิมนุษยชนเป็นวาระชาติ แต่ยังคงปราบเสรีภาพขั้นพื้นฐาน
- วิวาห์ล่มเพราะ 'เผด็จการ' ชายกัมพูชาถูกจับในวันแต่งงานหลังวิจารณ์รัฐบาลทางเฟสบุ๊ค
รมว.ศึกษาฯ ให้ ป.ป.ช.สอบปมถือหุ้น SCC เผย รมต.คนอื่นๆ ก็มีปัญหาแบบเดียวกัน Posted: 14 Feb 2018 11:25 AM PST 14 ก.พ.2561 มติชนออนไลน์ และไทยรัฐออนไลน์ รายงานตรงกันว่า นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยกรณีที่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เตรียมตรวจสอบกรณีที่ เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิก ส.ว.และทีมทนายความพรรคเพื่อไทย ตรวจพบบัญชีทรัพย์สินของ นพ.ธีระเกียรติ ถือหุ้นสัปทาน บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC จำนวน 5,000 หุ้น ซึ่งทาง ป.ป.ช.จะไปตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นก่อนว่า นพ.ธีระเกียรติ เข้าข่ายขาดคุณสมบัติหรือไม่ ว่า ตนไม่ขอตอบเรื่องนี้ ส่วนที่ ป.ป.ช.กำลังจะตรวจสอบว่าตนเข้าข่ายขาดคุณสมบัติหรือไม่นั้น ก็ให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบไป เพราะรัฐมนตรีคนอื่นๆ ก็มีปัญหาแบบเดียวกัน ก็ให้สอบมา และก็ว่าไป ส่วนจะขาดคุณสมบัติหรือไม่ ก็ให้กฤษฎีกาตีความ ซึ่งกฤษฎีกาได้ตีความมาแล้วว่าตนไม่ได้ทำผิดอะไร รายงานข่าวระบุด้วยว่า ทันทีที่เห็นผู้สื่อข่าว นพ.ธีระเกียรติ ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์กรณีวิพากษ์วิจารณ์นาฬิกาหรูของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยวานนี้ (13 ก.พ.61) วรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการ ป.ป.ช. กล่าวถึงกรณีนี้ ว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องสำคัญ ป.ป.ช.ต้องไปตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น หากมีคนร้องเรียนเรื่องดังกล่าวเข้ามา ป.ป.ช.ต้องรีบหยิบยกขึ้นมา เพราะถือเป็นเรื่องที่สังคมให้ความสนใจ ที่สำคัญบุคคลที่ถูกร้องเป็นผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง ซึ่ง ป.ป.ช.ต้องตรวจสอบข้อมูลอยู่แล้ว ขั้นตอนการดำเนินการของ ป.ป.ช.จะตั้งคณะกรรมการแสวงหาข้อเท็จจริง แล้วสรุปเรื่องเข้าที่ประชุมใหญ่ ป.ป.ช.หากเห็นว่ามีมูลความผิดจะตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนขึ้นมาพิจารณา หากไม่มีมูลความผิดเรื่องดังกล่าวก็ตกไป ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
สภาพลเมืองเชียงใหม่: ประชาธิปไตยที่ปฏิบัติได้ Posted: 14 Feb 2018 07:34 AM PST
|
ทำไมกระบี่-เทพา ต้องอดข้าวประท้วง ทางเลือกสันติวิธีที่เหลืออยู่ เพื่อยกเลิกโรงไฟฟ้าถ่านหิน Posted: 14 Feb 2018 07:23 AM PST การที่คนเราจะตัดสินใจอดข้าวประท้วงคงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะนี่คือการอารยะขัดขืนขั้นสูงสุดที่มนุษย์พึงกระทำได้ เพื่อประกาศเอาทั้งกายและใจเข้าแลก เพื่อปกป้องบ้านเกิด ปกป้องแผ่นดิน ปกป้องลูกหลาน ให้พ้นจากภัยจากนโยบายการดันทุรังก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่และเทพาโดยที่ไม่ฟังเสียงประชาชน แม้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานจะพูดว่าจะเลื่อนการพิจารณาสร้างหรือไม่สร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินไปอีก 3 ปี แต่ก็ไม่ปรากฏลายลักษณ์อักษรใดๆ อีกทั้งในระหว่าง 3 ปีนี้ ยังอนุญาตให้มีการเตรียมการอื่นใดไปพลางได้ เช่น ให้มีการศึกษา EHIA ให้แล้วเสร็จได้ ทำให้การประกาศเลื่อน 3 ปี จึงเป็นการเลื่อนสอดไส้ที่ขาดความจริงใจ สำหรับคนกระบี่และเทพา เขาศึกษาข้อมูลจนมีความชัดเจนแล้วว่า ทั้งกระบี่และเทพาอุดมสมบูรณ์เกินกว่าที่จะมาแลกด้วยโรงไฟฟ้าถ่านหิน กระบี่เมืองท่องเที่ยวโลก ผู้คนทั่วโลกมากระบี่เพราะทะเลสวยฟ้าใสอากาศดี สร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 500,000 ล้านบาท สร้างงานสร้างเงินแก่คนนับแสน ยั่งยืนยาวนาน แต่รัฐกลับจะมาสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน แค่คิดก็ผิดแล้ว ส่วนที่เทพาเมืองแห่งวิถีชีวิตที่สุขสงบในธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ นอกจากการทำลายธรรมชาติแล้ว ยังต้องมีการบังคับโยกย้ายพี่น้องเทพาออกจากบ้านเกิดเมืองนอนที่ฝังรกรากถึง 240 หลังคาเรือนเพื่อเอาที่ดินมาสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน กว่า 1,000 คนที่ต้องระหกระเหินไปหาที่อยู่ใหม่ คนอีก 25,000 คนต้องทนอยู่อาศัยในรัศมี 5 กิโลเมตรจากโรงไฟฟ้า ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ไม่ควรเกิดขึ้นแล้วในยุคนี้ ด้วยผลกระทบจริงที่พี่น้องกระบี่เทพาเขาจะได้รับ การสู้ไม่ถอยจึงเกิดขึ้น เมื่อยื่นหนังสือมาแล้วเป็นร้อยครั้ง เมื่อเข้าพบแจ้งข้อมูลสารพัดกรรมการมาร่วมร้อยหน เมื่อจัดเวทีเสวนาวิชาการบอกล่าวประเด็นมาเป็นร้อยเวที แต่ไร้เสียงตอบรับจากใจจริงจากรัฐบาล แถมรัฐบาลมีปืน มี ม.44 มี พรบ.สกัดกั้นการชุมนุม มีอำนาจราชการตำรวจทหารที่จำใจต้องทำตามคำสั่ง ภาคประชาชนจึงเหลือทางเลือกอยู่ไม่กี่ทาง การอารยะขัดขืนคือทางเลือกที่ดีที่สุด และการอดข้าวประท้วงก็คือสันติวิธีแห่งการอารยะขัดขืนขั้นสูงสุดที่มนุษย์พึงกระทำ คนกระบี่และเทพาตั้งใจที่จะอดข้าว ทานได้แต่เพียงน้ำและของเหลวเพื่อประทังชีวิต ใครไม่ไหวล้มลงก็หามส่งโรงพยาบาล คนใหม่มาอดข้าวแทน ต่อเนื่องยาวนานจนกว่าจะได้รับชัยชนะ นี่เป็นการแสดงออกโดยสันติวิธีอย่างที่สุด เป็นแรงกดดันที่ส่งแรงทั้งต่อรัฐบาลรวมถึงภาคประชาชนเองด้วยเป็นปฏิบัติการประดุจการทุบหม้อข้าวเข้าตีเมืองจันท์ ที่ต้องร่วมมือร่วมใจและต้องการสนับสนุนจากพลังมวลชน จึงจะสามารถทำให้รัฐบาลเผด็จการจำต้องยกเลิกโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่และเทพา อันเป็นเป้าหมายที่ชัดเจนของการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ได้ อารยะขัดขืนด้วยการอดข้าวประท้วงในครั้งนี้ เป็นการประกาศอิสรภาพจากความกลัวของภาคประชาชน เพื่อหยุดโรงไฟฟ้าถ่านหิน และหยุดการละเมิดสิทธิชุมชนอันอุดมสมบูรณ์ของคนกระบี่และเทพา และเป็นการเคลื่อนไหวที่รอการสนับสนุนจากคนไทยทั้งประเทศที่จะร่วมกดดันรัฐบาลและ คสช.
เผยแพร่ครั้งแรกใน: https://www.deepsouthwatch.org/node/11697
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
คุยกับผู้ชุมนุมค้านโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่-เทพา ในวันที่พี่น้องอดอาหารจนเป็นลม Posted: 14 Feb 2018 06:45 AM PST นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวเกาะลันตาระบุ อยากขึ้นมาคุยกับรัฐบาลตรงๆ ให้พับแผนสร้างโรงไฟฟ้า อัดโฆษกรัฐบาลเรื่องไม่มีข้อมูลเพียงพอ ทั้งที่รัฐบาลจัดคณะกรรมการศึกษามานานแล้ว สร้างโรงไฟฟ้ากระทบสุขภาพ สิ่งแวดล้อม ตัดตอนการเป็นเมืองท่องเที่ยว ผู้ร่วมชุมนุมเผย โครงการทำคนแตกแยกถึงขั้นเรือล่ม เป็นวันที่สามแล้วที่กลุ่มคัดค้านการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินใน จ.กระบี่ และใน อ.เทพา มาปักหลักชุมนุมอดอาหารกันที่หน้าอาคารที่ทำการองค์การสหประชาชาติ ท่ามกลางแดดร้อนระอุของเมืองกรุงและข่าวคราวเรื่องอากาศที่ไม่สะอาดสำหรับการหายใจของมนุษย์ และพี่น้องที่ล้มฟุบลงจากการอดอาหาร แต่การชุมนุมเพื่อแสดงจุดยืนไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหินยังคงดำเนินต่อไป ผู้ชุมนุมเป็นลมจากการอดอาหาร ในช่วงบ่ายวันนี้มีผู้อดอาหารเป็นลมไปแล้วจำนวนสองราย ธีรพจน์ กษิรวัฒน์ นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวเกาะลันตา จ.กระบี่ กล่าวว่า ที่มาชุมนุมครั้งนี้เพราะต้องการพูดคุยกับรัฐบาลตรงๆ ว่าผู้ชุมนุมต้องการให้รัฐบาลยุติโครงการไฟฟ้าถ่านหินทั้งที่กระบี่และ อ.เทพา ส่วนตัวเขามีข้อสงสัยหลายประการเกี่ยวกับความดึงดันของรัฐบาลในการที่จะสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินให้ได้ แม้จะมีรายงานเรื่องผลกระทบครั้งแล้วครั้งเล่า และยังระบุว่า การสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินจะเป็นการตัดตอนศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจผ่านธุรกิจการท่องเที่ยวของจังหวัดในบริเวณทะเลอันดามัน ธีรพจน์ กษิรวัฒน์ "มากกว่าในรอบ 3-4 ปีที่ผ่านมาก็มีการถกเถียงเรื่องเหตุผล ความจำเป็น ทางออกกรณีไฟฟ้าภาคใต้ไว้นานแล้ว ของกระบี่เองจริงๆ รัฐก็เคยตั้งคณะกรรมการไตรภาคีขี้นมาเพื่อหาข้อยุติกรณีโรงไฟฟ้าถ่านหินที่กระบี่ โดยมีคณะกรรมการ 3 ชุด แต่ 2 ชุดที่สำคัญคืออนุกรรมการศึกษารายงานผลกระทบ EIA ว่าถูกต้อง ครบถ้วน รองรับผลกระทบได้ขนาดไหน ซึ่งข้อมูลก็ออกมาชัดเจนว่าการศึกษาผลกระทบที่ผ่านมาของโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ไม่สามารถรองรับผลกระทบทางประมง สุขภาพ การท่องเที่ยว สิ่งแวดล้อมได้ บริบทในการมาทำการศึกษารอบใหม่แต่ยังใช้เกณฑ์การศึกษาแบบเดิมๆ มันก็ไม่สามารถตอบโจทย์ผลกระทบได้ "อีกชุดหนึ่งคืออนุกรรมการไตรภาคีที่ทำการศึกษาตามข้อเสนอของกระบี่ที่อยากเป็นที่แรกในประเทศไทยที่ใช้พลังงานหมุนเวียน 100 เปอร์เซ็นต์ รัฐบาลก็ให้ลองศึกษาดู ถ้าผลการศึกษามีศักยภาพมากพอที่จะผลิตไฟฟ้าได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ก็ขอให้รัฐบาลสนับสนุนภายใต้เวลา 3 ปี เพื่อทดลองว่าทำได้จริงหรือไม่ ถ้าทำไม่ได้ก็ค่อยมาดูว่าโรงไฟฟ้าอื่นที่เหมาะสมคืออะไร ซึ่งผลประชุมของอนุกรรมการฯ 3 ฝ่ายก็ชัดเจนว่ากระบี่ใช้ไฟฟ้าสูงสุดอยู่ 150 เมกะวัตต์ แต่ศักยภาพของพลังงานหมุนเวียนอยู่ที่ 1,700 เมกะวัตต์ ซึ่งมากกว่า 10 เท่า แล้วพอข้อสรุปทุกชุดอนุกรรมการออกมาไม่เป็นคุณกับโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน รัฐบาลก็รวบรัดการทำงานของอนุกรรมการ 3 ฝ่าย แล้วหัวหน้าคณะกรรมการ 3 ฝ่ายที่เป็นนายทหารก็ระบุว่า เขาจะสรุปโดยอาศัยความเห็นของเขาเองแล้วนำเสนอต่อนายกฯ แล้วก็เงียบหายไป ประเด็นที่น่าสงสัยคือ ทำไมต้องสรุปตามความเห็นของท่าน ทำไมไม่สรุปตามความเห็นของชุดอนุกรรมการที่ทำไว้ ส่วนของเทพาก็มีเรื่องผลกระทบกับพื้นที่ สถานที่ที่ยังไม่สามารถสร้างได้จริง ผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม มันก็เป็นเคสเดียวกันว่า ถ้ารัฐยังเลือกทำ (โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน) ไม่ว่าจะเป็นที่กระบี่หรือเทพา จะส่งผลกระทบกับการพัฒนาประเทศไทยในด้านมูลค่าการท่องเที่ยว ซึ่งศักยภาพที่กระบี่ พังงา ภูเก็ต ยังเป็นศักยภาพที่เห็นชัดว่าทำรายได้มากกว่าร้อยละ 30 ของรายได้จากการท่องเที่ยวของทั้งประเทศ แล้วก็ยังสามารถสร้างรายได้ได้มากกว่านี้ ศักยภาพของกระบี่ พังงา ตรัง ภูเก็ต ไปได้มากกว่านี้ แต่ถ้าจะถูกตัดตอนก็เหมือนภาคตะวันออกที่เอานิคมอุตสาหกรรมไปไว้ใกล้กับแหล่งท่องเที่ยว วันนี้ที่ภาคตะวันออกทำได้ก็คือทำแหล่งท่องเที่ยวแบบแมนเมด (มนุษย์สร้างขึ้นมา) ซึ่งเป็นการทำลายโอกาสของคนที่เป็นเจ้าของทรัพยากรในพื้นที่อย่างสิ้นเชิงอย่างกลับไปแก้ไขไม่ได้" "เมื่อวานมีข่าวว่าทางคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะบรรจุโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินภาคใต้ไว้ในการประชุม ครม. แต่โฆษกรัฐบาลออกมาแถลงว่าไม่มีวาระดังกล่าว และระบุว่าข้อมูลที่รัฐบาลมีในปัจจุบันยังไม่สามารถทำให้รัฐบาลตัดสินใจที่จะยุติโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินได้ เลยมีความเห็นเล็กๆ ว่า แล้วข้อมูลจากคณะกรรมการสามฝ่ายที่รัฐบาลจัดตั้งมาหายไปอยู่ที่ไหน ทำไมรัฐบาลไม่มีข้อมูล ธีรพจน์ยืนยันว่า การเคลื่อนไหวของพี่น้องไม่มีเรื่องการเมืองมาเกี่ยวข้อง "คนที่ติดตามการเคลื่อนไหวเรื่องโรงไฟฟ้าถ่านหินภาคใต้มา จะพบว่าเราไม่มีเรื่องการเมืองมาเกี่ยวข้องเลย สิ่งที่เราพูดเป็นเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ การประมง การท่องเที่ยว การพัฒนาที่ยั่งยืนของภาคใต้ เพราะฉะนั้น สิ่งที่ทางภาคใต้ต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นกระบี่หรือเทพา จะพบว่ายิ่งต่อสู้ก็ยิ่งได้รับการตอบรับจากกลุ่มที่เกี่ยวข้องจากนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมที่จะเข้ามาให้ความร่วมมือในเรื่องนี้ค่อนข้างสูงมาก องค์กรอื่นก็แล้วแต่ว่ามีบทบาทเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ขนาดไหน หน่วยงานบางหน่วยงานก็มีความกังวลเรื่องผลกระทบเช่นกัน อย่างเช่นหน่วยงานสาธารณสุข ในหลายเวทีก็มีการพูดเรื่องผลกระทบ แต่บทบาทของหน่วยงานก็ไม่สามารถไปขัดแย้งกับหน่วยงานอื่นได้ ข้อกังวลก็เลยยังไม่มีมาตรการรองรับ ในเรื่องการท่องเที่ยว ที่ผ่านมาการศึกษาผลกระทบด้านการท่องเที่ยว" ผู้ชุมนุมนำเพื่อนที่อดอาหารประท้วงขึ้นท้ายรถตำรวจเพื่อไปรับการรักษาพยาบาล ระหว่างที่พูดคุยกับธีรพจน์ ทางกลุ่มผู้ชุมนุมได้เอาแหล่งกำเนิดกระแสไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ (โซลาร์เซลล์) มาติดตั้ง โดยธีรพจน์ระบุว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเคยขอรถสุขาจาก กทม. แต่ว่าไม่ได้ ทุกวันนี้ตอนกลางวันก็ยังไปใช้ตามห้องน้ำของหน่วยงานราชการ โรงพยาบาลรอบๆ ได้ แต่เวลากลางคืนต้องไปใช้ที่วัดซึ่งอยู่ไกล เป็นอุปสรรคกับพี่น้องที่อดอาหาร อาโยบ มุเซะ จาก จ.สงขลา พักอาศัยห่างจากที่ตั้งโรงไฟฟ้า 5 กม. หนึ่งในผู้ต้องหากรณีเครือข่ายคนสงขลา-ปัตตานี ไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา จ.สงขลา ได้พยายามเดินเท้าเพื่อเข้ายื่นหนังสือต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. เมื่อวันที่ 27 พ.ย.60 จนถูกทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง ได้เข้าควบคุมการเดินเท้าพร้อมทั้งจับกุมตัว กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ร่วมอดอาหารประท้วงมาเป็นวันที่สามแล้ว ผลจากการอดอาหารทำให้ตอนนี้มีอาการเวียนหัวนิดๆ เขากล่าวว่า ชุมชนที่อาศัยเกิดความแตกแยกหลังมีโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน อัยโยบ มุเซะ "โครงการเข้ามาก็เกิดความแตกแยก มีฝ่ายที่สนับสนุนกับฝ่ายไม่สนับสนุน เรือหาปลาของฝ่ายสนับสนุนที่ได้ปลามาเต็มลำเรือ ขอความช่วยเหลือ ปรากฏว่าเรือล่มเพราะฝ่ายที่ไม่สนับสนุนไม่ไปช่วยเหลือ พี่น้องแตกแยกกัน ข้าราชการ ผญบ โต๊ะอิหม่ามส่วนมากจะอยู่ฝ่ายสนับสนุน" อาโยบฝากถึงผู้อ่านประชาไทว่า ผลกระทบต่อพื้นที่จากการสร้างโรงไฟฟ้านั้นเป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวางในวงวิชาการ โรงไฟฟ้าถ่านหินขนาดใหญ่ที่มีกำลังการผลิตถึง 2,000 เมกะวัตต์จะส่งผลกระทบร้ายแรงแน่นอน "วันนี้เราไม่ยอม เพราะเรามีข้อมูลที่เด่นชัด นักวิชาการทั้งประเทศ ทั้งโลกเขาไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหิน เขามีทางเลือก วันนี้มันไม่ใช่ ถ้าเราเอาโรงไฟฟ้าถ่านหินเราได้รับผลกระทบทั้งเรื่องข้าว ต้นไม้ ขนาดโรงไฟฟ้าถ่านหิน 9 เมกะวัตต์ของโรงไฟฟ้าชีวมวลวันนี้ก็เกิดผลกระทบแล้ว มี 3-4 รายที่เป็นโรคผื่นคันแล้ว ลงแม่น้ำก็หาปลาไม่ได้ ปลาหนีหมด แล้วนี่สร้างโรงไฟฟ้า 2,000 เมกะวัตต์ จะเกิดอะไรขึ้น นอกจากนั้นพื้นที่ อ.เทพา มันมีลักษณะเป็นภูเขาล้อมรอบ แล้วก็เป็นอ่าว ถ้าลมพัดเข้ามาจากทะเลกระแสลมก็คลุมหมด ถ้าฝนตกก็จะเกิดฝนตก เกิดผลกระทบแน่ เพราะเวลาลมพัดมันพัดเข้าชายฝั่ง" กนกวรรณ แซ่เอี่ยว มาจาก จ.กระบี่ มาที่นี่ได้วันที่ 3 แล้ว ก่อนสัมภาษณ์เธอพยายามเคลียร์ลำคอให้พูดจาได้สะดวกเนื่องจากไม่สบายและมีอาการไอตลอด เธอกล่าวว่า ยิ่งมาตากแดดตากลมก็ยิ่งทำให้อาการแย่ลง กนกวรรณ แซ่เอี่ยว กนกวรรณกล่าวว่า มาที่นี่เพราะไม่ยอมรับการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน ท่าเทียบเรือถ่านหินที่กระบี่ "เราเคยคัดค้านจนท่านนายกฯ สั่งยกเลิก EIA ไปแล้ว แต่ตอนนี้เขากลับมาทำใหม่ การกลับมาทำใหม่ พวกเราในฝ่ายคัดค้านโรงไฟฟ้าก็ไม่ยอมรับ" กนกวรรณทิ้งท้ายว่า ตั้งแต่มาที่นี่ทางรัฐไม่มีแม้แต่จะมาเหลียวแล ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา: ฟังเรื่อง “โลกยุค 5G” จากยักษ์โทรคมนาคมญี่ปุ่น Posted: 14 Feb 2018 05:50 AM PST สมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทยร่วมกับสมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศญี่ปุ่น โดยการสนับสนุนของภาคเอกชนและสำนักงาน กสทช. ได้จัดการสัมมนาประจำปี 2561 เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับเทคโนโลยี 5G และประเทศไทย 4.0 ขึ้น โดยมีผู้บริหารของ NTT DOCOMO ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นมาให้รายละเอียดเกี่ยวกับการพัฒนาเทคโนโลยีและการปรับตัวของอุตสาหกรรมเพื่อเข้าสู่ยุค 5G อย่างที่เราทราบกันดีว่า 5G จะมีความเร็วสูงระดับกิกะบิตซึ่งเร็วกว่า 4G หลายสิบเท่าตัว แต่คุณสมบัติที่สร้างความแตกต่างอีก 2 ประการคือ ความหน่วงในการรับส่งข้อมูลต่ำมากในระดับหนึ่งส่วนพันวินาที ทำให้ประยุกต์ใช้กับการควบคุมทางไกลได้ฉับไว เช่น การกู้ภัย การควบคุมเครื่องจักรหรือหุ่นยนต์ หรือแม้แต่การแพทย์ทางไกล และอีกคุณสมบัติหนึ่งก็คือการรองรับอุปกรณ์เชื่อมต่อได้นับล้านๆ ชิ้นต่อตางรางกิโลเมตร จึงสามารถรองรับยุค IoT (Internet of Things) ที่อุปกรณ์ของใช้ของมนุษย์ล้วนเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต 5G จึงเป็นตัวพลิกโฉมอุตสาหกรรมการสื่อสารซึ่งเข้าสู่ภาวะอิ่มตัวปัจจุบันทิศทางของรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เปลี่ยนไปมาก จากเดิมรายได้หลักมาจากการโทรออกรับสายในยุค 2G และเปลี่ยนมาเป็นรายได้จากการรับส่ง data ในยุค 3G และ 4G ตามลำดับ แต่แนวโน้มจำนวนคนใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่เพิ่มขึ้นช้าลงกว่าเดิม และทิศทางรายรับรวมเริ่มเป็นขาลง แม้คนจะใช้งาน data จากการ upload/download video กันมากขึ้นก็ตาม แต่สำหรับ NTT DOCOMO แล้ว ได้ปรับตัวล่วงหน้าโดยผสานธุรกิจ Smart Life ต่างๆ เข้ามาในบริการ เช่น การให้บริการเนื้อหารายการหรือการถ่ายทอดสด การให้บริการทางการเงินหรือการชำระเงิน การให้บริการเชื่อมต่อ IoT กับลูกค้าองค์กร การให้บริการสนับสนุนข้อมูลสุขภาพ การให้บริการอุปกรณ์โทรคมนาคม เป็นต้น และรายได้จาก Smart Life Domain นี้มีทิศทางเพิ่มขึ้น ทำให้รายได้รวมของบริษัทพลิกกลับเป็นขาขึ้นได้ ทิศทางหลักของการให้บริการในยุค 5G จึงต้องมุ่งไปที่การสร้างพันธมิตร สร้างความร่วมมือกับธุรกิจอื่นๆ หรือแม้แต่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์ solution ใหม่ๆ สำหรับธุรกิจและสังคม รูปแบบความสัมพันธ์ทางธุรกิจก็จะเปลี่ยนไปจากเดิมที่เป็น B2C (Business to Customer) หรือ B2B (Business to Business) เป็น B2B2C หรือแม้แต่ B2B2G (Government) เป็นต้น ในปัจจุบัน NTT DOCOMO มีพันธมิตรแล้ว 394 องค์กรและจะเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ สิ่งที่ขับเคลื่อนความสัมพันธ์นี้คือ "ข้อมูล" ในยุค IoT อุปกรณ์หลักคือตัวเซ็นเซอร์ ที่คอยตรวจวัดข้อมูลที่ต้องการ เช่น คุณภาพน้ำ คุณภาพอากาศ หรือตรวจวัดสิ่งอื่นๆ แล้วส่งข้อมูลมาประมวลผล นอกจากจะแจ้งผลการประมวลไปที่ปลายทาง ซึ่งอาจจะเป็นเกษตรกร ผู้ใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือองค์กรพันธมิตรแล้ว ระบบนิเวศนี้ยังทำให้เรามี Big data ซึ่งสามารถนำไปวิเคราะห์ต่อยอดได้อีกมากมาย แต่เดิม ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ให้บริการกับผู้ใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นลักษณะการสมัครบริการที่มีอายุตามสัญญาใช้บริการ เมื่อเลิกสัญญาจำนวนลูกค้าก็ลดลง และไม่สามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลส่วนบุคคลต่างๆ ได้อีกต่อไป ต่างจากความสัมพันธ์ระหว่างผู้ให้บริการออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น e-commerce หรือ Social Network ต่างๆ กับสมาชิกของตน ที่แม้จะหยุดการใช้งาน แต่ถ้ายังไม่แจ้งออกจากการเป็นสมาชิก ก็ยังนับเป็นลูกค้าอยู่ จำนวนสมาชิกจึงมีทิศทางเพิ่มขึ้นตลอดเวลา และยังสามารถวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ในภาพรวมได้ต่อไป NTT DOCOMO จึงเปลี่ยนแนวคิดจาก subscriber มาเป็น member และได้พัฒนาระบบบัญชีสมาชิก +d account และมีการสะสมคะแนน +d point ทำให้ผู้ใช้งานเข้าสู่ +d market เพื่อเป็นระบบนิเวศใหม่ของธุรกิจ องค์กรพันธมิตรก็จะได้ประโยชน์จากระบบนิเวศนี้ด้วยเช่นกัน เพราะเมื่อสมาชิกจะใช้บริการอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นบริการทางการเงินหรือบริการรายการบันเทิงหรือบริการอื่นๆ ก็ยังทำผ่านระบบสมาชิกนี้ จึงมีการเก็บรวบรวมข้อมูลสมาชิกในด้านต่างๆ ไว้ และสามารถนำไปวิเคราะห์เพื่อที่จะได้เสนอหรือพัฒนาบริการให้เหมาะสมยิ่งขึ้นไป บริการในระบบนี้ ซึ่งรวมถึงบริการของ NTT DOCOMO และบริการขององค์กรพันธมิตร จึงเป็นระบบที่เกื้อหนุนทุกฝ่าย รูปแบบบริการ Smart Life Domain ก็จะทดแทนการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบเก่าที่มีแต่การโทรออกรับสายและการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเท่านั้น ในส่วนการให้บริการ 5G อย่างเป็นทางการนั้นคงจะเกิดขึ้นไม่เกินปี พ.ศ. 2563 แต่เราจะเห็นการทดลองบริการ 5G ก่อนหน้านั้น ในมหกรรมกีฬาระดับโลกต่างๆ อย่างเช่น การแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาว 2561 ที่พย็องชังประเทศเกาหลี การแข่งขันรักบี้ชิงแชมป์โลก 2562 ที่กรุงโตเกียว และการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2563 ที่กรุงโตเกียว ซึ่งเราจะได้เห็น use case ของ 5G จริง ที่ไม่ใช่เพียงแต่เชื่อมต่อกับโทรศัพท์เคลื่อนที่ แต่เชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ อีกมากมายในยุค IoT ในด้านการถ่ายทอดรายการต่างๆ ก็จะมีความตระการตามากกว่าเดิม ไม่ใช่ในแง่ของความละเอียดของภาพอย่าง HD ไปสู่ 4K หรือ 8K เท่านั้น เพราะความละเอียดที่มากกว่า 8K ก็คงไม่ได้เพิ่มคุณค่าให้กับสายตาของมนุษย์สักเท่าใด แต่จะมีการผสานกับเทคโนโลยี AR (Augmented Reality) หรือ VR (Virtual Reality) เพื่อให้ผู้ชมได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ที่แตกต่างจากเดิม จะเห็นได้ว่า 5G ไม่ใช่เพียงการสื่อสารระหว่างคนกับคน แต่รวมไปถึงการสื่อสารระหว่างคนกับเครื่องจักร และเครื่องจักรกับเครื่องจักร และไม่ใช่แค่การสื่อสารผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่หรือแทบเล็ต การประยุกต์ใช้ 5G จะทำให้การใช้งานโทรคมนาคมเพิ่มขึ้นมหาศาล และสามารถเปลี่ยนวิถีการดำรงชีวิตในสังคม โดยรูปแบบการให้บริการต้องมีการผสมผสานระหว่างอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างลงตัว อย่างเช่น บ้านหรืออาคารอัจฉริยะ เมืองอัจริยะ อุปกรณ์อัตโนมัติ หรือแม้แต่รถขับเคลื่อนอัตโนมัติ หุ่นยนต์ที่ควบคุมทางไกลผ่าน 5G หรือหุ่นยนต์ที่มี AI เป็นต้น เทคโนโลยีโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคต่างๆ มีช่วงอายุอยู่ที่ประมาณ 10 ปี ไม่ว่าจะเป็น 2G 3G หรือ 4G ซึ่ง 4G ก็เปิดให้บริการในหลายประเทศมาประมาณ 7-8 ปีแล้ว 5G จึงไม่ใช่เรื่องจินตนาการ และกำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่ปี ประเทศไทยคงต้องเตรียมตัวเพื่อรองรับการก้าวสู่ยุค 5G ไม่ว่าจะในด้านการลงทุนโครงข่ายและอุปกรณ์ใหม่ การเตรียมคลื่นความถี่ให้เพียงพอต่อบริการ ไม่ว่าจะเป็นย่านความถี่ต่ำ ย่านความถี่กลาง และย่านความถี่สูง ซึ่งในคลื่นย่านความถี่สูงมากอย่าง 27-28 GHz ที่เรียกว่า millimeter-wave อาจไม่จำเป็นต้องจัดการประมูลคลื่นความถี่ แต่ที่สำคัญที่สุดของการเตรียมตัว คือการปรับเปลี่ยนวิธีคิดใหม่เกี่ยวระบบนิเวศของการให้บริการ ที่ต้องผสมผสานบริการอย่างกว้างขวาง เพื่อให้ระบบการสื่อสารของเราตอบสนองทุกมิติชีวิตของผู้ใช้งาน และสังคมสามารถใช้ประโยชน์จาก 5G ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การคิดเรื่อง 5G จึงต้องยกระดับจากการคิดแบบ Telecommunications Services ไปสู่การมองให้เห็น Platform และ Ecosystem ใหม่ 5G จึงเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายที่จะสนับสนุนประเทศไทย 4.0 ได้ตามหัวข้องานสัมมนาที่สมาคมโทรคมนาคมทั้งสองประเทศได้ร่วมกันจัดขึ้น
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
รัฐสภากัมพูชา ผ่านกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ นักสิทธิฯ หวั่นถูกใช้เหมือนไทย Posted: 14 Feb 2018 05:35 AM PST รัฐสภากัมพูชามีมติเป็นเอกฉันท์อนุมัติกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โทษจำคุก 1-5 ปี องค์กรเพื่อสิทธิฯ หวั่นกฎหมายนี้จะถูกใช้เป็นเครื่องมือปราบปรามฝ่ายวิจารณ์รัฐบาลเช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในไทย (จากซ้ายไปขวา) พระบาทสมเด็จพระบรมนาถ นโรดม สีหมุนี พระมหากษัตริย์กัมพูชารัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ และพระราชินีโมนีก พระวรราชมารดา กัมพูชาถูกปกครองโดยนายกรัฐมนตรีฮุนเซนมานานกว่า 32 ปีแล้ว 14 ก.พ.2561 หลังจากเมื่อ ธ.ค.ปีที่ผ่านมา สำนักข่าวพนมเปญโพสต์ของกัมพูชา รายงานว่า ซอ เค็ง (Sar Kheng) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของกัมพูชาได้จัดประชุมร่วมกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวง เพื่อพูดคุยกันในประเด็นการบัญญัติเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการห้ามดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ในลักษณะที่คล้ายคลึงกับกฎหมายอาญามาตรา 112 ของไทย นั้น ล่าสุดวันนี้ (14 ก.พ.61) บีบีซีไทย รายงานว่า เปญ ปัญญา หัวหน้าคณะกรรมาธิการการกฎหมายและการยุติธรรมของกัมพูชากล่าวต่อรัฐสภาว่า "การหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ได้แก่ คำพูด, กิริยาท่าทาง, ตัวหนังสือ, ภาพวาด หรือวัตถุต่าง ๆ ที่ทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติ" กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่รัฐสภากัมพูชาอนุมัติในวันนี้ (14 ก.พ.61) กำหนดให้อัยการสามารถยื่นฟ้องคดีอาญาในนามของกษัตริย์และราชวงศ์ได้ โดยผู้กระทำผิดจะได้รับโทษจำคุก 1-5 ปี และปรับเป็นเงิน 500-2,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 15,500-77,500 บาท) บีบีซีไทย รายงานด้วยว่า องค์กรเพื่อสิทธิมนุษยชนต่างแสดงความวิตกกังวลว่า กฎหมายใหม่อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง โดย จัก สุภาพ จากศูนย์เพื่อสิทธิมนุษยชนกัมพูชา ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า "นี่คือเรื่องอันตรายอย่างยิ่งหากกฎหมายฉบับนี้ถูกใช้ในทางที่ผิดเพื่อเล่นงานกลุ่มผู้วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลกัมพูชาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เช่นที่เกิดมาแล้วในประเทศอื่น ๆ อาทิ ประเทศไทย" ซึ่งผู้กระทำผิดในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพต้องเผชิญโทษจำคุกสูงสุด 15 ปี ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ชูป้ายเรียกร้อง คสช.เร่งเลือกตั้ง-หยุดสืบทอดอำนาจที่เชียงใหม่ Posted: 14 Feb 2018 05:11 AM PST สมัชชาเสรีแห่งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เพื่อประชาธิปไตยจัด "รวมพลคนอยากเลือกตั้ง" ค้าน คสช. เลื่อนเลือกตั้ง เรียกร้องกำหนดวันเลือกตั้งให้ชัดเจน "นิธิ เอียวศรีวงศ์" ชี้คนรับไม่ได้เหตุ คสช. เลื่อนเลือกตั้งไปเรื่อยๆ เหมือนเห็นประชาชนเป็นขี้หมากองเดียว ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สมัชชาเสรีแห่งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เพื่อประชาธิปไตยจัดกิจกรรม "รวมพลคนอยากเลือกตั้ง" หน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คัดค้านการเลื่อนเลือกตั้งและสืบทอดอำนาจ เรียกร้อง คสช. กำหนดวันเลือกตั้งให้ชัดเจน มิเช่นนั้นเท่ากับแสดงเจตนาสืบทอดอำนาจ ทั้งนี้กิจกรรมเริ่มตั้งแต่เวลา 16.50 น. โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ตั้งด่านตรวจบนถนนห้วยแก้วขาออก ช่วงหน้าหน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นอกจากนี้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบยืนสังเกตการณ์รอบๆ พื้นที่ นอกจากนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์ลำปางแล้ว ยังมีนักวิชาการ ประชาชน รวมทั้งแนวร่วม นปช. ในพื้นที่มาร่วมกิจกรรมและให้กำลังใจนักศึกษาด้วย โดยนักศึกษาผู้จัดกิจกรรมมีการเชิญชวนนักศึกษาและประชาชนที่มาร่วมกิจกรรมได้กล่าวแสดงความรู้สึก พร้อมตะโกนคำขวัญ "เลือกตั้ง เลือกตั้ง เลือกตั้ง" เป็นระยะ นอกจากนี้มีนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง เดินทางมาแสดงเจตนารมย์เรียกร้องประชาธิปไตยด้วย ทั้งนี้มีการอ่านแถลงการณ์ของสมัชชาเสรีแห่งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เพื่อประชาธิไตย ร่วมกันร้องเพลงกำลังใจ และบทเพลงของสามัญชน ก่อนเลิกกิจกรรมไปในเวลา 17.45 น. ผู้สื่อข่าวมีโอกาสสอบถามผู้ร่วมกิจกรรม "รวมพลคนอยากเลือกตั้ง" โดย "เปรม" นักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า ผู้จัดกิจกรรมได้โพสต์ผ่านเฟสบุ๊คเพจของกลุ่ม แต่จะเห็นได้ว่าคนที่มาร่วมกิจกรรมมีประชาชนมาร่วมเป็นส่วนใหญ่ ส่วนตัวเขาที่มาร่วมกิจกรรมนั้นเพราะปีนี้อายุ 20 ปีแล้ว ยังไม่เคยเลือกตั้งเลย เรารู้สึกว่าถ้าต้องการให้ประเทศไปข้างหน้า ต้องฝากความหวังให้คนรุ่นหลัง ไม่ใช่ฝากไว้กับกลุ่มคนรุ่นที่วางโรดแมป 20 ปี ทั้งนี้รัฐประหารไม่เคยส่งผลดีในระยะยาวกับประเทศชาติ มีแต่จะกลบความกลัวไว้ข้างล่าง เก็บกวาดปัญหาไว้ใต้พรม ส่วน "ป้าแต๋ว" ชาว จ.เชียงใหม่ อายุ 63 ปี กล่าวว่ารู้ข่าวมาแบบปากต่อปาก แวดวงของเพื่อนๆ พูดคุยกันตั้งแต่วันจันทร์เพราะได้ข่าวว่าจะมีการจัดกิจกรรมที่หน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จึงเดินทางมากับเพื่อนๆ ทั้งนี้ป้าแต๋วบอกว่าได้เลือกตั้งครั้งสุดท้ายคือปี 2554 และการเลือกตั้งที่โมฆะไปในปี 2557 "เรามาไม่มีอะไร เป็นคนแก่คนหนึ่งที่รักประชาธิปไตย ต้องการเรียกร้องความถูกต้อง" นิธิ เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการอิสระ เดินทางมาให้กำลังใจนักศึกษาและประชาชนด้วย ตอนหนึ่งเขากล่าวถึง คสช. ที่มองไม่เห็นความสำคัญของเสียงประชาชนเลย แล้วการเลือกตั้งภายใต้กลไกและรัฐธรรมนูญแบบ คสช. ทำให้เสียงประชาชนไม่มีความหมาย แต่ที่สำคัญคือการที่เขาเลื่อนการเลือกตั้งไปเรื่อยๆ เหมือนเห็นประชาชนเป็นขี้หมากองเดียว อันนี้ต่างหากทำให้รู้สึกรับไม่ได้ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
สหรัฐฯวิจารณ์ไทย ปมส่งกลับ ‘มือขว้างรองเท้า’ ใส่ป้าย ‘ฮุน เซน’ ทั้งที่ได้รับสถานะผู้ลี้ภัย Posted: 14 Feb 2018 05:10 AM PST สหรัฐฯ แสดงความวิตก หลังรัฐบาลไทยบังคับส่งกลับ 'แซม โสกา' ไปยังกัมพูชา ทั้งๆ ที่ได้รับสถานะผู้ลี้ภัยจากยูเอ็นแล้ว กต.แจงเป็นความร่วมมือระหว่างตำรวจของ 2 ประเทศ อังคณา ขอ รบ.ไทยติดตามว่าส่งกลับไปแล้ว ปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชนครบถ้วนไหม ภาพตัวอย่างจากคลิปที่ระบุว่าเป็นการขว้างรองเท้า' ใส่ป้าย 'ฮุน เซน' 14 ก.พ.2561 จากกรณีที่องค์กรระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนฮิวแมนไรท์วอทช์ (Human Rights Watch) ออกแถลงการณ์ประณามรัฐบาลไทย เมื่อ 9 ก.พ.61 กรณีที่มีการส่งตัว แซม โสกา ผู้ลี้ภัยชาวกัมพูชา กลับประเทศต้นทาง เมื่อวันที่ 8 ก.พ.ที่ผ่านมา แม้ว่า แซม โสกา (Sam Sokha) จะได้รับการรับรองสถานะผู้ลี้ภัยจากสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) แล้วก็ตาม โดยฮิวแมนไรท์วอทช์ระบุว่า การดำเนินการดังกล่าวของไทย เข้าข่ายละเมิดกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศว่าด้วยการไม่ส่งกลับ (non-refoulement) เพราะอาจทำให้บุคคลที่ถูกส่งกลับมีความเสี่ยงจะถูกปราบปราม ทรมาน หรือถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรงนั้น สหรัฐฯวิจารณ์ไทย ส่งกลับสำนักข่าวเอพีรายงานว่า 12 ก.พ. ที่ผ่านมา แคททินา อดัมส์ แถลงว่า สหรัฐฯรู้สึกวิตกอย่างยิ่งที่รัฐบาลไทยบังคับส่งกลับ แซม โสกา ไปยังกัมพูชา ทั้งๆ ที่เธอได้รับสถานะผู้ลี้ภัยจากสหประชาชาติแล้ว แซม โสกา เป็นนักเคลื่อนไหวแรงงาน ศาลของกัมพูชาพิพากษาลับหลังเมื่อวันที่ 25 ม.ค.ที่ผ่านมา ตัดสินว่าเธอมีความผิดในข้อหาดูหมิ่นเจ้าพนักงานและปลุกปั่นยุยงเพื่อสร้างความแตกแยก โดยกำหนดโทษจำคุก 2 ปี คลิปความยาว 13 วินาทีที่เผยแพร่เมื่อเดือน เม.ย.ปีที่แล้ว แสดงให้เห็นเธอกำลังขว้างรองเท้าใส่ป้ายที่มีภาพของ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรี และเฮง สัมริน ประธานสภา โดยเมื่อ 8 ก.พ.61 ทางการไทยจับกุม แซม โสกา และส่งตัวเธอให้ทางการกัมพูชา เวลานี้ เธอถูกควบคุมตัวภายในห้องขังของศาลจังหวัดกัมปงสปือ โฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ เรียกร้องประเทศไทย ขอให้หลีกเลี่ยง "การส่งกลับผู้ลี้ภัยโดยไม่สมัครใจ กต.แจงเป็นความร่วมมือระหว่างตำรวจของ 2 ประเทศขณะที่ 11 ก.พ.ที่ผ่านมา บุษฎี สันติพิทักษ์ อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ แถลงตอบโต้ว่า การส่งตัว แซม โสกา กลับประเทศ เป็นการปฏิบัติตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ของไทย และเป็นความร่วมมือระหว่างตำรวจทั้งสองประเทศ นอกจากนี้ โดยหลักการแล้ว ประเทศไทยให้ความสำคัญต่อหลักสิทธิมนุษยชนและกฎ non-refoulement แม้ประเทศไทยมิได้เป็นภาคีอนุสัญญาเรื่องผู้ลี้ภัย "ดังนั้น ก่อนการส่งตัวกลับ เชื่อว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการพิจารณาเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบแล้วว่าการส่งตัว แซม โสกา กลับไปกัมพูชา จะไม่เป็นภัยต่อบุคคลดังกล่าว" บุษฎี กล่าว อังคณา ขอ รบ.ไทยติดตามว่าส่งกลับไปแล้ว ปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชนครบถ้วนไหม12 ก.พ.ที่ผ่านมา อังคณา นีละไพจิตร กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กล่าวถึงเรื่องนี้ ว่า เท่าที่ติดตามทราบว่าหญิงชาวกัมพูชารายนี้ถูกทางการไทยจับกุมเมื่อ 5 ม.ค.61 ในข้อหาอยู่ในประเทศไทยเกินระยะเวลาที่กำหนด ต่อมาวันที่ 12 ม.ค.ทนายความได้ยื่นคำร้องไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เพื่อขอไม่ให้ถูกส่งตัวกลับ และล่าสุดเมื่อช่วงต้นเดือน ก.พ.61 ได้ยื่นขออุทธรณ์ต่อศาลเนื่องด้วยเกรงว่าหากส่งตัว Sam Sokha กลับไปยังกัมพูชาอาจจะเกิดอันตรายขึ้นกับเธอได้ แต่ก็มาถูกส่งตัวกลับไปเสียก่อน "อันที่จริงในขณะที่เรื่องอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ควรชะลอการส่งกลับ ให้ศาลได้พิจารณาก่อน" อังคณา กล่าว พร้อมระบุว่า ส่วนกรณีที่กระทรวงการต่างประเทศของไทยชี้แจงว่า การส่งตัว Sam Sokha กลับไปยังกัมพูชานั้นเชื่อว่าจะไม่เป็นการผลักดันให้ต้องไปเผชิญกับอันตรายนั้น แม้ประเทศไทยจะไม่ได้ลงนามในอนุสัญญาว่าด้วยผู้ลี้ภัย แต่อนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้ายไร้ มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี ซึ่งไทยได้ไปลงนามไว้ ในข้อ 3 (1) ก็กำหนดว่ารัฐภาคีต้องไม่ส่งคนกลับไปยังรัฐที่มีเหตุให้เชื่อได้ว่าบุคคลที่ถูกส่งกลับนั้นจะเป็นอันตรายจากการถูกทรมาน ดังนั้นทางการไทยก็ต้องปฏิบัติตามอนุสัญญาดังกล่าว "เรื่องนี้น่าห่วงใย ปัญหาคือส่งกลับไปแล้ว สิ่งที่จะทำได้คือรัฐบาลไทยโดยกระทรวงการต่างประเทศควรจะติดตาม ว่าส่งกลับไปแล้วเขาได้รับการปฏิบัติตามหลักมนุษยธรรม ตามหลักสิทธิมนุษยชนครบถ้วนไหม เพื่อยืนยันว่าเขาได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย" อังคณา กล่าวย้ำ สำหรับ แซม โสกา เป็นผู้เผยแพร่คลิปวิดีโอเหตุการณ์ที่เธอปารองเท้าใส่รูปของ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา และมีผู้นำไปเผยแพร่อย่างกว้างขวางในโซเชียลมีเดีย ทำให้ทางการกัมพูชาออกหมายจับเธอในข้อหา "ดูหมิ่นเจ้าพนักงาน" และ "ยุยงให้เกิดการเลือกปฏิบัติ" ตามมาตรา 494 , 496 และ 502 ของประมวลกฎหมายอาญากัมพูชา ส่งผลให้เธอต้องหลบหนีจากกัมพูชาเพื่อมาลี้ภัยในประเทศไทย และได้เข้าสู่ขั้นตอนการสัมภาษณ์และได้รับสถานะผู้ลี้ภัยอย่างเป็นทางการจากยูเอ็นเอชซีอาร์
ที่มา : hrw.org Voice TV และแนวหน้า
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
Realfame: รักเธอน้อยกว่าประชาธิปไตย 'เอกชัย หงส์กังวาน' Posted: 14 Feb 2018 04:17 AM PST ยศธร ไตรยศ จากกลุ่ม Realfame บันทึกภาพเก็บถ้อยคำทั้งในเรื่องส่วนตัว ความรักและทัศนะทางการเมืองของ เอกชัย หงส์กังวาน ศิลปินเดี่ยว นักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ร้อนแรงที่สุดในปัจจุบัน ระหว่างความรักกับประชาธิปไตยคงให้น้ำหนักประชาธิปไตยมากกว่า เราไม่เหมือนชาวบ้าน ไม่ได้รักสวยรักงาม ไม่แต่งตัว ผมเผ้ายุ่งไม่เหมือนกะเทยคนอื่น ความคิดอ่านก็ไม่เหมือน คนอื่นคิดเรื่องสวยงามเราไม่คิดเลย จริงๆ เพิ่งมาเปลี่ยนตอนปี 2548-49 ก่อนนั้นไม่เคยสนใจการเมือง ตอนรัฐบาลทักษิณมีนโยบายหวยบนดิน เราก็เอามาขาย รายได้ดี เดือนหนึ่งทำแค่ 2 อาทิตย์ เป็นงานที่เราถูกใจ พอรัฐประหาร 2549 ยกเลิกหวยบนดิน เราขาดทุนเขาไม่ชดเชย ก็เลยโมโห ตอนนั้นมีประท้วงเรื่องหวยบนดินแล้วก็แผ่ว แต่เราไม่ยอม คนมองว่าเราเชียร์ทักษิณ เราไม่ได้เชียร์ แต่ไม่พอใจที่ทะเลาะกันแล้วมาทำให้กูเดือดร้อน เลยออกมาสู้ ตอนนั้นมีกลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ เราไปแจมบ่อย ไปๆมาๆ มันไม่ได้มีแค่เรื่องหวยบนดินนะ มีอะไรมากกว่านั้น สุดท้ายอินการเมือง ปี 2554 มาโดน112 อยู่ในคุก2ปี8เดือน เราเจอกับแฟนในเรือนจำ เราเข้าไป 28 มี.ค. 2556 เขาเข้ามาก่อนเราอาทิตย์นึง ข้อหาพรากผู้เยาว์-ข่มขืน เขาเป็นเด็กมหาลัยค่อนข้างเจ้าชู้ ไปมีอะไรกับเด็กม.ปลายแล้วพ่อแม่เขาเอาเรื่อง จำคุก 2 ปีกว่า ยังเรียนไม่จบมาโดนจับก่อน เราโดนข้อหา 112 อยู่แดน1 เลยได้เจอเขา เขาอายุน้อยกว่าเรา 16 ปี หน้าตาดี เราปิ๊งก่อนก็อ่อยดูปรากฏว่าเขาเล่นด้วย วันหนึ่งเขามาถามว่าขอกอดได้ไหม เราก็ให้กอด แล้วเราก็ถามว่าชื่ออะไร จริงๆ รู้อยู่แล้วแต่ทำฟอร์ม คุยกันจากนั้นก็เป็นแฟนกัน ในนั้นเขาเรียกฉันว่า "เจ๊หลี" อยู่ร.ร.เก่าชื่อหนึ่ง มหาลัยชื่อหนึ่ง ในคุกก็อีกชื่อหนึ่ง เราอยู่ห้องสมุด ตอนเช้าขายขนมปังปอนด์กับเยลลี่แยม มีนักโทษคนหนึ่งมากินแล้วเรียกเราเยลหลี จากนั้นทั้งแดนก็เรียกเยลหลี ไปๆมาๆเรียกเจ๊หลี แม้แต่ผู้คุมก็เรียก จริงๆ ชื่อเล่นคือ "เอก" แต่ไม่มีใครเรียกเลย กะเทยในนั้นมีหลายประเภท 1.แต่งหญิงทั้งแปลงเพศไม่แปลงเพศ ส่วนใหญ่โดนข้อหาลักทรัพย์ตามพัฒพงษ์ ชวนฝรั่งไปนอน พอเขาไม่เล่นด้วยก็ไปล้วงกระเป๋า 2.แต่งเป็นชายแต่บุคลิกดูออก ตอนต้นจะไม่ยอมรับ อยู่ไปเห็นผู้ชายอาบน้ำก็จะเริ่มอาการหนักขึ้น(หัวเราะ) และจะมีผัวในที่สุด 3.แมนแท้ๆเลย ดูไม่ออก แม้แต่ตัวเขาก็ไม่รู้ บางคนมีลูกมีเมียแล้ว อยู่ไปเห็นผู้ชายอาบน้ำ เกย์แตก ขอเลิกกับเมีย อยู่ในนั้นทำอะไรยาก คู่อื่นมี แต่เราไม่มี แค่กอดกัน จริงๆ ผิดระเบียบ แต่เราเป็นหัวหน้า ผู้คุมก็ทำเป็นมองไม่เห็น ส่วนคนอื่นถ้าโจ่งแจ้งเกินไปก็จะโดน เรารู้สึกเหมือนคนนี้เป็นพรหมลิขิต เขาเล่าว่าคุ้นหน้าเรา เหมือนเคยเห็นที่โรงหนังเดอะมอลล์บางกะปิ สมัยก่อนเราชอบไปนั่งหน้าโรงหนังดูที่เขาฉายตัวอย่างหนัง เขาจำได้ว่าไปกับแฟนแล้วเห็นเรานั่งตรงนี้ แต่เราจำไม่ได้หรอก ที่เหลือเชื่อคือเขาออกจากคุกก่อนเราเกือบปีแล้วไม่เคยมาเยี่ยมเราเลย เขาได้ออกไปก่อนแล้วมีกฎว่าช่วงพักโทษห้ามเยี่ยมเพื่อนในเรือนจำ ก่อนออกเขาขอเบอร์เรา เราบอกไม่ได้ใช้มา 2 ปีคงหายแล้ว เขาก็ไม่มี เลยไม่ได้ขอเบอร์กัน ตอนนั้นเราคิดว่าคนนี้ไม่น่าจะใช่ เลยไม่ได้จริงจัง คิดว่ามันคงออกไปหาแฟนใหม่ เพราะเจ้าชู้ มีลูก มีแฟนผู้หญิงมา2-3คนแล้ว ผ่านมาเกือบปี เราออกมาอยู่บ้านได้ 4 วัน วันนั้นเราข้ามถนนไปร้านอินเทอร์เน็ตฝั่งตรงข้ามบ้าน ดันไปเจอเขามาทัก ก็ตกใจ เขาบอกมาหาเพื่อน ทำไมมันเหมือนพรหมลิขิต เพิ่งออกมา 4 วันก็เจอในที่ที่ไม่เชื่อว่าจะได้เจอ ร้านอินเตอร์เน็ตในซอกหลืบซอย เหมือนพรหมลิขิตนะ คนนี้แฟนเลย แรกๆ อยู่ในคุกเป็นเรื่องความใคร่ แต่ออกมาเราคิดว่าเขาน่าจะรักเรานะ เขามาหาเราสม่ำเสมอ ยกเว้นช่วงหลังนี้ ปกติเขาโทรหาเราเกือบทุกวัน พอไม่โทรมาเราก็โทรไปถาม เขาบอกช่วงนี้เครียดๆ ไม่ว่างโน่นนี่ พอโทรถามว่ามีคนอื่นใช่ไหม ทำไมไม่โทรมา เขาบอก "กูกลัว" เราเป็นข่าวบ่อยๆ เขากลัวจะโดนจับไปด้วย เขาเคยเอารูปลูกสาวให้ดู ส่วนพ่อแม่เขาไม่รู้เรื่องนี้ กลัวพาเราไปแล้วตกใจ เหมือนเราเป็นเมียเก็บ (หัวเราะ) ดวงเราได้อย่างนี้ก็คงได้แค่นี้แหละ ไม่ออกสื่อ คิดถึงก็โทรหา เขาชอบพูดแบบเด็กๆ "คิดถึงเค้าป่ะ" "ไม่คิดถึงสักนิดนึงเหรอ" ชอบพูดอย่างนี้ เขาเคยเล่าว่า แม่เขาเอารูปเราในมือถือมาให้ดูว่าตอนอยู่ในคุกรู้จักไอ้นี่ไหม เขาบอกไม่รู้จัก เราก็โมโหใหญ่เลย "ทำไมไม่บอกว่ากูเป็นเมียมึง" เขาบอกกลัวแม่ช็อคตาย(หัวเราะ) เราทำใจแล้ว ไม่ได้คาดหวัง อยู่ได้ก็อยู่ ถ้าไม่พร้อมก็ต้องปล่อยเขา ถ้าเขาจะไปสักอย่างจะทำอะไรได้ เหมือนดวงเรามีแค่นี้ ได้เท่านี้ยังดีกว่าไม่ได้เลย แต่เขาไม่ได้ห้ามเรื่องการเมือง บางคนมีครอบครัวแล้วบอกอย่าไปยุ่งเลย เขาพูดแค่ว่ากลัวไม่อยากยุ่งด้วย ไม่ห้ามแต่ไม่กล้ามากับเรา เราเหมือนเป็นเพื่อน ไม่ได้คิดว่าต้องมาอยู่กินผัวเมียเปิดเผย แต่ก็ไม่ห่างเหิน เขาคิดถึงเมื่อไหร่ก็โทรมา อยากหาก็มา เหมือนเป็นเมียเก็บ(หัวเราะ)
เผยแพร่ครั้งแรกใน: Facebook Fanpage Realfame ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ทหารเกณฑ์นาวิกโยธินค่ายตากสินเสียชีวิต พ่อระบุครูฝึกแจ้งว่า ป่วยเป็นฮีทสโตรก Posted: 14 Feb 2018 03:29 AM PST พ่อพลทหารหน่วยนาวิกยินค่ายตากสินเผย ลูกชายเสียชีวิต ครูฝึกแจ้งว่าป่วยหนักต้องเข้าห้อง ICU ปั้มหัวใจ แต่สุดท้ายไม่สามารถช่วยชีวิตได้ พร้อมระบุสำรวจศพดูแล้วไม่รอยเบาะซ้ำ แต่ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง ย้ำเป็นแค่สามัญชน เขาว่าอย่างไรก็ต้องว่าตามเขา 14 ก.พ. 2561 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แฟนเพจเฟซบุ๊ก Suara Patani ได้เปิดเผยข้อมูลว่า มีทหารเกณฑ์ หน่วยนาวิกโยธิน คือ พลทหารมูฮัมหมัดอีรฟาน เจ๊ะมะ เป็นทหารเกณฑ์ ผลัด 2 ปี 2560 สังกัดที่ค่ายตากสิน จังหวัดจันทบุรี ได้เสียชีวิตเนื่องจากถูกซ่อม ผู้สื่อข่าวประชาไท สอบถามไปยังพ่อของมูฮัมหมัดอีรฟาน ชาวเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส (ไม่ประสงค์เปิดเผยชื่อ) ได้ข้อมูลว่า มูฮัมหมัดอีรฟาน เพิ่งเข้ารับการฝึกทหารเกณฑ์ช่วงต้นเดือน พ.ย. 2560 โดยช่วงแรกทหารเกณฑ์ที่สังกัดกองทัพเรือจะต้องไปฝึกรวมกันที่ศุนย์ฝึกทหารใหม่ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ในช่วงระยะสุดท้ายของการฝึกทหารใหม่ วันที่ 28 ม.ค. 2561 ได้รับแจ้งจากครูฝึกว่า มูฮัมหมัดอีรฟาน เกิดอาการฮีทสโตรก ทางศูนย์ฝึกได้นำตัวส่งโรงพยาบาลเข้าห้อง ICU จนอาการดีขึ้น หลังจากนั้นเมื่อสิ้นสุดช่วงเวลาฝึกทหารใหม่แล้ว มูฮัมหมัดอีรฟาน ต้องย้ายไปประจำการที่ กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 1 กองพลนาวิกโยธิน ค่ายตากสิน พ่อของมูฮัมหมัดอีรฟาน ได้รับแจ้งจากครูฝึกอีกครั้งวันที่ 13 ก.พ. 2561 ว่าลูกชายถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอีกครั้ง เรื่องจากอาการป่วยกำเริบ และต่อมาได้เสียชีวิตในคืนนั้น จากนั้นทางค่ายทหารได้นำศพถึงที่บ้านในวันที่ 14 ก.พ. และได้ประกอบพิธีทางศาสนาเรียบร้อยแล้ว พ่อของมูฮัมหมัดอีรฟาน ระบุว่า ได้สำรวจศพพบว่าไม่มีรอยเบาะซ้ำ ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ทหารที่นำศพมาได้มอบเงินจำนวนหนึ่งให้กับครอบครัวด้วย "แล้วมารอบสองหลาว(อีก) ผมโทรหาลูกสองสามครั้งก็ไม่ได้รับสาย แล้วโทรเข้าครูฝึก ครูฝึกว่าไม่สบายแล้วประสานไม่ได้เพราะอยู่ที่ ICU เขาว่าอาการหนัก ประมาณตีสิบ(22.00 น.) ก็ต้องปั้มหัวใจ แล้วจากนั้นก็เสียชีวิต เราก็ไม่รู้ว่ามันยังไงเพราะอยู่ไกลไม่ได้มีโอกาสไปเช็คข้อมูลที่โรงพยาบาล เราก็สามัญชน มันก็ลำบาก ก็ตามเขา เขาบอกมาว่ายังก็ตามเขา ตามน้ำเขาไป"พ่อของมูฮัมหมัดอีรฟานกล่าว ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ใจคอไม่ดี ซิงเกิลใหม่ 'ใจเพชร' ของประยุทธ์ เปิดตัวยอดดิสไลก์ทะลุ 1.8 หมื่น ถูกใจไม่ถึงพัน Posted: 14 Feb 2018 01:55 AM PST 'ใจเพชร' ผลงานเพลงหมายเลข 5 ของ พล.อ.ประยุทธ์ เปิดตัว 5 วัน ยอดคนกดไม่ถูกใจในยูทูบทะลุ กว่า 18,000 แล้ว ขณะที่มีเพียง 723 ถูกใจ เท่านั้น 14 ก.พ.2561 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ปล่อยผลงานเพลงล่าสุดออกมาในชื่อ "ใจเพชร" เมื่อวันที่ 9 ก.พ.ที่ผ่านมา และมีการเผยแพร่ผ่านทางยูทูบชื่อ 'TV5HD1' ผ่านมาแล้ว 5 วัน มีผู้รับชมและฟังกว่า 4 หมื่นวิว ขณะที่มีผู้กดไม่ถูกใจกว่า 18,000 แล้ว มีเพียง 723 ถูกใจ เท่านั้น (บันทึกเมื่อเวลา 16.40 น. วันที่ 14 ก.พ.2561) นอกจากนี้ในคลิปยูทูบดังกล่าวยังปิดช่องคอมเมนท์หรือการแสดงความเห็นอีกด้วย สำหรับเพลง "ใจเพชร" ถือเป็นงานเพลงที่ประพันธ์/คำร้อง โดย พล.อ.ประยุทธ์ เพลงที่ 5 แล้ว โดยก่อนหน้าที่มีเพลงคืนความสุขให้ประเทศ เพลงความหวัง ความศรัทธา เพลงเพราะเธอคือประเทศไทย และเพลงสะพาน โดยเนื้อเพลงมีดังนี้ ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
ซุยหมิง – สมบัด สมพอน 'ความรักไม่เคยหายไป' Posted: 14 Feb 2018 12:51 AM PST
เธอเล่าน้ำตารื่นอยู่ในตา แต่ทว่าไม่มีทีท่าว่าจะไหลออกมา เราเดินทางไปเวียงจันทน์ เมื่อกลางปีที่แล้ว เพื่อพบกับผู้หญิงคนหนึ่ง และสิ่งที่เราได้กลับมาคือ บทสนทนาที่แสนล้ำค่าและทรงพลัง เขาหายไป 5 ปีแล้ว เธอเล่าน้ำตารื้น หลังจากที่เราถามคำถามว่าเพราะอะไรถึงยังไม่หยุดตามหาสามีของเธอ "สมบัด สมพอน" นักสิทธิมนุษยชนชาวลาวที่หายตัวไปตั้งแต่วันที่ 15 ธ.ค. 2560 นับตั้งแต่มีคนพบเจอสมบัดเป็นครั้งสุดท้ายกับครอบครัว ในวันที่ 15 ธ.ค. 2555 กล้องวงจรปิดของสถานีตำรวจที่กรุงเวียงจันทน์มีการบันทึกภาพเจ้าหน้าที่รัฐลักพาตัวสมบัดจากบนถนน มีการหยุดรถจี๊ปของเขาก่อนที่จะพาตัวเขาส่งขึ้นรถบรรทุก ซุยหมิง ภรรยาชาวสิงคโปร์ของสมบัดเปิดเผยว่ามีพยานพบเห็นสมบัดและรถจี๊ปของเขาในที่กักขังของตำรวจ เรากลับมาเริ่มบทสนทนาถึงจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง เธอมองไปข้างหน้า ที่ที่ผลิตภัณฑ์จากชาวบ้าน หัตถกรรมฝีมือแม่หญิงในลาวตั้งเรียงรายรอลูกค้าเข้ามาเลือกซื้อในร้านของสมบัด ที่ที่เป็นที่ของเขา ...... เธอคิดนิ่งนาน ก่อนจะเริ่มเล่า "เราเจอกันที่ฮาวาย (มหาวิทยาลัยฮาวาย สหรัฐอเมริกา) ความสัมพันธ์เริ่มต้น เราเป็นเพียงผู้ร่วมต่อต้านสงครามด้วยกัน ทั้งเขาและฉันได้ไปเรียนที่นั่นเพราะผลกระทบของสงคราม ทั้งในเวียดนามและลาว ในยุคนั้นมีนักศึกษาออกมาเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านสงครามกันมาก และทุกๆ การเคลื่อนไหว ล้วนสัมพันธ์กับเหตุการณ์ทางการเมืองโลก มันคือความตื่นตัวของคนในรุ่น (Generation) ของฉัน มันคือการที่ผู้คนแสวงหาองค์ความรู้ใหม่เพื่อเปลี่ยนแปลงพัฒนาประเทศ และมีไม่กี่คนที่ได้ออกไปเรียนต่างประเทศ โจทย์ของพวกเขาก็คือทำอย่างไรให้ได้กลับไปพัฒนาประเทศให้ดีขึ้น สมบัดเรียนด้านการเกษตร ซึ่งไม่ได้มีอะไรที่เป็นการเมืองเลย และเขาระวังตัวเสมอที่จะไม่ทำอะไรที่เกี่ยวกับการเมือง" เธอยังเล่าด้วยว่า ในเมืองไทยก็ยังมีคนตื่นตัวมากมาย แม้ว่าไม่ใช่ทุกคนที่ต่อต้านสงคราม แต่ในยุคสมัยแห่งวัยเยาว์ การนำเสนอทางเลือกและแนวคิดเป็นสิ่งสำคัญเหนือสิ่งใด สำหรับสมบัดเขาเป็นคนที่ชัดเจนและตั้งใจจะกลับมาลาว แม้ว่าเพื่อนบางคนเลือกที่จะไม่กลับมาหลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในลาว "เขาเป็นลูกชาวนา เขาอยากจะกลับมาที่บ้าน มาหาพ่อแม่ พัฒนาคนลาวหลังภาวะสงคราม เมื่อเขาตัดสินใจเช่นนั้น ฉันจึงตัดสินใจที่จะมากับเขา เราใช้ทุกอย่างที่เรามีทำทุกอย่างที่เราทำได้ และรับผิดชอบต่อสิ่งเล็กๆ ที่เรามีร่วมกัน" "ตอนที่ฉันมาที่นี่ ฉันไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับประเทศลาว ทั้งภาษา และวัฒนธรรม ประเพณี ชีวิตความเป็นอยู่ในหมู่บ้าน เพราะฉันโตในเมือง แต่มันมีปัจจัยหลายอย่างให้ฉันเรียนรู้ที่นี่ ฉันมาที่นี่กับเขา เพราะฉันอยากเห็นสถานที่ที่เขาเติบโตด้วยตาของฉันเอง อยากดูว่า เขาทำอะไรบ้าง เขาอยู่อย่างไร เขากินอย่างไร มันเป็นการท้าทายมาก ที่ฉันจะต้องเรียนภาษาลาว เพราะไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษกับฉันเลย และไม่มีใครพูดภาษาของฉันเลย" "พวกเขาไม่เคยหัวเราะเยาะเวลาที่ฉันพูดภาษาของเขาผิด พวกเขามีความสุขที่เห็นฉันเรียนรู้" ทุกๆ ครั้งที่เธอพูดถึงลักษณะเฉพาะของคนลาว ใบหน้าของเธอจะมีรอยยิ้มระเรื่อขึ้นมาเสมอ น่าเสียดายที่หลังจากที่สมบัด กลับมาจากการศึกษาต่อ เขากลับไม่ได้รับความไว้วางใจจากรัฐบาล (หลังจากการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองแล้วในช่วงปี พ.ศ. 2524) สิ่งที่เขาทำได้คือการทดลองทำสิ่งต่างๆ อยู่ภายในบ้าน ซุยหมิงเริ่มทำงานเป็น NGOs ด้านการพัฒนาผู้หญิงและการศึกษา และสมบัดเข้ามามีส่วนร่วมในงานวิจัยต่างๆ เพราะเขาเองเป็นคนในพื้นที่ เป็นคนลาว ย่อมรู้ถึงรากของปัญหาต่างๆ มากกว่าเธอ "การไม่ได้รับการยอมรับจากรัฐบาล ทำให้เราแบ่งปันมุมมองร่วมกันมากขึ้น ฟันฝ่าอุปสรรคไปด้วยกัน เราให้กำลังใจกันและกันเสมอ เพราะเราเชื่อว่า เราเอาชนะได้ เราเปิดใจมากสำหรับการเรียนรู้มัน ทำให้เรามีความรักให้กันมากขึ้น" งานแรกที่สมบัดได้ทำคือ การอบรมวิธีการทำเกษตรอย่างยั่งยืนเพื่อส่งเสริมความปลอดภัยของอาหารที่มาจากการเกษตร นอกจากนี้เขายังเป็นผู้บุกเบิกการใช้เทคนิคการประเมินในชนบทแบบมีส่วนร่วม ( Participatory Rural Appraisal PRA ) ในลาวด้วย ในปี พ.ศ. 2539 เขาได้รับอนุญาตจากกระทรวงศึกษาธิการของประเทศลาวให้ทำการก่อตั้งศูนย์อบรมร่วมพัฒนา (PADETC) เพื่อฝึกการอบรมให้กับชาวลาววัยหนุ่มสาวและเจ้าหน้าที่พัฒนาท้องถิ่น
"ฉันเองไม่คิดว่าฉันจะกลับไปที่บ้านของฉันอีกเพราะอยู่ที่นี่ฉันทำงานที่นี่ เริ่มต้นเป็น NGOs ทำงานกับยูนิเซฟที่นี่ มันทำให้เรามีเหตุผลที่ดี ที่จะอยู่ที่นี่ เราต้องเป็นมืออาชีพและต้องอยู่ที่นี่ต่อไป ที่ที่มีงาน เป็นพื้นที่ที่มีความหมาย และมีเขาอยู่ที่นี่" ซุยหมิงเล่าถึงความท้าทายในการทำงานที่ลาว เพื่อที่จะค้นหาพื้นที่การทำงานแห่งใหม่ และเพิ่มความเป็นมืออาชีพให้เธอกับสามี "สมบัดเริ่มรวมกลุ่มคน เด็กๆ แม่บ้าน พวกเค้าก็ค่อยๆทำงานให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด จนในที่สุดสมบัดก็ได้ตั้งองค์กรของตัวเอง นั่นคือการพัฒนาไปร่วมกัน กับ Partner ของเรา" สมบัดทำงานร่วมกับผู้คนหลากหลาย ทั้งกลุ่มผู้หญิง เยาวชน และพระ เรียนรู้ร่วมกันจนนำไปสู่การร่วมพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในประเทศ เธอเล่าอีกว่า สมบัด ชอบที่จะแลกเปลี่ยนและสนใจแนวคิดของ ส.ศิวลักษณ์ และประเทศไทยเป็นต้นแบบหลายๆ อย่างในลาว ทั้งการที่จะเริ่มต้นทำงาน NGOs และงานที่ต้องประสานความร่วมมือกับรัฐ " สมบัดพยายามทำงานกับคนรุ่นใหม่อยู่เรื่อยๆ พวกเขามีพลัง เราคิดว่าจะต้องเอาพลังนั้นมาใช้ในทางที่ถูก การศึกษาเป็นมากกว่าโรงเรียน ทุกๆ ที่คือการเรียนรู้ไม่ใช่แค่ในหนังสือ แต่เรียนจากประสบการณ์ของผู้คน ทำยังไงจะเปิดพลังของคนรุ่นใหม่ เด็กๆ มาที่ออฟฟิศของเรา สมบัดจะเป็นคนรับฟังอยู่เงียบๆ ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใคร และเขาปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียม" แววตาของเธอส่องประกายเมื่อพูดถึงผู้ชายที่ใครๆบอกว่าเขาหายไป "สมบัดเชื่อว่าเราจะต้องทำงานร่วมกันไม่สามารถที่จะเป็นศัตรูกันได้ทั้งหมด ทั้งกับรัฐและเอกชนมันคือการเป็นพาร์ทเนอร์กัน ไม่ใช่ศัตรู ตัวสมบัดเองเชื่อในความไม่รุนแรง เชื่อในความสันติวิธีและเขาจะคิดอยู่เสมอว่าทำยังไงให้เกิดสิ่งดีๆ ได้โดยไม่มีความรุนแรง"
" 35 ปี ที่เราแต่งงานกันมา การทะเลาะกันเป็นเรื่องปกติของความรัก ไม่มีทางเห็นด้วยกับทุกๆอย่างหรอก แต่เราก็ต้องเคารพกัน" เธอยิ้ม .... น้ำตารื้นคลอเบ้า สายตาเหม่อมองไปก่อนจะตอบคำถามว่า "เพราะอะไรถึงเลือกผู้ชายคนนี้" "เขาเป็นผู้ชายที่อ่อนโยนมาก ไม่เคยห้ามหรือใช้อำนาจแบบที่ผู้ชายเอเชียชอบทำเลย สิ่งที่เขาทำคือการสนับสนุน ทุกๆ อย่าง เขาไม่เคยห้ามที่ฉันจะต้องไปทำงานในหลายๆ ประเทศ เขาเข้าใจและสนับสนุนเสมอ" "ที่สำคัญคือ....ฉันโชคดีมากๆ ที่เจอผู้ชายอย่างเขา มันไม่ยุติธรรมเลยที่ผู้ชายอ่อนโยนและรักสงบแบบเขาจะถูก "อุ้ม" เขาคือสามีของฉัน ความรักของเรายังคงอยู่ตลอดเวลา มันต้องไม่ใช่แค่การหายไปเฉยๆ ฉันต้องการคำตอบ ฉันอยากรู้ความจริงว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเขา ฉันปล่อยให้เรื่องมันผ่านไปเงียบๆ ไม่ได้ มันคือความรับผิดชอบของฉันที่มีต่อคู่ชีวิต ฉันพยายามที่จะค้นหาเขา ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่แล้วที่ข้อเรียกร้องของฉันไม่ได้รับการรับฟังจากรัฐบาล พวกเขาต้องรับผิดชอบ เพราะสมบัดคือพลเมืองของที่นี่" "หากว่าเรารู้ว่าเขาตาย หรือมีอุบัติเหตุ หรือโดนฆ่า นี่คือสิ่งที่ฉันจะรับรู้ว่ามันเกิดขึ้น แต่นี่ฉันไม่รู้อะไรเลยเขาแค่หายไปเฉยๆ และสิ่งที่ฉันจะต้องตามหาคือ ความจริง ตราบเท่าที่ฉันมีลมหายใจ มีชีวิต ฉันจะต้องค้นหา ในโลกนี้มีผู้คนมากมายที่หายไปครอบครัวของพวกเขาก็ยังคงตามหา และสำหรับฉัน สมบัดไม่เคยหายไป" เราไม่สามารถถามคำถามใดต่อไปได้ จนเธอให้สติเรา ก่อนจะบอกว่ามีสิ่งที่อยากจะฝากไปถึงคนรุ่นใหม่ เรายิ้ม กอด และบอกลา คุณค่าแห่งบทสนทนายังตราตรึงอยู่ในหัวใจของเรา เราเดินออกจากร้าน สมบัดช็อป ร้านที่สมบัดรวบรวมเอาผ้าทอมือของหญิงชาวชนบทมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ สร้างอาชีพให้แม่หญิงลาว โดยไม่ต้องไปทำงานในโรงงาน และได้อยู่ดูแลลูกๆ และครอบครัวที่บ้าน ที่ที่ซุยหมิง จะยังคงดูแลรักษามันต่อไป รอคอยคนที่เธอรักกลับมาเห็นการพัฒนาของมัน
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
กอ.รมน.ภาค 4 ฟ้อง 'อิสมาแอ เต๊ะ' หลังแฉปมซ้อมทรมานผ่าน Thai PBS Posted: 14 Feb 2018 12:38 AM PST แผนกฎหมาย กอ.รมน.ภค 4 ส่วนหน้า รับมอบหมายจาก แม่ทัพภาค 4 ฟ้อง 'อิสมาแอ เต๊ะ' ทำเสื่อมเสียชื่อเสียง หลังออกมาแฉปมซ้อมทรมานผ่าน รายการนโยบาย by ประชาชน ของ Thai PBS 14 ก.พ.2561 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า) รายงานว่า วันนี้ เมื่อเวลา 9.45 น. ที่สถานีตำรวจภูธรเมืองปัตตานี อ.เมือง จ.ปัตตานี พ.ท.เศรษฐสิทธิ์ แก้วคูณเมือง รองหัวหน้าแผนกฎหมาย กอ.รมน.ภค 4 ส่วนหน้า พร้อมด้วยทนายความ และนายทหารพระธรรมนูญ ได้รับมอบหมายจาก พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 เดินทางเข้าแจ้งความดำเนินคดี กับ อิสมาแอ เต๊ะ ที่กล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่ทหารซ้อมทรมานผู้ต้องสงสัย ผ่านรายการนโยบาย by ประชาชน ออกอากาศทางช่อง Thai PBS เมื่อวันที่ 5 ก.พ. 2561 ยื่นเอกสารและข้อมูลที่สร้างความเสื่อมเสียให้กับหน่วยความมั่นคงต่อ พ.ต.ท .ถนัด ค่ำควร รองผู้กำกับการสืบสวนสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองปัตตานี เพื่อเป็นหลักฐานในการประกอบคดีในการฟ้องร้องทั้งคดีแพ่งและอาญา ทั้งปวง เอาผิดตามกฎหมายแก่บุคคลที่เกี่ยวข้องดังกล่าว อันส่งผลให้เกิดความเสื่อมเสียชื่อเสียงต่อ กองทัพภาคที่ 4 และ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า พ.ท.เศรษฐสิทธิ์ กล่าวว่า ตนได้รับมอบหมายจาก พล.ท.ปิยวัฒน์ ให้มาแจ้งความร้องทุกข์ กับสถานีตำรวจภูธรเมืองปัตตานี เพื่อแจ้งความดำเนินคดีต่อ อิสมาแอ ที่ได้ร่วมรายการทีวีดังกล่าวในประเด็น ยุตติการซ้อมการทรมานโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่ง อิสมาแอ ได้กล่าวหาเจ้าหน้าที่รัฐว่าได้ทำการทรมานตนเพื่อให้รับสารภาพ ซึ่งไม่เป็นไปตามความจริงดังที่ อิสมาแอ กล่าวอ้างแต่อย่างใด รองหัวหน้าแผนกฎหมาย กอ.รมน.ภค 4 ส่วนหน้า กล่าวถึงความกดดันภาคประชาชนที่อาจเกิดขึ้นว่า ตนไม่รู้สึกวิตกกังวล เนื่องจากการดำเนินงานในครั้งนี้ต้องการที่จะพิสูจน์ความจริงในข้อกล่าวอ้างว่าไม่เป็นความจริง ขอให้เป็นขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมเป็นผู้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเจ้าหน้าที่ทหาร ว่าไม่มีการซ้อมทรมานผู้ต้องหาอย่างที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด ภาพจากคลิปรายการนโยบาย By ประชาชน ซึ่ง อิสมาแอ เต๊ะ กล่าวไว้ในนาทีที่ 14.58 เป็นต้นไป https://youtu.be/JaNsOqR6AbA?t=898 สำหรับ อิสมาแอ เมื่อวันที่ 19 ต.ค.2559 ศาลปกครองสงขลาอ่านคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีระหว่างเขา ในฐานผู้ฟ้องที่ 1 กับ อามีซี มานาก ผู้ฟ้องที่ 2 กับ กองทัพบกที่ 1 ผู้ถูกฟ้องคดี ในคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย จากกรณีที่ อิสมาแอ และ อามีซี อดีตนักศึกษามหาวิทยาลัยสถาบันราชภัฏยะลาถูกเจ้าหน้าที่ทหารจับกุมและซ้อมทรมานในระหว่างถูกควบคุมตัวเพื่อให้รับสารภาพอันจะนำไปสู่การถูกดำเนินคดีเกี่ยวกับความมั่นคง อีกทั้งถูกควบคุมตัวเกินกำหนดตามอำนาจพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ.2457 โดยศาลพิพากษาให้กองทัพบก ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมชดเชยความเสียหายให้แก่อิสมาแอ เตะ ผู้ฟ้องคดีที่ 1 จำนวน 305,000 บาท และอามีซี มานาก ผู้ฟ้องคดีที่2 จำนวน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องคดี ( 14 ม.ค. 2552 ) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เมื่อวันที่ 9 ก.พ.ที่ผ่านมา พ.อ.หาญพล เพชรม่วง ผู้บังคับหน่วย ฉก.43 เพิ่งแจ้งความร้องทุกข์ จากการดำเนิ
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
'ฮิวแมนไรท์วอทช์' ชี้ รบ.ทหารประกาศสิทธิมนุษยชนเป็นวาระชาติ แต่ยังคงปราบเสรีภาพขั้นพื้นฐาน Posted: 13 Feb 2018 11:01 PM PST ฮิวแมนไรท์วอทช์ ชี้รัฐบาลทหารประกาศ สิทธิมนุษยชนของ เป็นวาระแห่งชาติจะปราศจากความหมาย หากรัฐบาลไม่ปฏิบัติตามคำสัญญาที่จะเคารพสิทธิขั้นพื้นฐาน และฟื้นฟูระบอบประชาธิปไตย ภาพจากเว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล 14 ก.พ.2561 ฮิวแมนไรท์วอทช์ (Human Rights Watch) ซึ่งเป็นองค์กรพัฒนาเอกชนระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน ออกความเห็นเนื่องในจาก เมื่อวันที่ 12 ก.พ.ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นเจ้าภาพในงาน ซึ่งจัดขึ้นที่ทำเนียบรัฐบาลที่กรุงเทพฯ เพื่อส่งเสริมวาระสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่มีการรับรองเมื่อเดือน พ.ย.60 โดยมีผู้เข้าร่วมงานหลายร้อยคน รวมทั้งผู้แทนการทูตจากต่างประเทศและตัวแทนจากหน่วยงานระหว่างประเทศและพหุภาคี 55 คน "ผู้นำรัฐบาลทหารของไทยไม่ควรคิดว่า การเข้าร่วมงานตามมารยาทของนักการทูต ในเวทีส่งเสริมวาระสิทธิมนุษยชนเช่นนี้ จะทำให้พวกเขาเชื่อว่า ประเทศไทยปลอดจากการกดขี่ปราบปรามทุกเมื่อเชื่อวันแล้ว" แบรด อดัมส์ (Brad Adams) ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชีย ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าว พร้อมระบุว่า แทนที่จะฟื้นฟูการเคารพสิทธิมนุษยชน และนำพาประเทศกลับคืนสู่ระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลทหารกลับคุกคามผู้วิพากษ์วิจารณ์และผู้เห็นต่าง ห้ามการชุมนุมสาธารณะอย่างสงบ เซ็นเซอร์สื่อ และกดดันการใช้เสรีภาพในการแสดงความเห็น แถลงของฮิวแมนไรท์วอทช์ระบุว่า ในวันงาน พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงสูตร "4+3+2+1" ของรัฐบาล ที่จะส่งเสริมการเคารพสิทธิมนุษยชน และสร้างสันติสุขในสังคม โดยวาระดังกล่าวประกอบด้วยการสร้างจิตสำนึก การมีระบบติดตามตรวจสอบ นวัตกรรม และเครือข่าย รวมทั้งการปรับปรุงฐานข้อมูล ทัศนคติ และกฎหมายที่หนุนเสริมให้หน่วยงานของรัฐปฏิบัติตามวาระสิทธิมนุษยชน และลดการปฏิบัติมิชอบด้านสิทธิมนุษยชน รัฐบาลทหารเคยให้สัญญาแบบเดียวกันตั้งแต่รัฐประหารเดือน พ.ค.57 แต่ไม่เคยทำตามอย่างจริงจัง ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าว พล.อ.ประยุทธ์ยังคงใช้อำนาจของตนอย่างกว้างขวางและปราศจากการตรวจสอบ โดยขาดการกำกับดูแลจาก รัฐธรรมนูญที่หนุนหลังโดยรัฐบาลทหาร ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือน มี.ค.60 ทั้งนี้เพื่อประกันว่าสมาชิก คสช. จะไม่ถูกตรวจสอบและต้องรับผิดชอบต่อการละเมิดสิทธิใด ๆ นับแต่การยึดอำนาจ ทั้งยังเป็นการสืบทอดอำนาจควบคุมอย่างเข้มข้นของกองทัพต่อรัฐบาล แม้จนภายหลังการเลือกตั้งซึ่งรัฐบาลทหารสัญญาจะจัดให้มีขึ้นในปี 2561 นับแต่รัฐประหาร คสช.เซ็นเซอร์และสั่งห้ามสื่อมวลชนวิพากษ์วิจารณ์ระบอบปกครองของทหาร สื่อมวลชนต้องเผชิญการคุกคาม การลงโทษ และการสั่งปิด หากเผยแพร่ความเห็นในเชิงวิพากษ์วิจารณ์ต่อรัฐบาลทหารและสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือมีการเสนอประเด็นใด ๆ ที่คสช.มองว่ากระทบต่อความมั่นคงแห่งชาติ รวมทั้งการรายงานข้อกล่าวหาว่ากองทัพเกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 6 ก.พ.ที่ผ่านมา Peace TV ถูกสั่งให้งดการออกอากาศเป็นเวลา 15 วัน เนื่องจากวิพากษ์วิจารณ์ระบอบปกครองของทหาร ทางการไทยได้คุกคามผู้วิพากษ์วิจารณ์และผู้เห็นต่าง โดยการดำเนินคดีอาญาในข้อหายุยงปลุกปั่น และ ความผิดทางคอมพิวเตอร์ โดยเป็นผลมาจากการแสดงความเห็นอย่างสงบ และมีกฎหมายห้ามการชุมนุมสาธารณะของบุคคลกว่าห้าคนขึ้นไป รวมทั้งกิจกรรมต่อต้านรัฐประหาร ทางการได้ดำเนินคดีกับ นักเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย 39 คน ในข้อหาชุมนุมโดยผิดกฎหมาย หลังเข้าร่วมการชุมนุมอย่างสงบเมื่อวันที่ 27 ม.ค.ที่ผ่านมา เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลปฏิบัติตามคำสัญญาที่จะจัดการเลือกตั้งในปี 2561 โดยในจำนวนนี้มีอยู่จำนวนเก้าคนที่ถูกดำเนินคดีในข้อหายุยงปลุกปั่นเนื่องจากการปราศรัยระหว่างการชุมนุม แถลงของฮิวแมนไรท์วอทช์ ยังระบุด้วยว่า ที่ผ่านมาหลายพันคนได้ถูกเรียกตัวเข้าพบ และถูกกดดันให้ยุติการแสดงความเห็นทางการเมือง โดยเฉพาะเมื่อมีความเห็นที่ไม่สอดคล้องกับรัฐบาลทหาร คสช.อ้างว่าการแสดงความเห็นทางการเมืองที่หลากหลายทำให้ขาดความสามัคคีในสังคม และมักจะสั่งห้ามการอภิปรายสาธารณะ เกี่ยวกับสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยในประเทศไทยภายใต้การปกครองของทหาร กองทัพมักใช้การควบคุมตัวแบบลับกับผู้ต้องสงสัยในคดีความมั่นคง โดยสามารถควบคุมตัวบุคคลได้นานถึงเจ็ดวันโดยไม่มีการแจ้งข้อหา และมีการสอบปากคำพวกเขาโดยไม่ให้เข้าถึงทนายความ หรือไม่มีหลักประกันเพื่อป้องกันการปฏิบัติมิชอบ รัฐบาลไม่ได้ปฏิบัติตามพันธกรณีที่จะประกันว่า บุคคลและองค์กรต่าง ๆ ที่มีส่วนร่วมในการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน สามารถปฏิบัติงานในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและเกื้อหนุนได้ ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าว ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หน่วยงานของรัฐ รวมทั้ง บริษัท เอกชนมักตอบโต้กับบุคคลซึ่งรายงานข้อกล่าวหาว่ามีการปฏิบัติมิชอบด้านสิทธิมนุษยชน ทั้งการฟ้องคดีหมิ่นประมาททางอาญา และการหาทางดำเนินคดีในข้อหาการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์กับพวกเขา ในวันที่ 7 ก.พ.ที่ผ่านมา คนงานพม่า 14 คน ถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นประมาท หลังจากเข้าร้องเรียนกับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ว่าถูกนายจ้างละเมิดสิทธิแรงงาน ในวันที่ 9 ก.พ.61 กองทัพภาคสี่ซึ่งดูแลรักษาความสงบในจังหวัดชายแดนใต้ของไทย ได้ยื่นฟ้องข้อหาหมิ่นประมาททางแพ่งเรียกร้องเงินค่าเสียหายจำนวน 10 ล้านบาทจากสำนักข่าวผู้จัดการออนไลน์ เนื่องจากรายงานที่กล่าวหาว่ามีการทรมานผู้ต้องสงสัยว่าก่อความไม่สงบระหว่างการควบคุมตัวของทหาร "แม้จะมีการประกาศรับรองสิ่งที่เรียกว่า 'วาระสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ' แต่ยังไม่มีวี่แววว่าระบอบเผด็จการทหารจะยุติลงในเร็ววัน เนื่องจากรัฐบาลทหารยังคงปราบปรามเสรีภาพขั้นพื้นฐาน และชะลอการคืนอำนาจให้รัฐบาลพลเรือนต่อไป" อดัมส์ กล่าว และระบุด้วยว่า บรรดาพันธมิตรจำเป็นต้องกดดันประเทศไทยอย่างเร่งด่วน เพื่อยุติการกดขี่ปราบปราม และเพื่อฟื้นฟูความเคารพในสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
วิวาห์ล่มเพราะ 'เผด็จการ' ชายกัมพูชาถูกจับในวันแต่งงานหลังวิจารณ์รัฐบาลทางเฟสบุ๊ค Posted: 13 Feb 2018 09:16 PM PST ชาวกัมพูชาชื่อสัน โรธา ถูกจับกุมในวันแต่งงานเพราะเขาเคยโพสต์วิดีโอวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลกัมพูชาว่าเป็น "เผด็จการ" และเรียกร้องให้ผู้คนลุกขึ้นสู้ โดยที่มีการคุมขังเขาแล้วแม้ว่าจะยังไม่มีการตั้งข้อหาใดๆ 14 ก.พ. 2561 สัน โรธา ชายอายุ 29 ปี จากจังหวัดกำปงจามของกัมพูชาถูกจับกุมในวันแต่งงานของเขาตั้งแต่วันที่ 8 ก.พ. และถูกส่งตัวไปคุมขังก่อนการพิจารณาคดีเมื่อวันที่ 13 ก.พ. ที่ผ่านมา จากการที่เขาอัพวิดีโอคลิปขึ้นเฟสบุ๊ควิจารณ์รัฐบาลกัมพูชาว่าเป็น "เผด็จการ" การจับกุมตัวสันในครั้งนี้ทำให้นักสิทธิมนุษยชนวิจารณ์ว่ารัฐบาลกัมพูชากำลังทำตัวเป็นภัยต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และถือเป็นกรณีล่าสุดที่ทางการปราบปรามการต่อต้านรัฐบาลในโลกออนไลน์ หัวหน้าเรือนจำประจำจังหวัดกำปงจามกล่าวว่าเขาได้รับตัวสันแล้วแต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเขาจะถูกฟ้องร้องข้อหาอะไร เจ้าหน้าที่ทางการรายอื่นๆ ของกำปงจามไม่ว่าจะเป็นโฆษกศาล ปลัดอัยการ หรือผู้อำนวยการศาล ต่างก็ปฏิเสธจะแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ต่อสื่อพนมเปญโพสต์ บ้างบอกให้ไปถามคนอื่น ขณะที่มีน พรม โมนี เจ้าหน้าที่สืบสวนเฉพาะกิจสำหรับกรณีนี้ก็บอกว่าเขายังได้รับข้อมูลเกี่ยวกับคดีนี้อย่างจำกัด แต่ก็ยืนยันว่ามีการส่งตัวสันเข้าคุกแล้วแม้ว่าจะยังไม่มีการตั้งข้อหาใดๆ ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมามีการควบคุมตัวสันไปสอบสวนโดยอัยการและผู้พิพากษาในข้อกล่าวหาเบื้องต้นคือ "การหมิ่นประมาทในที่สาธารณะ" และ "ยุยงปลุกปั่น" ในวิดีโอดังกล่าวสันเรียกร้องให้ประชาชนและผู้สนับสนุนพรรคฝ่ายค้าน CNRP ของกัมพูชาที่เพิ่งถูกรัฐบาลกัมพูชาสั่งแบนไปเมื่อไม่นานมานี้ลุกขึ้นมาต่อสู้กับรัฐบาลและอย่าได้กลัว "การกระทำและการข่มขู่คุกคามจากพวกเผด็จการบางคน" "ถ้าหากพวกเราไม่ลุกขึ้นและรวมตัวสู้ไปด้วยกัน พวกเราจะไม่มีทางพ้นไปจากเงื้อมมือของปีศาจได้" สันกล่าวไว้ในคลิป "พวกเรารู้อยู่แล้วว่าพวกเผด็จการต้องการชัยชนะ พวกเขาใช้ยุทธวิธีและเกมจิตวิทยาทั้งหลาย และกระทำการทุกรูปแบบในการที่จะทำลายจิตใจของผู้สนับสนุนพรรค CNRP" สันกล่าว โฆษกศาลประจำจังหวัดกำปงจามกล่าวว่าหลังจากมีการสืบสวนสันแล้วยังไม่รู้ว่าจะมีการตั้งข้อหาใดๆ หรือไม่ ขณะที่วิดีโอต้นฉบับในเฟสบุ๊คของสันหาไม่พบแล้ว แต่วิดีโอดังกล่าวก็มีการเผยแพร่ไปทั่วตั้งแต่ช่วงเดือน ต.ค. ปีที่แล้ว พี่สะใภ้ของสันกล่าวว่าสันเพิ่งกลับจากทำงานในไทยและกำลังเตรียมตัวแต่งงาน แต่ก็ถูกสารวัตรทหารมาจับตัวใส่กุญแจมือขึ้นรถไปในขณะที่แม่ของเขาร้องไห้ ฟิล โรเบิร์ตสัน รองผู้อำนวยการฝ่ายเอเชียของฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าวว่าเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของกัมพูชาตกอยู่ในอันตรายภายใต้ "ฮุนเซนและลูกสมุน" โรเบิร์ตสันเปิดเผยอีกว่ามีพวกเกรียนสนับสนุนรัฐบาลคอยตามดูคนวิจารณ์รัฐบาลบนเฟสบุ๊คและตามกระทู้ออนไลน์ต่างๆ เพราะมันเป็นช่องทางการสื่อสารที่รัฐบาลไม่สามารถควบคุมได้เบ็ดเสร็จ เขาจึงเรียกร้องให้ประชาคมนานาชาติประณามเทคนิควิธีการเช่นนี้อย่างเปิดเผย เรียบเรียงจาก Man held after calling government 'authoritarian' on Facebook, The Phnom Penh Post, 13-02-2018 Man arrested on wedding day for criticising government on Facebook, The Phnom Penh Post, 12-02-2018 ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai |
You are subscribed to email updates from ประชาไท. To stop receiving these emails, you may unsubscribe now. | Email delivery powered by Google |
Google, 1600 Amphitheatre Parkway, Mountain View, CA 94043, United States |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น